Review: Harold & Kumar Escape from Guantanamo Bay



อย่าให้ชื่อเรื่องนี้ทำให้คุณหลงคิดว่า สองคู่หูคู่มึนนั้น จะต้องหลบหนีจากสถานกักกันอันเลื่องชื่อทั้งเรื่อง (แต่มันก็นำมาซึ่งฉากที่ฮาแตกที่สุดฉากหนึ่งในเรื่อง) เพราะมันเป็นแค่หนึ่งในสถานที่ ที่พวกเขาจับพลัดจับพลูเข้าไปอยู๋ในนั้น ่เนื้อเรื่องหลักของหนังเรื่องนี้นั้นเริ่มต้นขึ้นทันที หลังจากที่ฮาโรลด์และคูมาร์กลับมาถึงอพาร์ทเม๊นต์ในตอนจบของภาคแรก พวกเขาตัดสินใจที่จะบินไปหามาเรีย ที่กำลังถ่ายแบบอยู่ที่ประเทศฮอลแลนด์ แต่เรื่องที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นบนเครื่องบิน เมื่อคูมาร์ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อการร้าย โดยหญิงแก่วิตกจริตคนหนึ่ง (ซึ่งมันก็ยิ่งเลวร้ายเมื่อเจ้าคูมาร์ดันพกบ้องกัญชาขึ้นเครื่อง แล้วบอกทุกคนในเครื่องว่า bong เพียงแต่คนอื่นดันได้ยินว่า bomb แทน)

ในที่สุดทั้งสองหนุ่มก็ถูกส่งไปยังสถานกักกันผู้ก่อการร้าย ที่อ่าวกวนตานาโม ที่ที่ซึ่งมีการลงโทษผู้ต้องขังที่น่าสะอิดสะเอียด และน่าขำที่สุดเท่าที่เคยได้ยินกันมา (นักโทษต่างเรียกการลงโทษนี้ว่าว่า "เวลากินแซนด์วิช" ส่วนจะเป็นอย่างไรนั้น ไปคิดกันเอาเอง ฮา...) เตชะบุญที่ก่อนที่ฮาโรลด์และคูมาร์ ต้องลิ้มเลียรสชาติแซนด์วิชของผู้คุม นักโทษในคุกก็ก่อกบฏ ซึ่งทำให้ทั้งสองสามารถหนีออกมาได้อย่างหวุดหวิด ทั้งฮาโรลด์และคูมาร์ตัดสินใจมุ่งหน้าไปเท็กซัส เพื่อที่จะขอความช่วยเหลือจากคู่หมั้นของแฟนเก่าคูมาร์ ที่เผอิญเป็นหนุ่มนักการเมืองพอดี โดยระหว่างการเดินทางล่องใต้ของพวกเขานั้น พวกเขาก็ได้พาลพบกับคนมากหน้าหลายตา ทั้งพวกคลูคลักแคลน ที่จัดปาร์ตี้ได้เจ๋งไม่แพ้นักเรียนมหาวิทยาลัย, สองผัวเมียที่อาศัยอยู่ในป่า แต่ในบ้านกลับมีสิ่งอำนวยความสะดวก ไม่ต่างจากอพาร์ทเม๊นต์หรูในย่านดาวน์ทาวน์เลย (แถมยังมีลูกชายตาเดียวซ่อนอยู่ในห้องใต้ดินอีกตะหาก) และที่ขาดไม่ได้อย่างแน่นอนที่สุด นั้นก็คือการปรากฎตัวของดาราทีวีชื่อดังอย่างนีล แพทริค แฮริส นั้นเอง

นี้อาจจะเรียกได้ว่าเป็นการเดินทางที่มีสโคปที่ค่อนข้างกว้าง มากกว่าการเดินทางไปหาแฮมเบอร์เกอร์แห่งปราสาทสีขาวในภาคแรก ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นตามมามันก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะในขณะที่หนังต้องรักษาระดับความฮาที่มีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม พวกเขาก็ยังต้องประคองเส้นเรื่องหลักและเส้นเรื่องรอง (ที่เกี่ยวข้องกับแฟนเก่าของคูมาร์) ให้ผ่านไปได้ตลอดรอดฝั่ง ซึ่งมันก็ทำให้ความเข้มข้นของการเดินทางดูเจือจางลง และดูด้อยความหมายไปอย่างน่าเสียดาย โดยเฉพาะการผูกเรื่องนั้น ก็เทียบไม่ได้เลยกับภาคแรก ที่สามารถสร้างความสัมพันธ์ของตัวแสดงนำทั้งสองได้อย่างกินใจ อีกทั้งยังสามารถตอกกลับพวกที่ชอบ Stereotype คนอื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด โดยในภาคนี้นั้น ถึงแม้ว่าก็ยังมีการนำเสนอตัวละครที่มีพฤติกรรมแบบนั้นอยู่ แต่มันก็ถูกนำเสนอเพื่อผลลัพท์ในด้านความบันเทิง มากกว่าเพื่อที่จะวิพากษ์วิจารณ์สังคม (แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น มันถูกสร้างออกมาได้อย่างฮาจริงๆ โดยเฉพาะในฉากที่ FBI สอบสวนพ่อแม่ของฮาโรลด์และคูมาร์)

เมื่อเราลองมองถึงระดับความฮาที่หนังเรื่องนี้ได้ผลิตออกมา มันก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีว่า มันยังมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยมและไม่ได้ด้อยไปกว่าภาคแรกเลย (เผลอๆอาจจะมีจำนวนที่มากกว่าด้วยซ้ำไป) และมันก็ยังสามารถตอบสนองความพอใจของเหล่านักดูหนังวัยรุ่น (โดยเฉพาะเพศชาย) ได้ถึงจุดสุดยอด โดยเฉพาะคำหยาบโลนและจำนวน T&A ที่มีมากกว่าหนังวัยรุ่นธรรมดาทั่วๆไป (แต่มันอาจจะมากเกินไปสำหรับบางคน โดยเฉพาะในฉากปารตี้เปลือยท่อนล่าง) แต่มันก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง ที่หลังจากฮาโรลด์และคูมาร์ได้เดินทางถึงที่หมายแล้ว ดูเหมือนความสนุกจะดูจืดชืดลงในทันใด ซึ่งมันก็คงเหลือแต่ความพยายาม ในการหาบทสรุปที่สวยหรูให้กับตัวละครทุกๆตัว

ถึงแม้ว่าการผจญภัยครั้งใหม่ของสองคู่มึนฮาโรลด์และคูมาร์ จะเป็นการเดินทางที่ดูแล้วค่อนข้างไร้จุดมุ่งหมาย และไม่สะดวกราบรื่นอย่างที่ควรจะเป็นนัก แต่มันก็สมควรได้รับคำชมเชย จากการที่มันสามารถแทรกซึมผ่าน ข้อจำกัดของหนังวัยรุ่นอเมริกันไร้สมอง ที่ถูกผลิตออกมาแบบขอไปทีได้ อีกทั้งหนังก็ยังเปี่ยมไปด้วยบทวิพากษ์วิจาร์ณสังคมของชาวอเมริกัน ที่ช่างน่าขันและน่าสมเพชในเวลาเดียวกัน นี้เองอาจจะไม่ใช่ภาคต่อที่ดีเยี่ยมเท่ากับภาคแรก แต่มันก็ยังคงยืนอยู่เหนือหนังตลกสัปดนทั่วๆไปในปัจจุบัน และก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่งว่า ทั้งสองดารานำจอห์น โช และคาล เพนน์ และผู้เขียนบท ต่างก็ตกลงที่จะสร้างภาคต่อแล้ว


BloodyMonday Rating:



Create Date : 26 กรกฎาคม 2551
Last Update : 26 กรกฎาคม 2551 15:37:04 น. 9 comments
Counter : 1570 Pageviews.

 

คุณเคยโง่ได้เท่าผมไหม?

ตอนที่เราคุยกันเรื่อง Stop – Loss แล้วพาลไปคุยเรื่องหนังเต้นๆดิ้นๆ
ปรากฏว่าผมเลยไปเกิดภาพนิมิตในสมองว่า “Stop – Loss เป็นหนังเต้นๆไปด้วย” !!!

ตอนไปหยิบแผ่นจ่ายเงิน ดูหลังปกเจอรูปพระเอกสวมชุดทหาร...
ผมงี้ตกใจนึกว่าหยิบแผ่นผิด พอพลิกดูหลายรอบจึงรู้ว่าถูกแล้ว แต่ผมเองแหละที่เข้าใจผิด
ตอนซื้อนี้กะเอาดูไปดิ้นไปเลยนะเนี่ย 555+ สงสัยจะไม่ใช่แล้ว

หนังอีกเรื่องที่ซื้อมาด้วยเจอจากที่นี่คือ Neet Bill
ตอนซื้อให้ความรู้สึกเหมือน Definitely, Maybe
คือมีข้อมูลในหัวน้อยมากกก (เรื่องนี้มีน้อยกว่า Definitely, Maybe อีกเพราะอ่านอังกิตไม่ออก)
งานนี้ก็แต่ไปลุ้นกัน (เป็นไปตอบอีกบ้านนึง บอกว่าหนังที่ผมซื้อมาหวังมากไมได้หรอ -*-
งั้นหวังจาหนังที่คุณแนะนำก็แล้ว...รู้ใช่ไหมว่าถ้าไม่มันนี่ผมวีนแตกนะขอบอก 5555+)

กับหนังเรื่องที่รีวิวนี้...งะ ไม่เคยดูภาค 1
อ่านที่เขียนจบแล้วทาตัวเองที่ไม่เคยรู้จักภาค 1 ได้ยังไง
อ่านมาน่าดูมาก (เอเชียตี๋ๆ + อาหรับแขกๆ คิดได้ไง) แต่ไหงได้แค่ 2 ดาวครึ่ง
(แต่หนังบางเรื่องก็พยายามขำจนน่าสมเพชจริงๆ)
แปลว่ามันเน้นขำแต่ไม่สมจริงหรอครับ เอาน่าถ้าขำได้ผมก็เอาแล้ว 555+
ขอรายละเอียดของภาคแรกนิดๆได้ไหมครับ(ก็คุณต้องรับผิดชอบที่ทำให้ผมสนใจนะ)

วันนี้พรุ่งนี้ ถ้าได้ดูหนังที่ซื้อ แล้วจะเอามาคุยด้วยนะครับ ^^
ยินดีต้อนรับกลับบ้านครับ
(ปราบมัมมี่เจ็ท ลี่ได้แล้วหรอครับ 555+)


โดย: ขอรบกวนทั้งชุดนอน วันที่: 26 กรกฎาคม 2551 เวลา:22:00:51 น.  

 
ยินดีต้อนรับกลับบ้านเช่นกันค่ะ
แวะมาอ่านหนังแผ่นบ้านนี้ไม่มีผิดหวัง...
zwani.com myspace graphic comments
Myspace Hello Comments & Graphics



โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 26 กรกฎาคม 2551 เวลา:23:07:43 น.  

 
ขอรบกวนทั้งชุดนอน
แหม ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ ความจริงชื่อ Stop – Loss ก็มีคุณสมบัติพอ ที่จะเป็นหนังเต้นๆได้เหมือนกันนะ แหะๆๆ ... ส่วน Meet Bill นั้นอาจจะไม่ได้ให้ความรู้สึกเหมือน Definitely, Maybe เท่าไรนะครับ ผมว่าถ้าจะให้เปรียบกับหนังที่ได้ดูมาในช่วงนี้ มันก็อาจจะมีบรรยากาศที่คล้ายคลึงกลับหนังเรื่อง Lars and the Real Girl ซะมากกว่า (ประมาณว่าพระเอกได้ใช้ชีวิตอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมลูกบาศก์แคบๆมาทั้งชีวิต จนในที่สุดก็ตัดสินใจหยิบค้อนปอนด์ทะลายกำแพงรอบข้างให้สิ้นซาก)... สำหรับการผจญภัยครั้งแรกของนายฮาโรลด์และคูมาร์ แหมผมว่าคุณพลาดหนังตลกสัปดนดีๆเรื่องหนึ่งไปแล้วน่ะ (ขนาดนั้น) เนื้อเรื่องมันอลังการมากครับ คือระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังเมากัญชาในคืนหนึ่ง ก็เกิดอยากกินแฮมเบอร์เกอร์ยี่ห้อ White Castle ขึ้นมา ปัญหาก็คือมันอยู่ไกลมากกก พวกเขาก็เลยตัดสินใจออกผจญภัยเพื่อไปกินแฮมเบอร์เกอร์ที่ร้านนั้น แค่นี้ครับสำหรับพล็อต 555+ สิ่งที่มันทำให้หนังเรื่องนี้เหนือชั้นกว่าหนังวัยรุ่นสัปดนทั่วไป ก็อย่างที่บอกคือการที่มันสามารถทำลายกำแพงการ Stereotype ของชาวอเมริกัน ที่มีต่อเชื้อชาติอื่นๆที่ไม่ใช่ชาติของตนนั้นเองลงได้อย่างหมดจด ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังคงความฮาได้อย่างไม่หยุดหย่อน ... ส่วนภาคสองกับคะแนนที่ให้นั้น ผมว่าสองดาวครึ่งเป็นอะไรที่ "ดี" สำหรับผมแล้วน่ะ ถ้าจะให้เรตภาคแรกด้วย ผมก็คงจะให้สามดาว (นั้นก็คือ "เยี่ยม") ไปเลยละครับ... อ๋อ ขอบคุณที่อวยพรครับ (ถึงแม้ว่าจะแพ้มัมมี่เจ็ท ลีมา 555+)

เริงฤดีนะ
ขอบคุณที่อวยพรครับ กลับมาแล้วเหมือนกันใช่ไหมฮ่ะ แหะๆๆ


โดย: BloodyMonday วันที่: 27 กรกฎาคม 2551 เวลา:10:00:11 น.  

 
ทำนองนั้น คิดว่าคนคงจดจำเขาจากบทบาทโจ๊กเกอร์ไปอีกนาน


โดย: chubbymature IP: 58.8.33.103 วันที่: 27 กรกฎาคม 2551 เวลา:11:21:45 น.  

 
กลับมาแล้วก็จะไปต่ออีกแล้ว..แต่ขี้เกียจมากมากๆเลยค่ะ..กระเป๋ายังไม่ได้ Pack เลย
เบื่อต้องแต่งตัวเรียบร้อย..


โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 27 กรกฎาคม 2551 เวลา:21:29:34 น.  

 
อ่ะ..มีภาคแรกด้วยเหรอเนี่ย ยังไม่เคยดูเลยอ่ะ

แล้วทีแอนด์เอนี่เค๊าหมายถึงอะไรอ่ะคะ วานบอก


โดย: renton_renton วันที่: 28 กรกฎาคม 2551 เวลา:8:49:43 น.  

 
chubbymature
^_^

เริงฤดีนะ
ต้องท่องไว้ครับว่า "มันเป็นงานๆ" แหะๆๆ...

เรนตั้น
อ้าว ไม่ได้ดูนายฮาโรลด์ & คูมาร์เหรอ สนุกนาา รับประกันๆ ส่วน T&A เด๋วไปตอบในบล็อคละกัน กันพลาดๆ...


โดย: BloodyMonday วันที่: 28 กรกฎาคม 2551 เวลา:9:23:31 น.  

 
อ้าว เห็นเค้าทักๆกันว่ากลับมาแล้ว คุณ BdMd ไปไหนมาเหรอครับ?

เขียนรีวิวซะน่าสนใจเชียว ผมไม่เคยเห็นหนังเรื่องนี้มาก่อนในชีวิตเลยอ้ะครับ (มันเคยมีภาค 1 แล้วด้วยเหรอเนี่ย) แต่หนังแนวฮาหยาบคายแบบนี้ผมล่ะชอบจริงๆ คงต้องไปพยายามหามาดูบ้างซะแล้ว

เอ่อ... ว่าแต่ไอ้รูปที่ช่องคอมเมนท์นี่มันมาจากหนังเรื่องอะไรล่ะเนี่ย?


โดย: แฟนผมตัวดำ วันที่: 28 กรกฎาคม 2551 เวลา:22:26:53 น.  

 
หวัดดีค่ะบลัดดี้คุง สบายดีไม๊เอ่ย
มารีออง(ยังมีชีวิตอยู่)ยังตามอ่านบล็อคของบลัดดี้อยู่นะค่ะ ยิ่งอ่านก็ยิ่งคิดถึงหนัง เวลามาอ่านก็ทำให้คลายเบื่อหน่ายกับงานไปบ้างน่ะ ขอบคุณบลัดดี้ที่ยังเขียนอะไรดีๆให้อ่านอยู่น่ะ
แล้วถ้าได้ดูหนังโดนๆ จะอัพเล่าบ้างนะค่ะ
บอกตรงๆ เกรงใจเพื่อนๆที่เล่นบล็อคด้วยกัน เพราะหลังๆไม่ค่อยได้แชร์เหมือนเมื่อก่อนเลยT-T


โดย: มารีออง(เอง) IP: 125.24.91.180 วันที่: 29 กรกฎาคม 2551 เวลา:21:04:47 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

BloodyMonday
Location :
Imaginationland, Valley of Bliss China

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]






-= M & M in Nutshell =-


Gentlemen Broncos (2009)


You could have brain tumor by watching this contaminated turd. Nothing in Gentlemen Broncos pays off, it’s incoherent mess, and chock-full of incredibly annoying characters. You will not only loath this movie, but it also makes you want to punch someone who responsible for this abomination in the face.

BloodyMonday Rating:



Fantastic Mr. Fox (2009)


Imagine if Akira got Live-Action treatment by... say Alfonso Cuarón, you know how awesome it might be? That’s what happened to "Fantastic Mr. Fox". Wes Anderson's auteur perfectly captured the quirkiness and blissful tone of the material. Its stop-motion technique might be a little crude and... somewhat unsophisticated, but that's the charm of it. You’ll feel like pop-up book unveiled before your eyes. This is an exceptional animation of the year.

BloodyMonday Rating:



Planet 51 (2009)


ถ้าถามว่าสนุกไหม? ก็โอเค ทุกอย่างถอดแบบมาจาก Shrek มุขที่อ้างอิงวัฒนธรรมป็อป ตัวละครสมทบที่น่าสนใจกว่าตัวเอก กราฟฟิคที่สอบผ่านฉลุย (ถ้าไม่ไปวัดกับพิกซาร์) แต่ถ้าถามว่าต้องดูไหม? ..... เอาเป็นว่าเวลาชั่วโมงครึ่ง ทำอะไรที่มีประโยชน์กว่านี้ได้เยอะแยะ

BloodyMonday Rating:



It's Complicated (2009)


รู้สึกสนุกกับการได้เห็นป้าเมอรีล เข้าโหมดแอ๊บเด็ก (อีกแล้ว) ในขณะเดียวกัน อเล็กซ์ บอลด์วิน และ จอห์น ครากินสกี้ ก็ขโมยซีนได้ตลอด แต่มันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหนังยาว 2 ชั่วโมงมีเรื่องให้เล่าแค่ 15 นาที... It's Complicated อาจเหมือนคนกินไวอากร้าแล้วเข้านอน คึกตลอดคืนแต่มันจะมีประโยชน์อะไร?

BloodyMonday Rating:



Up in the Air (2009)


Up in the Air is a blockbuster movie for people who think blockbuster movies are dumb, as it chock full of brilliantly written dialogue, and acting showcase for three talented actors (especially star-making turn by Anna Kendrick). But in the end, there's little to love, not so much story to chew on (plus disappointing third act), and no real connection to the meaning of human interaction as it intended to be.

BloodyMonday Rating:



I Love You, Beth Cooper (2009)


Cliché-ridden plot about a bunch of annoying characters get together in one idiotic circumstance, "I Love You, Beth Cooper" is shameless exploitation & biggest insult to 80s teen flicks. It's like memorizing magic trick from internet, hoping to perform like David Copperfield. Neither sense of wonder nor magic flare happens here. Only good thing is, it makes me wanna cleanse my soul with genuine 80s teen movie night marathon.

BloodyMonday Rating:



Everybody's Fine (2009)


Meh. The movie serious lack of originality & characters development. Only Robert De Niro comes out fine in this schmaltzy, "Lifetime" movie-of-the-week plot.

BloodyMonday Rating:



Paper Heart (2009)


Twee delight... That's only two words I can think of right now.

BloodyMonday Rating:



Adam (2009)


A perfect companion to Mary & Max (one of the best animation of 2009), Adam is star-crossed love story (pun intended) between Adam, Asperger's Syndrome bearer, and Beth, free spirit woman. The picture wouldn’t be this intimate without stunning performance by Hugh Dancy. On the other hand, the lack of depth on why Beth would love someone like Adam, preventing me from wholeheartedly embraces her choice in the end (which is nice & perfect but requires a leap of faith). Otherwise, this is touching romantic film, which putting its feet firmly on the ground, making the world full of hope and seems nicer place to live.

BloodyMonday Rating:



The Invention of Lying (2009)


Expected to be like “Click” or “Yes Man”, where high-concept plot turned into endless gags, with moral lesson (forcefully) shoving down your throat. But "The Invention of Lying" is thinking man’s film. The whole concept is not seeing how first lying man exploits the ability. But it's about him finding the way not to lie, in order to find genuine happiness. Great stuff.

BloodyMonday Rating:



Give ‘Em Hell Malone (2009)


This is one damn frustrating experience. It’s like watching an infant trying to stand up and walk. They would take a few steps then fall their asses. In fact, kiddie film like “Bugsy Malone” has done better job paying a tribute to film noir than this borefest.

BloodyMonday Rating:



Zombieland (2009)


ถ้าอังกฤษมีหนังซอมบี้ฮาแตกอย่าง Shaun of the Dead แล้ว ทำไมอเมริกาจะมีบ้างไม่ได้... Zombieland คือการผสมผสานระหว่างบรรดาหนังซอมบี้เก่าๆ เข้ากับทัศนคติของคนสร้างที่อาจดูหนังแนวนี้มากเกินความจำเป็น จนสามารถสร้างหนังซอมบี้ที่เข้าใจสิ่งที่ตัวเองเป็น และเล่นสนุกไปกับกฏพื้นฐานของซอมบี้ได้อย่างเต็มที่ ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องยกความดีให้สี่นักแสดงนำ โดยเฉพาะ วู้ดดี้ ฮาเรลสัน (เขาเกิดมาเพื่อบทนี้) ที่ช่วยกันสร้างมนต์เสน่ห์ ให้กับการเดินทางในโลกไร้มนุษย์ได้อย่างเต็มที่

ถึงแม้พลังงานที่ขับเคลื่อนจะมาหมดเอาดื้อๆในองค์สุดท้าย เมื่อฉากใหญ่ในสวนสนุกถูกทำขึ้นเพื่อแสดงฉากการฆ่าซอมบี้เด็ดๆ (ซึ่งไม่ใช่จุดเด่นสำหรับเรื่องนี้เลย) แต่โดยรวมแล้วมันก็ไม่ใช่ข้อแก้ตัว ที่บรรดาแฟนซอมบี้จะมาพลาดหนังเรื่องนี้... อ้อ แล้วหนังยังมีดารารับเชิญสุดเซอร์ไพรซ์ ที่สร้างเสียงฮาที่สุดในเรื่องได้จากประโยคสุดท้ายอีกด้วย

BloodyMonday Rating:



Frequently Asked Questions About Time Travel (2009)


เมื่อเพื่อนสามคนก๊งเบียร์กันในผับแล้วเจอสาวฮ็อต (แอนนา ฟาริส) ที่อ้างว่ามาจากอนาคตจนเกิดรอยแยกของเวลา ทำให้ทั้งสามต้องท่องไปทั้งโลกในอนาคตและอดีตจนวุ่นวาย...

หนังมีไอเดียกิ๊บเก๋ ทำออกมาได้สนุกสนานสไตล์ซิตคอมอังกฤษ โดยเฉพาะการนำกฏเหล็กต่างๆจากหนังที่เกี่ยวกับการท่องเวลา (ดูเหมือนว่า Back to the Future จะเป็นแรงบรรดาลใจหลัก) มาปู้ยี้ปู้ยำอย่างเมามัน ถึงแม้ว่าตลอดเวลาการรับชมจะให้ความรู้สึก เหมือนตัวเองกำลังดูซีรี่ย์ทางโทรทัศน์ แต่มันก็คือตอนที่ฮาที่สุดของซีซั่น แถมเอฟเฟ็คที่ใช้ก็มีคุณภาพจนคาดไม่ถึง

BloodyMonday Rating:



Looking for Eric (2009)


มีความรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มองโลกในแง่ดีเกินบรรยากาศโดยรวม จริงอยู่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ลงเอยด้วยดีในตอนสุดท้ายนั้น สามารถสร้างความสุขและรอยยิ้มให้กับคนดู แต่จากสถานการณ์ในเรื่องและบริบทที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ มันยากที่จะทำใจเชื่อในสิ่งที่เห็น โดยเฉพาะพล็อตรองเกี่ยวกับปืน ซึ่งถ้าถูกตัดออกไปและหนังยังดำเนินเรื่องอย่างที่เป็นอยู่ Looking for Eric ก็น่าจะเป็นหนังฟีลกู้ดที่อบอุ่นที่สุดเรื่องหนึ่งของปีเลยทีเดียว

BloodyMonday Rating:


~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2551
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
26 กรกฏาคม 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add BloodyMonday's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.