เคนยา : นากูรู เช้าตรู่ ฟลามิงกู สีชมพู น่าดู
รู้สึกเห็นใจแขกประจำทุกท่านที่ติดตามผลงาน ว่างเมื่อไหร่เป็นต้องหาเรื่องท่องเที่ยวไปเรื่อยเปื่อย ได้ข่าวว่าเมืองไทยตอนนี้ร้อนจนตับแทบสุก เข้ามาอ่านบล็อกและดูภาพของผมจะลดอุณหภูมิองศาความร้อนของท่านได้หากนั่งอ่านในห้องแอร์ เขียนไปเขียนมาได้จะเป็นสิบบล็อกอยู่แล้ว ความฝันที่จะได้ออกพ็อกเก็ตบุ๊กสักเล่มก็ยังคงฝันอยู่ แต่ไม่เลิกฝันครับ จะได้เอาไว้อวดเขาว่าไปอยู่เคนยาได้สร้างประโยชน์อะไรให้คนอื่นบ้าง
ตอนเพื่อนชวนไปเที่ยวทะเลสาบนากูรู (Naguru Lake) ก็สนใจขึ้นมาอย่างมากเนื่องจากห่างจากเมืองหลวงแค่ 160 กม. ถนนเพิ่งตัดใหม่ และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวติดอันดับของประเทศนี้ เพราะมีนกฟลามิงโกสีชมพูอพยพมาหาอาหารในทะเลสาบแห่งนี้จำนวนนับล้านๆ ตัว ทำให้มองไปเห็นทะเลสาบเป็นสีชมพู ช่วยเสริมจินตนาการและภาพที่ค้นเจอในกูเกิ้ลของผมได้เป็นอย่างดี แต่พอรู้ว่า ต้องออกเดินทางตั้งแต่ตี 4 เพื่อไปให้ทันนกออกหาอาหารตอน 6 โมงเช้า ซึ่งก็หมายความว่าผมต้องตื่นตี 3 และอาจได้นอนไม่ถึงสามชั่วโมงเนื่องจากปกติเข้านอนไม่ต่ำกว่าสองยาม ก็เป็นเหตุให้ท้อแท้อยู่บ้างแต่ไม่ท้อถอย เรื่องเที่ยวถึงไหนถึงกันครับ
วันนี้ (28 กุมภา 52) เราจึงออกเดินทางกันตั้งแต่ตี 4 ตามเวลาที่นัดหมายเป๊ะ ระยะทางตลอด 160 กม. ถนนค่อนข้างโอเค แม้จะไม่มีไฟตามถนนแต่ก็มีรถที่สวนไปมาคอยเปิดไฟสูงใส่หน้ากันตลอด มีซ่อมถนนอยู่บ้างบางช่วง หลุมบ่อบ้างพองาม ทำให้ผมตื่นอยู่ตลอดเวลาในขณะงีบระหว่างเดินทาง ใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงเศษก็มาถึงจุดหมายปลายทาง มาถึงประมาณ 6 โมงครึ่งด้วยความตื่นเต้นที่จะได้เป็นกลุ่มแรกที่เห็นสัตว์ต่างๆ ในอุทยานแห่งชาติในวันนี้ แต่ก็เป็นอันต้องรออีกเกือบครึ่งชั่วโมงเนื่องจากพนักงานขายตั๋วยังมาไม่ถึงบวกกับขั้นตอนการซื้อตั๋วหนึ่งใบที่ต้องเดินถึงสามจุด ซึ่งเขาน่าจะจัดไว้จุดเดียวกันและสามารถออกตั๋วได้ใบละไม่เกินครึ่งนาที คิดว่าตัวเองจะชินกับรูปแบบการทำงานของคนแอฟริกาแล้ว แต่ก็ยังมีหงุดหงิดบ้างไม่ว่ากันนะครับ
ตั๋วหน้าตาแบบนี้และยังมีสมาร์ทการ์ดให้มาอีกคนละใบ ไม่แน่ใจว่าเพื่อประโยชน์อันใดแต่ที่แน่ๆ ทำหายมีค่าปรับ ราคาจากที่ผมสอบถามคนที่เคยมากับที่ต้องจ่ายจริงแตกต่างกันพอสมควร ทำให้รู้ว่าภายในเวลาไม่เกินสี่ห้าเดือนที่ผ่านมา รัฐบาลขึ้นราคาค่าเข้าชมอีกพอสมควร คนที่อาศัยหรือทำงานในเคนยา 500 บาทจากเดิม 300 บาท นักท่องเที่ยวทั่วไป 60 เหรียญ (ประมาณ 2,100 บาท) จากเดิม 40 เหรียญ แพงจนไม่อยากเข้า แต่ก็คงไม่นั่งรถออกมาตั้งแต่ตี 4 เพื่อมาถึงหน้าประตูแล้วนั่งรถกลับ
ระหว่างรอซื้อตั๋ว ซึ่งพวกเราไปถึงก่อนพนักงานขายตั๋วครึ่งชั่วโมง เขาใช้เวลาเปิดคอมพิวเตอร์อีกสิบนาที และต้องติดต่อสามจุดเพื่อซื้อตั๋วหนึ่งใบอยู่นั้น ระหว่างนั้น ผมเลยขอถ่ายภาพบรรยากาศแรกที่พระอาทิตย์เริ่มส่องแสงยามเช้า
เข้ามาแล้วก็ขับรถตามทางไปสักพักก็มีถนนแยกจากทางหลักออกไปทางทะเลสาบ และเมื่อขับตามแยกลงไปก็เจอภาพนี้ครับ นกจำนวนนับหมื่นตัวกำลังหาปลาบริเวณน้ำตื้นริมฝั่ง ขาวโพลนไปทั้งหมด ผมดีใจมากคิดว่ามาถูกที่ถูกเวลาจริงๆ มีบุญได้เห็นฟลามิงโกเป็นหมื่นตัว แต่พอเข้าไปใกล้ๆ
ทำไมขามันสั้น ขนเป็นสีขาวแทนที่จะเป็นสีชมพู คอไม่ยาวระหง ปากหนาและห้อย ก็มันนกเพลิแกนนี่ครับ ไม่ใช่ฟลามิงโกแต่อย่างใด แต่ด้วยจำนวนมหาศาลและเป็นนกชนิดแรกที่ผมเห็นก็ทำให้ตื่นตาตื่นใจได้มากแล้ว หากท่านเคยดูการ์ตูนตอนเด็กๆ รุ่นราวคราวเดียวกับผม มันคือนกสีขาวที่มีจงอยปากสีเหลืองใหญ่ๆ ห้อยๆ ที่มันคาบเด็กทารกบินไปบินมา
เดินไปเดินมาแถวนั้นได้สักพักสังเกตว่าพื้นรองเท้ามีเศษขี้นกและโคลนตมต่างๆ พอกหนามาก เลยก้มลงดู เห็นพื้นเป็นทรายขาวๆ ดูคล้ายเกลือแต่ไม่กล้าชิม คิดว่าน่าจะเป็นแร่ธาตุมากกว่า ซึ่งจะพบในทะเลสาบน้ำกร่อยแบบนี้ (soda lake) เป็นแหล่งอาหารอันสมบูรณ์ของนกหลายชนิด
เนื่องจากแร่ธาตุ สารอาหาร อุจจาระและขนนก ทับถมสะสมเป็นเวลานานทำให้กลายเป็นพื้นดินตื้นเขิน หนาแน่นพอให้รถวิ่งแทนถนนเลาะริมทะเลสาบได้สบายๆ
ขับรถอ้อมไปมาอีกสักพักใหญ่ ก็มองเห็นทางรถตรงไปยังมุมหนึ่งของทะเลสาบและมีรถจอดอยู่อีกสองสามคัน จึงตัดสินใจตามเขาไปทั้งที่ไม่ใช่เส้นทางหลักตามแผนที่ และก็แอ่น..แอ๊น..มองเห็นพระเอกของสถานที่แห่งนี้อยู่ไกลๆ รู้เลยว่าคราวนี้ต้องเป็นฟลามิงโกเนื่องจากสีชมพูที่มองเห็นได้ชัด จากลักษณะจงอยปากสีดำ ขนสีขาวอมชมพู ปลายปีกสีชมพูเข้ม มีขายาวเล็กเหมือนตะเกียบสีชมพูเข้ม ไม่ผิดแน่
สมหวังที่ได้เจอนกพระเอกของงานในที่สุด ผิดหวังที่นกฟลามิงโกดันขายาวจึงหากินค่อนไปทางกลางทะเลสาบ ผิดหวังที่กล้องผมซูมได้แค่สิบเท่า ผิดหวังที่ยิ่งเดินเข้าไปใกล้มันยิ่งเดินหนี ผิดหวังที่ใครบอกว่ามีนกเป็นล้านตัว ผิดหวังเยอะไปหน่อยครับ เรื่องอื่นรับได้ แต่เรื่องนกที่มีเป็นล้านตัวแล้วเหลือเท่าที่ผมเป็นประมาณไม่ถึงพันตัวกระจายกันออกไปเป็นจุดๆ นี่รับไม่ค่อยได้ สงสัยกูเกิ้ลกับวิกิพีเดียต้องอัพเดทหน่อยแล้ว
เห็นฟลามิงโกแล้ว ความรู้สึกผิดหวังกับสมหวังผสมกัน จะกลับเลยก็ใช่เรื่อง ขับรถต่อไปทางด้านที่เป็นซาฟารีเผื่อเจอสัตว์อะไรน่าสนใจพอสร้างมูลค่าเพิ่มให้ที่นี่ได้บ้าง และก็เจอ “แรดเด็ก” หรือ “แรดตั้งแต่เด็ก” ของเค้าดีจริง
สักพักก็มี “แรดตัวแม่” มาจอยน์ มันแรดกันทั้งตระกูลจริงๆ
คนขับรถคงพอรู้สึกถึงความผิดหวังที่มากกว่าสมหวังของพวกเราได้ จึงเสนอจะพาไปจุดชมวิวที่สวยที่สุด (อีกแล้ว) ของอุทยานแห่งนี้ ชื่อว่า Baboon Cliff สงสัยจะมีลิงบาบูนเยอะ พอไปถึงไม่ยักมีลิงสักตัว มีแต่วิวสวยๆ มองเห็นทะเลสาบสะท้อนแสงแดดระยิบระยับ และฝูงนกที่หากินกันเป็นกลุ่มสลับสีขาวชมพูสวยงาม
วิวสวยจริงๆ ครับ อันนี้ยอมรับว่าสวยประทับร่าง และด้วยภูมิประเทศเป็นหน้าผาสูงชัน จึงมีป้ายปักเตือนว่าห้ามยืนถ่ายรูปเลยจากป้ายนี้ไป (มิฉะนั้นท่านจะตกเขาโดยไม่ทราบสาเหตุ)
ธรรมชาติสวยงาม บรรยากาศร่มรื่น ลมพัดเย็นสบาย เงียบสงบ ชวนให้นอนเป็นอย่างยิ่ง แต่ก่อนนอนก็ต้องกินกันก่อน ออกกันมาจากไนโรบีตั้งแต่ตี 4 คงยังไม่มีใครได้ทานอะไรรองท้อง หน้าตาอาหารก็ง่ายๆ เน้นประเภททอด ไม่มีกลิ่นฉุนรุนแรง หันไปดูฝรั่งข้างๆ ก็แค่หยิบแซนด์วิชกับแอปเปิ้ลมากินกัน จะอลังการสะพานหันสู้คนไทยได้อย่างไร
คนขับรถสุดหล่อนั่งทอดอารมณ์ ไม่ได้ตั้งใจถ่ายเป็น silhouette นะครับ มันเป็นอย่างนั้นเอง รูปนี้แม้ไม่ได้ถ่ายย้อนแสงก็คงยังเป็น silhouette อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ระหว่างที่นั่งทานกันอย่างไม่สุภาพนัก ก็มีเศษอาหารหล่นไปตามร่องหินชิ้นผาบ้าง ยั่วยวนสัตว์ที่อยู่อาศัยบริเวณนั้นให้มาร่วมงานปาร์ตี้ เป็นสัตว์ที่หน้าตาคล้ายหนูไม่มีหางแต่ตัวใหญ่กว่ามาก และอยู่กันแบบครอบครัวขยายหลายตัว หากใครไม่ถูกโรคกับหนู ผมรับรองว่ากรี๊ดวิ่งหนีแทบไม่ทัน เขาเรียกว่าตัว hyrax
กรี๊ดวิ่งหนีไปอีกด้านก็จะเจอกิ้งก่าสีสันสวยงามรอร่วมงานเลี้ยงอยู่เช่นกัน
หลังจากใช้เวลาวนเวียนอยู่ในอุทยานแห่งชาติทะเลสาบนากูรูไม่ต่ำกว่า 4 ชม. ก็ได้เวลาเดินทางกลับ บริเวณทางออกมีลิงจำนวนมากวิ่งเล่นกันสนุกสนาน แต่อย่าเผลอกินขนมให้เห็นเชียว พวกมันพร้อมรวมพลกันแย่งมันไปจากมือท่านได้ทุกเวลา
ชายที่แต่งกายด้วยเครื่องแต่งกายของชาวมาไซที่ร้านขายของที่ระลึกผู้นี้ เป็นจุดสนใจของนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก แต่เลิกเป็นจุดสนใจของผมเมื่อต้องจ่ายเงิน 100 บาทเพื่อขอถ่ายภาพด้วย เหมือนเด็กชาวเขาบนดอยสุเทพบ้านเรายังไงยังงั้น – “ถ่าง มั้ย รู่ ละ ยี่ สิ บะ”
แม้จะเหนื่อยล้าและง่วงนอนเพียงใด เพื่อนร่วมเดินทางของผมก็ไม่ลืมที่จะแวะช็อปปิ้งระหว่างทางกลับ เขาได้ซื้อขนแกะกันคนละหลายผืนโดยที่ยังคิดไม่ออกว่า จะเอากลับไปเมืองไทยอย่างไรและที่สำคัญเพื่ออะไร แต่ด้วยราคาที่ชวนให้ซื้อหลังจากลดฮวบฮาบจากการต่อรองราคาเพียงครั้งแรก จากผืนละ 800 บาทเหลือเพียง 200 บาทเท่านั้น
ส่วนผมก็มัวแต่ไปเดินหาภาพจบบล็อกนี้ให้กับท่านผู้อ่านที่เคารพรักอยู่ และก็ได้ภาพเด็กๆ ที่วิ่งเล่นอยู่แถวนั้นเต็มใจยืนเรียงแถวเข้ากล้องให้ถ่ายดูน่ารักน่าชัง ผมจึงให้ขนมเป็นสินน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ตอบแทน กระทู้นี้ภาพเยอะหน่อยนะครับ เดินทางเหนื่อย ขออนุญาตลงให้คุ้ม
Create Date : 02 มีนาคม 2552 |
|
6 comments |
Last Update : 2 มีนาคม 2552 21:36:33 น. |
Counter : 2863 Pageviews. |
|
|
|