ศาลา ยามเฝ้าประตู - อายตนะ
ถอดเทปนำธรรมะ ของพ่อหลวงพระธุดงค์มาแบ่งปันกันอีกค่ะ (มีลดทอน ตัดตอนออกบ้างเล็กน้อยค่ะ)ท่านสอนใช้ศัพท์ให้จำง่าย เข้าใจง่ายค่ะ ที่มาของความทุกข์เพราะเราไม่เข้าใจในกายเรา คำว่า กรรม กรรมของใคร ก็ของคนนั้น ปากใคร ก็ปากคนนั้น เป็นหน้าที่ปฏิบัติของคนนั้น จึงเป็นโลกของใครของมันแต่ละคน คนหนึ่งก็เป็นโลกหนึ่ง ท่านจึงบัญญัติเรื่องความรู้สึกไว้ ความทุกข์ สุข เหล่านั้น เป็นสัตว์โลก เพราะความไม่ยั่งยืน อายตนะ หมายถึง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่รับอารมณ์ ประตูทางเข้า ที่รับความรู้สึก ที่เป็นของคำๆ ก็รับเข้าทางปาก ที่เป็นอากาศก็รับเข้า เป็นกลิ่นก็รับเข้า ทางจมูก ที่เป็นรูป ก็รับเข้าทางตา ที่เป็นเสียงก็รับเข้าทางหู ที่มาของความรู้สึกเรา สำหรับยะตะนะ มันชั่วระยะๆ อยู่ มันไม่ติดต่อคำพูด แต่ละคำๆ เข้าไปเหมือนเรากินข้าว บริโภค แต่ละคำๆ ช่วงระยะหนึ่ง
แปลให้เป็นภาษาชาวบ้าน ให้จำง่ายๆ ศาลายะตะนะ ศาลา ก็คือที่พักอาศัย ที่โคจร เป็นที่เกิด ที่อยู่ ที่อาศัย ของสิ่งที่มาอาศัย เช่นเป็นศาลาสาธารณะ ของเราก็เหมือนเป็นสาธารณะ เพราะอะไร คนดี ก็ ขึ้นได้ ศาลา, คนไม่ดี ก็ขึ้นได้ ศาลา , หมา ก็ขึ้นได้ ศาลา, นก ก็ขึ้นได้ ศาลา ใคร ก็ขึ้นได้ ศาลา มันเป็น สาธารณะ นี่แหละมันเป็นที่มา ที่เกิด ที่ประชุม เป็นที่โคจรมาอยู่ ไม่ใช่ที่ประจำ ใครจะมาอยู่ประจำ ที่ศาลา มันไม่ได้ เป็นที่อาศัย ของคนพวกไหน ก็แล้วแต่ที่มาอาศัยศาลา มาอาศัยกายเรา มาทางหู ทางตา มาอาศัยโลก มาอาศัยความรู้สึก เวลาคนดี มาอาศัย เราก็สบายใจ เวลาคนไม่ดี มาอาศัย เราก็ทุกข์ใจ จึงทำให้เรา มีสุข มีทุกข์ เพราะสิ่งที่มาเข้า มาอาศัยศาลา เวลาคนดีมาก็สบาย คนไม่ดีก็ไม่สบาย ดังนั้นคนเราจึงมีดี มีชั่ว เพราะเป็นที่โคจร เค้าเรียก กามาวจร คือสิ่งที่จร มา ไม่ใช่สิ่งที่(ประ)จำ และเค้าก็เรียก รูปาวจร อรูปาวจร คือสิ่งที่จร มา ไม่ใช่ จำ คือถ้าเรามีสติ กั้นกรอง เป็นนายประตู กั้นกรอง หลักการปฏิบัติ เรานั่งประตู คนจะเข้า เราก็ดูเสียก่อน ใช่ม้า เหมือนกับเฝ้ายาม ยามที่เฝ้าสำนักงานต่างๆ ถ้ายามหลับ ไม่ได้ มันไม่ละเอียด ไม่ได้ อันตราย ใช่ม้า เราต้องมี ยามเฝ้าอยู่ คนไหนเข้า คนไหนออก อันนี้ การปฏิบัติธรรม คำสอนพระพุทธเจ้า ให้รู้ว่าคนดี คนชั่ว ที่จะมาอยู่ ต้องมียามเป็นตั้งต้นทันเวทนา ก็คือให้มีสติมาตั้ง ทันอารมณ์ ถ้ามาทางหู ก็ตรวจดูเสียก่อน ใช่ม้า พิจารณาก่อนจึงให้เข้า ยามต้องฉลาด มาทางตา ก็พิจารณาก่อนจึงให้เข้า มาทางจมูก ก็พิจารณาก่อนจึงให้เข้า มาทางลิ้น ก็พิจารณาก่อนจึงให้เข้า มาทางกาย ก็พิจารณาก่อนจึงให้เข้า แล้วให้รู้สึกที่ใจ เราต้องรู้จักว่า คนเข้า คนออก ชนิดไหน ถ้าเรารักษาตรงนั้น คุ้มครองตรงนั้น เหมือนกับ ยามเฝ้าประตู เนี่ย บ้านเรือนนั้น หรือคนนั้น ย่อมปลอดภัย แต่ถ้ายามนอนหลับนี้เสร็จเลย ก็ยามขาดสติ ก็อันตรายสิ อันนี้ เราจะอยู่สุขสบายเนี่ย ด้วยยามรักษาเรา ต้องสร้างยามนั้นขึ้น ให้เราอยู่สุข สบาย ถ้าเราตั้งสติ รู้ตรงนั้นอยู่เสมอ ยามศึกษาอย่างนี้ ย่อมรู้เรื่อง หน้าที่ของยาม คนดี คนชั่ว ก็เข้าใจทันที ว่าลักษณะอย่างไร คนดี เพราะการที่จะเป็นยามได้ ต้องไปเรียนตำหรับตำรามาก่อน แล้วฝึกหัด ฝึกรบ ฝึกจิต ศึกษาว่า ลักษณะคนดีอย่างไร ลักษณะคนชั่วอย่างไร คนขี้ต้ม คนขี้เล่น คนอย่างไร ต้องให้เข้าใจ จึงจะเป็นนายประตูได้ เมื่อศึกษามาแล้วอันนั้นเป็นเรื่องหนึ่ง อันนี้มาเอาความเป็นจริงที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่หน้าประตู อันนี้มันของจริง อันนู้นมันตำรา ถ้าศึกษาอยู่ตรงนี้ ทำตรงนี้ เฝ้ายามนี้อยู่นาน ยามนี้ต้องรู้จักว่า คนแบบไหน นิสัยอย่างไร ยามย่อมได้ความรู้ขึ้นมา จบเป็นวิชชาแล้ว เป็นวิชา รู้เท่าทันคน อันนี้ถ้าเรามาทำตรงนี้ เราต้องรู้ทันอารมณ์เรา เมื่อรู้ทันอารมณ์เรา เราก็ย่อมพ้นจากความไม่ดีในเรา..เนี่ย หลักการปฏิบัติ จะรู้เรื่องตนว่า ความรักที่จะเกิดขึ้นกับตน มันมาอย่างไร จึงเป็นอย่างนั้น ทำไมจึงเป็นมาอย่างนั้น ความไม่รัก ความเกลียด ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น เราจะมาศึกษาคนดี คนชั่ว และการที่เราศึกษา ดีก็เป็นครู ชั่วก็เป็นครู จึงเป็นพระพุทธเจ้า รู้ดี รู้ชั่ว และทำดี กับ ชั่วนั้นให้ผ่องแผ้ว เพราะว่าตรงนั้น เรารักษาตรงนั้นเพื่ออะไร ที่เราไปเป็นยามเพื่ออะไร เพื่อเลี้ยงชีวิตเรา เราไม่ได้เอาอะไร เราเอาเพื่อเลี้ยงชีวิตรอด เรารู้ดี รู้ชั่ว เพื่ออยู่สุขสบายเราเท่านั้น เราไม่ได้เอาดี เอาชั่ว เราให้เราสบาย..ใช่มะ เราเอาเงินเลี้ยงชีพ ให้เราสบาย..ใช่มะ เนี่ยแหละ เรารักษาเรา ดูเรา รู้จักดี รู้จักไม่ดี ให้เรามั่นคง เราเอาตรงนั้นมาใช้ เราก็จะพ้นจากความทุกข์ ที่เราเข้าใจเรื่องกาย คือ กายเราเป็นทุกข์ อย่างไร เข้าใจเรื่องวาจาที่เราพูด เป็นอย่างไร วาจาเรา ตรงไหนเป็นโทษ ตรงไหนไม่เป็นโทษ รู้ใจเรื่องใจเรา แล้วเราก็อยู่ได้ เรารู้จัก สิ่งเหล่านั้น เรียกว่า เข้าใจเหลี่ยมกล มายา ของจิตตน ก็แค่นั้นแหละ ศาสนาของพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องท้าพิสูจน์ เพราะมันมีอยู่ในคนแต่ละคนๆ ความรู้สึกในคน พร้อมทั้งหมด จึงชื่อว่าคนขึ้นมา ถ้าไม่มีความรู้สึกตรงนั้น มันจะไม่มีคน มันพ้นจากคน พ้นจากคนก็เป็นซากศพ จึงชื่อว่า ขีณาศพ ขึ้นมา มันเป็นศพ ตายไปแล้ว พระอรหันต์กะขีณาศพ ไม่เป็นคน เป็นศพหมดเลย ผลของศพนั้นก็คือ ที่รู้ว่า อะไรเกิด อะไรตาย อะไรเกิด อะไรตาย ความรู้สึกเจ้าของ เกิด ดับ ๆๆ เกิดจนไม่มีอะไร เกิด ไม่มีอะไรตาย จบขึ้นมา มันเกิดจนหมดภูมิ ไม่มีเกิด ไม่มีตาย ก็ถึงความรู้สึก การเกิด การตาย การเกิด การตาย เป็นนา เหมือนกับเราทำนา ทำนา ข้าวเกิดในนา ก็เท่านั้นแหละ จึงชื่อ ขีณาศพ ขึ้นมา มันก็เข้าใจครรภ์ การปรากฏตรงนั้นหมดตรงนี้ มันท้าพิสูจน์ได้ ในแต่ละคน แต่เราจะเอาจริงกับ เราหรือปล่าวเท่านั้นแหละ เนี่ยแหละสำคัญ ไม่ใช่เอาจริงกับคนอื่น อันนี้คนที่เกิดมา ไม่ว่าศาสนาไหน ต้องการความพ้นทุกข์ทั้งหมด แต่เขาไม่รู้ว่าทุกข์ที่มันจะพ้น มันอยู่ที่ไหนเท่านั้น เนี่ย สำคัญถ้าเรายังไม่เจอะกับทุกข์ ไม่รู้ว่าทุกข์อยู่ที่ไหน ทุกข์เป็น ความรู้สึกอยู่ที่เราเนี่ยแหละ เราก็มาพ้นอยู่ที่เรา ทำที่เรา จึงเรียกว่า นาอยู่ที่เรา จึงเรียก นาโถ อัต อยู่ในเรา นาเล็กก็อยู่ที่เรา นาใหญ่ ก็อยู่ที่เรา จึงมี อัตตาหิ อัตตโน นาโถ ทำความรู้สึกให้เข้าใจ เรื่องนาใจ ของตน จะเป็นคน พ้นจากคน ขึ้นมา จะได้สมบูรณ์ขึ้นมา ไม่ต้องสงสัย ว่า สวรรค์ เทพ พรหม มีจริงหรือไม่ อยู่ในเราคนเดียว เพราะเราเป็นโลก เราเป็นศาลา ศาลาเป็นธาตุทั้งสี่ ดินน้ำไฟลม แต่ว่าวิญญานที่มาปรากฏให้เรารู้สึกว่าสัตว์ที่มาให้เรารู้ แต่เราไปจับเอาตรงนั้นเป็นเรา ที่จริงตรงนั้นเป็นอนัตตา ธรรมทั้งหลาย เป็นอนัตตา สัพเพ ธรรมา อนัตตาติ ธรรมทั้งหลาย ทั้งหมด ทั้งเพ ไม่ใช่เรา มันเกิดโคจรมา กามาวจร สัตว์โลก ที่อาศัยกามมา โคจรมา มาเข้าศาลา มาอาศัยเรา เราไปจับเอาตรงนั้น เลยเราเลยเป็นกามนั้น รูปาวจร มา โคจรมา มาเข้าศาลา มาอาศัยเรา เราดันไปจับเอาตรงนั้นว่าเป็นเรา เราเลยเป็นอันนั้น อรูปาวจร มา โคจรมา มาเข้าศาลา มาอาศัยเรา เราดันไปจับเอาตรงนั้นว่าเป็นเรา ที่จริงอันนั้น สัพเพ ธรรมา อนัตตาติ เป็นสัตว์โลกต่างหาก ถ้ารู้อย่างนั้นเป็นโลกาวิทู เป็นผู้รู้โลก และไม่เป็นสัตว์โลกนั้น เพราะเข้าใจสัตว์โลกนั้น เข้าใจดี เข้าใจความสุข ความทุกข์ ว่าสัตว์ประเภทไหน ทุกข์ขนาดไหน สัตว์ประเภทไหน สุขขนาดไหน มีสุข ทุกข์ แต่ละอย่างๆ ให้เราศึกษาตลอด เลยเราก็เป็นโลกๆ หนึ่ง แต่ละคน สัตว์โลก ก็อาศัยความรู้สึกและเป็นสัตว์โลกแต่ละอย่างมาอยู่ในเรา อันนี้เราจำแนกสัตว์โลกผิด ไม่รู้เรื่อง จำแนกไม่ได้ แยกสัตว์โลกไม่เป็น และก็ไม่เข้าใจว่าตัวเองเป็นโลก ให้สัตว์โลกเกิด นี่ เรามากำความรู้สึกเสียก่อน เราต้องมาศึกษาในตนเอง เพราะมันมีทั้งหยาบ ทั้งกลาง ทั้งละเอียด มันมีเป็นภาคๆ ภาค 1 ภาค 2 ภาค 3 จึงมี พระผู้มีพระภาคเจ้า ใช่ม้า เจ้าของภาคทั้งสาม จึงได้เป็นประเทศขึ้นมา พระผู้มีพระภาคเจ้า ภาคที่ 1- ขันธ์นอก, ภาคที่ 2- ขันธ์ใน จิตใน กายใน, ภาคที่ 3- จิตในจิต กายในกาย ก็เป็นภาคหนึ่ง รวมเป็นประเทศขึ้นมา คุ้มครองคนนั้น ประเทศคุ้มครองภาค ก็เป็นอย่างนี้ จึงเป็นที่มาของพระผู้มีพระภาคเจ้า นี่เป็นเรื่องของเรา เราจะรู้เรื่องว่ากายนอกของเราเป็นอย่างไร ถ้าเราศึกษาเข้าไป กายในของเราเป็นอย่างไร ถ้าเราศึกษาเข้าไป กายในกายของเราเป็นอย่างไร ถ้าเราศึกษาเข้าไป เพราะมันมี กามภพ ก็เป็นกายหนึ่ง รูปภพ ก็เป็นกายหนึ่ง อรูปภพ ก็เป็นกายหนึ่ง เพราะมีสาม กาย สามโลก มีสามจิต จะได้ครบสมบูรณ์หมด หยาบ ปานกลาง ละเอียด มาควบคุมอยู่ในประเทศนั้น มีในเรา อันนี้เราหลง ไม่ใช่หลงอื่น หลงความรู้สึกตน เรียกว่าความรู้มีหนึ่งเดียว ความหลงมี 99 บวกเข้าไปแล้วเป็น 100 ถ้ามาศึกษาตรงนี้ มากเข้าๆๆ จนว่า ความรู้เกิดขึ้น มาเป็นหนึ่งมาศึกษา 99 นี้ ถ้าศึกษาหมด ก็ถึง 100 ได้ปัญญา ได้วิชชาเต็มร้อย แต่ถ้าไม่เข้าใจ ไม่ศึกษา ก็จะมีความรู้ 1 ความหลง 99 ความความรู้หนึ่งเดียว 99 เป็นอวิชชา ความปรากฏการณ์ที่มีอยู่ในคน จึงเป็นคนขึ้นมา ชื่อว่าคน ไม่ชื่อว่าศพ ถ้าเข้าใจตรงนั้น มันเป็นศพ หมดแล้ว จึงชื่อขีณาศพ ขึ้นมา มันระอา มันเบื่อหน่ายขึ้นมา คำว่าเป็นศพ มันไม่มีอะไรเกิด ไม่มีอะไรตาย ความเกิด ความตาย ไม่เกิด ไม่ตายแล้ว สัตว์โลกมาขึ้นศาลาหมดแล้ว ศึกษาหมดแล้ว เข้าใจหมดแล้ว ก็หมดปัญหาไป เป็นวิชชาความรู้แล้ว ไม่มีการเกิด ไม่มีการตาย เพราะตาย เกิดไปหมดแล้ว เค้าเรียกว่า ตาย เกิด ใน ภพน้อย ทำภพน้อยนั้น ความรู้สึกในใจเรามันดับหมด ยังเหลือแต่ภพใหญ่ พระพุทธเจ้าทำภพน้อยตรงนั้นดับหมดแล้ว ยังเหลือแต่ภพใหญ่ 45 ปี เอามาแสดงให้สัตว์โลกได้ใช้ความรู้นั้น เป็นวิชชา แต่ว่าภพน้อยหมด ยังเหลือแต่ภาคข้างนอก เรียกอุปทานขันธ์มาใช้ตรงนั้นอีก เนี่ยแหละความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า แล้วมาสอนให้พวกเรา ชี้ให้พวกเรา ท้าทายได้เลย คำสอนพระพุทธเจ้า เพราะมันมีอยู่ในคนแต่ละคน เราจะเอาอะไร เอาอย่างไรกับเราดี ไม่ใช่เอากับคนอื่น ถ้าเราไปศึกษาคนอื่น มันไม่จบ เพราะศึกษาโลกหนึ่งเหมือนกับเรา ต้องตรัสรู้โลกของตน เพราะตนต้องอ่าน จึงจะค้นพบ เรื่องของคนอื่น ก็เป็นหน้าที่ของเขาทำของเขา ใช่ม้า เห็นคนอื่นกินข้าว มันหน้าที่เขา ท้องเขา เห็นคนอื่นหิว มันก็หน้าที่เขา เรื่องของเขา แต่หน้าที่เรา มันมีอะไรอยู่ในเรา ทำความรู้สึกให้มันสมบูรณ์ ตอนที่เรายังมีชีวิตอยู่ ถ้าไปคลอดตรงนู้น ตายตรงนี้ ไปเกิดตรงนู้นอีก ก็ไปติดตรงนั้น เพราะมันยังไม่เกิดไม่ตายจริงๆ ต้องทำให้เกิด ให้ตายเสียก่อน หมดการเกิด การตาย มันก็จบ ตายแล้วไปไหน ก็จะรู้ ของเราจบแล้ว กินอิ่มแล้ว ความหิวหายไปไหน เราจะรู้อีก เอาความสุขในการหายหิวเป็นเกณฑ์ ความหิวหายไปไหน บอกได้มั้ย ทำไมเราหิว เราหายหิว ก็คือมันหมดอารมณ์ มันหมดตรงนั้น มันไม่มีความรู้สึก ทุกข์นั้น ก็เหมือนตอนเราหายหิว หายไปไหน การหายตรงนั้น หายไปจากใจ กลายเป็นผู้รู้ มันก็เท่านั้นแหละ จึงชื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าที่มาตรงนั้น ขอบคุณ ภาพจาก //www.geocities.com/lekpage/salawat.html
Create Date : 08 กุมภาพันธ์ 2552 |
|
38 comments |
Last Update : 8 กุมภาพันธ์ 2552 11:08:58 น. |
Counter : 1470 Pageviews. |
|
|
|
สาธุ