ชฎิลเศรษฐี
กรรมเกิดจากเหตุ
ในอดีตกาลครั้งพุทธกาลของพระกัสสปะพุทธเจ้า เมื่อพระศาสดาปรินิพพานแล้ว มหาชนได้ร่วมกันสร้างพุทธเจดีย์แห่งหนึ่ง
วันหนึ่ง มีพระขีณาสพเข้าไปในเมือง ชักชวนชาวเมืองร่วมทำบุญสร้างเจดีย์ ท่านเดินไปถึงร้านทองร้านหนึ่ง บังเอิญว่าขณะนั้นนายช่างทองกำลังทะเลาะกับภรรยา เขาจึงพูดแดกดันภรรยาว่า
"เธอจงโยนพระศาสดาของเธอลงน้ำไปเสีย"
ภรรยานายช่างทองพูดเตือนสติสามีว่าทำไมท่านจึงเผลอทำกรรมล่วงเกินพระศาสดาเล่า นายช่างทองได้สติ รีบหมอบกราบขออดโทษที่แทบเท้าพระเถระ แต่พระเถระบอกว่า
โยมไม่ได้กล่าวล่วงเกินอาตมา แต่โยมล่วงเกินพระศาสดา โยมต้องให้พระศาสดาอดโทษให้
นายช่างทองถามว่า พระคุณเจ้า พระศาสดาปรินิพพานแล้ว ข้าพเจ้าต้องทำอย่างไรเล่า พระศาสดาจึงจะอดโทษได้
พระเถระบอกว่า ท่านจงทำหม้อดอกไม้ทองคำ ๓ หม้อ บูชาในเจดีย์บรรจุพระธาตุ แล้วทูลขอพระศาสดาให้อดโทษเถิด
นายช่างทองมีบุตรชาย ๓ คน จึงเรียกบุตรชายให้มาช่วยทำหม้อดอกไม้ทองคำ
บุตรคนโตไม่ช่วย บอกว่าพ่อทำกรรมนั้นเองก็ต้องแก้ไขเอง
บุตรคนรองก็ปฏิเสธเหมือนกัน
แต่บุตรคนเล็กไม่เกี่ยงงอน ช่วยบิดาทำดอกไม้ทองไปบูชา กราบทูลขอขมาพระบรมศาสดา
พ้นจากชาตินั้นแล้ว นายช่างทอง ภรรยา และบุตร ก็โลดแล่นไปตามบุญกรรม
ถูกลอยน้ำ
ครั้นถึงพุทธกาลปัจจุบัน
ในนครพาราณสีมีเศรษฐีตระกูลหนึ่ง มีธิดาสาวสวย เมื่อเธอมีอายุ ๑๕-๑๖ ปี บิดาได้ให้นางอยู่แต่ในห้องบนปราสาทชั้น ๗ เพราะกลัวว่าธิดาจะไปรักชอบชายที่ไม่คู่ควร โดยเศรษฐีให้หญิงรับใช้คนหนึ่งคอยดูแล แต่ความสวยของธิดาเศรษฐีไม่พ้นสายตาชาย เธอจึงได้เชยชิดกับวิทยาธรตนหนึ่งจนตั้งครรภ์ โดยอดีตนายช่างทองได้มาปฏิสนธิในครรภ์ธิดาเศรษฐี
ด้วยผลกรรมที่เคยพูดว่าให้จับพระศาสดาโยนลงน้ำ เมื่อคลอดแล้วธิดาเศรษฐีจึงได้จับทารกน้อยใส่ลงภาชนะ เอาดอกไม้ปิด แล้วสั่งให้หญิงรับใช้นำไปลอยแม่น้ำคงคา ทารกน้อยจึงถูกปล่อยลอยน้ำไปตามยถากรรม
หญิง ๒ คนกำลังอาบน้ำอยู่เห็นภาชนะลอยมา คนหนึ่งบอกว่าภาชนะนั้นเป็นของฉัน อีกคนหนึ่งบอกว่าสิ่งของในภาชนะเป็นของฉัน พอนำภาชนะขึ้นฝั่งแล้วเปิดออกดูก็เห็นทารกน้อย หญิงทั้งสองจึงแย่งกันเป็นเจ้าของทารก หญิงคนแรกบอกว่าเด็กเป็นของฉันเพราะฉันบอกก่อนว่าภาชนะเป็นของฉัน หญิงคนที่สองไม่ยอม บอกว่าเด็กเป็นของฉันเพราะเธอบอกว่าภาชนะเป็นของเธอ ส่วนฉันบอกว่าของในภาชนะเป็นของฉัน
หญิงทั้งสองไปให้ศาลวินิจฉัย ศาลวินิจฉัยไม่ได้จึงต้องให้พระราชาวินิจฉัย พระราชาตัดสินให้ภาชนะเป็นของหญิงคนแรก เด็กเป็นของหญิงคนที่สอง หญิงคนที่สองจึงรับเด็กไปอุปการะ
เด็กคนนี้พอโตขึ้นหน่อยก็มีผมรุงรัง เหมือนผมของชฎิล หญิงแม่เลี้ยงจึงตั้งชื่อว่า ชฎิละ
ย้ายไปตักกสิลา
สมัยนั้นพระกัจจายนะจาริกมาใกล้เรือนของชฎิละ มารดาเลี้ยงอุปัฏฐากพระเถระอยู่ จนเมื่อพระเถระจะจาริกไปต่อ มารดาเลี้ยงจึงถวายชฎิละให้พระเถระ หวังจะให้บวชเณร
พระกัจจายนะตรวจดูบุญกรรมของชฎิละ รู้ว่าเป็นคนมีวาสนาทั้งทางโลกและทางธรรม จึงรับตัวไว้ แล้วพาเดินทางไปถึงเมืองตักกสิลา
ชฎิละขายของ
พระกัจจายนะเถระฝากให้พ่อค้าอุปัฏฐากคนหนึ่งในเมืองตักกสิลาช่วยเลี้ยงดูชฎิละให้ก่อน พ่อค้าคนนั้นรับไว้ แล้วให้ชฎิละช่วยค้าขายด้วยตั้งแต่ยังเป็นเด็กจนย่างเข้าวัยหนุ่ม
วันหนึ่ง พ่อค้านำสินค้าไปตลาด กำหนดราคาสินค้าแล้วไปทำธุระที่อื่น ปล่อยชฎิละช่วยเฝ้าสินค้าไว้ไม่คิดว่าจะขายได้ เพราะสินค้านี้พ่อค้าซื้อมา ๑๒ ปีแล้วยังขายไม่หมด แต่วันนั้น เทวดารักษานครได้ดลใจชาวบ้านที่ต้องการสินค้าให้มาซื้อกับชฎิละเท่านั้น ชฎิละจึงขายสินค้าที่ค้างไว้ถึง ๑๒ ปีจนหมดภายในวันเดียว พ่อค้ากลับมาเห็นสินค้าขายหมดก็ปลื้มใจว่าชฎิละเป็นคนมีบุญ จึงปลูกเรือนให้ และยกธิดาให้เป็นภรรยา
ภูเขาทองหลังเรือน
ด้วยผลบุญที่ทำดอกไม้ทองบูชาพระศาสดา พอชฎิละก้าวเท้าเหยียบธรณีประตูเรือนหลังใหม่ ภูเขาทอง ๘๐ ศอก ก็ผุดขึ้นที่หลังเรือน เขาจึงกลายเป็นมหาเศรษฐี พระราชาพระราชทานฉัตรให้ แต่งตั้งเป็น ชฎิลเศรษฐี
ชฎิลเศรษฐีมีบุตรชาย ๓ คน เมื่อบุตรเจริญวัยแล้วเขาจึงคิดจะออกบวช แต่ติดว่าตนเองเป็นมหาเศรษฐีมีทรัพย์มากมายจนนับไม่ถ้วน เป็นเศรษฐีเหนือเศรษฐี มีศักดิ์มีศรีมียศใหญ่ไม่ต่างจากพระราชา บุตรทั้งสามคงไม่ยอมให้บวชแน่ แต่ถ้าบุตรรู้ว่าชมพูทวีปมีเศรษฐีอื่นที่มีทรัพย์มากมายนับไม่ถ้วนเป็นมหาเศรษฐีเหมือนตน การเป็นมหาเศรษฐีเป็นเรื่องธรรมดาไม่มีความพิเศษเหนือใคร บุตรคงยอมให้บวช
คิดแล้วชฎิลเศรษฐีจึงคิดจะค้นหามหาเศรษฐีในชมพูทวีป
ค้นหาเศรษฐี
ชฎิลเศรษฐีให้ช่างทำอิฐด้วยทองคำ ด้ามปฏักทองคำ และรองเท้าทองคำ แล้วให้คนของตนไปหาของแบบนี้ว่ามีอยู่ที่ใดบ้าง หมายใจว่าผู้ที่มีสิ่งของเหล่านี้จะต้องเป็นมหาเศรษฐีเหมือนกัน
บุรุษเหล่านั้นเที่ยวค้นหาไปทั่วทิศ เดินทางไปแคว้นโกศล พาราณสี มคธ ไปจนถึงภัททิยนครแห่งแคว้นอังคะ เที่ยวถามหาว่ามีเศรษฐีที่ไหนมีของแบบนี้บ้าง
เมณฑกเศรษฐีแห่งภัททิยนครเห็นบุรุษเหล่านั้นจึงถามว่าพวกท่านมาหาอะไร บุรุษพวกนั้นนำอิฐ ปฏัก และรองเท้าทองคำให้ดู บอกว่าพวกตนหาสิ่งของแบบนี้ เมณฑกเศรษฐีเห็นก็รู้ว่าของนี่เป็นสมบัติของมหาเศรษฐี เขาให้คนมาค้นหาเศรษฐีที่มีทรัพย์เสมอกัน คิดแล้วจึงบอกว่าพวกท่านลองไปดูที่หลังเรือนของเราว่ามีไหม
บุรุษพวกนั้นไปดูหลังเรือนเมณฑกเศรษฐี เห็นหลังเรือนเมณฑกเศรษฐีมีแพะทองคำขนาดเท่าช้าง ม้า และโคอุสุภะ ผุดขึ้นจากแผ่นดินจนเต็มพื้นที่ ๘ กรีส จึงรีบกลับไปบอกชฎิลเศรษฐีว่าพบเศรษฐีที่มีทรัพย์เสมอกันแล้วอยู่ที่ภัททิยนคร
ชฎิลเศรษฐีฟังแล้วก็มีใจแช่มชื่นว่าเศรษฐีตระกูลอื่นมีทรัพย์เหมือนเรา แต่จะมีเศรษฐีตระกูลอื่นอีกไหมหนอ
ค้นหาเศรษฐีคนอื่น
ชฎิลเศรษฐีให้บุรุษพวกนั้นไปหาเศรษฐีตระกูลอื่นอีก ครั้งนี้ออกอุบายให้นำผ้ากัมพลเนื้อดีของของตักกสิลามูลค่าแสนหนึ่งไปด้วย ให้นำผ้าไปทำทีจะเผาเพื่อจะค้นหาเศรษฐี
บุรุษพวกนั้นเดินทางหาเศรษฐีกันอีกครั้งจนมาถึงกรุงราชคฤห์ เขาไปก่อกองไฟที่ข้างเรือนโชติกเศรษฐี เมื่อมีคนถามว่าจุดไฟจะทำอะไร บุรุษพวกนั้นตอบว่าพวกเรานำผ้ากัมพลเนื้อดีจากตักกสิลามาขาย แต่ผ้ามีมูลค่ามากจึงขายไม่ได้ พวกเราจะเดินทางกลับก็กลัวโจรปล้น เพราะเหตุนี้พวกเราจึงจะเผาผ้านี้เสียก่อนจึงค่อยเดินทางกลับ
โชติกเศรษฐีได้ยินว่าบุรุษพวกนี้จะเผาผ้าจึงช่วยรับซื้อไว้ แล้วสั่งให้คนเอาไปให้ทาสีคนกวาดพื้นที่ซุ้มประตูปราสาทของตน นางทาสีพอรับผ้ากัมพลผืนนั้นแล้วก็เสียใจร้องไห้ เข้าไปหาโชติกเศรษฐีถามว่าเธอมีความผิดอะไรท่านเศรษฐีจึงลงโทษให้ผ้ากัมพลเนื้อหยาบนี้ แล้วเธอจะนุ่งหรือห่มผ้ากัมพลผืนนี้ได้อย่างไร
โชติกเศรษฐีบอกว่า ฉันไม่ได้ให้เธอเอาไปทำผ้านุ่งผ้าห่ม แต่ให้เธอเอาไปทำเป็นผ้าเช็ดเท้า เมื่อเธอล้างเท้าด้วยน้ำหอมก่อนเข้านอนก็จงใช้ผ้าผืนนี้เช็ดเท้า นางทาสีได้ฟังจึงหยุดร้องไห้รับผ้ากัมพลกลับไป
พวกบุรุษเหล่านั้นเห็นเหตุการณ์แล้ว จึงกลับไปเล่าให้ชฎิลเศรษฐีฟัง
ชฎิลเศรษฐีออกบวช
ชฎิลเศรษฐีดีใจที่ชมพูทวีปมีมหาเศรษฐีมีทรัพย์มากเหมือนตน จึงไปเข้าเฝ้าพระราชากราบทูลว่าจะบวช เมื่อพระราชาอนุญาตแล้วเขาจึงเรียกบุตรทั้งสามมาเพื่อจะยกทรัพย์ให้ แต่ต้องทดลองดูก่อนว่าทรัพย์นี้เกิดมาเพื่อบุตรคนไหน จึงสั่งให้บุตรชายเอาจอบไปขุดทอง
บุตรชายคนโตขุดทองไม่ออก เพราะทองแข็งดังศิลา
บุตรชายคนรองก็ขุดทองไม่ออกเหมือนกัน
แต่บุตรคนเล็กกลับขุดทองได้ง่ายดายเหมือนขุดดิน เพราะบุตรคนนี้ในอดีตชาติคือคนที่ช่วยช่างทองทำดอกไม้ทองคำ
เศรษฐีบอกบุตรทั้งสามว่า ทรัพย์ทั้งหลายเหล่านี้เกิดมาเพื่อบิดาและน้องเล็กเท่านั้น บิดาจึงยกทรัพย์ให้น้องเล็กทั้งหมด แต่พวกเจ้าก็จงอยู่ร่วมกันและใช้สอยทรัพย์กับน้องเล็กเถิด
เมื่อยกทรัพย์ให้บุตรแล้ว ชฎิลเศรษฐีจึงไปบวช
หลังจากบวชเพียง ๒-๓ วัน ชฎิลภิกษุก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์
ที่มา :
- อรรถกถาขุททกนิกาย คาถาธรรมบท พราหมณวรรค เรื่องพระโชติกเถระ
- อรรถกถาขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค ปัญญาวรรค อิทธิกถา
Create Date : 01 ธันวาคม 2553 |
Last Update : 1 ธันวาคม 2553 12:43:07 น. |
|
4 comments
|
Counter : 1422 Pageviews. |
|
|