บล็อก- blog เปรียบเสมือนสมุดไดอารี่เล่มใหญ่ที่สุดของผม
|
|||
นิยาย " จันทรากินรี " โดย เหมชาติ ทอง -- ( ตอนที่ 1. ) นิยาย " จันทรากินรี" - เหมชาติ ทอง ( ตอนที่ 1. ) 1. ** เปิดป่าหิมพานต์ ** . " พนาพฤกษ์ แลลึกลับ กับมวลไม้ หามีใคร รู้ว่า มีอาถรรพ์ ซ่อนเร้นเมือง หลบไว้ หลังไพรวัลย์ ประตูป่า ถูกปิดกั้น ทางสัญจร " . . . ป่าเบื้องหน้ารกทึบ ปกคลุมด้วยสี เขียวเข้มของมวลไม้สูง อีกทั้งเถาวัลย์ นานาพันธุ์ก็งอกงาม เลื้อยไต่กระหวัดกิ่ง โน้นนี้ไปทั่ว พันเกี่ยว และแตกเส้นสาย เถาใบแทรกแน่นหนา . จนภาพตรงหน้าคือป่าปิด . . ที่เหมือนจะปิดสนิท ไร้ช่องทางใดๆ ไม่อยากคิดว่า จะมีใครที่สามารถบุกฝ่าเข้าไป ในแมกไม้ที่ขึ้นเบียดเสียดจนดูมืดครึ้มอย่างนั้น ได้ . แล้วบรรยากาศรอบๆ มันก็ช่างสงัดวังเวง เหมือนป่าแห่งนี้จะไร้ซึ่งสรรพสิ่งมีชีวิตอาศัย . ประหลาดนักที่ทั้งป่าเงียบ ปราศจากเสียง นก เสียงชะนี เสียงค่าง อย่างป่าดงดิบอื่นๆ . แต่รู้ไหม ? ตรงนี้แหละ มันคือ " ประตูป่า " . . ใช่แล้ว -ประตูป่า หรือประตูมิติแห่งกาล เวลา ที่กางกั้น ซ่อนเร้นโลกลี้ลับไว้เบื้องหลัง . . หยิบจีบพลู พร้อมหมากผ่า และช่อดอก กาสะลองคำ สีเหลืองหมากสุกที่หายาก ต้อง สอยเก็บจากต้นที่อยู่สูง ริมหน้าผาไกลโน้น มา เพื่อการนี้ ส่วนเสริมอีกอย่าง คือขนมต้มขาว ต้มแดง ที่ปู่ย่าตายายกำชับนักว่าต้องมี เพราะวิญญาณ ภูตเร่ร่อน ผีไพร และผีพง ชอบกินนัก . . มา - เราจะมาทำพิธีเปิดประตูป่ากัน . . . มนตร์แห่งเวท ได้ถูกจารึกไว้บนใบลาน โดยฤๅษีตนหนึ่ง ผู้มาบำเพ็ญพรตในถ้ำที่อยู่ห่าง จากที่ตรงนี้ไปเพียงชั่วเดินเท้าครึ่งวัน . มีผู้พบมันในย่าม ข้างกายแน่นิ่ง ที่ละสังขาร แล้วของท่านฤๅษี . คำจารึก-เป็นภาษาแปลกประหลาด ที่ไม่อาจเดา แหล่งที่มา หรือระบุชนเผ่าเจ้าของภาษาได้เลย . แต่เหมือนมันจะดลใจให้ผู้ที่ถือมันสามารถอ่าน เป็นภาษาเทพได้เอง - แบบซ้ำๆ . . และขณะนี้ ตรงหน้าสะตวงของหมากพลู ดอกไม้ และขนม ที่วางไว้กับพื้นหญ้าเพื่อบูชาป่า ก็คือบท สวดเปิดป่าหิมพานต์ ที่จะเริ่มร่ายเวทเป็นภาษาศิวะ เพื่อทำการขอเปิดประตูป่า ณ บัดนี้ . . . " อิสรา อัมโปรนี อันโตร เม ดรา . อิสรา อัมโปรนี อันโตร เม ดรา.... . อิสรา อัมโปรนี อันโตร -- เม ดรา " . . จงยืนกางขาให้มั่น กำหนดจิตให้ แน่วแน่ ชี้นิ้วตรงไปข้างหน้า แล้วพร่ำสวดคาถา นี้ที่เป็นคำสั่งให้พนาไพรเปิดตัวของมันออกมา . . " อิสรา อัมโปรนี อันโตร เม ดรา.... อิสรา อัมโปรนี อันโตร เม ดรา.... อิสรา อัมโปรนี อันโตร ---- เม ดรา " . . จงอย่ากลัว-- เมื่อฉับพลัน ท้องฟ้า จะก่อแนวเมฆสีดำคล้ำ ดูมืดทมึนทั่วผืนฟ้า . เมฆดำบางกลุ่มจะม้วนก้อน รวมตัว แปลง กายเหมือนเงาอสูรยักษ์ . แล้วโน้มต่ำลงมา ทำท่าราวจะขย้ำผู้ที่ กำลังอ่านเวทมนตร์ . จงอย่ากลัว ให้สั่งจิตบอกตัวเองว่า มันเป็นเพียงภาพมายา มันไม่สามารถจะทำ อะไรเราจริงได้ . และจงอย่าหยุดท่องมนตร์ที่สั่งป่าให้เปิด โดยเด็ดขาด แม้บัดนั้น--เหมือนคล้ายมันจะ แกล้งหลอกให้เวลาแห่งกลางวัน แปรเปลี่ยน เป็นราตรีกาล ก็จงอย่าหลงกล . - จงมั่นคงไว้ . . อย่าหวั่นไหว ต่อเสียงสรรพสัตว์ ที่ทันใดนั้น ก็พากันร้องเซ็งแซ่พร้อมกันขึ้นมา ราวป่าแตก . อย่าสนใจเสียงกรีดร้องของค่างใหญ่ ที่ดัง โหยหวนก้องลึก เขย่าหัวใจให้แกว่ง เพราะว่า พวกมันจะพากันกรีดร้องสุดเสียง ราวกับกำลัง จะถูกฆ่า-- . -กำลังจะตายลงต่อหน้าเรา . มันเป็นกลลวง ที่ป่าพยายามขืนบทสวดไว้ จะเอาชนะคาถาของฤๅษีให้จงได้ . . จากนี้- . จงกระชับขาที่กางไว้นั้นให้มั่น ยืนปักหลัก ไม่ให้ต้องล้มลง เพราะจะมีลมอะไรก็ไม่ทราบ ได้ ก่อตัวอย่างทันที . แล้วพัดกรรโชกแรง หอบเอามวลใบไม้ห่าใหญ่ จากป่าทึบ ฮือเข้าใส่อย่างรุนแรง . จงตรึงสติ และกล้ามขาไว้เช่นนั้น อย่าหวั่นกลัว เพราะป่ากำลังจะพ่ายแพ้แก่เวทมนตร์แล้ว . อีกครั้ง-- จงสวดคาถาเปิดป่าหิมพานต์ด้วย ถ้อยคำที่ชัดเจน ประกาศชัยชนะให้สำเร็จ . . " อิสรา อัมโปรนี อันโตร เม ดรา.. . อิสรา อัมโปรนี อันโตร เม ดรา.... . อิสรา อัมโปรนี . อันโตร - . เม ดราาาาาาาา --- " . . . บัดนั้น... . ภาพป่าเบื้องหน้า ก็จะค่อยๆ แปรเปลี่ยน เหล่าต้นไม้สูง ที่บดบังป่าเป็นแนวทึบ ก็ค่อยๆ เลือนหายไปอย่างประหลาด .. . อะไรกันนั่น- . ป่าทึบเหล่านั้น หายไปหมด . เบื้องหน้า มีภูเขาใหญ่ปรากฏตระหง่าน อยู่ มองเห็นเด่นชัดแต่ไกล . . ภูเขาเทือกนั้น - มีเหตุให้ชวนสังหรณ์ใจนัก ว่าจะต้องเป็นที่อยู่อาศัยของเหล่าอะไรสักอย่าง . จริงๆ นะ-มันรู้สึกได้อย่างนั้น . แต่จะคืออะไรล่ะ ? มันก็เกินคาดเดาได้ . พลัน- . บนท้องฟ้าก็ปรากฎเหมือนกลุ่มฝูงนก กำลัง พากันบินลงมาจากภูเขา แหวกผ่านเมฆที่ใสสะอาด ลงมาที่นี่ . . ซึ่งที่ตรงนี้มีโขดหิน หน้าผา และน้ำตก ใหญ่ที่มีน้ำไหลแรง สาดเทตกลงมากลายเป็น แอ่งน้้ำขนาดใหญ่ . บริเวณรอบๆ ก็เป็นลานหินและลานดิน อีกทั้ง มีป่าไม้ขึ้นเขียวชะอุ่มอยู่โดยรอบ . ดูจากสายตา -- . คาดคะเนว่า บินกันมาเป็นกลุ่มใหญ่ ราวๆ หกสิบ-เจ็ดสิบตัว เห็นจะได้ . . แต่เมื่อบินใกล้เข้ามา ก็เห็นชัดว่าพวกมัน ไม่ใช่นก-- . หากเป็นคน-- ที่ตัวเท่าคนปกติ . มีแขน มีขา . แต่ก็มีปีก และมีหางด้วย ! . . โอ -นี่คือเหล่ากินรี จากป่าหิมพานต์ หรือนี่ ? . . พอบินใกล้เข้ามา... . ตัวที่มาถึงน้ำตกก่อนรีบร่อนถลาลงเหยียบ พื้น สะบัดปีก สะบัดหางพรึ่บพรั่บ . ตัวที่ตามหลังก็ค่อยๆ ผ่อนปีก ร่อนกายตาม ลงมาเป็นลำดับ . . ฝูงกินรีต่างทยอยร่อนบินลงจากท้องฟ้า ตัวแล้ว ตัวเล่า ดังโลกของเทพนิยายที่เล่า สืบกันมา . ช่างเป็นภาพอัศจรรย์ ที่น่าตื่นตาตื่นใจ เสียนี่กระไร . . ไม่นาน- . ที่ลานหิน และลานดินของผาน้ำตก ก็คลาคล่ำ เต็มไปด้วยฝูงกินรี ที่เมื่อถึงพื้นแล้วก็ส่งเสียงหัวเราะ กระเซ้าเย้าแหย่ คุยกันสนุกสนาน . ราวกับสังคมของเหล่ามนุษย์เรา-ไม่ต่างกัน . อาภรณ์ที่พวกกินรีสวมใส่ ดูงดงาม และ แปลกตา เป็นเปลือกไม้บางๆ คล้ายตาข่ายเยื่อแห หรือรกหุ้มของต้นมะพร้าว ถูกนำมาเย็บถัก สานซ้อน ติดกันให้กลมกลืนเข้ากับรูปร่างของแต่ละตน . และประดับตกแต่งด้วยดอกไม้สด และใบไม้สด ตามแต่ที่จะเห็นสวย เห็นงาม . . ได้เห็นว่ามีทั้งเพศเมีย และเพศผู้ หรือจะเรียก ว่า มีทั้งหญิง และชายก็คงได้ . . เช่นนั้นแล้ว- . ฝูงนี้ จึงมีทั้งกินรี และกินรา . . ที่น่าพิศวงก็คือ เหล่ากินรา และกินรีสามารถ ถอดเก็บปีก และหางออก กลายเป็นมนุษย์เดินดิน ธรรมดาได้ . โดยปีก และหางนั้น เมื่อเจ้าของตั้งใจถอดออก จากร่างกาย ทั้งปีก และหางจะย่อส่วนลงมาเอง เหลือเพียงชนาดเท่าฝ่ามือ เพื่อให้เก็บรักษา นำพา ติดตัวไปได้สะดวก . เมื่อใส่กลับ ปีกและหางก็จะติดสมานกับร่างกาย ทันที . และขยายตัวจนเท่ากับปีก และหางขนาดเดิม . . น่าประหลาดอีกอย่าง คือกินรี กินราแต่ละตนมี รูปร่างหน้าตาอย่างมนุษย์ . ที่ล้วนแลดูสวยงาม และหรือหล่อเหลา พาให้ เจริญหูเจริญตากันแทบทุกตัวตน . . โดยเฉพาะ กินรีสาวรุ่น นางหนึ่ง . ที่เธอกำลังถูกห้อมล้อม รายรอบด้วยเหล่ากินรี สาวๆ ด้วยกัน . นางเป็นกินรีที่มีรูปร่าง และหน้าตางดงามยิ่งนัก โดดเด่น สะดุดตากว่าใครทั้งหลาย . . อาภรณ์ของนางก็ดูจะวิเศษสุด เกินหน้าใครเขา ด้วยเป็นเปลือกเยื่อไม้ที่ถูกประดิษฐ์ด้วยฝีมือแสน ประณีต เป็นอาภรณ์รูปแบบที่สลับซับซ้อน มีสีทอง อร่าม . รับกับดอกไม้สีทองดอกบวบ ที่ถูกร้อยห้อยเป็น สายสังวาลย์ ประดับตุ้งติ้งอยู่รอบๆ กายของนาง . ตามแขน และปลายขาก็มีกำไลปะวะหล่ำ ที่ร้อย สายเป็นลูกเล็กๆ ประดับแบบซ้อนเป็นชั้นๆ อย่างของ นางละคร . สิ่งที่โดดเด่นกว่าสิ่งอื่นใด คือนางมีมงกุฎทองคำ ทรงสูงสวมไว้ที่ศีรษะ ขณะทีกินรีอื่นๆ ไม่มี ราวกับ จะแสดงสถานะว่า นางเป็นกินรีที่สูงศักดิฺ หาใช่กินรี ทั่วไปไม่ . ถูกแล้ว-- . เพราะนางคือ องค์หญิง " จันทรากินรี " . พระธิดาผู้เลอโฉมแสนงดงามยิ่ง ของท่านเทพ ปักษา ผู้ปกครองเหล่ากินรา กินรี แห่งภูผาหิมพานต์ นั่นเอง . . * * * * * * * . . " องค์หญิง... . จะเสด็จลงสรงน้ำตกหรือยังเพคะ " . . นางพี่เลี้ยงกินรีอายุคราวรุ่นพี่ ที่ดูจะสนิท ใกล้ชิดกับจันทรากินรีเป็นพิเศษ . ทูลถามอย่างเอาใจ . . " พี่โพระดก -- . วันนี้ หญิงคงไม่ลงเล่นน้ำหรอกนะ . หญิงรู้สึกไม่ค่อยสบาย ตัวร้อนๆ คอยแต่ กระแอมไอมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว . นี่ไง - ท่านพ่อยังประทานโอสถแก้ไอของ โยคีมาให้หญิงติดตัว ไว้จิบทาน " . . จันทรากินรีส่งตัวยาน้ำสีดำๆ ในขวดแก้ว ให้นางโพระดกผู้พี่เลี้ยงดู . . ซึ่งพอเห็น นางก็รีบบอกว่า . . " โอ-- . โอสถแก้ไอโยคีตัวนี้ พี่โพระดกก็เคยใช้ เพคะ . ดีมากเลย -- ไอที ก็ยกจิบที รสชาติก็หวาน หอม ทานง่าย ชุ่มคอดีเพคะ " . . นั่งพักผ่อนพอชั่วครู่ยาม . จันทรากินรีหันไปบอกเหล่าพี่เลี้ยงที่นั่งๆ นอนๆ อยู่รอบกายว่า . . " พวกพี่ๆ จะลงเล่นน้ำ ก็ตามสบายเลยนะ หญิงขอนั่งรับลมเย็นๆ ฟังเสียงเพลงไพเราะจาก สัญญาณสวรรค์ดีกว่า " . . เหล่านางกินรีทั้งหลาย ได้ฟังคำอนุญาต ก็กระดี๊กระด๊า . พากันบังคมทูลลา ผละจากเจ้าหญิง แล้วต่างถอดปีกถอดหางออก . ลงเล่นน้ำตก หัวเราะกระซิก เริงร่า วักน้ำ สาดใส่กัน . . มีแต่นางโพระดกที่ยังคงอยู่ถวายการรับใช้ ไม่ยอมห่างไปอย่างพี่เลี้ยงคนอื่นๆ . . จันทรากินรีหยิบกระจกแก้วมนตรา ออกมาวางบนแท่นหิน . . มันเป็นแผ่นแก้วทรงสี่เหลี่ยม ขนาดประมาณ สองฝ่ามือชนกัน . กระจกนี้คือแก้วใสบริสุทธิ์ ที่เกิดจากผลึก ของเส้นใยหินแร่ พบเห็นได้แถวบริเวณหน้าผา เสียงสะท้อนของป่าหิมพานต์ . โดยมันจะสะท้อนตัวเองกับแสงอาทิตย์ ยามใกล้เที่ยงวัน เป็นแสงวะวาบ มองดูวิบวับ . ทำให้หน้าผานั้นกลายเป็นดั่งหน้าผาเพชร . . ชาวกินรา และกินรี ต่างรู้จักคุณสมบัติของ มันดี ว่ามันสามารถรับสัญญาณภาพ และเสียง . และสามารถสะท้อนเสียงและภาพ ส่งไปยัง กระจกมนตราอีกอันได้ . จึงสกัดเอาผลึกแก้ว มาใช้เป็นกระจกมนตรา เพื่อสื่อสารระหว่างกันทั่วทั้งเมืองปักษา สืบต่อ กันมาช้านาน . . . * * * * * * * . . " พี่โพระดก ... . มาดูอะไรนี่สิ " . . จันทรากินรีบอกนางพี่เลี้ยงอย่างตื่นเต้น . . " พอเราเปิดประตูป่าออกมาเล่นน้ำตก กันข้างนอก มีสัญญาณเสียงสวรรค์จากที่ไหน ก็ไม่รู้เข้ามาปนแทรกอยู่ในกระจกแก้วมนตรา ของน้อง . แล้วนี่-- เป็นภาพอะไรกัน ? . น้องไม่เคยเห็นมาก่อน " . . โพระดกรีบชะโงกดูกระจกมนตรา . . "ไหนเพคะ" . . "นี่ไง-- " . . เจ้าหญิงชี้ให้นางพี่เลี้ยงดู . . ภาพที่เห็นในกระจกมนตราตอนนี้ คือภาพ เคลื่อนไหวของมนุษย์เพศชายคนหนึ่ง . เป็นชายหนุ่มที่รูปงาม- งามแบบหาตัวจับยาก เลยทีเดียว . หรือว่า เขาคือเทพบุตร ? ผู้แต่งกายด้วย อาภรณ์ชั้นดี และกำลังถือธนู เดินท่องป่าตาม ลำพัง . . ยามที่กระจกมนตราจับภาพชายผู้นั้นไว้ แล้วดึงภาพ ขยายเข้ามาให้เห็นชัดๆ ใกล้ๆ . หัวใจของเจ้าหญิงจันทรากินรีผู้เริ่มรุ่นสาว ก็พลันให้รู้สึกหวั่นหวาม กับภาพชายหนุ่มรูปสวย ที่เห็นอยู่ตรงหน้าอย่างสุดจะควบคุม . โลหิตสาวพลุ่งพล่าน ฉีดพักตร์นางจนแก้ม เรื่อ แดงซ่าน . นี่ใครกัน ? ... . ไฉนจึงรูปงาม สะกดสายตาได้ถึงเพียงนี้ . . " คืออะไรเหรอ.. . ...พี่โพระดก " . . ทรงกระซิบถามพี่เลี้ยง ด้วยน้ำเสียง แหบพร่า . . " มนุษย์เพคะ...." . . โพระดกกลืนน้ำลายเอื๊อกลงคอ . . " เขาคือ มนุษย์ --ที่อยู่อีกโลกนึง คนละโลก กับหิมพานต์ของพวกเรา . โอ- เขาช่างเป็นมนุษย์ผู้ชายที่สวยงามอะไร เยี่ยงนี้ . และก็- ดูดี มีสกุลวรรณะ . พี่คิดว่า เขาคงเป็นเจ้าชายจากที่ไหนสักแห่ง เพคะ ไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน " . . เจ้าหญิงกินรีทรงเอื้อมมือแตะที่ขอบกระจก รัวๆ สองครั้ง -แบบดับเบิ้ลคลิก . ทำให้กระจกขยับขยายภาพให้เห็นใบหน้า ของชายหนุ่มผู้นั้นชัดเจนยิ่งขึ้น จนราวกับว่า เขามายืนอยู่ตรงหน้า . . หากแท้จริงแล้ว ชายหนุ่มก็ไม่ได้รู้ตัวเลย แต่อย่างใด ยังคงมองไปทางโน้น ทางนี้ แบบ คนที่กำลังสำรวจป่า . . และแล้ว ... . กระจกก็จับภาพช่วงที่เขาหยุดนิ่ง แล้วหันหน้า มามองตรงๆ จ้องตาหวานคมมาที่สองนาง . พลางยิ้มน้อยๆ เหมือนพบเห็นสิ่งที่ถูกใจ . . ความหล่อเหลาก็จึงสาดส่งเสน่ห์มายัง ผู้ที่กำลังลอบพิศชมเขา อย่างท่วมท้น . สองกินรี ถึงกับอึ้ง ตะลึงงัน . . หัวใจของจันทรากินรีร้อนวูบวาบ แต่เธอ ก็รีบพยายามข่มไว้ . . " เขามีธนูด้วย -- . น้องว่าคงเป็นพวกพรานมากกว่า " . . " ไม่ใช่พรานเพคะ-- . อาภรณ์งามหรูเยี่ยงนี้ ตัดเย็บเก็บขอบชาย ก็ดูประณีตเยี่ยงนั้น พี่มั่นใจว่า เขาต้องเป็น เจ้าชายองค์หนึ่งเท่านั้น " . . นางพี่เลี้ยงยืนยันคำเดิม . . ทันใดนั้น ชายหนุ่มก็หยิบลูกศรมาง้างกับ คันธนู ยกสูงขึ้นกลางอากาศ . . " เขาจะยิงธนูแล้วเพคะองค์หญิง . - เอ ทรงทอดเนตรซิเพคะ ธนูเขาช่าง แปลกจัง มีศรสองดอกอยู่ในศรอันเดียวกัน " . . " ใช่ - เป็นธนูแฝด . อันนึงธนูเงิน อีกอันธนูทอง " . . จันทรากินรีก็รู้สึกทึ่งในรูปลักษณ์ของธนู นั้น . . . " น้องหญิงงงงงง.. " . พลันมีเสียงเรียกมาแต่ไกลทางด้านหลัง ทั้งสองจึงหันไปทางต้นเสียง . เป็นเหล่าหนุ่มกินรา ที่กำลังเดินตรงมาหา เป็นกลุ่ม กินราหนุ่มน้อยที่เดินนำหน้า ยิ้มร่า มาที่จันทรา มีรูปงามยิ่งนัก .. " องค์ชายสุริยันกินราเสด็จกลับมาจากป่า แล้วเพคะ " . . โพระดกทูล พลางเขย่ามือของเจ้าหญิงน้อย ของนางเหมือนเตือน . จันทรากินรีจึงรีบคว้ากระจกมนตรา ซุกเก็บไว้ ในห่อผ้าตามเดิม . ก้าวลงจากแท่นหิน ประทับยืนรอรับเจ้าชาย สุริยันกินรา-ผู้เชษฐา . . " พี่ชายเสด็จกลับมาแล้ว . หายไปนาน หญิงเป็นห่วงเพคะ " . . " ดูนี่ -พี่ได้รวงผึ้งป่ามาฝากน้องหญิง . มีน้ำผึ้งหอมสดกรุ่นเต็มรวงเลย " . . เจ้าชายสุริยันกินรา -กินราผู้สูงศักดิ์รูปงาม ยกรวงผึ้งอันใหญ่ ของฝากจากป่า ชูให้น้องสาว สุดที่รักดูด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม . จันทรากินรีปลื้มปิติในน้ำใจของสุริยันกินรา -เชษฐาร่วมสายโลหิต ที่ทรงรัก และเมตตาต่อ เธอผู้ขนิษฐาตลอดเรื่อยมา . . " โธ่ -ลำบากองค์เปล่าๆ เพคะ " . . " ไม่หรอก -" . . สุริยันตอบยิ้มๆ . . " พอดีเหล่าพี่เลี้ยงเห็นมันห้อยอยู่บนคาคบ ไม้สูงตรงโน้น . พี่รู้ว่าน้องชอบดื่มโสมผึ้ง จึงบินขึ้นไปเก็บ ลงมาให้ " . . " เป็นพระกรุณา เพคะ " . . จันทรากินรีเอื้อมมือจะรับรวงผึ้งป่า-- . . ทันใดนั้น- . มีเสียงหวีดหวิวของวัตถุที่กำลังแหวก อากาศ เสียดแทรกมาอย่างเร็ว ดังขึ้น . . ทุกคนตกใจ . หันขึ้นไปมอง หน้าเลิ่กลั่ก . . " อะไรน่ะ ? . -- เสียงอะไร ? " . . " โอ๊ยยยยยย...!!! " . . เจ้าชายสุริยันกินราร้องด้วยความเจ็บปวด รวงผึ้งป่าหล่นจากพระหัตถ์ . วรกายถลาล้มลงตรงนั้นทันที . . " ว้ายย-- . เสด็จพี่สุริยันถูกศรธนูยิง " . . จันทรากินรีเห็นเต็มตา กรีดร้อง อย่างตกพระทัย . . เหล่าพี่เลี้ยงกินราต่างพากันตกตะลึง ก่อนจะรีบกรูกันเข้าประคองร่างขององค์ชาย ไว้ . ที่ทรวงอกของสุริยันกินรา มีพระโลหิต ไหลรินทะลักออกมา มีธนูรูปร่างประหลาด ปักเสียบเข้าตรงตำแหน่งพระหทัยพอดิบพอดี . เจ้าชายกินราหนุ่มสิ้นสติ วรกายปวกเปียก ไม่ไหวติง . . เห็นองค์แน่นิ่งไป เหล่าพระพี่เลี้ยงจึงรีบ ช่วยกันพยุงองค์ให้พิงไว้กับโขดหิน . จันทรากินรีหายจากตกตะลึง ก็ร่ำไห้ ตรงเข้ามาหาพระเชษฐา . . ทรงพยายามค่อยๆ ดึง-ถอนธนูออกจากอก ของพี่ชาย แต่มันปักเข้าไปลึกมาก ดึงแล้วก็ไม่ ขยับ . จนเมื่อนางเปลี่ยนเป็นออกแรงดึงอีกครั้ง แรงๆ มันจึงได้หลุด ติดมือออกมา . . รูปร่างเป็นธนูแฝด !!! . . แม้จะเปื้อนโลหิตของสุริยันกินรา แต่ก็เห็นได้ ชัดเจนว่าศรดอกบนเป็นโลหะเงิน มีสีขาวละเลื่อม ส่วนศรดอกล่างเป็นทองคำเนื้อสีเหลืองสุกปลั่ง . . จันทรากินรีทรงกันแสง น้ำเนตรไหลอาบแก้ม กำลูกธนูไว้แน่น . ภาพที่เห็นจากกระจกมนตราเมื่อครู่นี้ นางยัง จำได้ติดตา -- ไม่ลืม . . ทรงรำพึงในพระทัย- . . " ธนูเงิน ธนูทอง ! " . . * * * * * * * * * * . . จันทรากินรีรีบตั้งสติมั่น -หยุดกันแสง ตรัสสั่งให้เหล่าพี่เลี้ยงกินราช่วยกันหามร่างของ องค์สุริยันออกมาจากผาน้ำตก มาวางลงที่ลาน ใต้ร่มไม้ใหญ่ . แล้วเจ้าหญิงก็รีบปลีกตัว ไปร่ายมนตร์ปิด ประตูป่าหิมพานต์ในทันที . . พี่เลี้ยงกินรากลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่ง พากันบิน ขึ้นสู่ต้นไม้สูง ที่รกรุงรังด้วยเหล่าเถาวัลย์ย่าน สาย . ต่างพากันโผบิน ขึ้นเกาะที่กิ่งไม้ใหญ่ๆ แล้วถลาบินร่อนลงมา คว้าที่ย่านเถาวัลย์ที่เห็น ห้อยระโยงระยางทั่วต้นเหล่านั้น . ช่วยกันโหนตัวขย่ม และกระชากลากดึงให้ เถาวัลย์เส้นยาวๆ ที่แข็งแรงหลุดหล่น . บ้างก็ช่วยกันสองตน ดึงเถาวัลย์ และคอย รับไว้ . ได้แล้วก็โยนทิ้งลงมายังพื้นล่างให้หมู่กินรีลาก ไปที่ลานกว้าง ที่มีกินรีหลายตนช่วยกันนั่งถักสาน ย่านสายเป็นเปลหามขนาดใหญ่อย่างเร่งรีบ . . กินราบางตนก็หอบเถาวัลย์บินลงมาให้เหล่า กินรีถึงพื้น ก่อนจะโผบินขึ้นหามาเพิ่มให้อีก . -- เถาแล้ว เถาเล่า . . ขณะที่ขะมักเขม้นช่วยกันเพื่อการนี้ น้ำตาของเหล่ากินรี และกินรา หลั่งรินตลอดเวลา . เพราะจากสภาพที่เห็น พระวรกายของเจ้าชาย เปียกชุ่มโชกด้วยพระโลหิต แน่นิ่งปวกเปียก ไร้ซึ่ง เรี่ยวแรง . เจ้าชายสุริยันกินราผู้เป็นที่รักของทุกคน จักต้องทรงสิ้นพระชนม์ชีพไปแล้ว -อย่าง แน่นอน . . ต่างเร่งช่วยกันถักสร้างเปลเถาวัลย์ขนาด ใหญ่เพื่อใส่พระศพอย่างร้อนรนจนแล้วเสร็จ . . ช่วยกันยก ช้อนองค์วางลงบนเปล แล้ว ใช้เถาวัลย์สายเปล่าๆ รัดที่องค์อีกรอบ . กินราร่วมสิบตน ตรงเข้าจับชายของเปลรอบ ด้านไว้มั่น . จากนั้น ก็โผบินขึ้นพร้อมกัน . หามเปลเถาวัลย์ที่มีร่างไร้พระชนม์ชีพของ เจ้าชายขึ้นสู่ท้องฟ้า กลับสู่ยังนครเทพปักษาบน ภูผาแห่งแดนหิมพานต์ด้วยความโศกเศร้าอาดูร . . * * * * * * * * . . . " สุริยัน กินรา บุตรข้าเอ๋ย . มิควรเลย มาจากไป ให้ขื่นขม . พ่อปวดร้าว เศร้าอุรา พาระทม . ดั่งจะล้ม และขาดใจ ไปด้วยเจ้า " . . . ท้าวเทพปักษาทรงสะอื้นไห้ เอาแต่คร่ำครวญถึงโอรสผู้จากไปอย่างไม่มี วันกลับ . . สังคมโซเชี่ยลของบรรดาประชากรกินรี กินรา ต่างรีบส่งข่าววิปโยคนี้แก่กันทั่วทั้งเมือง . มีทั้งทางกระจกมนตรา ที่ออกเป็นภาพและ เสียงคล้ายวิดิโอคอลสมัยนี้ . และที่บินไปบอกข่าวเองถึงรังของกินรี กินรา ที่ตนรู้จัก ให้ได้รู้จากปากตรงๆ กันเลย . . ทันที่ที่ได้ทราบเรื่องราวก็ร่ำไห้ สะอึกสะอื้น และรีบชวนกันออกมาจากที่อาศัย ซึ่งมีทั้งแบบ ดั้งเดิม-ออริจินอล ที่เป็นรังบนคาคบไม้ใหญ่ อยู่สูงเสียดฟ้า . และแบบยุคหลัง ที่โมเดิร์นขึ้น คือเป็นถ้ำ . . ก็มีทั้งถ้ำธรรมชาติ ที่ครอบครัวกินรี กินราไป เสาะหาเพื่อใช้อยู่อาศัยเอง ตามแถวบริเวณป่า ดงทึบ . และถ้ำหรู ที่มีเหล่ากินรา กินรีหัวใสไปจับจอง ถ้ำต่างๆ ไว้ จากนั้นก็รีโนเวทถ้ำธรรมชาติ จน ออกมาดูสวยงามน่าอยู่ แล้วจัดสรรแบ่งขาย . แลกกับอัฐทองคำก้อนมหึมา . . มีให้เลือกทั้งแบบ ถ้ำเดี่ยว ถ้ำแฝดคู่ และแบบ ที่เจาะหน้าผาเป็นหลายๆ คูหา เรียงต่อๆ กันเป็น ทิวแถว แลดูคล้าย ทาวน์เฮ้าส์-ทาวน์โฮม ของ ชาวโลกมนุษย์สมัยนี้ . . ทุกตนเร่งกระพือปีกขยับบิน มุ่งตรงไปที่ วังของท่านเทพปักษา . ที่เป็นปราสาทใหญ่ตั้งบนยอดภูผาสูง อัน เป็นสถานที่ตั้งพระศพขององค์ชายสุริยันกินรา . . เหนือฟ้าเมืองหิมพานต์ในยามนี้ จึงดูสับสน วุ่นวาย มืดฟ้า มัวดิน ไปด้วยฝูงกินรี-กินรา หลาย ร้อยตน . พากันบินว่อน สวนกันไปมาขวักไขว่ เต็มทั่ว ทั้งผืนฟ้า . . . * * * * * * * * . . พอเห็นพระศพองค์ชาย ประจักษ์แก่ สายตา . เหล่ากินรี กินราก็ถึงกับร่ำไห้กันตรงนั้น อีกครั้ง . . บางกินรีให้โศกาอาดูรยิ่งนัก ทำใจรับไม่ได้ ที่เจ้าชายต้องมาสิ้นพระชนม์ไปเช่นนี้ ถึงกับตีอก ชกตัว แล้วคร่ำครวญรำพันถึงองค์ชายด้วยความ เวทนา และอาลัย . เพราะองค์สุริยันกินราทรงเป็นเจ้าชายที่เหล่า กินรี-กินราทุกตน ชื่นชม และรักใคร่มากมาย . . เสียงสะอึกสะอื้นอาลัยรัก ดังระงมไปทั่วทุก มุมเมืองหิมพานต์ . . * * * * * * * * . . ครั้นพอทรงคลายเศร้าโศกลงได้บ้าง ท่านเทพปักษาจึงรีบบัญชาให้นำร่างของเจ้าชาย สุริยันกินราใส่ไว้ในโลงแก้วตามราชประเพณี . . เจ้าหน้าที่ราชวังก็เร่งจัดตั้งริ้วขบวนแห่พระศพ อย่างรีบด่วน ได้แก่ เหล่าคนธรรพ์ที่คอยบรรเลง ประโคมดนตรีทิพย์วงใหญ่ และหมู่เหล่านางกินรี ช่างฟ้อนที่เป็นขบวนร่ายรำนำหน้าโลงแก้ว แห่แหน พระศพไปรอบๆ นครเทพปักษา . . ยามที่ขบวนผ่านสถานที่สำคัญ ก็จะมีเหล่า ประชากินรี- กินราเฝ้ารอรับขบวน โปรยปรายดอกไม้ หอมเพื่อส่งเสด็จสู่สรวงสวรรค์ . . " ขอสวรรค์ จงเมตตา เหล่าข้านี้ . กินรี กินรา มาวอนไหว้ . ส่งองค์ชาย สุริยัน ด้วยอาลัย . สวรรค์โปรด รับองค์ไว้ ด้วยเอ็นดู " . . . จากนั้น.... . ขบวนแห่ก็นำโลงแก้วไปไว้ในถ้ำพญาค้างคาว ดำที่ชานเมือง เป็นไปตามราชประเพณีที่ปฏิบัติ สืบกันมาช้านานอีกเช่นกัน . ถ้ำพญาค้างคาวดำแห่งนี้ ชาวกินรี กินรา นิยมใช้เป็นที่เก็บศพผู้เป็นที่รัก . เนื่องจากอากาศในถ้ำชั้นในนั้นเย็นจัดจนมี เกล็ดน้ำแข็งจับอยู่ตามผนังถ้ำ บ้างก็เกาะย้อย จากผนังลงมาเป็นม่านแก้ว เต็มทั่วไปหมด . ความเย็นยะเยือกขั้นอุณหภูมิติดลบนี้เอง ที่ทำให้ทุกศพในถ้ำยังคงสภาพเดิมไว้ได้ ไม่ เน่าเปื่อย . . จันทรากินรีเดินเกาะโลงศพแก้ว นางร่ำไห้ ตลอดเส้นทางของขบวน ด้วยเธอรักและผูกพัน ต่อเชษฐาของตนเป็นยิ่งนัก . . เพราะตลอดเวลา ตั้งแต่จันทราทรงกำเนิด ออกจากฟองไข่แก้ว เจริญเยาว์วัยมา สุริยันกินรา เป็นเชษฐาที่ทรงรักน้องสาวคนนี้สุดหัวใจ . จะทรงคอยดูแลจันทรากินรี-ผู้น้องน้อยอย่างดี ยิ่ง ทรงห่วงใย เอ็นดู คอยเล่นเป็นเพื่อนกับน้อง . ทรงเป็นผู้พิทักษ์ คอยปกป้อง และเสียสละทุกๆ อย่างให้น้องได้รับก่อนตนเสมอ . . วันเกิดเหตุร้ายแรงครั้งนี้ ก็เช่นกัน เกิดจากที่องค์ชายสุริยันทรงตรัสถามเจ้าหญิง จันทราอย่างอยากเอาใจน้องว่า . . " น้องหญิงของพี่ วันนี้จะให้พี่พาไปเที่ยว . ที่ไหนหรือ ? " . . " หญิงอยากไปเที่ยวป่าใหญ่นอกเมืองบ้าง เพคะ เสด็จพี่สุริยัน . เบื่อป่าหิมพานต์ เพราะได้ไปเที่ยวมาจน หมดสิ้นทุกป่าแล้ว " . . " งั้น - วันนี้ พี่จะพาน้องจันทราไปเที่ยวป่า ข้างนอกกันนะจ๊ะ " . . . * * * * * * * * * * * . . ความทราบถึงเจ้าแม่ย่า-พระมารดา ของท้าวเทพปักษา . พระนางรีบโผผิน บินลงมาจากถ้ำทางทิศตะวัน ตกที่ท่านจำศีลภาวนาธรรมอยู่ ตรงรี่มาที่ถ้ำพญา ค้างคาวดำ ทันในเวลาที่กำลังประกอบพิธี . . กินรีเฒ่าชราก้มลงมองพระศพของเจ้าชายหนุ่ม ผู้หลานรักในโลงแก้ว พลางสะอึกสะอื้น ด้วยความ เวทนาสงสาร . . " สุริยันหลานย่า- . -- อนิจจา . ย่าเกือบไม่ทันเห็นหน้าเจ้า- รู้ไหม " . . จากนั้น พระนางก็คลี่มวยผมออก . สยายเส้นเกศาที่หงอกขาวโพลน เช็ดถูโลงศพ แก้วให้ด้วยความอาลัยรัก . . บรรดากินรี และกินรา ณ ถ้ำพญาค้างคาวดำ ต่างพากันฟุบหน้าหมอบกราบเจ้าแม่ย่า . . เจ้าย่าในชุดบำเพ็ญศีลสีกรักแดงก่ำคล้ำ ทรงกระพือปีกกินรีขึ้นลงด้วยความโกรธ . ตรัสถามเสียงดังอย่างกราดเกรี้ยว เมื่อทรง ทราบว่า มีผู้กระทำผิดกฎข้อห้ามแห่งหิมพานต์ . . " บอกข้ามาเดี๋ยวนี้... . ว่าใคร-- . เป็นผู้เปิดประตูป่า ! " . . เงียบ-- . หามีผู้ใดกล้าหาญ ทูลบอกความจริงแก่ พระนาง . . "ข้าได้สั่งเตือนพวกเจ้ามาตลอด ว่าอย่าได้บังอาจเปิดประตูป่าหิมพานต์ . แต่พวกเจ้าก็หาฟังคำเตือนของข้าไม่ . . ศัตรู และสิ่งชั่วร้ายทั้งหลาย . มันถึงได้ถือโอกาสแทรกผ่านประตูป่า เข้ามาทำร้ายพวกเราเช่นนี้ " . . ทรงถามคาดคั้นอีกสองสามรอบ จึงมีพี่เลี้ยงกินราตนหนึ่ง ตัดสินใจยอมกราบ บังคมทูล . . " เสด็จเจ้าแม่ย่า -- . ควรมิควร ฯ . ผู้ที่ร่ายเวทเปิดประตูป่าครั้งนี้ คือองค์ สุริยันกินรา - พระเจ้าข้า " . . " อะไรนะ-- ? " . . เสด็จเจ้าแม่ย่าทรงฉุนเฉียว ตวาด ใส่ทหารกินราองครักษ์ทันที . . "-- นี่เจ้ากล้าโยนความผิดให้แก่หลานข้า ผู้ที่ไม่อาจตื่นมายืนยันคำพูดกล่าวหาของเจ้า . - เยี่ยงนี้เชียวรึ ? " . . พี่เลี้ยงกินราก้มหน้า หมอบตัวสั่น ไม่กล้า ทูลอะไรต่ออีก . เพราะพูดไป ก็คงถูกมองว่าเป็นคำแก้ตัว . . . จันทรากินรีเห็นเสด็จย่าของตนตรัสต่อ พี่เลี้ยงของพี่ชายอย่างมีพระพิโรธเช่นนั้น . จึงยืนขึ้น ทูลต่อเสด็จแม่ย่าว่า . . " เสด็จแม่ย่าเพคะ-- . ลูกขอยืนยันแทนพี่สุริยัน ว่าที่พี่เลี้ยงกล่าว มา เป็นความจริง เพคะ " . . กินรีชราผู้สูงศักดิ์มองพระนัดดาองค์น้อย อย่างแปลกพระทัย . . " จันทรา- . เจ้าเป็นหญิง แล้วมาเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ ? " . . เจ้าหญิงทรงทูลตอบว่า . . " เพราะหลานทราบดีว่า ที่เสด็จพี่สุริยัน เปิดประตูป่า ก็เพราะพี่สุริยันรักหลาน อยาก ให้หลานได้เที่ยวเตร่นอกวังบ้าง เพคะ " . . " อ้าว-- . อย่างนั้นเองหรอกรึ ? . ประตูป่าหิมพานต์ที่ถูกปิดตายมานาน ถึง ได้ถูกร่ายเวทเปิดออก-- . แน่นอน-- สุริยันรักน้องอย่างเจ้ามากนัก . -- เรื่องนี้ ย่ารู้ " . . เจ้าแม่ย่าสะอื้น พยักหน้าหงึกๆ อย่าง น้อยพระทัย และตรัสพ้อต่อ อย่างเสียพระทัย ยิ่ง . . " --รักน้องมาก . จนถึงขนาดยอมทำผิดกฎแห่งหิมพานต์ ที่ย่าได้กำหนดสั่งห้ามไว้ !! " . . จันทรากินรีได้ฟัง ก็ยิ่งรู้สึกเหมือนถูกตอกย้ำ ว่าตนมีความผิดอย่างมหันต์ . เหมือนจะเป็นตัวต้นเหตุหลัก ที่ทำให้นคร หิมพานต์อันแสนสงบต้องมาเกิดโศกนาฏกรรม ใหญ่หลวงในครั้งนี้ -เช่นนี้ . . เจ้าหญิงองค์น้อย ทรงสะอื้นฮักๆ . ทูลว่า . . " เสด็จย่าเจ้าขา -- ฮือๆ . หลานเสียใจเพคะ หลานอยากช่วยให้พี่สุริยัน ทรงฟื้นพระชนม์ชีพขึ้นมาอย่างเดิมเหลือเกิน . พอจะมีหนทางใดที่ทำได้บ้างไหมเพคะ โปรดช่วยบอกหลานมาเถิด " . . " ข้าก็ไม่รู้ " . . เจ้าแม่ย่าส่ายหน้าปฏิเสธ แล้วทรงหันพักตร์ไปทางพญาค้างคาวดำอาวุโส ผู้มีลำตัวใหญ่เท่าๆ กวางป่า ที่เกาะห้อยหัวนิ่งอยู่ที่ ผนังถ้ำใกล้ๆ . . " แต่เจ้าก็ลองถามท่านพญาค้างคาวดำ ผู้ครองถ้ำนี้ดูสิ . เพราะท่านได้บำเพ็ญพรต จนมีฌานพิเศษ แก่กล้า สามารถติดต่อกับสวรรค์เบื้องบนได้ . ย่าเชื่อว่า ท่านพญาค้างคาวดำคงทราบวิธี " . . . * * * * * * . . พญาค้างคาวดำผู้ถูกกล่าวพาดพิง ก็เริ่มขยับตัว . กางปีกใหญ่ที่ยาวสมดุลกับขนาดตัวซึ่งใหญ่โต มาก เกือบๆ เท่าม้า ให้แผ่ยืดออกไปทั้งสองข้าง . แล้ววาจาที่แหบห้าว ก็เอ่ยออกมาจากศีรษะที่ ห้อยหกนั้น . " หนทาง-น่ะมี . แต่ใครเล่า จะยอมเสียสละ . เพราะอาจแม้ต้องถึงแก่ชีวิต " . . จันทรากินรีรีบประนมกรกราบ . . " โอ--ท่านปู่พญาค้างคาวดำ . หลานยอมสละชีพได้เพคะ . โปรดชี้แนะหนทางนั้นมาเถิดเจ้าค่ะ " . . " จันทรากินรี... . เรื่องนี้ เป็นชะตากรรม ฟ้าดินเขาลิขิตไว้ . ถ้าเจ้ารับปากต่อมหาสมาคมแห่งนี้ ว่าเจ้า เต็มใจจะอาสา . ข้าถึงจะยอมบอก " . . " ท่านปู่เจ้าข้า ... . จันทรากินรี- ข้านี้ให้คำสัญญา " . . เจ้าหญิงประนมกร กล่าวคำสาบาน ลั่นถ้ำ . . " ด้วยเกียรติของวงศ์วานเทพปักษาแห่งป่า หิมพานต์ . ข้าขอสาบานว่า ข้ายินดีสละชีวิตของข้า เพื่อช่วยต่อพระชนม์ชีพของเสด็จพี่สุริยัน . -- เจ้าข้า " . . กินรี กินรา ทุกตนพากันมององค์หญิงน้อย อย่างชื่นชมในพระทัยกล้าหาญ . เสด็จย่ากินรีทรงตื้นตัน จนถึงแก่พระเนตร เอ่อคลอเบ้า . . " เช่นนั้น--- . จงฟัง ที่ข้าจะบอก " . . ท่านค้างคาวดำกระพือปีก ขยับพรึ่บ-พรั่บ ไปมา . ส่งกลิ่นอับๆ อวลคลุ้งไปทั่วทั้งถ้ำ . ชวนให้เอาแอร์เฟรชชี่กลิ่นลาเวนเดอร์ มา ฉีดไล่กลบกลิ่น ซักสอง-สามกระป๋อง . . " สุริยันกินราจะฟื้นคืนชีพ . ถ้าเจ้าเอาดวงใจ ที่ตัดมาเพียงครึ่งหนึ่ง ของศัตรูผู้นี้ ที่เขาต้องมีความรักต่อเจ้า . และเจ้าเอง ก็ต้องรักเขา.... . มาวางบนอุระ ของพระศพนี้ . แล้วต้องทำการนี้ให้ทัน ภายในห้วง เวลา 15 ทิวา -ราตรี . นับแต่บัดนี้ ที่เจ้าได้ประกาศให้คำ สัญญา " . . " เพียง 15 ทิวาราตรีเองหรือ ที่ข้าต้องนำหัวใจตัดมาเพียงครึ่ง ของศัตรูผู้ ประหารเสด็จพี่สุริยัน มาวางบนอุระของเจ้าพี่ ที่นี่ . มิหนำซ้ำ ศัตรูยังต้องรักข้า . และข้า-ก็ต้องรักศัตรู " . . จันทรากินรีทวนคำอย่างงุนงง . . " แล้วข้าจะรักศัตรูของข้าได้อย่างไรเล่า - ท่านปู่ ? " . . . พญาค้างคาวดำหุบปีก หลับตานิ่ง และเงียบ . ไม่กระดุกกระดิก ไม่ยอมเอ่ยอะไรอีก เพราะบอกมากไปกว่านี้ อาจจะเป็นการละเมิด ต่อลิขิตแห่งสวรรค์ได้ . . จึงเป็นอาณัติสัญญาณให้จันทรากินรี และ ทุกคนรู้ว่า ป่วยการที่จะรบเร้าให้ท่านตอบ จึง พร้อมกันก้มลงกราบลาเจ้าของถ้ำ . . . * * * * * * * * * * . . " พี่ขอตามเสด็จองค์หญิงไป เมืองมนุษย์ด้วยเพคะ " . . จันทรากินรี ที่กำลังแต่งกายให้รัดกุมขึ้น หันมาสบตาพี่เลี้ยงโพระดกผู้ภักดี ที่คุกเข่า อยู่ตรงหน้า . . " หญิงไม่ขอรบกวนพี่โพระดกนะจ๊ะ . เรื่องนี้ มันเสี่ยงเกินไป พี่ก็รู้ ว่าหญิงกำลังไปเอาหัวใจของเขา . -- หญิงเอง ก็อาจต้องแลกชีวิตกับมัน " . . " ก็เพราะพี่รู้ว่ามันอันตราย พี่ถึงได้ขอ ตามติดไปด้วย... . เมื่อคืน พี่ได้บอกกับครอบครัวของพี่ว่า พี่เป็นห่วงองค์หญิงมาก คงไม่สามารถปล่อย ให้เสด็จออกไปเมืองมนุษย์โดยลำพังได้ . นี่-พ่อแม่ของพี่ ท่านทั้งสองก็อนุญาตแล้ว เพคะ " . . จันทรากินรีโผเข้ากอดพี่เลี้ยง ทรงกันแสง สะอื้นด้วยความตื้นตันใจ . . " พี่โพระดกจ๋า-- ฮือๆๆ . หญิงขอขอบคุณพี่จริงๆ ที่ไม่เคยทอดทิ้งกัน . เกิดมา หญิงไม่เคยเป็นศัตรูกับผู้ใด แล้วดูเถิด - บัดนี้ พอมันเป็นอย่างนี้เข้า . น้องเองก็สับสนไปหมด . -- ทำอะไรไม่ถูกเลยจ๊ะพี่ " . . " ไม่ต้องวิตกไปนะเพคะ ขอให้เรามั่นใจ ว่าทุกอย่างต้องแก้ไขได้ . เราจะไปด้วยกัน อยู่เคียงข้างกัน . ในเวลา 15 ทิวาราตรี เราจะต้อง ทำการนี้ให้สำเร็จ เพื่อเอาพระชีพขององค์ สุริยันกินรากลับมาให้จงได้ " . . เจ้าหญิงกินรียื่นมือให้พี่เลี้ยงดู . " เมื่อวาน เจ้าแม่ย่าประทานแหวน เตือนกาลเวลา กำชับให้หญิงใส่ติดมือไว้ . ท่านเกรงว่า หญิงจะเผลอไผลจนลืม เลยเวลาที่สวรรค์กำหนด " . . ที่นิ้วซ้ายของจันทรากินรีมีแหวนทอง เกลี้ยงๆ วงใหม่ สวมไว้ . . " เจ้าแม่ย่าบอกไว้ว่า หากเวลานั้น- เหลือเพียงอีกหนึ่งทิวาราตรี . แหวนวงนี้ จะเปลี่ยนเป็นสีแดงสด เพื่อเตือนเรา " . . " ดีเพคะ-- . พี่โพระดกก็จะคอยดูแลเรื่องนี้ให้ด้วย . โลกมนุษย์ที่เราจะออกไปเผชิญ อาจจะวุ่นวายกว่าที่หิมพานต์ของเรานัก . ทำให้เราคลาดเคลื่อนเรื่องกาลเวลา ได้อยู่ เพคะ " . . " อ้อ-- . แล้วตอนก่อนรุ่งอรุณ ท่านพ่อเทพปักษา ก็ให้หญิงทบทวนพระเวท ที่ชื่อ "มนตร์กินรี" อีกตั้งสามรอบ . จนน้องจำขึ้นใจแล้วละพี่ . " มนตร์กินรี - . อ๋อ--พี่นึกออกเพคะ เป็นมนตร์ที่พวกเราใช้ ในยามคับขัน . ร่ายเวท เพื่อเรียกหมอกควันหนาทึบมากำบัง ตัว แล้วสวมปีกหาง บินขึ้นฟ้าหนีศัตรู " . . " ช่าย-- . เวทนั้น นั่นแหละจะ " . . " ส่วนพี่เอง - . พี่มีเวท "ตัวไร " เพคะ " . . " เวทตัวไร ... . คืออะไรเหรอพี่ " . " คืองี้ เพคะ - " . โพระดกลอยหน้าลอยตา อธิบายเวท ของตัวเองอย่างพราวด์ -proud สุดๆ . " ราชวงศ์ขององค์หญิงเป็นกินรา-กินรี ที่มาจากวงศ์นกยูงทอง . แต่ครอบครัวของพี่ เราเป็นกินรา- กินรีจากสายนกโพระดก เพคะ . โดยกำเนิดชาติตระกูล พวกเราเป็นนก ตัวสีเขียว อาศัยในโพรงรูบนต้นไทรสูง . ส่งเสียงร้อง -- . " โฮกป๊ก! " . โฮกป๊ก -- อยู่หนไหน ? -- เอ่อ เฮอ เอิงเงย " . แล้วก็จะมีตัวไรนก มาอาศัยตามขนของ พวกเรา เยอะแยะ ยัวะเยียะ ไปหมด . พวกเราจึงมีเวทเรียกตัวไรนกให้ยกกองทัพ ตัวไรจากทั่วสารทิศมารุมถล่ม ไต่ตามตัวศัตรู . จนมันต้องคัน ยุบยิบ---ยุบยิบ แล้วก็ ยุบยับ-ยุบยับ . แบบว่า- อยู่นิ่งไม่ได้เลยละเพคะ " . . ทั้งสองกินรีหัวเราะขำ จันทรากินรีนั้นขำท่าทางเล่าของพี่เลี้ยง . ส่วนโพระดกขำตัวเองที่เล่าแบบฟินมาก ไปหน่อย . . นางเขิน เลยบอกแก้เก้อว่า . . " ยังไง -สักวัน เราอาจได้ใช้ประโยขน์ จากเวทนี้เพคะ " . . . " หญิงจะเอากระจกมนตรา ของหญิง ติดตัวไปด้วย " . . " อู๊ย--ดีมากเพคะ . รุ่นที่องค์หญิงมีเป็นรุ่นขอบจอโค้ง สามารถ รับสัญญาณภาพ และเสียงได้ดีกว่ารุ่นที่พี่ใช้ . ของพี่ สัญญาณอ่อน ติดๆ หายๆ . พี่ยังไม่มีทรัพย์ พอจะไปแลกกับกระจกมนตรา รุ่นใหม่จากรังกินรากระจกมนตร์ ยิ่งพอมีข่าวร่ำลือ กันว่า แก้วกระจกมนตรารุ่นหลังล่าสุดชอบระเบิด พี่ก็เลยยังไม่ตัดสินใจเปลี่ยน " . . " ทางเมืองมนุษย์จะมีสัญญาณแบบนี้ไหม ก็ไม่รู้-- " . . เจ้าหญิงทรงเกิดกังขา . . " เอาติดไปก่อนเพคะ องค์หญิง ใช้ได้-ไม่ได้ ค่อยว่ากันอีกทีเพคะ " . . . * * * * * * * . . ท่ามกลางแสงแดดร้อนประเปรี้ยง ในยามสายของวันนั้น . . ที่ลานหินหน้าราชวังบนภูผาสูง มีประชา ชาวกินรี กินรา มารอส่งเสด็จเจ้าหญิง และ พระพี่เลี้ยงกันคลาคล่ำเต็มทั้งบริเวณ . ต่างกล่าวทูล ส่งกำลังใจให้องค์หญิงกระทำ การล่าตัวเจ้าของธนูแฝดจากเมืองมนุษย์ และนำ ตัวมาบูชายัญที่นครหิมพานต์ทันกำหนดสำเร็จ . . ทรงรับช่อดอกไม้ที่เหล่าประชายื่นถวาย ยก นบขึ้นเหนือเศียร . วางลงกับพื้นลานหิน เพื่อบูชา ขอพรชัยต่อ พระแม่ธรณี . . แล้วตรงเข้ากราบแทบพระบาทพระบิดา และ เสด็จแม่ย่า . ท้าวเทพปักษาทรงลูบเศียรพระธิดา และประทานพร . . " ขอเทพแห่งกินรี และกินรา ได้โปรดคุ้มครอง ลูกและนางพี่เลี้ยงให้บรรลุกิจครั้งนี้อย่างปลอดภัย ด้วยเถิด . และเจ้าอย่าลืมว่า --ไม่ว่าจะอย่างไร . อีก 15 ทิวาราตรี เจ้าจะต้องกลับมาที่นี่ พวกเรา ทุกคนรอเจ้าอยู่ด้วยความหวัง " . . เสด็จแม่ย่าก็ทรงลูบเศียรจันทรา . ตรัสให้กำลังใจอีกองค์ . . " ย่าเชื่อมั่นในตัวเจ้า-จันทรา . หลานต้องทำมันได้สำเร็จ . แม้ต้องพบกับอปุสรรคใหญ่ข้างหน้า เจ้าก็ต้องอดทนสู้ อย่ายอมแพ้มันนะ " . . * * * * * * * * * . . บัดนั้น--- . จันทรากินรี และโพระดกก็โผบินออก จากลานหินหน้าราชวังผาสูง . ร่อนผ่านก้อนเมฆ ก้อนแล้ว ก้อนเล่า ตรงมายังตำแหน่งแห่งประตูป่าด้วยใจ มุ่งมั่นกับภารกิจนอกโลก ที่ต้องกระทำ ให้สำเร็จแม้ต้องแลกกับชีวิต . . - บินมาอย่างรีบเร่ง จนมองเห็นแนวป่า สุดเขตแดนหิมพานต์ ทั้งที่ใจเต้นรัวแรง ด้วยความตื่นเต้น ทั้งสองกินรีหันหน้ามามอง พยักหน้า สู้-สู้ ให้กัน . แล้วโผร่อนลงสู่พื้นดิน . . จันทรากินรียืนหลับตา ตั้งสมาธฺิร่ายมนตร์ . . ฉับพลัน--- ประตูป่าก็เปิดออก กลายเป็นผาน้ำตก สถานที่เดิมที่สุริยันกินรา ต้องจบชีวิต . . เจ้าหญิงให้สะท้อนพระทัยอีกครั้ง หากก็ ต้องรวบรวมพลังใจขอชนสู้กับเหตุการณ์ที่ไม่อาจ คาดเดาได้ข้างหน้า . นางจึงรีบหันหลังกลับ แล้วร่ายเวทมนตร์วิเศษ บังไพร เพื่อปิดประตูป่าหิมพานต์ไม่ให้คนนอกมอง เห็น . . ทันใดนั้น - ป่าไพรก็ถูกเวทปลุกเรียกทุก วิญญาณ . ต้นไม้สูงนับพันๆ หมื่นๆ ต้น ก็พลันงอกทะลุ ทะลวงพื้นดินขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แล้วแตกกิ่งก้าน ระบัดใบ ขยายตัวตนทุกวินาที จนเบียดเสียดกัน เอง ดูเป็นป่ายืนต้นที่แน่นทึบ . ตามด้วยเหล่าเถาวัลย์นานาชนิดที่ก็แข่งกัน เติบโต พากันไต่เลื้อย พันต้นไม้สูง อย่างรีบเร่ง ไม่แพ้กัน . เพราะพวกมันกำลังร่วมกันทำการบังไพร ปิดป่า ให้ทึบสนิทนั่นเอง . . เป็นภาพที่น่าสะพรึงกลัว ชวนสยอง . เถาวัลย์เกี่ยวกระหวัด ม้วนรัดโอบลำต้น และ กิ่งก้านใกล้ๆ แล้วดึงลากพุ่มไม้ให้เข้ามาติดชิดกัน พุ่มแล้ว พุ่มเล่า- . ทั้งป่า เกิดเสียงดัง เปรี๊ยะ -ปร๊ะ จากกิ่งไม้ที่ ถูกเถาวัลย์เหนี่ยวกระชากอย่างรุนแรง เพียงครู่เดียว--- . ทุกอย่างก็เงียบสงบ บรรยากาศเวิ้งว้าง เหมือนไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น . ด้วยบัดนี้ ประตูป่าหิมพานต์ได้ถูกปิด สนิทแล้ว . มองไปเห็นแต่แมกไม้เขียวทึบ ที่ขึ้นปกคลุม แน่นหนา ไร้ซึ่งช่องทางใดๆ ที่จะฝ่าผ่านเข้าไป ได้เลย . . * * * * * * * . . จันทรากินรี และโพระดกรีบถอดปีก และหางออก . บัดดล ทั้งสองก็กลายเป็นมนุษย์ สาวงาม เดินดินธรรมดา ที่กำลังจะตามล่าหาหัวใจครึ่ง ก้อนของศัตรู . -ผู้ที่ต้องมีใจรักเธอ และเธอเอง --ก็ต้องมี ใจรักเขา จบตอนที่ 1. .................................................................. ** หมายเหตุ : ครั้งนี้เป็นการนำนิยายมาลงบล็อกใหม่อีกครั้ง เขียนลงบล็อกครั้งแรกเมื่อ 4 ตุลาคม 2559 สถิติบันทึกการเข้าอ่าน 3998 ครั้ง ณ 12 พฤศจิกายน 2561 ** .......................................................................................................... |
Huean Piang Din
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?] Group Blog All Blog
Link |
||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |