บทสัมภาษณ์ ทาร์เซ็ม ซิงห์ ผู้กำกับ The Fall + My impression



อย่าแปลกใจที่บทสัมภาษณ์นี้อาจจะมาสายไป (ไม่) หน่อย เพราะผู้เขียนเพิ่งหยิบเอาภาพยนตร์เรื่องนี้มานั่งดูอีกครั้ง พร้อมกับเปิด commentary track ของตัว ทาร์เซ็ม ฟังไปด้วย และยิ่งเราฟังเขาอธิบายถึงสิ่งที่ปรากฎต่อสายตาเรา ก็ยิ่งทำให้รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้จริง ตลอดเวลาสี่ปีที่เขาหอบงานภาพยนตร์ ไปตะลอนถ่ายหลังจากเสร็จสิ้นงานประจำของตัวเอง (โฆษณาและมิวสิควีดีโอ) พร้อมกับการรอให้หนูน้อย คาทินก้า อันทารุ เติบโตขึ้นมาเป็นเด็กวัยหกขวบ นี้มันอาจจะไม่ใช่การถ่ายทำภาพยนตร์ธรรมดาเสียแล้ว นี้มันคือศิลปะ...

สารคดีความยาวครึ่งชั่วโมงทั้ง Wunderlust และ Nostagia ที่อยู่ในดีวีดีแผ่นนี้ ก็มีความน่าสนใจไม่แพ้ตัวภาพยนตร์ เราจะรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันเกิดขึ้นจริงๆ ช้างที่กำลังแหวกว่ายอยู่ในทะเลสีฟ้าคราม, บันไดวงกตที่ทหารวิ่งสวนกันอย่างน่าฉงน หรือกระทั่งโอเอซิสอันเขียวชอุ่ม ที่ตั้งอยู่ในหุบเขาอันทุรกันดาร ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นการสร้างสรรค์ของธรรมชาติ นอกจากนั้น เรายังได้เห็นความตั้งใจของ ทาร์เซ็ม ในการเค้นเอาอารมณ์ที่เสมือนจริงของนักแสดงออกมา เช่นในฉากระหว่าง คาทินก้า และ ลี ในตอนสุดท้าย เราจะเห็นว่าอารมณ์ของ ทาร์เซ็ม นั้นพุ่งพล่านแต่ไหน แต่มันก็ไม่ใช่อารมณ์ฉุนเฉียวที่ผู้กำกับมอบให้แก่นักแสดงของเขา แต่มันคือความรู้สึกร่วมที่เขาต้องการให้นักแสดงผลิตออกมา ระหว่างที่การถ่ายทำภาพยนตร์ดำเนินต่อไป เราก็จะเห็นน้ำตาที่เอ่อล้นออกมาของ ทาร์เซ็ม ระหว่างที่เขากำลังจ้องมองดูมอนิเตอร์...

The Fall ยังมีโรงฉายอยู่ที่ House เวลา 12.00 และ 17.00 สำหรับใครที่ยังไม่ได้รับชมเรื่องนี้ นี้อาจจะเป็นโอกาสสุดท้ายที่คุณจะได้สัมผัสกับสิ่งที่วิเศษเช่นนี้...

หมายเหตุ* นี้เป็นงานแปลที่ไม่ได้ถูกใช้ แต่ผู้เขียนมีผลงานแปลของเรื่อง The Fall อีกหนึ่งชิ้นที่อยากแนะนำให้อ่าน กันเพื่อทำความรู้จักภาพยนตร์เรื่องนี้ให้ดีขึ้น ไปอ่านกันได้ที่นี้




A man who put his visual on film


มีบางคนอาจเคยได้ยินชื่อของ ทาร์เซ็ม ซิงห์ (Tarsem Singh) ที่เคยกำกับ The Cell หนังสยองขวัญ/แฟนตาซีหลอนๆ นำแสดงโดย เจนนิเฟอร์ โลเปซ โดยเธอแสดงเป็นนักจิตวิทยา ที่ใช้วิธีการพิเศษที่เธอคิดค้นขึ้น ในการเข้าเอาตัวเองเข้าอยู่ไปในหัวสมองของฆาตกรต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าหนังเรื่องนั้นจะไม่ได้เรียกว่าเป็นความสำเร็จซะเท่าไร แต่ทุกคนก็เอ่ยปากชมเป็นเสียงเดียวกันถึงความอลังการของงานด้านภาพ โดย ทาร์เซ็ม นั้น ก็ยังเป็นผู้กำกับมิวสิควีดีโอชื่อดัง Losing My Religion ของ R.E.M. และจนในที่สุด ก็มาถึงงานชิ้นล่าสุดของเขา ซึ่งก็เป็นหนัง art-house ที่แฟนๆก็ต่างรอกันอย่างใจจดใจจ่อ โดย The Fall ได้ถ่ายทำใน 24 โลเกชั่น และ 18 ประเทศทั่วโลก โดยหนังได้เล่าถึงคนที่เคยพยายามที่จะฆ่าตัวตายคนหนึ่ง (ลี เพส) ซึ่งตอนนี้ต้องกลายเป็นคนอัมพาตครึ่งช่วงล่าง โดยเขาก็ได้พบกับเด็กคนหนึ่งในโรงพยาบาล (Catinca Untaru) และก็ได้มอบความเชื่อถือให้กับเธอ ด้วยการเล่าเรื่องแฟนตาซีที่เขาแต่งขึ้น ซึ่งก็กลายเป็นการบรรยายเรื่องที่เสมือนการเดินทางที่ผ่านมาในชีวิตของเขาจริงๆ

Q. The Fall ถูกฉายในเทศกาลหนังโตรอนโต้ ปี 2005 แต่ก็ต้องใช้เวลาถึงสามปีในการฉายในโรงภาพยนตร์ทั่วไป ช่วยเล่าถึงความเป็นมาหน่อยได้ไหม

A. ใช่ มันต้องใช้เวลากว่าสองปี ซึ่งในเทศกาลหนังโตรอนโต้นั้น งานของผมยังเสร็จแบบไม่เรียบร้อยดีนัก และมันก็ยังทำให้ผมทำตัวลำบาก เมื่อมีชื่อของสองผู้กำกับใหญ่อย่าง เดวิด ฟินเชอร์ (David Fincher) และ สไปค์ จอนส์ (Spike Jonze) ปะอยู่บนหน้าหนัง และก็ยังมีนักวิจารณ์อีกหลายคน ที่กำลังลับมีดรออยู่แล้วคิดว่า "ไอ้คนที่ทำ The Cell กำกับหนังเรื่องนี้เหรอ?" ซึ่งก็บางคนที่ดูหนังเรื่องนี้แล้วคิดว่า มันดีกว่านั่งสับหมูนิดหน่อย บางคนคิดว่ามันห่วยแตกสุดๆไปเลย และบทความใน Variety ก็ได้ฆ่ามันอย่างสมบูรณ์แบบ แต่ผมก็คิดไว้แล้วนะว่าเราได้ทำสิ่งที่ต้องการทำแล้ว แต่หลังจากจบเทศกาลไป ก็มีพวกสาวกเดนตายที่ก้าวออกมาข้างหน้าแล้วบอกคนอื่นว่า "มันมีอะไรบางอย่างที่พิเศษอยู่ในหนังเรื่องนี้น่ะ เชื่อสิ มันจะไปได้ไกลแน่ๆ"

ไม่เพียงเท่านั้น ทั้งในญี่ปุ่นและอีกหลายประเทศ ก็ต่างคลั่งไคล้และชื่นชมมัน ซึ่งมันก็ใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่เดือนในการลงโรงฉายทั่วประเทศ ผมจึงกลับมาคิดว่า มันน่าจะได้รับโอกาสเช่นนั้นในสหรัฐอเมริกาบ้าง ผมอยากให้มันเกิดขึ้น ผมอยากให้ทุกคนให้ชมหนังเรื่องนี้ในโรงภาพยนตร์ ผมรู้ว่าผู้กำกับทุกคนคงต้องพูดแบบเดียวกัน แต่ผมคิดจริงๆน่ะว่า "พวกเราใช้ทั้งแรงกายและแรงใจไปพอสมควรแล้ว มันน่าจะถึงเวลาซะที"




Q. แล้วการถ่ายทำนอกประเทศ ได้ยินมาว่าคุณแบกเอาผลงานที่คุณเคยทำมาทั้งหมดไปด้วย

A. มันเริ่มต้นด้วยการที่ผมหาเด็กคนหนึ่ง ซึ่งมันก็ใช้เวลาถึง 6 ปี ในการที่จะหาเด็กที่สามารถประคองหนังไปได้ มันเป็นเรื่องที่ยาก และมันก็เป็นหนังที่ผมรู้ตัวดีว่า จะไม่มีใครให้เงินผมสร้างแน่นอน ผมไม่เคยให้คนอื่นอ่านบทภาพยนตร์ ผมค่อนข้างหมกมุ่นกับการหาเด็ก ที่สามารถแสดงหนังในสไตล์ของผมได้ ไม่ใช่สไตล์แบบ Little Princess มันเหมือนกับ Ponette มากกว่า จนในที่สุดผมก็ได้เห็นเทปของเด็กคนหนึ่ง ซึ่งเธอพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย หลังจากนั้นผมก็เริ่มสร้างเรื่องราวของตัวละคร และมันก็ทำให้ผมต้องออกเดินทางไปรอบโลก

Q. ผลงานด้านภาพของคุณ เป็นที่น่าจดจำอย่าง The Cell, The Fall มิวสิควีดีโอ Losing My Religion และยังมีผลงานอื่นๆที่มีภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจ แต่ทุกครั้งคุณก็ได้ร่วมงานกับช่างภาพที่ไม่เคยซ้ำกัน คุณมีวิธีไหน ในการถ่ายทอดจินตนาการของคุณ ให้กับช่างกล้องเหล่านั้น

A. The Cell และ 90 % ของโฆษณาที่เป็นฝีมือผม ล้วนได้รับแรงบันดาลใจจากอาจารย์ในมหาวิทยาลัยของผม ผมมาจากภูมิหลังที่ให้ความสำคัญในงานด้านภาพมาก ตั้งแต่เด็กที่ผมเติบโตในอิหร่าน ผมดูทีวีเยอะมาก แต่เป็นเพราะว่าผมก็พูดภาษาฟาสีไม่คล่อง ทำให้ผมต้องดู Get Smart หรือหนังอีกหลายๆเรื่อง ที่ผมต้องทำความเข้าใจกับมันจากการเล่าเรื่องด้วยภาพ และแน่นอนที่ว่าคนอินเดียนั้นชอบสีสันสดใส และมันก็มีอิทธิพลในงานของผม ผมจึงค่อนข้างเจาะจงนิดนึงกับช่างภาพของผม มันไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบให้และรับ แต่ผมจะเจาะจงประมาณว่า "เมื่อคุณถ่ายฉากแฟนตาซี มันควรต้องเป็นแบบนี้ แต่ฉากในโรงพยาบาล มันก็จะต้องเป็นอีกแบบนึง"

ความจริงแล้ว ถ้าคุณได้ดูการแสดงของ ลี เพช คุณก็จะเห็นว่าเขาทำหน้าที่ได้เยี่ยมยอดแค่ไหน เพราะว่าเด็กนั้นไม่สามารถคาดเดาได้เลย ทุกๆครั้งที่เธอเคลื่อนตัว เขาก็ต้องทำให้แน่ใจว่า ไม่ได้บังแสงที่ส่องไปยังตัวเธอ เพราะฉะนั้นเวลาที่เธอขยับไปทางซ้าย เขาก็ต้องขยับไปทางขวา ผมเองลืมเรื่องนี้ไปสนิทจนกระทั่งในอีกแปดเดือนต่อมา ผมดูหนังเรื่องนี้แล้วคิดว่า "พระเจ้า! ลี เจ๋งจริงๆ!" และเมื่อผมได้เจอเขาอีกครั้ง ผมก็เข้าไปสวมกอดและพูดว่า "คุณเป็นฮีโร่ของผม"




Q. สีสันเป็นส่วนที่น่าดึงดูดที่สุดของหนัง มีเทคนิคพิเศษอะไรไหม ที่คุณใช้ในการถ่ายทำหนังเรื่องนี้

A. โอเค มีผู้ชายที่ผมยกย่องมากชื่อว่า ไลโอเนล ค๊อปป ที่มีแล๊ปหนังอยู่ในฝรั่งเศส และเขาก็มีส่วนช่วยเป็นอย่างมากในการสร้างหนังเรื่องนี้ เพราะว่าผมเลือกที่จะแต่งแต้มด้วยโทนสีจากรูปภาพเก่าๆจากรัสเซีย หรืออะไรประมาณนั้น ผมคิดว่า "มันต้องมีความสุนทรีย์ และเทคนิคที่สามารถทำให้มันเป็นจริงได้" ผู้กำกับหลายคนอาจจะใช้แล๊ปหนังของญาติของพวกเขา แต่นั้นไม่ใช่ผม เพราะผมว่าผู้ชายคนนี้มีความสุนทรีย์ และผมก็ยกย่องและเชื่อใจเขาเป็นที่สุด ผมอยู่ในฝรั่งเศสกับเขาตลอดเวลา และในตอนที่พวกเราต้องกำหนดโทนภาพของหนัง ผมบอกเขาไปว่าผมต้องการอย่างนี้อย่างนั้น ซึ่งมันก็เป็นเทคนิคที่ยากในบางครั้ง แต่เขาก็สามารถทำมันได้ และเรื่องของสีที่ใช้นั้นนั้น ก็อย่างที่คุณรู้ว่าคนอินเดียชอบสีสันสดใส โดยเฉพาะถ้ายิ่งคุณจนมากเท่าไร สีแดงสีเหลืองก็จะยิ่งสดขึ้น เอาเป็นว่าผมมาจากภูมิหลังที่ไม่รวยละกัน คุณก็จะรู้ว่าผมเลือกใช้สีอะไร

Q. เท่าที่เราเห็นผลงานด้านภาพในเครดิตการทำงานของคุณ มันเหมือนกับว่าคุณมีเซ้นส์ในเรื่องการถ่ายรูปมากกว่าด้านภาพยนตร์ คุณมีความสนใจในเรื่องภาพ หรือว่าคุณสนใจที่จะศึกษาเกี่ยวกับการถ่ายภาพบ้างไหม

A. ไม่น่ะ คือพ่อของผมถ่ายรูปเป็นจำนวนมากสมัยที่ผมยังเป็นเด็ก แต่มันไม่เคยถูกล้างเลย จนเมื่อแม่มอบให้กับผมเพื่อเป็นของขวัญ ผมนำมาล้างและทำเป็นอัลบั้ม มันน่าตกใจมาก เพราะมันมันเหมือนแคปซูลกาลเวลา มันเหมือนกับว่าผมกำลังนั่งดู มาร์ติน ชีน ในเรื่อง Apocalypse Now อยู่ ผมคิดว่า "พระเจ้า เขาแก่ขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย แต่สมัยก่อนเขาช่างดูหนุ่มแน่นในรูปพวกนี้จริงๆ มันเหมือนกับว่าเขาสามารถเดินออกมาจากรูปได้เลย"

แต่ไม่ ผมไม่เคยมีภูมืหลังในในเรื่องการถ่ายภาพเลย ถึงแม้ว่าแรงบัลดาลใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของผม จะมาจากแฟนคนที่สองในมหาวิทยาลัย ที่เป็นช่างภาพอาชีพ ผมว่าคนในวงการถ่ายภาพนั้น ทำงานหนักกว่าคนที่อยู่ในวงการภาพยนตร์ถึง 20 ล้านเท่า คุณรู้ไหม มันเป็นเรื่องที่ต้องคิดแล้วคิดอีก ในการที่จะใส่อะไรเอาไว้บ้างตรงหน้ากล้อง แต่ในภาพยนตร์ คุณสามารถถ่ายได้หมดทุกอย่าง จริงๆแล้วมันไม่มีอะไรที่พิเศษในตัวผมเลยสักอย่าง ยีนแบบผมก็ยังมีอีกเป็นล้านคนในประเทศอินเดีย แต่ผมคิดว่าสภาพแวดล้อมที่ผมได้สัมผัสมามันช่างน่าสนใจ การเติบโตในแถบเทือกเขาหิมาลัย การได้ใช้ชีวิตอยู่ในอิหร่าน ได้รับวัฒนธรรมที่แตกต่างกันตั้งแต่ช่วงแรกของชีวิต ทำให้ผมเป็นอยู่อย่างทุกวันนี้





Create Date : 28 ตุลาคม 2551
Last Update : 28 ตุลาคม 2551 10:57:04 น. 26 comments
Counter : 1835 Pageviews.

 
เพิ่งดู the fall ไปค่ะ แต่ดูดีวีดี

ชอบมากกกก เพราะจบแฮปปี้กว่า Pan's labyrinth (เรามันนักดูหนังแบบสุขนิยม)

แต่พูดถึง production design แล้วชอบ the cell มากกว่านะคะ ชื่นชมคนออกแบบคอสตู้มสุดๆ (นั่งรอดูเครดิตเห็นเป็นชื่อสาวญี่ปุ่น)

Q: คุณบลัดดี้คะ ไม่ทราบว่าในเรื่องเดอะเซลล์ ตอนแรกที่นางเอกนั่งดูหนังอนิเมชั่นที่ดูน่ากลัวหลอนๆ ไม่ทราบว่าชื่อเรื่องอะไรเหรอคะ สนใจอยากหามาดูบ้าง


โดย: แอปเปิ้ลอบเชย (apple_cinnamon ) วันที่: 28 ตุลาคม 2551 เวลา:17:22:12 น.  

 
อ๊างงงงงงง

ไปดู fantastic planet ในยูทู้ปมาแล้วค่ะ ชอบมากก

หลอน surreal ถูกใจ อยากได้ไว้ในครอบครอง


โดย: apple_cinnamon วันที่: 28 ตุลาคม 2551 เวลา:19:57:26 น.  

 
อยากดู อยากดู อยากดู

คุณแอ๊ปเปิ้ลได้ดูดีวีดีแล้วเหรอ อิจฉาจัง

เอ่อ... ว่าแต่คุณ BdMd มาเพ้ออะไรเอาตอนใกล้จะเลิกงานครับเนี่ย อ่านแล้วยังกะพล็อตละครตอนเย็น (มีหัวโป๊กกันด้วย กุ๊กกิ๊กเหลือเกิน...)



โดย: แฟนผมตัวดำ วันที่: 28 ตุลาคม 2551 เวลา:22:01:44 น.  

 
ดีค่ะบลัดดี้ เข้ามาอ่านแล้วอยากดูทีเดียว(จะยังอยู่นะอยากดูเจงๆ) เพราะส่วนตัวมารีอองก็ชอบ the cell ภาพสุดยอด

ซึ่งก็บางคนที่ดูหนังเรื่องนี้แล้วคิดว่า มันดีกว่านั่งสับหมูนิดหน่อย (ดูเปรียบ55)


โดย: มารีออง วันที่: 28 ตุลาคม 2551 เวลา:22:45:32 น.  

 
^
^
ข้างบนดูหนังไปเยอะ แต่ทำไมเงียบจังเนาะ
อิจฉาๆ เข้ามาดูคนได้ดูเรายังไม่ได้ดูเลยอยากดู (- -")


โดย: ฮาโร IP: 203.153.163.34 วันที่: 29 ตุลาคม 2551 เวลา:11:16:23 น.  

 
อย่าไปถือสา
เมาง่ะ (-_-")


โดย: ฮาโร IP: 203.153.163.34 วันที่: 29 ตุลาคม 2551 เวลา:16:27:28 น.  

 
+ อืม ... พออ่านแล้วก็รู้สึกทึ่งขึ้นมาอีกจมเลยนะครับเนี่ย กับความพยายามในการสร้างผลงานในดวงใจของ ผกก.ทาร์เซ็ม ซิงห์ ออกมาให้สำเร็จเป็นหนัง The fall ได้เนี่ย (น่าเสียดายที่ผลตอบรับในเชิงพาณิชย์คงเป็นไปได้น้อย คงไม่คุ้มทุนสร้าง ... แต่เอาน่ะ ได้ทำตามความฝันของตัวเอง จนสำเร็จออกมาเป็นชิ้นงาน แค่นี้ก็นอนตายตาหลับแล้วเนาะครับ )

+ ของผมไม่เหมือนชาวบ้านตรงที่ ผมยังไม่ได้ดู The cell อ่ะครับ! แหะๆ เด๊วต้องลองไปหามาดูมั่งแล้น

+ จริงๆ The fall ผมชอบตัวพล็อตใหญ่ ระหว่าง ลี กับ นู๋คาทินก้า นะครับ แต่พล็อตย่อยๆ ที่เป็นนิทานเนี่ยสิ มันเหมือนหยิบจับเรื่องราวอะไรไม่ค่อยได้ จนกระทั่งถึงตอนเกือบจะจบนั่นแหละครับ กว่าจะเข้มข้นขึ้นมาอ่า ... ก็เลยลดคะแนนลงไปนิดนึง


โดย: บลูยอชท์ วันที่: 29 ตุลาคม 2551 เวลา:17:48:43 น.  

 

วิว"หาดทรายรี" จ.ชุมพร ถ่ายจาก"ศาลเสด็จเตี่ย"

วันที่ 22 ตุคาคม 2551



นอกจากเก่งแล้วยังหน้าตาดูดีอีกนะคะ..พ่อรามซิง คนนี้
up blog ด้วยผู้กำกับ แนว in trand กับ ช่วงใกล้ๆเทศกาลHalloween เลยนะคะ




โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 29 ตุลาคม 2551 เวลา:20:57:03 น.  

 
+ เห็นที่ไปจิ้มผมไว้ที่บล็อกคุณ renton เรื่อง จุมพิตนางแมงมุม แล้วอ่ะครับ ... ว่าแต่ด้วยวิธีการใดฤาครับ? รึว่าคุณเคยเขียนถึงไว้แล้วอ่ะครับผม


โดย: บลูยอชท์ วันที่: 29 ตุลาคม 2551 เวลา:22:11:11 น.  

 
สำหรับ The Fall ยังไม่ได้ดูเลยครับ

อ่านแล้วอยากดูขึ้นมาเลย



แต่กับ The Cell ดูหลายรอบแล้วครับ

แม้เนื้อเรื่องจะไม่ได้มีอะไรโดดเด่น หรือตัวหนังจะดีเยี่ยม


แต่สิ่งที่ชอบก็คืองานภาพ แล้วก็การ Design ฉากต่างๆ

ฉากแยกม้านี่ยังติดอยู่ในใจจนทุกวันนี้



ขอบคุณที่แปลมาให้อ่านครับ



ปล. คุณ BloodyMonday ทำงานเป็นนักแปลหรือครับเนี่ย เพิ่งรู้


โดย: navagan วันที่: 30 ตุลาคม 2551 เวลา:1:48:47 น.  

 
ผมเฉยๆกับภาพโดยรวมของ The Fall
รู้สึกว่าหนังใช้จุดเด่นที่เอามาขายไม่ค่อยคุ้มเท่าไหร่ หะๆ

อย่างไรก็ยังนับถือความบ้าอยู่


โดย: nanoguy IP: 125.24.112.14 วันที่: 30 ตุลาคม 2551 เวลา:2:55:40 น.  

 
ยังมีฉายอยู่ที่ลิโด้เน้อ

ตอนนี้สิงสถิตอยู่แต่ที่งานเวิร์ลฟิล์ม
บลัดดี้มันเดย์ไปดูบ้างหรือยัง


โดย: grappa วันที่: 30 ตุลาคม 2551 เวลา:11:03:31 น.  

 
+ อ้อ! เป็น DVD นั่นเอง ต้องขอขอบคุณในไมตรีจิตของคุณ Bd Md ด้วยนะครับ ... ช่วงที่ผ่านมามีเพื่อนๆ บล็อกหลายท่านเสนอให้ยืมหนังดีๆ หลายเรื่องเช่นกัน แต่เนื่องจากที่หอผมไม่มีเครื่องเล่น DVD เวลาดูต้องดูจากคอมพ์ (ผมมักปวดตา) แล้วก็ยังไม่ค่อยมีเวลาว่างด้วย
... ก็เลยกะว่าเด๋วจะรอย้ายไปอยู่บ้านใหม่ก่อน (ซึ่งกะจะซื้อชุด home theatre ประดับบ้านไว้ด้วยชุดนึง) คาดว่าคงจะได้น้อมรับไมตรีจิตจากเพื่อนๆ ได้เต็มที่ ... ก็ขอขอบคุณล่วงหน้าไว้ก่อนแล้วกันนะคร้าบผม


โดย: บลูยอชท์ วันที่: 30 ตุลาคม 2551 เวลา:18:31:06 น.  

 
ชื่นชมในความอุตสาหะของ ผกก.

ชอบมากที่สุดจาก The Fall คือภาพขาวดำชอตต่างๆในตอนต้นเรื่อง ดูเหมือนแต่ละชอตนั้นเป็นคนละที่คนละตอนกัน แต่พอดูไปเรื่อยๆหนังมันทำให้เห็นว่าเป็นภาพที่มาจากสถานที่เดียวกัน เหตุการณ์เดียวกัน โยงกัน เชื่อมกัน...และงานด้านภาพก็งามล้ำสุดๆ

ถ้าใครๆว่าแก(ผกก.)ว่าเป็นคนเสียสติที่ทำหนังด้วยเงินทุนตัวเอง ทำเพราะเชื่อในความเป็นตัวเอง เราก็ยินดีที่จะเป็นแฟนเพลงแกด้วยความเสียสติด้วยเหมือนกัน หุหุ

งานแปลมีอีกป่าวอ่ะ อย่าอุบนะ เอามาให้อ่านอีกเน้อ

ช่วงนี้ยังติดกับดักงานเวิลด์ฟิล์ม อีกวันสองวันก็จะเป็นอิสระ



โดย: renton_renton วันที่: 31 ตุลาคม 2551 เวลา:6:53:33 น.  

 
ตกลงได้ดู sell out ไหม
สนุกดีเนอะ


โดย: grappa IP: 58.9.196.213 วันที่: 31 ตุลาคม 2551 เวลา:9:42:24 น.  

 
อืมม ไม่รู้จักหนัง

แต่ดูจากภาพที่เอามาประกอบแล้วรู้สึกว่าสวยจัง

สีสันสวยมากๆ สมควรแล้วที่จะถูกถามเรื่องการถ่ายภาพ

คล้ายๆกับเอมวีของ Bjork ที่แม้จะเป็นภาพเคลื่อนไหว

แต่หากกดให้หยุดนิ่ง ก็สามารถเป็นภาพถ่ายสวยๆใบหนึ่งได้



โดย: Unravel วันที่: 31 ตุลาคม 2551 เวลา:10:58:37 น.  

 

โย่ ชอบเรื่องนี้นะ มันหลุดดี เห็นปุ๊บไม่บอกก็นึกถึง the cellทันที

นั่งรถไฟไปลำปางมา แต่ไม่ได้นั่งรถม้า เสียดาย..


โดย: อออ IP: 202.176.89.115 วันที่: 31 ตุลาคม 2551 เวลา:11:29:27 น.  

 
ไม่ได้ไปไหนเลยค่ะ ทำงานตัวเป็นเกลียวอยู่เชียงใหม่

แต่เมื่อวานได้ฤกษ์ไปปล่อยผีกันมาทั้งออฟฟิศ คุณบลัดดี้ไปไหนมารึป่าวคะ เหรอว่าไปมาแล้วจำไม่ได้
y'know, for the REAL good party, if you remember it then you weren't there

ไม่ได้ไปดูหนังเลยเนี่ย อยากดูลูกชายแรมโบววว์มาก จริงๆเห็นขายเป็นดีวีดีแล้วบางร้าน (แต่แพงอ่ะ)

ตอนนี้ติดซีรี่ยส์ด้วย ดู Criminal mind อยู่ค่ะ สนุกกว่า CSI นะเราว่า (ชอ่บอะไรโรคจิต) ใกล้เลือกตั้งแล้วว่าจะไปขุดซีรี่ยส์สุดรัก west wing มาดูอีกซักรอบ

มาชวนคุย ไหนๆแล้วก็มาตั้งชื่อภาษาไทยให้คุณบลัดดี้มันเดย์ดีกว่า ของเรามีชื่อภาษาไทยแล้ว..
"เลือดสาดจันทร์สยอง" เป็นไงคะ (ฟังดูเหมือนหนังผีเกรดบี)

คนข้างล่างจะไปแล้วนะ


glitter-graphics.com



โดย: แอปเปิ้ลอบเชย (apple_cinnamon ) วันที่: 1 พฤศจิกายน 2551 เวลา:22:00:00 น.  

 
เรื่อง recount ไม่ได้ดูค่ะ เป็นหนังแฉเหรอหนังแก้ตัวคะ

ถ้าอยากดู west wing ยินดีให้ยืมนะคะ มีครบชุดเลย แต่ระวังติดเพราะเราเคยมาแล้ว Rob Lowe เท่ที่สุด come back boy อีกคน

Palin for president?


glitter-graphics.com




โดย: แอปเปิ้ลอบเชยถึงเลือดสาดจันทร์สยอง (apple_cinnamon ) วันที่: 2 พฤศจิกายน 2551 เวลา:19:26:41 น.  

 
ผมก็ไม่ได้นิ่งๆนะครับ เคลื่อนไหวตลอด เพียงแต่ช่วงนี้กำลังบ้าโหลดบิทอยู่ เพื่อนเพิ่งส่ง Invite มาพร้อมบังคับว่าให้ลองเล่นดู ซึ่งหลังจากที่ลองแล้วพบว่า โอ้... เอาเวลาในชีวิตตรูไปอีกเพียบเลย ไอ้นู่นก็น่าโหลด ไอ้นี่ก็น่าโหลด แถมยังต้องเปลืองตังค์ไปถอย External HDD มารองรับไฟล์ที่โหลดอีก อยากเป็น VIP เร็วๆ จะได้ดูไฟล์ลับได้ 5555 แก่นสารของชีวิตเลยนะนี่


โดย: แฟนผมฯ IP: 222.123.7.190 วันที่: 2 พฤศจิกายน 2551 เวลา:20:53:12 น.  

 
ไปดูหนังมาแหละ

ขอเอกเขนกอ่านบทสัมภาษณ์ต่อเลยล่ะกัน

อิอิ เดี๋ยวมาคุย


โดย: หนึ่ง IP: 124.120.83.156 วันที่: 3 พฤศจิกายน 2551 เวลา:14:59:40 น.  

 
#18.

เห็นรูปนี้นึกถึง evan Almighty พึ่งได้ดูมะวานนี้เอง


โดย: ฮาโร IP: 203.153.163.34 วันที่: 3 พฤศจิกายน 2551 เวลา:16:22:14 น.  

 
อ่านจบล่ะ อ่านจบแล้วเฉยๆกับทาร์เซม

แต่อยากบอกว่า พระเอกหล่อมากกกกกกกกกก
แล้วคนที่รับบทเป็น อเล็กซานเดอร์ ตอนต้นเรื่อง ล่ำมากกกกกกกกกกกกกกก น่าทาน

ส่วนหนังก็ดูได้เรื่อยๆ สบายๆๆๆๆ มีฉากที่ spectacle สำหรับเรา คือฉากทหารในบันไดวน กับช้างกลางทะเล
หนูน้อยคนนั้น อัจฉริยะทางการแสดงสุดๆ นี้มันงานศิลปะจริงๆ เพราะ 6 ปีที่สูญไป ไม่มีทางเกิดขึ้นกับการค้าขายแน่ๆ
เราไม่ชอบช่วงพีค และหลังจากนั้น
มันถูกแก้ปัญหาแบบด่วนสรุปและเร่งรีบมาก ไม่สมกับตอนต้นเลย
จนมันทำให้เราเห็นว่า หากปราศจากภาพสวยๆและข้อขาย ในเรื่องโลเกชั่น แล้ว หนังเรื่องนี้ก็เป็นหนังที่ใช้จุดขายเกี่ยวกับ คนและจินตนาการ
ผู้แพ้และความฝันของเขา ได้แบบโบราณมากๆ ไม่น่าสนใจเลย

เราว่าทาร์เซมไม่ได้มีปัญหากับการเล่าเรื่องแล้วล่ะ แต่เป็นเรื่องการสร้างสรรค์บทภาพยนตร์มากกว่า

ปล เราเคยดูเอมวี LMR ที่เค้ากำกับน่ะ อาร์ทไดเรค ต่างไปจากหนังเค้าเลย มันดูทุนต่ำและโลกังกว่า แต่เราก็ไม่รู้ว่าเค้าจะสื่อความหมายอะไรเชิงอินทะเลคช่วล หรอกน่ะ

อืมๆๆๆๆ จะบอกว่าหลายฉากในหนังเค้าทั้ง the cell / the fall ได้แรงบันดาลใจจากภาพศิลปะหลายรูปเลย ชอบๆๆๆๆๆ

นึกถึงเอมวี bedtime story ของเจ๊แม่ ละลานตา



โดย: หนึ่งรักแดเนี่ยล เคร็ก IP: 124.120.83.156 วันที่: 3 พฤศจิกายน 2551 เวลา:17:37:32 น.  

 
เรื่อง Kids ยังไม่ได้อ่านเลยค่ะ แต่เล็งๆเอาไว้เหมือนกัน ทำไมหนังเข้าแต่โรง House ล่ะ แล้วเราจะไปถูกมั๊ยเนี่ย โรงเฮ้าส์มันอยู่หนาย...

หนัง Democrat น่าจะถูกจริตกับ Liberal อย่าเรานะคะ

เสาร์อาทิตย์ที่จะถึงนี้จะกลับกทม.ค่ะ (เย้ๆๆ) ถ้าจะหยิบยืม west wing ก็ติดต่อได้ เดี๋ยวจะไปค้นกรุมาให้ ง่า...ดีวีดีนี่ปลวกแทะได้รึเปล่าชักน่าเป็นห่วง

อืม...โปสเตอร์ข้างล่างไปแปะที่ไหนดี


glitter-graphics.com


โดย: แอปเปิ้ลอบเชย (apple_cinnamon ) วันที่: 3 พฤศจิกายน 2551 เวลา:20:34:21 น.  

 
หวัดดีคับ หายไปจากสารบบนาน ยุ่งมากเลยเทอมนี้ งานเยอะมากกก เบื่อ... เรื่องนี้ตอนนั้นอยากดูแล้วก็ไม่ได้ดูจนตอนนี้แทบจะลืมไปแล้ว ชอบพระเอกจาก Pushing Daisies เล่นดี ฉากก็สวยนะแต่แอบไม่กล้าเพราะหลอนจาก The Cell อีฉากที่ม้าถูกผ่าตัดลำตัวเป็นซีกๆ อะไรของมานกะมะรุ

ป.ล. ประเด็นก็คือจะเข้ามาถามว่า 30 Rock นี่ถ้าซื้อมาบุญครอง ซับมันจะรู้เรื่องมั๊ย แล้วมันคิดราคายังไง เป็นแผ่นหรือเหมา ซีซั่นนึงมีกี่ตอน พอดีไม่เคยซีรี่ดูเองเลยอะคับ


โดย: Moonlight Mile IP: 125.24.89.202 วันที่: 4 พฤศจิกายน 2551 เวลา:20:25:46 น.  

 
คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...


โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 4 พฤศจิกายน 2551 เวลา:20:50:17 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

BloodyMonday
Location :
Imaginationland, Valley of Bliss China

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]






-= M & M in Nutshell =-


Gentlemen Broncos (2009)


You could have brain tumor by watching this contaminated turd. Nothing in Gentlemen Broncos pays off, it’s incoherent mess, and chock-full of incredibly annoying characters. You will not only loath this movie, but it also makes you want to punch someone who responsible for this abomination in the face.

BloodyMonday Rating:



Fantastic Mr. Fox (2009)


Imagine if Akira got Live-Action treatment by... say Alfonso Cuarón, you know how awesome it might be? That’s what happened to "Fantastic Mr. Fox". Wes Anderson's auteur perfectly captured the quirkiness and blissful tone of the material. Its stop-motion technique might be a little crude and... somewhat unsophisticated, but that's the charm of it. You’ll feel like pop-up book unveiled before your eyes. This is an exceptional animation of the year.

BloodyMonday Rating:



Planet 51 (2009)


ถ้าถามว่าสนุกไหม? ก็โอเค ทุกอย่างถอดแบบมาจาก Shrek มุขที่อ้างอิงวัฒนธรรมป็อป ตัวละครสมทบที่น่าสนใจกว่าตัวเอก กราฟฟิคที่สอบผ่านฉลุย (ถ้าไม่ไปวัดกับพิกซาร์) แต่ถ้าถามว่าต้องดูไหม? ..... เอาเป็นว่าเวลาชั่วโมงครึ่ง ทำอะไรที่มีประโยชน์กว่านี้ได้เยอะแยะ

BloodyMonday Rating:



It's Complicated (2009)


รู้สึกสนุกกับการได้เห็นป้าเมอรีล เข้าโหมดแอ๊บเด็ก (อีกแล้ว) ในขณะเดียวกัน อเล็กซ์ บอลด์วิน และ จอห์น ครากินสกี้ ก็ขโมยซีนได้ตลอด แต่มันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหนังยาว 2 ชั่วโมงมีเรื่องให้เล่าแค่ 15 นาที... It's Complicated อาจเหมือนคนกินไวอากร้าแล้วเข้านอน คึกตลอดคืนแต่มันจะมีประโยชน์อะไร?

BloodyMonday Rating:



Up in the Air (2009)


Up in the Air is a blockbuster movie for people who think blockbuster movies are dumb, as it chock full of brilliantly written dialogue, and acting showcase for three talented actors (especially star-making turn by Anna Kendrick). But in the end, there's little to love, not so much story to chew on (plus disappointing third act), and no real connection to the meaning of human interaction as it intended to be.

BloodyMonday Rating:



I Love You, Beth Cooper (2009)


Cliché-ridden plot about a bunch of annoying characters get together in one idiotic circumstance, "I Love You, Beth Cooper" is shameless exploitation & biggest insult to 80s teen flicks. It's like memorizing magic trick from internet, hoping to perform like David Copperfield. Neither sense of wonder nor magic flare happens here. Only good thing is, it makes me wanna cleanse my soul with genuine 80s teen movie night marathon.

BloodyMonday Rating:



Everybody's Fine (2009)


Meh. The movie serious lack of originality & characters development. Only Robert De Niro comes out fine in this schmaltzy, "Lifetime" movie-of-the-week plot.

BloodyMonday Rating:



Paper Heart (2009)


Twee delight... That's only two words I can think of right now.

BloodyMonday Rating:



Adam (2009)


A perfect companion to Mary & Max (one of the best animation of 2009), Adam is star-crossed love story (pun intended) between Adam, Asperger's Syndrome bearer, and Beth, free spirit woman. The picture wouldn’t be this intimate without stunning performance by Hugh Dancy. On the other hand, the lack of depth on why Beth would love someone like Adam, preventing me from wholeheartedly embraces her choice in the end (which is nice & perfect but requires a leap of faith). Otherwise, this is touching romantic film, which putting its feet firmly on the ground, making the world full of hope and seems nicer place to live.

BloodyMonday Rating:



The Invention of Lying (2009)


Expected to be like “Click” or “Yes Man”, where high-concept plot turned into endless gags, with moral lesson (forcefully) shoving down your throat. But "The Invention of Lying" is thinking man’s film. The whole concept is not seeing how first lying man exploits the ability. But it's about him finding the way not to lie, in order to find genuine happiness. Great stuff.

BloodyMonday Rating:



Give ‘Em Hell Malone (2009)


This is one damn frustrating experience. It’s like watching an infant trying to stand up and walk. They would take a few steps then fall their asses. In fact, kiddie film like “Bugsy Malone” has done better job paying a tribute to film noir than this borefest.

BloodyMonday Rating:



Zombieland (2009)


ถ้าอังกฤษมีหนังซอมบี้ฮาแตกอย่าง Shaun of the Dead แล้ว ทำไมอเมริกาจะมีบ้างไม่ได้... Zombieland คือการผสมผสานระหว่างบรรดาหนังซอมบี้เก่าๆ เข้ากับทัศนคติของคนสร้างที่อาจดูหนังแนวนี้มากเกินความจำเป็น จนสามารถสร้างหนังซอมบี้ที่เข้าใจสิ่งที่ตัวเองเป็น และเล่นสนุกไปกับกฏพื้นฐานของซอมบี้ได้อย่างเต็มที่ ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องยกความดีให้สี่นักแสดงนำ โดยเฉพาะ วู้ดดี้ ฮาเรลสัน (เขาเกิดมาเพื่อบทนี้) ที่ช่วยกันสร้างมนต์เสน่ห์ ให้กับการเดินทางในโลกไร้มนุษย์ได้อย่างเต็มที่

ถึงแม้พลังงานที่ขับเคลื่อนจะมาหมดเอาดื้อๆในองค์สุดท้าย เมื่อฉากใหญ่ในสวนสนุกถูกทำขึ้นเพื่อแสดงฉากการฆ่าซอมบี้เด็ดๆ (ซึ่งไม่ใช่จุดเด่นสำหรับเรื่องนี้เลย) แต่โดยรวมแล้วมันก็ไม่ใช่ข้อแก้ตัว ที่บรรดาแฟนซอมบี้จะมาพลาดหนังเรื่องนี้... อ้อ แล้วหนังยังมีดารารับเชิญสุดเซอร์ไพรซ์ ที่สร้างเสียงฮาที่สุดในเรื่องได้จากประโยคสุดท้ายอีกด้วย

BloodyMonday Rating:



Frequently Asked Questions About Time Travel (2009)


เมื่อเพื่อนสามคนก๊งเบียร์กันในผับแล้วเจอสาวฮ็อต (แอนนา ฟาริส) ที่อ้างว่ามาจากอนาคตจนเกิดรอยแยกของเวลา ทำให้ทั้งสามต้องท่องไปทั้งโลกในอนาคตและอดีตจนวุ่นวาย...

หนังมีไอเดียกิ๊บเก๋ ทำออกมาได้สนุกสนานสไตล์ซิตคอมอังกฤษ โดยเฉพาะการนำกฏเหล็กต่างๆจากหนังที่เกี่ยวกับการท่องเวลา (ดูเหมือนว่า Back to the Future จะเป็นแรงบรรดาลใจหลัก) มาปู้ยี้ปู้ยำอย่างเมามัน ถึงแม้ว่าตลอดเวลาการรับชมจะให้ความรู้สึก เหมือนตัวเองกำลังดูซีรี่ย์ทางโทรทัศน์ แต่มันก็คือตอนที่ฮาที่สุดของซีซั่น แถมเอฟเฟ็คที่ใช้ก็มีคุณภาพจนคาดไม่ถึง

BloodyMonday Rating:



Looking for Eric (2009)


มีความรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มองโลกในแง่ดีเกินบรรยากาศโดยรวม จริงอยู่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ลงเอยด้วยดีในตอนสุดท้ายนั้น สามารถสร้างความสุขและรอยยิ้มให้กับคนดู แต่จากสถานการณ์ในเรื่องและบริบทที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ มันยากที่จะทำใจเชื่อในสิ่งที่เห็น โดยเฉพาะพล็อตรองเกี่ยวกับปืน ซึ่งถ้าถูกตัดออกไปและหนังยังดำเนินเรื่องอย่างที่เป็นอยู่ Looking for Eric ก็น่าจะเป็นหนังฟีลกู้ดที่อบอุ่นที่สุดเรื่องหนึ่งของปีเลยทีเดียว

BloodyMonday Rating:


~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2551
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
28 ตุลาคม 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add BloodyMonday's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.