ท่านทั้งหลายจงดูดาบสผู้มีตบะอันรุ่งเรืองนี้
ดาบสนี้กระทำความปรารถนายิ่งใหญ่เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า
ความปรารถนาของเขาจักสำเร็จ ในที่สุดแห่งสี่อสงไขยกับเศษแสนกัปนับแต่นี้

... บล็อคง่ายๆ ของนายอังคาร ...

Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2553
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
5 พฤศจิกายน 2553
 
All Blogs
 
ปุณณเศรษฐี

เล่าเรื่องมหาเศรษฐีกันต่อ คนนี้ชื่อว่า ปุณณเศรษฐี
ปุณณเศรษฐีที่ดังๆ มีสองคน คนหนึ่งอยู่ในภัททิยนคร เป็นคนใช้ของเมณฑกเศรษฐี พวกนี้ทำบุญมาด้วยกัน มีอธิษฐานมาด้วยกัน แม้จะเป็นมหาเศรษฐีแต่ก็ยังเต็มใจรับใช้เขา
ส่วนคนที่กำลังจะเล่าเป็นเศรษฐีในนครราชคฤห์ คนนี้ตอนเริ่มต้นก็เป็นคนใช้เขาเหมือนกัน แต่เพราะได้ทำบุญกับพระอรหันต์ที่เพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติ จึงได้อานิสงส์เป็นเศรษฐีภายในวันนั้น


เกิดเป็นคนเข็ญใจ
นายปุณณะเป็นชาวนครราชคฤห์ มีภรรยาชื่ออุตตรา และมีธิดาชื่ออุตตราเหมือนกัน เขาเป็นคนยากจนเข็ญใจ เลี้ยงชีพด้วยการทำงานรับจ้างให้สุมนเศรษฐี
วันหนึ่ง กรุงราชคฤห์มีงานนักษัตร ๗ วัน สุมนเศรษฐีถามนายปุณณะว่า พ่อเอ๋ย วันนี้ใครๆ เขาก็พักผ่อนเล่นนักษัตรกัน เจ้าเล่าอยากจะหยุดงานไปเล่นนักษัตรหรือจะรับจ้างทำงาน ถ้าวันนี้เจ้าทำงาน เราจะให้โคเจ้า ๒ ตัว กับไถใหม่ ๑ คัน
นายปุณณะตอบว่า นายท่าน คนมีทรัพย์เขาก็ออกไปเล่นนักษัตรกันได้ แต่ข้าพเจ้ายากจน พรุ่งนี้ยังไม่มีข้าวสารจะกินเลย ข้าพเจ้าขอรับจ้างทำงานขอรับ
นายปุณณะบอกเศรษฐีแล้วก็จูงโคออกไปไถนา ก่อนไปได้สั่งภรรยาว่า พวกเราเป็นคนยากจนต้องทำงานรับจ้างเขา เจ้าช่วยหุงต้มอาหารเพิ่มเป็น ๒ เท่าด้วย วันนี้เราจะไถนาให้มาก
วันเดียวกันนั้น พระสารีบุตรออกจากเข้านิโรธสมาบัติ ๗ วัน สำรวจดูว่าวันนี้ควรจะสงเคราะห์ใคร ก็เห็นนายปุณณะปรากฏอยู่ในข่ายญาณของตน พิจารณาดูรู้ว่านายปุณณะมีความศรัทธาสงเคราะห์ได้ และเมื่อสงเคราะห์แล้วนายปุณณะจะได้สมบัติเป็นมหาเศรษฐีในวันนั้น พระสารีบุตรจึงถือบาตรไปยืนอยู่ในร่มเงาไม้กอหนึ่งดูนายปุณณะไถนา
นายปุณณะเห็นพระสารีบุตรยืนอยู่จึงหยุดไถนา เข้ามากราบพระเถระด้วยเบญจางคประดิษฐ์แล้วปรนนิบัติ ทำไม้ชำระฟันให้ รับบาตรมากรองน้ำถวาย พระสารีบุตรทำกิจล้างหน้าบ้วนปากแล้วจึงจาริกเข้าไปบิณฑบาตในนคร เมื่อพระเถระไปแล้วนายปุณณะคิดว่าปกติทุกวันพระเถระไม่มาทางนี้ วันนี้คงมาสงเคราะห์เราคนจนโดยเฉพาะ และพระเถระเข้านครต้องสวนกับภรรยาเรา ภรรยาเราคงศรัทธาเอาอาหารของเราใส่บาตรพระเถระ วันนี้ครอบครัวเราได้ทำบุญใหญ่ คิดแล้วนายปุณณะก็ไปไถนาต่อด้วยความสุขใจ
ฝ่ายนางอุตตราเดินสวนทางกับพระสารีบุตร นางเกิดปีติศรัทธา คิดว่าบางคราวเราพบพระผู้เป็นเจ้าแต่ไม่มีไทยธรรม บางคราวเรามีไทยธรรมแต่ไม่ได้พบพระผู้เป็นเจ้า วันนี้โชคดีได้พบพระผู้เป็นเจ้าด้วยและมีไทยธรรมด้วย เราจะใส่บาตรท่าน อาหารของสามีค่อยปรุงใหม่ก็ได้ คิดแล้วนางอุตตราจึงนำอาหารที่เตรียมให้นายปุณณะใส่บาตร
เมื่อใส่บาตรได้ครึ่งหนึ่ง พระสารีบุตรก็แสดงอาการปิดบาตรบอกว่า พอแล้ว นางอุตตราจึงกล่าวว่า ท่านเจ้าข้า อาหารจำนวนนี้ไม่อาจแบ่งเป็นสองส่วนได้ ดิฉันปรารถนาจะถวายหมดไม่ให้เหลือ ขอท่านโปรดอย่าสงเคราะห์เฉพาะโลกนี้แก่ทาสของท่านเลย โปรดสงเคราะห์ถึงโลกหน้าด้วยเถิดเจ้าข้า
พระสารีบุตรจึงเปิดบาตรให้นางอุตตราใส่บาตรจนหมด เสร็จแล้วนางได้ตั้งความปรารถนาว่า “ขอให้ดิฉันได้เห็นธรรมที่พระผู้เป็นเจ้าเห็นแล้วด้วยเถิด” พระสารีบุตรกล่าวอนุโมทนาว่า “จงสำเร็จอย่างนั้นเถิด” แล้วหลีกไปฉัน
นางอุตตราเมื่อนำอาหารใส่บาตรเสียหมด นางจึงต้องเดินกลับเรือนไปหุงอาหารมาใหม่ใช้เวลาไปอีกไม่น้อยจนเลยเวลาอาหาร นายปุณณะไถนาจนเหนื่อยและหมดแรง จึงปล่อยโค เข้าไปนั่งพักใต้ร่มไม้ด้วยความหิว ตาคอยมองดูว่าภรรยานำอาหารมาให้หรือยัง
นางอุตตราปรุงอาหารเสร็จก็ตักใส่ถาดถือไปให้นายปุณณะ มองไปเห็นสามีชะเง้อมองอยู่จึงคิดว่า สามีเรากำลังหิว เราเองก็มาช้า เมื่อไปถึงสามีอาจจะโมโห ด่าเรา ทุบตีเรา ถ้าเป็นเช่นนั้นบุญที่ทำกับพระเถระก็จะเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ นางจึงคิดหาวิธีทำให้สามีใจเย็น ร้องบอกไปว่า
“นาย ท่านจงทำจิตให้ผ่องใสเถิด อย่าให้กรรมที่ดิฉันทำแล้วไร้ประโยชน์เลย วันนี้ดิฉันนำอาหารมาให้ท่านแต่เช้าตรู่ ได้พบพระสารีบุตรระหว่างทาง ดิฉันจึงเอาอาหารของท่านใส่บาตรจนหมด แล้วกลับไปหุงอาหารมาให้ใหม่ ท่านจงทำจิตให้เลื่อมใสอนุโมทนาเถิด”
นายปุณณะฟังไม่ถนัดถามว่า “เจ้าพูดอะไร เราไม่ได้ยิน” นางอุตตราจึงพูดซ้ำอีกครั้ง นายปุณณะได้ฟังซ้ำชัดเจนแล้วจึงบอกนางอุตตราว่า
“ดีแล้วนางผู้เจริญ เจ้าทำดีแล้วที่ถวายภัตของเราแก่พระผู้เป็นเจ้า เมื่อเช้าเราก็ได้ถวายไม้สีฟันและน้ำแก่พระผู้เป็นเจ้าเหมือนกัน”
นายปุณณะมีจิตผ่องใสในทาน กินอาหาร แล้วนอนหนุนตักนางอุตตราหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย

รอยไถกลายเป็นทอง
นายปุณณะนอนหลับไปชั่วขณะ ครั้นตื่นขึ้นแลดูผืนนาที่เขาไถไว้เมื่อเช้า ก็แลเห็นรอยไถกลายเป็นทองคำเหลืองอร่ามเต็มทุ่งนา เขาขยี้ตาพลางบอกนางอุตตราว่า “นางเอ๋ย สงสัยวันนี้จะกินอาหารสายเกินไป ความหิวทำให้ตาลายมองเห็นรอยไถกลายเป็นทองคำไปหมด”
นางอุตตรามองดูบอกว่านางก็เห็นรอยไถเป็นสีทองเหมือนกัน ทั้งสองลุกขึ้นไปหยิบดูรู้ว่าดินขี้ไถกลายเป็นทองคำแล้วจริงๆ ต่างมีปีติว่าผลทานที่ให้แก่พระธรรมเสนาบดีให้ผลรวดเร็วและมากมายเกินประมาณ
นายปุณณะกับภรรยาเก็บขี้ไถใส่ถาดข้าวจนเต็ม แล้วถือไปถวายพระราชากราบทูลให้ส่งคนไปขนทองคำมาเก็บในท้องพระคลัง
พระราชาส่งราชบุรุษให้ไปขนทองคำ ราชบุรุษหยิบขี้ไถขึ้นพิจารณาดูเห็นเป็นทองคำจริงๆ พูดว่าทองคำของพระราชา พอพูดจบทองคำนั้นก็กลับกลายเป็นดินจึงกลับไปกราบทูลให้พระราชาทรงทราบ
พระราชาตรัสถามว่าตอนหยิบทองได้พูดอะไรหรือเปล่า ราชบุรุษกราบทูลว่า พูดว่าทองคำของพระราชา พระราชารับสั่งให้ราชบุรุษกลับไปใหม่ คราวนี้ให้พูดว่าทองคำของนายปุณณะ ราชบุรุษกลับไปทำตามรับสั่ง ดินก็กลับกลายเป็นทองคำดังเดิม
ราชบุรุษขนทองคำมากกว่าพันเล่มเกวียนมากองจนเต็มพระลานหลวง กองสูงเท่ายอดตาล พระราชาตรัสถามพวกพ่อค้าว่าเคยเห็นใครมีทองคำมากกว่านี้ไหม พวกพ่อค้ากราบทูลว่าไม่มี พระราชาจึงทรงแต่งตั้งให้นายปุณณะเป็นธนเศรษฐี ให้ขนทองกลับไปและพระราชทานที่ดินให้ปลูกเรือนใหม่ด้วย
นายปุณณะปลูกเรือนใหม่ เสร็จแล้วได้ถวายทานแก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานตลอด ๗ วัน และเมื่อได้ฟังธรรมอนุปุพพิกถาจากพระศาสดาแล้ว ทั้งนายปุณณะ ภรรยา และธิดาซึ่งยังเป็นกุมารีอยู่ ล้วนสำเร็จเป็นพระโสดาบัน

ธิดาเศรษฐีที่ชื่อ อุตตรา เมื่อโตเป็นสาวแล้วได้ออกเรือน สามีเป็นลูกชายของสุมนเศรษฐีนั่นเอง แต่ตระกูลสุมนเศรษฐีเป็นพวกนอกศาสนา นางจึงไม่ได้ทำบุญเลย ภายหลังนางต้องใช้วิธีไปจ้างนางสิริมาน้องสาวหมอชีวกโกมารภัจจ์ซึ่งเป็นหญิงโสเภณีนครให้มาทำหน้าที่เป็นเมียชั่วคราวให้สามีของตัว จนเกิดเรื่องราวใหญ่โต เอาไว้เล่าวันหลังครับ



Create Date : 05 พฤศจิกายน 2553
Last Update : 5 พฤศจิกายน 2553 9:36:58 น. 5 comments
Counter : 2902 Pageviews.

 
สนุกมากค่ะ


โดย: tuk-tuk@korat วันที่: 5 พฤศจิกายน 2553 เวลา:10:19:31 น.  

 
เข้ามาอ่าน แล้วได้ข้อคิด ตามความประสงค์ของผู้เขียน

ผมเรียนถามด้วยความเคารพ.... การทำบุญโดยใส่บาตร
พระ หรือถวายเงินใส่ตู้ของวัด บุญนั้นจะตกไปอยู่กับใคร
ครับ เพราะส่วนใหญ่ผมจะใส่แล้วยกมือไหว แล้วคิดใน
ใจแต่เพียงว่า ยกกุศลบุญ ให้แก่........

ไม่ได้เปล่งวาจาหรือ นำน้ำที่รินตอบสัพพี รดโคนต้นไม้
แต่อย่างใดครับ.

อีกอย่าง ผมไม่ค่อยได้ไปวัดตามเทศกาล คือไม่ค่อย
ใส่บาตรในวันดังกล่าว แต่ใส่วันธรรมดาเสียมากกว่า
เพื่อน ๆ บอกว่า ใส่วันเทศกาลดีกว่า ผมก็คิดนอกกรอบ
ว่า ควรใส่วันธรรมดา เหมือนกับ มอบสิ่งของให้กับคน
ที่ยังไม่มีสิ่งของหรืออาหาร น่าจะเป็นประโยชน์แก่ผู้นั้น
มากกว่า.

มีความคิดเห็นหรือ สิ่งใดถูกกรุณา เล่าให้ฟังบ้างนะครับ


โดย: ไวน์กับสายน้ำ วันที่: 8 พฤศจิกายน 2553 เวลา:13:38:30 น.  

 
คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...
ขอโทษที่หายไปเสียหลายวัน งานมากมายที่ต้องสะสางรออยู่เพียบ ไม่มีเวลาแม้จะเปิดเน็ตเล่นเลยค่ะ คิดถึงเพื่อนชาวbloggangมากๆ คุณอังคาร สบายดีนะ มีความสุขมากมายคร่าาาาาา


โดย: เกศสุริยง วันที่: 8 พฤศจิกายน 2553 เวลา:17:46:02 น.  

 
คุณไวน์กับสายน้ำ ....

กระติ๊บน้อยใส่บาตรทุกวันเลยค่ะ(ใส่ให้พ่อกับแม่ค่ะ แล้วก็ไม่ได้กรวดน้ำ แต่ตั้งจิตให้)

คือหลวงพ่อท่านสอนว่าบุญนั้นเหมือนข้าวที่เรากิน คือถ้าเรากินข้าวกันทุกวัน ก็ควรใส่บาตรหรือทำบุญทุกวันค่ะ

ตามความเชื่อ ในวันพระใหญ่นั้นญาติที่เสียชีวิตไปแล้วจะมารอรับส่วนบุญ และเหล่าผีที่ไม่มีญาติก็จะมารอบุญในวันนั้นด้วยเผื่อมีใครแผ่ให้ผีไม่มีญาติเขาก็จะได้บุญนั้นด้วย

(เหมือนที่เวลามีงานใหญ่อะไรใหญ่ๆคนไปเยอะๆ ขอทานก็เข้าไปด้วยเผื่อใครใจดีให้ก็ได้ตังค์ไป)

ไม่กรวดน้ำก็ไม่เป็นไรค่ะ หลวงพ่อท่านบอกว่าจิตเราตั้งใจว่าให้ผู้รับก็ได้รับแล้ว ของทุกอย่างอยู่ที่เจตนา

โดยส่วนตัวนะคะ ใส่บาตรทำบุญวันไหนก็ดีทั้งนั้น หลวงพ่อท่านบอกว่าใครทำบุญก็โมทนาบุญกับเขาให้หมด คนเขาใจเป็นกุศลเวลาทำบุญ เราโมทนาด้วยก็ได้บุญด้วย แต่แน่นอนไม่มากเท่าผู้ที่ทำ

ดังนั้นคุณทำบุญวันไหนกระติ๊บน้อยก็โมทนาบุญด้วยเลยค่า
สาธุๆ (^ - ^)


โดย: กระติ๊บน้อย IP: 203.154.144.2 วันที่: 9 พฤศจิกายน 2553 เวลา:16:13:09 น.  

 
บุญ ย่อมตกอยู่กับ "ผู้ทำ" เท่านั้นครับ
แม้เราทำบุญมากมายเท่าไรแล้วอุทิศให้เขา แต่เขา "ไม่ทำ" เขาย่อมไม่ได้บุญ

คำว่า "ทำ" มีมากมายหลายวิธี แจกแจงได้เป็นบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ คือมีหนทางอยู่ ๑๐ อย่าง
เมื่อคุณไวน์หยอดเงินทำบุญใส่ตู้ ผลบุญย่อมเกิดกับคุณไวน์ เพราะคุณไวน์ทำบุญด้วยกิริยาที่เป็นบุญหลายอย่าง
๑. บุญจากการสละทรัพย์ให้ทานในพุทธศาสนา
๒. บุญในการสละทรัพย์เพื่อให้สงฆ์นำไปใช้ในกิจการที่ควร
๓. บุญจากการตั้งใจแบ่งบุญให้ผู้อื่น
๔. บุญจากความเห็นถูกตรงว่าบุญนั้นมีผล
และบุญนั้นยังเกิดซ้ำแล้วซ้ำอีก เมื่อแรกตั้งใจแต่ยังไม่ทันทำบุญก็ได้บุญ เมื่อกำลังหยอดเงินใส่ตู้ก็ได้บุญ ผ่านไปนับเดือนนับปีพอนึกถึงก็ชื่นใจก็ยังได้บุญอีก เขาถึงบอกว่าทำบุญแล้วให้นึกถึงบุญนั้นบ่อยๆ

ส่วนผู้ที่เราอุทิศให้เขาจะได้รับบุญหรือไม่
ได้รับครับ แต่เขา "ต้องทำ"
วิธีทำบุญของเขาคือการอนุโมทนา เมื่อใดที่ยังไม่ได้อนุโมทนาเขาย่อมไม่ได้ผลของบุญนั้น อย่างเช่นสัตว์นรก เราทำบุญไปให้เขาจะไม่มีโอกาสได้อนุโมทนาบุญเลย เขาจึงยังไม่ได้บุญ แต่ผลบุญนี้ประหลาด แม้เขาจะไม่ได้อนุโมทนาผลบุญนั้นก็ยังไม่หายไปไหน เมื่อใดก็ตามที่เขาได้อนุโมทนา ผลบุญนั้นก็จะปรากฏแก่เขาในทันที

มีข้อประหลาดอีกอย่าง คือ แม้การอนุโมทนาก็ได้ผลบุญไม่เท่ากัน ระหว่างสัตว์นรกอนุโมทนา กับเทวดาอนุโมทนา เขาทั้งสองก็ได้รับผลของบุญไม่เท่ากัน
กรณีเทวดาอนุโมทนานั้น เขาอนุโมทนาเพราะศรัทธา และอนุโมทนาด้วยสัมมาทิฏฐิ อนุโมทนาแล้วจะได้รับบุญมาก แต่สัตว์นรกบางทีโดนนายนิรยบาลเอาหอกทิ่มเอวให้อนุโมทนา เขาจึงอนุโมทนาเพราะถูกบังคับ ไม่ได้ศรัทธาอะไรกับเขา เขาจึงได้ผลบุญน้อย บางคนอนุโมทนาบุญแล้วได้เลื่อนภพภูมิไปเกิดเป็นเทวดา แต่ไม่กี่วันกลับลงนรกอีกแล้ว เพราะบุญมันน้อย

เรื่องการไปทำบุญตามเทศกาลนั้น อานิสงส์ไม่ได้มากมายกว่าไปวันอื่นหรอกครับ แต่ผมก็แนะนำว่าควรหาโอกาสไปทำบุญตามเทศกาลบ้าง เพราะคนเยอะ เห็นแล้วชื่นตาชื่นใจ ได้เห็นญาติพี่น้องในอดีตชาติที่กลับมาเกิดแล้วจำกันไม่ได้อีกเยอะแยะ คนที่ไปทำบุญแล้วเจอกันชั่วแว๊บเดียวนี่ไม่ใช่เหตุบังเอิญนะครับ เป็นกรรมจัดสรรทั้งนั้น เคยเป็นญาติเราทั้งนั้น แค่เราจำกันไม่ได้เท่านั้นเอง
อีกอย่างคือการทำบุญในเทศกาลนั้น ถ้าเรามีหูตาดี จะได้เห็นผู้ที่อยู่ในภพภูมิอื่นเขามาร่วมอนุโมทนากันด้วย พวกนี้เขาได้เห็นเรา จะเกิดความเมตตากับเรา วันหน้าตกทุกข์ได้ยาก ก็จะได้ท่านเหล่านี้สงเคราะห์ให้เป็นครั้งคราวครับ


โดย: oddy.freebird วันที่: 10 พฤศจิกายน 2553 เวลา:15:28:18 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Siri_waT_bkk
Location :
นนทบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




บางครั้ง เธอเข้าใจไหม
ว่าทำไม จิตใจต้องเพ้อฝัน
ฝันมีสุขร่วมกัน ฝันมีส่วนผูกพัน
สิ่งเหล่านั้น ฉันเองเข้าใจ

   ความหมาย คงคลี่คลายโดยง่ายดาย
   หากได้ระบาย ออกมาให้เธอฟัง
   ก็เพราะเธอเป็นต้นเหตุ ก็เพราะเธอนั้นพิเศษ
   เกินกว่าฉัน จะควบคุมใจ

ยามใดเธอมีทุกข์ อยากหยุดโลกกลับไปช่วยเธอ
ใจมันคอยเสนอ ไม่เคยคิดห่วงใคร
ต่อให้ไกลจะไกลแค่ไหน ก็จะไปยกหัวใจให้
เพียงแต่ตอบรับ หากเธอยอมรับ กับฉัน

   ว่าเธอนั้น มันก็เป็นเหมือนกัน
   ส่วนฉันยืนยัน ประกันได้เลยเธอ
   ไม่ใช่เรื่องหนักใจ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่
   เพียงแค่สามคำ ฉันรักเธอ...

   
    [เพลงจาก http://www.fileden.com]


[ stat since Sep24, 2009 ]
Friends' blogs
[Add Siri_waT_bkk's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.