หนังเกย์เกาหลี No Regret ใช้เวลาดูหลายวันมาก แต่ก็ชอบนะ
กว่าจะดูเรื่องนี้จนจบ ดูไปหลายวันมาก แบบไม่ต่อเนื่องด้วย เพราะมันมีฉากอย่างนั้นหลายตอน แล้วเครื่องเล่น DVD อิชั้นอยู่ห้องนั่งเล่นหน้าบ้านนะค้า คนในครอบครัวเดินไปมาเป็นระยะ แถมฉากพวกนี้มาทั้งภาพ ทั้งเสียง แต่ป๊ากับม้าจะแตกตื่นว่าเดี๋ยวนี้ริอาจดูหนังเกย์แล้วเร๊อะ
แต่จริง ๆ ประสบการณ์การดูหนังเกย์เรายังน้อยนิด อย่าง A Frozen Flower ก็ไม่เรียกว่าหนังเกย์ซะทีเดียวนะ แต่เรื่องนี้นี่เต็ม ๆ ตาเลย ดูไป แอบปิดปากไป 555
พล็อตหนังก็ไม่มีอะไรมากนะ คนนึงจน คนนึงรวยแล้วมาตกหลุมรักกัน โดยมีอุปสรรคจากสังคม และความแตกต่างกันมากมายทั้งฐานะ การศึกษา พื้นฐานครอบครัว แต่จริง ๆ พี่'ปราย พันแสง นักเขียนคนโปรดของเราเคยบอกไว้ว่า อุปสรรคของความรักในโลกนี้มีอยู่อย่างเดียวเท่านั้น คือคนที่เรารัก...ไม่รักเรา
จริง ๆ ไม่ค่อยอยากบรรยายมาก เพราะไปอ่านบล็อคคุณ shinsaibashiที่พูดถึงหนังเรื่องนี้แล้วมันดีมากจนเราไม่อยากจะบรรยายเลย เพราะเค้าบรรยายได้ตรงใจเราเกือบทุกอย่าง ไอ้ที่ไม่ชอบ 20 นาทีหลังของหนังที่ทำให้เรื่องมันโดด ๆ เราก็ไม่ชอบเหมือนกัน มันทำให้เห็นอีกมุมของตัวเอกที่เราเชื่อมาตั้งแต่ต้นเรื่องว่าเป็นคนรักดี รักศักดิ์ศรี สุขุม รู้จักยับยั้งชั่งใจ แต่ความที่รักมาก ก็คงแค้นมาก เวลามีใครมาจุดอะไรขึ้นก็พร้อมจะระเบิดไปตามเค้า
เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อ "ซูมิน" เด็กกำพร้าจากสถานรับเลี้ยงเด็กออกจากสถานรับเลี้ยงเพื่อมาหางานทำที่กรุงโซลเมืองหลวงของเกาหลี เมืองที่ไม่เคยหลับใหล เมืองที่ใฝ่ฝันของใครหลายต่อหลายคนที่จะแสวงหาความก้าวหน้า โดยซูมินได้ทำงานหลายอย่างตั้งแต่เป็นเด็กในโรงงาน ขับรถแทกซี่ พร้อมทั้งเรียนหนังสือไปด้วยในยามค่ำคืนเพื่อให้ตนบรรลุในสิ่งที่ตนปรารถนา แต่แล้วโชคชะตากลับเล่นตลกกับเขาเมื่อซูมินไ้ด้พบกับ "ซงแจมิน" ชายผู้ที่ตกหลุมรักแรกพบซูมินในค่ำคืนหนึ่งขณะที่เขากำลังขับรถแท็กซี่นั่น เอง ต่อมาเมื่อซูมินได้รู้ว่าซงแจมินเป็นหัวหน้าที่อยู่ในโรงงานที่ตัวเองทำ งานอยู่และได้ช่วยเขาให้รอดพ้นจากการไล่ออกจากงาน ซูมินตัดสินใจออกจากงานและหางานใหม่ท่ามกลางความสับสนในจิตใจจนได้มาทำงาน เป็นเด็กขายบริการอยู่้ในบาร์แห่งหนึ่ง ส่วนตัวของซงแจมินเองนั้นเมื่อรู้ว่าซูมินออกจากงานก็ได้เที่ยวตามหาเพื่อ ต้องการบอกความในใจของตัวเองให้ซูมินได้รับทราบและขอทำตามความต้องการของตัว เองในขณะที่แม่ของซงแจมินเองก็รู้ว่าลูกชายของตัวเองนั้นเป็นเกย์และต้องการ ที่จะปิดบังความเป็นเกย์ของลูกชายเพื่อหน้าตาของตระกูลและเพื่อหน้าที่การ งานโดยจับให้ลูกชายได้แต่งงานกับสาวสวยนางหนึ่ง ซึ่งในที่สุดแล้วทั้งสองก็ได้ผ่านอุปสรรคต่างๆ นาๆ จนกระทั่งได้สมหวังกันในที่สุด
นักแสดงตัวหลักที่เล่นเป็นซูมิน (คนจน) แสดงได้ดีมาก
แสดงออกความเจ็บปวด ความทุกข์ที่ตัวเองแบกรับได้ทางสายตาโดยที่คนดูอย่างเรารับรู้ได้เป็นอย่างดีโดยไม่ต้องพูดเลย
ส่วนคนที่แสดงเป็นแจมิน อุ๊ย Kim Nam Gil
คนที่แสดงเรื่อง Portrait Of A Beauty 미인도 (2008) นี่หว่า
เรื่องนั้นเราก็ชอบมากเหมือนกัน แสงก็สวย
ฉากวาดรูปบนแผ่นหลังยังติดตาจนถึงทุกวันนี้เวลานึกถึงหนังเรื่องนี้ อาร์ทมาก ชอบ
แต่เรื่อง No Regret เนี่ยเรายังชอบไม่สุดนะ งง ๆ กับการงอนกันไป งอนกันมา แล้วตามง้อกันไปง้อกันมาอย่างไม่ค่อยมีเหตุผลเท่าไหร่ เหมือนแรก ๆ ซูมินจะรักในศักดิ์ศรีมาก ๆ รักแจมินแต่ไม่ยอมแสดงออก กลับผลักไส พูดจาไม่ดี และพยายามหนีจากแจมินไป แต่ไป ๆ มา ๆ กลับกลายเป็นมาตามง้อ ตามตื้อเมื่อตอนที่รู้ว่าแจมินจะแต่งงาน
แต่โดยรวมก็ชอบนะ ถ้าตัดประเด็นที่ไม่ค่อยเข้าใจกับ 20 นาทีหลังออกไป เราชอบแสงในหนังเรื่องนี้นะ เค้าจะถ่ายในเวลากลางคืนเกือบทั้งเรื่อง แสงสวยดีทั้งเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นฉากโรงแรม ฉากไฟจากถนน ฉากสนาม ทางเดิน หรือดาดฟ้า แสงสวยทุกที่เลย ยกเว้นไอ้โลเกชั่นในสถานบริการที่ทำงานของซูมิน เหอะ ๆ
ที่เค้าใช้ฉากกลางคืนเกือบทั้งเรื่องเพราะจะสะท้อนชีวิตที่มืด ๆ และโชคชะตาที่ไม่ค่อยจะสว่างของซูมิน รวมถึงความทุกข์ของซูมินที่เจอมาตลอดชีวิตของเค้า เพลงประกอบก็เพราะนะ เข้ากับบรรยากาศของหนังทุกเพลงเลย
ฉากที่ 2 คนเดินคุยกันตรงทางเดินกลาง ๆ เรื่อง ทำให้เรานึกว่าฉากในหนังเรื่อง Before Sunrise ที่เราชอบเลย แสงก็สวยด้วย
ทุกคนคงชอบบทพูดคุยอันเดียวกัน จากที่อ่านบล็อคชาวบ้านหลายบล็อคก็ชอบเหมือนกัน คือตอนที่ซูมินรู้ว่าแจมินกำลังจะแต่งงาน ต่างคนต่างเจ็บปวดทั้งกันทั้งคู่ แล้วซูมินที่ระหว่างทำแผลที่มือให้แจมินก็พูดว่า
"เราเป็นอะไรกัน สำหรับคุณผมเป็นอะไร"
"เพราะผมไม่มีการศึกษาอย่างนั้นหรือ? ถ้าอย่างนั้นผมจะตั้งใจเรียน"
"หรือเพราะผมมันโสกโครก...ถ้าอย่างนั้นผมจะซื่อสัตย์ต่อคุณ"
"หรือเพราะว่าผมมันจน ถ้าอย่างนั้นผมจะทำงานให้หนักขึ้น"
"เราเป็นอะไรกันนี่....สำหรับคุณแล้วผมเป็นอะไร......."
ฉากนี้ทำเอาหลายคนร้องไห้ได้เหมือนกันนะ แต่เราไม่ร้อง คงเป็นเพราะไม่ได้ดูหนังรวดเดียวจบ ทำให้อารมณ์มันไม่ต่อเนื่องด้วย แต่ก็แอบเศร้าเหมือนกัน
แต่ประโยคที่เราชอบมากกว่า แต่ไม่มีใครที่เขียนเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้พูดถึงก็คือ ฉากแรก ๆ ที่แจมิน พูดตรงทางเดินที่ซูมินบอกลาและผลักไสแจมินไป พอซูมินเดินหันหลังจากไป แจมินก็พูดว่า "ยินดีที่ได้รู้จัก ซูมินชี่"
แล้วพอฉากท้าย ๆ ที่ซูมินพยายามฆ่าแจมินแต่เกิดเปลี่ยนใจแล้วทั้งคู่ก็อยู่บนรถกลับโซล ซูมินขอโทษแจมิน ความเงียบเข้ามา แล้วซูมินก็พูดกลับไปว่า "ยินดีที่ได้รู้จัก แจมินชี่"
มันเป็นประโยคธรรมดานะ แต่ติดใจเรามากเลย มันเหมือนเป็นคำที่ขอให้อีกฝ่ายให้อภัยและทำให้สถานการณ์มันดีขึ้น เหมือนได้ปลดปล่อยความรู้สึกให้อีกฝ่ายรับรู้ แต่รู้สึกว่าคำนี้เป็นคำที่ซูมินบอกรักแจมินเลยด้วยซ้ำ
ไม่รู้เราเป็นอะไรมากกับคำนี้รึเปล่าก็ไม่รู้ ซึ่งเราก็รู้สึกว่าคำนี้ในหนังญี่ปุ่น ที่นางเอกบอกกับพระเอกในหนังเรื่อง About Love ว่า "ฮาจิเมะ มาชิเตะ" ก็เหมือนเป็นคำบอกรักพระเอกที่เราพูดไปแล้วบล็อคก่อนหน้านี้
ถือว่าเป็นหนังที่ดูแล้วอินอีกเรื่องนึง รู้สึกว่าเราจะอินกับคำนี้ในทุกภาษาเลยนะเนี่ย ห้ามมาพูดยินดีที่ได้รู้จักกับเรานะ ไม่งั้นเราจะคิดว่ากำลังบอกรักเราด้วย แต่สมัยนี้ คำว่า "ยินดีที่ได้รู้จัก" ก็ไม่ค่อยได้ยินคนพูดอยู่แล้วนะ อิอิ
Create Date : 29 สิงหาคม 2553 |
|
3 comments |
Last Update : 24 มิถุนายน 2555 14:24:42 น. |
Counter : 6615 Pageviews. |
|
|
|