|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 |
|
|
|
|
|
|
|
มหันตภัยโลกร้อน ในอุ้งมือ "มนุษย์" (1)
คม ชัด ลึก 24.03.2550 โลกป่วย...ด้วยมือเรา ? เปลวไฟสีส้มแดงเผาไหม้โลมเลียกิ่ง ก้าน ใบไม้แห้ง และสรรพชีวิตในป่า ต่างวิ่งหนีเปลวไฟที่เผารวงรังเรือนนอนหายไปในชั่วพริบตา...ในฐานะคนเมืองอาจจะมีความเชื่อเดิมๆ ที่เคยร่ำเรียนมาสมัยเด็กๆ ว่าไฟป่าในหน้าแล้งเกิดจากต้นไม้เสียดสีกันจนเกิดประกายไฟและลุกลามเป็นไฟไหม้ป่า
แต่ความจริงในวันที่ป่าไม้เมืองไทยเหลือน้อยเต็มที อาจต้องปิดตำราเรียนลืมความเชื่อเดิมๆ ไปได้เลย !
"หลายคนรู้มาว่าไฟป่าเกิดจากต้นไม้เสียดสีกันในช่วงอากาศแห้งแล้ง อยากให้เปลี่ยนความเข้าใจใหม่ เพราะไฟป่าลักษณะนี้มีโอกาสเกิดขึ้นไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ แต่ 99 เปอร์เซ็นต์ เกิดจากมนุษย์เข้าไปหาของป่า" ดร.จิรพล สินธุนาวา นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมจากมหาวิทยาลัยมหิดล และอุปนายกสมาคมพัฒนาคุณภาพสิ่งแวดล้อม เปิดประเด็น
การหาของป่าที่มาของการเกิดไฟป่า โดยเฉพาะต้นผักหวานป่าจะแตกยอดใหม่เมื่อเจอความร้อน และตราบใดที่คนเมืองอยากกินผักหวาน ที่มีราคาสูงถึงกิโลกรัมละ 180 บาท ชาวบ้านก็จะเข้าป่าแสวงหาต้นผักหวานและจุดไฟเผา แล้วรอคอยการแตกยอดใหม่ เช่นเดียวกับการล่าสัตว์ป่าก็ต้องจุดไฟไล่ให้สัตว์ออกมาจากกำบังไพร
การที่คนเมืองอยากกินผักหวานจนทำให้ชาวบ้านเผาป่า ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อสรรพชีวิตในป่าเท่านั้น แต่ฝุ่นควันยังทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศ ดังภาพถ่ายดาวเทียมที่ปรากฏแถบสีชมพูเหนือพื้นที่ จ.ชัยภูมิ และ จ.บุรีรัมย์ อันเป็นผลมาจากมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ปกคลุมอยู่ ซึ่งเป็นอีกปัจจัยกระตุ้นให้เกิดปรากฏการณ์ "เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว" หรือ "ผีเสื้อขยับปีก" ตามคำนิยมของทฤษฎีความโกลาหลที่ถูกนำเป็นทฤษฎีคาดเดาว่า โลกกำลังเคลื่อนตัวสู่วิกฤติที่รุนแรงนั่นเอง
ใต้ถุนเรือนอเนกประสงค์หรือสโมสรรวมตะวัน ที่แสนโล่งโปร่งสบาย มีสายลมเย็นๆ จากพัดลมเพดานบนมุมเสา คอยขับไล่ลมแรกแห่งฤดูร้อนที่โอบบังด้วยภูเขา ณ ศูนย์รวมตะวัน ต.ช่องสะเดา อ.เมือง จ.กาญจนบุรี ถูกปรับเป็นห้องเรียนสอนหลักสูตรเร่งรัดว่าด้วยวิชา "โลกร้อน...มหันตภัยแห่งศตวรรษ" นานเกือบ 2 ชั่วโมง โดยการสนับสนุนของการไฟฟ้านครหลวง ผู้เปรียบตัวเองเป็นเสมือนต้นธารสำคัญนำไปสู่สภาวะโลกร้อน โดยมีผู้บริโภคพลังงานทุกระดับ ที่ใช้พลังงานอย่างไม่รู้คุณค่า เป็นผู้เร่งปฏิกิริยานำไปสู่สภาวะโลกร้อนที่รุนแรงขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม ในชุดผ้าฝ้ายสีเทาอ่อน มือขวากำกิ่งไผ่แทนอุปกรณ์แสงเลเซอร์ ชี้ไปยังภาพบนจอโปรเจกเตอร์ ปรากฏรูปดาวเคราะห์สีน้ำเงินใบสวย อธิบายถึงสภาวะโลกร้อนเกิดขึ้นได้อย่างไร ?
หลังการปฏิวัติอุตสาหกรรม...พลังงานจากใต้พิภพที่ไม่สามารถทดแทนได้ถูกนำใช้ปีแล้วปีเล่า ก่อให้เกิดฝุ่นควัน โดยเฉพาะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซพิษอื่นๆ ลอยสู่ชั้นบรรยากาศที่สูงจากพื้นโลกไปเพียง 13-15 กิโลเมตร
ก่อนยุคอุตสาหกรรมช่วงปี พ.ศ.1543 ถึง พ.ศ.2343 พบก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มสูงขึ้นในชั้นบรรยากาศ 278 ส่วนในล้านส่วน ต่อมาในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมเฟื่องฟูปี พ.ศ. 2501 เพิ่มขึ้นเป็น 315 ส่วนในล้านส่วน และในปี พ.ศ.2548 เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เป็น 379 ส่วนในล้านส่วน อันเป็นผลพวงมาจากกิจกรรมการบริโภคของมนุษย์ที่ก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มีเทน และไนตรัสออกไซด์ เรียกโดยรวมว่า "ก๊าซเรือนกระจก"
ในอดีตก๊าซกลุ่มนี้มีประโยชน์ต่อโลก เพราะช่วยดูดซับรังสีอินฟาเรด ซึ่งเกิดจากแสงอัลตราไวโอเลตจากดวงอาทิตย์ตกกระทบมายังพื้นโลก ทำให้โลกอบอุ่น แต่ปัจจุบันชั้นบรรยากาศโลกมีการสะสมก๊าซกลุ่มนี้มากเกินไป ส่งผลให้โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตบนโลก แถมยังทำให้สภาพอากาศแปรปรวนผิดฤดูกาลอีกด้วย
"น้ำแข็งขนาดมหึมาหลายล้านลูกบาศก์กิโลเมตรจากขั้วโลกเหนือ กำลังจะละลายจากสภาวะโลกร้อน ถ้าน้ำแข็งขั้วโลกใต้ซีกตะวันตกละลาย น้ำทะเลจะสูง 5 เมตร ก้อนน้ำแข็งที่กรีนแลนด์ละลายน้ำจะสูง 5.5 เมตร ขณะที่ ถ้าน้ำแข็งจากขั้วโลกใต้ฝั่งตะวันออกละลายจะทำให้น้ำสูง 70 เมตร เราก็จะไม่มีที่อยู่แล้วนะ กรุงเทพฯ คงจมอยู่ใต้น้ำ" นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม ชี้ไปยังภาพน้ำแข็งขนาดมหึมาที่กำลังละลาย
การเผาผลาญวัสดุพลังงานชนิดต่างๆ เช่น ถ่านหิน น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ที่มีการตรึงคาร์บอนไว้เป็นล้านๆ ปี บวกกับการตัดต้นไม้ แผ้วถางป่า ทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ปริมาณมากอย่างไม่เคยมีมาก่อน จนพืชพันธุ์ไม้ที่มีอยู่ไม่สามารถดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ทันท่วงที
ประกอบกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคเกษตรกรรม เช่น ก๊าซมีเทน หรือการสูญเสียก๊าซมีเทนจากพื้นที่ที่ปกคลุมด้วยน้ำแข็ง ไม่ได้ส่งผลกระทบต่ออุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นเท่านั้น ยังกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นพลวัตต่ออากาศที่แปรปรวน เช่น การเกิดปรากฏการณ์เอลนีโญ่และลานีญ่า ที่ซ้ำเติมความป่วยไข้ของโลกสีน้ำเงินใบนี้
ฤดูร้อนปีนี้...เราอาจสัมผัสถึงคลื่นความร้อนและความแห้งแล้งทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ เพราะประเทศไทยกำลังตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของเอลนีโญ่นั่นเอง !!!
เอลนีโญ่ เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เป็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างการหมุนเวียนของกระแสอากาศและกระแสน้ำในมหาสมุทร ทั้งบนพื้นผิวและใต้มหาสมุทร ถ้าปีใดเกิดปรากฏการณ์เอลนีโญ่ ทำให้เกิดฝนตกหนักทางตอนเหนือของทวีปอเมริกาใต้เมื่อไร เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ออสเตรเลียตอนเหนือก็จะเกิดความแห้งแล้ง และนำไปสู่การเกิดไฟไหม้ป่าอย่างรุนแรงในประเทศอินโดนีเซีย
ส่วนปรากฏการณ์ ลานีญ่า จะมีลักษณะตรงข้ามกับเอลนีโญ่ คือ การทำให้ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เกิดฝนตกหนักและน้ำท่วม อย่างที่เคยเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ของประเทศไทย โดยเฉพาะจังหวัดทางตอนเหนือของประเทศ
ภาพเหตุการณ์น้ำท่วมและโคลนถล่มที่ อ.สูงเม่น จ.แพร่ อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน และ อ.ลับแล จ.อุตรดิตถ์ ถูกนำมาวิเคราะห์ถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากสภาวะโลกร้อนและผลกระทบจากการตัดไม้ทำลายป่า
แถมท้ายปลายชั่วโมงมีการพูดถึงเรื่อง ชั้นโอโซน หรือชั้นบรรยากาศที่ช่วยป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลตจากดวงอาทิตย์ ไม่ให้ตกกระทบมายังพื้นโลกมากเกินไป กำลังจะหมดพลังต้านทานรังสีก่อมะเร็งผิวหนังได้อีกต่อไป
"โอโซนบริเวณขั้วโลกใต้ กำลังเกิดบาดแผลหรือรูโหว่ขนาดเท่าประเทศแคนาดา ออสเตรเลีย และอเมริการวมกัน ทำให้รังสีอัลตราไวโอเลตอันร้อนแรงเล็ดลอดเข้ามาทำอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต โดยเฉพาะการเกิดมะเร็งที่ผิวหนัง สาวไทยต้องตื่นเช้ากว่าเดิม เพื่อปั้นผมทรงกระบังป้องกันรังสียูวี และสารพัดไวท์เทนนิ่งจะขายดี" ดร.จิรพล แทรกมุกตลก
ส่วนที่มาของการทำลายโอโซนนั้น นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม ยกตัวอย่างง่ายๆ และใกล้ตัวว่า แค่การขับรถยนต์ผ่านลูกระนาดก็อาจทำให้ท่อน้ำยาแอร์รั่วโดยไม่รู้ตัว รถคันนี้ก็จะกลายเป็นแหล่งปลดปล่อยสารซีเอฟซีเคลื่อนที่ ซึ่งในเมืองไทยมีรถยนต์ลักษณะนี้อยู่เป็นแสนคัน และการขับรถประมาทจนเกิดอุบัติเหตุ แล้วตำรวจนำสีสเปรย์มาพ่นลงบนถนน ก็มีส่วนในการปล่อยสารซีเอฟซีเช่นกัน
"ซีเอฟซี" หรือสารคลอโรฟลูออโรคาร์บอนเป็นสารสังเคราะห์ที่ใช้ในอุตสาหกรรมทำความเย็น อุตสาหกรรมผลิตเม็ดโฟม โดยสารซีเอฟซีใช้เวลาเดินทาง 15 ปี สู่ชั้นบรรยากาศที่สูงจากพื้นโลก 45 กิโลเมตร ระหว่างเดินทางสารซีเอฟซีจะไม่แตกตัวง่าย แต่ถ้าเจอแสงอัลตราไวโอเลตที่มีอำนาจทะลุทะลวงสูง จะทำให้สารซีเอฟซีแตกตัวเป็นสารคลอรีน ศัตรูตัวฉกาจของโอโซนนั่นเอง !!!
หมดชั่วโมงเรียนภาคทฤษฎีเรื่องโลกร้อนแล้ว...การเรียนรู้ภาคปฏิบัติเริ่มต้นขึ้นในช่วงบ่ายแก่ๆ ณ หน่วยพิทักษ์ป่าห้วยสะด่อง เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ ฝั่งตรงข้ามศูนย์รวมตะวัน ด้วยการติดตามดูร่องรอยความสัมพันธ์ระหว่างการบริโภคในเมืองส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตในป่าอย่างไรบ้าง ?
- คนเมืองต้องการใช้ไฟฟ้ามากเท่าที่ต้องการ พื้นที่ป่ารอบๆ สายส่งกระแสไฟฟ้าจะถูกทำลายมากขึ้น
- คนเมืองอยากกินผักหวานป่า เกิดไฟป่ามากขึ้น
- คนเมืองอยากกินเนื้อสัตว์ป่า หรืออยากเลี้ยงลูกสัตว์ป่า ต้องฆ่าสัตว์ที่ถือเป็นนักปลูกป่าฝีมือดีมากขึ้น
- คนเมืองอยากได้พรรณไม้สวยงามและแปลกตาจากพงไพร ทำให้มีการลักลอบนำพรรณไม้ออกจากป่ามากขึ้น ทั้งที่พืชพรรณเหล่านั้นอาจมีความสำคัญในแง่อาหารและยารักษาโรคของสัตว์ป่า
นั่นเป็นเพียงบทสรุปคร่าวๆ ของการเดินป่าเขาสลักพระเพียง 1 กิโลเมตร ซึ่งพบร่องรอยการบริโภคของสังคมเมือง ที่ส่งผลกระทบต่อสังคมในป่าได้ไม่ยากนัก เป็นเสาไฟฟ้าแรงสูงยืนตระหง่านอยู่ตรงหน้าไล่เรียงเป็นแนวยาวสุดลูกหูลูกตา แล้วถ้านับรวมผืนป่าอนุรักษ์ทั่วประเทศไทย กำลังถูกลัทธิบริโภคนิยมจากสังคมเมืองรุมโทรมผืนป่าบริสุทธิ์อยู่ทุกวี่วัน ผลกระทบจากความบอบช้ำของธรรมชาติจะตกอยู่กับใคร ?
แล้วสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับ "ดาวเคราะห์สีน้ำเงิน" และจุดเล็กๆ บนโลกที่เรียกว่า "ประเทศไทย" จะเป็นอย่างไร ถ้าคนยังไม่เข้าใจว่าทุกสรรพสิ่งล้วนเชื่อมโยงและสัมพันธ์กันอย่างเป็นพลวัต ดั่งทฤษฎี เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว !!!
ทีมข่าวรายงานพิเศษ : เรื่อง
ศูนย์ภาพเนชั่น-อินเทอร์เน็ต
--------------------- 10 สัญญาณโลกร้อน
คลื่นความร้อน : เมื่อ 2-3 ปีก่อน เกิดคลื่นความร้อนที่ประเทศอินเดีย คร่าชีวิตผู้คนประมาณ 2,000 คน ส่วนในประเทศยุโรปถูกคลื่นความร้อนสังหารคนเมืองหนาว ที่ปรับตัวไม่ทันไปกว่า 2 หมื่นคน เพราะในยุโรปไม่นิยมติดตั้งเครื่องทำความเย็น มีแต่เครื่องทำความร้อน เมื่อเจอสภาพอากาศร้อนจึงทำอะไรไม่ถูก ทำให้มีคนเสียชีวิตจำนวนมาก โดยเฉพาะคนที่กำลังเจ็บป่วยอยู่ในโรงพยาบาลและผู้มีรายได้ต่ำ
น้ำทะเลขึ้นสูง : หลายประเทศกำลังเผชิญกับปัญหา และผลกระทบจากน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาน้ำทะเลขึ้นสูง น้ำท่วม และน้ำทะเลกัดเซาะชายฝั่ง
น้ำแข็งยอดภูเขาสูงละลาย : ขณะนี้ น้ำแข็งที่ปกคลุมยอดภูเขาสูงกำลังละลาย โดยเฉพาะที่ยอดเขาหิมาลัย ประเทศเนปาล และยอดเขาฟูจิ ประเทศญี่ปุ่น เป็นต้น
น้ำแข็งขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้แตกตัว : สภาพอากาศของโลกที่ร้อนขึ้น ทำให้น้ำแข็งขั้วโลกแตกตัวลอยอยู่ในทะเล ก่อนจะจมสู่ก้นทะเล มีผลกระทบต่อน้ำเค็มและการแพร่ระบาดของสาหร่ายในทะเล
โรคระบาด : เกิดโรคอุบัติใหม่และโรคอุบัติซ้ำ โดยเฉพาะการแพร่ระบาดของโรคมาลาเรียในเขตหนาว อย่างกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ญี่ปุ่น รวมถึงโรคนิปาห์และโรคไข้หวัดนก เป็นต้น
ฤดูใบไม้ผลิมาถึงเร็วกว่ากำหนด : ส่งผลกระทบต่อวงจรชีวิตสัตว์ป่า ที่ต้องอาศัยช่วงฤดูใบไม้ผลิเพื่อการเจริญเติบโต จะปรับตัวไม่ทันและสูญพันธุ์ไปในที่สุด
พืชและสัตว์เคลื่อนตัวไปทางเหนือ : หลายพื้นที่ทางตอนเหนือจะพบพืชและแมลงที่ไม่เคยอาศัยอยู่ในพื้นที่นั้นมาก่อน เริ่มปรับตัวและมาอยู่อาศัยมากขึ้น เพราะพื้นที่ที่เคยหนาวเย็นเริ่มมีความอบอุ่นมากขึ้น
ปะการังฟอกขาว : นักวิทยาศาสตร์ลงความเห็นว่า เกิดจากปรากฏการณ์เอลนีโญ่-ลานีญ่า แต่อีกปัจจัยหนึ่งเกิดจากกรดในน้ำทะเลที่เป็นผลมาจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์บนชั้นบรรยากาศนั่นเอง
น้ำท่วมและพายุหิมะ : ทั่วโลกกำลังเผชิญหน้ากับภัยพิบัติในรูปแบบต่างๆ ที่มีความรุนแรง เช่น พายุเฮอร์ริเคน ฝนตกหนัก น้ำท่วม ดินถล่ม และพายุหิมะ
ภัยแล้งและไฟป่า : ผลพวงจากสภาพอากาศโลกมีความชื้นน้อย ส่งผลให้เกิดความแห้งแล้งไปทั่วทุกหัวระแหง และนำไปสู่การแพร่ขยายของไฟป่าอย่างรวดเร็วเกินกว่าจะป้องกันได้
|
|
|
|
บล็อกที่แล้ว คลิกที่นี่
Create Date : 31 มีนาคม 2550 |
|
1 comments |
Last Update : 31 มีนาคม 2550 11:38:06 น. |
Counter : 533 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
|
คม ชัด ลึก
วันเสาร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2550
มหันตภัยจากกองทัพเชื้อโรคนานาชนิด กำลังก่อตัวอย่างเงียบๆ ภายใต้อุณหภูมิของโลกที่กำลังเพิ่มสูงขึ้น โดยมีแมลงตัวเล็กๆ จำพวก "ยุง" เป็นพาหะก่อให้เกิดโรคระบาด อย่างเช่น โรคไข้เลือดออก โรคมาลาเรีย โรคเท้าช้าง โรคไข้สมองอักเสบ และยังรวมไปถึงกองทัพเชื้อโรคต่างๆ ที่กำลังรอจังหวะเวลาอันเหมาะสม โจมตีมนุษย์ชนิดตั้งตัวไม่ทัน!!!
ภายในห้องสมุดเล็กๆ ของคณะสหเวชศาสตร์ ผศ.ดร.กำพล รุจิวิชชญ์ คณะสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ได้เล่าถึงปัญหาสภาวะโลกร้อนที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก และส่งผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์ โดยอ้างอิงผลวิจัยจากต่างประเทศ ที่ค้นพบสาเหตุของการระบาดของโรคไข้เลือดออก เป็นผลพวงของสภาวะโลกร้อน?!?
สภาวะโลกร้อน ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบให้เกิดภัยธรรมชาติในรูปแบบต่างๆ เกินที่มนุษย์จะคาดเดาแล้ว อาจแฝงไปด้วยภัยร้ายจากเชื้อโรคนานาชนิดๆ ซึ่งเป็นศัตรูตัวฉกาจของมนุษย์ด้วย
"เชื้อโรคร้าย" ที่เจริญเติบโตได้ดีท่ามกลางสภาวะแปรปรวนของอุณหภูมิโลก อาจนำความหายนะมาสู่ประชากรของโลกได้ในอนาคต
ผศ.ดร.กำพล บอกว่า โรคร้ายชนิดหนึ่งที่น่าสนใจศึกษาเป็นพิเศษท่ามกลางวิกฤติโลกร้อน โดยเฉพาะประเทศไทย นั่นก็คือ "อหิวาตกโรค" ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาโรคชนิดนี้เคยคร่าชีวิตคนไทยตายเป็นเบือมาแล้ว
"เชื้ออหิวาตกโรค" มีอยู่ทั่วไปตามแม่น้ำสายสำคัญๆ ทั่วประเทศ โดยเฉพาะบริเวณลุ่มน้ำสายสำคัญที่หล่อเลี้ยงชีวิตชุมชนภาคกลางของไทย เพียงแต่เป็นเชื้ออหิวาห์ที่ไม่ก่อโรค โดยวงจรชีวิตของ "เชื้ออหิวาต์" ที่พบจากแหล่งน้ำต่างๆ เป็นเชื้อแบคทีเรียกลุ่ม Vibrio cholerae อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำกร่อยบริเวณปากแม่น้ำและชายฝั่ง โดยอาศัยอยู่ในสาหร่ายสีเขียว แพลงตอนพืช และแพลงตอนสัตว์
ปัจจุบันมีรายงานการค้นพบเชื้ออหิวาต์ ประมาณ 200 สายพันธุ์ แต่มีเพียง 2 สายพันธุ์เท่านั้นที่ก่อโรค นั่นคือ สายพันธุ์ O1 และ O139 โดยจะแสดงอาการอุจาระร่วงอย่างแรง แต่ถ้าเป็นสายพันธุ์อื่นๆ อาจก่อให้เกิดโรคอุจาระร่วงแบบไม่รุนแรงได้เช่นกัน
สิ่งเหล่านี้...เป็นเพียงสมมติฐานเบื้องต้นของโครงการวิจัยศึกษายีนก่อโรคและรูปแบบดีเอ็นเอของเชื้ออหิวาตกโรค (Vibrio cholerae O1, O139) ของ ผศ.ดร.กำพล กำลังพิสูจน์ว่า ปัญหาโลกร้อนทำให้เชื้ออหิวาต์ไม่ก่อโรค กลายเป็นเชื้ออหิวาต์ก่อโรคหรือไม่?
"เรากำลังศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลให้เชื้ออหิวาต์ที่ไม่ก่อโรคที่พบในลำน้ำทั้ง 4 สาย กลายเป็นเชื้ออหิวาต์ที่ก่อโรคได้อย่างไร เรากำลังวิจัยว่า ปัจจัยใดที่ทำให้เชื้ออ่อนแอ โดยวิเคราะห์จากความเค็มของน้ำ ประจุไฟฟ้า ออกซิเจน และอุณหภูมิ ในเบื้องต้นเราให้ความสำคัญกับอุณหภูมิ ซึ่งน่าจะเป็นส่วนกระตุ้นให้เชื้ออ่อนแอจนกลายเป็นสายพันธุ์ที่ก่อโรค" ผศ.ดร.กำพล เล่าถึงผลการวิจัยตลอด 2 ปี ซึ่งเหลืออีกปีเดียวผลสรุปคงมีความชัดเจนมากขึ้น
สำหรับแม่น้ำทั้ง 4 สาย ที่พบเชื้ออหิวาต์ที่ไม่ก่อโรค ได้แก่ แม่น้ำเจ้าพระยา บางปะกง แม่กลอง และท่าจีน โดยนักวิชาการสหเวชศาสตร์ เชื่อว่า เมื่อเชื้ออหิวาต์ที่ไม่ก่อโรคอ่อนแอลง เชื้อไวรัสจะนำยีนก่อโรค หรือซีทีเอ็กซ์ (CTX) เข้าไปในเชื้ออหิวาต์กลายเป็นเชื้อที่ก่อโรค ซึ่งจากงานวิจัยที่ผ่านมาพบว่า ถึงแม้เชื้ออหิวาต์จากแหล่งน้ำที่วิจัยจะเป็นเชื้อที่ไม่ก่อโรค แต่ก็อาจจะกลายเป็นเชื้อที่ก่อโรคได้ถ้ามีปัจจัยมากระตุ้น
ปัจจัยกระตุ้นในที่นี้ อาจหมายถึงอุณหภูมิของโลกที่เพิ่มสูงขึ้นนั่นเอง!
นักวิชาการจากคณะสหเวชศาสตร์ บอกด้วยว่า ประเทศไทยมีอุณหภูมิน้ำโดยเฉลี่ยประมาณ 29-31 องศาเซลเซียส เมื่อเกิดฝนแรกฤดูตกลงมา จะทำให้อุณหภูมิน้ำลดต่ำลง เชื้ออหิวาต์ที่ไม่ก่อโรคจะเกิดความเครียดจนร่างกายอ่อนแอ เชื้อไวรัสก็จะฉวยโอกาสเข้ามาในเชื้ออหิวาต์ จนกลายเป็นเชื้ออหิวาต์ที่ก่อโรคในมนุษย์
ถ้าสมมติฐานเรื่องอุณหภูมิมีผลต่อการกลายพันธุ์ของเชื้อโรคบนโลกมนุษย์เป็นจริง อะไรจะตามมา?
ในคำเตือนถึง "วันน้ำท่วมโลก" ที่มีคนกล่าวถึงกันมาก มีการกล่าวถึงการมาเยือนของโรคระบาดใหญ่ โดยเฉพาะโรคอหิวาต์ อาจทำให้ผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก แต่นั่นอาจเป็นเพียงแค่คำทำนายที่อาจไม่มีแก่นสารใดๆ แต่ก็ไม่อาจเพิกเฉยในการตระเตรียมรับมือกับปัญหาที่ไม่คาดคิดนี้
"อนาคตเราเชื่อว่า ระดับน้ำทะเลจะสูงจนท่วมที่ราบลุ่ม หากมีการแพร่ระบาดของเชื้ออหิวาต์อย่างรวดเร็วเหมือนในอดีต ที่เคยมีคนเสียชีวิตจำนวนมากด้วยเชื้ออหิวาต์สายพันธุ์แท้ แม้ว่าปัจจุบันเชื้ออหิวาต์จะไม่รุนแรงเหมือนอดีต แต่ไม่มีหลักประกันว่า เชื้ออหิวาต์แท้จะกลับมาอีกหรือไม่ ถึงเวลานั้นผมไม่แน่ใจว่าจะแพ้ไข้หวัดนกมั้ย" ผศ.ดร.กำพล ตั้งคำถามที่ยังไม่มีคำตอบ
นอกจากโรคติดเชื้อที่มีน้ำเป็นพาหะอย่างโรคอหิวาต์แล้ว นักวิชาการสหเวชศาสตร์ ยังให้ความสนใจโรคติดเชื้อที่มียุงเป็นพาหะอีกด้วย โดยอ้างอิงผลการวิจัยจากต่างประเทศที่พบว่า อุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นทำให้ระบบนิเวศเปลี่ยนแปลง แมลงจำพวก "ยุง" จะเติบโตอย่างรวดเร็ว เมื่ออุณหภูมิสูง ยุงจะวางไข่ มีระยะการฟักตัวสั้น และเจริญเติบโตเร็ว ทำให้ยุงที่ติดเชื้อมีโอกาสนำเชื้อโรคไปสู่คนมากขึ้น
สอดคล้องกับการเฝ้าติดตามการระบาดของโรคไข้เลือดออก สำนักโรคติดต่อโดยแมลง กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ที่พบว่ามีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น
โดยในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา มีผู้เสียชีวิตจากโรคไข้เลือดออกแล้ว 425 ราย มีผู้ป่วยไข้เลือดออกกว่า 3 แสนคน ประกอบด้วย ปี 2549 มีผู้ป่วย 42,456 ราย เสียชีวิต 59 ราย ปี 2548 มีผู้ป่วย 45,893 ราย มีผู้เสียชีวิต 71 ราย ปี 2547 มีผู้ป่วย 39,135 ราย มีผู้เสียชีวิต 48 ราย ปี 2546 มีผู้ป่วย 63,657 ราย เสียชีวิต 75 คน และปี 2545 มีการระบาดรุนแรงที่สุด มีผู้ป่วยสูงถึง 108,905 ราย เสียชีวิต 172 ราย
นอกจากโรคไข้เลือดออกที่ระบาดในเขตเมืองใหญ่ๆ แล้ว โรคมาลาเรียที่เคยหลบซ่อนอยู่ในป่าเขาตามชายแดนไทย ก็กำลังนำทัพบุกเข้าตัวเมืองแล้ว ถึงแม้ผู้ป่วยคนไทยจะมีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ แต่ในกลุ่มผู้ป่วยต่างด้าวกลับมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น เพราะคนเหล่านี้มีการเคลื่อนย้ายข้ามพรมแดนไปมา โดยเฉพาะการหารายได้พิเศษ เช่น กรีดยาง ทำไร่ บางรายมีเชื้อมาลาเรียอยู่โดยไม่แสดงอาการและปฏิเสธการรักษา เนื่องจากกลัวถูกจับ ทำให้เชื้อมาลาเรียแพร่ไปยังที่อื่นๆ ไม่รู้จบสิ้น
เกือบทุกเดือน แพทย์ รพ.เวชศาสตร์เขตร้อน จะให้การรักษาผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยมาลาเรียจากฝั่งพม่าและมอญ กว่า 200 คน โดยบางส่วนจะเดินทางไปให้การรักษาถึงชายแดน หากรายไหนอาการหนักก็จะนำตัวกลับมารักษาภายในหอผู้ป่วยมาลาเรีย ซึ่งปัจจุบันมีชาวพม่าและมอญทั้งหญิงชาย นอนเรียงรายอยู่จนแน่นขนัด
"สถานการณ์ของโรคมาลาเรียในคนไทยมีแนวโน้มลดลง แต่ในคนต่างด้าวโดยเฉพาะพม่า มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น การแพร่ระบาดของเชื้อมาลาเรียมักพบตามแนวชายแดนไทย-พม่า เพราะยังมีพื้นที่ป่าอยู่มาก และพื้นที่เสื่อมโทรมจากภัยพิบัติ ตลอดจนพื้นที่มีปัญหาก่อการร้าย มีการแพร่ระบาดของเชื้อมาลาเรียสูง เนื่องจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุขไม่สามารถเข้าไปควบคุมโรคได้" รศ.วัฒนา เลี้ยววัฒนา รองคณบดีฝ่ายบริการ คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล และ ผอ.รพ.เวชศาสตร์เขตร้อน สะท้อนปัญหาการระบาดของโรคมาลาเรีย
สภาวะโลกร้อนกำลังซัดกระหน่ำซ้ำเติมคุณภาพชีวิตของมนุษย์บนพื้นโลกอย่างต่อเนื่อง ที่เห็นเด่นชัดในรูปแบบภัยพิบัตินานาประการ อาทิ ความแห้งแล้ง วาตภัย อุทกภัย พายุฝน ฯลฯ หลังม่านหมอกแห่งความเปลี่ยนแปลงอันโหดร้ายและรุนแรงที่มนุษย์สัมผัสได้นั้น ยังซ่อนความรุนแรงอื่นๆ ที่สายตาของมนุษย์มิอาจมองเห็นอีกมากมาย?!?
ทีมข่าวรายงานพิเศษ : เรื่อง
ภาพ : กิตติ บุปผชาติ / ศูนย์ภาพเนชั่น