กรรมฐาน - อวิชชา
ขอนำธรรมะจากพ่อหลวงพระธุดงค์มาแบ่งปันอีกค่ะ ท่านเป็นพระอาจารย์ ที่กิ่งไม้ไทยนับถือมากๆ ท่านสอนโดยใช้คำเปรียบเทียบให้เข้าใจง่ายๆ สอน จากการปฏิบัติของท่าน ไม่ได้พูดจากตำรา สอนให้เข้าใจได้ชัดเจน ภาษาอาจโลดโผนบ้าง ก็ขออภัยนะคะ เรื่องของ กรรมฐาน กรรมฐานห้านั้น คือ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง นั่น ก็ถูก แต่ยังไม่ลึกซึ้ง ไม่เกลี้ยง ยังไม่รวบ แต่ถ้าเราพูดว่า กรรมฐาน ฐาน ศัพท์ภาษาที่เรารู้จักกัน ในหมู่ชาวบ้าน ฐาน นี้ ก็คือ ส้วมนั่นเอง กรรมฐาน หรือ กรรมโถน หรือ กรรมส้วม นี้คือ ที่เปลื้องทุกข์ เราปวดท้องไป ถ้าเราได้ปล่อยลงในฐาน หรือปล่อยลงในโถนนี้ เราก็สิ้นกรรม สิ้นทุกข์ เพราะเรา เข้าถึงฐาน เข้าถึงส้วม ไม่เป็นกรรมอีกต่อไป หายปวดท้อง นี่เข้าถึงกรรมฐาน เข้าถึงโถน เข้าถึงส้วม เข้าถึงที่ขี้ ที่เยี่ยว ที่บ้วนน้ำลาย นี่เรียก กรรมฐาน คือเข้าถึงส้วม เรานั่งส้วม เบ่งออก ก็หายทุกข์ ไม่ทุกข์อีกต่อไป เพราะเราทำกายเราเข้าถึงที่ขี้ ที่เยี่ยว เข้าถึงฐาน มันก็พ้นกรรม มันจะได้ฟังง่าย เพราะว่าส้วม หรือ โถน เป็นที่ใส่ของสกปรก ของปฏิกูล เป็นที่ใส่ของเหม็นเน่า ไม่ใช่ที่ใส่ของสะอาด ใช่มะ ฐานไหนที่สะอาด มีแต่เหม็นทั้งนั้น ข้างนอกอาจจะงาม แต่ข้างในเหม็น ข้างในเน่า ในโถนก็เป็นรู ในฐานก็เป็นรู เป็นรูเหมือนกัน เล็ก ใหญ่ต่างกันเท่านั้น ถ้าคนไม่มีฐาน ไม่มีโถน ไม่มีที่ขี้ ไม่มีที่เยี่ยว ไม่มีที่บ้วนน้ำลาย ก็ทุกข์เท่า นั้นแหละ ถ้าได้บ้วนในโถน เยี่ยวใส่ฐาน มันก็หายทุกข์ หมดทุกข์ นี่เขาเรียก เข้าถึงกรรมฐานได้ พ้นทุกข์ เป็นที่เปลื้องทุกข์ ชัดมั้ย คนที่ทุกข์อยู่เพราะไม่เข้าถึงฐาน นี่เหมือนเราเดินไป อยากขี้ แต่ไม่รู้จะขี้ตรงไหน เพราะไม่มีส้วม ไม่มีฐาน มันก็ปวดอยู่นั่นแหละ ไม่สบายเหลือเกิน ไม่มีที่ขี้ที่เยี่ยว ก็ปวดอยู่นั่น แก้ทุกข์ไม่ได้ ไม่ถึงโถน ไม่ถึงฐาน ก็ไม่ถึงที่สุดของทุกข์ได้ ปล่อยไม่ได้ ถ้าปล่อยก็เหม็นตรงนั้น เป็นภาระต่ออีก เช่น ถ้าปล่อยให้แตก ข้างโถน ข้างฐาน ก็เป็นภาระต่ออีก เป็นทุกข์ต่อ เพราะมันเหม็น หายทุกข์ตรงนี้ แต่ทุกข์ต่อ เพราะต้องไปล้าง ไปทำความสะอาด กรรมฐานจึงเป็นที่เปลื้องทุกข์ เป็นที่ดับทุกข์ (กรรมฐานนี่เป็นด้านไหลออก เรามีทุกข์แล้ว เราไปส่งออก) กรรมฐานภายในก็ทุกข์ ตัวเราเนี่ยก็เป็นกรรมฐาน เราเป็นกรรม เราเป็นฐาน ใส่ของเน่า ปากเราเนี่ย เอาของเน่าใส่ ใส่ในรูเรา รูปาก ปากเราก็เป็นโถน เป็นฐาน เนื้อเน่า ก็ใส่ในเรา ผักเน่าก็ใส่ในเรา อะไรเน่าก็ใส่ในเรา ก็เหม็นเหมือนกัน นี่ขาเข้าก็เป็นทุกข์ ถ้าไม่ถึงฐานก็เป็นทุกข์อีก เพราะหิว เมื่อเราหิว เราก็เอาของเน่าของสกปรกใส่ในเรา ใส่ในฐานเรามันก็เป็นทุกข์อีก จึงเรียกว่ารูปะ รูปัง อนิจจังขึ้นมา ของสกปรกก็มาปะ รูปากเรา อยู่ในกรรมฐานนั่นแหละ เพราะฐานนั้นเป็นรู ปากก็เป็นรู จมูกก็เป็นรู ตาก็ เป็นรู หูก็เป็นรู รูขี้ รูเยี่ยว รูขุมขน เป็นรูทั้งหมด เค้าเรียก รูฐาน มีทั้งด้านไหลเข้า ไหลออกในทุกรู ตา ไหลเข้า - รูป ,ไหลออก - น้ำตา ขี้ตา หู ไหลเข้า - เสียง, ไหลออก - ขี้หู จมูก ไหลเข้า - กลิ่น, ไหลออก - ขี้มูก ถ้าเรารู้จักตรงนี้ เราวัดตรงนี้ คำว่าวัฏฏะ เปรียบว่าวัดความรู้สึกของเรา ถ้าวัดความรู้สึกตอนเอาของเน่ามาใส่ ให้เรามีความรู้สึก เค้าเรียกว่าวัดถะตะ มันยาวขนาดไหน ทุกข์อยู่ตรงนั้น ถ้าไม่ได้กิน ให้รู้จักขึ้นมา ความรู้สึกของเรา ความอยากที่เกิดขึ้นในเรา เมื่อเรากินแล้วก็ดี จิตกระเพื่อมอย่างไร ต้องรู้จักอีก เอาความรู้เราไปวัดตรงนั้น เหมือน เราวัดตลับเมตร วัดกี่เส้นกี่วา กี่นิ้ว วัดว่าความลึกของความรู้สึกเราขนาดไหน จึงชื่อวัฏฏะ สงสาร เปิ้ลส่งสารมาแล้ว ให้มาทำความรู้สึกตน กับความทุเรศก็เหมือนกันน่าสงสาร เพราะมันทุกข์ ไม่รู้จัก จึงชื่อวัฏฏะสงสาร ตะนี้เรามาทำความรู้สึกกับรูของเรา ฐานของเรา เขาเรียกวัฏฏะ ให้มีความรู้สึก เราจะดับวัฏฏะได้ เรามาทำความรู้สึกตรงรูนี้ว่ามันยาวขนาดไหน สิ่งเหล่านี้ ความรู้สึกของเรา หูที่ได้ยินเสียง เกิดความโกรธ ความเกลียด ความรัก ความชัง ขึ้นมา มันยาวขนาดไหน ตากับรูป รูปแยงลงในตา ความรู้สึกของเราเนี่ย นี้เป็นฐาน ถ้าเราไม่เข้าใจเป็นกรรม เป็นทุกข์ เป็นสุขอยู่กับตรงนี้ ออกตรงนั้น เข้าตรงนี้ ถ้าพิจารณาเห็นความเป็นจริงตรงนั้น นี่เขาเรียกกรรมฐาน ถ้ารู้จักฐานนี้จะได้ไม่ทุกข์นาน เพราะว่าที่ใส่ของทุกข์ทั้งหมด ตาที่ใส่ของความรู้สึก ว่ารูป อย่างนั้น รูปอย่างนี้ รูจมูก กลิ่นดี ไม่ดี รูปะ รูปัง รูเนี่ยแหละ ทำให้รูป วิ่งเข้าหารู จึงเรียกรูปะ รูนั้นไม่เที่ยง ปะนั้นก็ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน รูปที่มาก็ไม่ยั่งยืน จึงเรียกว่ารูไม่เที่ยงถ้าไม่เข้าใจ รู รูนั้นแหละทำให้เราเป็นทุกข์ เพราะเราไม่รู้จักเข้ารู เดินตายคารู เราทุกข์อยู่กับรูเนี่ยแหละ แต่รูนั้นบังคับไม่ได้ มันมีของมันอยู่แล้ว แต่เรารู้ได้ รู้เท่านั้นเอง รูปสักแต่ว่ารูป เสียงสักแต่ว่าเสียง เพราะสิ่งเหล่านั้นเราบังคับไม่ได้ แต่รู้ได้ พระพุทธเจ้าตรัสรู้มาแล้ว เราต้องมารู้เท่าทันสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา แล้วก็ค้นเข้าไปหาความเป็นจริง เมื่อทำเบื้องต้นตรงนี้ ค้นเข้าไปหาความเป็นจริงที่ใจเรากำเริบ จิตมันจะกำเริบขึ้นมา ตัวนี้แหละมันจะเกิดขึ้นมารับความรู้สึกของเรา เราไปจัดการตรงนั้นแหละ เช่นรูป กระทบรูตา รูปดี เราติดใจมั้ย ถ้าเราติดใจในรูป เราส่งออกนอกในรูปนั้น เนี่ยคือผิด เพราะใจกระทบรูป ใจเกิดกำเริบขึ้นมา เหมือนหมาได้อาหาร มันวิ่งขึ้นมาหาอาหาร ตัววิ่งมาหาอาหารนั้น เราจะไปจับตรงนั้น สติไปจับที่ใจกระเพื่อมตรงนั้น มีหน้าที่รู้ว่าใจเรากำเริบแล้ว เช่นรูปไม่ดี เราไม่พอใจ ใจเรากระเพื่อมขึ้นมาทันที หูเราไปกระทบเสียง เกิดความไม่พอใจ ความโกรธเกิดขึ้นในจิตทันที เราไปจับความรู้สึกตรงนั้น ไม่ใช่ทำความเฉยๆ ไม่ใช่บังคับ บังคับเป็นองค์ฌาน เราต้องรู้ตัวนั้น เมื่อรู้ตัว ใจเข้าหาข้างใน ไปหาที่เกิดของความรู้สึกเนี่ยเป็นองค์มรรค อย่าส่งออกนอกโดยเด็ดขาด อย่าไปโกรธว่าคนนั้นทำให้เราโกรธแล้ว อย่าไปลงบนหัวเขา ถ้าลงหัวเขาในธรรมะคำสอนเรียกว่าเป็นสมุหทัย ทำให้เกิดทุกข์ซ้ำซาก พูดให้เข้าใจง่ายคือ ส่งออกนอก ส่งไปทะเลาะกับเขา ส่งไปหาโรงพัก ตัวสมุหทัยเนี่ยคือ ตัวโรงพัก เพราะส่งออกไปทะเลาะกับเขา ถ้าส่งเข้าใน ส่งเข้าหาความรู้สึก เป็นองค์มรรค ถ้าเรารู้สึกความโกรธ ความโกรธของเราตั้งอยู่ตรงไหน อย่าส่งไปหาเขา ให้ส่งเข้าหาตัวเรา เนี่ยเป็นองค์มรรคเพราะทำความรู้สึกตรงนั้นให้ถึงฐานของจิตที่เกิด ที่มาปะทะ กับปากส้วม เพราะทุกอย่างมันต้องมีปากให้เข้า โถนก็มีปากให้เข้า ฐาน ส้วมก็มีปากให้ใส่ มันไม่เต็มต่อความรู้สึก มันไม่เต็มต่อการที่เราไปใส่ เนี่ยเรียกกรรมฐานขึ้นมา ถ้าเราทำความรู้สึกตรงนั้นไม่ได้เราก็เป็นทุกข์ เราไม่ได้ปล่อยความรู้สึก เราเก็บความรู้สึกนั้นไว้ เราก็เป็นทุกข์ ถ้าเราได้ปล่อย มันก็หมดทุกข์ ปล่อยเข้าข้างในก็หมดทุกข์ ปล่อยออกข้างนอก ก็หมดทุกข์ ฐาน โถน มันเกิดขึ้นกับกรรมของเรา เรื่องของกรรมของเรา เกิดขึ้นที่เราเป็นมา แล้ว เมื่อมารู้แล้ว สิ่งนี้ก็ต้องเป็นอย่างนี้อยู่ เลยมาเกิดความเบื่อหน่ายเท่านั้น บังคับสิ่งนั้นไม่ได้ แต่รู้ได้ก็เบิกบาน เบื่อหน่ายไม่เอาอีกแล้วต่อไป ขี้เกียจทำภาระกับไหลเข้า ไหลออกตลอด ไม่ได้อะไรเลย ที่เป็นแก่นสาร คือทุกข์เท่านั้น เพราะไม่ได้เข้า ก็ทุกข์ ไม่ได้ออก ก็ทุกข์ ทุกข์เป็นแก่น ความสุขเป็นเปลือกนิดเดียว อะไรกระทบนิดเดียว สุขหมดแล้ว พระพุทธเจ้าเลยให้ทำความรู้สึกในทุกข์ ถ้าทุกข์นี้จบไป ก็จบพรหมจรรย์ เพราะพรหมจรรย์กับทุกข์นี้ คือเท่ากัน คำว่าพรหมจรรย์ ที่จบไปได้ ก็จบไปข้างหนึ่ง คำว่ากาม นี่หมายถึงสอง ถ้าไม่เป็นสองไม่เป็นกาม สองคือความรู้สึก สุข ทุกข์ เหล่านั้น ที่สุดของทุกข์ก็คือที่สุดของกาม ทุกข์ดับไป ไม่มีอะไรเหลือ เหลือแต่ความรู้สึกเท่านั้น พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว จบอยู่ในทุกข์นั้นดับ ถ้ามีสุขอยู่ ก็คือคู่กัน อันนี้ทุกข์ดับไปแล้ว ก็เหลือแต่สุขเท่านั้น สุขล้วนๆเลยมันไม่มีกาม เพราะอันหนึ่งแตกหักไปแล้วก็หมดปัญหา ทรงไว้ซึ่งความรู้นั้น ธรรมะคำสอนย่อให้สั้นคือความรู้ รู้สุข รู้ทุกข์ เราอย่าเอาความคิดของเราเข้าไปใส่ เรารู้สองอย่างนั้น แล้วทำความเบื่อหน่ายในสองอย่างนั้น คือทำความผ่องแผ้ว ปัญหาก็จบ พิจารณาให้ถึงใจ ให้มันถึงจิต ให้มันถึงกรรมฐาน ให้มันถึงกรรมโถน รู้ว่าสกปรกทั้งหมดแหละ โถนภายนอก ภายใน ทำอะไรไม่ได้ตรงนั้น ได้แต่รู้ได้อย่างเดียวเท่านั้น เพราะทุกอย่างเราบังคับไม่ได้หมด แต่เรารู้ได้ พระพุทธเจ้าบอกแล้วว่าการมาปฏิบัติตรงนี้ ให้รู้เท่าทันสิ่งนี้ ทำสติให้เท่าทันสิ่งที่พระพุทธเจ้าบอกไว้ คือปฏิสังข์ เราสั่งไว้แล้ว เธอก็พิจารณาไปเถอะ เธอจะใช้อะไร จะทำอะไรพิจารณาอยู่ตลอด สติเป็นผู้ตื่นอยู่ตลอด ทันต่อการสัมผัสในปัจจัยสี่เหล่านั้น ที่จะมาถูก ต้องเรา ทำความรู้สึกอยู่ตรงนั้นตลอดเป็นราตรีเดียว อยู่กับความรู้สึกตลอด อยู่กับผู้รู้ตลอด ก็ปฏิบัติพอดี ปฏิบัติตามผู้รู้ของเราพอดี ไม่ขาด ไม่เกิน ปฏิบัติเพื่อบำบัด บำบัดเวทนาไม่ให้กำเริบ ที่เราไปถ่ายให้ก็ไม่ให้มันทุกข์มาก ถ้าเราอดไว้นาน มันก็ทุกข์มาก เลยต้องไปถ่ายใส่โถน ถ่ายใส่ฐาน อย่าให้มันทุกข์นาน อย่าให้มันกำเริบด้านเข้าก็เหมือนกัน ทานเข้าไป อุปทาน ก็คืออุปกิน กินอารมณ์เนี่ยแหละ เราไปยึดถือ ติดทั้งรูปธรรม นามธรรม อาหารทานเข้ารูปาก เสียงทานเข้ารูหู กลิ่นทานเข้ารูจมูก รูปทานเข้ารูตา จริงๆเรากินใส่เข้าไปเพื่อบำบัด ไม่ให้ทุกข์มาก ไอ้ติดรสชาด นั่นแหละ ตัวสำคัญ ไปหลงตรงนั้น ไปปรุงแต่งต่อเติม ความอยากตรงนั้นก็เป็นทุกข์อีกนั่นแหละ ถ้าเกินความพอดีก็ทุกข์ ความพอดีคือที่ถูกต้อง ขาดก็ทุกข์ เกินก็ทุกข์ กินน้อยก็ทุกข์ มันไม่เต็มกับท้องก็เป็นทุกข์ มากเกินก็เป็นทุกข์ เสียงดังเกินก็เป็นทุกข์ เสียงแผ่วไป ก็ทุกข์ ถ้าเราไม่รู้จักตรงนี้ ก็เป็นพาวน ทั้งหมด ไม่รู้เรื่องกรรมโถน กรรมฐาน เรื่องของตนทั้งหมด ไม่รู้เรื่อง มืดทึบ เขาเรียก อวิชชา ตรงนี้ เรากำไว้หมด กำความมืด ความไม่รู้สึกเท่าทันความเป็นจริง นี่เป็นเรื่องของเราทั้งหมด ไม่ใช่เรื่องคนอื่น เพราะหู ตา ของใคร ก็ของคนนั้น ทำประโยชน์ กับคนนั้น ท้องของใคร ก็ต้องถ่ายให้คนนั้น ถ่ายให้แทนไม่ได้ รูปะ ของใคร ก็ต้องของคนนั้น ด้านออก ก็ออกแทนกันไม่ได้ จึงเรียก อัตตาหิ อัตตาโนนาโถ กรรมของตนทั้งหมด ไม่มีใครทำให้ใครได้ ที่ทุกข์มาก ทุกข์เพิ่ม เพราะเราขาด เราเกิน รู้อย่างนี้ แต่พูดขาดบ้าง พูดเกินบ้าง ไม่พูดตามความพอดี เลยเป็นทุกข์ เพราะเอาความคิดไปบวกกับความรู้ ที่มันเป็นจริงเลยเป็นโทษ มันเหลือกรรม เพราะกำไม่พอดี ถ้ารู้หมดเป็นเจ้าของความรู้ จึงชื่อพระพุทธเจ้าขึ้นมา เจ้าของรู้ความเป็นจริงขึ้นมา การที่เยี่ยวไม่สุด ขี้ไม่สุด แล้วเป็นทุกข์จะไปโทษใคร เพราะไม่ทำให้ถึงที่สุดของทุกข์ เหมือนคนกินข้าว คนกินง่าย เคี้ยวง่าย เคี้ยวหมดเลย ก็อิ่มเร็ว ก็หายทุกข์เร็ว คนกินข้าวช้า ทุกข์มาก เลือกมาก อันนี้ฉันก็กินไม่ได้ อันนั้นก็กินไม่ได้ กินข้าวพร้อมกันให้เลิกพร้อมกันมันไม่ได้ ให้ชอบเหมือนกันก็เป็นไปไม่ได้อีก ตักมาแล้วนั่งกินจุ๊บๆจิ๊บๆ ไม่เสร็จสักทีจะโทษใคร ถ้ากินง่าย อะไรก็ ยัดเข้าไปๆ ก็เต็มท้อง ก็เสร็จเท่านั้นแหละ เอาความอิ่มเป็นหลัก กินเข้าไปก็อิ่มเท่านั้นแหละ เราก็เอาความทุกข์เป็นหลัก ถ้าหมดทุกข์ก็ใช้ได้ คนเราถ้าเข้าใจตรงนี้ ก็เข้าใจศาสนาได้ที่หลับที่นอนขึ้นมา ก็ได้อยู่สบาย ใจสบาย กายสบาย ก็สมบูรณ์ขึ้นมา
Create Date : 01 กุมภาพันธ์ 2552 |
|
35 comments |
Last Update : 1 กุมภาพันธ์ 2552 1:35:39 น. |
Counter : 1268 Pageviews. |
|
|
|