ท่านทั้งหลายจงดูดาบสผู้มีตบะอันรุ่งเรืองนี้
ดาบสนี้กระทำความปรารถนายิ่งใหญ่เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า
ความปรารถนาของเขาจักสำเร็จ ในที่สุดแห่งสี่อสงไขยกับเศษแสนกัปนับแต่นี้

... บล็อคง่ายๆ ของนายอังคาร ...

Group Blog
 
 
สิงหาคม 2553
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
24 สิงหาคม 2553
 
All Blogs
 
๑๖ แคว้นชมพูทวีป

คราวก่อนเคยเล่าพาดพิงเรื่องของชฎิลเศรษฐีเอาไว้ เลยคิดว่าเอาเรื่องของมหาเศรษฐีในชมพูทวีปครั้งพุทธกาลมาเล่าสู่กันฟังดีกว่า พวกนี้มีประวัติน่าสนใจทั้งนั้น รู้ไว้จะได้ทำบุญตามอย่างจะได้เป็นเศรษฐีกับเขาบ้าง และรู้ไว้ว่าอย่าได้ทำบาปตามอย่าง จะได้ไม่มีจุดจบเหมือนมหาเศรษฐีบางคน

ก่อนอื่นต้องวาดภาพของชมพูทวีปในครั้งพุทธกาลกันก่อนจะได้รู้ว่าเศรษฐีที่เล่าถึงแต่ละคนเขาอยู่กันตรงไหน
ถ้าพูดถึงชมพูทวีป ในพระไตรปิฎกที่ว่ากันถึงเรื่องกำเนิดโลกและจักรวาล (ถ้าจำไม่ผิดคงอยู่ในอรรถกถาอัคคัญสูตร) กล่าวถึงทวีปใหญ่ทั้งสี่ คือ อุตรกุรุทวีป บุพวิเทหทวีป ชมพูทวีป และอปรโคยานทวีป ซึ่งเป็นดินแดนกว้างใหญ่อยู่ในมหานทีสีทันดร ระหว่างภูเขาอัสสกรรณกับภูเขาจักรวาล และอยู่ในทิศทั้งสี่ของภูเขาสิเนรุซึ่งเป็นแกนกลางจักรวาล โดยมีชมพูทวีปอยู่ทางทิศใต้ ที่ชื่อว่าชมพูทวีปเพราะมีต้นไม้ใหญ่ประจำทวีปชื่อว่าต้นชมพูหรือต้นหว้า
หรือจะเรียกกันให้ง่ายเข้า ชมพูทวีปก็หมายถึงโลกทั้งใบที่เราอาศัยอยู่นี้เอง

กับอีกความหมายหนึ่งของชมพูทวีปนั้น หมายถึง ดินแดนต้นกำเนิดของพุทธศาสนาในครั้งพุทธกาล ซึ่งจากหลักฐานทางโบราณคดีที่ฝรั่งเขาสรุปเมื่อประมาณ ๒๐๐ ปีก่อน สรุปว่าชมพูทวีปคือดินแดนที่ปัจจุบันเป็นประเทศอินเดียและเนปาล ขณะที่ความเชื่อของชาวไทยโบราณและตำนานพื้นบ้านจำนวนมากสื่อความหมายว่าคือดินแดนในประเทศไทยนี้เอง

ชมพูทวีปในครั้งพุทธกาลนั้นไม่ค่อยมีความเจริญมากนัก เป็นถิ่นที่อยู่ของชนชาติ มิลักขะ ต่อมาได้มีชนชาติ อริยกะ จากดินแดนตอนเหนือเข้ามาแย่งชิงพื้นที่และขับไล่พวกมิลักขะเจ้าถิ่นเดิมให้ถอยร่นลงไปทางใต้ ชนชาติอริยกะนี้เป็นชนชาติฉลาดมีปัญญา หลังจากเข้ายึดครองพื้นที่ชมพูทวีปได้แล้วจึงสร้างบ้านแปลงเมืองให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นเป็นลำดับ
ชมพูทวีปมีเมืองและแว่นแคว้นจำนวนมาก เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และล่มสลายไป เป็นอนิจลักษณะ เมืองใดมีผู้นำเข้มแข็ง เมืองนั้นก็จะเจริญรุ่งเรืองและกลายเป็นศูนย์กลางของแคว้น ส่วนเมืองใดผู้นำไม่เข้มแข็ง เมืองนั้นก็เป็นเพียงเมืองเล็กๆ ไม่มีความเจริญ และอยู่ภายใต้การปกครองของเมืองอื่น บางเมืองก็เล็กเป็นเพียงแค่คามหรือนิคม
ชมพูทวีปจึงแบ่งได้เป็น ๒ เขตใหญ่ คือ เขตที่มีความเจริญมาก เรียกว่า มัชฌิมชนบท ส่วนใหญ่อยู่ตอนกลางของทวีป และเขตที่เป็นเมืองเล็กเมืองน้อยหรือเขตป่าเขา เรียกว่า ปัจจันตชนบท ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ห่างไกลอยู่รอบนอกของชมพูทวีป

ถึงตรงนี้ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า ในครั้งพุทธกาลนั้นเขาเรียกดินแดนไม่ค่อยเหมือนปัจจุบัน พื้นที่ใหญ่ๆ เขาจะเรียกเป็นแคว้น ปัจุบันเทียบเท่ากับประเทศ รองจากแคว้นเรียกว่าชนบท เทียบกับปัจจุบันก็ราวๆ จังหวัดหรือเล็กกว่า เล็กลงจากชนบทจะเรียกว่าประเทศ ซึ่งคงเทียบเท่ากับอำเภอหนึ่งหรือตำบลหนึ่ง และเล็กลงไปอีกจะเรียกว่า คาม นิคม บ้าน ซึ่งก็คือหมู่บ้านนั่นเอง

ชมพูทวีปในครั้งพุทธกาลไม่มีการแบ่งแยกดินแดนที่ชัดเจนนัก จำนวนแคว้นบางทีก็นับจำนวนไม่ตรงกัน เพราะบางแคว้นก็ก้ำกึ่งว่าจะเป็นแคว้นหรือเป็นเพียงเมืองขึ้น แต่หากยึดตามที่กล่าวไว้ในอุโปสถสูตรจะสรุปได้ว่ามี ๑๖ แคว้น คือ
๑. แคว้นคันธาระ เมืองหลวงชื่อ ตักศิลา
๒. แคว้นกัมโพชะ เมืองหลวงชื่อ ทวารกะ
๓. แคว้นมัจฉะ เมืองหลวงชื่อ วิราฏะ
๔. แคว้นกุรุ เมืองหลวงชื่อ อินทปัตถ์
๕. แคว้นสุรเสนะ เมืองหลวงชื่อ มถุรา
๖. แคว้นอวันตี เมืองหลวงชื่อ อุชเชนี
๗. แคว้นปัญจาละ เมืองหลวงชื่อ กัมปิลละ
๘. แคว้นวังสะ เมืองหลวงชื่อ โกสัมพี
๙. แคว้นเจตี เมืองหลวงชื่อ โสตถิวดี
๑๐. แคว้นโกศล เมืองหลวงชื่อ สาวัตถี
๑๑. แคว้นกาสี เมืองหลวงชื่อ พาราณสี
๑๒. แคว้นมัลละ เมืองหลวงชื่อ ปาวา และกุสินารา
๑๓. แคว้นมคธ เมืองหลวงชื่อ ราชคฤห์
๑๔. แคว้นวัชชี เมืองหลวงชื่อ เวสาลี
๑๕. แคว้นอังคะ เมืองหลวงชื่อ จัมปา
๑๖. แคว้นอัสสกะ เมืองหลวงชื่อ โปตลิ

ในพระสูตรอื่นๆ มีการเรียกดินแดนอื่นว่าเป็นแคว้นอีก ๕ แคว้น คือ
๑. แคว้นสักกะ เมืองหลวงชื่อ กบิลพัสดุ์
๒. แคว้นโกลิยะ เมืองหลวงชื่อ เทวทหะ หรือรามคาม
๓. แคว้นภัคคะ เมืองหลวงชื่อ สุงสุมารคีระ
๔. แคว้นวิเทหะ เมืองหลวงชื่อ มิถิลา
๕. แคว้นอังคุตตราปะ เมืองหลวงเป็นเพียงนิคมชื่ออาปณะ
แต่ ๕ แคว้นนี้มีพื้นที่เล็กๆ หลายที่เรียกว่าเป็นชนบทเท่านั้น อย่างแคว้นสักกะกับแคว้นโกลิยะนั้นส่วนใหญ่จะเรียกว่าสักกชนบท และโกลิยชนบท ซึ่งเข้าใจว่าน่าจะเป็นชนบทเล็กๆ อาจจะใหญ่ราวๆ อำเภอเดียวเท่านั้น (มั้ง) ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมาย เพราะพิจารณาจากที่พระกุมารต่างเมืองมาเล่นกันได้ง่ายๆ ก็น่าจะเป็นเมืองที่เล็กมากจนเดินทางไปมาหากันง่ายๆ มากกว่าจะเป็นเมืองใหญ่ นอกจากนี้ในบางพระสูตรยังตอกย้ำไว้ด้วยว่าเป็นเมืองขึ้นของแคว้นโกศลอีกด้วย

เมื่อพูดถึงความใหญ่ ความมีอำนาจ ความร่ำรวย ของแคว้นทั้งหมด ก็ต้องยกให้แคว้นมคธมาลำดับแรก แคว้นนี้ใหญ่มาก ลำพังมคธเองก็มีพื้นที่มากที่สุดอยู่แล้ว แถมยังมีกาสีกับอังคะเป็นเมืองขึ้นเข้าอีก แคว้นมคธจึงกลายเป็นมหาแคว้น ใหญ่มากๆ มีอำนาจมากๆ และมีมหาเศรษฐีจำนวนมาก มหาเศรษฐีในแคว้นมคธ ได้แก่ โชติยะ ชฏิละ เมณฑกะ ปุณณกะ และกากวัลลิยะ และในแคว้นอังคะมีมหาเศรษฐี ได้แก่ เมณฑกเศรษฐี ภรรยาชื่อจันทปทุมา บุตรชายคนโตชื่อธนญชัย บุตรสะใภ้ชื่อสุมนาเทวี และคนใช้ชื่อปุณณะ พวกนี้ทุกคนเป็นมหาเศรษฐีกันทั้งหมด แคว้นอื่นๆ ที่ร่ำรวยแต่น้อยกว่ามคธก็คือแคว้นโกศล วังสะ อวันตี คันธาระ ซึ่งปรากฏชื่อมหาเศรษฐีอีกหลายคน ได้แก่ อนาถบิณฑิกเศรษฐี นางวิสาขา โฆสกะ เป็นต้น ส่วนแคว้นอื่นๆ ก็คงจะมีมหาเศรษฐีอยู่บ้างแต่ไม่มีกล่าวถึงชัดเจน

แล้วรวยแค่ไหนจึงจะเรียกว่ามหาเศรษฐี
ชมพูทวีปในครั้งพุทธกาลชาวบ้านทั่วไปเขาใช้เงินตราเป็นมาสก ๒๐ มาสกเป็น ๑ กหาปณะ ซึ่งบางคนไปตีความว่า ๑ กหาปณะนี่แหละคือ ๑ บาท แต่จริงๆ ไม่ใช่ เพราะ ๑ บาทของเราตอนนี้มีค่าน้อยกว่า ๑ มาสกเสียอีก และมีค่าน้อยกว่ามากเสียด้วย เพราะในสมัยนั้นเขาซื้อขายลูกวัวกันตัวละ ๑ กหาปณะ ส่วนแม่วัวตัวละ ๒ กหาปณะ เดี๋ยวนี้แม่วัวผอมๆ ตัวละ ๒-๓ หมื่นบาท ดังนั้น ๑ กหาปณะก็น่าจะไม่น้อยกว่า ๑ หมื่นบาท และ ๑ มาสกสมัยนั้นก็น่าจะมีค่าราวๆ ๕๐๐ บาทในสมัยนี้เลยทีเดียว
คำว่ามหาเศรษฐีนั้นเขาจะใช้เรียกคนที่มีทรัพย์มากเกิน ๔๐ โกฏิกหาปณะ เทียบกับปัจจุบันตามประมาณการข้างต้นก็น่าจะราวๆ ๒ แสนล้านบาท
โอ..แม่เจ้า ถ้าผมรวยขนาดนี้จะสร้างวัดให้ใหญ่กว่าวัดธรรมกายให้ครบทุกภาคเลย
๔๐ โกฏินี่เป็นเกณฑ์สำหรับเศรษฐีที่ชนชั้นแพศย์นะครับ ชนชั้นนี้เศรษฐีเขาเรียกว่าคฤหบดีมหาศาล ถ้าชนชั้นพราหมณ์นี่ต้องมีมากกว่า ๘๐ โกฏิกหาปณะจึงจะเรียกว่ามหาเศรษฐี เรียกว่าเป็นพราหมณ์มหาศาล ส่วนชนชั้นกษัตริย์ต้องว่ากันระดับ ๑๐๐ โกฏิขึ้นไปโน่นทีเดียว

รู้กันแล้วว่ามีเงินเท่านี้จึงจะเรียกมหาเศรษฐี ตอนหน้ามาดูกันว่ามหาเศรษฐีแห่งชมพูทวีปแต่ละท่านมีลีลาชีวิตอย่างไรกันบ้าง





Create Date : 24 สิงหาคม 2553
Last Update : 24 สิงหาคม 2553 18:24:31 น. 5 comments
Counter : 5910 Pageviews.

 


โดย: หาแฟนตัวเป็นเกลียว วันที่: 24 สิงหาคม 2553 เวลา:8:50:50 น.  

 
..สวัสดีจ้า..ขอบคุณที่เข้าไปเยี่ยมบล๊อกนะจ๊ะ..


โดย: ก้นกะลา วันที่: 24 สิงหาคม 2553 เวลา:20:49:40 น.  

 
คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...


เช้าวันพุธสวัสดี
ขอบคุณที่แวะไปทักทายกันนะค่ะ


โดย: ดอกฝิ่นในสายลมหนาว วันที่: 25 สิงหาคม 2553 เวลา:6:57:23 น.  

 
ขอบคุณสำหรับความรู้ดีๆค่ะ ^^


โดย: PriCHgi วันที่: 25 สิงหาคม 2553 เวลา:8:06:31 น.  

 
คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...
คุณอังคารสบายดีนะคะ ขอบคุณที่แวะไปทักทายกันนะคะ


โดย: เกศสุริยง วันที่: 25 สิงหาคม 2553 เวลา:8:46:03 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Siri_waT_bkk
Location :
นนทบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




บางครั้ง เธอเข้าใจไหม
ว่าทำไม จิตใจต้องเพ้อฝัน
ฝันมีสุขร่วมกัน ฝันมีส่วนผูกพัน
สิ่งเหล่านั้น ฉันเองเข้าใจ

   ความหมาย คงคลี่คลายโดยง่ายดาย
   หากได้ระบาย ออกมาให้เธอฟัง
   ก็เพราะเธอเป็นต้นเหตุ ก็เพราะเธอนั้นพิเศษ
   เกินกว่าฉัน จะควบคุมใจ

ยามใดเธอมีทุกข์ อยากหยุดโลกกลับไปช่วยเธอ
ใจมันคอยเสนอ ไม่เคยคิดห่วงใคร
ต่อให้ไกลจะไกลแค่ไหน ก็จะไปยกหัวใจให้
เพียงแต่ตอบรับ หากเธอยอมรับ กับฉัน

   ว่าเธอนั้น มันก็เป็นเหมือนกัน
   ส่วนฉันยืนยัน ประกันได้เลยเธอ
   ไม่ใช่เรื่องหนักใจ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่
   เพียงแค่สามคำ ฉันรักเธอ...

   
    [เพลงจาก http://www.fileden.com]


[ stat since Sep24, 2009 ]
Friends' blogs
[Add Siri_waT_bkk's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.