ว่า ประเทศไทยจะต้องเล่นบทในเวทีระหว่างประเทศให้เข้มข้น ต่อเนื่อง และที่สำคัญกว่าอะไรหมดคือ การทูตชาญฉลาด มากกว่าที่ผ่านมาอีกหลายเท่า
เห็นภาพนายกฯไทยจับมือกับประธานาธิบดีบารัก โอบามา ของสหรัฐ และประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ของจีนในสหประชาชาติต่างกรรมต่างวาระแล้ว ก็เห็นได้ชัดว่าแม้ประเทศไทยจะมีปัญหาในบ้านอย่างไร ท้ายที่สุดประชาคมโลกก็ยังเห็นความสำคัญของไทย
ไม่ว่าเขาจะกดดัน วิพากษ์หรือแสดงความเห็นอกเห็นใจ เขาก็มีจุดหมายตรงกันประการหนึ่งคือ ต้องการเห็นไทยออกจากห้องคนป่วยโดยเร็ว
และไม่มีใครจะแก้ปัญหาของไทยได้นอกจากคนไทยกันเอง
ประเทศอื่นเขาจะมีจุดยืนเกี่ยวกับเรื่องประชาธิปไตยอย่างไร เป็นเรื่องของค่านิยมและวิธีคิดของแต่ละประเทศ แต่ผลประโยชน์ด้านเศรษฐกิจและการค้าขาย รวมไปถึงเรื่องปากท้องเป็นหัวใจของการทูตยุคใหม่
แน่นอนว่าประเทศไทยจะต้องกลับไปสู่มาตรฐานปกติของการเมือง ที่ประชาชนต้องมีส่วนร่วมอย่างจริงจังและกว้างขวาง และสหรัฐกับโลกตะวันตกที่ต่อต้านรัฐประหารของไทยก็ต้องการเห็น Roadmap ที่ชัดเจนจากไทยเราว่าจะหวนกลับมาสู่โลกแห่งความปกติอย่างไร
นายกฯไทยได้เจอกับบันคีมูน เลขาธิการสหประชาชาติ และยืนยันว่าประเทศไทยจะจัดให้มีการเลือกตั้งอีกครั้งกลางปี ค.ศ.2017 เพื่อให้ประเทศไทยกลับสู่ระบอบประชาธิปไตยที่ยั่งยืน และเพื่อจะได้สามารถทำหน้าที่เป็นสมาชิกสหประชาชาติที่มีบทบาทสร้างสรรค์อย่างจริงจัง
การจับมือระหว่างนายกฯไทยกับโอบามา ที่เห็นในรูปคงเป็นไปตามประเพณีปฏิบัติปกติ และเป็นจังหวะที่เข้าร่วมประชุมใน Peace-Keeping Summit หรือการประชุมสุดยอดว่าด้วยการรักษาสันติภาพในจุดร้อน ต่าง ๆ ทั่วโลกของสหประชาชาติ และคงไม่ได้พูดคุยเรื่องการบ้านการเมืองของสองประเทศแต่อย่างไร
ที่เป็นเนื้อเป็นหนังคงเป็นการประชุมนอกรอบระหว่างทีมไทยที่นำโดยรัฐมนตรีต่างประเทศ ดอน ปรมัติวินัย กับคณะกระทรวงต่างประเทศของสหรัฐ ที่นำโดยรัฐมนตรีช่วย Antony Blinken กับผู้ช่วยรัฐมนตรี Daniel Russel ผู้ดูแลกิจการด้านเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก
ข่าวบอกว่าการประชุมยาวนานกว่าหนึ่งชั่วโมง และมีการพูดคุยกันถึงความร่วมมือด้านต่าง ๆ รวมถึงความต่อเนื่องของการซ้อมรบ Cobra Gold และฟื้นการประชุมทวิภาคีว่าด้วยยุทธศาสตร์ของไทยกับสหรัฐที่เรียกว่า Thai-US Strategic Dialogue ครั้งที่ 5 ซึ่งดูเหมือนจะถูกระงับมาหลายปีแล้ว
ช่วงประมาณสิบปีที่ผ่านมา ท่ามกลางความวุ่นวายทางการเมืองในประเทศ บทบาทของไทยในเวทีสากลเสื่อมทรุดลงไปมาก ทำให้ภาพลักษณ์ระหว่างประเทศของเราถดถอย และความเชื่อถือศรัทธาในการทูตไทยก็หดหายไปอย่างรุนแรง
ครั้งหนึ่ง เราเคยเป็นแกนสำคัญของอาเซียน เป็นมือประสานให้คู่ขัดแย้งในภูมิภาคนี้ให้หาทางออกจากความขัดแย้ง และสามารถใช้ประสบการณ์การทูตอันยาวนานมาเป็นจุดเด่น ในการดำเนินนโยบายระหว่างประเทศอย่างคึกคักเข้มข้นมาตลอด
แต่ความขัดแย้งในประเทศลดบทบาทไทยถึงขั้นที่เรียกได้ว่าเป็น ทศวรรษที่หายไป สำหรับการทูตไทย และรัฐประหารที่เกิดขึ้นก็ซ้ำเติมให้ภาพลักษณ์ของประเทศได้รับผลกระแทกอย่างแรง
เมื่อเราย้อนเวลากลับไปไม่ได้ จึงต้องเดินหน้าสร้างชาติบ้านเมืองสำหรับคนรุ่นหลังต่อไป ลุกขึ้นจากวิกฤตซ้ำแล้วซ้ำแล้วของประเทศ เพื่อให้มี Roadmap ที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมกันกำหนดทิศทางของบ้านเมืองอย่างมั่นคงเป็นธรรมและเป็นประชาธิปไตยที่ทุกผู้ทุกนามเข้ามามีส่วนอย่างเป็นรูปธรรมจริง ๆ
ต้องสร้างบ้านเมืองกลับมาสู่จุดที่ผู้นำโลกทุกคน ต้องเดินเข้ามาหาเพื่อจับมือและแสดงความยินดี ที่ไทยจะกลับเข้าสู่ภาวะฟื้นคืนสู่สภาพปกติ พร้อมจะร่วมมือกับทุกประเทศเพื่อประโยชน์ร่วมกันของทุกฝ่ายให้ได้
ให้เขาทักทายเราด้วยความปรีดาว่า : Hello, Thailand : You are Back!/จบ
................................................................................................................................