เฮดบล็อกโดย..ญามี่

ก่อนอื่นขอคุยด้วยนิดหนึ่ง... คือว่าบทความในบล็อกนี้..ผมได้นำมาจากwww.nationalgeographic.com ซึ่งเป็นภาษาอังกฤษ ...ล้วนๆก็แน่นอนว่าผมต้องใช้ กูเกิล เสิร์ช ( Google Search) ในการช่วยแปล ออกมาเป็นภาษาไทย...อันนี้ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป... แต่ปัญหาที่จะตามมาคือ...บทความนี้ยาวมากๆ...ผมเล่งเห็นว่า บทความนี้มีประโยชน์มากๆ...หากเนื้อหาของบล็อก..จำกัด...ผมจะลงเนื้อหาของเรื่องนี้ต่อไว้..ในช่องคอมเม้นท์นะครับ...



หลายคนยังไม่ทราบเกี่ยวกับ coronavirus นวนิยายที่แพร่กระจายไปทั่วประเทศจีน แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือ โรคนี้สามารถสร้างพายุได้ทั่วทั้งร่างกายมนุษย์

สิ่งเหล่านี้เป็นลักษณะของ coronaviruses zoonotic ที่ผ่านมาซึ่งเป็นสัตว์ที่กระโดดจากสัตว์สู่มนุษย์อย่างโรคซาร์สและ MERS ซึ่งแตกต่างจากลูกพี่ลูกน้องที่ทำให้เกิดโรคหวัดของพวกเขา, coronaviruses ฉุกเฉินเหล่านี้สามารถจุดประกายไฟที่เกิดจากไวรัสไปทั่วอวัยวะส่วนบุคคลจำนวนมากและโรคใหม่ - ขนานนามว่า "COVID-19" โดยองค์การอนามัยโลกในวันอังคาร - ไม่มีข้อยกเว้นเมื่อมัน รุนแรง

นั่นช่วยอธิบายว่าทำไมการระบาดของโรค COVID-19 จึงทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 1,500 คนซึ่งเกินกว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคซาร์สในเวลาไม่กี่สัปดาห์ ในขณะที่อัตราการตายของ COVID-19 ดูเหมือนจะเป็นหนึ่งในสิบของโรคซาร์ส แต่ coronavirus ใหม่นั้นแพร่กระจายเร็วกว่า


กรณีที่ได้รับการยืนยันเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 60,000 ในวันพฤหัสบดีเพิ่มขึ้นเกือบ 50% เมื่อเทียบกับวันก่อนหน้าและมีจำนวนเพิ่มขึ้นอีก 7,200 คนตั้งแต่นั้นมา การก้าวกระโดดครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในวิธีที่ทางการจีนวินิจฉัยการติดเชื้อแทนการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในขอบเขตของการระบาด แทนที่จะรอให้ผู้ป่วยทดสอบบวกต่อไวรัสตอนนี้การวินิจฉัยรวมถึงใครก็ตามที่สแกนหน้าอกพบรูปแบบที่โดดเด่นของปอดบวม COVID-19 หวังว่าวิธีนี้จะช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถแยกและรักษาผู้ป่วยได้เร็วขึ้น


หากการระบาดของโรคยังคงแพร่กระจายอย่างต่อเนื่องก็ไม่มีใครบอกได้ว่ามันจะเป็นอันตรายได้อย่างไร นักระบาดวิทยาชั้นนำของมหาวิทยาลัยฮ่องกงเตือนในสัปดาห์นี้ว่า COVID-19 สามารถติดเชื้อได้ 60 เปอร์เซ็นต์ของโลกถ้าไม่ถูกตรวจสอบ ในวันพฤหัสบดีที่คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติของจีนกล่าวว่ากว่า 1,700 คนงานด้านการดูแลสุขภาพป่วยด้วยไวรัสตัวใหม่และการประกาศดังกล่าวเกิดขึ้นเพียงวันเดียวหลังจากที่องค์การอนามัยโลกได้สรุปการประชุมสุดยอดเกี่ยวกับโปรโตคอลที่ดีที่สุดสำหรับการดูแลรักษาที่โรงพยาบาล

แต่จะเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของคุณเมื่อติดเชื้อ coronavirus สายพันธุ์ใหม่นั้นมีลักษณะทางพันธุกรรมคล้ายกับโรคซาร์สที่ได้รับการถ่ายทอดทางพันธุกรรมชื่อ SARS-CoV-2 ดังนั้นการรวมการวิจัยก่อนหน้านี้เกี่ยวกับการระบาดใหม่กับบทเรียนที่ผ่านมาจาก SARS และ MERS สามารถให้คำตอบได้

*The Lungs: Ground zero
สำหรับผู้ป่วยส่วนใหญ่ COVID-19 เริ่มต้นและสิ้นสุดในปอดของพวกเขาเพราะว่ามันคล้ายๆไข้หวัดใหญ่ coronaviruses เป็นโรคระบบทางเดินหายใจ

พวกเขาแพร่กระจายโดยทั่วไปเมื่อผู้ติดเชื้อไอหรือจามสเปรย์ละอองที่สามารถส่งไวรัสไปยังทุกคนในการติดต่อใกล้ชิด Coronaviruses ยังทำให้เกิดอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่: ผู้ป่วยอาจเริ่มมีไข้และมีอาการไอซึ่งดำเนินต่อไปจนถึงปอดบวมหรือแย่กว่านั้น (ค้นหาว่า coronavirus แพร่กระจายบนเครื่องบินได้อย่างไรและที่ที่ปลอดภัยที่สุดในการนั่ง)

หลังจากการระบาดของโรคซาร์สองค์การอนามัยโลกรายงานว่าโรคนี้มักจะโจมตีปอดในสามขั้นตอน: การจำลองแบบของไวรัส, การเกิดปฏิกิริยาเกินกว่าภูมิคุ้มกันและการทำลายปอด



ไม่ใช่ผู้ป่วยทุกรายที่ผ่านขั้นตอนทั้งสามได้ - ในความเป็นจริงมีเพียง 25 เปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วยโรคซาร์สที่ได้รับความล้มเหลวในระบบทางเดินหายใจ ในทำนองเดียวกัน COVID-19 ตามข้อมูลต้นทำให้เกิดอาการรุนแรงในประมาณ 82 เปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วยในขณะที่ส่วนที่เหลือจะรุนแรงหรือสำคัญ

มองลึกลงไปและ coronavirus นวนิยายดูเหมือนจะเป็นไปตามรูปแบบอื่น ๆ ของโรคซาร์สกล่าวว่าศาสตราจารย์แมทธิวบี. Frieman จากโรงเรียนแพทย์ศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยแมรีแลนด์กล่าวว่าการศึกษา coronavirus


ในช่วงแรกของการติดเชื้อ coronavirus นวนิยายจะบุกรุกเซลล์ปอดของมนุษย์อย่างรวดเร็ว เซลล์ปอดเหล่านั้นมาในสองชั้นเรียน: เซลล์ที่สร้างเมือกและเซลล์ที่มีกระบองคล้ายขนที่เรียกว่า cilia

เมือกแม้ว่าจะอยู่ภายนอกร่างกาย แต่ก็ช่วยปกป้องเนื้อเยื่อปอดจากเชื้อโรคและทำให้แน่ใจว่าอวัยวะหายใจของคุณไม่แห้ง เซลล์ cilia เต้นไปรอบ ๆ เมือกเพื่อกำจัดสิ่งสกปรกเช่นละอองเกสรหรือไวรัส




Frieman อธิบายว่าโรคซาร์สชอบที่จะติดเชื้อและฆ่าเซลล์ cilia ซึ่งหลุดลอกและอุดตันทางเดินหายใจของผู้ป่วยด้วยเศษซากและของเหลวและเขาตั้งสมมติฐานว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นกับ coronavirus นวนิยาย นั่นเป็นเพราะการศึกษาที่เร็วที่สุดใน COVID-19 แสดงให้เห็นว่าผู้ป่วยหลายรายพัฒนาปอดบวมในปอดทั้งสองพร้อมด้วยอาการเช่นหายใจถี่

นั่นคือเมื่อระยะที่สองและระบบภูมิคุ้มกันเริ่มทำงานเมื่อมีผู้บุกรุกจากไวรัสเข้ามาร่างกายของเราจะก้าวขึ้นมาต่อสู้กับโรคโดยการทำให้ปอดไหลท่วมด้วยเซลล์ภูมิคุ้มกันเพื่อกำจัดความเสียหายและซ่อมแซมเนื้อเยื่อปอด

เมื่อทำงานอย่างถูกต้องกระบวนการอักเสบนี้จะถูกควบคุมอย่างเข้มงวดและ จำกัด เฉพาะบริเวณที่ติดเชื้อเท่านั้น แต่บางครั้งระบบภูมิคุ้มกันของคุณไปยุ่งเหยิงและเซลล์เหล่านั้นฆ่าอะไรก็ได้ตามทางรวมถึงเนื้อเยื่อที่มีประโยชน์


“ ดังนั้นคุณจะได้รับความเสียหายเพิ่มขึ้นแทนที่จะลดลงจากการตอบสนองทางภูมิคุ้มกัน” Frieman กล่าว ยิ่งเศษซากอุดตันปอดและปอดบวมก็แย่ลง (ค้นหาว่า coronavirus นวนิยายเปรียบเทียบกับไข้หวัดอีโบลาและการระบาดครั้งใหญ่อื่น ๆ )

ปอด 101 ปอดช่วยเติมออกซิเจนให้กับร่างกาย เรียนรู้เกี่ยวกับกายวิภาคของปอดอวัยวะต่างๆสามารถหายใจได้อย่างไรและเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยได้อย่างไร

ในช่วงที่สามความเสียหายของปอดยังคงสร้างต่อเนื่องซึ่งอาจส่งผลให้ระบบหายใจล้มเหลว แม้ว่าการเสียชีวิตจะไม่เกิดขึ้น แต่ผู้ป่วยบางรายรอดชีวิตจากการถูกทำลายของปอดอย่างถาวร จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลกระบุว่าโรคซาร์สเจาะรูในปอดทำให้พวกเขา“ มีลักษณะเหมือนรวงผึ้ง” และรอยโรคเหล่านี้ก็ปรากฏอยู่ในผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเชื้อ coronavirus


หลุมเหล่านี้น่าจะเกิดจากการตอบสนองซึ่งกระทำมากกว่าปกติของระบบภูมิคุ้มกันซึ่งสร้างรอยแผลเป็นที่ทั้งปกป้องและทำให้ปอดแข็งตัว

เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นผู้ป่วยมักต้องสวมเครื่องช่วยหายใจเพื่อช่วยหายใจ ในขณะเดียวกันการอักเสบก็ทำให้เยื่อหุ้มระหว่างถุงลมและหลอดเลือดซึมผ่านได้มากขึ้นซึ่งสามารถเติมของเหลวในปอดและส่งผลต่อความสามารถในการให้ออกซิเจนในเลือด

“ ในกรณีที่รุนแรงโดยทั่วไปคุณจะทำให้ปอดของคุณท่วมและคุณไม่สามารถหายใจได้” Frieman กล่าว “ นั่นเป็นวิธีที่ผู้คนกำลังจะตาย”


*The Stomach: A shared gateway


ในช่วงที่โรคซาร์สและ เมอร์ส MERS ระบาดเกือบหนึ่งในสี่ของผู้ป่วยมีอาการท้องร่วงซึ่งเป็นลักษณะที่มีความสำคัญมากกว่าของ coronaviruses zoonotic แต่ Frieman กล่าวว่ายังไม่ชัดเจนว่าอาการระบบทางเดินอาหารมีบทบาทสำคัญในการระบาดล่าสุดหรือไม่กรณีที่ท้องเสียและปวดท้องนั้นหายาก แต่ทำไมไวรัสทางเดินหายใจรบกวนลำไส้เลย?

เมื่อไวรัสใด ๆ เข้าสู่ร่างกายของคุณมันจะมองหาเซลล์ของมนุษย์ด้วยประตูที่ชื่นชอบ - โปรตีนที่อยู่ด้านนอกของเซลล์ที่เรียกว่าตัวรับ หากไวรัสพบตัวรับที่ใช้งานร่วมกันได้ในเซลล์ก็สามารถบุกรุกได้

ไวรัสคืออะไร นักวิทยาศาสตร์ที่ USAMRID สถาบันวิจัยโรคติดเชื้อแห่งกองทัพสหรัฐฯทำงานร่วมกับสิ่งมีชีวิตที่อันตรายที่สุดในโลกไวรัสฆ่า เรียนรู้เพิ่มเติม.


ไวรัสบางตัวมีพิถีพิถันเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาเลือก “ พวกมันสามารถเจาะเข้าไปในเซลล์ทุกชนิดได้อย่างง่ายดายมาก” Anna Suk-Fong Lok ผู้ช่วยคณบดีด้านการวิจัยทางคลินิกที่โรงเรียนแพทย์มหาวิทยาลัยมิชิแกนและอดีตประธานสมาคมอเมริกันเพื่อการศึกษาโรคตับกล่าว


ไวรัสทั้งโรคซาร์สและ เมอร์เซอร์ MERS สามารถเข้าถึงเซลล์ที่อยู่ในลำไส้ของคุณและลำไส้ใหญ่และลำไส้ใหญ่และขนาดเล็กและการติดเชื้อเหล่านั้นดูเหมือนจะงอกงามในลำไส้ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสียหายหรือการรั่วไหลของของเหลว


แต่ Frieman บอกว่าเรายังไม่ทราบเลยว่า coronavirus ตัวใหม่ทำแบบเดียวกันหรือไม่ นักวิจัยเชื่อว่า COVID-19 ใช้ตัวรับแบบเดียวกับโรคซาร์สและประตูนี้สามารถพบได้ในปอดและลำไส้เล็กของคุณ

การศึกษาสองครั้ง - หนึ่งในวารสารการแพทย์นิวอิงแลนด์และอีกฉบับหนึ่งใน medRxiv ที่เกี่ยวข้องกับ 1,099 ราย - ได้ตรวจพบไวรัสในอุจจาระตัวอย่างซึ่งอาจบ่งบอกว่าไวรัสสามารถแพร่กระจายทางอุจจาระได้ แต่นี่ยังห่างไกลจากข้อสรุป

“ ไม่ว่าการถ่ายโอนอุจจาระชนิดนั้นจะเกิดขึ้นกับไวรัสหวู่ฮั่นนี้หรือไม่เราก็ไม่รู้เลย” Frieman กล่าว “ แต่ดูเหมือนว่ามีอยู่ในอุจจาระและดูเหมือนว่าผู้คนมีอาการ GI ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้”


*Blood storm
Coronaviruses ยังสามารถทำให้เกิดปัญหาในระบบอื่น ๆ ของร่างกายเนื่องจากการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันซึ่งกระทำมากกว่าปกที่เรากล่าวถึงก่อนหน้านี้

จากการศึกษาในปี 2014 พบว่าผู้ป่วยที่เป็น MERS ร้อยละ 92 มีอาการของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบนอกปอดอย่างน้อยหนึ่งครั้ง ในความเป็นจริงสัญญาณของการโจมตีแบบสายฟ้าแลบทั้งร่างกายนั้นเป็นที่ประจักษ์กับ coronaviruses zoonotic ทั้งสาม: เอนไซม์ตับสูงเซลล์เม็ดเลือดขาวลดลงและจำนวนเกล็ดเลือดและความดันโลหิตต่ำ ในบางกรณีผู้ป่วยได้รับความเดือดร้อนจากการบาดเจ็บของไตเฉียบพลันและภาวะหัวใจหยุดเต้น

แต่นี่ไม่ใช่สัญญาณที่บ่งบอกว่าไวรัสกำลังแพร่กระจายไปทั่วร่างกายกล่าวว่า Angela Rasmussen แองเจลารัสมุสเซน นักไวรัสวิทยาและนักวิทยาศาสตร์การวิจัยที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบียไปรษณีย์ Mailmanโรงเรียนสาธารณสุขกล่าว อาจเป็นพายุไซโตไคน์


Cytokines เป็นโปรตีนที่ระบบภูมิคุ้มกันใช้เป็นสัญญาณเตือนภัย - พวกมันรับหน้าที่สร้างเซลล์ภูมิคุ้มกันไปยังบริเวณที่ติดเชื้อ เซลล์ภูมิคุ้มกันจะฆ่าเนื้อเยื่อที่ติดเชื้อออกไปเพื่อช่วยรักษาส่วนที่เหลือของร่างกาย


มนุษย์พึ่งพาระบบภูมิคุ้มกันของเราเพื่อรักษาความเย็นเมื่อเผชิญกับการคุกคาม แต่ในระหว่างการติดเชื้อ coronavirus ที่ควบคุมไม่ได้เมื่อระบบภูมิคุ้มกันทิ้งไซโตไคน์เข้าไปในปอดโดยไม่มีข้อบังคับใด ๆ การคัดออกนี้กลายเป็นสิ่งฟรีสำหรับทุกคน Rasmussen กล่าวว่า "แทนที่จะยิงที่เป้าหมายด้วยปืนคุณกำลังใช้เครื่องยิงจรวด ," เธอพูดว่า. นั่นคือปัญหาที่เกิดขึ้น: ร่างกายของคุณไม่เพียง แต่กำหนดเป้าหมายไปยังเซลล์ที่ติดเชื้อ มันกำลังโจมตีเนื้อเยื่อที่มีสุขภาพดีด้วย

ความหมายขยายออกไปนอกปอด พายุไซโตไคน์สร้างการอักเสบที่ทำให้หลอดเลือดในปอดอ่อนแอลงและทำให้ของเหลวไหลซึมผ่านไปยังถุงลม “ โดยทั่วไปคุณจะมีเลือดไหลออกจากเส้นเลือดของคุณ” Rasmussen กล่าว พายุทะลักเข้าสู่ระบบไหลเวียนโลหิตของคุณและสร้างปัญหาระบบในหลายอวัยวะ

จากจุดนั้นสิ่งต่าง ๆ สามารถเลี้ยวไปทางที่เลวร้ายยิ่งขึ้น ในบางรายที่รุนแรงที่สุดของ COVID-19 การตอบสนองของไซโตไคน์ - รวมกับความสามารถที่ลดลงในการสูบฉีดออกซิเจนไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย - อาจส่งผลให้อวัยวะหลายส่วนล้มเหลว นักวิทยาศาสตร์ไม่ทราบแน่ชัดว่าทำไมผู้ป่วยบางรายถึงมีภาวะแทรกซ้อนนอกปอด แต่อาจเชื่อมโยงกับเงื่อนไขพื้นฐานเช่นโรคหัวใจหรือโรคเบาหวาน


“ แม้ว่าไวรัสจะไม่ไปยังไตและตับม้ามและสิ่งอื่น ๆ แต่มันก็สามารถมีผลต่อเนื่องที่ชัดเจนในกระบวนการเหล่านั้นทั้งหมด” Frieman กล่าว และนั่นคือสิ่งที่จะร้ายแรง


*Liver: Collateral damage ตับ: สร้างความเสียหายแบบหลักประกัน

เมื่อ coronavirus zoonotic แพร่กระจายจากระบบทางเดินหายใจตับของคุณมักเป็นอวัยวะปลายน้ำที่ทนทุกข์ แพทย์ได้เห็นข้อบ่งชี้ของการบาดเจ็บที่ตับด้วยโรคซาร์ส, MERS และ COVID-19 มักจะไม่รุนแรงถึงแม้ว่าจะมีผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงมากขึ้นทำให้เกิดความเสียหายต่อตับอย่างรุนแรงและแม้แต่ตับวาย แล้วเกิดอะไรขึ้น

“ เมื่อไวรัสเข้าสู่กระแสเลือดของคุณพวกเขาสามารถว่ายน้ำไปยังส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายของคุณ” Lok กล่าว “ ตับเป็นอวัยวะที่มีหลอดเลือดมาก [coronavirus] สามารถเข้าไปในตับได้ง่ายมาก”

ตับของคุณทำงานหนักมากเพื่อให้แน่ใจว่าร่างกายของคุณสามารถทำงานได้อย่างถูกต้อง หน้าที่หลักคือการประมวลผลเลือดของคุณหลังจากที่มันออกจากกระเพาะอาหารกรองสารพิษออกมาและสร้างสารอาหารที่ร่างกายของคุณสามารถใช้ได้ มันยังทำให้น้ำดีที่ช่วยให้ลำไส้เล็กของคุณสลายไขมัน ตับของคุณยังมีเอนไซม์ซึ่งเร่งปฏิกิริยาทางเคมีในร่างกาย


ในร่างกายปกติ Lok อธิบายว่าเซลล์ตับกำลังจะตายอย่างต่อเนื่องและปล่อยเอนไซม์เข้าสู่กระแสเลือดของคุณ อวัยวะที่มีความสามารถนี้จะสร้างเซลล์ใหม่อย่างรวดเร็วและดำเนินต่อไปตามวัน เนื่องจากกระบวนการฟื้นฟูนั้นตับสามารถทนต่อการบาดเจ็บจำนวนมาก

เมื่อคุณมีเอนไซม์ระดับสูงผิดปกติในเลือดของคุณแม้ว่าจะเป็นลักษณะทั่วไปของผู้ป่วยที่เป็นโรคซาร์สและเมอร์เซอร์ MERS— ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนภัย อาจเป็นอาการบาดเจ็บเล็กน้อยที่ตับจะตีกลับอย่างรวดเร็วหรืออาจเป็นสิ่งที่รุนแรงกว่า - แม้ตับจะล้มเหลว

Lok กล่าวว่านักวิทยาศาสตร์ไม่เข้าใจอย่างสมบูรณ์ว่าไวรัสทางเดินหายใจเหล่านี้ทำงานอย่างไรในตับ ไวรัสอาจติดเชื้อในตับโดยตรงทำซ้ำและฆ่าเซลล์เอง หรือเซลล์เหล่านั้นอาจได้รับความเสียหายเนื่องจากการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันของร่างกายต่อไวรัสทำให้เกิดปฏิกิริยาการอักเสบอย่างรุนแรงในตับ

ทั้งสองวิธีเธอตั้งข้อสังเกตว่าความล้มเหลวในตับไม่เคยเป็นสาเหตุของการเสียชีวิต แต่เพียงผู้เดียวสำหรับผู้ป่วยโรคซาร์ส “ เมื่อตับล้มเหลว”Lok เธอกล่าว“ บ่อยครั้งคุณจะพบว่าผู้ป่วยไม่เพียงมีปัญหาปอดและปัญหาตับเท่านั้น แต่พวกเขายังอาจมีปัญหาเกี่ยวกับไตด้วย จากนั้นจะกลายเป็นการติดเชื้อในระบบ”

*Kidney: It’s all connected ไต: มันเชื่อมต่อกันหมดแล้ว


ใช่แล้วไตของคุณก็ตกอยู่ในความยุ่งเหยิงเช่นนี้เช่นกัน ผู้ป่วยโรคซาร์สร้อยละหกและหนึ่งในสี่ของผู้ป่วย MERSโรคเมอร์ส ได้รับบาดเจ็บที่ไตเฉียบพลัน การศึกษาพบว่า coronavirus นวนิยายสามารถทำเช่นเดียวกัน มันอาจจะเป็นลักษณะที่ผิดปกติของโรค แต่มันเป็นอันตรายถึงชีวิต ในที่สุด 91.7 เปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วยโรคซาร์สที่มีภาวะไตวายเฉียบพลันเสียชีวิตจากการศึกษาในปี 2548 ที่ Kidney International

เช่นเดียวกับตับไตของคุณทำหน้าที่เป็นตัวกรองเลือดของคุณ แต่ละไตจะเต็มไปด้วยหน่วยการกลั่นด้วยกล้องจุลทรรศน์ประมาณ 800,000 หน่วยที่เรียกว่าเนฟรอน เนเฟอร์รอนเหล่านี้มีองค์ประกอบหลักสองประการ: ตัวกรองเพื่อทำความสะอาดเลือดและท่อเล็ก ๆ ที่คืนสิ่งดี ๆ กลับไปที่ร่างกายของคุณหรือส่งของเสียลงไปที่กระเพาะปัสสาวะของคุณเป็นปัสสาวะ


เป็นท่อไตที่ดูเหมือนว่าจะได้รับผลกระทบมากที่สุดจาก coronaviruses zoonotic เหล่านี้ หลังจากการระบาดของโรคซาร์สองค์การอนามัยโลกรายงานว่าพบเชื้อไวรัสในท่อไตซึ่งอาจทำให้เกิดการอักเสบ

ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะตรวจจับไวรัสในท่อถ้าอยู่ในกระแสเลือดของคุณ Kar Neng Lai ศาสตราจารย์กิตติคุณจากมหาวิทยาลัยฮ่องกงและนักไตวิทยาที่ปรึกษาของโรงพยาบาลและโรงพยาบาลฮ่องกงกล่าว เมื่อไตของคุณกรองเลือดอย่างต่อเนื่องบางครั้งเซลล์ท่อสามารถดักจับไวรัสและทำให้เกิดอาการบาดเจ็บชั่วคราวหรือรุนแรงขึ้น

การโจมตีของไวรัสไข้หวัดใหญ่ดูวิธีการโจมตีของไวรัสไข้หวัดใหญ่การกลายพันธุ์และการติดต่อ - อาจส่งผลให้เกิดการระบาดหรือการแพร่ระบาด


การบาดเจ็บนั้นอาจเป็นอันตรายถึงตายได้หากไวรัสแทรกซึมเซลล์และเริ่มทำซ้ำ แต่ลาย - ซึ่งเป็นสมาชิกของกลุ่มนักวิจัยคนแรกที่รายงานเรื่องโรคซาร์สและมีส่วนในการศึกษาโรคไต - กล่าวว่าไม่มีหลักฐานว่าไวรัสโรคซาร์สได้จำลองในไต

Lai กล่าวว่าการค้นพบนี้ชี้ให้เห็นว่าการบาดเจ็บของไตเฉียบพลันในผู้ป่วยโรคซาร์สอาจเกิดจากสาเหตุหลายประการรวมถึงความดันโลหิตต่ำ, การติดเชื้อ, ยาเสพติดหรือการเผาผลาญผิดปกติ ในขณะเดียวกันกรณีที่รุนแรงมากขึ้นซึ่งนำไปสู่ภาวะไตวายเฉียบพลันแสดงให้เห็นสัญญาณของ - คุณเดาได้ - พายุไซโตไคน์

ภาวะไตวายเฉียบพลันบางครั้งอาจเกิดจากยาปฏิชีวนะความล้มเหลวหลายอวัยวะหรือเชื่อมต่อกับเครื่องช่วยหายใจนานเกินไป ทุกอย่างเชื่อมต่อ
++

*Pregnancy and coronavirus?การตั้งครรภ์และ coronavirus

มันเป็นประชดที่ยิ่งใหญ่ของยุค Twitter ที่เรารู้น้อยมากเกี่ยวกับ coronavirus นวนิยายเมื่อเราจมลงไปในการอัพเดทข้อมูลเกี่ยวกับมัน วารสารการแพทย์ได้ตีพิมพ์ผลการศึกษาหลายครั้งเกี่ยวกับการระบาดครั้งนี้ - บางครั้งตรวจมากกว่าคนอื่นเนื่องจากนักวิจัยรีบเร่งที่จะเลี้ยงกระเพาะปลา ในขณะเดียวกันช่องข่าวจะรายงานการพัฒนาทุกครั้ง ข้อมูลทั้งหมดนี้หมุนวนไปทั่วอินเทอร์เน็ตซึ่งการแยกแยะข้อเท็จจริงจากนิยายเป็นความท้าทายที่มีชื่อเสียง

“ สิ่งนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในแง่ของการรายงานแบบนาทีต่อนาทีเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในการศึกษาเหล่านี้” Rasmussen กล่าว “ มันยากจริง ๆ ที่พยายามเรียงลำดับข้อมูลทั้งหมดและค้นหาว่ามีอะไรได้รับการสนับสนุนอะไรบ้างการเก็งกำไรและสิ่งผิดปกติ”

ตัวอย่างเช่นเมื่อสัปดาห์ที่แล้วแพทย์ที่โรงพยาบาลในหวู่ฮั่นรายงานว่าทารกสองคนผ่านการทดสอบในเชิงบวกสำหรับ coronavirus นวนิยายเพียงหนึ่งชั่วโมงหลังคลอด ตามปกติแล้วหัวข้อข่าวที่น่าเป็นกังวลนี้แพร่กระจายไปทั่วองค์กรข่าวเพราะทำให้เกิดคำถามว่าสตรีมีครรภ์สามารถติดเชื้อในทารกในครรภ์มดลูกหรือไม่ว่าจะเป็นโรคนี้สามารถถ่ายทอดได้ในช่วงเกิดหรือผ่านทางน้ำนมแม่


แต่ขอหยุดพัก การถ่ายทอดเชื้อจากแม่สู่ทารกนั้นไม่ได้พบกับโรคซาร์สหรือเมอร์สแม้ว่าจะมีหลายกรณีที่เกี่ยวข้องกับสตรีมีครรภ์ นอกจากนี้ยังมีวิธีการอื่นที่ทารกแรกเกิดสามารถจับโคโรนาไวรัสได้ Rasmussen กล่าวเช่นโดยการเกิดที่โรงพยาบาลที่มีผู้ป่วยติดเชื้อในช่วงที่เกิดเหตุฉุกเฉิน

อันที่จริงการศึกษาใหม่ที่ตีพิมพ์เมื่อวันพฤหัสบดีใน The Lancet เสนอหลักฐานเบื้องต้นว่า coronavirus ไม่สามารถส่งผ่านจากแม่สู่ลูก

ในรายงานนักวิจัยได้สังเกตผู้หญิงเก้าคนในหวู่ฮั่นที่เป็นโรคปอดบวม COVID-19 ผู้หญิงบางคนมีภาวะแทรกซ้อนจากการตั้งครรภ์ แต่ทุกกรณีส่งผลให้เกิดการมีชีวิตอยู่โดยไม่มีหลักฐานว่ามีการแพร่เชื้อ ในขณะที่การศึกษานี้ไม่ได้ตัดความเป็นไปได้ของการแพร่เชื้อในระหว่างตั้งครรภ์อย่างสมบูรณ์ แต่ก็เน้นย้ำถึงความจำเป็นที่ต้องใช้ความระมัดระวังในการคาดเดาเกี่ยวกับโรคนี้


แต่ขอหยุดพัก การถ่ายทอดเชื้อจากแม่สู่ทารกนั้นไม่ได้พบกับโรคซาร์สหรือMERSเมอร์สแม้ว่าจะมีหลายกรณีที่เกี่ยวข้องกับสตรีมีครรภ์ นอกจากนี้ยังมีวิธีการอื่นที่ทารกแรกเกิดสามารถจับโคโรนาไวรัสได้ Rasmussen กล่าวเช่นโดยการเกิดที่โรงพยาบาลที่มีผู้ป่วยติดเชื้อในช่วงที่เกิดเหตุฉุกเฉิน

อันที่จริงการศึกษาใหม่ที่ตีพิมพ์เมื่อวันพฤหัสบดีใน The Lancet เสนอหลักฐานเบื้องต้นว่า coronavirus ไม่สามารถส่งผ่านจากแม่สู่ลูก

ในรายงานนักวิจัยได้สังเกตผู้หญิงเก้าคนในหวู่ฮั่นที่เป็นโรคปอดบวม COVID-19 ผู้หญิงบางคนมีภาวะแทรกซ้อนจากการตั้งครรภ์ แต่ทุกกรณีส่งผลให้เกิดการมีชีวิตอยู่โดยไม่มีหลักฐานว่ามีการแพร่เชื้อ ในขณะที่การศึกษานี้ไม่ได้ตัดความเป็นไปได้ของการแพร่เชื้อในระหว่างตั้งครรภ์อย่างสมบูรณ์ แต่ก็เน้นย้ำถึงความจำเป็นที่ต้องใช้ความระมัดระวังในการคาดเดาเกี่ยวกับโรคนี้


“ ต้องมีหลักฐานที่มีมาตรฐานสูงก่อนที่คุณจะสามารถพูดได้ว่ามันเกิดขึ้นอย่างแน่นอน - และแน่นอนก่อนที่คุณจะเริ่มการเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดการกรณีทางคลินิกหรือในแง่ของนโยบายสาธารณะ” Rasmussen กล่าว

Frieman เห็นด้วย เขาหวังว่าการแพร่ระบาดครั้งนี้จะกระตุ้นการระดมทุนสำหรับการวิจัย coronavirus เช่นคำมั่นสัญญาล่าสุดจากสหภาพยุโรปและมูลนิธิ Bill & Melinda Gates Foundation แต่ Frieman ต้องการการสนับสนุนและความสนใจเป็นอย่างดีแม้ว่าการระบาดครั้งนี้จะหายไปในที่สุดซึ่งแตกต่างจากสิ่งที่เกิดขึ้นกับการวิจัยโรคซาร์ส

“ ทันทีหลังจากการระบาดของโรคซาร์สมีเงินจำนวนมากและจากนั้นก็หายไป” Frieman กล่าว “ ทำไมเราไม่มีคำตอบเหล่านี้ ไม่มีใครให้เงินสนับสนุนสิ่งเหล่านี้”

Editor's Note: This article has been updated to reflect the death toll and case count as of February 15. Also, the article originally misstated Anna Suk-Fong Lok's title. She is the assistant dean for clinical research at the University of Michigan Medical School and former president of the American Association for the Study of Liver Diseases.
หมายเหตุบรรณาธิการ: บทความนี้ได้รับการปรับปรุงเพื่อให้สอดคล้องกับยอดผู้เสียชีวิตและจำนวนคดี ณ วันที่ 15 กุมภาพันธ์นอกจากนี้บทความเดิมระบุชื่อของAnna Suk-Fong Lok ผิด เธอเป็นผู้ช่วยคณบดีด้านการวิจัยทางคลินิกที่โรงเรียนแพทย์มหาวิทยาลัยมิชิแกนและอดีตประธานาธิบดีของสมาคมอเมริกันเพื่อการศึกษาโรคตับ
Cr:www.nationalgeographic.com

Create Date : 16 กุมภาพันธ์ 2563
Last Update : 16 กุมภาพันธ์ 2563 8:57:24 น.		0 comments
Counter : 846 Pageviews.
Share Tweet