ท่านทั้งหลายจงดูดาบสผู้มีตบะอันรุ่งเรืองนี้
ดาบสนี้กระทำความปรารถนายิ่งใหญ่เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า
ความปรารถนาของเขาจักสำเร็จ ในที่สุดแห่งสี่อสงไขยกับเศษแสนกัปนับแต่นี้

... บล็อคง่ายๆ ของนายอังคาร ...

Group Blog
 
<<
มกราคม 2554
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
13 มกราคม 2554
 
All Blogs
 

โฆสกะเศรษฐี (๒)


โฆสิตาราม
ช่วงปลายพรรษาที่ ๘ หลังการตรัสรู้ของพระศาสดา คนใช้คนหนึ่งของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีตั้งใจอดอาหารรักษาอุโบสถศีลได้ครึ่งวัน ด้วยความหิวทำให้เขาทำกาละในคืนนั้นแล้วไปอุบัติเป็นเทวดาในป่าหิมพานต์ เทวดาได้แสดงตนบอกให้ดาบส ๕๐๐ รูปรู้ว่าพระพุทธเจ้าอุบัติแล้ว ขณะนี้ประทับอยู่ที่เชตวันมหาวิหาร กรุงสาวัตถี
พระดาบส ๕๐๐ รูปรู้ดังนั้น จึงไปบอกลาโฆสกเศรษฐีผู้เป็นอุปัฏฐากว่าจะไปบวชเป็นภิกษุสาวกพระศาสดา โฆสกเศรษฐีมีความศรัทธาจึงชวนเศรษฐีโกสัมพีอีก ๒ คน คือ กุกกุฏเศรษฐี และปาวาริกเศรษฐี จัดเกวียนคนละ ๕๐๐ เล่ม บรรทุกสิ่งของจำนวนมากไปเฝ้าพระศาสดาที่สาวัตถีด้วย เมื่อได้ฟังธรรมจากพระศาสดาแล้วโฆสกเศรษฐีก็มีดวงตาเห็นธรรมสำเร็จเป็นพระโสดาบัน
เศรษฐีทั้งสามถวายทานแด่พระศาสดาเป็นเวลาครึ่งเดือน แล้วจึงกราบทูลนิมนต์พระศาสดาให้เสด็จไปโกสัมพีบ้าง เมื่อพระศาสดาทรงรับนิมนต์แล้วเศรษฐีทั้งสามจึงกลับมาสร้างอารามในกรุงโกสัมพี โฆสกเศรษฐีสร้างโฆสิตาราม กุกกุฏเศรษฐี สร้างกุกกุฏาราม และปาวาริกเศรษฐีสร้างปาวาริการาม ซึ่งพระศาสดาได้พาพระภิกษุสาวกเสด็จมารับวิหารทานนี้ และอยู่จำพรรษาที่ ๙ ที่โฆสิตาราม

เพื่อนโฆสกเศรษฐีหนีภัย
ธรรมดาของพวกเศรษฐีนั้นย่อมคบหาสมาคมกับเศรษฐีด้วยกัน โฆสกเศรษฐีก็เช่นเดียวกัน เขาให้บริวารส่งบรรณาการของฝากถึงเศรษฐีเมืองอื่นเพื่อผูกสัมพันธ์เป็นสหายกัน ด้วยวิธีการนี้โฆสกเศรษฐีจึงมีเพื่อนต่างเมืองหลายคนที่ไม่เคยพบหน้ากันเลย หนึ่งในนั้นชื่อ ภัททวติยะ เป็นเศรษฐีอยู่ในภัททวดีนคร
ภัททวติยเศรษฐีมีธิดาคนหนึ่งชื่อ สามา
ต่อมาภัททวติยเศรษฐีประสบปัญหาโรคอหิวาห์ระบาด สัตว์เลี้ยง คือ ไก่ สุกร สุนัข แมว โค รวมทั้งทาสบริวารหญิงชาย ทยอยล้มตายกันไปโดยลำดับ ภัททวติยเศรษฐีจึงตัดสินใจพังฝาเรือนพาภรรยาและธิดาหนีโรคระบาด แล้วเดินทางมุ่งหน้าไปขอความช่วยเหลือโฆสกเศรษฐีที่กรุงโกสัมพี
ระหว่างการเดินทางเสบียงอาหารที่เตรียมไว้ได้หมดลงก่อนจะถึงโกสัมพี ทั้งสามคนจึงอดอาหารร่างกายอิดโรย เมื่อเดินทางถึงกรุงโกสัมพีแล้วทั้งสามได้แวะเข้าไปพักที่ศาลาแห่งหนึ่งหน้าประตูเมือง
ภัททวติยเศรษฐีเห็นว่าสภาพร่างกายของพวกตนอิดโรยทรุดโทรม จึงชวนภรรยาและธิดาให้พักในศาลาหน้าเมืองไปก่อน และให้สามาไปขออาหารที่โรงทานของโฆสกเศรษฐีมาบำรุงร่างกายให้สมบูรณ์ หลังจากนั้นจึงค่อยคิดอ่านไปหาโฆสกเศรษฐีในภายหลัง
ทั้งหมดจึงตกลงพักอยู่ในศาลาหน้าเมืองนั้นเอง

สามาตกยาก
วันรุ่งขึ้น สามาออกจากศาลาไปยังโรงทาน เดินถือถาดปะปนอยู่ในแถวคนกำพร้าและคนเดินทางเพื่อรับอาหาร
นายมิตตะผู้ตักอาหารแจกที่โรงทานถามสามาว่า
“แม่หนู เธอจะรับอาหารกี่ส่วนหรือ”
สามาตอบว่า “๓ ส่วนจ้ะนาย”
เมื่อได้รับอาหารแล้ว สามาก็นำอาหารนั้นกลับมาหาบิดามารดา
สามาและมารดาแบ่งอาหารส่วนของตนเพิ่มให้เศรษฐีได้บริโภคมาก คืนนั้นเศรษฐีอาหารไม่ย่อย ถึงกาลกิริยาไปในยามอรุณรุ่ง
วันรุ่งขึ้น สามาเดินร้องไห้เสียใจไปยังโรงทานของโฆสกเศรษฐี ถือถาดปะปนอยู่ในแถวคนกำพร้าและคนเดินทางเพื่อรับอาหารเช่นเดิม
นายมิตตะถามสามาว่า
“แม่หนู วันนี้เธอจะรับอาหารกี่ส่วน”
สามาตอบว่า “๒ ส่วนจ้ะนาย”
เมื่อได้รับอาหารแล้วสามาก็นำอาหารนั้นกลับมาหามารดา
สามาแบ่งอาหารส่วนของตนเพิ่มให้มารดาได้บริโภคมาก คืนนั้นมารดาสามาอาหารไม่ย่อย ถึงแก่อนิจกรรมไปอีกคน
สามาร้องไห้ร่ำไรด้วยความเสียใจ วันรุ่งขึ้นเธอก็เดินร้องไห้ไปขออาหารอีก นายมิตตะถามว่า
“แม่หนู วันนี้เธอจะรับกี่ส่วน”
สามาตอบว่า “ส่วนเดียวจ้ะนาย”
นายมิตตะจำสามาได้ ออกปากสบถสามาว่า
“นางถ่อยเอ๋ย เจ้าเพิ่งจะประมาณท้องตัวเองได้หรือยังไงว่าต้องการอาหารแค่ส่วนเดียวก็พอ”
สามาธิดาเศรษฐีน้ำตาไหลทะลักเพราะไม่เคยถูกใครด่าว่าแบบนี้มาก่อน เธอเอ่ยปากถามนายมิตตะว่า “เหตุใดนายท่านถึงด่าว่าดิฉันเช่นนี้”
นายมิตตะบอกว่า “ก็เจ้าไม่รู้จักประมาณตน วันก่อนนั้นรับอาหาร ๓ ส่วน เมื่อวานรับ ๒ ส่วน วันนี้จึงลดเหลือเพียงส่วนเดียว”
สามาอธิบายว่า “นายท่านเข้าใจผิดแล้ว ดิฉันไม่ได้รับอาหารเพื่อตัวคนเดียว วันก่อนนั้นพวกดิฉันมี ๓ คนจึงรับอาหาร ๓ ส่วน เมื่อวานเหลือ ๒ คนจึงรับอาหาร ๒ ส่วน มาวันนี้เหลือดิฉันคนเดียวเท่านั้นจึงรับอาหารแค่ส่วนเดียว”
นายมิตตะซักถามจนรู้ว่าสามาเป็นธิดาภัททวติยเศรษฐี บัดนี้บิดามารดาตายหมดแล้วจึงสงสาร รับสามาเป็นธิดา

จากสามาเป็นสามาวดี
สามาเป็นธิดาอยู่ในเรือนนายมิตตะ เธอสังเกตเห็นว่าผู้คนที่มารับอาหารที่โรงทานมักส่งเสียงอื้ออึง แย่งชิงกันรับอาหารไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย เธอจึงให้คนทำรั้วล้อมโรงทาน ให้มีประตูเพียง ๒ แห่ง ขนาดกว้างพอให้เดินเข้าไปได้ทีละคนเท่านั้น ประตูหนึ่งสำหรับเข้า และอีกประตูหนึ่งสำหรับออก
นับจากนั้นมาโรงทานก็เป็นระเบียบเรียบร้อย ผู้รับทานเดินเข้าแถวเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่มีการเบียดเสียดแก่งแย่งกัน เสียงอื้ออึงที่เคยมีจึงเงียบหายไป คนทั้งหลายจึงเรียกสามาว่า สามาวดี เพราะเหตุจากการทำรั้วนั่นเอง
ฝ่ายโฆสกเศรษฐี ทุกวันเคยได้ยินเสียงอื้ออึงจากโรงทาน ต่อมาเสียงเงียบหายไปจึงเรียกนายมิตตะมาสอบถาม
นายมิตตะเล่าให้ฟังว่าตอนนี้ได้จัดระเบียบที่โรงทานเสียใหม่ การให้ทานจึงเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่มีเสียงดังอีก และคนที่คิดวิธีการนี้เป็นธิดาบุญธรรมของตนชื่อ สามาวดี
โฆสกเศรษฐีสอบถามประวัติสามาวดี พอรู้ว่าเธอเป็นธิดาภัททวติยเศรษฐีสหายต่างเมืองของตน โฆสกเศรษฐีจึงรับสามาวดีเป็นธิดา และจัดหญิงสาว ๕๐๐ คนให้เป็นบริวาร

จากสามาวดีเป็นพระนางสามาวดี
วันหนึ่ง กรุงโกสัมพีมีงานนักขัตฤกษ์ พวกกุลธิดาทั้งหลายจึงพากันไปอาบน้ำที่แม่น้ำ สามาวดีกับบริวารทั้ง ๕๐๐ ก็ไปอาบน้ำด้วย การเดินไปอาบน้ำนั้นต้องเดินผ่านพระลานหลวง วันนั้นพระเจ้าอุเทนประทับอยู่ที่สีหบัญชร ทรงทอดพระเนตรเห็นสามาวดีจึงตรัสถามราชบุรุษว่าหญิงนี้เป็นใคร ราชบุรุษกราบทูลว่าคือสามาวดี ธิดาของโฆสกเศรษฐี
พระเจ้าอุเทนทรงเกิดความเสน่หาสามาวดี จึงส่งพระราชสาส์นไปสู่ขอ แต่โฆสกเศรษฐีเกรงว่าหากสามาวดีเข้าวังแล้วทำอะไรขัดพระทัย เธอจะถูกลงโทษได้ และเป็นห่วงด้วยว่าสามาวดีจะไปอยู่อย่างไรคนเดียว คิดแล้วจึงตัดสินใจไม่ยอมยกธิดาให้
พระเจ้าอุเทนทรงกริ้ว รับสั่งให้ราชบุรุษจับเศรษฐีและภรรยาออกมาจากเรือนแล้วตีตราเรือนไว้ เมื่อสามาวดีกลับจากอาบน้ำพบบิดาอยู่นอกเรือนจึงถามว่าเกิดเรื่องอะไร โฆสกเศรษฐีก็เล่าเรื่องให้ฟัง
สามาวดีบอกบิดาว่า “บิดา ท่านทำกรรมหนักแล้ว ธรรมดาพระราชาเมื่อส่งสาส์นมาขอแล้วจะพูดว่าไม่ให้นั้นได้ที่ไหน มีแต่ควรพูดว่าถ้าพระองค์จะทรงรับธิดาของข้าพระพุทธเจ้าพร้อมทั้งบริวารทั้ง ๕๐๐ แล้วไซร้ ข้าพระองค์ก็ยินดีจะถวาย”
โฆสกเศรษฐีเห็นธิดาเต็มใจ จึงให้ส่งสาส์นไปทูลพระเจ้าอุเทนว่าเขายินดียกธิดาให้ถ้าพระองค์ทรงรับบริวารทั้ง ๕๐๐ ของธิดาไปด้วย พระเจ้าอุเทนตรัสว่าจะมีบริวาร ๕๐๐ หรือ ๑,๐๐๐ ก็จงมาทั้งหมดนั่นแหละ
พระเจ้าอุเทนทรงรับสามาวดีเข้าวังอภิเษกเป็นอัครมเหสี ส่วนบริวารทั้งหมดก็รับเข้าวังให้เป็นบริวารของพระมเหสี โฆสกเศรษฐีจึงได้เป็นพ่อตาพระราชา

นางขุชชุตตรา
พระนางสามาวดีมีทาสีติดตามไปอยู่ในราชนิเวศน์ด้วย ๕๐๐ นาง หนึ่งในนั้นชื่อ ขุชชุตตรา เป็นหญิงค่อม พระนางสามาวดีมอบหมายให้นางทำหน้าที่ไปซื้อดอกไม้จากนายสุมนมาลาการวันละ ๘ กหาปณะ เพื่อนำมาประดับราชนิเวศน์ แต่นางขุชชุตตราแอบยักยอกเก็บไว้เอง ๔ กหาปณะ ซื้อดอกไม้จริงเพียง ๔ กหาปณะ
วันหนึ่งนางไปซื้อดอกไม้ตามปกติ พบนายสุมนมาลาการกำลังถวายภัตพระศาสดา นายมาลาการชวนนางขุชชุตตราให้ช่วยถวายภัตและอยู่ฟังธรรมก่อน เมื่อฟังธรรมจบแล้วนางขุชชุตตราสำเร็จเป็นพระโสดาบัน นางจึงเลิกยักยอกทรัพย์ วันนั้นนางซื้อดอกไม้ด้วยทรัพย์เต็ม ๘ กหาปณะ
พระนางสามาวดีเห็นดอกไม้มีจำนวนมากกว่าทุกวัน ถามนางขุชชุตตราว่าวันนี้พระราชาพระราชทานค่าดอกไม้เพิ่มขึ้นหรือ นางขุชชุตตราทูลว่าค่าดอกไม้เท่าเดิม แต่วันนี้นางได้ฟังธรรมพระศาสดาบรรลุธรรมแล้ว จึงไม่ได้ยักยอกทรัพย์เหมือนทุกวัน
พระนางสามาวดีไม่ได้ลงโทษนางขุชชุตตรา แต่กลับให้นางแสดงธรรมตามที่ได้ยินมา นางขุชชุตตราจึงอาบน้ำแต่งตัวขึ้นนั่งบนอาสนะสูง แล้วแสดงธรรมในลีลาที่เหมือนพระศาสดาทุกอย่าง ฟังธรรมจบแล้วพระนางสามาวดีและบริวาร ๕๐๐ สำเร็จเป็นพระโสดาบัน พระนางสามาวดีจึงไม่ให้นางขุชชุตตราทำหน้าที่ทาสีอีก แต่ยกให้เป็นอาจารย์ มีหน้าที่ไปฟังธรรมพระศาสดาที่วิหารแล้วกลับมาแสดงให้พระนางพร้อมบริวารอีก ๕๐๐ ฟังเป็นประจำ
ด้วยการฟังธรรมมากนี้เอง นางขุชชุตตราจึงเป็นผู้ทรงพระไตรปิฎก และด้วยความสามารถอันยอดเยี่ยมในการแสดงธรรม ต่อมาพระศาสดาได้ทรงยกย่องให้นางเป็นเอตทัคคะ เป็นยอดของอุบาสิกาผู้เป็นพหูสูตร

พระนางสามาวดีถูกใส่ร้าย
นอกจากพระนางสามาวดีแล้ว พระเจ้าอุเทนยังมีอัครมเหสีอีก ๒ องค์ ที่มีฐานะเท่าเทียมกับพระนางสามาวดี คือ พระนางวาสุลทัตตา และพระนางมาคันทิยา
พระนางมาคันทิยาเป็นมเหสีขี้อิจฉา พระนางคอยกลั่นแกล้งใส่ร้ายพระนางสามาวดีบ่อยๆ วันหนึ่งส่งไก่มีชีวิตไปให้พระนางสามาวดีปรุงอาหารถวายพระเจ้าอุเทน พระนางสามาวดีไม่ทำเพราะพระนางเป็นพระโสดาบันย่อมไม่ทำผิดศีล อีกวันหนึ่งพระนางมาคันทิยาส่งไก่ตายไปให้ปรุงอาหารถวายพระศาสดา พระนางสามาวดีจึงทำ พระนางมาคันทิยาเพ็ดทูลพระเจ้าอุเทนว่าพระนางสามาวดีมีใจออกห่าง ปรุงอาหารถวายพระสมณะ แต่ไม่ปรุงถวายพระราชา แต่พระเจ้าอุเทนไม่ทรงเชื่อ
ต่อมา พระนางมาคันทิยาแอบนำงูพิษถอดเขี้ยวไปไว้ในห้องบรรทมของพระนางสามาวดี ใส่ร้ายว่าพระนางสามาวดีคิดร้ายจะปลงพระชนม์ พระเจ้าอุเทนทรงหลงเชื่อจึงจับพระนางสามาวดีและบริวารทั้งหมดจะประหารด้วยพระองค์เอง แต่เมื่อพระองค์ยิงลูกศรอาบยาพิษเข้าใส่พระนางสามาวดี ลูกศรนั้นกลับวิ่งย้อนกลับมาหาพระองค์ พระเจ้าอุเทนตกพระทัยได้สติว่าพระนางสามาวดีเป็นคนดี แม้แต่ลูกศรไม่มีชีวิตยังไม่ทำอันตราย พระองค์จึงขอขมาโทษและขอพระนางสามาวดีเป็นสรณะ พระนางสามาวดีได้โอกาสกราบทูลว่าพระนางมีพระศาสดาเป็นสรณะ พระเจ้าอุเทนก็ควรมีพระศาสดาเป็นสรณะเหมือนกัน นับจากนั้นพระเจ้าอุเทนจึงหันมานับถือพระศาสนา ทรงอนุญาตให้พระนางสามาวดีนิมนต์ภิกษุ ๕๐๐ รูป มารับภัตในราชนิเวศน์ได้ทุกวัน
ฝ่ายพระนางมาคันทิยายิ่งคิดยิ่งแค้นว่าแผนการทั้งหมดไม่เคยสำเร็จเลย จึงคิดแผนการใหม่ เมื่อพระเจ้าอุเทนเสด็จไปในพระราชอุทยานจึงส่งคนไปลั่นดานขังพระนางสามาวดีและบริวารไว้ด้านในตำหนัก แล้วราดน้ำมัน จุดไฟเผา พระนางสามาวดีมีสติให้โอวาทหญิงบริวารว่า อัตภาพอันจะถูกไฟเผาอย่างนี้ของพวกเราจะไม่มีอีกแล้ว พวกเราทั้งหลายอย่าเป็นผู้ประมาทเจริญจิตภาวนากันเถิด จบโอวาทแล้วทั้งหมดก็เจริญจิตภาวนาโดยใช้เวทนาจากการถูกไฟเผาเป็นอารมณ์ หญิงบางคนได้สำเร็จเป็นพระสกิทาคามี บางคนสำเร็จเป็นพระอนาคามี และถูกเพลิงเผาผลาญถึงแก่ชีวิตทั้งหมดในตำหนักนั้น
พระเจ้าอุเทนเมื่อทรงสดับว่า ตำหนักพระนางสามาวดีถูกไฟไหม้จึงรีบเสด็จมา แต่เมื่อมาถึงเพลิงก็สงบแล้ว พระองค์ทรงเสียพระทัยมากประทับนั่งรำลึกถึงคุณของพระนางสามาวดี ทรงสอบสวนทราบว่าเป็นการกระทำของพระนางมาคันทิยากับพระญาติ จึงลงโทษประหารชีวิตคนที่เกี่ยวข้องทั้งหมด

บุรพกรรมของพระนางสามาวดี
เหตุที่พระนางสามาวดีเป็นพระโสดาบัน แต่ต้องรับกรรมหนักถูกไฟเผาตายอย่างทรมานนั้น พระศาสดาทรงแสดงบุรพกรรมของพระนางสามาวดีไว้ว่า
ในอดีตกาล พระนางสามาวดีและหญิง ๕๐๐ เกิดในราชสำนักของพระเจ้าพรหมทัต กรุงพาราณสี ครั้งนั้นพระเจ้าพรหมทัตได้นิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้า ๘ องค์ เข้าไปฉันในพระราชวังอยู่เนืองนิตย์ หญิงทั้ง ๕๐๐ คนนั้นได้ช่วยกันอุปัฏฐากบำรุงพระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้น
วันหนึ่ง พระปัจเจกพุทธเจ้า ๗ องค์ กลับไปสู่ป่าหิมพานต์ ส่วนอีกองค์หนึ่งนั่งเข้าฌานอยู่ในดงหญ้าแห่งหนึ่งริมแม่น้ำ
ต่อมาวันหนึ่ง พระเจ้าพรหมทัตพาหญิงเหล่านั้นไปทรงเล่นน้ำในแม่น้ำใกล้ที่พระปัจเจกพุทธเจ้าเข้าฌานอยู่ หญิงเหล่านั้นเล่นน้ำตลอดวัน เมื่อขึ้นจากน้ำจึงรู้สึกหนาวสั่น ช่วยกันหาสถานที่ก่อไฟผิงไล่ความหนาว พวกนางเห็นมีกองหญ้าอยู่จึงจุดไฟ แล้วยืนรับไออุ่นจากกองไฟนั้น
เมื่อไฟไหม้กองหญ้าจนหมดแล้ว หญิงเหล่านั้นจึงแลเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าอยู่ในกองไฟ พวกนางพากันตกใจว่าเราทำกรรมหนักแล้ว ถ้าพระราชาทรงทราบจะต้องถูกลงโทษถึงชีวิตเป็นแน่ คิดแล้วจึงช่วยกันไปขนฟืนมาสุมร่างพระปัจเจกพุทธเจ้าและจุดไฟเผาอีกครั้งหวังจะให้ไฟทำลายร่างพระปัจเจกพุทธเจ้าให้หมดไป
วันที่ ๗ นับจากนั้น พระปัจเจกพุทธเจ้าได้ออกจากฌานสมาบัติและลุกออกจากกองไฟไปได้ตามปกติ เพราะไฟไม่อาจทำอันตรายผู้อยู่ในฌานสมาบัติได้ การจุดไฟครั้งแรกของหญิงเหล่านั้นจึงไม่ได้เป็นอกุศลกรรม แต่การตั้งใจเผาพระปัจเจกพุทธเจ้าในครั้งที่สองเป็นกรรมหนัก หญิงเหล่านั้นจึงต้องไปรับกรรมหมกไหม้อยู่ในนรกหลายพันปี เมื่อพ้นจากนรกมาเกิดเป็นมนุษย์แล้วก็ได้รับผลของกรรมถูกไฟคลอกตายมาแล้วถึง ๑๐๐ อัตภาพ รวมทั้งชาตินี้ด้วย



จบเรื่องโฆสกเศรษฐีครับ เรื่องนี้ถ้าใครอยากอ่านต้นฉบับก็ไปหาอ่านกันได้ทั้งในพระไตรปิฎกและอรรถกถาพระไตรปิฎก ซึ่งผมรวบรวมมาจาก ๔ ส่วน คือ
๑. อรรถกถาชาลิยสูตร
๒. โกสัมพิยสูตร
๓. อรรถกถาขุททกนิกาย คาถาธรรมบท อัปปมาทวรรค เรื่องพระนางสามาวดี
๔. อรรถกถาอังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เอตทัคคบาลี ประวัตินางขุชชุตตราและนางสามาวดี




 

Create Date : 13 มกราคม 2554
9 comments
Last Update : 13 มกราคม 2554 12:08:06 น.
Counter : 1548 Pageviews.

 

อนุโมทนาค่ะ คุณอังคาร

 

โดย: พ่อระนาด 13 มกราคม 2554 14:00:35 น.  

 

สวัสดีค่ะ คุณอังคาร

จากบล๊อก การวิ่งที่ว่าต้องเป็นการวิ่งมาราธอนค่ะ
วิ่งไปตามจังหวะของแต่ละคน ถ้าเหนื่อยก็เปลี่ยนเป็นเดิน
ที่สำคัญคือ ต้องหาคนที่จะมาจูงมือให้ได้ซะก่อน

 

โดย: พ่อระนาด 14 มกราคม 2554 9:03:17 น.  

 




แล้วเอามาเล่าอีกนะคะ

 

โดย: tuk-tuk@korat 14 มกราคม 2554 13:53:28 น.  

 

คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...
แวะมาทักทายก่อนเข้านอนค่ะ คุณอังคารสบายดีนะคะและมาขออนุญาติaddไว้เป็นเพื่อนบ้านด้วยนะคะ

 

โดย: เกศสุริยง 15 มกราคม 2554 0:30:14 น.  

 


มาชวนไปดู รำซัดชาตรีกันค่ะ เกศสุริยง
สร้างกริตเตอร์

แวะมาทักทายกันในวันหยุด วันนี้หนาวมาก หวัดถามหาเลยค่ะ ใส่เสื้อหนาๆทำตัวให้อุ่นกันนะคะ ระลึกถึงค่ะคุณอังคาร

 

โดย: เกศสุริยง 16 มกราคม 2554 10:46:50 น.  

 

สวัสดีตอนสายๆค่ะ เข้ามาอ่านอีกแล้วค่ะ และมาขออนุญาตadd ด้วยค่ะ ขอบคุณค่ะ

 

โดย: แม่น้องแฝด (phunsud ) 17 มกราคม 2554 10:22:48 น.  

 


สวัสดีค่ะ.... แวะมาทักทายยามสายๆ ของวันอังคารจร้าาาา เกศสุริยง
สร้างกริตเตอร์

มีความสุขมากมายนะคะคุณอังคาร

 

โดย: เกศสุริยง 18 มกราคม 2554 10:15:10 น.  

 

แวะมาเยี่ยมคุณอังคารค่ะ ขอบคุณที่แวะไปเยี่ยมบ้านกุ้งนะคะ เจ้าของบ้านขี้เกียจไปบ้านตัวเองอ่ะค่ะช่วงนี้

 

โดย: Honey and Moonney 21 มกราคม 2554 4:41:06 น.  

 

ดีได้ประโยชน์มากจากคุณโยม

 

โดย: หลวงพี่ IP: 180.183.165.51 6 สิงหาคม 2554 18:22:21 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


Siri_waT_bkk
Location :
นนทบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




บางครั้ง เธอเข้าใจไหม
ว่าทำไม จิตใจต้องเพ้อฝัน
ฝันมีสุขร่วมกัน ฝันมีส่วนผูกพัน
สิ่งเหล่านั้น ฉันเองเข้าใจ

   ความหมาย คงคลี่คลายโดยง่ายดาย
   หากได้ระบาย ออกมาให้เธอฟัง
   ก็เพราะเธอเป็นต้นเหตุ ก็เพราะเธอนั้นพิเศษ
   เกินกว่าฉัน จะควบคุมใจ

ยามใดเธอมีทุกข์ อยากหยุดโลกกลับไปช่วยเธอ
ใจมันคอยเสนอ ไม่เคยคิดห่วงใคร
ต่อให้ไกลจะไกลแค่ไหน ก็จะไปยกหัวใจให้
เพียงแต่ตอบรับ หากเธอยอมรับ กับฉัน

   ว่าเธอนั้น มันก็เป็นเหมือนกัน
   ส่วนฉันยืนยัน ประกันได้เลยเธอ
   ไม่ใช่เรื่องหนักใจ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่
   เพียงแค่สามคำ ฉันรักเธอ...

   
    [เพลงจาก http://www.fileden.com]


[ stat since Sep24, 2009 ]
Friends' blogs
[Add Siri_waT_bkk's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.