เมื่อเท้ามันคัน อะไรมันๆ จะเกิดขึ้น
Group Blog
Italy
Kenya
Africa
Asia
Europe
Home Cuisine
English and whatnot
For the Sake of Complaining
Misc
<<
มกราคม 2555
>>
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
1 มกราคม 2555
เคนยา : ภารกิจพิชิต Mt. Kenya (วันที่ 2)
All Blogs
เคนยา : วัดแขกอินเดียในเคนยา ที่พึ่งทางใจพุทธศาสนิกชนยามไร้วัดพุทธ
เคนยา : เทศกาลดอกจักกะรันดาบาน
เคนยา : สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่าโบสถ์ อนุสรณ์เชลยสงครามโลกครั้งสุดท้าย
เคนยา : Hells Gate ไต่ มุด ล่อง
เคนยา : ซัมบูรู ถิ่นนักรบที่แม้ไม่ใช่มาไซ แต่ก็ใกล้เคียง (ตอนจบ)
เคนยา : ซัมบูรู ถิ่นนักรบที่แม้ไม่ใช่มาไซ แต่ก็ใกล้เคียง (ตอนเริ่ม)
เคนยา : คนดีตกน้ำไม่ไหล แต่เปียกและอาย
เคนยา : ตามหานกฟลามิงโกสีชมพูไปจนสุดขอบเลค
เคนยา : Lake Elementaita เป็นเอดส์มายังสู้หาย
เคนยา : ล่องแก่งเบียดเสียด จะเครียดไปไหน
เคนยา : Kisumu เมืองปลานิล
เคนยา : เกาะพระจันทร์เสี้ยว สองเลี้ยวก็ถึง
เคนยา : Paradise Lost สวรรค์ที่หายไปแล้วไม่น่าหาเจออีก
เคนยา : ภารกิจพิชิต Mt. Kenya (วันที่ 4)
เคนยา : ภารกิจพิชิต Mt. Kenya (วันที่ 3)
เคนยา : ภารกิจพิชิต Mt. Kenya (วันที่ 2)
เคนยา : ภารกิจพิชิต Mt. Kenya (วันที่ 1)
เคนยา : อเบอร์แดร์ สวยแท้ดั่งภาพวาด
เคนยา : โรงงานทำแก้วจากของเหลือใช้ reuse หรือ recycle
เคนยา : Mount Suswa ภูเขาไฟดับแล้วที่ไม่ต้องปีน
เคนยา : ทะเลสาบมากาดิ แดดร้อน น้ำพุร้อน คนก็ใจร้อน
Hells Gate : ประตูสู่นรกกับการได้ไปที่ชอบที่ชอบ
Ngong Forest แค่อยากเปลี่ยนบรรยากาศ แต่ถูกสาดด้วยความรู้
เคนยา : ไร่ชาของคุณป้าผู้ดี
เคนยา : อึ้ง น้ำตก 7 สาวน้อยยังมีฝาแฝด คนไทยค้นพบน้ำตก 14 สาวน้อยที่เคนยา
เคนยา : พาไปปีนเขาให้เมื่อยตุ้มเล่น
เคนยา : ดำน้ำดูปลา เคนยาเขาก็มี
เคนยา : มอมบาซา เมืองท่า เมืองเที่ยว
เคนยา : นากูรู ในป่ามีนก ในเมืองมีตึก ในสนามกีฬามีทอง
เคนยา : Lake Naivasha Country Club หนีความวุ่นวาย สายๆ ก็มาถึง
เคนยา : ประสบการณ์ตรงจาก(ปาก)ผู้เดินทางมาท่องเที่ยว
เคนยา : กุหลาบจะสวยไปไหน สวยไม่เผื่อแผ่ใคร สวยไม่บันยะบันยัง
เคนยา : ประพฤติตัวเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดีบ้างไรบ้าง....
เคนยา : นกกระจอกเทศยังไม่ทันกินน้ำ
เคนยา : ภัยใกล้ตัวที่ใกล้เข้ามาจนเกือบชิด
เคนยา : อยู่ไม่เป็นสุขเหมือนเจ้าไม่มีศาล
เคนยา : จะขอผ่านเข้าเมือง โปรดชำเรืองสักนิด
เคนยา : เมาท์ลองโกน็อต เม้าท์แตกกลางภูเขาไฟ ถอดใจไปหลายรอบ (ภาค 2)
เคนยา : เมาท์ลองโกน็อต เม้าท์แตกกลางภูเขาไฟ ถอดใจไปหลายรอบ (ภาค 1)
เคนยา : Mount Kenya สูงกว่า ไกลกว่า แพงกว่า เสล่อกว่า
เคนยา : รถมือสอง ลองมาขับ จับไม่กลัว
เคนยา : Do you ride an elephant to work?
เคนยา : ซาฟารีพาร์ค สมใจอยาก กินไม่หยุดปาก
เคนยา : มาไซมาร่า...สามเดือนผ่านไป ไฉไลกว่าเดิม (ตอน 2)
เคนยา : มาไซมาร่า...สามเดือนผ่านไป ไฉไลกว่าเดิม (ตอน 1)
เคนยา : มาไซ ชนเผ่ามาทำไม ตอน 2
เคนยา : มาไซ ชนเผ่ามาทำไม ตอน 1
เคนยา : ขึ้นไปเป็นเจ้าหญิงลงมาเป็นพระราชินี
เคนยา : Thomson’s Falls น้ำตกจากนรกสู่สวรรค์
เคนยา : ซาฟารีใหญ่กลางใจเมือง
เคนยา : เอนเตอร์เทนเมนต์และแหล่งมั่วสุมของฆาตกร (ฆ่าเวลา)
เคนยา : สงกรานต์แบบไทยในแอฟริกา
เคนยา : คิลิมันจาโร ยอดหิมะสูงระฟ้า (2)
เคนยา : คิลิมันจาโร ยอดหิมะสูงระฟ้า (1)
เคนยา : ช่วยลูกช้างด้วย...เจ้าประคู๊ณ
เคนยา : อยู่อย่างคนไม่ไร้ที่ซุกหัวนอน
เคนยา : นากูรู เช้าตรู่ ฟลามิงกู สีชมพู น่าดู
เคนยา : พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ เชยๆ แบบทันสมัย
เคนยา : Giraffe Center จูบแรกกับน้องยีราฟ
เคนยา : Karen Blixen แหม่มผิวขาวที่คนเคนยารู้จักมากที่สุด
เคนยา : ของขึ้นหน้าขึ้นตาที่ไม่ใช่สิว
เคนยา : Hell's Gate ประตูสู่นรก ?
เคนยา : ทะเลสาบไนวาชากับชีวิตสุดฮิป (โป)
เคนยา : The Rift Valley รอยแยกแห่งกาฬทวีป
เคนยา : ภารกิจพิชิต Mt. Kenya (วันที่ 2)
วันที่ 2 ของการปฏิบัติภารกิจเริ่มกันตั้งแต่ตอนเช้าๆ โดยการถูกปลุกให้ตื่นอย่างสุภาพจากไกด์ในทีมเรา
ตามด้วยการเสิร์ฟเครื่องดื่มและอาหารเช้าร้อนๆ อุณหภูมิตอนเช้าวัดได้ประมาณ 5 องศา เจอของร้อนๆ เข้าไปอยู่ในท้อง ช่วยให้หายหนาวได้เยอะเลย
พร้อมกับการออกมาชมธรรมชาติและสูดอากาศที่ปอดแทบไม่ต้องฟอกเลยนอกบ้านพัก ที่ตอนเช้าเต็มไปด้วยสารพัดสัตว์ออกมาหากินแมลงหรือเศษอาหารที่คนที่มาพักให้พวกมันกินกันจนเคยตัว ลิงบางตัวเข้ามาหยิบของจากในบ้านพักเลย ระวังตัวไว้ดีกว่า
รับประทานอาหารเช้า ล้างหน้าล้างตาเสร็จเรียบร้อย ก็เก็บของที่คาดว่าคงไม่ได้ใช้งานระหว่างเดินเขาลงกระเป๋าใบใหญ่ยักษ์ รอให้ porter ประจำตัวมาแบกใส่หลังเพื่อเดินต่อไป ประสบการณ์ในวันแรกสอนผมว่า เอาเฉพาะของที่จำเป็นต้องใช้ส่วนตัวระหว่างเดินเขาเท่านั้นใส่เป้ตัวเอง พึงสังวรณ์ไว้ว่าวันนี้จะไม่ได้เดินทางเรียบเหมือนเมื่อวานอีกแล้ว
ก่อนเริ่มออกเดิน หันไปเห็นต้นไม้ดอกไม้เล็กๆ บริเวณแคมป์ Met. Station ที่เราพัก มีเกร็ดน้ำแข็งเกาะตามลำต้น ใบและยอด แบบนี้มั้งที่เขาเรียกว่าแม่คะนิ้ง เพิ่งเคยเห็นเนี่ยแหละครับ นี่ขนาดความสูงแค่สามพันกว่าเมตร สูงขึ้นไปคงต้องปลิดฉี่จริงอย่างที่เขาว่ากันละมั้ง
ออกเดินมาได้สักพัก ก็สิ้นสุดทางเดินแล้วครับ มีให้เห็นแต่ทางชันตรงหน้า ชวนให้ท้อแท้อย่างยิ่ง เสื้อผ้าที่ใส่มาหนาๆ เมื่อเช้า ต้องถอดเก็บลงเป้ (ทำให้เป้ที่คิดว่าไม่มีอะไรแล้วหนักขึ้นมาอีก) เพราะอากาศที่มีแดดจัด บวกกับความอบอุ่นที่ได้จากการเดินขึ้นทางชันและเหงื่อซึ่งยังไงก็ออกไม่มากอยู่ดี อึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
ระหว่างการเดินมุ่งหน้าด้วยความมุ่งมั่น ถ้าตั้งใจฟังกันจริงๆ จะได้ยินเสียงหายใจของทุกคนดังมาก ทุกคนตั้งใจเดิน ไม่มีใครคุยกับใครมากนัก แค่เดินก็หอบจนหายใจแทบไม่ทันแล้ว อย่างนี้คงต้องเรียกเครื่องไม่ฟิตหรือฟิตไม่พอ ก็ไม่ได้ออกกำลังกายหรือเตรียมร่างกายอะไรก่อนมาเลย
เราได้เจอธรรมชาติรอบตัวที่ก็พอจะชื่นชมแกล้มความเหนื่อยหอบไปได้บ้าง เช่น ตัวคาเมเลียน (กิ้งก่าเปลี่ยนสี เคลื่อนไหวเชื่องช้า ตามองไปคนละทางได้)
สมาชิกในกลุ่มคนหนึ่งชอบสัตว์ประหลาดตัวนี้มาก ถึงกับคว้ามาถ่ายรูปเสียหนำใจไปเลย ไกด์คนเคนยาที่ไปด้วยกันถึงกับอึ้ง เพราะคนเขากลัวตัวนี้มาก ไม่กล้าแม้แต่เอามือสัมผัส นี่ถ้าเขารู้ว่าคนไทยกินกิ้งก่าด้วย คงเป็นลมล้มพับหรือไม่ก็กรี๊ดวิ่งหนีไปเลย
นอกจากสัตว์ป่าหาดูยากแล้ว ยังมีธรรมชาติรอบๆ ตัวที่สวยงามด้วยครับ พอเริ่มสูงขึ้น ก็เริ่มเห็นวิวด้านล่างที่เราฝ่าฟันเดินกันขึ้นมาในสองวันนี้ กว้างสุดลูกหูลูกตา ดอกไม้ที่ไม่ได้เห็นเมื่อวันแรกก็โผล่มาให้เห็น
ยังมีแรงกระโดดโลดเต้นถ่ายรูป ทำท่าบ้าบอกันได้อยู่ ก้มดูเวลา เพิ่งเดินมาได้แค่ชั่วโมงครึ่งเท่านั้น ได้ข่าวว่าวันนี้ต้องเดินถึง 8 ชม. ถ้าความท้อสามารถอ้วกออกมาได้ คงอ้วกไปแล้ว เพราะท้อขึ้นมาถึงคอเลย
ผ่านไปประมาณเกือบสามชั่วโมงจากจุดเริ่มต้นเดินของวันที่สองนี้ พันธุ์ไม้แปลกหูแปลกตาเริ่มมีให้เห็นมากขึ้น
ต้นไม้หน้าตาแปลกๆ ละลานตา ต้นเหมือนต้นข้าวโพดที่มีแต่ดอกมีเยอะเหลือเกิน มองไปไกลๆ ยังกะไร่ข้าวโพด เรียกว่าอะไรก็จำไม่ได้แล้วครับ ถามไกด์แล้วนะ แต่ความจำดีเกิ๊น
ต้นอะไรอีกมากมาย ถ้าอยากรู้ชื่อจริงๆ ก็รอให้ผู้รู้มาตอบละกันนะครับ อาจมีคนในทริปผมจำได้หรือผู้รู้มาเฉลยให้ฟัง
นี่กระมังที่เขาว่าได้บรรยากาศเหมือนหลงเข้ามาในป่าโบราณเมื่อสองสามพันปีก่อน บ้านเราต้องว่าหลงเข้าไปในป่าหิมพานต์หรือเมืองลับแลอะไรทำนองนั้น
เมื่อไต่ถึงความสูงระดับหนึ่ง จากที่แดดออกเปรี้ยงๆ มาก่อนหน้านี้ ฟ้ากลับเริ่มครึ้มมืด เป็นสัญญาณบอกว่าไม่นานนักอาจจะมีฝนตก นึกได้ว่าในเป้มีเสื้อแจ็คเก็ตแบบกันลมกันฝนอยู่ จึงไม่กังวลมากนัก นี่เพราะเชื่อคำแนะนำของไกด์ว่าอากาศบนเมาท์เคนยาไว้ใจไม่ได้เลย อะไรก็เกิดขึ้นได้
แต่ก่อนฝนจะได้ตกใส่เรานั้น เราก็เดินทางมาถึงจุดพักทานรับประทานอาหารกลางวันก่อนแล้ว อาหารกลางวันวันนี้เป็นแซนด์วิช ไข่ต้ม กล้วยและน้ำผลไม้เหมือนเดิม มื้อกลางวันเป็นมือที่ดูจะอนาถาที่สุด ไม่มีของร้อนๆ หรือของทำใหม่ๆ ให้ทาน แต่ก็เข้าใจครับ เวลาน้อยและเราต้องแบกอาหารกลางวันเองด้วย แค่นี้ก็ต้องพอใจแล้ว
ทานอาหารกลางวันเสร็จ กว่าจะได้ออกเดินอีกทีก็ตอนบ่ายโมง พอท้องอิ่ม ก็มีแรงเดินต่อได้อีก แต่เหมือนเดินลอยๆ ตามไกด์ไป ไม่มีเป้าหมาย ไม่มีความหวัง ไม่มีแรงจูงใจ เพราะโซนนี้มองไม่เห็นอนาคตเลย เป็นทางเดินขึ้นเขาไปเรื่อยๆ ๆ ๆ ไม่รู้ว่าข้างหน้าจะเจออะไรหรือเมื่อไหร่จะถึงจุดสิ้้นสุด
ในใจบ่นอุบเลยครับ แต่ขามันก็เดินของมันไปเรื่อย ๆ ไม่แยแสต่ออารมณ์เซ็งและความเมื่อยล้าใดๆ ทั้งสิ้น
ระหว่างทาง ฝนก็ตกลงมาจริงๆ ด้วยครับ โชคดีที่ไม่หนักและไม่นานอะไรมาก แค่ลงปรอยๆ ให้รู้ว่าอากาศมันจะแปรปรวนได้ขนาดไหน จึงได้มีโอกาสเอาเสื้อกันฝนสีเหลืองแปร๊ดมาใส่ ไหนๆ ก็เช่าเขามาแล้วโนะ
ต้นไม้ก็ยังชวนให้หยิบกล้องขึ้นมาถ่ายได้เรื่อยๆ แต่ก็ถ่ายไม่เยอะหรอกครับ เพราะจะต้องสำรองแบตไว้สำหรับอีกสองวันที่เหลือด้วย ปกติผมยิงกล้องจนแบตหมดในเวลาไม่นานเท่านั้น
พืชพวกนี้เห็นมาแล้วบ้าง ยังไม่เคยเห็นบ้าง จำไม่ได้ว่าเห็นแล้วหรือยังบ้าง
แต่สิ่งหนึ่งที่ช่วงการเดินหลังอาหารกลางวันมานี้เห็นบ่อย คือ แหล่งน้ำจากธรรมชาติ เป็นธารน้ำเล็กๆ ที่ไหลตัดทางเดินของพวกเราอยู่เป็นระยะ ทำให้รู้ว่าใกล้เมาท์เคนยาซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของธารน้ำเหล่านี้เข้าไปทุกที
หกชั่วโมงหลังการออกเดินเท้าในวันที่ 2 จึงได้เริ่มเห็นยอดเขาเมาท์เคนยาเป็นครั้งแรก เป็นการเห็นยอดครั้งแรกตั้งแต่ออกเดินทางมาจากไนโรบีเสียด้วยซ้ำ แม้จะไม่เห็นทั้งหมดก็ตาม
ผมหยุดถ่ายรูปยอดเมาท์เคนยาที่ปกติจะโผล่ให้เห็นในช่วงบ่ายแก่ๆ จนถึงเย็น จึงได้รู้ว่าผมเดินนำเพื่อนร่วมทีมมาพอสมควร ดีเหมือนกัน ได้หยุดรอเพื่อนๆ และพักเหนื่อยไปในตัว
ไกด์คงมองเห็นสีหน้าแสดงความดีอกดีใจของพวกเราที่ได้เห็นเมาท์เคนยาอยู่เบื้องหน้าบวกกับอาการสลดจากความเหนื่อยของการเดินเท้ามาตลอดหกชั่วโมง จึงอนุญาตให้เราหยุดพักเป็นจุดสุดท้ายบริเวณสะพานข้ามลำธารก่อนถึงแคมป์สำหรับค้างคืนในคืนที่สอง
เพื่อนบางคนถึงกับล้มหมอนนอนเสื่อ ม่อยหลับไปเหมือนวิญญาณออกจากร่างชั่วคราว
คนเราเวลาเหนื่อยมากๆ เนี่ย มันพูดไม่ออกบอกไม่ถูกจริงๆ ครับ ผมแยกตัวออกไปหามุมสวยๆ ถ่ายภาพตามเคย
บ่ายแก่ๆ ฟ้าเริ่มเปิด ทำให้มองเห็นเมาท์เคนยาค่อนข้างชัดเจน เป็นกำลังใจที่ดีสำหรับผม เพราะอย่างน้อยก็มองเห็นแล้วว่าที่ที่เรากำลังมุ่งไปคืออะไร ไปทางไหน เหมือนชีวิตมีจุดหมายขึ้นมาอีกนิด หลังจากที่ก้มหน้าก้มตาเดินมานาน
นั่งพักขาได้ไม่นานนัก ไกด์ก็มาเร่งให้เดินต่อ เพราะแคมป์ที่เราจะพักในคืนนี้อยู่ไม่ไกลแล้ว และแน่นอนว่าลูกหาบน่าจะเดินไปถึงแคมป์ก่อนเรานานแล้วด้วย
ระหว่างทางเจอพืชพันธุ์และสัตว์หน้าตาประหลาดอีกสองสามชนิด
แคมป์ที่สองในวันที่สองนี้มีชื่อว่า Mackinders
Mackinders Camp ตั้งอยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 4,300 เมตร ตั้งเกือบ 4.5 กม. แน่ะ ความสูงเริ่มใกล้เคียงกับความสูงของยอดที่สูงที่สุดของเมาท์เคนยา (5,199 เมตร) ขึ้นมาทุกที
มาถึงแล้วก็ต้องถ่ายรูปผู้พิชิตและผู้ร่วมชะตากรรมในสองวันที่ผ่านมากับการเดินเท้ามาจนถึงแคมป์ที่สองในวันที่สองของการเดินทางจนได้ สรุปว่าวันนี้ออกเดินทางตั้งแต่แปดโมง มาถึงแคมป์ที่พักตอนสี่โมงครึ่ง (แปดชั่วโมงครึ่ง) ไกด์บอกทำความเร็วใช้ได้เลย ไม่รู้ให้กำลังใจหรือประชด ยังไงก็ภูมิใจครับ สมาชิกในทีมผม มีหญิงอาวุโสอายุ 50 หนึ่งท่านกับสาวน้อยที่มีไตข้างเดียวอีกหนึ่งคน ก็ลากสังขารกันมาได้ ว่าไม่ได้นะครับ บางคนมาถึงแคมป์นี้แล้วถอดใจกลับเลยก็มี
สภาพแคมป์ทั้งภายนอกและภายในดูโอเค แม้จะไม่ดีเท่าแคมป์แรกที่ Met. Station ก็ตาม แต่ที่ประทับใจแบบจำได้ไม่ลืมแน่ๆ คือ สองวันที่ผ่านมาไม่ได้ปล่อยหนักเลย อากาศมันเย็นจนลำไส้ทำงานผิดปกติหรือมันเหนื่อยยังไงไม่ทราบ ได้มาปล่อยหมดไส้หมดพุงที่แคมป์นี้ ห้องน้ำซ้ายมือสุด โอ้ เป็นความรู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบายอย่างที่สุด ถ้าท่านได้มาลองเอง อย่าลืมนะครับ ส้วมห้องซ้ายมือสุด
อีกเรื่องหนึ่งที่หมดห่วงไป คือ มีน้ำสะอาดเย็นเจี๊ยบ(จนมือชา)จากแหล่งน้ำธรรมชาติ ตั้งแต่จุดนี้เป็นต้นไป น้ำจากท่อหรือลำธารสะอาดพอที่จะดื่มได้แล้ว จะได้ดื่มน้ำเยอะๆ แบบไม่ต้องกลัวน้ำหมดระหว่างทางเสียที
ทานอาหารเย็นที่เขาจัดให้กับมาม่ารสต้มยำ เพิ่มความอบอุ่นและเผ็ดแซ่บให้กับร่างกายได้เป็นอย่างดี
แกล้มด้วยวิวยอดเขาเคนยายามพระอาทิตย์อัสดง ที่ก็คงหาดูยากแล้วในชีวิตนี้ เพราะคงไม่ได้กลับไปอีกแล้ว หรือหากได้กลับไปอีกก็ไม่รู้ยอดหิมะจะยังมีให้เห็นมั้ย หิมะเหลือน้อยเต็มทีและก็ละลายลงทุกปี
คืนที่ 2 เรากึ่งถูกบังคับให้เข้านอนกันตั้งแต่หัววัน ประมาณสองทุ่มก็หลับกันหมดแล้ว ต้องเก็บเรี่ยวแรงไว้สำหรับความสาหัสและท้าทายของวันที่ 3 ซึ่งเป็นไฮไลท์ของการเดินทางครั้งนี้ เกริ่นไว้นิดนึงว่าถูกปลุกให้ตื่นกันตั้งแต่ตีหนึ่ง จะว่าเหมือนทหารเกณฑ์ก็ไม่ปาน
Create Date : 01 มกราคม 2555
Last Update : 22 มกราคม 2555 4:55:34 น.
2 comments
Counter : 3245 Pageviews.
Share
Tweet
ภูกระดึงว่าโหดแล้ว ชีวิตนี้ขอไปแค่ครั้งเดียวพอ มาเจอ Mt Kenya คาดว่าท่านก็คงหายอยากเช่นกัน ลงตอนต่อไปเร็วๆ รออ่านอยู่!
โดย: นพ IP: 58.9.33.144 วันที่: 1 มกราคม 2555 เวลา:21:33:29 น.
เล่าได้สนุก รูปสวย น่าไปมากๆ ครับ
โดย: Beum IP: 41.140.103.207 วันที่: 6 มกราคม 2555 เวลา:0:21:25 น.
ชื่อ :
Comment :
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
Thaisoloclub
Location :
Rome Italy
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 32 คน [
?
]
Friends' blogs
nungkwak
Qingqing
Webmaster - BlogGang
[Add Thaisoloclub's blog to your web]
Links
Bloggang.com
Pantip.com
|
PantipMarket.com
|
Pantown.com
| © 2004
BlogGang.com
allrights reserved.