ปฏิบัติภาวนา ไม่ได้ง่ายๆ นะ ดูเหมือนง่าย แต่ไม่ง่าย ดูเหมือนจะไม่ยาก แต่ยาก หลวงปู่ดูลย์ กล่าวว่า การปฏิบัติธรรมไม่ยาก แต่ยากสำหรับผู้ไม่ปฏิบัติ...นี่เป็นส่วนนึงที่ตัวเองได้ถามผู้รู้ในกระดานดูจิตค่ะ เลยนำมาโพสต์ให้ได้อ่านกันการดูกาย ดูใจเรียน คุณสุรวัฒน์เคยได้ตั้งกระทู้ถามคุณสุรวัฒน์ตั้งแต่สมัยคุณสุรวัฒน์เขียนในบอร์ดวิถีชาวพุทธ สมัยโน้น ตอนนั้นยังเป็นฆราวาสอยู่เลยค่ะ ได้เริ่มหัดดูจิต แล้วก็ได้เข้ามาถามคุณสุรวัฒน์เรื่องทำสมถะไปด้วยได้หรือไม่ (คำถาม-ตอบที่ 4,5)พอเราได้อยู่วัด สถานที่สงบจริงๆ การทำสมถะง่ายกว่าอยู่เมือง จนเห็นผู้รู้ ตรงนี้เลยมีโอกาสได้กลับมาฟังธรรมะหลวงพ่อปราโมทย์อีกครั้ง เพราะเพิ่งติดอินเตอร์เนทที่วัด ได้อ่านธรรมะหลวงพ่อด้วย ตรงที่ท่านบอกว่า อย่าย้อนกลับไปดูผู้รู้ เพราะว่าผู้รู้จะกลายเป็นผู้ถูกรู้ทันที ตรงนี้เริ่มเห็นชัดแล้วค่ะว่าใช่จริงๆ อย่างที่หลวงพ่อพูดไม่มีผิด มันเลยทำให้ไม่กล้าลงนั่งสมาธิอีก ตรงนี้แหละคิดว่าเป็นปัญหา (หรือเปล่า) เพราะครั้งหนึ่งเคยนั่งๆ อ่านธรรมะอยู่ตรงหน้าคอมฯค่ะ อยู่ๆ จิตมันโพล่งขึ้นมาว่า ผู้รู้ก็ไม่ใช่ ตัวที่ไปรู้ก็ไม่ใช่ ตรงที่ออกไปรู้มันเป็นขันธ์ ขันธ์ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ เอ๊ะ..งั้นเรามันไม่มีอะไรเลยนี่ ตรงนี้ที่สภาวะจิตมันแปลกมาก มันสว่างโล่ง แจ้ง เพราะเมื่อก่อนมันยังเชื่อเรื่องเรายังเป็นขันธ์ห้า ตอนนี้มันวางขันธ์ แต่แม่ชีก็กลัวจะโดนจิตมันหลอกเอาเหมือนกันค่ะ กลัววิปัสนู แต่สภาวะมันเกิดอิ่มปีติไปเจ็ดวัน พอมีโอกาสได้กลับมาอ่านธรรมะหลวงพ่อปราโมทย์ (วิมุตติมรรค) กับฟังธรรมท่านในอินเตอร์เนท ทำให้รีบกลับมาดูกายดูใจใหม่ ถ้าไม่เผลอก็ดูไปทั้งวัน ส่วนมากจะเจอโมหะ จะกลับไปนั่งสมาธิ ก็กลัวจะไปติดผู้รู้อีก เพราะเวลามันนั่งแล้วมันจะดิ่งลงไปเลย ถ้ามีตรงไหนดำเนินภาวนาผิดไป ยินดีที่เริ่มนับหนึ่งใหม่เสมอค่ะแม่ชีกุ้งโดยคุณ ปล่อยวาง [วันที่ 06/10/2008 21:06] ความคิดเห็นที่ 1 Quote:ได้อ่านธรรมะหลวงพ่อด้วย ตรงที่ท่านบอกว่า อย่าย้อนกลับไปดูผู้รู้ เพราะว่าผู้รู้จะกลายเป็นผู้ถูกรู้ทันที ตรงนี้เริ่มเห็นชัดแล้วค่ะว่าใช่จริงๆ อย่างที่หลวงพ่อพูดไม่มีผิด มันเลยทำให้ไม่กล้าลงนั่งสมาธิอีก ตรงนี้แหละคิดว่าเป็นปัญหาอาการที่แม่ชีเห็นตรงนี้แล้วไม่กล้านั่งสมาธิ เป็นอาการปฏิเสธจิตผู้รู้ (เป็นโทสะอย่างหนึ่ง)จริงๆแล้ว ผู้รู้ไม่ใช่สภาวะที่เราจะปฏิเสธไม่เอา หรือกลัวผู้รู้นะครับถ้าผู้รู้จะเกิดก็ต้องเกิด เพียงแต่เกิดแล้วเราไม่ต้องย้อนไปดูเท่านั้นเองแค่สังเกตไป ก็จะเห็นเองว่า ผู้รู้ก็เกิดขึ้นชั่วคราวแล้วก็ดับไปไม่มีผู้รู้ที่เป็นตัวตนที่แท้จริงQuote:ครั้งหนึ่งเคยนั่งๆ อ่านธรรมะอยู่ตรงหน้าคอมฯค่ะ อยู่ๆ จิตมันโพล่งขึ้นมาว่า ผู้รู้ก็ไม่ใช่ ตัวที่ไปรู้ก็ไม่ใช่ ตรงที่ออกไปรู้มันเป็นขันธ์ ขันธ์ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ เอ๊ะ..งั้นเรามันไม่มีอะไรเลยนี่จากที่แม่ชีเล่ามา อาการตรงนี้จะต่อเนื่องกับอาการไม่กล้านั่งสมาธิข้างบนดังนั้นจึงมีความเป็นได้สูงที่ อาการตรงนี้ เป็นเพียงอาการของจิตที่แสดงความรู้ออกมาในรูปของความคิดจากที่ได้ยินได้ฟัง หรือได้ครุ่นคิดนึกถึงเรื่องผู้รู้ ซึ่งเป็นอาการจองจิตที่จัดเป็นอาการทางสมถะอย่างหนึ่งครับQuote:แต่แม่ชีก็กลัวจะโดนจิตมันหลอกเอาเหมือนกันค่ะ กลัววิปัสนู แต่สภาวะมันเกิดอิ่มปีติไปเจ็ดวัน พอมีโอกาสได้กลับมาอ่านธรรมะหลวงพ่อปราโมทย์ (วิมุตติมรรค) กับฟังธรรมท่านในอินเตอร์เนท ทำให้รีบกลับมาดูกายดูใจใหม่ ถ้าไม่เผลอก็ดูไปทั้งวัน ส่วนมากจะเจอโมหะ จะกลับไปนั่งสมาธิ ก็กลัวจะไปติดผู้รู้อีก เพราะเวลามันนั่งแล้วมันจะดิ่งลงไปเลยดีแล้วครับที่แม่ชี เกิดเฉลียวใจแล้วกลับมาดูกายดูจิตใหม่ส่วนเรื่องนั่งสมาธิ แม่ชีก็ไม่ต้องกลัวไปติดผู้รู้หรอกครับเพราะเวลาที่เราดูกายดูจิตไป จิตจะอ่อนกำลังลงซึ่งการพักจิตก็มีความจำเป็นนะครับถ้าไม่กล้านั่งสมาธิ ก็ใช้การสวดมนต์ เกินจงกรม เพื่อเป็นการทำสมถะไปก็ได้ครับ โดยคุณ สุรวัฒน์ [วันที่ 07/10/2008 19:59] ความคิดเห็นที่ 2 โดยคุณ pin [วันที่ 08/10/2008 08:33] ความคิดเห็นที่ 3 สวัสดีค่ะ สาธุและขอบคุณสำหรับคำตอบที่แนะนำมาค่ะ ตอนนี้แม่ชีเองก็ไม่ค่อยได้ลงนั่งสมาธิมากนักค่ะ เพราะค้นพบว่าถ้าลงนั่งเมื่อไหร่มันไม่ค่อยจะได้ตามดูจิต เลยใช้เดินจงกรม หรือขยับเนื้อขยับตัว สร้างความรู้สึกไปทั้งวันค่ะ และก็ค่อยๆ ตามดูไป แต่ก็จะพยายามไม่ทิ้งสมถะ เพราะเข้าใจว่าเป็นการพักจิตค่ะแม่ชี