ท่านทั้งหลายจงดูดาบสผู้มีตบะอันรุ่งเรืองนี้
ดาบสนี้กระทำความปรารถนายิ่งใหญ่เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า
ความปรารถนาของเขาจักสำเร็จ ในที่สุดแห่งสี่อสงไขยกับเศษแสนกัปนับแต่นี้

... บล็อคง่ายๆ ของนายอังคาร ...

Group Blog
 
 
สิงหาคม 2553
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
31 สิงหาคม 2553
 
All Blogs
 
เมณฑกเศรษฐี (๑)

มาต่อกันด้วยเรื่องของมหาเศรษฐีคนที่สอง ซึ่งในตอนก่อนบอกว่าเคยเป็นญาติเกี่ยวข้องกับอปราชิตเศรษฐีเมื่อสมัย ๙๑ กัปก่อน แต่มาชาตินี้ทั้งสองเกิดกันคนละแคว้น คนนี้เป็นมหาเศรษฐีใหญ่มากชื่อว่า เมณฑกเศรษฐี เป็นมหาเศรษฐีแห่งภัททิยนคร แคว้นอังคะ ที่ชื่อเมณฑกะเพราะมีแพะทองคำตัวเท่าโคอยู่เต็มหลังบ้าน
นอกจากจะรวยแสนรวยแล้ว รายจ่ายของเศรษฐีแทบจะไม่มีอะไร เพราะข้าวเปลือกในยุ้งฉางของเศรษฐีไม่เคยพร่องลงเลย จะขนออำไปกี่ร้อยเล่มเกวียนในยุ้งฉางก็ยังมีข้าวเปลือกอยู่เท่านั้น
นอกจากตัวเองจะรวยระดับมหาเศรษฐีแล้ว รอบตัวของเมณฑกเศรษฐีก็ล้วนเป็นมหาเศรษฐี คือ ภรรยาชื่อจันทปทุมาก็เป็นมหาเศรษฐี บุตรชายชื่อธนัญชัย ลูกสะใภ้ชื่อสุมนาเทวี ก็เป็นมหาเศรษฐี มารุ่นหลานคือหลานสาวชื่อวิสาขา และหลานชายชื่ออุคคหะ ก็ล้วนเป็นมหาเศรษฐีทั้งสิ้น
ก่อนจะเล่าถึงชีวิตในชาติปัจจุบัน ก็ขอยอ้นกลับไปเมื่อ ๙๑ กัปก่อนครับ

บุรพกรรมสร้างศาลาราย
อดีตกาล ๙๑ กัปล่วงมาแล้ว ครั้งนั้นเป็นพุทธกาลของพระวิปัสสีพุทธเจ้า พระองค์ประทับจำพรรษาในพันธุมวดีนคร เศรษฐีชื่อ อปราชิตะ มีจิตศรัทธาสร้างพระคันธกุฎีถวายพระศาสดา
อปราชิตเศรษฐีมีหลานชายคนหนึ่งชื่อ อวโรชะ หลานชายได้ข่าวว่าลุงกำลังสร้างพระคันธกุฎีจึงมาขอร่วมทำบุญด้วย แต่อปราชิตเศรษฐีปฏิเสธ บอกว่าบุญนี้ลุงตั้งใจทำคนเดียว แม้อวโรชะอ้อนวอนหลายครั้งเศรษฐีก็ไม่ยอม อวโรชะคิดว่าเมื่อลุงไม่ยอมให้ร่วมสร้างพระคันธกุฎี เขาก็จะสร้างศาลารายแทน คิดแล้วจึงสั่งให้คนไปขนไม้จากในป่ามาสร้างศาลาราย
อวโรชะให้สร้างศาลารายอย่างวิจิตร เสาของศาลาต้นหนึ่งบุด้วยทองคำ ต้นหนึ่งบุด้วยเงิน ต้นหนึ่งบุด้วยแก้วมณี พวกขื่อ คาน บานประตู บานหน้าต่าง ก็บุด้วยทองคำทั้งหมด บนหลังคามีจอมยอด ๓ ยอด ประดับด้วยทองคำ แก้วผลึก และแก้วประพาฬ
กลางศาลารายให้สร้างมณฑปประดับแก้วและตั้งธรรมาสน์ไว้ เท้าธรรมาสน์ทำด้วยทองคำสีสุกเป็นแท่ง เท้าธรรมาสน์รองด้วยแพะทองคำ ๔ ตัว มีแพะทองคำ ๒ ตัวตั้งไว้ใต้ตั่งสำหรับรองเท้า และมีแพะทองคำอีก ๖ ตัวตั้งแวดล้อมมณฑป ถักธรรมาสน์ด้วยด้าย ทองคำ และแก้วมุกดา
เมื่อสร้างศาลารายเสร็จแล้ว อวโรชะก็นิมนต์พระศาสดาพร้อมภิกษุ ๖ ล้าน ๘ แสน มาถวายทานฉลองศาลาเป็นเวลา ๔ เดือน วันสุดท้ายได้ถวายผ้าไตรจีวรแก่พระภิกษุทุกรูป
อวโรชะเมื่อทำกาละแล้ว ก็ไปอุบัติในเทวโลก

เศรษฐีตกยาก
อวโรชะท่องเที่ยวอยู่ในเทวโลกและมนุษย์โลก จนถึงภัททกัปนี้ก็ได้มาเกิดเป็นเศรษฐีในนครพาราณสีในช่วงที่โลกว่างจากพระศาสนา
วันหนึ่ง เศรษฐีไปเข้าเฝ้าพระราชาได้พบกับปุโรหิตจึงถามว่า ท่านอาจารย์ ท่านตรวจดูฤกษ์ยามบ้างหรือไม่ว่าบ้านเมืองของเราจะเป็นอย่างไร ปุโรหิตตอบว่าตรวจดูแล้ว ล่วงไป ๓ ปีนับจากปีนี้ บ้านเมืองของเราจะเกิดฉาตกภัย คือ ภัยจากความอดอยาก
เศรษฐีฟังคำของปุโรหิตแล้วไม่ประมาทเตรียมตัวรับฉาตกภัย สั่งให้บริวารปลูกข้าวจำนวนมากและรับซื้อข้าวเปลือกมาเก็บตุนไว้เต็มฉาง ๑,๒๕๐ ฉาง เมื่อเก็บข้าวจนเต็มยุ้งฉางแล้ว ก็นำข้าวไปบรรจุตุ่มไหจนเต็มนำไปฝังดินไว้อีก และนำข้าวเปลือกที่เหลือมาขยำกับดินฉาบทาฝาเรือนไว้
เมื่อกรุงพาราณสีเริ่มเกิดภัยความอดอยาก เศรษฐีจึงนำข้าวเปลือกที่เก็บไว้ในฉางออกมาบริโภคและเลี้ยงทาสบริวาร เมื่อข้าวเปลือกในฉางหมดแต่ภัยยังไม่หมดก็นำข้าวเปลือกในตุ่มในไหที่ฝังดินไว้ออกมาใช้อีก ในที่สุดก็บริโภคข้าวเปลือกจนหมด เศรษฐีจึงเรียกบริวารมาบอกว่าตอนนี้อาหารหมดแล้ว พวกเจ้าจงแยกย้ายกันไปก่อน วันหน้าเมื่ออาหารบริบูรณ์หากอยากจะกลับมาอยู่กับเราอีกก็จงกลับมา
ทาสบริวารทั้งหลายจึงพากันแยกย้ายไป ยกเว้นทาสคนหนึ่งชื่อปุณณะขออยู่กับเศรษฐีต่อไป ครั้งนั้นเรือนเศรษฐีจึงเหลือคนอยู่ ๕ คน คือ เศรษฐี ภรรยา บุตรชาย บุตรสะใภ้ และนายปุณณะ ทั้ง ๕ คนอยู่รอดได้ด้วยการนำดินที่ฉาบฝาเรือนไว้มาละลายน้ำ แยกข้าวเปลือกออกมาตำเป็นข้าวสาร ใช้เลี้ยงชีวิตด้วยความลำบาก
วันหนึ่ง ภรรยาเศรษฐีได้พังฝาเรือนชิ้นสุดท้ายนำดินมาแช่น้ำ ได้ข้าวเปลือกประมาณ ๒ ทะนาน ตำเป็นข้าวสารได้ทะนานหนึ่ง เธอนำข้าวสารใส่หม้อฝังดินไว้เพราะกลัวพวกโจร
ฝ่ายเศรษฐีกลับมาจากเข้าเฝ้าพระราชา ถามภรรยาว่า ฉันหิว เธอมีอะไรกินบ้างไหม ภรรยาบอกว่ามีข้าวสารอีกทะนานหนึ่งฝังดินไว้ ถ้าหุงข้าวสวยก็จะพอกินมื้อเดียว แต่ถ้าหุงเป็นข้าวต้มจะพอกิน ๒ มื้อ ท่านจะให้หุงข้าวแบบไหน
เศรษฐีบอกว่า หุงข้าวแบบไหนสุดท้ายพวกเราก็ต้องอดตายกันอยู่ดี เธอจงหุงเป็นข้าวสวยก็แล้วกัน ภรรยาเศรษฐีจึงหุงข้าวสวยแล้วแบ่งเป็น ๕ ส่วน สำหรับ ๕ คน คดข้าวสวยส่วนหนึ่งมาให้เศรษฐี

ถวายภัตพระปัจเจกพุทธเจ้า
ขณะนั้น พระปัจเจกพุทธเจ้าออกจากสมาบัติ พิจารณาด้วยทิพพจักษุญาณว่าเศรษฐีและบริวารเป็นผู้ควรสงเคราะห์ และพวกเขาถึงพร้อมด้วยความศรัทธา พระปัจเจกพุทธเจ้าจึงถือบาตรมาจากภูเขาคันธมาทน์ ไปแสดงตนยืนอยู่ที่ประตู เรือนเศรษฐี
เศรษฐีเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้ายืนอยู่หน้าประตูเรือนก็มีจิตเลื่อมใส คิดว่าเราประสบฉาตกภัยอดอยากปานนี้เพราะเราไม่ให้ทานในกาลก่อน อาหารมื้อนี้ถ้าเรากินก็มีประโยชน์แค่อิ่มมื้อเดียว แต่ถ้าเราถวายทานแก่พระผู้เป็นเจ้าก็จะมีประโยชน์เกื้อกูลแก่เราหลายโกฏิกัป คิดแล้วจึงนิมนต์ให้พระปัจเจกพุทธเจ้าเข้ามาในเรือน
เศรษฐีนำข้าวสวยของตนใส่บาตรพระปัจเจกพุทธเจ้า เมื่อตักข้าวใส่บาตรได้ครึ่งหนึ่ง พระปัจเจกพุทธเจ้าก็เอามือปิดบาตรแสดงท่าว่าพอแล้ว เศรษฐีจึงกล่าวว่า “ท่านผู้เจริญ ข้าวสุกทั้งหมดนี้ไม่อาจแบ่งเป็น ๒ ส่วนได้ ขอท่านจงสงเคราะห์ให้ข้าพเจ้าได้ถวายโดยไม่ให้มีส่วนเหลือด้วยเถิด”

เมื่อเศรษฐีใส่บาตรด้วยข้าวสวยทั้งหมดแล้ว เขาได้ตั้งความปรารถนาว่า
“ด้วยอานิสงส์แห่งการถวายข้าวสวยนี้ ขออย่าให้ข้าพเจ้าต้องประสบกับความอดอยากอีกเลยในทุกชาติที่เกิดมา และเมื่อใดที่ข้าพเจ้านั่งอยู่ที่ประตูฉางและแลดูเบื้องบนเท่านั้น ขอให้ฉางข้าวที่ว่างเปล่าของข้าพเจ้าจงเต็มไปด้วยข้าวสาลีแดงเพียงพอแจกชาวชมพูทวีปได้ทั้งสิ้น และขอให้ข้าพเจ้าได้อยู่ร่วมกับคนเหล่านี้ในทุกชาติที่เกิดมา ขอให้ภรรยาผู้นี้เป็นภรรยา ให้บุตรผู้นี้เป็นบุตร ให้สะใภ้ผู้นี้เป็นสะใภ้ และให้ทาสผู้นี้มาเป็นทาส ด้วยเถิด”

ฝ่ายภรรยาของเศรษฐีเห็นสามีถวายข้าวสวยจนหมด จึงได้นำส่วนของตนถวายแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าบ้าง แล้วตั้งความปรารถนาว่า
“ด้วยอานิสงส์แห่งการถวายข้าวสวยนี้ ขออย่าให้ดิฉันต้องประสบกับความอดอยากอีกเลยในทุกชาติที่เกิดมา และเมื่อใดที่ดิฉันแจกจ่ายภัตแก่ชาวชมพูทวีปอยู่ หากดิฉันยังไม่ลุกจากที่แจกภัตเพียงใดขอให้ภัตนั้นจงบริบูรณ์อยู่อย่างเดิมเพียงนั้น และขอให้ดิฉันได้อยู่ร่วมกับคนเหล่านี้ในทุกชาติที่เกิดมา ขอให้สามีผู้นี้เป็นสามี ให้บุตรผู้นี้เป็นบุตร ให้สะใภ้ผู้นี้เป็นสะใภ้ และให้ทาสผู้นี้มาเป็นทาส ด้วยเถิด”

ฝ่ายบุตรเศรษฐีเห็นบิดามารดาถวายข้าวสวยแล้ว จึงได้นำส่วนของตนถวายแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าบ้าง แล้วตั้งความปรารถนาว่า
“ด้วยอานิสงส์แห่งการถวายข้าวสวยนี้ ขออย่าให้ข้าพเจ้าต้องประสบกับความอดอยากอีกเลยในทุกชาติที่เกิดมา ขอให้ข้าพเจ้ามีทรัพย์แจกจ่ายแก่ชาวชมพูทวีปทั้งสิ้น เมื่อใดที่ข้าพเจ้าถือถุงกหาปณะพันหนึ่งแจกจ่ายไป ขอให้ถุงนั้นยังเต็มไปด้วยกหาปณะอยู่อย่างเดิม และขอให้ข้าพเจ้าได้อยู่ร่วมกับคนเหล่านี้ในทุกชาติที่เกิดมา ขอให้บิดาผู้นี้เป็นบิดา ให้มารดาผู้นี้เป็นมารดา ให้ภริยาผู้นี้เป็นภริยา และให้ทาสผู้นี้มาเป็นทาส ด้วยเถิด”

ฝ่ายลูกสะใภ้เศรษฐีก็นำข้าวสวยส่วนของตน ถวายแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าเช่นเดียวกัน แล้วตั้งความปรารถนาว่า
“ด้วยอานิสงส์แห่งการถวายข้าวสวยนี้ ขออย่าให้ดิฉันต้องประสบกับความอดอยากอีกเลยในทุกชาติที่เกิดมา ขอให้ดิฉันมีข้าวเปลือกแจกจ่ายแก่ชาวชมพูทวีปทั้งสิ้น เมื่อใดที่ดิฉันตั้งกระบุงแจกข้าวเปลือกอยู่ ขอให้ข้าวเปลือกนั้นยังเต็มกระบุงอยู่เสมอ และขอให้ดิฉันได้อยู่ร่วมกับคนเหล่านี้ในทุกชาติที่เกิดมา ขอให้พ่อผัวผู้นี้เป็นพ่อผัว ให้แม่ผัวผู้นี้เป็นแม่ผัว ให้สามีผู้นี้เป็นสามี และให้ทาสผู้นี้มาเป็นทาส ด้วยเถิด”

แม้นายปุณณะผู้เป็นทาสก็ถวายข้าวสวย แล้วตั้งความปรารถนาว่า
"ด้วยอานิสงส์แห่งการถวายข้าวสวยนี้ ขออย่าให้ข้าพเจ้าต้องประสบกับความอดอยากอีกเลยในทุกชาติที่เกิดมา ขอให้ได้คนใจบุญทั้งหลายเหล่านี้เป็นนาย และเมื่อใดที่ข้าพเจ้าไถนาอยู่ ขอให้รอยไถปรากฏเป็น ๗ รอย ขนาดเท่าเรือโกลน ตรงกลาง ๑ รอย ด้านซ้าย ๓ รอย และด้านขวา ๓ รอย ด้วยเถิด”
พระปัจเจกพุทธเจ้าฟังคำปรารถนาของคนเหล่านั้นแล้ว จึงกล่าวอนุโมทนาว่า “จงเป็นอย่างนั้นเถิด” แล้วเหาะกลับภูเขาคันธมาทน์ นำภัตที่บิณฑบาตได้ไปแบ่งให้พระปัจเจกพุทธเจ้าอื่นอีก ๕๐๐ องค์ ด้วยอานุภาพของพระปัจเจกพุทธเจ้า ภัตนั้นก็เพียงพอแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหมด โดยเศรษฐีและบริวารมองเห็นอาการของพระปัจเจกพุทธเจ้านั้นโดยตลอด

รอดตายจากฉาตกภัย
เมื่อถวายทานเสร็จแล้ว ภรรยาเศรษฐีได้ล้างหม้อข้าวแล้วปิดไว้ ส่วนเศรษฐีนอนหลับไป ครั้นตื่นขึ้นเวลาเย็นเศรษฐีรู้สึกหิวมากบอกภรรยาว่า ฉันหิวเหลือเกิน มีข้าวตังก้นหม้อบ้างไหม
ภรรยารู้ว่าข้าวตังก้นหม้อไม่มีแล้วเพราะเป็นผู้ล้างหม้อด้วยตนเอง เธอไม่ตอบแต่ลุกขึ้นไปหยิบหม้อมาจะเปิดให้สามีดูด้วยตาตัวเอง แต่เมื่อเปิดฝาหม้อปรากฏว่ามีข้าวสวยอยู่เต็มหม้อ สีสวยดังดอกมะลิตูม ทั้งหมดจึงได้บริโภคข้าวสวยนั้น และไม่ว่าจะบริโภคไปมากมายเท่าไร ข้าสวยในหม้อนั้นก็ไม่พร่อง มีรอยเหมือนตักออกเพียงทัพพีเดียวเท่านั้น
และในวันเดียวกันนั้น ฉางที่ว่างเปล่าก็กลับเต็มไปด้วยข้าว เศรษฐีจึงให้ป่าวประกาศว่าใครต้องการข้าวเปลือกก็ให้มารับที่เรือนเศรษฐี ครั้งนั้นชาวชมพูทวีปจึงพ้นจากฉาตกภัยด้วยอาศัยเศรษฐีนั้นเอง
เศรษฐีทำบุญให้ทานแล้ว เมื่อทำกาละก็ไปบังเกิดในเทวโลก



ก็จบประวัติในอดีตชาติครับ ผลบุญทั้งหลายนั้นนำพาให้เศรษฐีมาเกิดเป็นมหาเศรษฐีในชาติต่อๆ มาครับ โดยเฉพาะตอนหน้ามาเกิดเป็นเมณฑกเศรษฐี




Create Date : 31 สิงหาคม 2553
Last Update : 31 สิงหาคม 2553 15:32:43 น. 0 comments
Counter : 1648 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Siri_waT_bkk
Location :
นนทบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




บางครั้ง เธอเข้าใจไหม
ว่าทำไม จิตใจต้องเพ้อฝัน
ฝันมีสุขร่วมกัน ฝันมีส่วนผูกพัน
สิ่งเหล่านั้น ฉันเองเข้าใจ

   ความหมาย คงคลี่คลายโดยง่ายดาย
   หากได้ระบาย ออกมาให้เธอฟัง
   ก็เพราะเธอเป็นต้นเหตุ ก็เพราะเธอนั้นพิเศษ
   เกินกว่าฉัน จะควบคุมใจ

ยามใดเธอมีทุกข์ อยากหยุดโลกกลับไปช่วยเธอ
ใจมันคอยเสนอ ไม่เคยคิดห่วงใคร
ต่อให้ไกลจะไกลแค่ไหน ก็จะไปยกหัวใจให้
เพียงแต่ตอบรับ หากเธอยอมรับ กับฉัน

   ว่าเธอนั้น มันก็เป็นเหมือนกัน
   ส่วนฉันยืนยัน ประกันได้เลยเธอ
   ไม่ใช่เรื่องหนักใจ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่
   เพียงแค่สามคำ ฉันรักเธอ...

   
    [เพลงจาก http://www.fileden.com]


[ stat since Sep24, 2009 ]
Friends' blogs
[Add Siri_waT_bkk's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.