Go SYDNEY เฮ้ย....มีดีกว่าที่คิด!!...ตอนที่ 2 By ดช.จุ่น
เช้าวันใหม่ 6, 7, 8 ไม่ใช่Code ลับอะไรหรอกครับ ถ้าใครไปเที่ยวกับทัวร์บ่อยๆ ก็จะรู้Code นี้ดี 555 หลังจากที่เราได้นอนพักผ่อนกันบนเตียงนุ่น ๆ ผ้าห่มหนา ๆ อาบน้ำอุ่น ๆ และทานข้าวกันเรียบร้อยแล้ว เราก็พร้อมจะเดินทางไปเที่ยวกันต่อครับ วันนี้เราจะเดินทางต่อไปยังสถานที่ขึ้นชื่ออีกแห่งหนึ่งของประเทศออสเตรเลียกัน นั่นคืออุทยานแห่งชาติ บลูเมาเทนส์ (Blue Mountains National Park) หรือ เทือกเขาสีน้ำเงิน ตั้งอยู่ที่เมือง Katoomba (กาทูมบ้า)” ซึ่งเป็นภาษาโบราณของชนเผ่า Aboriginal ซึ่งเป็นชนเผ่าพื้นเมืองของออสเตรเลีย เราใช้เวลาประมาณ ไม่เกิน 2 ชม. ก็เข้าเขตอุทยานแห่งชาติ Blue Mountains เทือกเขานี้เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาเกรทดิไวดิ้ง (Great Dividing Range) ในเขตอุทยานแห่งชาติ เทือกเขานี้ปกคลุมไปด้วยต้นกัม (Gum Tree) ต้นไม้ในตระกูลยูคาลิปตัสซึ่งมีใบสีเขียวเข้ม เมื่อมองจากที่ไกลๆ ก็จะเห็นเป็นสีน้ำเงิน นี่คือที่มาของชื่อเทือกเขาแห่งนี้ครับ
เพิ่มความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ เทือกเขาบลูเมาเทนส์ ถูกค้นพบในปี ค.ศ.1813 ปัจจุบันได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การ UNESCO ให้เป็นพื้นที่มรดกโลก ในปี ค.ศ.2000 ไปเรียบร้อยแล้ว นี่แสดงถึงคุณค่าในตัวของเทือกเขาแห่งนี้ เมื่อเราลงจากรถโค้ชบริเวณด้านหน้าของอุทยาน ไกด์พาเราเดินมาหยุดที่ด้านหน้าของซีนิคเวิลด์ (Scenic World) และพาเราไปยังสถานีรถรางสายที่ชันที่สุดในโลก (Scenic Railway) ที่ความชันระดับ 52 องศา (ชันไหมล่ะ !!!) ตอนแรกผมก็เฉย ๆ นะ มันก็แค่นั่งรถรางก็แค่นั้นเอง แต่พอรถรางเริ่มออกตัวเท่านั้นล่ะ เสียงทุกคนที่นั่งอยู่บนรถรางก็ร้องกรี๊ดกันด้วยความหวาดเสียว อืม.นะ..ก็มันชันซะขนานนั้น ++++
ภาพ Scenic Railway Cr. tripadvisor
รถรางพาเราลงมายังเหมืองถ่านหินเก่าที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว พวกเราเดินทางเที่ยวชมธรรมชาติด้านล่างไปตาม Walkway อากาศด้านล่างนี้ค่อนข้างเย็น แต่ก็ทำให้เราเดินเล่นได้แบบไม่ค่อยเหนื่อย ก็ดีไปอีกแบบหนึ่ง หลังจากที่เราได้เดินชมธรรมชาติกันพอสมควร เราก็เดินทางถึงสถานี Scenic cableway เป็นเคเบิลคาร์ที่จะพาเรากลับขึ้นมายังด้านบน เพื่อไปต่อเครื่อง Scenic Skyway เป็น Skyway ที่แล่นไปมาระหว่างยอดหน้าผา เราจะได้สัมผัสกับความตื่นเต้นที่ระดับความสูงประมาณ 270 เมตร จากพื้นดินกันเลยทีเดียว (อย่าขึ้นไปดูอ่ะดิ!!! )
ภาพ Scenic Skyway Cr. Scenic World
ใช้เวลาไม่นานนัก เราก็ข้ามมาถึงฝั่งตรงข้าม ซึ่งเป็นจุดชมวิวของเทือกเขาแห่งนี้ นั่นคือ เอ็คโค่พ้อยต์ ลุคเอ้าต์ (Echo Point Lookout) เป็นจุดชมวิวที่นักท่องเที่ยวสามารถชมวิวที่งดงามและอุดมสมบูรณ์ของผืนป่า และเทือกเขาบลูเมาเทนส์แห่งนี้ ณ จุดนี้ เรายังสามารถมองเห็น ทรีซิสเตอร์ (Three Sisters) หรือหน้าผาหินสามอนงค์ ที่งดงาม มันเป็นแท่งหิน 3 ก้อน ที่ถูกกัดกร่อนจากลมและฝนจนการเป็นรูปทรงประหลาดคล้ายกับใบหน้าของผู้หญิง 3คน
ไกด์เล่าให้เราฟังว่า Three Sisters เป็นตำนานรักสามเศร้า ซึ่งมีหญิงสาวชาวเผ่า Katoomba สามนาง ได้ตกหลุมรักกับหนุ่มเผ่า Nepean สามนาย แต่มีกฎว่าห้ามแต่งงานกันระหว่างเผ่า สามหนุ่มไม่พอใจจึงพยามฝ่าฝืนกฎเบื้องบน และเกิดการต่อสู้กัน พ่อมดเผ่า Katoomba จึงเสกหญิงสาวทั้งสามให้กลายเป็นหินเพื่อป้องกันอันตรายจากการต่อสู้ และตั้งใจว่าหลังจากจบการต่อสู่แล้ว จะมาถอนคำสาปให้ แต่พ่อมดดันมาตายก่อนระหว่างการสู้รบ (ซะงั้น) จึงทำให้สามสาวพี่น้องแข็งเป็นหินอยู่จนปัจจุบันนี้ มันเป็นตำนานความเชื่อที่เล่าขานสืบต่อกันมา ฟ้งดูก็สนุกดี
ภาพ Three Sisters หรือหน้าผาหินสามอนงค์ cr. วิกิพีเดีย แสงแดดยามเที่ยงวันส่องกระทบกับหน้าผาหินสามอนงค์ ผมปล่อยใจให้เนิบช้า สัมผัสความงามของธรรมชาติ ซึ่งโดนกาลเวลากัดกร่อนจนเกิดเป็นร่องรอย และรูปทรงต่าง ๆ บ้างก็เป็นเหลี่ยมแหลมคม บ้างก็โค้งมนไร้ซึ่งเหลี่ยมแหลม นี่ซินะ ที่เขาบอกว่า “ธรรมชาติเป็นผู้สร้างสรรค์มา” ภาพที่เราได้เห็นในวันนี้ เชื่อว่าอีก 3 – 5 ปี มันก็จะไม่เหมือนเดิมอีกเช่นกัน เพราะธรรมชาติจะสร้างสรรพสิ่งใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้นเสมอ ๆ หลังจากเดินชมวิวได้สักพัก ก็ได้เวลาต้องลาจาก Three Sisters และเทือกเขาบลูเมาเทนส์ กันแล้ว ถ้ามีโอกาสคงได้พบกันอีก
หลังทานอาหารกลางวันเสร็จเรียบร้อย เราก็เดินทางต่อไปยังสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งถ้าใครมาที่ประเทศออสเตรเลียแล้ว ไม่ควรพลาดชมอย่างยิ่ง ให้เวลาเดา 5 วิ 5..4..3..2..1.. ลองคิด ๆ ๆ (คิดไม่ออกใช่ไหมละ 555) เฉลยเลยละกันนั่นคือ คือ.... Koala Park Sanctuary West Pennant Hills ใช่ครับ!!! เราจะไปดูเจ้าหมีน้อยโคอาลา กัน..นน... รถโค้ชมาส่งเราหน้า Koala Park ซึ่งก็ไม่ไกลมากจาก เทือกเขาบลูเมาเทนส์ ภายใน Koala Park มีสัตว์ตระกูลใกล้ ๆ กัน หลายชนิด เช่น จิงโจ้ วอมแบท (ไม่เคยเห็นนะซิ) และมีนกนานาพันธุ์ ให้เราได้ชมกัน เมื่อเราเดินเข้าไปภายในสวนสัตว์แห่งนี้ สิ่งแรกที่เราได้พบคือ จิงโจ้น้อย หลายตัวกระโดดกันไปมา เราสามารถเข้าไปจับตัวมันได้ด้วยนะเออ...ก็น่ารักดี เดิน ๆ ไปเรื่อย ๆ แล้วก็มาถึง Highlight ของที่นี่แล้ว นั่นคือการถ่ายรูปกับหมีโคอาลา ตื่นเต้น ๆ 555
เจ้าหมีโคอาลานี่ ถูกพบครั้งแรกใน ค.ศ. 1798 โน้นแน่ และ คำว่า “โคอาลา" มาจากภาษาอะบอริจินี มีความหมายว่า "ไม่กินน้ำ" เนื่องจากพฤติกรรมที่เป็นสัตว์ที่ไม่ดื่มน้ำเลย เพราะได้รับน้ำในปริมาณที่เพียงพอจากใบยูคาลิปตัสอยู่แล้ว พวกมันจะออกหากินในเวลากลางคืน ส่วนกลางวันมันจะพักผ่อนนอนตามอัธยาศัย อยู่ตามต้นยูคาลิปตัส เจ้าหมีโคอาลาจะกินใบยูคาลิปตัสเป็นอาหาร แต่ในใบยูคาฯ มีสารที่มีพิษต่อสัตว์ แต่ระบบย่อยอาหารของโคอาลามีการปรับตัว ทำให้สามารถทำลายพิษนั้นได้
ภาพ Koala Park Sanctuary West Pennant Hills
ภาพ วอมแบท Cr.วิกิพีเดีย
ภาพ หมีโคอาบลา Cr.วิกิพีเดีย กว่าจะได้ถ่ายรูปกับเจ้าหมีน้อยตัวนี้ ต้องใช้ความอดทนพอสมควร ดูแถวดิ...ยาวววว แต่เมื่อถึงคิวได้ถ่ายรูปกับเจ้าหมีน้อยตัวนี้ ก็รู้สึกว่าคุ้มที่เสียเวลาต่อคิวยาวขนาดนี้ มันน่ารักเหมือนที่เขาว่ากันจริง ๆ ขนสีเทาสลับขาว สั้นบ้างยาวบ้างไปตามลักษณะของลำตัว ใบหูกางออกกระดิกไปมา จมูกเหมือนลูกเม็ดเกาลัดเม็ดใหญ่ ๆ ดูด้วยสายตาเหมือนขนของมันจะแข็ง แต่เมื่อได้สัมผัสจริงแล้ว กลับนุ่นเหมือนผ้าขนสัตว์ เพียงแต่ตอนถ่ายรูปกับเจ้าหมีเนี่ย หน้าของมันดูจะเบื่อ ๆ หน่อย ถ้าผมเป็นมันก็คงจะพูดว่า พวกมึงช่วยมาตอนกลางคืนได้มั๊ย ตอนนี้...กูจะนอน +++5555
หลังจากพวกเราได้ถ่ายรูปกันเสร็จเรียบร้อย ก็ได้เวลากลับไปพักผ่อนที่โรงแรม เพื่อวันพรุ่งนี้จะได้เดินทางข้ามเมืองกันต่อ วันนี้ราตรีสวัสดิ์ Bye ครับ
Cr. Journey..เจอนั่น By ดช.จุ่น
Create Date : 18 ตุลาคม 2562 |
|
2 comments |
Last Update : 5 เมษายน 2564 9:23:06 น. |
Counter : 1264 Pageviews. |
|
|
|