ตุลาคม 2553

 
 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
All Blog
การแสดงความรักที่ผิดพลาด
บิดามารดาหรือผู้ปกครองเด็กจำนวนมากเวลาแสดงออกถึงความรักและความห่วงใยบุตรหลานของตนเองออกมาในลักษณะที่ผิดพลาด...ดังนั้นแทนที่จะได้ความรักกลับมาจากบุตรหลานกลายเป็นแรงส่งให้บุตรหลานออกจากอกเร็วขึ้น
ตัวอย่าง::เวลาเด็กก้าวพลาดหรือมีพฤติกรรมเบี่ยงเบนไม่เป็นตามความพึงประสงค์ คำแรกที่บิดามารดาหรือผู้ปกครองกล่าวคือ "ทำไมชอบมีนิสัยแบบนี้ สอนไม่รู้จักจำ" หรือไม่ก็ใช้ความรุนแรงกับเด็กไปเลย
หรือบางครั้งเด็กก้าวพลาดก้าวผิดจังหวะกระทำผิดหรือหนีออกจากบ้าน แต่เมื่อเขาอยากกลับบ้านจะด้วยสำนึกได้หรืออะไรก็ตาม คำกล่าวแรก มักเป็นคำดุด่าว่ากล่าว
ซึ่งการกระทำดังกล่าวนั้นก็ทำไปด้วยความรักทั้งสิ้น แต่เป็นการทำที่ไม่ถูกต้อง เพราะแทนที่ท่านจะได้บุตรหลานคืนมา กลับไม่ได้อย่างที่คิด ซ้ำร้ายเราเองนั่นแหละกลับเป็นตัวอันตรายให้เด็กเตลิดเปิดเปิงกันไปใหญ แล้วมานั่งเสียใจว่าลูกมันไม่รักดี
แล้วสิ่งที่ถูกต้องคืออะไร:: เราควรเข้าไปสวมกอดเขาแน่นๆ แล้วกล่าวกับเขาว่า "โถลูก ลูกไปทำอะไรมา แม่คิดถึงลูกใจแถบขาดลูกรู้ไหม ถ้าลูกเป็นอะไรไปแม่จะไม่ให้อภัยตนเองเลย" ส่วนเรื่องการสั่งสอนค่อยว่ากันภายหลัง หากท่านทำอย่างนี้ท่านจะได้บุตรหลานคืนมา
กระบวนการต่อไป ท่านต้องเข้าใจเสียก่อนว่า "อดีตแก้ไขไม่ได้" ดังนั้น เราต้องคุยหรือแนะนำเขาในเชิงเสริมทักษะ เสริมพลัง เช่น หากเขาทำอะไรไม่สำเร็จ มิได้หมายความว่าสิ่งที่ทำนั้นเสียเปล่า จงบอกเขาว่า"อย่างน้อยลูกก็ได้ทำ เราก็มีความรู้ว่าทำอย่างนั้นไม่สำเร็จ ไม่ดี เราก็จะไม่ทำอย่างนั้นอีก เรามาหาวิธีใหม่ๆก็อาจจะสำเร็จก็ได้" เป็นต้น
ต่อไปจะแนะนำกระบวนการเสริมทักษะเชิงบวกและเสริมพลัง....



Create Date : 23 ตุลาคม 2553
Last Update : 23 ตุลาคม 2553 18:05:10 น.
Counter : 951 Pageviews.

5 comments
  
ถูกต้องค่ะ เห็นด้วยอย่างแรง
โดย: magic-women วันที่: 23 ตุลาคม 2553 เวลา:18:58:45 น.
  
ความรักความอบอุ่นในครอบครัวเสริมพลังให้เด็กและเยาวชนมีภูมิคุ้มกันมากขึ้น การที่บิดามารดาปลอบบุตรด้วยการโอบกอดเมื่อยามที่เขาทำผิดพลาด จะทำให้เขารู้สึกว่าบิดามารดาไม่ทอดทิ้งเขา เป็นความรู้สึกที่รับรู้ได้ในบรรยากาศที่ได้ประชุมกลุ่มครอบครัวและชุมชน ในช่วงเวลาที่บุตรกราบขออภัยบิดามารดาที่ทำให้ได้รับความเดือนร้อน บางครอบครัวโอบกอดกันและร้องให้แสดงความรักความสัมพันธ์ในครอบครัวได้อย่างลึกซึ้ง ผู้เข้าร่วมประชุมต่างน้ำตาซึมไปตามๆกัน แต่ก็มีบางครอบครัวที่ในช่วงเวลาดังกล่าว บิดามารดาและบุตรไม่กล้าที่จะแสดงความรับในครอบครัวด้วยการโอบกอดกัน แสดงถึงความสัมพันธ์ในครอบครัวเริ่มจะห่างเหิน ถึงเวลาแล้วครับที่จะส่งเสริมให้บิดามารดากอดบุตรให้มากขึ้น
โดย: เจริญ ขอนแก่น IP: 113.53.169.208 วันที่: 27 ตุลาคม 2553 เวลา:11:18:54 น.
  
ผมคิดว่าการรักเเละเลี้ยงเด็กๆตามสัญชาตญาณ เป็นอันตรายต่อเด็กมากๆเลยครับ บางครั้เรานำวัฒนธรรมเข้ามาโดยไม่กลั่นกรอง ผมทราบดีครับว่าคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ รุ่นผม ส่วนมากจะชอบบริโภคสื่อแบบผิดๆจนกลายเป็นการสร้างความก้าวร้าวแก่ตัวเด็กๆเลย
ท่านเคยได้ยินเรื่อง เบบี้บลูม มั้ยครับ
โดย: นพพล IP: 182.53.63.196 วันที่: 11 มีนาคม 2554 เวลา:19:35:15 น.
  
ผมอยากกอดน้องๆทุกคนครับ ผมมีเพียการศึกษาเท่านั้นครับที่จะให้แก่เด็กๆ
ผมอยากเตือนพนักงานพินิจด้วยนะครับให้รักเด็กๆเหมือนกับลูกตนเองแล้วเด็กๆจะเป็นคนดีไม่ก้าวร้าวเลยครับ สิ่งที่มีความก้าวร้าวรุนแรงคำหยาบคาย ไม่ควรให้เด็กได้สัมผัสเลยครับ
เพราะนั่นคือต้นเหตุแห่งความก้าวร้าวในตัวเด็กครับ
เด็กที่มีความประพฤติระดับ5 เกิดจากอคติและความกดดันจากผู้ใหญ่ ถ้าเราไม่รักเขาให้มาก เด็กจะกลายเป็นคนไม่ดีได้ทุกกรณีครับ
โดย: นพพล IP: 125.25.41.93 วันที่: 16 กันยายน 2554 เวลา:5:50:16 น.
  
ท่านครับ วันที่20 ตุลาคมนี้ ผมขอร้อให้ปล่อยน้อๆสถานแรกรับบ้านปรานี ไปดูเห่เรือตรงรั้วริมแม่น้ำด้วยนะครับ อย่าเพิ่งให้ขึ้นเรือนนอน ผิดพลั้งอย่างไรผมจะถ่ายทำภาพมาให้เด็กๆได้ชมภายหลังครับ
โดย: นพพล IP: 125.25.41.93 วันที่: 16 กันยายน 2554 เวลา:5:52:42 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

คนทำงานด้านเด็ก
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]



รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
เกิด 17 ก.พ.2502 จังหวัดชัยนาท เป็นบุตร นายสุเทพ-นางชิ้น ไทยเขียว
จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 7 โรเรียนวัดโพธิ์ทอง ต.บางขุด อ.สรรคบุรี แล้วมาเรียนมัธยมที่โรงเรียนคุรุประชาสรรค์ อ.สรรคบุรี จนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
"ตอนเรียนมัธยม เป็นช่วงปี 2515-2517 ผมต้องขี่จักรยานไปกลับวันละ 18 ก.ม. ลำบากมากโดยเฉพาะในหน้าฝน ผมเป็นคนที่ไม่ตั้งใจเรียน แต่ไม่เกเร พอผมเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 อยากทำนาเหมือนคุณพ่อคุณแม่ แต่ธรรมชาติช่วย จังหวะที่ผมเรียนจบ เกิดน้ำท่วมใหญ่ รวมถึงที่นา ผมต้องลงไปช่วยคุณพ่อ คุณแม่ยกฟ้อนข้าวขึ้นที่สูง เหนื่อยมาก รู้สึกลำบาก ไม่อยากทำนาอีกแล้ว เริ่มอยากเรียนหนังสือต่อ"
ผมจึงตัดสินใจเดินทางเข้ากรุงเทพฯ พักอยู่กับญาติที่กองรักษาการณ์ทำเนียบรัฐบาล ตัวเลือดตามล่องกระดานกัดติดหลังเป็นแถวเลยอยู่ไม่ได้ น้าชายไปฝากอยู่กับแฟนของเพื่อนตำรวจเป็นหมอนวดแถวถนนเพชรบุรีอยู่อีก 1 สัปดาห์ ต่อมาจึงได้หาที่พักถาวรได้ที่วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ขณะนั้นมีน้าชายชื่อ นายวิชิต เรียนทัพ อดีตนายก อบต.บางขุด พักอาศัยอยู่ก่อน
"ผมสอบเข้าศึกษาต่ออะไรก็ไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นจ่าอากาศ ช่างฝีมือทหาร เตรียมทหาร หรือแม้แต่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ภาคค่ำ ซึ่งเป็นผลมาจากการไม่ตั้งใจเรียน มาเรียนต่อได้เพราะวิทยาลัยครูเพชรบุรีวิทยาลงกรณ์ กิ่งเพชร ราชเทวี เปิดรับนักศึกษาภาคค่ำ ในขณะที่สถาบันการศึกษาอื่นๆ ได้เปิดเรียนไปแล้วเกือบหนึ่งเทอมแล้ว จึงมีที่เรียน"
"ช่วงที่อยู่วัดเห็นพระเณรนั่งดูหนังสือ ไม่นอน ผมจึงไม่นอน ผลการเรียนจึงเริ่มดีขึ้น โดยกลางวันทำงาน กลางคืนเรียน ไม่อยากใช้เงินคุณพ่อคุณแม่ เพราะรู้ว่าท่านลำบาก กระทั่งเรียนจบอนุปริญญา หรือปกศ.สูง เอกสังคมศึกษา ในระดับปริญญาไม่มีที่เรียนกลางคืน ต้องเรียนกลางวัน จึงไม่ได้ทำงานจนจบการศึกษาบัณฑิตหรือ กศ.บ. เอกสังคมศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาเขตพลศึกษา"
"ช่วงนั้น ผมขอหลวงพ่อคุมศาลาเผาศพ และรับอาราธนาศีล บริการน้ำ-อาหาร รับจ้างจุดธูปเพื่อหาเงินเรียนจนจบปริญญาตรี สอบเข้าศึกษาต่อปริญญาโทได้ขณะที่เรียนเทอมสุดท้ายของปริญญาตรี จบปริญญาโท สังคมศาสตรมหาบัณฑิต (สค.ม.) อาชญาวิทยาและกระบวนการยุติธรรม มหาวิทยาลัยมหิดล รุ่นที่ 4 ทำงานภาคเอกชนอยู่ 4 ปี จึงเข้ารับราชการเมื่อวันที่ 1 ก.ค.2529 โดยเป็นพนักงานคุมประพฤติ 3 จังหวัดชลบุรี"
ต.ค. 2541 เติบโตมาเป็นเจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไป 7 จ่าศาลจังหวัดปากพนัง รักษาการผู้อำนวยการสำนักงานโครงการพัฒนาระบบงานศาล, 16 ก.พ. 2542 เป็นจ่าศาลจังหวัดอำนาจเจริญ, 18 มี.ค. 2542 ผู้อำนวยการกองนโยบายและแผน กระทรวงยุติธรรม คณะกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการพิจารณาจัดระเบียบกระทรวงยุติธรรม, 4 มิย. 2544 ได้รับเลือกตั้งเป็น อกพ. สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม, 8 มิย.2544 รักษาราชการแทน ผู้อำนวยการศูนย์บริการข้อมูลตุลาการ สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม, 15 ต.ค. 2544 ช่วยทำงานในตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงาน โครงการส่งเสริมประสิทธิภาพสถานพินิจ สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม, 7 พ.ย. 2544 คณะกรรมการบริหารแผนพัฒนาสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ 9 พ.ศ.2545-2549, 12 มีค.2545 กรรมการและเลขานุการการเตรียมความพร้อมในการจัดทำโครงสร้างกระทรวงยุติธรรมตามมติคณะรัฐมนตรี, 3 ต.ค.2545 รักษาราชการแทนรองอธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน
ขึ้นเป็นผู้บริหารระดับ 9 ในตำแหน่ง รองอธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน เมื่อ 25 เมย.2546
ย้ายไปเป็นรองอธิบดีกรมคุมประพฤติ 1 ปี 8 เดือน ก่อนจะได้รับคำสั่งให้กลับมาทำงานในตำแหน่งรองอธิบดีพินิจและคุ้ม ครองเด็กและเยาวชนอีกครั้งและได้ขึ้นเป็นอธิบดีในที่สุด
ผลงานดีเด่นที่เป็นที่ยอมรับ คือ จัดทำมาตรฐานกลางการปฏิบัติงานธุรการศาล และนำวิธีการบริหารงานคุณภาพทั่วทั้งองค์กร (Total Quality Management/ TQM) จนศาลจังหวัดนครราชสีมาได้รับ การประกาศรับรองด้านบริการ ISO 9000
การปฏิรูปกระทรวงยุติธรรม ในฐานะเป็นคณะกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการพิจารณาจัดระเบียบกระทรวงยุติธรรม ตามมติคณะรัฐมนตรี จนสามารถรวบรวมหน่วยงานต่างๆ ในกระบวนการยุติธรรมเข้ามาอยู่ร่วมกันในปัจจุบัน
ได้รับโล่ประกาศเกียรติคุณด้านการบำบัด ฟื้นฟู และพัฒนาผู้ติดยาเสพติด พ.ศ.2550 และได้รับเลือกเป็นข้าราชการพลเรือนดีเด่น พ.ศ.2544 เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของสภาลูกเสือแห่งชาติ ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 9 สค.2550
"ทุกอย่างที่ทําให้เรามาถึงวันนี้ ได้กรรมเป็นตัวกํากับทั้งหมด และอะไรที่เราเคยเสีย ใจแบบสุดๆ หรือว่าเศร้าใจอย่างสุดๆ ความรู้สึกนั้นมันไม่เคยเสถียรเลย มันลดลงมาหมด
วันนี้ดีใจที่ได้เป็นอธิบดี อาจจะดีใจจน ตัวลอย แต่ว่าไม่เท่าไหร่ก็ลดลง เพราะฉะนั้นถ้าเราเข้าใจเท่าทันโลก เข้าใจเรื่องกฎของไตรลักษณ์ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป มียศเสื่อมยศ มีลาภเสื่อมลาภ เพราะฉะนั้นอย่าไปยึดติด ที่สําคัญที่สุด คือเรามีหน้าที่ หน้าที่นั้นต้องทําให้ดีที่สุดในการที่จะมองไปที่ประชาชนและเด็กๆ
ผมเชื่อว่าผมอาจจะมีกรรมดีที่ได้มีหน้าที่การงานที่ดี แต่ส่วนหนึ่งผมว่า ผมก็อาจจะเคยทํากรรมอะไรไว้บางอย่างกับเด็กๆ ผมถึงต้องชดใช้อะไรมากมายถึงขนาดนี้ รู้สึกว่าต้องเป็นทุกข์เป็นร้อน เห็นอะไรไม่สบายใจต้องเข้าไปจัดการ ฉะนั้นเมื่อเป็นอย่างนี้ เราก็อยากเห็นสังคมมีคุณธรรม มีจริยธรรม เพราะทุกวันนี้เรื่องเหล่านี้มันตกต่ำไปมาก"
สมรสกับเบญจพร ไทยเขียว ซึ่งรับราชการครู มีบุตรชาย 2 คน นายชัชชล ไทยเขียว อายุ 25 ปี จบศึกษาด้านภาษาและวัฒนธรรม และศึกษาดนตรีและทำเครื่องดนิตรีกู่ฉินไปด้วยที่ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ประกอบอาชีพส่วนตัวสอนคนตรีกู่ฉิน และจำหน่ายเครื่องคนตรีจีนคุณภาพจากประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน อาจารย์พิเศษ
และนายยิ่งคุณ ไทยเขียว อายุ 23 ปี จบศึกษาคณะวิศวศาสตร์คอมพิวเตอร์ สถาบันเทคโนโลยีไทยญี่ปุ่น ปัจจุบันกำลังศึกษา MBA มหาวิทยาลัยหอการค้า