France in summer (โพรว๊องซ์ ปารีส เที่ยวเองได้ง่ายๆ ตอนที่ 1)
สวัสดีค่ะ
ห่างหายจากการเขียนอัพบล็อคมาเป็นปี วันนี้กลับมาขอโกอินเตอร์ไปยังจุดหมายในฝันตลอดกาลคือโพรว๊องซ์ ฝรั่งเศสในช่วงหน้าร้อน 7 วัน 6 คืนเที่ยวเองจริงเหนื่อยจริงกันค่ะ (จริงๆต้องมีทัสคานี่ที่อิตาลีด้วย แต่เวลาจำกัดต้องเลือกซักที่ก่อนล่ะกัน อิอิ)
การเดินทางไปฝรั่งเศสหน้าร้อนเป็นอะไรที่พิเศษสุด แม้ต้องผจญภัยกับนักท่องเที่ยวจำนวนมหาศาลเพราะเป็นช่วงพีคของเค้า จะเข้าชมอะไรที่ไหนก็ต้องเข้าคิวกันยาวมากๆๆโดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญในปารีสเช่นการขึ้นหอไอเฟล เข้าชมพิพิธภัณฑ์ลูฟว์ หรือเข้าชมพระราชวังแวร์ซาย แต่การเที่ยวหน้าร้อนก็ทำให้เราได้พบกับทุ่งลาเวนเดอร์อันสวยงาม แต่งตัวก็สบายๆเหมือนอยู่บ้านเรา และกลางวันยาวกว่าจะมืดก็สี่ทุ่ม ได้เที่ยวกันยาวคุ้มแน่นอนค่ะ
แต่ก็น่าเสียดายที่คราวนี้เราไปโพรว๊องซ์ช้าไปซักนิด เพราะสำหรับการชมทุ่งลาเวนเดอร์อันโด่งดังต้องไปช่วงกลางเดือนกค.จะสวยที่สุดนะคะ ซึ่งกว่าเราจะไปกันก็เกือบกลางเดือนสค.แล้ว เลยต้องหาข้อมูลกันว่ายังมีที่ไหนบ้างที่ยังพอจะเห็นลาเวนเดอร์บ้าง ก็มาทราบว่าจะมีเทศกาลตัดลาเวนเดอร์ที่เมือง Sault เลยคิดว่าถ้าไปถึงก่อนวันที่ 15 ก็ยังพอมีลุ้น หลังจากนั้นก็มาวางแผนการเดินทางค่ะ และเพื่อไม่ให้เสียเวลา เราเลยบินตรงเข้าโพรว๊องซ์ด้วยสายการแอร์ฟรานซ์ที่มีไฟลท์บินตรงกรุงเทพ-ปารีสตอนเช้าเก้าโมงครึ่งไปถึงปารีสหกโมงกว่าและเปลี่ยนเครื่องไปถึงมาร์กเซย์ตอนสองทุ่มกันเลย
ด้วยความจำกัดด้วยโค๊ดยาวๆในการสร้างบล็อค ทริปนี้จะแบ่งเป็น 3 ตอนนะคะ ตอนแรกเป็นตอนตามล่าหาลาเวนเดอร์ที่โพรว๊องซ์ เที่ยวเมือง Sault, Aix-en-Provence , Avignon และ Nimes ตอนที่ 2 เป็นตอนลัลล้าปารีส 1 และตอนที่ 3 ลัลล้าปารีส 2 เก็บตกกันเท่าที่เวลาจะอำนวยนะคะ
ทริปนี้ถือว่าต้องฉุกละหุกมาก ขอยืนขอวีซ่้าแบบด่วนวันพุธบ่าย ได้หนังสือเดินทางคืนมาวันศุกร์ เดินทางวันอาทิตย์เช้า หายใจหายคอกันแทบไม่ทัน ต้องขอบคุณผู้ประสานงานทุกท่านที่ทำให้ได้วีซ่าเชงเก้นฝรั่งเศสที่ว่ายากภายในชั่วข้ามคืน จุ๊บๆ ส่วนวิธีการยื่นขอวีซ่าให้ทำออนไลน์ที่ https://www.tlscontact.com/th2fr/login.php?l=th ได้เลยค่ะ และการขอวีซ่าฝรั่งเศสต้องทำประกันการเดินทางทุกคนนะคะ ทำกับที่ไหนก็ได้ เลือกแผนคุ้มครองตามสะดวก เราเลือกคุ้มครองแบบเบสิคที่สุด คุ้มครอง 8-10 วันจ่ายไปแค่ 477 บาทเองค่ะ
หลังจากได้วีซ่าและมีตั๋วแล้ว เราสามารถเช็คอินออนไลน์ล่วงหน้าง่ายๆภายใน 30ชม. โดยเข้าไปเช็คอินจากเวบของแอร์ฟรานซ์ www.airfrance.co.th หรือมาเช็คอินที่เครื่องอัตโนมัติที่สนามบินได้เลยค่ะ
และมีข่าวดีคือตอนนี้แอร์ฟรานซ์มีโปรโมชั่น Ready, set, go ไปปารีสด้วยราคาไม่ถึงสามหมื่นด้วยนะคะ สำหรับเดินทางภายในวันนี้ - 31 ธันวาคม 2556 สำรองที่นั่งออนไลน์ได้แล้วตั้งแต่วันนี้ - 2 ตุลาคม 2556 ดูรายละเอียดเมืองต่างๆได้ที่ //alturl.com/6z8xt หรือติดตามข่าวสารและโปรโมชั่นอื่นๆได้ที่ //www.facebook.com/AirFrance ได้เลยค่ะ
พอเช็คอินจากเวบล่วงหน้า 30 ชม.แล้ว ถึงวันเดินทางก็มาโหลดกระเป๋าน้ำหนัก 23 กิโลในวันเช็คอินสบายๆเลยค่ะ
นั่งดูทีวี เล่นเกมส์ อ่านหนังสือและชมวิวดูเมฆดูฟ้าสวยๆ
แป๊บเดียวก็ได้ทานมื้อแรกบนเครื่องกันแล้วค่ะ อาหารรสชาติดีทานง่ายอร่อยดีค่ะ เป็นคนชอบทานชีส ขนมปัง (แต่งานนี้มีเบื่อกันเลย อิอิ) ไปเที่ยวประเทศตะวันตกอยู่สบายเลยค่ะ แถมบินสายการบินฝรั่งก็ดีไปอย่างคือเค้าจะเสริฟ์ไวน์มาพร้อมอาหาร ไม่ต้องขอกันเลย ให้ไม่อั้นแต่ดื่มซักครึ่งขวดก็เมาแอ๋หลับปุ๋ยรอพนักงานมาปลุกทานอาหารว่างมื้อต่อไปแล้วล่ะค่ะ
มีโปรแกรมสอนภาษาฝรั่งเศสแบบเบสิคบนเครื่องด้วย มีทั้งคำทักทายหรือประโยคสั้นๆให้คนที่ไม่มีพื้นฐานภาษาฝรั่งเศสได้พอเอาตัวรอดระหว่างเดินทางท่องเที่ยวได้บ้าง แถมมีแบบทดสอบให้คะแนนด้วยนะคะ น่ารักดี
เผลอแป๊บเดียวก็จะถึงปารีสแล้ว ได้หม่ำอาหารว่างกันอีกมื้อแล้วค่ะ เย้
12 ชม.บนเครื่อง เผลอแป๊บเดียว ก็ถึงปารีสแล้วจ้า เราต้องไปต่อเครื่องเพื่อไปมาร์กเซย์ Marseille กันต่อเลย
เครื่องจะไปถึง Terminal 2F เดินไปไม่นานก็เจอตม.เราตรวจหนังสือเดินทางกันที่นี่เลยค่ะ
ทริปนี้่ค่อนข้างโหดซักนิดเพราะบินยาวต่อไป Marseille เลยเพื่อจะได้ประหยัดเวลาถึงโพรว๊องซ์เร็วๆ กลัวเค้าตัดลาเวนเดอร์ไปหมดจังเลย
ถึง Marseille ประมาณสองทุ่มค่ะ แต่ยังไม่ได้พักนะคะ เพราะต้องออกมารอรถบัสเพื่อไปเมือง Aix-en-Provence กันต่อ ค่ารถไป Aix-en-Provence 7.60 ยูโร ซื้อตั๋วได้ที่คนขับเลยค่ะ
เดินออกมาก็เจอป้ายรถเบอร์ 1 เพื่อไป Aix-en-Provence กันเลย
แผนที่การเดินทางของเราในสองวันแรกของเรา
Marseille - Aix-en-Provence - Carpentras - L'Isle-sur-la-Sorgue - Carpentras - Sault
จากสนามบินมาร์กเซย์ เราใช้เวลาเดินทางโดยรถบัสประมาณ 30 นาทีก็ถึงเมือง Aix-en-Provence แล้ว คืนนี้เราพักที่นีคืนนึงก่อนจะเดินทางไปเมือง Sault ในวันรุ่งขึ้น แต่พอลงจากรถแล้ว ก็มึนเลยเพราะเมืองเงียบมาก ไม่มีรถโดยสารวิ่งเลยและไม่รู้จะไปโรงแรมยังไง เลยเดินลากกระเป๋าไปตามถนนหาโรงแรมกัน ลากไปหลงไปถามไปประมาณครึ่งชม.ก็เริ่มหวั่นไหว เพราะเริ่มมืดแล้วเมืองเล็ก เงียบมาก เลยต้องให้คนแถวนั้นโทรเรียกแท๊กซี่ให้มารับ ยืนรอแท๊กซี่กันตรงนี้เลยค่ะ
เสียค่าแท็กซี่ไป 10 ยูโร ถึงโรงแรมก็เจอเพื่อนอีกคนรออยู่แล้ว เป็นการเดินทางวันแรกที่ยาวนานมาก ตื่นตี 5 เพื่อจะไปเช็คอินไฟลท์ 9 โมงครึ่ง กว่าจะถึงโรงแรมที่ Aix-en-Provence ก็สี่ทุ่มกว่าหรือเวลาประมาณตีสามกว่าเมืองไทย เกือบน็อครอบกันเลยทีเดียว อิอิ อ้อ เวลาที่ฝรั่งเศสจะเร็วกว่าเรา 5 ชม.นะคะ
โรงแรมคืนล่ะ 55 ยูโร สะอาดสะอ้านดูดีมาก
เช้าวันรุ่งขึ้นก็เรียกแท็กซี่เข้าเมืองซึ่งอยู่ไม่ไกล เพื่อเข้าไปเดินเล่นชมเมือง (พร้อมกระเป๋าเดินทาง ) ก่อนจะเดินกลับมาขึ้นรถบัสเพื่อไปเมือง Carpentras และต่อไปเมือง Sault อีกที เดินเล่นในเมือง แสงยามเช้านี่มันซ้วยสวย น่าเดินเล่นจริงๆ ยิ่ง่ถ้าสามารถเดินตัวปลิวสะพายแต่กล้องจะยิ่งดีมากๆ แต่บังเอิญเราต้องลากกระเป๋า 2 ใบไปเดินเล่นกับเราด้วย เลยออกจะทุลักทุเลไปซักหน่อย
เมือง Aix-en-Provence เป็นเมืองเก่าเล็กๆที่น่ารักน่าเดินเล่นมากๆ บ้านเรือนสร้างด้วยก้อนหินก้อนใหญ่ ดูทึบๆพอเข้าโซนเมืองเก่า พื้นถนนก็เป็นหิน เดินลากกระเป๋าไปลุ้นไปว่าล้อกระเป๋าชั้นจะอยู่ครบถึงวันกลับมั้ยเนี่ย อิอิ
กระเหรี่ยงไทย ไปไกลทั่วโลกค่ะ เดินลากกระเป๋าไป ถ่ายรูปไป สนุกดี ขำๆ อิอิ
ตลาดขายผลไม้ ข้าวของในเมือง ผักผลไม้สดน่าทานไปซะทุกอย่างเลย
ฟ้าสวยใสกิ้งงงงงง เสียดายทริปนี้ไม่ได้ติด CPL มาตัดแสง ไม่งั้นคงจะได้ภาพฟ้าสีแจ่มกว่านี้แน่ๆ
บ้านเรือนน่ารักเชียวค่ะ มีซอกซอยให้ได้สำรวจมากมาย แต่เวลามีจำกัดต้องรีบกลับไปขึ้นรถบัสเลยเก็บภาพมาได้นิดหน่อย (จริงๆมีเกือบร้อยรูปนะคะ เอาไว้มีเวลาอาจจะขยายความเมืองนี้แบบเจาะลึกทุกช๊อตก็ได้)
เรานั่งรถไปถึงเมือง Carpentras ค่ารถ 14.2 ยูโรและต้องต่อรถไปเมือง Sault (ค่ารถตู้ 2 ยูโร) ตอนเที่ยง แต่เราอ่านตารางรถผิด ไม่ได้ดูวันซึ่งระบุไว้เป็นภาษาฝรั่งเศส วันที่ไปดันไม่มีรถตอนเที่ยง มีอีกเที่ยวก็หกโมงเย็น งานเข้าเลยทีเลย เอาไงดีล่ะ จะฆ่าเวลายังไงอีก 6 ชม. แล้วไปถึงจะทันดูลาเวนเดอร์มั้ย??
ก็คุยกันสรุปว่า เราทำอะไรกันไม่ได้ ออกไปหาเมืองเที่ยวกันดีกว่า เลยมาลงเอยที่เมือง L'Isle-sur-la-Sorgue (เรียกสั้นๆว่าลาซอร์) เมืองเล็กๆน่ารักที่เราเพิ่งนั่งรถบัสผ่านไปตะกี้ อิอิ
ภายในโบสถ์ประจำเมือง สวยงามมากๆๆๆ
นั่งพักเอาแรงก่อน ป้าหมดแรงจ้า
โรงแรมน่ารักมากๆๆในเมืองที่เล็งเอาไว้ ถ้ากลับมาที่นี่อีก จะขอพักที่นี่ล่ะจ้า
(รูปยังมีอีกมากแล้วจะมาใส่เพิ่มอีกครั้ง)
หลังจากแยกย้ายเดินเที่ยวชมบรรยากาศท่องเที่ยวที่คึกคักของเมืองนี้กันพอสมควร ก็นั่งรถบัสกลับมาที่เมือง Carpentras (ค่ารถเที่ยวล่ะ 2 ยูโร) เพื่อกลับมารอรถเพื่อไปเมือง Sault จุดหมายของเรากันอีกครั้ง
ใช้เวลานั่งรถตู้ไปเมือง Sault ประมาณชั่วโมงนึง ระหว่างทางผ่านเมืองเล็กๆน่ารักหลายเมืองและทิิวทัศน์สวยงามของโพรว๊องซ์ ใจก็เริ่มเต้นตุ๊บๆและลุ้นกันบนรถว่าจะทุ่งลาเวนเดอร์เหลือให้เราดูอีกหรือปล่าว?? เมือง Sault อยู่สูงบนเนินเขาซึ่งอยู่ในหุบเขาอีกที ที่ผ่านมาเห็นทุ่งลาเวนเดอร์เหลืออยู่บ้างแต่ตัดไปก็เยอะ ปัญหาคือเราไม่ได้เช่ารถขับ แล้วเราจะไปเที่ยวทุ่งกันยังไง? ซึ่งก็เหลือวิธีเดียวคือเดิน ซึ่งดูทำเลแล้ว รับประกันความแฮ่ก งานนี้เหนื่อยแน่ๆๆ
ถึงเมือง Sault แล้วค่า น่ารักมั้ยคะ?
ไปถึงเมืองก็เดินหาโรงแรมกันต่อ อิอิ
เด็กน้อยชาวโพรว๊องซ์น่ารักมากๆๆ
ไปถึงโรงแรม (ซึ่งจะเอารูปมาขยายอีกที) ก็หาทางเดินลงเขาเป็นกิโลไปหาทุ่งลาเวนเดอร์ที่ใกล้ที่สุดกันเลย
และก็เจอทุ่งเล็กๆริมทาง
กระเหรี่ยงบล็อคเกอร์ไทย เพื่อนร่วมทริป 2 คนค่ะ
เย้ๆๆ ทุ่งลาเวนเดอร์ที่โพรว๊องซ์ในฝันยังพอมีให้เห็นบ้าง เราเดินชมกันสองทุ่ง เห็นแบบนี้ก็เสียดายว่าถ้าเรามาเร็วกว่านี้ซักสองสามอาทิตย์ ทุ่งลาเวนเดอร์แถวนี้ก็น่าจะบานสะพรั่งสวยงามกันทั้งหุบเขาแน่ๆ
แต่ไม่เป็นไรค่ะ ได้แค่ไหนแค่นั้น อุตส่าหดั้นด้นข้ามน้ำข้ามมหาสมุทรมาถึงโพรว๊องซ์ในฝันทั้งที ต้องตักตวงความสุขกันหน่อย
ชนบทฝรั่งช่วงหน้าร้อนนี่มันน่าอยู่ซะจริงๆ อากาศดี ลมโชย แสงงาม มืดช้า เดินผ่านบ้านคนก็เห็นคนออกมานั่งคุยไปจิบไวน์ไปนั่งชมพระอาทิตย์ตกดินกันที่หน้าบ้านไป ช่างมีความสุขเหลือเกิน
หลังวิ่งดู 2 ทุ่งแล้วก็ต้องเดินขึ้นเขากลับไปเมือง Sault กันอีก งานนี้เหนื่อยมากเพราะตะลอนกันทั้งวันแล้วแต่ก็ชื่นใจ หอมกลิ่นลาเวนเดอร์ หายใจคล่อง อากาศกำลังสบาย บรรยากาศดีสดชื่นมากๆ ทำให้การเดินขึ้นเขาที่คิดว่าไม่ไหวแล้วจนต้องโบกรถ (แต่ไม่มีใครรับ 5555) เลยต้องเดินขึ้นเขากลับมาเดินถึงเมืองได้เองซะงั้น บอกแล้วว่าแรงฮึดก๊อก 234 ของมนุษย์มันมีจริงๆ
กลับมาถึงเมืองก็มืดสี่ทุ่มกว่าแล้ว เดือดร้อนต้องหาอาหารทานกันก่อน ร้านอาหารก็ปิดกันไปแทบหมดโชคดี ที่เมืองทีงานวัดฝรั่ง มีเกมส์ ม้าหมุน รถขับ ร้านขายแซนวิช ขายพิชซ่าให้ได้รองท้องกัน ที่นี่พิซซ่ารถตู้จะขายกันตั้งแต่ถาดล่ะ 8 ยูโรขึ้นไป เราสามคนทานกันคนล่ะสองสามชิ้นก็เกือบอิ่มแล้ว แต่เห็นฝรั่งทานกันคนล่ะถาดเลยนะคะ
ทานเสร็จก็เดินขาลากกลับที่พัก ได้นอนพักซักที สองวันแรกของทริปนี้ทุลักทุเลพอสมควรแต่ได้รสชาติของชีวิตมากมาย ทั้งบินยาวข้ามทวีปแล้วต่อเครื่อง ต่อรถบัส ลงรถเดินหาโรงแรม ต่อแท๊กซี่ ถึงโรงแรม อีกวันก็นั่งรถ ตกรถ ต่อรถกันสองสามต่อ กว่าจะมาถึงเมืองยังไม่ทันพักก็ชวนกันเดินขึ้นลงเขาไปดูลาเวนเดอร์กันอีก แถมทริปนี้มีอุบัติเหตุที่ทุ่งลาเวนเดอร์นิดหน่อย คนสวยมักจะซุ่มซ่ามแบบนี้เสมอ สรุป โหดมันฮาสนุกสุดๆค่ะ :-)
แถมของฝากจากโพรว๊องซ์ อิอิ
เมือง Sault น่ารักมาก อยู่บนเนินสูง มองวิวสวยๆของโพรว๊องซ์ได้เต็มตา เป็นเมืองที่ปลูกลาเวนเดอร์เยอะมากๆ เคยอ่านเจอบางเวบบอกว่าเป็น Capital of lavender เลยด้วยซ้ำ แต่พูดแบบนี้อาจจะมีหลายเมืองประท้วงเอาได้นะเนี่ย อิอิ เสียดายที่เราไปถึงกันช้าไปนิด เค้าตัดไปเยอะแล้วเหลือให้เห็นกันไม่กี่แปลงแต่ก็ถือว่าได้ประสบการณ์เที่ยวโพรว๊องส์ชมลาเวนเดอร์ในฝันอย่างสมใจค่ะ แต่แนะนำใครที่อยากจะเที่ยวโพรว๊องส์ให้เช่ารถขับจะดีกว่า และถ้าขับเกียร์แมนน่วลได้จะเช่าได้ถูกมากกว่าเกียร์ออโต้สองสามเท่าเลยนะคะ ซึ่งจริงๆเราก็จองรถเช่าไปแต่มีเหตุขัดข้องติดขัดที่เมืองไทยนิดหน่อย ต้องยกเลิกเช่ารถไป เลยต้องมาเดินลุยทุ่งกันเองแบบนี้
บ้านเรือนหน้าต่างบานประตูของชาวโพรว๊องซ์น่ารักจริงๆ ถูกใจมากๆ
หาซื้ออาหารเช่ากันที่นี่ค่ะ
นั่งรถตู้ 2 ยูโร (ถูกมากๆๆ) กลับไปเมือง Carpentras เพื่อขึ้นรถบัสไปเมือง Avignon เมืองมรดกโลกกันต่อเลยจ้า
วิวสวยๆเมืองน่ารักระหว่างทาง
แผนที่การเดินทางวันนี้
Sault - Carpentras - Avignon - Nimes - Avignon - Marseille
หลังจากถึง Avignon ก็เดินลากกระเป๋าเข้าโรงแรมก่อนเลย ซึ่งโรงแรมอยู่ไม่ไกลจากสถานีรถเดินลากกระเป๋าแกรกๆซักยี่สิบนาทีก็ถึง หลังจากเช็คอินพักหายใจแล้วก็เตรียมตัวออกเดินทางไปเมือง Nimes กันเลย
Avignon เป็นเมืองมรดกโลกทั้งเมือง เป็นเมืองน่ารักน่าชังจริงๆ
การเดินทางไป Nimes ทำได้ทั้งรถบัสและรถไฟ เราเลือกที่จะเดินทางโดยรถไฟเพราะสะดวกรวดเร็วกว่า ใช้เวลาเดินทางแค่ชั่วโมงเดียว 9.4 ยูโรก็ไปถึง Nimes แล้วค่ะ
ไปสนามสู้วัวกระทิง ( Arènes de Nîmes) สัญญลักษณ์ของเมืองกันก่อนเลย ซึ่งเราสามารถเดินไปจากสถานีรถไฟประมาณสิบยี่สิบนาทีก็ถึงแล้วจ้า
ไปถึงอารีน่า แห่งเมืองนิมส์ (ออกเสียงฝรั่งเศสว่าไงเนี่ยย?) แล้วจ้า
เมือง Nimes สามารถเดินเล่นได้ทั่ว มีร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก มุมสวยๆบ้านเรือนสถาปัตยกรรมที่สวยงาม เดินเล่นเพลินเลยค่ะ
ทริปนี้เป็นทริปที่เดินเยอะที่สุดในสามโลก แม้จะเหนื่อยแต่ก็สนุกมากเป็นการเดินทางที่ได้รสชาติมาก เพราะอยู่เมืองไทยจะเที่ยวเป็นคุณนาย รถถึงเรือถึงนอนโรงแรมสวยๆเป็นส่วนใหญ่ มาคราวนี้ต้องเดินกันอย่างน้อยวันล่ะ 8 ชม. ไหนจะต้องอันแพ็ครีแพ็ค เดินยกลากกระเป๋านน.รวม 2 ใบ 30 กิโลขึ้นลงรถไฟ รถบัส เมโทรย้ายรร.กันทุกวัน (วงเล็บหน่อยว่าเมโทรฝรั่งเศสแทบจะหาบันไดเลื่อนหรือลิฟท์ไม่ได้ เพราะฉะนั้น คนที่จะมาแบกเป้ลากกระเป๋าเที่ยวเองต้องฟิตร่างกายมาพอสมควรนะคะ) ตอนนั้นรู้สึกว่าใช้ร่างเกินลิมิตกว่าชีวิตปรกติไปมากแต่ก็ทำให้เชื่อว่าอะไรที่เราคิดว่าเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปได้ แรงฮึดก๊อก 234 ที่แอบอยู่ตอนกินๆนอนๆอยู่เมืองไทย ถูกขุดเอามาใช้ในทริปนี้จนหมด แม้จะดูเป็นสิ่งเล็กน้อย แต่ก็แอบภูมิใจเล็กๆที่สามารถผ่านความลำบากตรงนั้นมาได้ เย้
เดินกลับสถานีรถไฟกลับ Avignon
ทิวทัศน์เมืองอาวีญอง สวยงามจริงๆ
ห้องนี้หลอนจัง
บล็อคยาวเกินไปซะงั้น เลยรีวิวไม่จบตอนโพรว๊องซ์ งั้นขอยกยอดสะพานเมืองอาวีญองยามเย็นที่งามหยดไปไว้ในตอนที่ 2 ลัลล้าปารีสนะคะ
Create Date : 14 กันยายน 2556 |
Last Update : 27 กรกฎาคม 2557 19:16:13 น. |
|
21 comments
|
Counter : 2846 Pageviews. |
 |
|
อยากกลับไปเที่ยวอีกรอบ