บทความ...ว่าด้วยเรื่องของภาพยนตร์สยองขวัญ

ต้นกำเนิด “วาเลนไทน์หวีด”

     


 


My Bloody Valentine เป็นภาพยนตร์แนวเชือดสยอง (Slasher Film) ที่ถูกสร้างขึ้นมาก่อนหน้านี้ครั้งหนึ่งในปี 1981 ซึ่งถือว่าเป็นยุคทองของภาพยนตร์ประเภทนี้ โดยมันถูกสร้างกันอย่างแพร่หลาย ซึ่งมันก็ทำให้เกิดภาพยนตร์ชื่อดังที่มีภาคต่อตามมาอีกมากมาย เช่น Halloween (1978) และ Friday the 13th (1980) แต่ความพิเศษของภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือ มันเป็นภาพยนตร์ที่ถูกกองเซ็นเซอร์ตัดไปมากสุดในยุคนั้น ซึ่งความยาวของฉากที่ถูกตัดไปนั้น มีความยาวมากถึง 9 นาทีเลยทีเดียว


My Bloody Valentine ถูกยกย่องว่า เป็นภาพยนตร์แนวเชือดสยองที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งในยุคนั้น โดยมันอยู่ในอันดับที่ 17 ในรายชื่อหนังยอดเยี่ยม ที่สามารถสร้างความพอใจให้กับผู้ชมได้ ของ Entertainment Weekly นิตยสารบันเทิงอันดับหนึ่งของอเมริกา แซงหน้าภาพยนตร์ชื่อดังอย่าง Dawn of the Dead และ Escape from New York ไปได้อีกด้วย โดย เควนติน ทารันติโน่ ผู้กำกับภาพยนตร์มือทอง ที่มีผลงานคุณภาพอย่าง Pulp Fiction และ Kill Bill Vol.1 & 2 ก็ได้ยกเป็นมันหนังเชือดสยองอันดับหนึ่ง และเรียกมันว่า "เป็นภาพยนตร์ที่ถูกค้นพบน้อยอย่างไม่น่าให้อภัย" เลยทีเดียว


อย่างไรก็ตาม พวกเราทุกคนก็จะได้มีโอกาสรับชมมันในสองโอกาสใหญ่ด้วยกัน นั้นก็คือในปี 2009 ภาพยนตร์ต้นฉบับจะถูกทำให้เป็นดีวีดีในเวอร์ชั่น uncut edition เป็นครั้งแรก โดยจะมีเบื้องหลังใหม่ๆมากมาย รวมถึงการใส่เอา 9 นาทีที่ถูกตัดออกไปเมื่อ 28 ปีที่แล้วเข้าไปอีกด้วย


และก็ยังมีการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ใหม่อีกครั้ง ซึ่งมันก็เป็นภาพยนตร์แบบสามมิติในรูปแบบ REAL D เรื่องแรก ที่ได้รับเรต R จากกองจัดเรตภาพยนตร์ โดย My Bloody Valentine 3D นั้น นำแสดงโดย เจนเซ่น แอ็คเคิล หนึ่งในสองดาราจาก Supernatural ซีรี่ย์สุดฮิตทางช่อง AXN และ เจมี่ คิง นางเอกสาวที่มีผลงานอย่าง Sin City และ The Spirit โดย แพ็ตทริค ลัสซิเออร์ ได้รับหน้าที่เป็นผู้กำกับ ซึ่งเขาเคยเป็นมือตัดต่อให้กับผู้กำกับหนังสยองขวัญชั้นครูอย่าง เวส คราเว็น ในเรื่อง Red Eye และ Scream ทั้งสามภาคมาแล้ว


 


ตำนานบทใหม่ “My Bloody Valentine 3D”


            


เมื่อสิบปีก่อน ณ.เมืองเล็กๆที่ชื่อ “ฮาร์โมนี”  ก็มีโศกนาฏกรรมบางอย่างเกิดขึ้น ที่ทำให้ชีวิตของคนในเมืองเปลี่ยนไปตลอดกาล โดย ทอม ฮานนิเกอร์ (เจนเซ่น แอ็คเคิล) เป็นคนงานเหมืองมือใหม่ ซึ่งด้วยความที่เขาขาดประสบการณ์ในการทำงาน ก็ทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นในอุโมงค์ เป็นผลทำให้มีคนเสียชีวิตไป 5 คน และมีผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวคือ แฮรี่ วาร์เด็น โดยที่เขาต้องตกอยู่ในอาการโคม่า แต่อีกหนึ่งปีต่อมา ซึ่งก็ตรงกับวันวาเลนไทน์พอดี แฮรี่ ก็ฟื้นคืนชีพขึ้น ซึ่งเขาก็ได้ใช้พลั่วคู่ใจออกสังหารผู้คนถึง 22 ศพอย่างเลือดเย็น ก่อนที่เขาจะถูกจับตายในที่สุด


หลังจากหนีออกจากเมืองไปกว่าสิบปี ทอม ฮานนิเกอร์ กับมายังเมืองฮาร์โมนีในวันวาเลนไทน์พอดีอีกครั้ง ซึ่งเขาก็ยังคงถูกอดีตที่ผิดพลาดตามหลอกหลอน และต้องดิ้นรนเพื่อที่จะชดใช้ในสิ่งที่เขาได้ทำลงไป โดยเขาก็ยังมีความรู้สึกดีๆกับ ซาร่าห์ (เจมี่ คิง) แฟนเก่าที่ตอนนี้แต่งงานกับ เอ็คเซล เพื่อนสนิทของเขา ซึ่งตอนนี้ก็กลายเป็นนายอำเภอประจำเมืองไปแล้ว แต่ในคืนนี้ หลังจากที่ความสงบสุขที่ผ่านมากว่าสิบปี บางสิ่งบางอย่างที่มาจากอดีตอันมืดมนของเมืองเกิดขึ้นอีกครั้ง เพราะมีชายคนหนึ่ง ที่สวมหน้ากากคนงานเหมืองและถือพลั่วเป็นอาวุธ เขาคือฆาตกรที่กำลังจะออกอาละวาดอีกครั้ง ซึ่งยิ่ง ทอม, ซาร่าห์ และ เอ็คเซล เช้าใกล้ตัวฆาตกรโรคจิตนี้มากเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งทราบถึงความอันตรายที่กำลังคืบคลานมา ซึ่งมันอาจจะหมายถึง แฮรี่ วาร์เด็น คนเดิม ที่ฟื้นคืนชีพขึ้นมา เพื่อตามล่าเอาชีวิตของพวกเขาอีกครั้ง


 




หนังเชือดสยองสำหรับหน้าใหม่


หนังเชือดสยอง (Slasher Film) คือกลุ่มหนังที่เป็นส่วนย่อยในภาพยนตร์แนวหลักอย่างหนังสยองขวัญ โดยที่พวกมันถูกสร้างออกมาอย่างแพร่หลาย และสามารถสร้างกลุ่มแฟนเดนตายที่คลั่งไคล้ในความรุนแรงของภาพที่ปรากฎ ซึ่งความหมายที่แท้จริงของหนังเชือดสยองนั้น ก็อาจจะมีความหลากหลาย ขึ้นอยู่กับบุคคลที่กำลังถาม แต่โดยภาพรวมแล้ว มันก็มีลักษณะเฉพาะที่สำคัญเพียงไม่กี่จุดเท่านั้น ที่ปรากฎอยู่ในหนังประเภทดังกล่าวนี้






ฆาตกร (The Killer)


หนังเชือดสยองทุกเรื่องคงไม่สามารถขาดคนเชือดไปได้ ซึ่งส่วนมากแล้วพวกเขาก็จะเป็นเพศชาย ซึ่งตัวตนของเขาก็อาจจะถูกปกปิดด้วยหน้ากาก หรือถูกซ่อนด้วยแสงไฟหรือมุมกล้อง และถึงแม้ว่าเราจะรู้ว่าเขาคือใคร อย่างเช่น ไมเคิล ไมเยอร์ ในเรื่อง Halloween แต่เขาก็ยังต้องใส่หน้ากาก เพื่อสร้างความรู้สึกที่ดูลึกลับและน่ากลัวให้กับผู้ชม โดยทั่วไปแล้ว เขาจะไม่ค่อยพูด และดูเหมือนว่าจะไม่มีใครสามารถหยุดยั้งการฆ่าของเขาได้ โดยภูมิหลังของเขามักจะเกี่ยวกับปัญหาในวัยเด็ก ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ตัวเองกลายเป็นฆาตกรโรคจิตอยู่จนทุกวันนี้ อย่างไรก็ตาม เขาก็สามารถสร้างความเห็นอกเห็นใจให้กับคนดูได้ ซึ่งก็แน่นอน เพราะดาราชูโรงในภาพยนตร์แนวนี้ก็คือฆาตกรนั้นเอง ไม่ใช่ฮีโร่ที่จะมากำจัดเขา อย่างหนังเชือดสยองสุดฮฺตเรื่อง Friday 13th นั้น ฮีโร่ในแต่ละภาคนั้นมาแล้วก็จากไป แต่ เจสัน ก็ยังอยู่อย่างคงกระพัน พร้อมกับพร้าด้ามใหญ่ในมือ และหน้ากากฮ็อคกี้อันเป็นสัญลักษณ์ของซีรี่ย์ชุดนี้



เหยื่อ (The Victims)


เมื่อมีฆาตกรแล้วก็จำเป็นต้องมีเหยื่อ ซึ่งเหยื่อในภาพยนตร์แนวนี้นั้นก็มักจะเป็นสาววัยรุ่นผมสีบลอนด์ พวกเธอมีเสน่ห์น่าดึงดูด และบ่อยครั้งที่พวกเธอจะอวดเรือนร่างให้คนดูเห็น หรือจะเป็นนักกีฬารูปร่างกำยำ ที่จ้องแต่จะคอยแอ้มสาวๆเหล่านั้น กิจกรรมที่พวกเขาทำ ก็มีอยู่ไม่เยอะ เช่น มีเซ็กส์, กินเหล้า, ก่ออาชญากรรม ซึ่งบ่อยครั้งที่ฆาตกรจะเลือกเด็กพวกนี้จากอาชญกรรมที่พวกเขาก่อ แต่มันก็เหมือนกับครรลองที่หนังเหล่านี้ยึดถือกันมา นั้นก็คือการลงโทษพฤติกรรมแย่ๆของเด็กวัยรุ่น ซึ่งเหล่าแฟนหนังเชือดสยองเองก็รู้ดีว่า เหยื่อที่ถูกสังหารโหดไปก็สมควรได้รับสิ่งเหล่านั้นแล้ว



ฮีโร่สาว (The Heroine)


ถึงแม้ว่าหนังเชือดสยองมักถูกค่อนแคะว่า เป็นหนังที่ลดคุณค่าในตัวลูกผู้หญิง แต่แท้จริงแล้วมันเป็นกลุ่มหนังเล็กๆ ที่มีตัวละครนำหญิงที่แข็งแกร่งและมีจิตใจบริสุทธ์เช่นนี้ พวกเธอมักจะตกเป็นเป้าหมายหลักของฆาตกรโรคจิต แต่เธอก็ไม่เหมือนกับผู้ร่วมชะตากรรม เพราะเธอคือคนที่มีคุณธรรม เธอไม่สนใจในเรื่องอบายมุข เช่นยาและเซ็กส์ เธอจะคอยห้ามปรามเพื่อนของเธอที่กำลังแกล้งพวกเด็กเนิร์ด ที่ในอนาคตจะเปลี่ยนเป็นเครื่องจักรสังหาร คืออย่างน้อยเธอก็รู้สึกแย่ไปกับมัน นอกจากนั้น เธอยังมีอีกชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "สาวคนสุดท้าย" เพราะว่าเมื่อหนังดำเนินมาถึงจุดจบ เพื่อนๆของเธอก็มักจะตายกันไปหมดแล้ว และเธอก็เป็นเพียงคนเดียวที่สามารถหยุดฆาตกรโหดได้





ความรุนแรง (The Violence)


มีสิ่งหนึ่งที่แยกระหว่างหนังทริลเลอร์ทั่วไปกับหนังเชือดสยอง นั้นก็คือความรุนแรงที่เกิดขึ้น โดยหนังเชือดสยองนั้นจะเปลี่ยนโฟกัสจากเรื่อง "พล็อต" และ "การพัฒนาตัวละคร" ไปเอาใจใส่ในเรื่องวิธีการฆ่าแทน โดยเส้นเรื่องนั้นก็ถูกสร้างขึ้นมา เพื่อเปิดโอกาสให้ฆาตกรทำในสิ่งที่เขาทำได้ดีที่สุด นั้นก็คือการฆ่าและการสร้างความโกลาหลให้กับชุมชน ซึ่งการตายของแต่ละคนนั้นก็จะทั้งสยดสยองและน่ากลัว ยิ่งถ้าไอเดียการฆ่าบรรเจิดมากเท่าไร มันก็จะยิ่งทำให้หนังเรื่องนั้นประสบความสำเร็จมากขึ้น


  


 8 สิ่งที่จะทำให้คุณเป็นผู้มีชีวิตรอด จากภาพยนตร์แนวเชือดสยอง

        


        


สิ่งที่เขียนต่อไปนี้ คือกฏ/ข้อแนะนำที่คุณควรทำตาม ถ้าคุณมีความประสงค์ที่อยากจะมีชีวิตรอดออกไปจากหนังเชือดสยอง กรุณาอ่านต่อถ้าคุณอยากรอด...


1.       ถ้าคุณเดินผ่านมุมตึก และคุณก็สังเกตุเห็นเพื่อนที่ชอบแกล้งนอนจมกองเลือดอยู่... อย่าร้องโวยวาย เพราะเขาอาจแค่พยายามจะแกล้งคุณ นอกจากว่าวันนี้เขาแกล้งคุณไปแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งถ้าเป็นในกรณีนั้น ก็แสดงว่าเขาถูกสังหารโหดแล้วชัวร์ และคุณก็คงเป็นรายต่อไปถ้าไม่รีบหนีไปซะเดี๋ยวนี้


2.       ถ้าคุณเดินวนไปวนมาอยู่ในห้องเป็นเวลากว่า 5 นาที เพื่อการค้นหาเสียงแปลกๆที่เกิดขึ้น แต่สุดท้ายแล้วคุณพบว่ามันเป็นแค่เสียงแมวของคุณ อย่าหยิบมันขึ้นมาอุ้มเด็ดขาด เอ๊ะ พวกเราเตือนคุณช้าไปหรือเปล่า โอเค อย่าเพิ่งตกใจที่ตัวของมันอาจจะมีเลือดเปรอะอยู่... ไม่ อย่ามีสัตว์เลี้ยงไว้ในบ้านเลยดีกว่า เพราะน้ำสีแดงที่เปรอะตัวแมวนั้นไม่ใช่ซอสมะเขือเทศ แต่เป็นเลือดของพ่อแม่คุณที่อยู่ชั้นล่างตะหาก


3.       สาวเชียร์ลีดเดอร์สุดเซ็กซี่อาจต้องการแอ้มคุณ แต่เชื่อพวกเราเถอะ มันไม่คุ้มเลยสักนิด ให้ลองนึกถึงหัวใจของคุณที่ถูกแหวกออกจากอกด้วยพร้าเล่มยาวสิ คุณคงอยากจะให้สาวคนนั้นมอบโรคติดต่อให้กับคุณมากกว่า ใช่ไหม?


4.       ถ้าเมืองของคุณมีตำนานเล่าขานถึงฆาตกรโรคจิต และผู้ปกครองของคุณบอกว่า "มันเป็นเรื่องเหลวไหลทั้งเพ" ผู้ปกครองคุณก็อาจจะกำพร้าลูก และคุณก็สามารถโทษพวกเขาได้เลย กับการเสียชีวิตอย่างน่าสยดสยองของตัวเองในอนาคตอันใกล้


5.       พวกเราไม่สนใจว่าคุณจะมีความสามารถในเรื่อง ชกมวย/มวยปล้ำ/ฟุตบอล/กังฟู หรืออะไรก็ตามที่ทำให้คุณมีมั่นใจในตัวเอง อย่าได้พยายามสู้กับฆาตกรโรคจิตด้วยมือเปล่า เพราะมันอาจจะลงเอยด้วยการที่หัวของคุณถูกทำให้หลุดออกจากบ่า และไปตกอยู่ในถังขยะที่อยู่ข้างๆ


6.       ถ้าเพื่อนในโรงเรียนบอกคุณว่า คุณมีญาติที่เป็นคนมีปัญหาทางจิต พวกเขาคงพูดถูก และคุณก็คงจะถูกหัวเราะเยาะและถูกเหยียดหยาม แต่วางใจได้ เพราะครอบครัวไม่สมประกอบของคุณนี้แหละ จะเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาตายอย่างน่าอนาถ


7.       ถ้าคุณเคยล้อหรือแกล้งพวกเด็กขี้แพ้ในสมัยที่ยังเป็นเด็ก ซึ่งการแกล้งนั้นก็อาจจะเป็นอย่างเช่น ดึงกางเกงเด็กคนนั้น แล้วทุกคนในห้องก็ต่างหัวเราะเยาะกับสิ่งที่ปรากฎอยู่ต่อหน้า มันก็อาจเป็นความคิดที่ดี สำหรับการตัดสินใจฆ่าตัวเองก่อน เพราะมันน่าจะเจ็บปวดน้อยกว่าสิ่งที่เขา/เธอ จะทำกับคุณในงานพรอม, งานศิษย์เก่า, งานวันเกิด, งานปีใหม่, หรือวันวาเลนไทน์


8.      ถ้าคุณเป็นสาวใสบริสุทธิ์ ที่เผอิญว่าไม่มีพ่อหรือแม่ ก็ขอให้คุณวางใจได้ว่าตัวเองจะไม่เป็นอะไรทั้งสิ้น แต่คุณอาจจะต้องเริ่มหาเพื่อนใหม่ๆเพิ่ม และก็อย่าบอกพวกเขาว่าคุณมีลักษณะนิสัยอย่างไร และชะตากรรมของพวกเขาจะลงเอยเช่นไร เพราะอะไรเหรอ เดี๋ยวมันจะไม่ขลังหน่ะสิ


 






Create Date : 29 มกราคม 2552
Last Update : 29 มกราคม 2552 14:04:50 น. 13 comments
Counter : 4711 Pageviews.

 
ด้วยความรู้สึกผิดที่ไม่ได้อัพบล็อคตั้งนาน (จะว่าไป..หนึ่งอาทิตย์นี้มันนานตรงไหนเนี่ยยย -*-) ก็เลยเอาบทความที่เขียนเอาไว้มาลงแก้ขัดก่อน... อ้อ แล้วขอสงวนสิทธิในการนำไปใช้ต่อน่ะ ใครเอาไปใช้โดยมิได้รับอนุญาติขอให้ เจสัน + เฟรดดี้ + ชัคกี้ + แฮรี่ วาร์เด็น + ไมเคิล ไมเยอร์ ไปหาถึงบ้านเลย เพี้ยงงง

ปอลอ. จัดหน้าได้ขี้เหร่มากก จะไม่ใช้แล้วไอ้ Text Editor เนี่ย


โดย: BloodyMonday วันที่: 29 มกราคม 2552 เวลา:14:16:34 น.  

 

ดูจากจัดหน้า นึกว่าเข้าบลอกผิด เพราะ Text editor นี่เอง
หนึ่งอาทิตย์ไม่อัพน่ะไม่นานหรอก แต่ Bdmd อัพถี่น่ะ
หนังแนวสยองเลือดสาดนี่ กลัวมาก แค่องค์บากเรายังไม่กล้าดูเลย ไม่รู้กลัวอะไร


โดย: อออ (อั๊งอังอา ) วันที่: 29 มกราคม 2552 เวลา:16:02:30 น.  

 
มิน่า ... Text editor


โดย: Mcmurphy (McMurphy ) วันที่: 29 มกราคม 2552 เวลา:19:10:02 น.  

 
สุดยอดเลยๆ อ่านแล้วก็เห็นด้วย บางอันก็แอบงง โดยเฉพาะข้อสุดท้ายนี่แอบนึกถึงเรื่อง Teeth เล็กๆ แต่คงจะไม่เกี่ยวกัน

พักนี้เพิ่มอัพสปีดเนตเลยโหลดหนังมาดูตรึม (แย่เนอะ) อยากบอกว่าชอบ Atonement มาก (ออกมาเป็นปีเพิ่งได้ดู) แล้วก็ Happy-Go-Lucky ด้วย หนังมัน relate กับคนดูได้มากมายจริงๆ นางเอกเล่นดีมาก ทำไมไม่ได้ชิงออสการ์วะ งง

แต่ My Bloody Valentine นี่คงต้องขอบายตามระเบียบ


โดย: Moonlight Mile IP: 125.25.200.180 วันที่: 29 มกราคม 2552 เวลา:20:34:47 น.  

 
+ ใช่ครับ เห็นด้วยกับคุณ อออ. ที่ทุกคนรู้สึกว่าคุณ Bd Md ดองบล็อก เป็นเพราะว่าช่วงก่อนอัพถี่ไง เลยดูผิดวิสัย ... ไม่เหมือนผม อัพสัปดาห์ละ 1 หน้าแทบทุกครั้ง ดังนั้นจึงมีข้ออ้างเวลาใครจะมาทวงหน้าใหม่ ว่ายังแช่หน้าเดิมไมครบ 1 อาทิตย์อ่ะครับ เหอๆๆ ... และลองครบ 7 วันแล้วยังไม่อัพดูสิ พวกมาทวงหน้าใหม่กันเจ๊ว (จ๊าว) เลยทีเดียว หุๆ

+ ในบรรดาหนัง slasher ผมชอบ Scream(1) ที่สุดแล้วอ่ะครับ (ถึงแม้ว่าจะไม่ถึงกับเป็นเต็มตัว แต่มีทั้งตลกร้าย เสียดสี ล้อเลียน ปนอยู่ด้วยก็ตามที) เพราะมันแหกกฎต่างๆ ของหนังสยองขวัญเชือดๆ แถมยังเอามาจิกกัดอย่างเมามันส์สนุกมือ (ทำนองเดียวกับ Shrek ยั่วล้อการ์ตูนดีสนีย์อย่างเมามันส์นั่นเอง) และมันก็มีดีกรีความโหดที่ไม่มากเกินไปสำหรับผม แค่ฉากเปิดของนู๋ดรูนั่น ก็ได้ใจผมไปเต็มๆ แล้วอ่ะครับ

+ จริงๆ ผมก็เป็นโรคจิตเล็กๆ นะครับ หนัง Slasher นี่ จริงๆ ก็อาจดูได้นะ (ถ้ามันไม่เลือดท่วมเกินไป) แต่จะไม่นิยมดูในโรงใหญ่ เพราะผมขี้ตกใจ จะสะดุ้ง ถีบเบาะข้างหน้าทุก 3 นาที จนโดนชกเอาได้ ... ผมชอบดูเงียบๆ คนเดียวอยู่ในห้องอ่ะครับ สยอง สะใจ ได้ใจมั่กๆ เหอๆๆ

+ สำหรับ MBdVlt (เอ๊! คล้ายๆ Bd Md ยังไงอยู่น้า ) อ่านจากบทวิจารณ์แว้บๆ แล้ว คิดว่าผมคงบายอ่ะครับ ไม่อยากเจออวัยวะถูกฉีกเป็นชิ้นๆ แล้วโยนมาใส่หน้าอ่า ฮุๆ


โดย: บลูยอชท์ วันที่: 29 มกราคม 2552 เวลา:23:56:55 น.  

 

ถ้าเจอคนที่ตรงใจ ปีหนึ่งก็ยังผ่านไปเร็ว

เสาร์อาทิตย์นี้เราจะดู the orphanage ลั่ลลาล๊าาาา





โดย: อั๊งอังอา วันที่: 30 มกราคม 2552 เวลา:13:58:46 น.  

 
หนังสยองนี่ของโปรดผมเลย

แต่อ่านถึงไอ้แปดวิธีเอาตัวรอดแล้วทำให้นึกถึงตัวละครในหนังเรื่อง Scream เหมือนกันนะ (ไอ้คนที่เป็นเซียนหนังสยองขวัญนั่นน่ะ) งี้ต่อไปผมนึกหน้าคุณ BdMd เป็นแบบนั้นแล้วกัน 555++

อยากดูเรื่องนี้ๆๆๆ


โดย: แฟนผมตัวดำ วันที่: 30 มกราคม 2552 เวลา:14:19:45 น.  

 
ไม่ขอพูดอะไรให้มากความ
ผมรักหนังสยอง ครับ!!

ต้องดูให้ได้ แต่? ...
อดแน่ๆ


โดย: haro_haro วันที่: 30 มกราคม 2552 เวลา:16:31:06 น.  

 
เขียนบล็อกนี้ได้เท่มาก

แต่ข้าพเจ้าไม่ชอบดูหนังแนวนี้เลย แบบว่ากล้วๆ สยอง เลือดสาดไงไม่รู้ แต่ก็ดู scream ภาคแรกนะ เพราะมันดังมากๆนั่นเอง


โดย: cottonbook วันที่: 31 มกราคม 2552 เวลา:0:43:23 น.  

 
โอ๊ยย เพิ่งตื่นนนนน

อย่าพึ่งเปลี่ยนหน้านะ เดี๋ยวมาใหม่...(ชอบแปะชาวบ้านเขาไปทั่ว)

T_T "


โดย: renton เองจ้า :: IP: 125.26.136.159 วันที่: 31 มกราคม 2552 เวลา:23:16:10 น.  

 
ไม่ถนัดหนังแนวนี้เหมือนกัน
แต่ชอบแปดข้อที่จะทำให้คุณรอดชีวิตจัง


โดย: grappa วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:14:52:56 น.  

 
สวัสดีฮับบลัดดี้ เข้ามาอ่านเพลินเลย เขียนดีจัง แต่มารีอองไม่ชอบดูหนังแนวนี้เลยอ่ะฮับ T-T ลองของ ยังไม่กล้าดูเลย

แวะมาหาบลัดดี้ อยากบอกว่าคิดฮอดหลายๆ แต่ตัวเองก็ยังคงดองบล็อคเช่นเคย ไม่เป็นไรน่ะ เพราะมารีอองตามอ่านบล็อคบลัดดี้แทนคริๆ (กล้าพูด)


โดย: มารีออง IP: 125.24.56.174 วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:22:47:12 น.  

 
หนังเชือดสยอง..ปาดดดดดดดด กันสดๆนั้นเมื่อก่อนชอบดูนะ อย่าง The Texas Chainsaw Massacre แต่อย่าง Hostel ไม่กล้าดูนะท่าทางจะโหดเกิน

ชอบแบบ Scream อ่ะ ภาคแรกนะ แบบออกแนวจิตหน่อยๆก็พอ

ปล.สงสัยอยู่ว่า BdMd เป็นอะไรกันกับหนังเรื่อง My Bloody Valentine ฮื้ออออ เห็นคราวโน้นก็เขียนถึง .... สงสัยจะชอบหนังโชกเลือดดด


โดย: renton_renton วันที่: 2 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:7:44:28 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

BloodyMonday
Location :
Imaginationland, Valley of Bliss China

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]






-= M & M in Nutshell =-


Gentlemen Broncos (2009)


You could have brain tumor by watching this contaminated turd. Nothing in Gentlemen Broncos pays off, it’s incoherent mess, and chock-full of incredibly annoying characters. You will not only loath this movie, but it also makes you want to punch someone who responsible for this abomination in the face.

BloodyMonday Rating:



Fantastic Mr. Fox (2009)


Imagine if Akira got Live-Action treatment by... say Alfonso Cuarón, you know how awesome it might be? That’s what happened to "Fantastic Mr. Fox". Wes Anderson's auteur perfectly captured the quirkiness and blissful tone of the material. Its stop-motion technique might be a little crude and... somewhat unsophisticated, but that's the charm of it. You’ll feel like pop-up book unveiled before your eyes. This is an exceptional animation of the year.

BloodyMonday Rating:



Planet 51 (2009)


ถ้าถามว่าสนุกไหม? ก็โอเค ทุกอย่างถอดแบบมาจาก Shrek มุขที่อ้างอิงวัฒนธรรมป็อป ตัวละครสมทบที่น่าสนใจกว่าตัวเอก กราฟฟิคที่สอบผ่านฉลุย (ถ้าไม่ไปวัดกับพิกซาร์) แต่ถ้าถามว่าต้องดูไหม? ..... เอาเป็นว่าเวลาชั่วโมงครึ่ง ทำอะไรที่มีประโยชน์กว่านี้ได้เยอะแยะ

BloodyMonday Rating:



It's Complicated (2009)


รู้สึกสนุกกับการได้เห็นป้าเมอรีล เข้าโหมดแอ๊บเด็ก (อีกแล้ว) ในขณะเดียวกัน อเล็กซ์ บอลด์วิน และ จอห์น ครากินสกี้ ก็ขโมยซีนได้ตลอด แต่มันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหนังยาว 2 ชั่วโมงมีเรื่องให้เล่าแค่ 15 นาที... It's Complicated อาจเหมือนคนกินไวอากร้าแล้วเข้านอน คึกตลอดคืนแต่มันจะมีประโยชน์อะไร?

BloodyMonday Rating:



Up in the Air (2009)


Up in the Air is a blockbuster movie for people who think blockbuster movies are dumb, as it chock full of brilliantly written dialogue, and acting showcase for three talented actors (especially star-making turn by Anna Kendrick). But in the end, there's little to love, not so much story to chew on (plus disappointing third act), and no real connection to the meaning of human interaction as it intended to be.

BloodyMonday Rating:



I Love You, Beth Cooper (2009)


Cliché-ridden plot about a bunch of annoying characters get together in one idiotic circumstance, "I Love You, Beth Cooper" is shameless exploitation & biggest insult to 80s teen flicks. It's like memorizing magic trick from internet, hoping to perform like David Copperfield. Neither sense of wonder nor magic flare happens here. Only good thing is, it makes me wanna cleanse my soul with genuine 80s teen movie night marathon.

BloodyMonday Rating:



Everybody's Fine (2009)


Meh. The movie serious lack of originality & characters development. Only Robert De Niro comes out fine in this schmaltzy, "Lifetime" movie-of-the-week plot.

BloodyMonday Rating:



Paper Heart (2009)


Twee delight... That's only two words I can think of right now.

BloodyMonday Rating:



Adam (2009)


A perfect companion to Mary & Max (one of the best animation of 2009), Adam is star-crossed love story (pun intended) between Adam, Asperger's Syndrome bearer, and Beth, free spirit woman. The picture wouldn’t be this intimate without stunning performance by Hugh Dancy. On the other hand, the lack of depth on why Beth would love someone like Adam, preventing me from wholeheartedly embraces her choice in the end (which is nice & perfect but requires a leap of faith). Otherwise, this is touching romantic film, which putting its feet firmly on the ground, making the world full of hope and seems nicer place to live.

BloodyMonday Rating:



The Invention of Lying (2009)


Expected to be like “Click” or “Yes Man”, where high-concept plot turned into endless gags, with moral lesson (forcefully) shoving down your throat. But "The Invention of Lying" is thinking man’s film. The whole concept is not seeing how first lying man exploits the ability. But it's about him finding the way not to lie, in order to find genuine happiness. Great stuff.

BloodyMonday Rating:



Give ‘Em Hell Malone (2009)


This is one damn frustrating experience. It’s like watching an infant trying to stand up and walk. They would take a few steps then fall their asses. In fact, kiddie film like “Bugsy Malone” has done better job paying a tribute to film noir than this borefest.

BloodyMonday Rating:



Zombieland (2009)


ถ้าอังกฤษมีหนังซอมบี้ฮาแตกอย่าง Shaun of the Dead แล้ว ทำไมอเมริกาจะมีบ้างไม่ได้... Zombieland คือการผสมผสานระหว่างบรรดาหนังซอมบี้เก่าๆ เข้ากับทัศนคติของคนสร้างที่อาจดูหนังแนวนี้มากเกินความจำเป็น จนสามารถสร้างหนังซอมบี้ที่เข้าใจสิ่งที่ตัวเองเป็น และเล่นสนุกไปกับกฏพื้นฐานของซอมบี้ได้อย่างเต็มที่ ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องยกความดีให้สี่นักแสดงนำ โดยเฉพาะ วู้ดดี้ ฮาเรลสัน (เขาเกิดมาเพื่อบทนี้) ที่ช่วยกันสร้างมนต์เสน่ห์ ให้กับการเดินทางในโลกไร้มนุษย์ได้อย่างเต็มที่

ถึงแม้พลังงานที่ขับเคลื่อนจะมาหมดเอาดื้อๆในองค์สุดท้าย เมื่อฉากใหญ่ในสวนสนุกถูกทำขึ้นเพื่อแสดงฉากการฆ่าซอมบี้เด็ดๆ (ซึ่งไม่ใช่จุดเด่นสำหรับเรื่องนี้เลย) แต่โดยรวมแล้วมันก็ไม่ใช่ข้อแก้ตัว ที่บรรดาแฟนซอมบี้จะมาพลาดหนังเรื่องนี้... อ้อ แล้วหนังยังมีดารารับเชิญสุดเซอร์ไพรซ์ ที่สร้างเสียงฮาที่สุดในเรื่องได้จากประโยคสุดท้ายอีกด้วย

BloodyMonday Rating:



Frequently Asked Questions About Time Travel (2009)


เมื่อเพื่อนสามคนก๊งเบียร์กันในผับแล้วเจอสาวฮ็อต (แอนนา ฟาริส) ที่อ้างว่ามาจากอนาคตจนเกิดรอยแยกของเวลา ทำให้ทั้งสามต้องท่องไปทั้งโลกในอนาคตและอดีตจนวุ่นวาย...

หนังมีไอเดียกิ๊บเก๋ ทำออกมาได้สนุกสนานสไตล์ซิตคอมอังกฤษ โดยเฉพาะการนำกฏเหล็กต่างๆจากหนังที่เกี่ยวกับการท่องเวลา (ดูเหมือนว่า Back to the Future จะเป็นแรงบรรดาลใจหลัก) มาปู้ยี้ปู้ยำอย่างเมามัน ถึงแม้ว่าตลอดเวลาการรับชมจะให้ความรู้สึก เหมือนตัวเองกำลังดูซีรี่ย์ทางโทรทัศน์ แต่มันก็คือตอนที่ฮาที่สุดของซีซั่น แถมเอฟเฟ็คที่ใช้ก็มีคุณภาพจนคาดไม่ถึง

BloodyMonday Rating:



Looking for Eric (2009)


มีความรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มองโลกในแง่ดีเกินบรรยากาศโดยรวม จริงอยู่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ลงเอยด้วยดีในตอนสุดท้ายนั้น สามารถสร้างความสุขและรอยยิ้มให้กับคนดู แต่จากสถานการณ์ในเรื่องและบริบทที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ มันยากที่จะทำใจเชื่อในสิ่งที่เห็น โดยเฉพาะพล็อตรองเกี่ยวกับปืน ซึ่งถ้าถูกตัดออกไปและหนังยังดำเนินเรื่องอย่างที่เป็นอยู่ Looking for Eric ก็น่าจะเป็นหนังฟีลกู้ดที่อบอุ่นที่สุดเรื่องหนึ่งของปีเลยทีเดียว

BloodyMonday Rating:


~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
Group Blog
 
<<
มกราคม 2552
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
29 มกราคม 2552
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add BloodyMonday's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.