นิยาย " จันทรากินรี " โดย เหมชาติ ทอง -- ( ตอนที่ 1. )
นิยาย " จันทรากินรี" - เหมชาติ ทอง ( ตอนที่ 1. )


    
                           1.


              **  เปิดป่าหิมพานต์  **



 " พนาพฤกษ์ แลลึกลับ กับมวลไม้
หามีใคร รู้ว่า มีอาถรรพ์
ซ่อนเร้นเมือง หลบไว้ หลังไพรวัลย์
ประตูป่า  ถูกปิดกั้น  ทางสัญจร "

.
.
.   ป่าเบื้องหน้ารกทึบ ปกคลุมด้วยสี
เขียวเข้มของมวลไม้สูง อีกทั้งเถาวัลย์
นานาพันธุ์ก็งอกงาม เลื้อยไต่กระหวัดกิ่ง
โน้นนี้ไปทั่ว  พันเกี่ยว   และแตกเส้นสาย
เถาใบแทรกแน่นหนา  
.     จนภาพตรงหน้าคือป่าปิด
.
.       ที่เหมือนจะปิดสนิท  ไร้ช่องทางใดๆ 
ไม่อยากคิดว่า จะมีใครที่สามารถบุกฝ่าเข้าไป
ในแมกไม้ที่ขึ้นเบียดเสียดจนดูมืดครึ้มอย่างนั้น
ได้
.     แล้วบรรยากาศรอบๆ มันก็ช่างสงัดวังเวง
เหมือนป่าแห่งนี้จะไร้ซึ่งสรรพสิ่งมีชีวิตอาศัย
 .  ประหลาดนักที่ทั้งป่าเงียบ  ปราศจากเสียง
นก เสียงชะนี เสียงค่าง อย่างป่าดงดิบอื่นๆ
.          แต่รู้ไหม ?  ตรงนี้แหละ มันคือ  
" ประตูป่า "
.
.      ใช่แล้ว -ประตูป่า  หรือประตูมิติแห่งกาล
เวลา ที่กางกั้น ซ่อนเร้นโลกลี้ลับไว้เบื้องหลัง
.
.   หยิบจีบพลู พร้อมหมากผ่า และช่อดอก
กาสะลองคำ สีเหลืองหมากสุกที่หายาก  ต้อง
สอยเก็บจากต้นที่อยู่สูง ริมหน้าผาไกลโน้น มา
เพื่อการนี้
      ส่วนเสริมอีกอย่าง คือขนมต้มขาว ต้มแดง
ที่ปู่ย่าตายายกำชับนักว่าต้องมี เพราะวิญญาณ
ภูตเร่ร่อน ผีไพร และผีพง ชอบกินนัก
.
.       มา -  เราจะมาทำพิธีเปิดประตูป่ากัน

.  .     มนตร์แห่งเวท  ได้ถูกจารึกไว้บนใบลาน
โดยฤๅษีตนหนึ่ง ผู้มาบำเพ็ญพรตในถ้ำที่อยู่ห่าง
จากที่ตรงนี้ไปเพียงชั่วเดินเท้าครึ่งวัน
.     มีผู้พบมันในย่าม ข้างกายแน่นิ่ง ที่ละสังขาร
แล้วของท่านฤๅษี
.  คำจารึก-เป็นภาษาแปลกประหลาด ที่ไม่อาจเดา
แหล่งที่มา หรือระบุชนเผ่าเจ้าของภาษาได้เลย
.    แต่เหมือนมันจะดลใจให้ผู้ที่ถือมันสามารถอ่าน
เป็นภาษาเทพได้เอง - แบบซ้ำๆ
.
.  และขณะนี้ ตรงหน้าสะตวงของหมากพลู ดอกไม้
และขนม ที่วางไว้กับพื้นหญ้าเพื่อบูชาป่า  ก็คือบท
สวดเปิดป่าหิมพานต์   ที่จะเริ่มร่ายเวทเป็นภาษาศิวะ
เพื่อทำการขอเปิดประตูป่า  ณ บัดนี้
.
.  "  อิสรา อัมโปรนี อันโตร เม ดรา
. อิสรา อัมโปรนี อันโตร เม ดรา....
.     อิสรา อัมโปรนี อันโตร --  เม ดรา   "

.
.       จงยืนกางขาให้มั่น กำหนดจิตให้
แน่วแน่   ชี้นิ้วตรงไปข้างหน้า แล้วพร่ำสวดคาถา
นี้ที่เป็นคำสั่งให้พนาไพรเปิดตัวของมันออกมา
.
. "  อิสรา อัมโปรนี อันโตร เม ดรา....
          อิสรา อัมโปรนี อันโตร เม ดรา....
    อิสรา อัมโปรนี อันโตร ----  เม ดรา   "

.
.         จงอย่ากลัว-- เมื่อฉับพลัน ท้องฟ้า
จะก่อแนวเมฆสีดำคล้ำ ดูมืดทมึนทั่วผืนฟ้า
. เมฆดำบางกลุ่มจะม้วนก้อน รวมตัว แปลง
กายเหมือนเงาอสูรยักษ์
.     แล้วโน้มต่ำลงมา  ทำท่าราวจะขย้ำผู้ที่
กำลังอ่านเวทมนตร์

.       จงอย่ากลัว  ให้สั่งจิตบอกตัวเองว่า  
มันเป็นเพียงภาพมายา  มันไม่สามารถจะทำ
อะไรเราจริงได้
 .   และจงอย่าหยุดท่องมนตร์ที่สั่งป่าให้เปิด
โดยเด็ดขาด  แม้บัดนั้น--เหมือนคล้ายมันจะ
แกล้งหลอกให้เวลาแห่งกลางวัน แปรเปลี่ยน
เป็นราตรีกาล ก็จงอย่าหลงกล 
.     -  จงมั่นคงไว้
.
.        อย่าหวั่นไหว ต่อเสียงสรรพสัตว์ 
ที่ทันใดนั้น ก็พากันร้องเซ็งแซ่พร้อมกันขึ้นมา
ราวป่าแตก
.    อย่าสนใจเสียงกรีดร้องของค่างใหญ่ ที่ดัง
โหยหวนก้องลึก เขย่าหัวใจให้แกว่ง  เพราะว่า
พวกมันจะพากันกรีดร้องสุดเสียง ราวกับกำลัง
จะถูกฆ่า--
.        -กำลังจะตายลงต่อหน้าเรา
.   มันเป็นกลลวง ที่ป่าพยายามขืนบทสวดไว้ 
จะเอาชนะคาถาของฤๅษีให้จงได้
.
.              จากนี้-
.   จงกระชับขาที่กางไว้นั้นให้มั่น  ยืนปักหลัก 
ไม่ให้ต้องล้มลง เพราะจะมีลมอะไรก็ไม่ทราบ
ได้ ก่อตัวอย่างทันที  
.   แล้วพัดกรรโชกแรง หอบเอามวลใบไม้ห่าใหญ่
จากป่าทึบ ฮือเข้าใส่อย่างรุนแรง
.  จงตรึงสติ และกล้ามขาไว้เช่นนั้น อย่าหวั่นกลัว
เพราะป่ากำลังจะพ่ายแพ้แก่เวทมนตร์แล้ว
.     อีกครั้ง-- จงสวดคาถาเปิดป่าหิมพานต์ด้วย
ถ้อยคำที่ชัดเจน ประกาศชัยชนะให้สำเร็จ
.
.  "  อิสรา อัมโปรนี อันโตร เม ดรา..
. อิสรา อัมโปรนี อันโตร เม ดรา....
.         อิสรา อัมโปรนี
.  อันโตร -
.          เม ดราาาาาาาา ---  "

.
.
.               บัดนั้น...
.    ภาพป่าเบื้องหน้า ก็จะค่อยๆ แปรเปลี่ยน
เหล่าต้นไม้สูง ที่บดบังป่าเป็นแนวทึบ ก็ค่อยๆ
เลือนหายไปอย่างประหลาด
..
.               อะไรกันนั่น-
.  ป่าทึบเหล่านั้น หายไปหมด  
.     เบื้องหน้า มีภูเขาใหญ่ปรากฏตระหง่าน
อยู่  มองเห็นเด่นชัดแต่ไกล
.
.    ภูเขาเทือกนั้น - มีเหตุให้ชวนสังหรณ์ใจนัก
 ว่าจะต้องเป็นที่อยู่อาศัยของเหล่าอะไรสักอย่าง
.       จริงๆ นะ-มันรู้สึกได้อย่างนั้น
.  แต่จะคืออะไรล่ะ ?  มันก็เกินคาดเดาได้

.                 พลัน-
.    บนท้องฟ้าก็ปรากฎเหมือนกลุ่มฝูงนก กำลัง
พากันบินลงมาจากภูเขา แหวกผ่านเมฆที่ใสสะอาด 
ลงมาที่นี่ 

.
.      ซึ่งที่ตรงนี้มีโขดหิน หน้าผา และน้ำตก
ใหญ่ที่มีน้ำไหลแรง  สาดเทตกลงมากลายเป็น
แอ่งน้้ำขนาดใหญ่
.     บริเวณรอบๆ ก็เป็นลานหินและลานดิน อีกทั้ง
มีป่าไม้ขึ้นเขียวชะอุ่มอยู่โดยรอบ

.         ดูจากสายตา --
.     คาดคะเนว่า บินกันมาเป็นกลุ่มใหญ่ 
ราวๆ หกสิบ-เจ็ดสิบตัว เห็นจะได้   
.
.  แต่เมื่อบินใกล้เข้ามา ก็เห็นชัดว่าพวกมัน
ไม่ใช่นก--
.        หากเป็นคน-- ที่ตัวเท่าคนปกติ  
. มีแขน มีขา 
.          แต่ก็มีปีก และมีหางด้วย !

.      โอ -นี่คือเหล่ากินรี จากป่าหิมพานต์
หรือนี่ ?
.
.             พอบินใกล้เข้ามา...
.    ตัวที่มาถึงน้ำตกก่อนรีบร่อนถลาลงเหยียบ
พื้น   สะบัดปีก สะบัดหางพรึ่บพรั่บ
.   ตัวที่ตามหลังก็ค่อยๆ ผ่อนปีก ร่อนกายตาม
ลงมาเป็นลำดับ
.
.    ฝูงกินรีต่างทยอยร่อนบินลงจากท้องฟ้า  
ตัวแล้ว ตัวเล่า    ดังโลกของเทพนิยายที่เล่า
สืบกันมา
.      ช่างเป็นภาพอัศจรรย์ ที่น่าตื่นตาตื่นใจ
เสียนี่กระไร
.
.              ไม่นาน-
.     ที่ลานหิน และลานดินของผาน้ำตก ก็คลาคล่ำ 
เต็มไปด้วยฝูงกินรี ที่เมื่อถึงพื้นแล้วก็ส่งเสียงหัวเราะ 
กระเซ้าเย้าแหย่  คุยกันสนุกสนาน
.   ราวกับสังคมของเหล่ามนุษย์เรา-ไม่ต่างกัน

.    อาภรณ์ที่พวกกินรีสวมใส่ ดูงดงาม และ
แปลกตา  เป็นเปลือกไม้บางๆ คล้ายตาข่ายเยื่อแห
หรือรกหุ้มของต้นมะพร้าว ถูกนำมาเย็บถัก สานซ้อน
ติดกันให้กลมกลืนเข้ากับรูปร่างของแต่ละตน  
. และประดับตกแต่งด้วยดอกไม้สด และใบไม้สด
ตามแต่ที่จะเห็นสวย เห็นงาม
.
.  ได้เห็นว่ามีทั้งเพศเมีย และเพศผู้ หรือจะเรียก
ว่า มีทั้งหญิง และชายก็คงได้
.
.             เช่นนั้นแล้ว-
.       ฝูงนี้ จึงมีทั้งกินรี และกินรา

.   
.      ที่น่าพิศวงก็คือ เหล่ากินรา และกินรีสามารถ
ถอดเก็บปีก และหางออก  กลายเป็นมนุษย์เดินดิน
ธรรมดาได้  
.   โดยปีก และหางนั้น เมื่อเจ้าของตั้งใจถอดออก
จากร่างกาย   ทั้งปีก และหางจะย่อส่วนลงมาเอง 
เหลือเพียงชนาดเท่าฝ่ามือ เพื่อให้เก็บรักษา นำพา
ติดตัวไปได้สะดวก  
.   เมื่อใส่กลับ ปีกและหางก็จะติดสมานกับร่างกาย 
ทันที 
.   และขยายตัวจนเท่ากับปีก และหางขนาดเดิม
.
.    น่าประหลาดอีกอย่าง คือกินรี กินราแต่ละตนมี
รูปร่างหน้าตาอย่างมนุษย์  
.     ที่ล้วนแลดูสวยงาม และหรือหล่อเหลา พาให้
เจริญหูเจริญตากันแทบทุกตัวตน

.      โดยเฉพาะ กินรีสาวรุ่น นางหนึ่ง 
.    ที่เธอกำลังถูกห้อมล้อม รายรอบด้วยเหล่ากินรี
สาวๆ ด้วยกัน
.    นางเป็นกินรีที่มีรูปร่าง และหน้าตางดงามยิ่งนัก 
โดดเด่น สะดุดตากว่าใครทั้งหลาย
.
.   อาภรณ์ของนางก็ดูจะวิเศษสุด เกินหน้าใครเขา
ด้วยเป็นเปลือกเยื่อไม้ที่ถูกประดิษฐ์ด้วยฝีมือแสน
ประณีต  เป็นอาภรณ์รูปแบบที่สลับซับซ้อน มีสีทอง
อร่าม 
.      รับกับดอกไม้สีทองดอกบวบ ที่ถูกร้อยห้อยเป็น
สายสังวาลย์ ประดับตุ้งติ้งอยู่รอบๆ กายของนาง
.  ตามแขน และปลายขาก็มีกำไลปะวะหล่ำ ที่ร้อย
สายเป็นลูกเล็กๆ ประดับแบบซ้อนเป็นชั้นๆ อย่างของ
นางละคร
.    สิ่งที่โดดเด่นกว่าสิ่งอื่นใด  คือนางมีมงกุฎทองคำ
ทรงสูงสวมไว้ที่ศีรษะ ขณะทีกินรีอื่นๆ ไม่มี    ราวกับ
จะแสดงสถานะว่า นางเป็นกินรีที่สูงศักดิฺ   หาใช่กินรี
ทั่วไปไม่

.         ถูกแล้ว--
.   เพราะนางคือ  องค์หญิง " จันทรากินรี "
.    พระธิดาผู้เลอโฉมแสนงดงามยิ่ง ของท่านเทพ
ปักษา ผู้ปกครองเหล่ากินรา กินรี แห่งภูผาหิมพานต์
นั่นเอง

.
.        *    *   *  *   *   *    *
.
.           " องค์หญิง...
.    จะเสด็จลงสรงน้ำตกหรือยังเพคะ "
.
.     นางพี่เลี้ยงกินรีอายุคราวรุ่นพี่ ที่ดูจะสนิท
ใกล้ชิดกับจันทรากินรีเป็นพิเศษ
.         ทูลถามอย่างเอาใจ
.
.         " พี่โพระดก --
.    วันนี้ หญิงคงไม่ลงเล่นน้ำหรอกนะ
.     หญิงรู้สึกไม่ค่อยสบาย ตัวร้อนๆ  คอยแต่
กระแอมไอมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว
.   นี่ไง - ท่านพ่อยังประทานโอสถแก้ไอของ
โยคีมาให้หญิงติดตัว ไว้จิบทาน "
.    
.      จันทรากินรีส่งตัวยาน้ำสีดำๆ ในขวดแก้ว
ให้นางโพระดกผู้พี่เลี้ยงดู
.
.       ซึ่งพอเห็น นางก็รีบบอกว่า
.
.          " โอ--
.   โอสถแก้ไอโยคีตัวนี้ พี่โพระดกก็เคยใช้
เพคะ
.  ดีมากเลย -- ไอที ก็ยกจิบที รสชาติก็หวาน
หอม ทานง่าย ชุ่มคอดีเพคะ "
.
.        นั่งพักผ่อนพอชั่วครู่ยาม
.    จันทรากินรีหันไปบอกเหล่าพี่เลี้ยงที่นั่งๆ 
นอนๆ อยู่รอบกายว่า
.
.     " พวกพี่ๆ จะลงเล่นน้ำ ก็ตามสบายเลยนะ 
หญิงขอนั่งรับลมเย็นๆ ฟังเสียงเพลงไพเราะจาก
สัญญาณสวรรค์ดีกว่า "
.
.    เหล่านางกินรีทั้งหลาย ได้ฟังคำอนุญาต
ก็กระดี๊กระด๊า 
.     พากันบังคมทูลลา ผละจากเจ้าหญิง
แล้วต่างถอดปีกถอดหางออก
.     ลงเล่นน้ำตก  หัวเราะกระซิก เริงร่า วักน้ำ
สาดใส่กัน
.
.   มีแต่นางโพระดกที่ยังคงอยู่ถวายการรับใช้ 
ไม่ยอมห่างไปอย่างพี่เลี้ยงคนอื่นๆ
.
.    จันทรากินรีหยิบกระจกแก้วมนตรา
ออกมาวางบนแท่นหิน
.
.   มันเป็นแผ่นแก้วทรงสี่เหลี่ยม ขนาดประมาณ
สองฝ่ามือชนกัน    
.   กระจกนี้คือแก้วใสบริสุทธิ์ ที่เกิดจากผลึก
ของเส้นใยหินแร่  พบเห็นได้แถวบริเวณหน้าผา
เสียงสะท้อนของป่าหิมพานต์
.      โดยมันจะสะท้อนตัวเองกับแสงอาทิตย์
ยามใกล้เที่ยงวัน เป็นแสงวะวาบ มองดูวิบวับ
.   ทำให้หน้าผานั้นกลายเป็นดั่งหน้าผาเพชร
.
.     ชาวกินรา และกินรี ต่างรู้จักคุณสมบัติของ
มันดี ว่ามันสามารถรับสัญญาณภาพ และเสียง 
.  และสามารถสะท้อนเสียงและภาพ  ส่งไปยัง
กระจกมนตราอีกอันได้
.  จึงสกัดเอาผลึกแก้ว มาใช้เป็นกระจกมนตรา 
เพื่อสื่อสารระหว่างกันทั่วทั้งเมืองปักษา สืบต่อ
กันมาช้านาน
.
.
.        *  *  *  *  *  *  *
.
.     " พี่โพระดก ...
.              มาดูอะไรนี่สิ "
.
.   จันทรากินรีบอกนางพี่เลี้ยงอย่างตื่นเต้น
.
.       " พอเราเปิดประตูป่าออกมาเล่นน้ำตก
กันข้างนอก มีสัญญาณเสียงสวรรค์จากที่ไหน
ก็ไม่รู้เข้ามาปนแทรกอยู่ในกระจกแก้วมนตรา
ของน้อง
.       แล้วนี่-- เป็นภาพอะไรกัน ?
.            น้องไม่เคยเห็นมาก่อน  "
.
.     โพระดกรีบชะโงกดูกระจกมนตรา  
.
.             "ไหนเพคะ"
.
.                 "นี่ไง-- "
.
.      เจ้าหญิงชี้ให้นางพี่เลี้ยงดู
.
.     ภาพที่เห็นในกระจกมนตราตอนนี้ คือภาพ
เคลื่อนไหวของมนุษย์เพศชายคนหนึ่ง
.   เป็นชายหนุ่มที่รูปงาม- งามแบบหาตัวจับยาก
เลยทีเดียว 
.        หรือว่า เขาคือเทพบุตร ? ผู้แต่งกายด้วย
อาภรณ์ชั้นดี และกำลังถือธนู  เดินท่องป่าตาม
ลำพัง
.
.      ยามที่กระจกมนตราจับภาพชายผู้นั้นไว้ 
แล้วดึงภาพ ขยายเข้ามาให้เห็นชัดๆ ใกล้ๆ 
.     หัวใจของเจ้าหญิงจันทรากินรีผู้เริ่มรุ่นสาว
ก็พลันให้รู้สึกหวั่นหวาม กับภาพชายหนุ่มรูปสวย
ที่เห็นอยู่ตรงหน้าอย่างสุดจะควบคุม
.    โลหิตสาวพลุ่งพล่าน  ฉีดพักตร์นางจนแก้ม
เรื่อ แดงซ่าน
.               นี่ใครกัน ? ...
.   ไฉนจึงรูปงาม สะกดสายตาได้ถึงเพียงนี้
.
.         " คืออะไรเหรอ..
.                 ...พี่โพระดก "
.
.         ทรงกระซิบถามพี่เลี้ยง ด้วยน้ำเสียง
แหบพร่า
.
.            " มนุษย์เพคะ...."
.
.      โพระดกกลืนน้ำลายเอื๊อกลงคอ
.
.  " เขาคือ มนุษย์ --ที่อยู่อีกโลกนึง คนละโลก
กับหิมพานต์ของพวกเรา
.    โอ- เขาช่างเป็นมนุษย์ผู้ชายที่สวยงามอะไร
เยี่ยงนี้
 .         และก็- ดูดี มีสกุลวรรณะ
 .  พี่คิดว่า  เขาคงเป็นเจ้าชายจากที่ไหนสักแห่ง
เพคะ  ไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน "
.
.   เจ้าหญิงกินรีทรงเอื้อมมือแตะที่ขอบกระจก
รัวๆ สองครั้ง -แบบดับเบิ้ลคลิก
.     ทำให้กระจกขยับขยายภาพให้เห็นใบหน้า
ของชายหนุ่มผู้นั้นชัดเจนยิ่งขึ้น    จนราวกับว่า
เขามายืนอยู่ตรงหน้า
.
.      หากแท้จริงแล้ว ชายหนุ่มก็ไม่ได้รู้ตัวเลย
แต่อย่างใด  ยังคงมองไปทางโน้น ทางนี้ แบบ
คนที่กำลังสำรวจป่า
.
.              และแล้ว ...
. กระจกก็จับภาพช่วงที่เขาหยุดนิ่ง แล้วหันหน้า
มามองตรงๆ  จ้องตาหวานคมมาที่สองนาง
.   พลางยิ้มน้อยๆ เหมือนพบเห็นสิ่งที่ถูกใจ
.
.   ความหล่อเหลาก็จึงสาดส่งเสน่ห์มายัง
ผู้ที่กำลังลอบพิศชมเขา อย่างท่วมท้น
.        สองกินรี ถึงกับอึ้ง ตะลึงงัน
.
.    หัวใจของจันทรากินรีร้อนวูบวาบ แต่เธอ
ก็รีบพยายามข่มไว้
.  
.        "  เขามีธนูด้วย --
.     น้องว่าคงเป็นพวกพรานมากกว่า "
.    
.          " ไม่ใช่พรานเพคะ--
.   อาภรณ์งามหรูเยี่ยงนี้ ตัดเย็บเก็บขอบชาย
ก็ดูประณีตเยี่ยงนั้น    พี่มั่นใจว่า เขาต้องเป็น
เจ้าชายองค์หนึ่งเท่านั้น "
.
.           นางพี่เลี้ยงยืนยันคำเดิม
.
.  ทันใดนั้น  ชายหนุ่มก็หยิบลูกศรมาง้างกับ
คันธนู ยกสูงขึ้นกลางอากาศ
.
.   "  เขาจะยิงธนูแล้วเพคะองค์หญิง  
.      - เอ ทรงทอดเนตรซิเพคะ ธนูเขาช่าง
แปลกจัง  มีศรสองดอกอยู่ในศรอันเดียวกัน "
.
.         " ใช่ - เป็นธนูแฝด
.     อันนึงธนูเงิน อีกอันธนูทอง "

.
.     จันทรากินรีก็รู้สึกทึ่งในรูปลักษณ์ของธนู
นั้น
.
.
.      " น้องหญิงงงงงง.. "

.     พลันมีเสียงเรียกมาแต่ไกลทางด้านหลัง
ทั้งสองจึงหันไปทางต้นเสียง
.    เป็นเหล่าหนุ่มกินรา ที่กำลังเดินตรงมาหา
เป็นกลุ่ม    กินราหนุ่มน้อยที่เดินนำหน้า ยิ้มร่า
มาที่จันทรา มีรูปงามยิ่งนัก

..    " องค์ชายสุริยันกินราเสด็จกลับมาจากป่า
แล้วเพคะ "

.
.   โพระดกทูล พลางเขย่ามือของเจ้าหญิงน้อย
ของนางเหมือนเตือน
. จันทรากินรีจึงรีบคว้ากระจกมนตรา ซุกเก็บไว้
ในห่อผ้าตามเดิม
.     ก้าวลงจากแท่นหิน ประทับยืนรอรับเจ้าชาย
สุริยันกินรา-ผู้เชษฐา
.
.         " พี่ชายเสด็จกลับมาแล้ว
.     หายไปนาน  หญิงเป็นห่วงเพคะ "
.
.       " ดูนี่ -พี่ได้รวงผึ้งป่ามาฝากน้องหญิง
.  มีน้ำผึ้งหอมสดกรุ่นเต็มรวงเลย "
.
.    เจ้าชายสุริยันกินรา -กินราผู้สูงศักดิ์รูปงาม 
ยกรวงผึ้งอันใหญ่ ของฝากจากป่า ชูให้น้องสาว
สุดที่รักดูด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

.       จันทรากินรีปลื้มปิติในน้ำใจของสุริยันกินรา
-เชษฐาร่วมสายโลหิต  ที่ทรงรัก และเมตตาต่อ
เธอผู้ขนิษฐาตลอดเรื่อยมา
.
.       " โธ่ -ลำบากองค์เปล่าๆ เพคะ  "
.
.        "  ไม่หรอก -"  
.             
.          สุริยันตอบยิ้มๆ
.
.  " พอดีเหล่าพี่เลี้ยงเห็นมันห้อยอยู่บนคาคบ
ไม้สูงตรงโน้น  
.    พี่รู้ว่าน้องชอบดื่มโสมผึ้ง จึงบินขึ้นไปเก็บ
ลงมาให้ "
.
.         " เป็นพระกรุณา เพคะ "
.
.   จันทรากินรีเอื้อมมือจะรับรวงผึ้งป่า--
.
.          ทันใดนั้น-
.     มีเสียงหวีดหวิวของวัตถุที่กำลังแหวก
อากาศ เสียดแทรกมาอย่างเร็ว ดังขึ้น

.
.           ทุกคนตกใจ
.   หันขึ้นไปมอง   หน้าเลิ่กลั่ก
.
.      " อะไรน่ะ ? 
.              -- เสียงอะไร  ? "
.
.    " โอ๊ยยยยยย...!!!  "
.
.   เจ้าชายสุริยันกินราร้องด้วยความเจ็บปวด
รวงผึ้งป่าหล่นจากพระหัตถ์ 
.     วรกายถลาล้มลงตรงนั้นทันที
.
.           " ว้ายย--
.   เสด็จพี่สุริยันถูกศรธนูยิง "
.
.   จันทรากินรีเห็นเต็มตา  กรีดร้อง
อย่างตกพระทัย
.
.       เหล่าพี่เลี้ยงกินราต่างพากันตกตะลึง
ก่อนจะรีบกรูกันเข้าประคองร่างขององค์ชาย
ไว้
.      ที่ทรวงอกของสุริยันกินรา มีพระโลหิต
ไหลรินทะลักออกมา   มีธนูรูปร่างประหลาด
ปักเสียบเข้าตรงตำแหน่งพระหทัยพอดิบพอดี
.    เจ้าชายกินราหนุ่มสิ้นสติ วรกายปวกเปียก
ไม่ไหวติง
.
.     เห็นองค์แน่นิ่งไป เหล่าพระพี่เลี้ยงจึงรีบ
ช่วยกันพยุงองค์ให้พิงไว้กับโขดหิน

.        จันทรากินรีหายจากตกตะลึง ก็ร่ำไห้ 
ตรงเข้ามาหาพระเชษฐา
.
.    ทรงพยายามค่อยๆ ดึง-ถอนธนูออกจากอก
ของพี่ชาย แต่มันปักเข้าไปลึกมาก ดึงแล้วก็ไม่
ขยับ
.  จนเมื่อนางเปลี่ยนเป็นออกแรงดึงอีกครั้ง แรงๆ   
มันจึงได้หลุด ติดมือออกมา
.  
.        รูปร่างเป็นธนูแฝด !!!
.
.   แม้จะเปื้อนโลหิตของสุริยันกินรา แต่ก็เห็นได้
ชัดเจนว่าศรดอกบนเป็นโลหะเงิน มีสีขาวละเลื่อม
ส่วนศรดอกล่างเป็นทองคำเนื้อสีเหลืองสุกปลั่ง
.
.   จันทรากินรีทรงกันแสง น้ำเนตรไหลอาบแก้ม
กำลูกธนูไว้แน่น
.    ภาพที่เห็นจากกระจกมนตราเมื่อครู่นี้ นางยัง
จำได้ติดตา -- ไม่ลืม
.
.          ทรงรำพึงในพระทัย-
.
.         " ธนูเงิน ธนูทอง !  "
.

.          *  *  *  *  *  *  *  *  *  *
.
.         จันทรากินรีรีบตั้งสติมั่น -หยุดกันแสง
ตรัสสั่งให้เหล่าพี่เลี้ยงกินราช่วยกันหามร่างของ
องค์สุริยันออกมาจากผาน้ำตก  มาวางลงที่ลาน
ใต้ร่มไม้ใหญ่
.      แล้วเจ้าหญิงก็รีบปลีกตัว ไปร่ายมนตร์ปิด
ประตูป่าหิมพานต์ในทันที

.
.    พี่เลี้ยงกินรากลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่ง  พากันบิน
ขึ้นสู่ต้นไม้สูง ที่รกรุงรังด้วยเหล่าเถาวัลย์ย่าน
สาย

.      ต่างพากันโผบิน ขึ้นเกาะที่กิ่งไม้ใหญ่ๆ   
แล้วถลาบินร่อนลงมา คว้าที่ย่านเถาวัลย์ที่เห็น
ห้อยระโยงระยางทั่วต้นเหล่านั้น 
.   ช่วยกันโหนตัวขย่ม และกระชากลากดึงให้
เถาวัลย์เส้นยาวๆ ที่แข็งแรงหลุดหล่น
.   บ้างก็ช่วยกันสองตน ดึงเถาวัลย์ และคอย
รับไว้ 
  . ได้แล้วก็โยนทิ้งลงมายังพื้นล่างให้หมู่กินรีลาก
ไปที่ลานกว้าง ที่มีกินรีหลายตนช่วยกันนั่งถักสาน
ย่านสายเป็นเปลหามขนาดใหญ่อย่างเร่งรีบ
.
.     กินราบางตนก็หอบเถาวัลย์บินลงมาให้เหล่า
กินรีถึงพื้น  ก่อนจะโผบินขึ้นหามาเพิ่มให้อีก
.       -- เถาแล้ว เถาเล่า
.
.      ขณะที่ขะมักเขม้นช่วยกันเพื่อการนี้ 
น้ำตาของเหล่ากินรี และกินรา หลั่งรินตลอดเวลา
.   เพราะจากสภาพที่เห็น พระวรกายของเจ้าชาย
เปียกชุ่มโชกด้วยพระโลหิต แน่นิ่งปวกเปียก ไร้ซึ่ง
เรี่ยวแรง
.   เจ้าชายสุริยันกินราผู้เป็นที่รักของทุกคน
จักต้องทรงสิ้นพระชนม์ชีพไปแล้ว   -อย่าง
แน่นอน
.
.   ต่างเร่งช่วยกันถักสร้างเปลเถาวัลย์ขนาด
ใหญ่เพื่อใส่พระศพอย่างร้อนรนจนแล้วเสร็จ 
.
.     ช่วยกันยก ช้อนองค์วางลงบนเปล แล้ว
ใช้เถาวัลย์สายเปล่าๆ รัดที่องค์อีกรอบ
.  กินราร่วมสิบตน ตรงเข้าจับชายของเปลรอบ
ด้านไว้มั่น
.       จากนั้น ก็โผบินขึ้นพร้อมกัน
.    หามเปลเถาวัลย์ที่มีร่างไร้พระชนม์ชีพของ
เจ้าชายขึ้นสู่ท้องฟ้า กลับสู่ยังนครเทพปักษาบน
ภูผาแห่งแดนหิมพานต์ด้วยความโศกเศร้าอาดูร
.
.      *  *  *  *  *  *  *  *
.
.
   " สุริยัน กินรา บุตรข้าเอ๋ย
.  มิควรเลย มาจากไป ให้ขื่นขม
.  พ่อปวดร้าว เศร้าอุรา พาระทม
.  ดั่งจะล้ม และขาดใจ ไปด้วยเจ้า "

.
.

.          ท้าวเทพปักษาทรงสะอื้นไห้  
เอาแต่คร่ำครวญถึงโอรสผู้จากไปอย่างไม่มี
วันกลับ

.
.       สังคมโซเชี่ยลของบรรดาประชากรกินรี 
กินรา ต่างรีบส่งข่าววิปโยคนี้แก่กันทั่วทั้งเมือง 
.   มีทั้งทางกระจกมนตรา ที่ออกเป็นภาพและ
เสียงคล้ายวิดิโอคอลสมัยนี้
. และที่บินไปบอกข่าวเองถึงรังของกินรี กินรา
ที่ตนรู้จัก ให้ได้รู้จากปากตรงๆ กันเลย
.
.    ทันที่ที่ได้ทราบเรื่องราวก็ร่ำไห้ สะอึกสะอื้น  
และรีบชวนกันออกมาจากที่อาศัย  ซึ่งมีทั้งแบบ
ดั้งเดิม-ออริจินอล   ที่เป็นรังบนคาคบไม้ใหญ่ 
อยู่สูงเสียดฟ้า 
.    และแบบยุคหลัง ที่โมเดิร์นขึ้น คือเป็นถ้ำ
.
.   ก็มีทั้งถ้ำธรรมชาติ ที่ครอบครัวกินรี กินราไป
เสาะหาเพื่อใช้อยู่อาศัยเอง ตามแถวบริเวณป่า
ดงทึบ
.  และถ้ำหรู ที่มีเหล่ากินรา กินรีหัวใสไปจับจอง
ถ้ำต่างๆ ไว้    จากนั้นก็รีโนเวทถ้ำธรรมชาติ จน
ออกมาดูสวยงามน่าอยู่  แล้วจัดสรรแบ่งขาย 
.    แลกกับอัฐทองคำก้อนมหึมา
.
.   มีให้เลือกทั้งแบบ ถ้ำเดี่ยว ถ้ำแฝดคู่ และแบบ
ที่เจาะหน้าผาเป็นหลายๆ คูหา เรียงต่อๆ กันเป็น
ทิวแถว   แลดูคล้าย ทาวน์เฮ้าส์-ทาวน์โฮม ของ
ชาวโลกมนุษย์สมัยนี้  
.
.     ทุกตนเร่งกระพือปีกขยับบิน  มุ่งตรงไปที่
วังของท่านเทพปักษา
.    ที่เป็นปราสาทใหญ่ตั้งบนยอดภูผาสูง  อัน
เป็นสถานที่ตั้งพระศพขององค์ชายสุริยันกินรา
.
.      เหนือฟ้าเมืองหิมพานต์ในยามนี้ จึงดูสับสน
วุ่นวาย มืดฟ้า มัวดิน ไปด้วยฝูงกินรี-กินรา หลาย
ร้อยตน 
.     พากันบินว่อน สวนกันไปมาขวักไขว่  เต็มทั่ว
ทั้งผืนฟ้า
.
.
.          *   *  *  *  *  *  *  *
.
.  พอเห็นพระศพองค์ชาย ประจักษ์แก่
สายตา 
.      เหล่ากินรี กินราก็ถึงกับร่ำไห้กันตรงนั้น
อีกครั้ง
.
.    บางกินรีให้โศกาอาดูรยิ่งนัก  ทำใจรับไม่ได้
ที่เจ้าชายต้องมาสิ้นพระชนม์ไปเช่นนี้  ถึงกับตีอก
ชกตัว  แล้วคร่ำครวญรำพันถึงองค์ชายด้วยความ
เวทนา และอาลัย   
.    เพราะองค์สุริยันกินราทรงเป็นเจ้าชายที่เหล่า
กินรี-กินราทุกตน ชื่นชม และรักใคร่มากมาย
.
.     เสียงสะอึกสะอื้นอาลัยรัก ดังระงมไปทั่วทุก
มุมเมืองหิมพานต์
.
.         *  *  *  *  *  *  *  *
.
.    ครั้นพอทรงคลายเศร้าโศกลงได้บ้าง 
ท่านเทพปักษาจึงรีบบัญชาให้นำร่างของเจ้าชาย
สุริยันกินราใส่ไว้ในโลงแก้วตามราชประเพณี
.
.   เจ้าหน้าที่ราชวังก็เร่งจัดตั้งริ้วขบวนแห่พระศพ
อย่างรีบด่วน  ได้แก่ เหล่าคนธรรพ์ที่คอยบรรเลง  
ประโคมดนตรีทิพย์วงใหญ่  และหมู่เหล่านางกินรี
ช่างฟ้อนที่เป็นขบวนร่ายรำนำหน้าโลงแก้ว แห่แหน
พระศพไปรอบๆ นครเทพปักษา
.
.      ยามที่ขบวนผ่านสถานที่สำคัญ ก็จะมีเหล่า
ประชากินรี- กินราเฝ้ารอรับขบวน โปรยปรายดอกไม้
หอมเพื่อส่งเสด็จสู่สรวงสวรรค์
.
.     "  ขอสวรรค์  จงเมตตา เหล่าข้านี้
.   กินรี กินรา มาวอนไหว้
.  ส่งองค์ชาย สุริยัน ด้วยอาลัย
.  สวรรค์โปรด รับองค์ไว้ ด้วยเอ็นดู "

.
.
.             จากนั้น....
.   ขบวนแห่ก็นำโลงแก้วไปไว้ในถ้ำพญาค้างคาว
ดำ
ที่ชานเมือง   เป็นไปตามราชประเพณีที่ปฏิบัติ
สืบกันมาช้านานอีกเช่นกัน
.
      ถ้ำพญาค้างคาวดำแห่งนี้  ชาวกินรี 
กินรา นิยมใช้เป็นที่เก็บศพผู้เป็นที่รัก
.  เนื่องจากอากาศในถ้ำชั้นในนั้นเย็นจัดจนมี
เกล็ดน้ำแข็งจับอยู่ตามผนังถ้ำ  บ้างก็เกาะย้อย
จากผนังลงมาเป็นม่านแก้ว เต็มทั่วไปหมด
.     ความเย็นยะเยือกขั้นอุณหภูมิติดลบนี้เอง
ที่ทำให้ทุกศพในถ้ำยังคงสภาพเดิมไว้ได้ ไม่
เน่าเปื่อย
.
.    จันทรากินรีเดินเกาะโลงศพแก้ว นางร่ำไห้
ตลอดเส้นทางของขบวน ด้วยเธอรักและผูกพัน
ต่อเชษฐาของตนเป็นยิ่งนัก
.
.     เพราะตลอดเวลา ตั้งแต่จันทราทรงกำเนิด
ออกจากฟองไข่แก้ว เจริญเยาว์วัยมา สุริยันกินรา
เป็นเชษฐาที่ทรงรักน้องสาวคนนี้สุดหัวใจ 
.   จะทรงคอยดูแลจันทรากินรี-ผู้น้องน้อยอย่างดี
ยิ่ง  ทรงห่วงใย เอ็นดู คอยเล่นเป็นเพื่อนกับน้อง
. ทรงเป็นผู้พิทักษ์ คอยปกป้อง และเสียสละทุกๆ
อย่างให้น้องได้รับก่อนตนเสมอ
.
.      วันเกิดเหตุร้ายแรงครั้งนี้  ก็เช่นกัน 
เกิดจากที่องค์ชายสุริยันทรงตรัสถามเจ้าหญิง
จันทราอย่างอยากเอาใจน้องว่า
.
.      " น้องหญิงของพี่ วันนี้จะให้พี่พาไปเที่ยว
.  ที่ไหนหรือ ? "
.
.   " หญิงอยากไปเที่ยวป่าใหญ่นอกเมืองบ้าง
เพคะ เสด็จพี่สุริยัน 
.     เบื่อป่าหิมพานต์ เพราะได้ไปเที่ยวมาจน
หมดสิ้นทุกป่าแล้ว "
.
.   " งั้น - วันนี้  พี่จะพาน้องจันทราไปเที่ยวป่า
ข้างนอกกันนะจ๊ะ "
.
.
.        *  *  *  *  *  *  *  *  *  *  *
.
.     ความทราบถึงเจ้าแม่ย่า-พระมารดา
ของท้าวเทพปักษา

.     พระนางรีบโผผิน บินลงมาจากถ้ำทางทิศตะวัน
ตกที่ท่านจำศีลภาวนาธรรมอยู่   ตรงรี่มาที่ถ้ำพญา
ค้างคาวดำ  ทันในเวลาที่กำลังประกอบพิธี
.
. กินรีเฒ่าชราก้มลงมองพระศพของเจ้าชายหนุ่ม 
ผู้หลานรักในโลงแก้ว   พลางสะอึกสะอื้น ด้วยความ
เวทนาสงสาร 
.
. "  สุริยันหลานย่า-
.                -- อนิจจา
.       ย่าเกือบไม่ทันเห็นหน้าเจ้า- รู้ไหม "
.
.        จากนั้น พระนางก็คลี่มวยผมออก
. สยายเส้นเกศาที่หงอกขาวโพลน เช็ดถูโลงศพ
แก้วให้ด้วยความอาลัยรัก
.
.    บรรดากินรี และกินรา ณ ถ้ำพญาค้างคาวดำ
ต่างพากันฟุบหน้าหมอบกราบเจ้าแม่ย่า
.
.       เจ้าย่าในชุดบำเพ็ญศีลสีกรักแดงก่ำคล้ำ
ทรงกระพือปีกกินรีขึ้นลงด้วยความโกรธ
.     ตรัสถามเสียงดังอย่างกราดเกรี้ยว เมื่อทรง
ทราบว่า มีผู้กระทำผิดกฎข้อห้ามแห่งหิมพานต์
.
. "  บอกข้ามาเดี๋ยวนี้...
.               ว่าใคร--
.       เป็นผู้เปิดประตูป่า ! "

.
.              เงียบ-- 
.      หามีผู้ใดกล้าหาญ ทูลบอกความจริงแก่
พระนาง
.
.        "ข้าได้สั่งเตือนพวกเจ้ามาตลอด
ว่าอย่าได้บังอาจเปิดประตูป่าหิมพานต์
.     แต่พวกเจ้าก็หาฟังคำเตือนของข้าไม่
.
.          ศัตรู และสิ่งชั่วร้ายทั้งหลาย
.  มันถึงได้ถือโอกาสแทรกผ่านประตูป่า 
เข้ามาทำร้ายพวกเราเช่นนี้   "
 .
.       ทรงถามคาดคั้นอีกสองสามรอบ
จึงมีพี่เลี้ยงกินราตนหนึ่ง ตัดสินใจยอมกราบ
บังคมทูล
.
.       " เสด็จเจ้าแม่ย่า --
.               ควรมิควร ฯ
.    ผู้ที่ร่ายเวทเปิดประตูป่าครั้งนี้ คือองค์
สุริยันกินรา - พระเจ้าข้า "
.
.          "  อะไรนะ-- ? "
.
.       เสด็จเจ้าแม่ย่าทรงฉุนเฉียว ตวาด
ใส่ทหารกินราองครักษ์ทันที
.
.     "-- นี่เจ้ากล้าโยนความผิดให้แก่หลานข้า 
ผู้ที่ไม่อาจตื่นมายืนยันคำพูดกล่าวหาของเจ้า
.         - เยี่ยงนี้เชียวรึ ? "
.
.    พี่เลี้ยงกินราก้มหน้า หมอบตัวสั่น ไม่กล้า
ทูลอะไรต่ออีก 
.     เพราะพูดไป ก็คงถูกมองว่าเป็นคำแก้ตัว
.
.
.   จันทรากินรีเห็นเสด็จย่าของตนตรัสต่อ
พี่เลี้ยงของพี่ชายอย่างมีพระพิโรธเช่นนั้น
.       จึงยืนขึ้น ทูลต่อเสด็จแม่ย่าว่า
.
.          " เสด็จแม่ย่าเพคะ--
.   ลูกขอยืนยันแทนพี่สุริยัน ว่าที่พี่เลี้ยงกล่าว
มา เป็นความจริง เพคะ  "
.
.   กินรีชราผู้สูงศักดิ์มองพระนัดดาองค์น้อย
อย่างแปลกพระทัย
.
.             " จันทรา-  
.   เจ้าเป็นหญิง แล้วมาเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ ? "
.
.        เจ้าหญิงทรงทูลตอบว่า
.
.     " เพราะหลานทราบดีว่า ที่เสด็จพี่สุริยัน
เปิดประตูป่า ก็เพราะพี่สุริยันรักหลาน  อยาก
ให้หลานได้เที่ยวเตร่นอกวังบ้าง เพคะ "
.
.         " อ้าว--
.          อย่างนั้นเองหรอกรึ ?
.   ประตูป่าหิมพานต์ที่ถูกปิดตายมานาน ถึง
ได้ถูกร่ายเวทเปิดออก--
.  แน่นอน--  สุริยันรักน้องอย่างเจ้ามากนัก
.         --  เรื่องนี้ ย่ารู้ "
.
.       เจ้าแม่ย่าสะอื้น พยักหน้าหงึกๆ อย่าง
น้อยพระทัย  และตรัสพ้อต่อ อย่างเสียพระทัย
ยิ่ง
.
.          " --รักน้องมาก 
.   จนถึงขนาดยอมทำผิดกฎแห่งหิมพานต์ 
ที่ย่าได้กำหนดสั่งห้ามไว้  !! "

.  จันทรากินรีได้ฟัง ก็ยิ่งรู้สึกเหมือนถูกตอกย้ำ
ว่าตนมีความผิดอย่างมหันต์  
.     เหมือนจะเป็นตัวต้นเหตุหลัก ที่ทำให้นคร
หิมพานต์อันแสนสงบต้องมาเกิดโศกนาฏกรรม
ใหญ่หลวงในครั้งนี้ -เช่นนี้
.
.   เจ้าหญิงองค์น้อย ทรงสะอื้นฮักๆ
.            ทูลว่า
.
.      " เสด็จย่าเจ้าขา -- ฮือๆ  
.  หลานเสียใจเพคะ หลานอยากช่วยให้พี่สุริยัน
ทรงฟื้นพระชนม์ชีพขึ้นมาอย่างเดิมเหลือเกิน
.       พอจะมีหนทางใดที่ทำได้บ้างไหมเพคะ
โปรดช่วยบอกหลานมาเถิด  "
.
.             " ข้าก็ไม่รู้  "
.
.           เจ้าแม่ย่าส่ายหน้าปฏิเสธ
 แล้วทรงหันพักตร์ไปทางพญาค้างคาวดำอาวุโส 
ผู้มีลำตัวใหญ่เท่าๆ กวางป่า ที่เกาะห้อยหัวนิ่งอยู่ที่
ผนังถ้ำใกล้ๆ
.
 .     " แต่เจ้าก็ลองถามท่านพญาค้างคาวดำ
ผู้ครองถ้ำนี้ดูสิ
.     เพราะท่านได้บำเพ็ญพรต จนมีฌานพิเศษ 
แก่กล้า สามารถติดต่อกับสวรรค์เบื้องบนได้
.    ย่าเชื่อว่า ท่านพญาค้างคาวดำคงทราบวิธี  "
.
.
.               *  *  *  *  *  *
.
.   พญาค้างคาวดำผู้ถูกกล่าวพาดพิง 
ก็เริ่มขยับตัว

.  กางปีกใหญ่ที่ยาวสมดุลกับขนาดตัวซึ่งใหญ่โต
มาก เกือบๆ เท่าม้า  ให้แผ่ยืดออกไปทั้งสองข้าง
.   แล้ววาจาที่แหบห้าว ก็เอ่ยออกมาจากศีรษะที่
ห้อยหกนั้น

.        " หนทาง-น่ะมี
 .  แต่ใครเล่า จะยอมเสียสละ
  .       เพราะอาจแม้ต้องถึงแก่ชีวิต "
.
.         จันทรากินรีรีบประนมกรกราบ
.
.    " โอ--ท่านปู่พญาค้างคาวดำ 
.    หลานยอมสละชีพได้เพคะ 
.   โปรดชี้แนะหนทางนั้นมาเถิดเจ้าค่ะ "
.
 .       " จันทรากินรี...
.   เรื่องนี้ เป็นชะตากรรม ฟ้าดินเขาลิขิตไว้
.     ถ้าเจ้ารับปากต่อมหาสมาคมแห่งนี้  ว่าเจ้า
เต็มใจจะอาสา  
.        ข้าถึงจะยอมบอก "
.
.          "  ท่านปู่เจ้าข้า ...
.     จันทรากินรี- ข้านี้ให้คำสัญญา "
.
.       เจ้าหญิงประนมกร กล่าวคำสาบาน
 ลั่นถ้ำ
.
.   " ด้วยเกียรติของวงศ์วานเทพปักษาแห่งป่า
หิมพานต์
.    ข้าขอสาบานว่า  ข้ายินดีสละชีวิตของข้า 
เพื่อช่วยต่อพระชนม์ชีพของเสด็จพี่สุริยัน 
.         -- เจ้าข้า "
.
.   กินรี กินรา ทุกตนพากันมององค์หญิงน้อย
อย่างชื่นชมในพระทัยกล้าหาญ
.     เสด็จย่ากินรีทรงตื้นตัน จนถึงแก่พระเนตร
เอ่อคลอเบ้า
.
.     " เช่นนั้น---   
.             จงฟัง ที่ข้าจะบอก "
.
.    ท่านค้างคาวดำกระพือปีก ขยับพรึ่บ-พรั่บ 
ไปมา
.      ส่งกลิ่นอับๆ อวลคลุ้งไปทั่วทั้งถ้ำ
.  ชวนให้เอาแอร์เฟรชชี่กลิ่นลาเวนเดอร์ มา
ฉีดไล่กลบกลิ่น ซักสอง-สามกระป๋อง
.
.      " สุริยันกินราจะฟื้นคืนชีพ
.   ถ้าเจ้าเอาดวงใจ ที่ตัดมาเพียงครึ่งหนึ่ง
ของศัตรูผู้นี้  ที่เขาต้องมีความรักต่อเจ้า
.    และเจ้าเอง ก็ต้องรักเขา....
.      มาวางบนอุระ ของพระศพนี้
.   แล้วต้องทำการนี้ให้ทัน  ภายในห้วง
เวลา  15 ทิวา -ราตรี
.     นับแต่บัดนี้  ที่เจ้าได้ประกาศให้คำ
สัญญา "

.
.       " เพียง 15 ทิวาราตรีเองหรือ
ที่ข้าต้องนำหัวใจตัดมาเพียงครึ่ง ของศัตรูผู้
ประหารเสด็จพี่สุริยัน มาวางบนอุระของเจ้าพี่ 
ที่นี่
.      มิหนำซ้ำ  ศัตรูยังต้องรักข้า
.          และข้า-ก็ต้องรักศัตรู  "
.
.    จันทรากินรีทวนคำอย่างงุนงง
.
.    " แล้วข้าจะรักศัตรูของข้าได้อย่างไรเล่า 
 - ท่านปู่ ?  "
.
.
.   พญาค้างคาวดำหุบปีก หลับตานิ่ง
และเงียบ  
.     ไม่กระดุกกระดิก ไม่ยอมเอ่ยอะไรอีก 
เพราะบอกมากไปกว่านี้  อาจจะเป็นการละเมิด
ต่อลิขิตแห่งสวรรค์ได้
.
.     จึงเป็นอาณัติสัญญาณให้จันทรากินรี และ
ทุกคนรู้ว่า ป่วยการที่จะรบเร้าให้ท่านตอบ  จึง
พร้อมกันก้มลงกราบลาเจ้าของถ้ำ
.
.
.           * * * *  * * *  * * *
.
.  " พี่ขอตามเสด็จองค์หญิงไป
เมืองมนุษย์ด้วยเพคะ "
.

 .   จันทรากินรี ที่กำลังแต่งกายให้รัดกุมขึ้น 
หันมาสบตาพี่เลี้ยงโพระดกผู้ภักดี ที่คุกเข่า
อยู่ตรงหน้า
.
.   " หญิงไม่ขอรบกวนพี่โพระดกนะจ๊ะ
.          เรื่องนี้ มันเสี่ยงเกินไป
 พี่ก็รู้ ว่าหญิงกำลังไปเอาหัวใจของเขา
.    -- หญิงเอง ก็อาจต้องแลกชีวิตกับมัน "
.
 .   "  ก็เพราะพี่รู้ว่ามันอันตราย พี่ถึงได้ขอ
ตามติดไปด้วย...
.      เมื่อคืน พี่ได้บอกกับครอบครัวของพี่ว่า
พี่เป็นห่วงองค์หญิงมาก  คงไม่สามารถปล่อย
ให้เสด็จออกไปเมืองมนุษย์โดยลำพังได้
.   นี่-พ่อแม่ของพี่ ท่านทั้งสองก็อนุญาตแล้ว
เพคะ "
.
 .    จันทรากินรีโผเข้ากอดพี่เลี้ยง ทรงกันแสง
สะอื้นด้วยความตื้นตันใจ
.
.        " พี่โพระดกจ๋า-- ฮือๆๆ  
. หญิงขอขอบคุณพี่จริงๆ ที่ไม่เคยทอดทิ้งกัน
.      เกิดมา  หญิงไม่เคยเป็นศัตรูกับผู้ใด
แล้วดูเถิด - บัดนี้ พอมันเป็นอย่างนี้เข้า 
.      น้องเองก็สับสนไปหมด
.   -- ทำอะไรไม่ถูกเลยจ๊ะพี่ "
.
.       " ไม่ต้องวิตกไปนะเพคะ
ขอให้เรามั่นใจ ว่าทุกอย่างต้องแก้ไขได้
. เราจะไปด้วยกัน อยู่เคียงข้างกัน
.      ในเวลา 15 ทิวาราตรี เราจะต้อง
ทำการนี้ให้สำเร็จ เพื่อเอาพระชีพขององค์
สุริยันกินรากลับมาให้จงได้ "
.
 .    เจ้าหญิงกินรียื่นมือให้พี่เลี้ยงดู
.
     " เมื่อวาน เจ้าแม่ย่าประทานแหวน
เตือนกาลเวลา กำชับให้หญิงใส่ติดมือไว้
.   ท่านเกรงว่า หญิงจะเผลอไผลจนลืม   
เลยเวลาที่สวรรค์กำหนด "
.
 .  ที่นิ้วซ้ายของจันทรากินรีมีแหวนทอง
เกลี้ยงๆ วงใหม่ สวมไว้
.
 .  "  เจ้าแม่ย่าบอกไว้ว่า  หากเวลานั้น-
เหลือเพียงอีกหนึ่งทิวาราตรี
.     แหวนวงนี้ จะเปลี่ยนเป็นสีแดงสด 
เพื่อเตือนเรา "
.
.        " ดีเพคะ--
. พี่โพระดกก็จะคอยดูแลเรื่องนี้ให้ด้วย
.    โลกมนุษย์ที่เราจะออกไปเผชิญ
อาจจะวุ่นวายกว่าที่หิมพานต์ของเรานัก 
.    ทำให้เราคลาดเคลื่อนเรื่องกาลเวลา
ได้อยู่ เพคะ "
.
.       " อ้อ--
.   แล้วตอนก่อนรุ่งอรุณ ท่านพ่อเทพปักษา
ก็ให้หญิงทบทวนพระเวท ที่ชื่อ "มนตร์กินรี"  
อีกตั้งสามรอบ
.        จนน้องจำขึ้นใจแล้วละพี่ 

.         "  มนตร์กินรี  -
.   อ๋อ--พี่นึกออกเพคะ เป็นมนตร์ที่พวกเราใช้
ในยามคับขัน
.  ร่ายเวท เพื่อเรียกหมอกควันหนาทึบมากำบัง
ตัว  แล้วสวมปีกหาง บินขึ้นฟ้าหนีศัตรู "
.
.          " ช่าย--
.    เวทนั้น  นั่นแหละจะ "
.
.         " ส่วนพี่เอง -
.  พี่มีเวท "ตัวไร " เพคะ "
.
.  " เวทตัวไร ...
 .        คืออะไรเหรอพี่ "

.
          " คืองี้ เพคะ - "
.    โพระดกลอยหน้าลอยตา อธิบายเวท
ของตัวเองอย่างพราวด์ -proud สุดๆ
.
  "    ราชวงศ์ขององค์หญิงเป็นกินรา-กินรี 
ที่มาจากวงศ์นกยูงทอง
 .      แต่ครอบครัวของพี่  เราเป็นกินรา- 
กินรีจากสายนกโพระดก เพคะ
.   โดยกำเนิดชาติตระกูล พวกเราเป็นนก
ตัวสีเขียว อาศัยในโพรงรูบนต้นไทรสูง
.    ส่งเสียงร้อง --
.          "  โฮกป๊ก!  "
.   โฮกป๊ก  -- อยู่หนไหน ?
            -- เอ่อ เฮอ เอิงเงย "

.   แล้วก็จะมีตัวไรนก มาอาศัยตามขนของ
พวกเรา เยอะแยะ ยัวะเยียะ ไปหมด
.  พวกเราจึงมีเวทเรียกตัวไรนกให้ยกกองทัพ
ตัวไรจากทั่วสารทิศมารุมถล่ม ไต่ตามตัวศัตรู 
.     จนมันต้องคัน ยุบยิบ---ยุบยิบ  แล้วก็ 
ยุบยับ-ยุบยับ
.   แบบว่า- อยู่นิ่งไม่ได้เลยละเพคะ "
.
.         ทั้งสองกินรีหัวเราะขำ
จันทรากินรีนั้นขำท่าทางเล่าของพี่เลี้ยง 
.   ส่วนโพระดกขำตัวเองที่เล่าแบบฟินมาก
ไปหน่อย 
.
.      นางเขิน เลยบอกแก้เก้อว่า
.
.   " ยังไง -สักวัน  เราอาจได้ใช้ประโยขน์
จากเวทนี้เพคะ "
.
.
.   " หญิงจะเอากระจกมนตรา
ของหญิง ติดตัวไปด้วย "
.
.        " อู๊ย--ดีมากเพคะ
.  รุ่นที่องค์หญิงมีเป็นรุ่นขอบจอโค้ง สามารถ
รับสัญญาณภาพ และเสียงได้ดีกว่ารุ่นที่พี่ใช้
.     ของพี่ สัญญาณอ่อน ติดๆ หายๆ
.  พี่ยังไม่มีทรัพย์ พอจะไปแลกกับกระจกมนตรา
รุ่นใหม่จากรังกินรากระจกมนตร์  ยิ่งพอมีข่าวร่ำลือ
กันว่า แก้วกระจกมนตรารุ่นหลังล่าสุดชอบระเบิด  
พี่ก็เลยยังไม่ตัดสินใจเปลี่ยน "
.
.   " ทางเมืองมนุษย์จะมีสัญญาณแบบนี้ไหม
ก็ไม่รู้-- "
.
.          เจ้าหญิงทรงเกิดกังขา
.
.        " เอาติดไปก่อนเพคะ องค์หญิง
 ใช้ได้-ไม่ได้ ค่อยว่ากันอีกทีเพคะ "
.
.
.           *  *  *  *  *  *  *
.
.     ท่ามกลางแสงแดดร้อนประเปรี้ยง
ในยามสายของวันนั้น
.
.    ที่ลานหินหน้าราชวังบนภูผาสูง มีประชา
ชาวกินรี กินรา มารอส่งเสด็จเจ้าหญิง  และ
พระพี่เลี้ยงกันคลาคล่ำเต็มทั้งบริเวณ
.   ต่างกล่าวทูล ส่งกำลังใจให้องค์หญิงกระทำ
การล่าตัวเจ้าของธนูแฝดจากเมืองมนุษย์ และนำ
ตัวมาบูชายัญที่นครหิมพานต์ทันกำหนดสำเร็จ 
.
.   ทรงรับช่อดอกไม้ที่เหล่าประชายื่นถวาย  ยก
นบขึ้นเหนือเศียร 
.    วางลงกับพื้นลานหิน เพื่อบูชา ขอพรชัยต่อ
พระแม่ธรณี
.
.    แล้วตรงเข้ากราบแทบพระบาทพระบิดา และ
เสด็จแม่ย่า 
.        ท้าวเทพปักษาทรงลูบเศียรพระธิดา 
และประทานพร
.
.  " ขอเทพแห่งกินรี และกินรา ได้โปรดคุ้มครอง
ลูกและนางพี่เลี้ยงให้บรรลุกิจครั้งนี้อย่างปลอดภัย
ด้วยเถิด
.      และเจ้าอย่าลืมว่า --ไม่ว่าจะอย่างไร
.  อีก 15 ทิวาราตรี เจ้าจะต้องกลับมาที่นี่ พวกเรา
ทุกคนรอเจ้าอยู่ด้วยความหวัง " 

.  
.      เสด็จแม่ย่าก็ทรงลูบเศียรจันทรา 
. ตรัสให้กำลังใจอีกองค์
.
.          " ย่าเชื่อมั่นในตัวเจ้า-จันทรา 
. หลานต้องทำมันได้สำเร็จ 
.    แม้ต้องพบกับอปุสรรคใหญ่ข้างหน้า  
เจ้าก็ต้องอดทนสู้ อย่ายอมแพ้มันนะ  "
.
.          *  *  *  *  *  *  *  *  *
.
.          บัดนั้น---
. จันทรากินรี และโพระดกก็โผบินออก
จากลานหินหน้าราชวังผาสูง

.   ร่อนผ่านก้อนเมฆ ก้อนแล้ว ก้อนเล่า  
ตรงมายังตำแหน่งแห่งประตูป่าด้วยใจ
มุ่งมั่นกับภารกิจนอกโลก  ที่ต้องกระทำ
ให้สำเร็จแม้ต้องแลกกับชีวิต
.
.   - บินมาอย่างรีบเร่ง จนมองเห็นแนวป่า
สุดเขตแดนหิมพานต์    ทั้งที่ใจเต้นรัวแรง
ด้วยความตื่นเต้น ทั้งสองกินรีหันหน้ามามอง
พยักหน้า สู้-สู้ ให้กัน
.       แล้วโผร่อนลงสู่พื้นดิน
.
.    จันทรากินรียืนหลับตา ตั้งสมาธฺิร่ายมนตร์
.
.          ฉับพลัน--- ประตูป่าก็เปิดออก
กลายเป็นผาน้ำตก สถานที่เดิมที่สุริยันกินรา
ต้องจบชีวิต
.
.       เจ้าหญิงให้สะท้อนพระทัยอีกครั้ง หากก็
ต้องรวบรวมพลังใจขอชนสู้กับเหตุการณ์ที่ไม่อาจ
คาดเดาได้ข้างหน้า 
.   นางจึงรีบหันหลังกลับ แล้วร่ายเวทมนตร์วิเศษ
บังไพร เพื่อปิดประตูป่าหิมพานต์ไม่ให้คนนอกมอง
เห็น
.
.     ทันใดนั้น - ป่าไพรก็ถูกเวทปลุกเรียกทุก
วิญญาณ 
.     ต้นไม้สูงนับพันๆ หมื่นๆ ต้น ก็พลันงอกทะลุ
ทะลวงพื้นดินขึ้นมาอย่างรวดเร็ว  แล้วแตกกิ่งก้าน
ระบัดใบ   ขยายตัวตนทุกวินาที จนเบียดเสียดกัน
เอง ดูเป็นป่ายืนต้นที่แน่นทึบ
.    ตามด้วยเหล่าเถาวัลย์นานาชนิดที่ก็แข่งกัน
เติบโต พากันไต่เลื้อย พันต้นไม้สูง อย่างรีบเร่ง
ไม่แพ้กัน
.  เพราะพวกมันกำลังร่วมกันทำการบังไพร ปิดป่า
ให้ทึบสนิทนั่นเอง
.
.     เป็นภาพที่น่าสะพรึงกลัว ชวนสยอง
.   เถาวัลย์เกี่ยวกระหวัด ม้วนรัดโอบลำต้น และ
กิ่งก้านใกล้ๆ แล้วดึงลากพุ่มไม้ให้เข้ามาติดชิดกัน
พุ่มแล้ว พุ่มเล่า-
.    ทั้งป่า เกิดเสียงดัง เปรี๊ยะ -ปร๊ะ จากกิ่งไม้ที่
ถูกเถาวัลย์เหนี่ยวกระชากอย่างรุนแรง

        เพียงครู่เดียว---
.     ทุกอย่างก็เงียบสงบ บรรยากาศเวิ้งว้าง 
เหมือนไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น
.      ด้วยบัดนี้ ประตูป่าหิมพานต์ได้ถูกปิด
สนิทแล้ว
.   มองไปเห็นแต่แมกไม้เขียวทึบ ที่ขึ้นปกคลุม
แน่นหนา ไร้ซึ่งช่องทางใดๆ ที่จะฝ่าผ่านเข้าไป
ได้เลย
.
.         *  *  *  *  *  *  *
.
.     จันทรากินรี และโพระดกรีบถอดปีก 
และหางออก
.         บัดดล ทั้งสองก็กลายเป็นมนุษย์ สาวงาม
เดินดินธรรมดา   ที่กำลังจะตามล่าหาหัวใจครึ่ง
ก้อนของศัตรู 
.     -ผู้ที่ต้องมีใจรักเธอ    และเธอเอง --ก็ต้องมี
ใจรักเขา

    


                           จบตอนที่ 1.
..................................................................

** หมายเหตุ : ครั้งนี้เป็นการนำนิยายมาลงบล็อกใหม่อีกครั้ง

        เขียนลงบล็อกครั้งแรกเมื่อ   4 ตุลาคม 2559                      
      สถิติบันทึกการเข้าอ่าน 3998 ครั้ง   ณ 12 พฤศจิกายน 2561       **
..........................................................................................................



Create Date : 08 ตุลาคม 2563
Last Update : 9 ตุลาคม 2563 9:08:17 น.
Counter : 1325 Pageviews.

0 comments

Huean Piang Din
Location :
เชียงใหม่  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]



ตุลาคม 2563

 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
All Blog