เมื่อกระเพาะเป็นแผล
เวลาเราหกล้มหัวเข่าถลอกเป็นแผลสามารถรักษาได้ด้วยการใส่ยาสมานแผลไม่กี่วันก็หายดี แต่นั่นเป็นบาดแผลภายนอก แล้วถ้าอวัยวะภายในเราเกิดเป็นแผลขึ้นมาล่ะ ควรจะทำอย่างไรดี?
บาดแผลภายในที่พบได้บ่อยมากเห็นจะได้แก่ แผลในกระเพาะอาหาร หรือลำไส้เล็กส่วนต้นที่เป็นสาเหตุสำคัญของโรคกระเพาะทำให้เกิดอาการปวดท้องที่หลายๆ คนอาจมีประสบการณ์มาบ้าง หรือมีแนวโน้มจะเป็นในอนาคตโดยเฉพาะในภาวะการณ์เครียดๆ อย่างในช่วงนี้ ถ้าอย่างนั้นเราลองมาดูกันว่าจะรับมือกับเจ้าโรคนี้กันได้อย่างไร
กระเพาะอาหารเป็นส่วนที่เชื่อมติดต่อกับหลอดอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น กล่าวคือ อาหารที่เรากินเข้าไปจะผ่านไปทางหลอดอาหารเข้าไปสู่กระเพาะอาหารเพื่อทำการย่อย แล้วจึงค่อยผ่านไปทางลำไส้เล็กเพื่อการดูดซึมอาหารที่ย่อยแล้วนำไปใช้เลี้ยงร่างกาย จากนั้นกากอาหารที่ผ่านกระบวนการดูดซึมแล้วจะเคลื่อนตัวไปยังลำไส้ใหญ่เพื่อผ่านไปยังทวารหนักแล้วขับออกจากร่างกายต่อไป เมื่อพูดถึงแผลในกระเพาะอาหารซึ่งเป็นคำที่เรียกกันทั่วๆ ไปจนติดปาก ความหมายจึงมักคาบเกี่ยวระหว่างแผลที่กระเพาะอาหาร (Gastric Ulcer) กับแผลที่ลำไส้เล็กส่วนต้น (Duodenal Ulcer) ก็เป็นได้ แผลในกระเพาะอาหารที่ว่านี้บางคนอาจยังนึกภาพไม่ออกว่าเป็นอย่างไร ต้องขอบอกว่าไม่เหมือนกับบาดแผลถลอกตามผิวหนังภายนอกที่เมื่อแห้งแล้วจะเกิดสะเก็ดแผลสีดำๆ แน่ แต่ให้นึกถึงเวลาที่เราเกิดแผลในปากหรือตามกระพุ้งแก้มดูก็แล้วกัน ซึ่งนี่จะเป็นรอยแผลเล็กๆ ขนาด 5-25 มิลลิเมตรที่เกิดบนผนังของกระเพาะ มักพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง แต่ก่อนมักมีความเชื่อกันว่าแผลในกระเพาะนี้มักเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงระดับความเครียดหรือวิตกกังวลที่มากเกินไป หรือเป็นผลของการกินอาหารเผ็ดจัดๆ แต่ปัจจุบันพบว่าการเกิดแผลในกระเพาะนั้นมีสาเหตุมาจากความไม่สมดุลของกรดในกระเพาะ (ที่ใช้ย่อยอาหาร) กับสารที่ทำหน้าที่ป้องกันเนื้อเยื่อของร่างกายจากกรดเหล่านี้ต่างหาก
แผลในกระเพาะเกิดได้อย่างไร?
ในสถานะสมดุล
ในกระเพาะอาหารของคนเราจะมีการสร้างกรดและเอนไซม์ชนิดหนึ่งเรียกว่า เปปซิน (Pepsin) เพื่อใช้สำหรับย่อยอาหารที่เรากินเข้าไป กรดนี้จะมีฤทธิ์รุนแรงในการกัดกร่อนย่อยสลายอินทรียสารต่างๆ ดังนั้นเพื่อที่จะป้องกันไม่ให้กรดนี้ไปย่อยเนื้อเยื่อของร่างกายเสียเอง ตลอดผนังทางเดินอาหารส่วนบนของร่างกายจึงเคลือบไว้ด้วยเกราะป้องกันที่สร้างจากเมือกและโปรตีน ความสมดุลระหว่างปริมาณของกรดในกระเพาะกับปริมาณของเมือกบุผนังทางเดินอาหารนี้จะช่วยรักษาทางเดินอาหารให้มีสุขภาพที่ดี เมื่อเกิดความไม่สมดุล ก็เป็นที่มาของแผลในกระเพาะอาหาร
หากกรดในกระเพาะอาหารเกิดหลั่งออกมามากเกินไป หรือเมือกที่บุผนังทางเดินอาหารมีปริมาณไม่มากเพียงพอ ก็มีโอกาสที่กรดและเอนไซม์เปปซินจะไปกัดกร่อนทำลายเนื้อเยื่อชั้นในของผนังทางเดินอาหารทำให้เกิดแผลได้ ตำแหน่งที่เกิดแผลมักอยู่ในกระเพาะอาหาร (Gastric Ulcer) หรือแผลที่ลำไส้เล็กส่วนต้น (Duodenal Ulcer)
อะไรทำให้เกิดความไม่สมดุล?
มีหลายปัจจัยที่เป็นเหตุให้เกิดความไม่สมดุลกันระหว่างกรดในกระเพาะอาหารกับเมือกที่บุผนังทางเดินอาหารจนอาจนำมาสู่การเกิดแผลในกระเพาะอาหาร ได้แก่
- การใช้ยาต้านอักเสบ (NSAIDs) ยาแอสไพริน ไอบูโพรเฟน และยารักษาอาการปวดข้อชนิดต่างๆ - การสูบบุหรี่ ซึ่งมีผลไปเพิ่มปริมาณกรดในกระเพาะและยับยั้งการสร้างเมือกบุผนังทางเดินอาหาร - การดื่มเหล้าหรือเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์ กาแฟ (รวมทั้งกาแฟชนิดดีคาเฟอีน (decaffeinated coffee) หรือโคล่า (มีคาเฟอีนผสมเหมือนกัน) อาจทำให้อาการแย่ลง - ปัจจัยทางพันธุกรรม หากใครมีประวัติคนในครอบครัวเคยเป็นแผลในกระเพาะอาหารมาก่อนก็มีแนวโน้มที่จะเป็นได้มากกว่าคนอื่นๆ ติดเชื้อ! อีกสาเหตุของแผลในกระเพาะ
นอกจากความไม่สมดุลในกระเพาะอาหารจะเป็นสาเหตุของการเกิดแผลในกระเพาะอาหารแล้ว การติดเชื้อแบคทีเรีย Helicobacter pylori (H.pylori) ก็เป็นอีกสาเหตุของการเกิดแผลนี้ด้วยเช่นกัน
โดยปกติเชื้อโรคทั่วไปจะไม่สามารถทนภาวะกรดในกระเพาะอาหารได้ แต่ H.pylori เป็นเชื้อแบคทีเรียที่สามารถปรับตัวจนอาศัยในอยู่ภาวะกรดอย่างแรงได้ จึงเจริญเติบโตอยู่ในเยื่อบุกระเพาะอาหาร และเป็นสาเหตุของการอักเสบและแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น และในระยะยาวยังเป็นปัจจัยเสี่ยงประการหนึ่งของมะเร็งในกระเพาะอาหาร
สัญญาณที่บ่งบอกว่าคุณกำลังเป็นแผลในกระเพาะอาหาร คืออาการดังต่อไปนี้
* ปวดแสบปวดร้อนบริเวณลิ้นปี่เวลาท้องว่าง หรือจุก เสียด แน่นท้อง หรือปวดคล้ายกับเวลาหิวข้าว ซึ่งมักเกิดขึ้นหลังจากกินอาหารไปแล้วประมาณ 1-3 ชั่วโมง หรือปวดกลางดึก * เวลาได้กินอาหารมักจะหายปวด หรือไม่ก็อาจจะปวดยิ่งขึ้น * รู้สึกคลื่นไส้ หรืออาเจียน * รู้สึกท้องอืด มีลมในท้อง เหมือนอาหารย่อยได้ไม่ดี * มีอุจจาระเป็นสีคล้ำดำ หรือมีเลือดปน (ในกรณีที่แผลมีเลือดออกร่วมด้วย) * แต่บางกรณีผู้ที่เป็นก็อาจไม่รู้สึกเจ็บปวดหรือมีอาการเลยจนกว่าจะเกิดมีเลือดออก
ในคนที่เกิดอาการดังกล่าวควรไปปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจเช็คในแน่ใจว่าอาการที่เป็นนั้นเกิดจากเป็นแผลในกระเพาะอาหารหรือเกิดจากเหตุอื่น ซึ่งแพทย์อาจสอบถามประวัติหรือทดสอบบางอย่างเพื่อจะได้วินิจฉัยและหาวิธีรักษาที่เหมาะสมได้ถูกกับโรคได้ เช่น ประวัติการสูบบุหรี่ การได้รับยาบางอย่าง โรคอื่นๆ ที่เป็นร่วมด้วย หรือมีคนในครอบครัวเคยเป็นแผลในกระเพาะมาก่อนหรือไม่ ในกรณีที่มีอาการยังไม่มากแพทย์อาจแนะนำวิธีการรักษาเบื้องต้น เช่น การใช้ยาลดกรดในกระเพาะอาหาร หรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอยู่ในชีวิตประจำวัน เพื่อทดลองรักษาเบื้องต้นว่าอาการจะดีขึ้นหรือไม่ก่อนที่จะตรวจในระดับลึกขึ้น
สำหรับคนที่รักษาเบื้องต้นแล้วยังไม่ได้ผล หรือมีอาการเรื้อรังมานานๆ ในบางกรณีแพทย์อาจจำเป็นต้องสั่งตรวจพิเศษเพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุ เช่น
- การตรวจเอกซเรย์โดยให้กลืนแบเรียม เพื่อการระบุตำแหน่งของแผลในกระเพาะอาหาร - การตรวจโดยการส่องกล้อง (Endoscopic Exam) เพื่อดูลักษณะแผลที่อยู่ในกระเพาะอาหาร หรือทำการห้ามเลือด กรณีเลือดออกมากรวมทั้งอาจตัดชิ้นเนื้อเพื่อส่งตรวจ เพื่อดูว่าเป็นมะเร็งหรือไม่ - การตรวจอื่นๆ เช่น ตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อแบคทีเรีย Helicobacter pylori (H.pylori) เมื่อทราบสมุฏฐานของโรคแล้ว แพทย์จะเลือกรักษาด้วยยาที่เหมาะสม ซึ่งยาที่ใช้รักษาแผลในกระเพาะอาหารมีหลายอย่าง บางอย่างเป็นยาที่ช่วยลดปริมาณกรดในกระเพาะ บางอย่างเป็นยาที่ใช้เคลือบผนังกระเพาะอาหารและปรับสภาพกรดให้เป็นกลางมากขึ้น ยาปฏิชีวนะบางอย่างมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย Helicobacter pylori ซึ่งรวมๆ แล้วก็จะช่วยบรรเทาอาการที่เป็นอยู่ให้ดีขึ้นได้
รักษาแผลในกระเพาะอย่างไรให้ได้ผล?
เพื่อป้องกันการเกิดซ้ำของโรคที่เป็นและช่วยทำให้การรักษามีประสิทธิภาพเต็มที่ ล้วนขึ้นอยู่กับคำแนะนำของแพทย์ผู้รักษาและการปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ โดยมีข้อเตือนใจที่ต้องคำนึงถึง ได้แก่
- อาการของโรคแผลในกระเพาะอาหารมักจะหายไปก่อนที่แผลจะหายสนิท ดังนั้นคุณไม่ควรหยุดกินยาก่อนที่แพทย์จะสั่งให้หยุด - แผลในกระเพาะอาหารอาจกลับมาเป็นซ้ำแล้วซ้ำอีกได้บ่อยๆ คุณอาจจำเป็นต้องกินยาอย่างสม่ำเสมอจนกว่าแผลเก่าจะหายสนิทแล้วและป้องกันไม่ให้เกิดแผลใหม่ขึ้นมา - ระหว่างรับการรักษานี้ควรหลีกเลี่ยงการกินยาแก้ปวดในกลุ่มแอสไพริน ไอบูโพรเฟน หรือยาต้านอักเสบอื่นๆ เพราะล้วนมีฤทธิ์ระคายเคืองต่อเยื่อบุกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น ซึ่งจะยิ่งทำให้เป็นแผลมากขึ้น - เมื่อเจ็บป่วยหรือต้องได้รับยาอย่างอื่น ควรแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบด้วยว่ากำลังเป็นโรคแผลในกระเพาะอาหารอยู่ เพื่อจะได้หลีกเลี่ยงตัวยาที่มีผลระคายเคืองกระเพาะ
นอกจากนี้ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่างในชีวิตประจำวัน เช่น
- หยุดสูบบุหรี่ เพราะนอกจากจะทำให้ทางเดินอาหารอยู่ในสภาพไม่สมดุลแล้ว สารในบุหรี่ยังระคายเคืองต่อเยื่อบุกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้นด้วย ซึ่งจะมีผลให้แผลหายช้าลงมาก หรือเกิดภาวะแทรกซ้อนที่แผลนั้นเสียเอง คนที่ยังสูบบุหรี่มักมีแนวโน้มเกิดแผลในกระเพาะซ้ำแล้วซ้ำอีก - กินยาให้ตรงตามแพทย์สั่ง เพื่อรักษาความสมดุลระหว่างกรดและเมือกที่บุผนังทางเดินอาหาร ควรกินยาให้หมดหรือจนกว่าแพทย์จะสั่งให้หยุดแม้จะหายปวดท้องหรือไม่มีอาการปรากฏแล้วก็ตาม - อย่าปล่อยให้ตัวเองเครียด แม้ว่าความเครียดจะไม่ได้มีผลโดยตรงต่อการเกิดแผลในกระเพาะ แต่ก็มักจะมีผลรบกวนการบรรเทาของแผลและมักจะทำให้อาการแย่ลงได้มาก วิธีบรรเทาความเครียดหากเลี่ยงไม่ได้จริงๆ อาจทำได้โดยการหันไปออกกำลังกาย หรือการหยุดพักงานที่ทำอยู่สักพัก และนอนหลับให้เต็มอิ่ม - กินอาหารที่มีคุณค่าต่อร่างกายให้ครบหมู่ สมัยก่อนคนที่เป็นแผลในกระเพาะอาหารมักจะถูกสั่งให้เปลี่ยนมากินอาหารที่มีรสจืดๆ เป็นหลักไว้ก่อน แต่ปัจจุบันมีการพบว่าอาหารส่วนมากแม้แต่อาหารที่มีรสเผ็ดร้อนก็ตาม มีผลน้อยมากต่อการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร แต่อย่างไรก็ตามอาหารบางอย่างก็อาจทำให้คุณรู้สึกแย่ลง ดังนั้นจึงควรเลี่ยงจะดีกว่าไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์ กาแฟ น้ำอัดลม โซดา เป็นต้น
ล้อมกรอบ
ในกรณีที่คุณไม่ได้รักษาตัวอย่างต่อเนื่อง เช่น ไม่กินยาตามที่แพทย์สั่งให้ครบ หรือมีอาการกลับมาเป็นใหม่หรือแย่ยิ่งกว่าเดิม มีภาวะแทรกซ้อน เช่น เลือดออกไม่หยุด แผลทะลุ อาหารผ่านเข้าสู่ลำไส้ไม่ได้จากการอุดตัน หรือเกิดมะเร็งในกระเพาะอาหาร ในที่สุดแล้วอาจถึงขั้นจำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัดก็เป็นได้ ดังนั้นอย่าละเลยถ้ามีอาการรุนแรงเกิดขึ้นให้รีบไปพบแพทย์ทันที เป็นต้นว่า
- มีอาการอาเจียนบ่อยครั้ง หรืออาเจียนเป็นเลือด หรือลิ่มเลือด - อุจจาระเป็นสีคล้ำ ดำ หรือมีเลือดปน - มีอาการอ่อนแรง หรือเวียนศีรษะโดยไม่รู้สาเหตุ (เป็นสัญญาณของการเสียเลือดอย่างช้าๆ ต่อเนื่อง) - ปวดท้องมากอย่างฉับพลัน - น้ำหนักลดอย่างต่อเนื่อง - ยังคงรู้สึกปวดต่อเนื่องแม้จะกินยารักษาแล้วก็ตาม - รู้สึกอิ่มตื้อหลังจากกินอาหารไปได้เพียงไม่กี่คำ
ข้อมูล //www.healthtoday.net
Create Date : 10 พฤศจิกายน 2554 |
|
6 comments |
Last Update : 10 พฤศจิกายน 2554 9:18:20 น. |
Counter : 752 Pageviews. |
|
|
|
กำหนดประโยชน์ที่หมายของตนให้แน่ชัด
แล้วพึงขวนขวายแน่วแน่ในจุดหมายของตน
มีความสุขกับความเพียรชอบของตน ตลอดไป...นะคะ
คนเป็นแผลในกระเพาะอาหารนี่
คงทรมานมากเลย...นะคะ
ไม่ป่วย...ดีที่สุด...นิ