มีนาคม 2553

 
1
2
3
4
6
7
8
9
10
11
12
13
15
16
17
18
19
20
21
22
23
25
26
27
28
29
30
31
 
 
All Blog
อานิสงส์งานศพที่แท้จริงจากเพื่อน
ผมมีความเชื่อเรื่องกฎไตรลักษณ์ตามหลักพุทธศาสนาอย่างหมดใจ ว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน “ทุกอย่างล้วนแต่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป”

ดังนั้น วันครบรอบวันเกิดของผมในปีนี้ ผมจึงได้บริจาคร่างกายของผมเป็นอาจารย์ใหญ่ของนักศึกษาแพทย์ที่ศิริราช และไม่ประสงค์จะให้จัดงานศพของตนเอง พร้อมทั้งไม่ต้องนำกระดูกกลับมาเผา และไม่ขอพระราชทานเพลิงศพ ขอกระทำให้เสมือนผมหายจากโลกนี้ไปเฉยๆ


ความจริงการไปร่วมงานศพและบทสวดทั้งหมดนั้น เป็นบทเรียนให้พวกเราทุกคนใช้เป็นอุทาหรณ์สอนใจว่าคนเราทุกๆคนก็จะต้องตายจากไปเหมือนดั่งเช่นคนตายไม่ว่าจะใหญ่โตขนาดไหน จึงไม่ควรใช้ชีวิตอย่างประมาท


แต่..ผมก็ได้อีกบทเรียนหนึ่งจากการที่เพื่อนร่วมงานของผมคนหนึ่งไปร่วมงานศพของเพื่อนผมอีกคนหนึ่ง..


เพื่อนผมคนที่เสียชีวิต เป็นผู้บริหารหญิงหน่วยงานในภูมิภาค มาจากครอบครัวที่ตลอดสายก่อนหน้าตนเองสองชั้นเป็นลูกสาวคนเดียวทั้งหมด ส่วนสามีซึ่งปัจจุบันก็ได้เสียชีวิตไปก่อนหน้านี้แล้วนั้นก็เป็นครอบครัวที่ตลอดสายก่อนหน้าสองชั้นเป็นลูกชายคนเดียวตลอดสายเหมือนกัน เขาทั้งสองคนจึงไม่มีญาติสนิทใกล้ชิด ฟังดูก็อาจจะเป็นเรื่องธรรมดาๆ


แต่ทั้งสองท่านมีลูกสาวน่ารักเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เท่านั้น แล้วชีวิตต่อไปนี้ เด็กจะอยู่อย่างไร ใครจะดูแล ?


สิ่งที่เพื่อนผมซึ่งกรุณาไปส่งพวงรีดและร่วมงานศพแทนผม กลับพบว่า งานศพงานนี้รู้สึกอบอุ่นอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน เนื่องจากไม่มีญาติแต่กลับเป็นความร่วมมือของเพื่อน พี่ๆน้องๆ ซึ่งเคยร่วมงานกันมาหรือรู้จักกับผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น


ทำไมเขาจึงมีคนรักมากมายอย่างนี้ ? นั่นเป็นความรู้สึกอย่างปลาดที่เพื่อนผมเล่าให้ฟัง..


ผมคิดว่า นี่กระมังที่เขาเรียกว่า “อานิสงส์งานศพที่แท้จริง” เพราะมีหลายครั้งหลายหนที่คนทั่วไปเดินทางไปร่วมงานศพก็มักจะไปด้วยมารยาท หรือไม่ก็ด้วยความเคารพนับถือกัน และคิดว่านี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่จะได้ไปร่วมงานของบุคคลที่เสียชีวิต ผมว่าเพื่อนของผมที่ไปร่วมงานศพในครั้งนี้ได้อานิสงศ์งานศพอย่างประมาณค่ามิได้ และทำให้เห็นว่าชีวิตนี้สุดท้ายก็เหลือแต่ดีชั่วเท่านั้น


ผมขอแสดงคารวะไปยังเพื่อนที่เสียชีวิต และเพื่อนที่ได้อานิสงส์งานศพที่แท้จริงมา ณ ที่นี้ด้วยความเคารพ สาธุ สาธุ สาธุ




Create Date : 14 มีนาคม 2553
Last Update : 14 มีนาคม 2553 20:11:55 น.
Counter : 1524 Pageviews.

2 comments
  
พึ่งไปงานศพเพื่อนรุ่นพี่เมื่อสองวันก่อน เพื่อนคนนี้โสดลาออกจากราชการป่วยด้วยโรคมะเร็งปอด ป่วยอยู่ประมาณหกเดือน เค้ามีพี่น้องสามคนพ่อแม่เสียชีวิต เหลือพี่กะน้องอยู่คนละที่ วันสุดท้ายที่ป่วยหนัก เพื่อนร่วมงานเก่าเป็นกำลังใจให้อยู่ข้างระหว่างที่ไม่มีญาติ พี่เค้าลาออกได้เกือบสี่ปีม๊ง ทางรพ.จัดห้องพิเศษให้เหมือนว่าพี่เค้ายังทำงานอยู่กะเราด้วย....มองภาพที่เพื่อนๆพี่ๆต่างช่วยกันจนวาระสุดท้ายของชีวิตตลอดจนแต่งศพและส่งศพกลับบ้านเราจัดการให้หมดโดยที่ญาติไม่ได้เอ่ยร้องขอ ถ้าพี่เค้ารับรู้ได้คงดีใจนะ..ถึงแม้จะอ้างว้างจากญาติบ้างที่ห่างไกลกันแต่มิตรภาพจากเพื่อนพี่ในที่ทำงานเดิมมั่นคงเสมอ...คงคล้ายๆกับเพื่อนของคุณนะคะ
โดย: phaclam วันที่: 14 มีนาคม 2553 เวลา:21:15:19 น.
  
สวัสดีครับ...
ได้เรียนรู้เรื่องราวของท่าน แล้วรู้สึกประทับใจมากครับ
คุณพ่อผมเอง ก็เตรียมตัวลาโลกไว้ล่วงหน้าเช่นกันครับ...
แล้วก็เป็นไปอย่างที่คุณพ่อ...ต้องการ...
การตายก่อนตาย...เป็นสิ่งที่น่าเคารพยิ่งครับ...
(ท่านกล่าวลาแขกในวันจากลา ด้วยตัวเอง..ครับ)

https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=tatatoom&month=02-2009&date=21&group=31&gblog=11


ขอบคุณและเป็นเกียรติ ที่ได้มีโอกาสรู้จักกับท่านครับ...

โดย: ใครหว๋า...ตาติ๊ก (สกุลเพชร ) วันที่: 8 พฤษภาคม 2553 เวลา:5:52:00 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

คนทำงานด้านเด็ก
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]



รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
เกิด 17 ก.พ.2502 จังหวัดชัยนาท เป็นบุตร นายสุเทพ-นางชิ้น ไทยเขียว
จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 7 โรเรียนวัดโพธิ์ทอง ต.บางขุด อ.สรรคบุรี แล้วมาเรียนมัธยมที่โรงเรียนคุรุประชาสรรค์ อ.สรรคบุรี จนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
"ตอนเรียนมัธยม เป็นช่วงปี 2515-2517 ผมต้องขี่จักรยานไปกลับวันละ 18 ก.ม. ลำบากมากโดยเฉพาะในหน้าฝน ผมเป็นคนที่ไม่ตั้งใจเรียน แต่ไม่เกเร พอผมเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 อยากทำนาเหมือนคุณพ่อคุณแม่ แต่ธรรมชาติช่วย จังหวะที่ผมเรียนจบ เกิดน้ำท่วมใหญ่ รวมถึงที่นา ผมต้องลงไปช่วยคุณพ่อ คุณแม่ยกฟ้อนข้าวขึ้นที่สูง เหนื่อยมาก รู้สึกลำบาก ไม่อยากทำนาอีกแล้ว เริ่มอยากเรียนหนังสือต่อ"
ผมจึงตัดสินใจเดินทางเข้ากรุงเทพฯ พักอยู่กับญาติที่กองรักษาการณ์ทำเนียบรัฐบาล ตัวเลือดตามล่องกระดานกัดติดหลังเป็นแถวเลยอยู่ไม่ได้ น้าชายไปฝากอยู่กับแฟนของเพื่อนตำรวจเป็นหมอนวดแถวถนนเพชรบุรีอยู่อีก 1 สัปดาห์ ต่อมาจึงได้หาที่พักถาวรได้ที่วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ขณะนั้นมีน้าชายชื่อ นายวิชิต เรียนทัพ อดีตนายก อบต.บางขุด พักอาศัยอยู่ก่อน
"ผมสอบเข้าศึกษาต่ออะไรก็ไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นจ่าอากาศ ช่างฝีมือทหาร เตรียมทหาร หรือแม้แต่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ภาคค่ำ ซึ่งเป็นผลมาจากการไม่ตั้งใจเรียน มาเรียนต่อได้เพราะวิทยาลัยครูเพชรบุรีวิทยาลงกรณ์ กิ่งเพชร ราชเทวี เปิดรับนักศึกษาภาคค่ำ ในขณะที่สถาบันการศึกษาอื่นๆ ได้เปิดเรียนไปแล้วเกือบหนึ่งเทอมแล้ว จึงมีที่เรียน"
"ช่วงที่อยู่วัดเห็นพระเณรนั่งดูหนังสือ ไม่นอน ผมจึงไม่นอน ผลการเรียนจึงเริ่มดีขึ้น โดยกลางวันทำงาน กลางคืนเรียน ไม่อยากใช้เงินคุณพ่อคุณแม่ เพราะรู้ว่าท่านลำบาก กระทั่งเรียนจบอนุปริญญา หรือปกศ.สูง เอกสังคมศึกษา ในระดับปริญญาไม่มีที่เรียนกลางคืน ต้องเรียนกลางวัน จึงไม่ได้ทำงานจนจบการศึกษาบัณฑิตหรือ กศ.บ. เอกสังคมศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาเขตพลศึกษา"
"ช่วงนั้น ผมขอหลวงพ่อคุมศาลาเผาศพ และรับอาราธนาศีล บริการน้ำ-อาหาร รับจ้างจุดธูปเพื่อหาเงินเรียนจนจบปริญญาตรี สอบเข้าศึกษาต่อปริญญาโทได้ขณะที่เรียนเทอมสุดท้ายของปริญญาตรี จบปริญญาโท สังคมศาสตรมหาบัณฑิต (สค.ม.) อาชญาวิทยาและกระบวนการยุติธรรม มหาวิทยาลัยมหิดล รุ่นที่ 4 ทำงานภาคเอกชนอยู่ 4 ปี จึงเข้ารับราชการเมื่อวันที่ 1 ก.ค.2529 โดยเป็นพนักงานคุมประพฤติ 3 จังหวัดชลบุรี"
ต.ค. 2541 เติบโตมาเป็นเจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไป 7 จ่าศาลจังหวัดปากพนัง รักษาการผู้อำนวยการสำนักงานโครงการพัฒนาระบบงานศาล, 16 ก.พ. 2542 เป็นจ่าศาลจังหวัดอำนาจเจริญ, 18 มี.ค. 2542 ผู้อำนวยการกองนโยบายและแผน กระทรวงยุติธรรม คณะกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการพิจารณาจัดระเบียบกระทรวงยุติธรรม, 4 มิย. 2544 ได้รับเลือกตั้งเป็น อกพ. สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม, 8 มิย.2544 รักษาราชการแทน ผู้อำนวยการศูนย์บริการข้อมูลตุลาการ สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม, 15 ต.ค. 2544 ช่วยทำงานในตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงาน โครงการส่งเสริมประสิทธิภาพสถานพินิจ สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม, 7 พ.ย. 2544 คณะกรรมการบริหารแผนพัฒนาสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ 9 พ.ศ.2545-2549, 12 มีค.2545 กรรมการและเลขานุการการเตรียมความพร้อมในการจัดทำโครงสร้างกระทรวงยุติธรรมตามมติคณะรัฐมนตรี, 3 ต.ค.2545 รักษาราชการแทนรองอธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน
ขึ้นเป็นผู้บริหารระดับ 9 ในตำแหน่ง รองอธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน เมื่อ 25 เมย.2546
ย้ายไปเป็นรองอธิบดีกรมคุมประพฤติ 1 ปี 8 เดือน ก่อนจะได้รับคำสั่งให้กลับมาทำงานในตำแหน่งรองอธิบดีพินิจและคุ้ม ครองเด็กและเยาวชนอีกครั้งและได้ขึ้นเป็นอธิบดีในที่สุด
ผลงานดีเด่นที่เป็นที่ยอมรับ คือ จัดทำมาตรฐานกลางการปฏิบัติงานธุรการศาล และนำวิธีการบริหารงานคุณภาพทั่วทั้งองค์กร (Total Quality Management/ TQM) จนศาลจังหวัดนครราชสีมาได้รับ การประกาศรับรองด้านบริการ ISO 9000
การปฏิรูปกระทรวงยุติธรรม ในฐานะเป็นคณะกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการพิจารณาจัดระเบียบกระทรวงยุติธรรม ตามมติคณะรัฐมนตรี จนสามารถรวบรวมหน่วยงานต่างๆ ในกระบวนการยุติธรรมเข้ามาอยู่ร่วมกันในปัจจุบัน
ได้รับโล่ประกาศเกียรติคุณด้านการบำบัด ฟื้นฟู และพัฒนาผู้ติดยาเสพติด พ.ศ.2550 และได้รับเลือกเป็นข้าราชการพลเรือนดีเด่น พ.ศ.2544 เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของสภาลูกเสือแห่งชาติ ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 9 สค.2550
"ทุกอย่างที่ทําให้เรามาถึงวันนี้ ได้กรรมเป็นตัวกํากับทั้งหมด และอะไรที่เราเคยเสีย ใจแบบสุดๆ หรือว่าเศร้าใจอย่างสุดๆ ความรู้สึกนั้นมันไม่เคยเสถียรเลย มันลดลงมาหมด
วันนี้ดีใจที่ได้เป็นอธิบดี อาจจะดีใจจน ตัวลอย แต่ว่าไม่เท่าไหร่ก็ลดลง เพราะฉะนั้นถ้าเราเข้าใจเท่าทันโลก เข้าใจเรื่องกฎของไตรลักษณ์ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป มียศเสื่อมยศ มีลาภเสื่อมลาภ เพราะฉะนั้นอย่าไปยึดติด ที่สําคัญที่สุด คือเรามีหน้าที่ หน้าที่นั้นต้องทําให้ดีที่สุดในการที่จะมองไปที่ประชาชนและเด็กๆ
ผมเชื่อว่าผมอาจจะมีกรรมดีที่ได้มีหน้าที่การงานที่ดี แต่ส่วนหนึ่งผมว่า ผมก็อาจจะเคยทํากรรมอะไรไว้บางอย่างกับเด็กๆ ผมถึงต้องชดใช้อะไรมากมายถึงขนาดนี้ รู้สึกว่าต้องเป็นทุกข์เป็นร้อน เห็นอะไรไม่สบายใจต้องเข้าไปจัดการ ฉะนั้นเมื่อเป็นอย่างนี้ เราก็อยากเห็นสังคมมีคุณธรรม มีจริยธรรม เพราะทุกวันนี้เรื่องเหล่านี้มันตกต่ำไปมาก"
สมรสกับเบญจพร ไทยเขียว ซึ่งรับราชการครู มีบุตรชาย 2 คน นายชัชชล ไทยเขียว อายุ 25 ปี จบศึกษาด้านภาษาและวัฒนธรรม และศึกษาดนตรีและทำเครื่องดนิตรีกู่ฉินไปด้วยที่ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ประกอบอาชีพส่วนตัวสอนคนตรีกู่ฉิน และจำหน่ายเครื่องคนตรีจีนคุณภาพจากประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน อาจารย์พิเศษ
และนายยิ่งคุณ ไทยเขียว อายุ 23 ปี จบศึกษาคณะวิศวศาสตร์คอมพิวเตอร์ สถาบันเทคโนโลยีไทยญี่ปุ่น ปัจจุบันกำลังศึกษา MBA มหาวิทยาลัยหอการค้า