|
| 1 | 2 | 3 | 4 |
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
---เราใช้เวลาเรียนในชีวิตไปกี่ปีแล้วเนี่ยยย---
ตอนนี้ที่เมืองจีนเที่ยงคืนกว่าหละ
สถานภาพ คาดว่าจะตาอักเสบ กระพริบแล้วมันเจ็บ น่าเสียดายที่ไม่ได้เป็นตากุ้งยิ่งเพราะแอบดูใครอาบน้ำ
อากาศเย็นจนไม่อยากอาบน้ำ ..แต่ก็ต้องอาบเมื่อนึกถึงกลิ่นตัวคนจีน (เรื่องตลกคือ บางสัปดาห์เราเห็นเพื่อนใส่เสื้อตัวเดิม ตลอดอาทิตย์ แม่เจ้า เราจำได้เพราะมันเป็นชุดแสก สีเดิม ลายเดิมและรองเท้าคู่เดิม คาดว่าเจ้าของชุดคงใส่ชุดนี้นอนด้วยรึเปล่า...ก็ไม่รู้...บรึ๋ย)
โห เรื่องกลิ่นปาก กลิ่นตัว และขนรักแร้ขาวเฟื้อยของหญิงสาวจีนเนี่ย มีเรื่องต้องเม้าท์อีกมากมาย
คือจริงๆ พรุ่งนี้ก็มีนัดกลุ่มนทำรายงานหละ ดองได้ เพราะเรารู้วิธีจัดการ อิอิ
ที่ยังไม่ไปนอนไม่ไปอาบน้ำ เพราะเมื่อคืนก็นั่งคิดเรื่องนี้หละ
เมื่อวาน มีเรียนวิชาภาษาจีน ซึ่งค่อนข้างน่าเบื่อเพราะเนื้อหาเหล่านั้นเราจำได้แล้ว เพียงแต่อ่านกับเขียนยังไม่เก่งเท่าไหร่ เพื่อนทั้งห้องเป็นรัสเซียเลยแอบเรียนภาษารัสเซียกับเพื่อนแทน 555 แล้วตอนนึงของหนึงสือ พูดถึงการเรียน ซึ่งที่จีนกับไทย..เหมือนกันเลยแฮะ
เอามาเล่า กรณีที่เรียนอย่างเดียว ตามเกณท์หมด เหมือนเอามะพร้าวห้าวมาขายสวน ก็อย่าว่ากันนะ
เราเริ่มเรียน อนุบาล ตอนอายุ 5 ปี เรียน 2 ปี ประถม ตอนอายุ 7 ปีเรียน 6 ปี มัธยม ตอนอายุ 12 ปีเรียน 6 ปี ปริญญาตรี ตอนอายุ 18 ปีเรียน 4ปี ปริญญาโท ตอนอายุ 22 ปีเรียน 3ปี ปริญญาเอก ตอนอายุ 25 ปีเรียน 3ปี เราทำงาน ตอนอายุ 28 ปี เป็นอาจารย์ สอนที่มหาวิทยาลัยเดิมอีก
แปลว่า ชีวิตของคนคนหนึ่งหากจะเรียนถึงระดับสูงสุดของการศึกษาในโลกนี้ต้องใช้เวลาเรียนอย่างสั้นที่สุดถึง24ปี
โอ้โห้ เห็นตัวเลขแล้วก็อึ้งเหมือนกันนะไม่คิดว่าคนคนหนึ่งต้องเรียนมากขนาดนี้
เลิกเรียนแล้วคนในห้องเรียนจีนวันนั้น อาจไม่คิดต่อเหมือนเรา
พอเลิกเรียนเราก็วุ่นวายเรื่องเน็ตแหละ เพราะว่าก็ยังห่วย มีช่างมาทำให้สองชั่วโมงกว่าคาดว่าจะดีขึ้นนะ วันนี้ถึงได้มาอัพ เพราะคิดว่าเรื่องนี้สำคัญ
วันนี้ เราก็มาคิดว่า ถ้าหากเราเรียนอย่างเดียว ก็คงเหมือนมนุษย์หนังสือ
มองในมุมของเรามองคนพวกนี้ ถ้าเราเอาโมเดลนี้ใส่อาจารย์สักคน เราก็จะเข้าใจเค้าว่า เวลาเราเรียนกับคนพวกนี้ มันช่างน่าเบื่อจริงๆ เพราะว่ามันจืดๆๆชืดๆๆๆ ยังไงไม่รู้ เหมือนกับว่า เราอ่านเองก็ได้ มาบ่นอะไรหน้าห้องเนี่ย อาจารย์
ถ้ามองในมุมของคนในสังคม อาจจะมองว่า โห เก่งจังเรียนจบตั้งด็อกเตอร์ โดยหารู้ไม่ว่า ด็อกเตอร์คนนั้นอาจจะไม่เก่งเลยในทักษะสังคม ใบกระดาษที่แปะข้างฝา อาจไม่ได้บ่งบอกสถานะทางอีคิวของเขาเลยก็เป็นได้
ถ้ามองในมุมของคนที่รับสมัครงาน--ที่ไม่ใช่งานอาจารย์นะ ฝ่ายบุคคลก็อาจจะไม่รับ เพราะว่าเค้าเก่งเกินความต้องการ ไม่มีงานบัญชีใช้แรงงานเค้ารับด็อกเตอร์มาลงหรอก เพราะอัตราเงินเดือนค่อนข้างสูง เมือเทียบกับวุฒิอื่น
และยิ่งถ้าไม่มีประสบการณ์ทำงานนะยิ่งหนักเลย เพราะว่า อาจจะมองว่าอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมไม่ได้
เพราะเราก็เห็นจริงว่า คนเหล่านั้นเก่งจนทำงานได้แค่ส่วนตัวคนเดียว
เป็นเราคงเหงาแย่
แล้วถ้ามองตัวเค้าหละ เค้าอาจจะยิ่งเครียดหนัก เพราะว่า ชีวิตในด้านการเรียน มันเต็มแล้ว เหลือก็แต่ทำงานวิจัย เป็นที่ปรึกษาหรืออะไรประมาณนั้น ซึ่งเค้าชอบ ถนัด อยากทำ รึเปล่า ก็ไม่รู้ แล้วถ้าเรื่องสังคมอื่นๆ คือ ต้องมองว่า คนที่เรียนได้ถึงด็อกเตอร์(ที่ไม่ใช่ด็อกเตอร์ห้องแถวนะ)เค้าต้องเก่งมากและอึดอดทนมากนะ ขนาดเราเรียนโทยังแฮกๆๆเลย เค้าต้องย่อมภาคภูมิใจ มั่นใจ และบางทีกลายเป็นอีโก้ได้อีกแนะ
แล้วถ้าเค้าดันไม่ประสบความสำเร็จในด้านอื่นๆหละ--มันจะเป็นปรากฎการณ์ช็อก นะ เพราะว่าเค้าไม่เคยล้มเหลว หรือผิดหวังขนาดนั้น
อันนี้เคยอ่านเจอในหนังสือของ นพ.ดร.วิทยา นาควัชระ เค้าบอกว่า คนพวกนี้ชีวิตเค้ามีครบพร้อมนะ แต่ว่าพอเจอเรื่องที่ไมได้อย่างที่คาดหวังก็จะผิดหวังอย่างหนัก ต้องมาปรึกษาจิตแพทย์ วิธีแก้คือ ลดความคาดหวังลง คิดซะว่าเราก็เป็นคน คนหนึ่ง มีชีวิต มีถูก มีผิด มีสมหวังและผิดหวังเป็นเรื่องธรรมดา ก็ให้มองตัวเองในมุมของคนอื่นบ้าง หรือทำกิจกรรมเพื่อคนอื่นบ้าง แล้วจะสบายใจขึ้น
เหมือนคนขี่จักรยาน หรือขับรถครั้งแรก ย่อมกลัว หวาดระแวง แต่พอได้ออกถนนบ่อยๆ รู้ทาง รู้รถ รู้คน และรู้หมาแมวแล้ว อะไรๆ ก็ง่ายกว่าครั้งแรกมาก
บ่นมาซะยาว แค่จะบอกว่าดีใจที่ชีวิตได้เจอความผิดหวัง ล้มเหลว และความกดดันอย่างมากมาแล้ว ตลอดเส้นทางนั้นก็ต้องขอบคุณป๊ากับม๊า เป็นกำลังใจและให้คำปรึกษาตลอด แม้จะไม่ได้อยู่ใกล้กัน ป๊ากับม๊าก็พยายามติดต่อและมีคนแซวว่าเลี้ยงเราโตทางโทรศัพท์ เฮ่ออ++ตอนนี้มาโตทางเน็ตแทน
ยิ่งตอนนี้ไม่ได้เจอนะยิ่งคิดถึงเลย และพอมาไกลบ้านนะ ยิ่งทำให้เรารู้ว่า บ้านเราหละอบอุ่นที่สุดแล้ว
ตอนนี้นะ ถึงแม้เราก็ไม่รู้ว่าทางข้างหน้าต้องเจอปัญหาและอุปสรรคอีก แต่ก็ไม่กลัวแล้วเพราะคิดว่าเป็นกำไรชีวิตที่คุ้มค่าและฝึกให้เรามีสติและมีความสุขกับทุกๆวัน
และขอให้เพื่อนๆมีความสุขกับทุกๆวันนะคะ รักพ่อกับแม่ให้มากๆนะ
จะตีหนึ่งละ
สถานะ กำลังจะไปอาบน้ำ และท้องร้อง..ทำไมฟะเนี่ย
Create Date : 18 ตุลาคม 2551 |
Last Update : 18 ตุลาคม 2551 23:47:55 น. |
|
4 comments
|
Counter : 119 Pageviews. |
|
|
|
โดย: CrackyDong วันที่: 19 ตุลาคม 2551 เวลา:1:23:46 น. |
|
|
|
โดย: ชะเอมหวาน วันที่: 19 ตุลาคม 2551 เวลา:16:14:21 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
Dalian(China),Guildford(UK),กทม.,สกลนคร United Kingdom
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]
|
Edutainment International Business Bossa Nova& Easy Listening
ถ้าถามอะไรในนี้ไม่ได้ตอบ กรุณาส่งไปทางเฟซบุ๊คเลยนะคะ ไม่ค่อยได้เช็คบล็อกค่ะ ขอบคุณค่ะ
ยินดีต้อนรับ ณ บ้านชะเอมหวานค่ะ ขอบคุณที่มาเยี่ยมเยียนกันเสมอนะคะ จขบ.เป็นอาจารย์เล็กๆค่ะ ฟรีแลนซ์ พิธีกรงานแต่งงาน สะสมโปสการ์ดค่ะ ฟังเพลงสบายๆ ชอบแต่งหน้าแต่งตัว แต่งกลอน ขีดๆเขียนๆ ท่องเที่ยว ก็เป็นกำลังใจให้กันด้วยค่ะ จุ๊บๆ
|
บ้านนี้จขบ.ต้องการสร้างสรรค์ให้เบา สบายๆค่ะ เอนทรี่เก่าๆเกี่ยวกับอาหารและการท่องเที่ยวจะย้ายบ้านไปที่
Amiley lala(ท่องเที่ยวและอาหาร)
POSTCARD & International Business
ถ้าจะโหวตขอหมวดการศึกษา
และหมวดดนตรีค่ะ
ขอบคุณมากค่ะ credit:::: photo by พี่เป็ดสวรรค์) Head blog กับของตกแต่งจาก
pk12th และ
คุณกุ้ง Kungguenter
|
|
|
|
|
|
|
|