Go SYDNEY เฮ้ย....มีดีกว่าที่คิด!!...ตอนที่ 1 By ดช.จุ่น
วันนี้ ดช.จุ่น จะพาเพื่อน ๆ ข้ามทวีปไปเที่ยว ทวีป ๆ หนึ่ง ซึ่งมีคนไทยไปเที่ยว ไปเรียนต่อ และไปทำงานที่นั่นกันเยอะมากครับ เดากันได้แล้วใช่มั๊ยล่ะ ใช่แล้ว!! ทวีปออสเตรเลีย ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของประเทศออสเตรเลีย นั่นเอง ได้แรงบันดาลใจจากเพื่อนของ ดช.จุ่น ได้มีโอกาสไปทำงาน และพักอาศัยอยู่ที่ประเทศนี้ เขาเล่าให้ฟังว่ามันเจริญอย่างโน้นอย่างนี้ มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย มีสถานที่เที่ยวสวย ๆ เยอะแยะ ก็เลยคิดว่า “ถ้ามีโอกาสน่าจะลองไปเที่ยวสักครั้งหนึ่ง” และถ้าใครอยากไปเที่ยวที่ประเทศออสเตรเลีย เมือง ซิดนีย์ ผมแนะนำให้ไปในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ต่อด้วยฤดูหนาว เพราะอากาศจะเย็นสบายมาก ไม่หนาวเกินไป ประมาณ 10 ต้นๆ ถึง 20 องศา น่าจะเหมาะสำหรับคนไทย เราจะได้สัมผัสบรรยากาศที่เมืองไทยไม่ค่อยมี ทั้งยังสามารถเดินเที่ยวได้แบบไม่ค่อยเหนื่อย เสมอหนึ่งว่าสายลมหนาวนั้น คอยช่วยพยุงขาทั้งสองข้างของเราไว้ ให้เดินต่อ.. เดินต่อ.. และเดินต่อไป ด้วยรอยยิ้ม และมีความสุขกับการเที่ยวชมสถานที่ต่าง ๆ ที่เราไม่เคยเห็นครับ ประเทศออสเตรเลียนั้น แบ่งออกเป็น 6 รัฐ ได้แก่ รัฐนิวเซาท์เวลส์,รัฐควีนส์แลนด์,รัฐเซาท์ออสเตรเลีย,รัฐแทสเมเนีย,รัฐวิกตอเรีย และรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย จัดได้ว่าเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วในระบบเศรษฐกิจ บางคนอาจเข้าใจผิดว่า เมืองซิดนีย์เป็นเมืองหลวงของประเทศนี้ คุณด้วยอ่ะดิ!! ไม่แปลกหรอกครับ เพราะตอนแรกผมก็คิดแบบคุณนั่นละ....555 จริงแล้วเมืองหลวงของประเทศออสเตรเลีย คือ เมือง แคนเบอร์รา สถานที่ราชการจะอยู่ที่นั่นเกือบทั้งหมด แล้วจะมาเล่าให้ฟังทีหลัง O.K. เรารู้จักประเทศนี้กันคร่าวแล้ว ไปเที่ยวกันดีกว่า Let GO!!!!
ครั้งนี้มีโอกาสได้นั่งเครื่องบินแบบบินตรงไปประเทศออสเตรเลียเลย ก็สะดวกดีนะ ไม่ต้องไปรอเปลี่ยนเครื่องอีกเป็น ชั่วโมง ๆ แต่ขนาดบินตรง ยังใช้เวลาตั้ง 10 กว่าชั่วโมง แบบว่าลงเครื่องนี่ แทบเดินไม่เป็นเลย หุ หุ ก็ทำใจไว้ตั้งแต่แรกแล้ว มันบินข้ามทวีป ก็นานแบบนี้ละ แต่ร่างกายก็ยังเมื่อยล้าอยู่ดี เพราะต้องนั่งอยู่กับที่นาน ๆ ใครเคยไปคงทราบดี เมื่อเครื่องบินบินไปได้สักประมาณ 4 – 8 ชม. เราก็จะเห็นผู้โดยสารหลาย ๆ คน ต่างก็ลุกขึ้นเดินไปเดินมา บ้างก็ยืนอยู่กับที่นั่งคุยกันไปเป็นการฆ่าเวลา บ้างก็เดินไปห้องน้ำ เพื่อยึดเส้นยึดสายกัน แล้วตัวเราล่ะก็ลุกบ้างดิครับ...รอไร!!!
ผมคิดว่ามันเป็นความโชคดีของผมเหมือนกันนะ เพราะตอนเราไปยืนยึดเส้นอยู่ที่ริมหน้าต่าง หน้าห้องน้ำ กัปตันก็ส่งเสียงตามสายมา แปลได้ว่า “ขณะนี้เราบินอยู่เหนือเทือกเขาหิมาลัย” ทุกคนในเครื่องต่างรีบเปิดหน้าต่าง และมองลงไปเบื้องล่าง ผมอยู่แถวหน้าต่างพอดี จึงมองลงไปเช่นกัน สิ่งที่เห็นนั้น มันเป็นก้อนสีขาว ๆ เกาะตัวกันเป็นกลุ่ม ๆ ใหญ่บ้าง เล็กบ้าง (กะด้วยสายตา) มันกินพื้นที่เป็นบริเวณกว้างพอสมควร ภายหลังจึงทราบว่าเทือกเขานี้จะมีหิมะปกคลุมเกือบทั้งปี มียอดเขาที่สูงที่สุดในโลกคือยอดเขาเอเวอเรสต์ เป็นจุดกำเนิดของระบบแม่น้ำที่สำคัญของโลกหลายสาย เช่น แอ่งแม่น้ำสินธุ แม่น้ำคงคา แม่น้ำสาละวิน และแม่น้ำโขงประมาณนี้ อึม... พึ่งรู้เหมือนกัน มันก็เป็นความประทับใจไปอีกแบบที่เราได้เห็นเทือกเขาแห่งนี้จากมุมสูง ซึ่งน้อยคนจะได้เห็น (เสียดายมาก ไม่ได้ถ่ายรูปเอาไว้) ถ้าไม่ขึ้นเครื่องบินมาแบบพวกเรา หลังความประทับใจพวกเราก็แยกย้ายกันไปนอนพักผ่อนต่อ เพราะอีกหลายชม. กว่าเครื่องจะลง +++คร่อกฟี้ ๆ
และแล้วเราก็มาถึงประเทศออสเตรเลีย ซะที (เมื่อยมาก..จะบอกให้) แต่ก็รู้สึกตื่นเต้นเหมือนกัน เพราะมองจากบนเครื่องบินก่อนเครื่องลง ผมเห็นความสวยงานของ SYDNEY HARBOUR BRIDGE และ OPERA HOUSE เมื่อเดินออกจากเครื่องเราก็ได้สัมผัสกับลมหนาวเย็นสบาย แค่เราสวมเสื้อแจ๊คเก็ต หรือเสื้อยีนส์ ก็เอาอยู่แล้วครับ ไกด์พาเราผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองที่ซิดนีย์ ก็ใช้เวลาไม่นานนัก หลังจากผ่านด่านเสร็จ จำได้ว่าเป็นเวลาประมาณบ่าย ๆ ของที่ซิดนีย์ เราก็ขึ้นรถโค้ชเพื่อไปยังสถานที่เที่ยวที่แรกของเรา นั่นคือ จุดชมวิวที่สวยที่สุดของมหานครซิดนีย์ บ้างเรียกว่า Mrs Macquarie's Point เพราะที่นั่นมีเก้าอี้ ซึ่งทำมาจากหินทราย แล้วนำมาแกะสลักเป็นม้านั่งชมทิวทัศน์ ไกด์บอกว่า มันสร้างขึ้นมาในปี ค.ศ. 1810 เพื่อให้กับภรรยาของผู้สำเร็จราชการคนแรกของรัฐนิวเซาท์เวลส์ จึงทำให้เป็นที่มาของชื่อเรียกของ Mrs Macquarie's Chair หรือแปลว่า ที่นั่งของคุณนายแมคควารี่ และเป็นจุดชมทิวทัศน์ของ “SYDNEY HARBOUR BRIDGE & OPERA HOUSE” ที่สวยมากๆ ที่หนึ่งครับ
เรามีเวลาพอสมควรที่จะชื่นชมทิวทัศน์ของมหานครแห่งนี้ จากจุดชมวิวที่ดีที่สุด ทำให้ผมรู้สึกเพลิดเพลิน พลันทอดอารมณ์มองดูสิ่งก่อสร้างสมัยใหม่ กับวิวที่ธรรมชาติสร้างสรรค์มาให้พวกเราได้ชื่นชม มันช่างกลมกลืนกันแบบไม่มีที่ติ มันดูสบายตา ไม่มีความย้อนแย้งในตัวของมันเอง ยิ่งได้สัมผัสอากาศหนาวด้วยแล้ว มันทำให้ผมอยากนั่งอยู่บริเวณนั้นนาน ๆ เลย บอกได้คำเดียว “ประทับใจมาก ๆๆ” ครับ
ภาพ Mrs Macquarie's Chair Cr. postcard Sydney.com
ได้เวลาต้องไปที่อื่นแล้วจร้า... ในใจยังอยากอยู่อีกสักพักหนึ่ง แต่ก็ต้องบอกลาสถานที่ประทับใจแห่งนี้เสียแล้ว ผมว่าสุดท้ายแล้ว เราก็ได้แต่เก็บภาพประทับใจ เอาไว้ในความทรงจำที่ดีของตัวเราเองครับ!! O.k. ไปกันต่อ ไกด์พาเราเดินลัดเลาะไปถนนสายหนึ่ง บริเวณข้างทางทั้ง 2 ข้าง เต็มไปด้วยตึกสูงที่ทันสมัย ผสมกลมกลืนกับตึกเก่าที่มีสถาปัตยกรรมที่เก่าแก่ของเมืองซิดนีย์ ดูแปลกตาดี (แบบว่าพูดตรง ๆ ไม่เคยเห็น 555) สักพักเราก็เดินมาถึงย่านเมืองเก่าของซิดนีย์ ชื่อว่า ย่าน The Rocks เป็นชุมชนบนถนนเก่าแก่ใต้สะพาน Sydney Harbour Bridge คนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวต่างมาเดินเล่น ชิล ๆ เพื่อเลือกซื้ออาหารและสินค้าแฟชั่น Handmade ในตลาดกลางแจ้ง Rocks Markets แห่งนี้กันแทบทุกวันครับ
ภาพ ย่าน The Rock Cr. tripadvisor
เรามีเวลาเดินดูสินค้าพื้นเมือง และซื้อของไม่นานนัก เพราะต้องรีบเดินไปที่ท่าเรือของอ่าวซิดนีย์ เพื่อล่องเรือชมอ่าวซิดนีย์กัน ตอนนั้นเวลาประมาณบ่ายคล้อยแล้ว อากาศเริ่มเย็นลงกว่าเดิม ผมต้องหยิบเสื้อยีนส์ที่ค่อนข้างหนาหน่อยขึ้นมาสวมก่อนล่องเรือ เรือที่พาเราไปล่องอ่าวในครั้งนี้ เป็นเรือขนาดย่อม จุคนได้ประมาณ 60 – 70 คน รอบตัวเรือเป็นระเบียงให้นักท่องเที่ยวสามารถออกไปชมทิวทัศน์รอบ ๆ อ่าวซิดนีย์ได้ ด้านในตัวเรือ มีโต๊ะเก้าอี้ไว้รองรับให้นักท่องเที่ยวที่ไม่ต้องการออกไปชมบรรยากาศข้างนอกได้นั่งอยู่ด้านใน ซึ่งอากาศจะอุ่นกว่าด้านนอก เรือใช้เวลาล่องประมาณ 45 – 60 นาที
หลังจากเรือแล่นออกจากท่าเทียบเรือแล้ว ผมก็เดินออกไประเบียงด้านนอก เพื่อชมทัศนียภาพของอ่าวซิดนีย์ เรือพาเราล่องรอดใต้สะพาน Sydney Harbour Bridge ไกด์เล่าให้เราฟังว่า สะพานแห่งนี้เป็นสะพานเหล็กถักทรงโค้งที่ใหญ่ที่สุดในโลก เริ่มสร้างในปี คศ. 1923 แล้วเสร็จ ม.ค. 1932 ใช้เวลาสร้างนานถึง 8 ปี ปัจจุบันสะพานแห่งนี้กลายเป็นอีกหนึ่ง Landmarks ของซิดนีย์ นอกจากนี้ สะพานฮาร์เบอร์ ยังมีกิจกรรม ที่เรียกว่า Bridge Climb เป็นการปีนขึ้นไปจุดสูงสุดของสะพาน เพื่อชมวิว และถ่ายรูปรอบๆ อ่าวซิดนีย์ สูงจากระดับน้ำทะเลถึง 134 เมตร ลองดูไหมละ? 555
เรือพาเราแล่นแหวกสายน้ำในอ่าวซิดนีย์ไปเรื่อย ๆ ระหว่างทางล่องเรือนั้น สายลมหนาวพัดมากระทบกับใบหน้าของเราจนรู้สึกเย็นทั่วหน้าไปหมด แต่มันก็คุ้มที่จะยื่นหน้ายื่นตาออกไปดูความสวยงามในครั้งนี้ไม่ใช่หรือ เพราะด้านนอกบริเวณระเบียงของเรือ เราสามารถมองเห็น OPERA HOUSE ตั้งโดดเด่นอยู่กลางอ่าวได้อย่างชัดเจน บวกด้วยอาคารบ้านเรือน ที่เรียงรายตั้งอยู่บริเวณรอบ ๆ ริมอ่าวก็สวย ๆ เกือบทุกหลัง มีทั้งบ้านที่สร้างแบบสมัยใหม่ สลับไปมากับบ้านที่เป็นรูปแบบสมัยดั่งเดิมของคนที่อาศัยอยู่ที่นี่ มันก็ดูสวยไปอีกแบบครับ
เมื่อเวลาผ่านไปประมาณ เกือบครึ่งชั่วโมง ผมมองไปที่ท้องฟ้าเห็นพระอาทิตย์เริ่มอัสดงตรงปลายขอบฟ้า แสงแดดเปลี่ยนเป็นสีทองส้ม อากาศเริ่มเย็นลงอีก แต่บรรยากาศบนเรือนั้นสุดยอดจริง ๆ เผลอแป๊บเดียว...เรือก็แล่นวกกลับพาเรากลับมาที่ท่าเรือกินเวลาทั้งหมดก็ร่วม ๆ หนึ่งชั่วโมงได้ หลังจากนั้นพวกเราก็ได้ไปทานข้าว และก็เข้าที่พัก เป็นการจบวันแบบใบหน้าเปื้อนยิ้มกันไปทุกคนครับ Cr. Journey..เจอนั่น By ดช.จุ่น
Create Date : 16 ตุลาคม 2562 |
|
0 comments |
Last Update : 5 เมษายน 2564 9:22:50 น. |
Counter : 1186 Pageviews. |
|
|
|