The Chronicles of Narnia
เมื่อวันก่อนได้ไปดู Narnia มาละ....ชอบมากๆๆๆ ช่วยปลุกจินตนาการในวัยเด็กได้ดีสุดๆ ชอบเรื่องนี้มากจนต้องเอามาเขียนลง Blog แหะๆๆ
เดอะ โครนิเคิลส์ ออฟ นาร์เนีย เป็นวรรณกรรมชุดที่มีทั้งหมด 7 เล่ม
เล่มที่นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์มีชื่อว่า The Lion, The Witch and The Wardrobe
เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเด็ก 4 คนที่ไปพักบ้านชนบทของศาสตราจารย์ชราในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และไปเจอตู้เสื้อผ้าที่เปิดออกมาเห็นป่าที่มีหิมะโปรยปราย
พวกเขาก้าวผ่านประตูตู้เข้าไปสู่โลกวิเศษที่เรียกว่า นาร์เนีย ซึ่งกำลังตกอยู่ภายใต้คำสาปของแม่มดร้ายให้ต้องเผชิญกับฤดูหนาวไปชั่วนิรันดร์ เพื่อให้หลุดพ้นจากคำสาป เด็กๆจึงนำนาร์เนียสู่สงครามอันตระการตา โดยได้รับความช่วยเหลือจาก อัสลาน ราชสีห์ผู้ชาญฉลาด
จุดเด่นของเรื่องนาร์เนีย คงหนีไม่พ้นตัวละครในเทพนิยายโบราณ ขอเล่าให้อ่านดังนี้ค่ะ
ฟอน
เป็นสัตว์ในเทพนิยายของกรีก หน้าตาเป็นมนุษย์หล่อเหลาอ่อนเยาว์ แต่พอมองท่อนล่างแล้วต้องร้องกรี๊ด เพราะมีขาและหางเหมือนแพะ มีหูและเคราแพะด้วย นิสัยร่าเริง ซุกซน มีพรสวรรค์ในด้านดนตรี คอยติดตามเทพเจ้าไดโอนิซูส เทพเจ้าแห่งไวน์
เซนทัวร์
สัตว์ในเทพนิยายของกรีกอีกตัวหนึ่งที่มีร่างท่อนบนเป็นคน ท่อนล่างเป็นม้า มีนิสัยป่าเถื่อน ชอบแหกกฎเป็นทาสของกิเลสตัณหาตามประสาสัตว์โลก แต่ไซรอนซึ่งเป็นราชาของเซนทัวร์ กลับโด่งดังเพราะคุณความดีและความฉลาดลํ้า
มิโนทอร์
สัตว์ประหลาดกินมนุษย์ ครึ่งบนเป็นวัวกระทิง ครึ่งล่างเป็นคน อาศัยอยู่ในบริเวณเขาวงกตอันลี้ลับ หรือแลบบิรินส์ แห่งอาณาจักรมิโนอัน และถูกสังหารโดยธีซีอุส วีรบุรุษคนหนึ่งของกรีก
ไซคล็อป
ยักษ์ ชนิดหนึ่งที่มีดวงตาหนึ่งดวง กลางหน้าผาก ชื่อของมันแปลว่า ตากลม ในภาษากรีก เจ้ายักษ์พวกนี้ต้องทุกข์ ทรมานเพราะถูกพ่อกักขังไว้ พอออกมาได้ ก็ถูกพี่จับขังอีก เทพซูสเป็นผู้ปลดปล่อย พวกยักษ์ตาเดียวออกจากที่คุมขัง เพื่อแลกกับอิสรภาพ พวกยักษ์ต้องคอยสร้าง สายฟ้าผ่าให้กับเทพซูส
กริฟฟิน
กริฟฟินเป็นหนึ่งในสัตว์เทพ นิยายที่มีอายุเก่าแก่ที่สุด และโด่งดังมานานกว่า 5,000 ปี บางทีเรียกว่า กริฟฟอน มีร่างของสิงโต หัวและปีกเป็นนกอินทรี เพราะมันมีส่วนผสม ของราชาสัตว์ป่าและราชานก เราจึงอาจยกย่องว่ากริฟฟิน เป็นราชาของบรรดาสัตว์ในเทพนิยาย! ก็เหมือนสิงโต และนกอินทรีกริฟฟิน มีความสง่างาม ดุดัน น่าเกรงขาม บางครั้งถึงกับทำร้ายมนุษย์ด้วย ว่ากันว่าพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ มหาราชเคยเผชิญกองทัพกริฟฟินที่อินเดีย และเกิดประทับใจในตัวสัตว์ อันน่าเกรงขามนี้จนถึงกับวางแผนดักจับกริฟฟิน
กริฟฟินเป็นสัญลักษณ์ของการปกป้องคุ้มครองภัยและความเข้มแข็ง ทุกวันนี้เรายังเห็นกริฟฟินได้บนตราสัญลักษณ์ที่สำคัญต่างๆทางทหารของยุโรป
นอกจากนี้ ตัวเอกของเรื่องคือ ราชสีห์ อัสลาน ซึ่งเป็นตัวแทนของความดี (และลึกๆแล้ว ผู้เขียนใช้เป็นตัว แทนของพระเยซู) และที่ต้องเลือกสิงโตนั้น อาจเป็นเพราะสิงโตเป็นเจ้าป่า และในไบเบิลใช้คำเรียกพระเยซูว่า สิงโตแห่งจูดาห์
แม่มดขาว
ตัวร้ายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในนาร์เนีย เธอไม่ได้มีรูปร่างหน้าตาอัปลักษณ์ตามแบบฉบับแม่มดทั่วไป แต่ดูเหมือนมนุษย์ มีผิวขาว งดงามดุจเทพธิดา แต่ทว่านิสัยใจคอโหดร้าย เอาแต่ใจ ไร้ความรู้สึก ว่ากันว่าแม่มดขาวเป็นลูกของลิลิธ ภรรยาคนแรกของอดัม เธออาศัยเวทมนตร์วิเศษจากคทา ด้วยคทานี้สามารถเสกให้คนกลายเป็นหินได้ ที่ปราสาทของเธอ เต็มไปด้วยรูปปั้นของมนุษย์ที่ถูกสาปเป็นหิน และเธอยังสาปให้ดินแดนนาร์เนียตกอยู่ใต้ฤดูหนาวอันโหดร้ายเป็นเวลา 100 ปี แต่ไม่มีคริสต์มาส! ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีสิ่งดีๆ...
อย่างที่เกริ่นไปแล้วว่า The Chronicles of Narnia เป็นวรรณกรรมชุดที่มีทั้งหมด 7 เล่มด้วยกัน
เรียงลำดับตามปีที่ตีพิมพ์ดังนี้ค่ะ
1. The Lion, The Witch and The Wardrobe ปี 1950 2. Prince Caspian ปี 1951 3. The Voyage of the Dawn Treader ปี 1952 4. The Silver Chair ปี 1953 5. The Horse and His Boyปี 1954 6. The Magician's Nephew ปี 1955 7. The Last Battle ปี 1956
ผู้ประพันธ์เรื่องนี้ คือ C.S.Lewis
จริงๆแล้ววรรณกรรมชุดนาร์เนียมีปัญหานัวเนียอยู่พอสมควร อาทิ
จากเดิมที่ตีพิมพ์เรียงลำดับตามที่ได้ไล่ลำดับให้ดูข้างต้น มีการสลับสับเปลี่ยนลำดับทั้ง 7 เล่มใหม่หมด เพื่อความเข้าใจในลำดับความเป็นมาและเป็นไปของเนื้อเรื่อง ซึ่งได้นำเอาเล่ม 6 มาลำดับใหม่เป็นเล่ม 1 เนื่องจากเล่ม 6 ได้กล่าวถึงกำเนิดของดินแดนนาร์เนีย โดยเสียงเพลงเนรมิตดินแดนของ Aslan และมีเด็ก 2 คนแรกที่เผลอสวมแหวนวิเศษหายตัวไปยังนาร์เนีย
ส่วนเล่ม 1 เดิม(ที่เราดูภาพยนตร์กันไป) ก็กลายเป็นเล่ม 2 ดังนั้นลำดับใหม่ของวรรณกรรมชุดนี้ เป็นดังนี้
1. The Magician's Nephew 2. The Lion, The Witch and The Wardrobe 3. The Horse and His Boy 4. Prince Caspian 5. The Voyage of the Dawn Treader 6. The Silver Chair 7. The Last Battle
จากเนื้อเรื่องบางส่วนของนาร์เนีย ทำให้หลายๆคนคิดว่าทำไมเนื้อเรื่องจึงคล้ายคลึงกับ "The Hobbit" และ "The Lord of the Rings" ของ J.R.RTolkien เช่น การใช้แหวนหายตัว แผนที่ของดินแดนนาร์เนียก็ช่างเหมือนกับแผนที่ Middle Earth ของ The Lord of the Rings และอื่นๆอีกหลายจุด
ซึ่งหลายคนก็ให้ข้อสังเกตว่าไม่แปลก เพราะส่วนใหญ่แล้วสิ่งเหล่านี้ก็ล้วนแล้วแต่อยู่ในนิทาน หรือ หนังสือแนวแฟนตาซีทั้งสิ้น หรืออาจจะเป็นไปได้ว่าจากการที่ทั้งคู่เป็นเพื่อนสนิทกัน ได้มีการแลกเปลี่ยนงานเขียนสู่กันอ่านทำให้มีแนวโน้มคล้องตามกันก็อาจจะเป็นไปได้
ไหนๆก็พูดถึง Tolkien แล้วก็ขอเอ่ยถึงงานเขียนอมตะของเขาซักนิด
Tolkien ใช้เวลาเขียน The Hobbit ตอนแรกที่จะนำไปสู่ The Lord of the Rings นานถึง 7 ปี
ส่วน The Lord of the Rings อีก 3 เล่มนั้นใช้เวลาอีก 12 ปีจึงเสร็จสิ้นสมบูรณ์ และงานเขียนชิ้นนี้มีจุดมุ่งหมายสำคัญ 2 ประการ
1. ทดลองการใช้ภาษาโบราณที่เขียนยาก เข้าใจยาก (ใครเคยอ่านฉบับดั้งเดิมจะรู้ซึ้งว่าอ่านยากจริงๆ)
2. ตั้งใจเขียนให้เรื่องยาวมากๆเพื่อลองใจ ทดสอบความอดทนของคนอ่าน
งานเขียนนี้ต่างจากนาร์เนียตรงที่ไม่แฝงปรัชญาทางศาสนาเอาไว้เลย เน้นว่าอ่านแล้วได้อะไรนั้นแล้วแต่อิสระทางความคิดของผู้อ่านเองทั้งสิ้น
นั่นก็โยงมาถึงปัญหาที่ตามมาอีกอย่างของนาร์เนีย อาจจะเป็นปัญหาลึกๆของผู้คนศาสนาอื่นที่ไม่ทราบถึงแก่นแท้ของคริสตศาสนา เนื่องจากเรื่องนี้เป็นเรื่องราวแฝงคติและปรัชญาของคริสตศาสนาเป็นอย่างมากนั่นเอง
แต่ยังก็ตาม....ไม่ต้องซีเรียสนะคะ อ่านเจอแล้วมาเล่าให้ฟังเฉยๆเป็นความรู้ประดับสมอง
ไปดูเถอะ สนุกดี เหมือนได้ย้อนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง
Create Date : 14 มกราคม 2549 |
|
34 comments |
Last Update : 14 มกราคม 2549 20:05:57 น. |
Counter : 2263 Pageviews. |
|
|
|