ธันวาคม 2553

 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
10
11
12
13
15
16
17
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
All Blog
อนาคตศาสตร์ทำนายประเทศไทยจากกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน
ดร.ขัตติยา รัตนดิรก ได้ประมวลข้อมูลและประสบการณ์ เสนอข้อมูลที่สำคัญต่อผมเพื่อเสนอให้กรมสุขภาพจิตในเรื่อง "อนาคตศาสตร์จากกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน" ดังนี้
1.การเปลี่ยนแปลงด้านต่าง ๆ ที่มีผลต่อสังคม ครอบครัว และบุคคล เทคโนโลยี สถานการณ์ที่เกิดขึ้น คือ
1) มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสูง แต่ความสามารถในการเข้าถึงเทคโนโลยีของคนในสังคมมีไม่เท่าเทียมกัน
2) รัฐบาลให้การลงทุนในส่วนที่ไม่พัฒนาคน เน้นแต่พัฒนาเทคโนโลยี
3) ระบบการศึกษาของไทยขาดคุณภาพ เนื่องจาก รัฐไม่ส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาและการพัฒนาความรู้ความสามารถของครู
2. เศรษฐกิจ สถานการณ์ที่เกิดขึ้น คือ
1) มีการพัฒนาเศรษฐกิจเพิ่มสูงขึ้น แต่ไม่ได้ส่งถึงประชาชนส่วนใหญ่
2) มีความแตกต่างระหว่างคนจนกับคนรวยมาก
3) การจ้างงานที่ไม่มั่นคงต้องเปลี่ยนงานบ่อย รายได้ไม่แน่นอน โดยเฉพาะแรงงานที่ไม่มีทักษะ หรือความรู้ความสามารถ
3. ด้านการเกษตร
1) เกิดการล่มสลายของสังคมเกษตรกรรม เนื่องจากทำการเกษตรไม่สามารถพึ่งพาตัวเองได้
2) วัตถุนิยมส่งผลให้มีความต้องการบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็น
3) รัฐไม่ดูแลเกษตรกรปล่อยให้เผชิญกับความยากจน และเป็นหนี้ทำเกษตรกรเลิกอาชีพเกษตรกรมาทำงานในเมืองทิ้งครอบครัวลูกหลานไว้ให้คนแก่ดูแล
ปัญหาหลัก 3 ประการนี้ ส่งผลให้หน่วยย่อยที่สุดของสังคม คือ ครอบครัว ล้มเหลว จากการที่พ่อแม่ต้องย้ายถิ่น ครอบครัวแตกแยก เกิดเป็นพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว รายได้ไม่พอรายจ่าย เครียด หันเข้าหาการเสพติดมึนเมา ใช้ความรุนแรงในครอบครัว กลายเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีแก่ลูก และเกิดวัฏจักรของการใช้ความรุนแรง ปล่อยให้การเลี้ยงดูบุตรหลานเป็นหน้าที่ของผู้สูงอายุที่สุขภาพไม่ดี ขาดความสามารถในการอบรมเลี้ยงดูเด็กให้เหมาะสมตามวัย พ่อแม่แยกทาง อย่าร้าง ส่งผลกระทบทางจิตใจต่อเด็ก
ปัญหาการขาดความสามารถในการเรียน เช่น มีปัญหาสมาธิสั้น (ADD, หรือ ADHD) ปัญหาความบกพร่องทางการเรียน (Learning Disorders) และปัญหาทางสุขภาพจิต
อื่น ๆ เช่น ซึมเศร้า วิตกกังวล ขาดความมั่นใจในตนเอง
เมื่อเข้าสู่ระบบโรงเรียน ก็ไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสม เนื่องจากครูในโรงเรียนขาดทักษะ ขาดแรงจูงใจ ไม่รักในวิชาชีพ ไม่มีจิตวิญญาณของความเป็นครู เด็กที่เดิมมีปัญหาอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นปัญหาจากทางครอบครัวที่ขาดความรักความเข้าใจ เมื่ออยู่ในระบบโรงเรียนที่คัดเอาเฉพาะเด็กเก่ง และครูขาดความรู้ความเข้าใจ ความใส่ใจกลุ่มเด็กที่มีปัญหาการเรียน ส่งผลให้สถาบันการศึกษา และเด็กที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงออกจากระบบ
ในขณะที่การพัฒนาของประเทศเน้น เทคโนโลยี และเศรษฐกิจในลักษณะทุนนิยม กฏระเบียบในชุมชน และสังคมหย่อนยาน ส่งผลให้มีการค้ายาเสพติด มีแหล่งมั่วสุมต่าง ๆ ทั้งร้านวีด๊โอเกมส์ สื่อลามกต่าง ๆ ที่มุ่งแต่ทำกำไรไม่คำนึงถึงผลเสียที่เกิดกับเด็ก
เมื่อเด็กหันไปกระทำผิดด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์เพราะขาดความรู้และความนึกคิดหลงผิดตามเพื่อน เพราะเป็นเด็กที่มีภูมิต้านทานทางสังคมต่ำ สังคมก็มองแต่พฤติกรรมที่เด็กทำ
ประกอบกับสื่อหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ วิทยุ ก็มุ่งเน้นขายข่าวทำให้ขาดความใส่ใจในการหาสาเหตุที่แท้จริงของการกระทำความผิด ตีตราว่าเด็กที่กระทำขจผิดเป็นเด็กเลวร้าย ไม่มีแนวคิดในการป้องกัน แก้ไขที่เหมาะสม และไม่สนใจในการให้โอกาสเด็กในการกลับตนเป็นคนดี ส่งผลให้มีเด็กจำนวนมากกระทำความผิด และเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ซึ่งเปรียบเสมือนปลายน้ำ
อีกทั้งหน่วยงานที่ทำหน้าที่ในการบำบัด แก้ไข ฟื้นฟูเด็กและเยาวชนเอง ก็ถูกนับเป็นหน่วยงานที่มีความสำคัญอันดับท้ายในการที่รัฐจะให้งบประมาณสนับสนุน ส่งผลให้ขาดแคลนบุคลากร และสถานที่ ที่เหมาะสม กับการบำบัด แก้ไข ที่เหมาะสม
การช่วยเหลือเด็กและเยาวชนที่กระทำความผิด เป็นความสำคัญรองลงมาจากเด็กเยาวชนที่ไม่ใช่เด็กกลุ่มเสี่ยง ทั้ง ๆ ที่เด็กกลุ่มนี้จำเป็นที่รัฐจะต้องให้การดูแล และระดมกำลังในการ บำบัด แก้ไข ฟื้นฟู เพราะเด็กและเยาวชนกลุ่มนี้ เป็นผลผลิตของความล้มเหลวของการบริหารงานของรัฐ ที่ส่งผลกระทบถึงสถาบันทางสังคม และครอบครัว และการศึกษา
เด็กและเยาวชนกลุ่มนี้เป็นผู้เสียหายจากการกระทำของรัฐ และจำเป็นต้องได้รับการชดเชย ไม่ใช่การลงโทษซ้ำ ๆ ซึ่งหากเด็กกลุ่มนี้ไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสม เขาก็จะกลายเป็นผู้ใหญ่ที่มีปัญหา ก่อความเสียหายให้กับครอบครัวของตนเอง ของครอบครัว และสังคมโดยรวมอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
จากการดำเนินงานการบำบัด แก้ไขเด็กและเยาวชน พบว่าเด็กและเยาวชนส่วนใหญ่มีปัญหาพฤติกรรม และปัญหาสุขภาพจิต รวมทั้งปัญหาการเรียนมาตั้งแต่เด็ก ยังอายุไม่ถึงเกณฑ์การรับโทษทางอาญา ตามกฏหมาย คือ อายุ 10 ปี แต่เมื่อเด็กมีปัญหาแล้วไม่มีหน่วยงานในสังคมชุมชนใดที่จะเข้ามาดูแลเด็กอย่างแท้จริง จนเมื่อเด็กเข้าสู่วัยรุ่นตอนต้นจึงกระทำความผิดและมาดำเนินคดี แท้จริงแล้วกระบวนการทางอาญาควรให้เน้นทางเลือกสุดท้าย กระบวนการดูแลโดยชุมชนโดยสังคม ที่เด็กอยู่ควรเป็นทางเลือกอันดับแรกเมื่อเด็กหลงผิด ก้าวพลาด เว้นแต่กรณีที่มีปัญหาพฤติกรรม การกระทำผิดที่ร้ายแรงจริง ๆ จึงค่อยนำมาสู่กระบวนการยุติธรรม
ปัญหาที่พบในปัจจุบัน คือ การขาดความรู้ความเข้าใจ และการขาดหน่วยงานชุมชนที่จะเข้ามารองรับดูแลเด็กกลุ่มนี้ให้สามารถใช้ชีวิตอยู่ในชุมชนได้ โดยมีผู้ดูแลไกล้ชิดเพื่อเพิ่มโอกาสให้กลับตนเป็นคนดี และเป็นประชากรที่มีคุณภาพในสังคมต่อไป
ข้อเสนอแนะ : แผนยุทธศาสตร์สุขภาพจิต ระดับชาติ และการดำเนินงานของกรมสุขภาพจิต
ระดับชาติ/กรม มุ่งส่งเสริมพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในสังคมไทยด้วยการจัดรณรงค์ส่งเสริมการพัฒนาสุขภาพจิตในครอบครัว ชุมชน และสังคม ทำได้โดย
1. ตั้งศูนย์บริการสุขภาพจิตชุมชน (Community Mental Health Clinic) ให้มีอยู่ครบทุกอำเภอ รองรับดูแลทางด้านสุขภาพจิตเด็กและครอบครัวเป็นหลักเพื่อให้การรักษากลุ่มเสี่ยงตั้งแต่แรกเริ่ม และลดโอกาสการเกิดปัญหาที่ร้ายแรงในภายหลัง
2) ทำการสำรวจ สภาพปัญหา สุขภาพจิตในสังคมไทยเหมือนจัดทำสำมโนประชากร เพื่อให้ได้ข้อมูลพื้นฐานความต้องการของประชาชนคนทุกระดับและช่วงวัยของประชาชนได้อย่างแท้จริง เพื่อนำไปสู่การจัดสรรค์ทรัพยากรให้ตรงตามสภาพปัญหาในแต่ละพื้นที่
3) ช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการได้ง่ายขึ้นด้วยการเพิ่มช่องทางการบริการต่าง ๆ ให้มากขึ้น สะดวกยิ่งขึ้น และการสร้างทัศนคติในทางบวกต่อการดูแลสุขภาพจิตใจของตนเองเพื่อช่วยให้คนในสังคมได้มีที่พักพิงอยู่ในชุมชนของตนเอง ลดการใช้การแก้ปัญหาในทางที่ไม่เหมาะสม
4) จัดบริการสถานรับดูแล และแก้ไขสภาพปัญหาเฉพาะด้านกับเด็กเยาวชนและครอบครัว โดยเฉพาะกับเด็กและเยาวชนกลุ่มเสี่ยง โดยทำได้ทั้งร่วมมือกับหน่วยงานที่ทำอยู่แล้วเช่น กรมพินิจฯ และพัฒนางานการแก้ไขสภาพปัญหาให้เกิดขึ้นในชุมชน เพื่อลดกลุ่มเสี่ยงลง
5) ทำงานร่วมกับ ชุมชนและองค์กรที่ทำหน้าที่ดูแลเด็กและเยาวชนและครอบครัว เช่น พม. ศธ. เป็นต้น ให้สามารถพัฒนาวิธีการดูแลตนเอง เพื่อกรองปัญหาที่สามารถดูแลกันเองได้และพัฒนาวิธีการส่งต่อ (เฉพาะปัญหาที่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขจากบุคลากรของหน่วยงานของกรมสุขภาพจิต)
6) พัฒนาบุคลากรของหน่วยงานให้มีความรู้ความสามารถ และมีจิตสำนึกในการให้บริการต่อประชาชน และสามารถพัฒนาแนวนโยบายเพื่อแก้ปัญหาของสังคมได้อย่างทันท่วงที



Create Date : 18 ธันวาคม 2553
Last Update : 18 ธันวาคม 2553 5:07:30 น.
Counter : 782 Pageviews.

4 comments
  
เป็นบทความที่มีประโยชน์มากค่ะ ถ้าเป็นไปได้หากรัฐบาลได้ดำเนินการตามที่ท่านเสนอให้กรมสุขภาพจิตในเรื่อง "อนาคตศาสตร์จากกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน" เชื่อว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นกับเด็กและเยาวชน ตลอดจนครอบครัวในสังคมไทยเป็นอย่างมาก สิ่งหนึ่งที่ประเทศไทยกำลังขาดแคลนคือบุคลากรด้านจิตวิทยา ไม่ว่าจะเป็นจิตแพทย์ หรือนักจิตวิทยาเองก็ตาม จะแก้ไขการขาดแคลนด้านนี้ด้วยการเพิ่มจำนวนจากวิชาชีพโดยตรงคงไม่ได้ แต่สามารถเพิ่มเติมจากบุคลากรในชุมชนหากคิดจะตั้งศูนย์บริการสุขภาพจิตชุมชน (Community Mental Health Clinic) ให้มีอยู่ครบทุกอำเภอ โดยอาจเพิ่มการอบรมด้านจิตวิทยาแก่ อสม. อบต. กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ครู ฯลฯ อย่างไรก็ตามยังมีปัญหาอีกหลายเรื่องในประเทศนี้ที่ยังต้องแก้ไขอีกมากนัก
โดย: Singorina Farida IP: 118.173.190.114 วันที่: 18 ธันวาคม 2553 เวลา:6:31:49 น.
  
สวัสดีตอนเช้าๆ กรุงเทพเริ่มหนาวแล้วนะครับ แต่จะหนาวได้กี่วัน
โดย: MaFiaVza วันที่: 18 ธันวาคม 2553 เวลา:7:22:05 น.
  
ขอบคุณค่ะ

Photobucket

ไว้แก้ง่วงจ้าาา บ่ายๆแบบนี้ง่วงนอน
โดย: Junenaka1 วันที่: 18 ธันวาคม 2553 เวลา:13:57:59 น.
  


ในวารดิถีขึ้นปีใหม่ พระพุทธศักราช ๒๕๕๔
ขออาราธนาคุณพระรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย
ได้โปรดบันดาลประทานพร
ให้คุณกุ๊กไก่และครอบครัว จงประสบแต่ความสุข สดชื่น
เกษมสำราญ มีพลานามัยแข็งแรงสมบูรณ์
สมปรารถนาตลอดปีใหม่ และตลอดไป
โดย: Dingtech วันที่: 30 ธันวาคม 2553 เวลา:17:05:23 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

คนทำงานด้านเด็ก
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]



รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
เกิด 17 ก.พ.2502 จังหวัดชัยนาท เป็นบุตร นายสุเทพ-นางชิ้น ไทยเขียว
จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 7 โรเรียนวัดโพธิ์ทอง ต.บางขุด อ.สรรคบุรี แล้วมาเรียนมัธยมที่โรงเรียนคุรุประชาสรรค์ อ.สรรคบุรี จนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
"ตอนเรียนมัธยม เป็นช่วงปี 2515-2517 ผมต้องขี่จักรยานไปกลับวันละ 18 ก.ม. ลำบากมากโดยเฉพาะในหน้าฝน ผมเป็นคนที่ไม่ตั้งใจเรียน แต่ไม่เกเร พอผมเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 อยากทำนาเหมือนคุณพ่อคุณแม่ แต่ธรรมชาติช่วย จังหวะที่ผมเรียนจบ เกิดน้ำท่วมใหญ่ รวมถึงที่นา ผมต้องลงไปช่วยคุณพ่อ คุณแม่ยกฟ้อนข้าวขึ้นที่สูง เหนื่อยมาก รู้สึกลำบาก ไม่อยากทำนาอีกแล้ว เริ่มอยากเรียนหนังสือต่อ"
ผมจึงตัดสินใจเดินทางเข้ากรุงเทพฯ พักอยู่กับญาติที่กองรักษาการณ์ทำเนียบรัฐบาล ตัวเลือดตามล่องกระดานกัดติดหลังเป็นแถวเลยอยู่ไม่ได้ น้าชายไปฝากอยู่กับแฟนของเพื่อนตำรวจเป็นหมอนวดแถวถนนเพชรบุรีอยู่อีก 1 สัปดาห์ ต่อมาจึงได้หาที่พักถาวรได้ที่วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ขณะนั้นมีน้าชายชื่อ นายวิชิต เรียนทัพ อดีตนายก อบต.บางขุด พักอาศัยอยู่ก่อน
"ผมสอบเข้าศึกษาต่ออะไรก็ไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นจ่าอากาศ ช่างฝีมือทหาร เตรียมทหาร หรือแม้แต่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ภาคค่ำ ซึ่งเป็นผลมาจากการไม่ตั้งใจเรียน มาเรียนต่อได้เพราะวิทยาลัยครูเพชรบุรีวิทยาลงกรณ์ กิ่งเพชร ราชเทวี เปิดรับนักศึกษาภาคค่ำ ในขณะที่สถาบันการศึกษาอื่นๆ ได้เปิดเรียนไปแล้วเกือบหนึ่งเทอมแล้ว จึงมีที่เรียน"
"ช่วงที่อยู่วัดเห็นพระเณรนั่งดูหนังสือ ไม่นอน ผมจึงไม่นอน ผลการเรียนจึงเริ่มดีขึ้น โดยกลางวันทำงาน กลางคืนเรียน ไม่อยากใช้เงินคุณพ่อคุณแม่ เพราะรู้ว่าท่านลำบาก กระทั่งเรียนจบอนุปริญญา หรือปกศ.สูง เอกสังคมศึกษา ในระดับปริญญาไม่มีที่เรียนกลางคืน ต้องเรียนกลางวัน จึงไม่ได้ทำงานจนจบการศึกษาบัณฑิตหรือ กศ.บ. เอกสังคมศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาเขตพลศึกษา"
"ช่วงนั้น ผมขอหลวงพ่อคุมศาลาเผาศพ และรับอาราธนาศีล บริการน้ำ-อาหาร รับจ้างจุดธูปเพื่อหาเงินเรียนจนจบปริญญาตรี สอบเข้าศึกษาต่อปริญญาโทได้ขณะที่เรียนเทอมสุดท้ายของปริญญาตรี จบปริญญาโท สังคมศาสตรมหาบัณฑิต (สค.ม.) อาชญาวิทยาและกระบวนการยุติธรรม มหาวิทยาลัยมหิดล รุ่นที่ 4 ทำงานภาคเอกชนอยู่ 4 ปี จึงเข้ารับราชการเมื่อวันที่ 1 ก.ค.2529 โดยเป็นพนักงานคุมประพฤติ 3 จังหวัดชลบุรี"
ต.ค. 2541 เติบโตมาเป็นเจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไป 7 จ่าศาลจังหวัดปากพนัง รักษาการผู้อำนวยการสำนักงานโครงการพัฒนาระบบงานศาล, 16 ก.พ. 2542 เป็นจ่าศาลจังหวัดอำนาจเจริญ, 18 มี.ค. 2542 ผู้อำนวยการกองนโยบายและแผน กระทรวงยุติธรรม คณะกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการพิจารณาจัดระเบียบกระทรวงยุติธรรม, 4 มิย. 2544 ได้รับเลือกตั้งเป็น อกพ. สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม, 8 มิย.2544 รักษาราชการแทน ผู้อำนวยการศูนย์บริการข้อมูลตุลาการ สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม, 15 ต.ค. 2544 ช่วยทำงานในตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงาน โครงการส่งเสริมประสิทธิภาพสถานพินิจ สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม, 7 พ.ย. 2544 คณะกรรมการบริหารแผนพัฒนาสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ 9 พ.ศ.2545-2549, 12 มีค.2545 กรรมการและเลขานุการการเตรียมความพร้อมในการจัดทำโครงสร้างกระทรวงยุติธรรมตามมติคณะรัฐมนตรี, 3 ต.ค.2545 รักษาราชการแทนรองอธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน
ขึ้นเป็นผู้บริหารระดับ 9 ในตำแหน่ง รองอธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน เมื่อ 25 เมย.2546
ย้ายไปเป็นรองอธิบดีกรมคุมประพฤติ 1 ปี 8 เดือน ก่อนจะได้รับคำสั่งให้กลับมาทำงานในตำแหน่งรองอธิบดีพินิจและคุ้ม ครองเด็กและเยาวชนอีกครั้งและได้ขึ้นเป็นอธิบดีในที่สุด
ผลงานดีเด่นที่เป็นที่ยอมรับ คือ จัดทำมาตรฐานกลางการปฏิบัติงานธุรการศาล และนำวิธีการบริหารงานคุณภาพทั่วทั้งองค์กร (Total Quality Management/ TQM) จนศาลจังหวัดนครราชสีมาได้รับ การประกาศรับรองด้านบริการ ISO 9000
การปฏิรูปกระทรวงยุติธรรม ในฐานะเป็นคณะกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการพิจารณาจัดระเบียบกระทรวงยุติธรรม ตามมติคณะรัฐมนตรี จนสามารถรวบรวมหน่วยงานต่างๆ ในกระบวนการยุติธรรมเข้ามาอยู่ร่วมกันในปัจจุบัน
ได้รับโล่ประกาศเกียรติคุณด้านการบำบัด ฟื้นฟู และพัฒนาผู้ติดยาเสพติด พ.ศ.2550 และได้รับเลือกเป็นข้าราชการพลเรือนดีเด่น พ.ศ.2544 เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของสภาลูกเสือแห่งชาติ ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 9 สค.2550
"ทุกอย่างที่ทําให้เรามาถึงวันนี้ ได้กรรมเป็นตัวกํากับทั้งหมด และอะไรที่เราเคยเสีย ใจแบบสุดๆ หรือว่าเศร้าใจอย่างสุดๆ ความรู้สึกนั้นมันไม่เคยเสถียรเลย มันลดลงมาหมด
วันนี้ดีใจที่ได้เป็นอธิบดี อาจจะดีใจจน ตัวลอย แต่ว่าไม่เท่าไหร่ก็ลดลง เพราะฉะนั้นถ้าเราเข้าใจเท่าทันโลก เข้าใจเรื่องกฎของไตรลักษณ์ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป มียศเสื่อมยศ มีลาภเสื่อมลาภ เพราะฉะนั้นอย่าไปยึดติด ที่สําคัญที่สุด คือเรามีหน้าที่ หน้าที่นั้นต้องทําให้ดีที่สุดในการที่จะมองไปที่ประชาชนและเด็กๆ
ผมเชื่อว่าผมอาจจะมีกรรมดีที่ได้มีหน้าที่การงานที่ดี แต่ส่วนหนึ่งผมว่า ผมก็อาจจะเคยทํากรรมอะไรไว้บางอย่างกับเด็กๆ ผมถึงต้องชดใช้อะไรมากมายถึงขนาดนี้ รู้สึกว่าต้องเป็นทุกข์เป็นร้อน เห็นอะไรไม่สบายใจต้องเข้าไปจัดการ ฉะนั้นเมื่อเป็นอย่างนี้ เราก็อยากเห็นสังคมมีคุณธรรม มีจริยธรรม เพราะทุกวันนี้เรื่องเหล่านี้มันตกต่ำไปมาก"
สมรสกับเบญจพร ไทยเขียว ซึ่งรับราชการครู มีบุตรชาย 2 คน นายชัชชล ไทยเขียว อายุ 25 ปี จบศึกษาด้านภาษาและวัฒนธรรม และศึกษาดนตรีและทำเครื่องดนิตรีกู่ฉินไปด้วยที่ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ประกอบอาชีพส่วนตัวสอนคนตรีกู่ฉิน และจำหน่ายเครื่องคนตรีจีนคุณภาพจากประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน อาจารย์พิเศษ
และนายยิ่งคุณ ไทยเขียว อายุ 23 ปี จบศึกษาคณะวิศวศาสตร์คอมพิวเตอร์ สถาบันเทคโนโลยีไทยญี่ปุ่น ปัจจุบันกำลังศึกษา MBA มหาวิทยาลัยหอการค้า