Group Blog
รวมเรื่อง วิชชาธรรมกาย
น้อมลิขิต
360 เที่ยววัดทำบุญ
ที่นี่มีคำตอบ
มิสฮัมเบิล
บ้านรับรอง (ชายคา)
All Blogs
ความงามที่น่าใฝ่หา
ฉลองวันเกิดแบบชาวพุทธ
เรือพายเก่า
"พร"ประเสริฐแห่งชีวิต
+++++ การซ่อมแซมโบสถ์และโบราณสถาน +++++++
ขั้นตอนการสร้างโบสถ์ (ฉบับปรับปรุง)- น้อมเศียรเกล้า
จิตรกรรมฝาผนังของวัดไทย - น้อมเศียรเกล้า
พิธีพุทธาภิเษกพระ-คืออะไร เพื่ออะไร เป็นพุทธพิธีหรือไม่ เริ่มมีสมัยใด ต่างกับปลุกเสกอย่างไร ?
หอไตร..........."ธรรมเจดีย์" ที่ควรบูชาและรักษา
วิธีการเก็บรักษาคัมภีร์โบราณ
Book Review : "กิร ดังได้สดับมา"
BOOK REVIEW : "พบกันเวลาคิดถึง" หนังสือสอนเด็กให้รับมือกับความเศร้า
เจดีย์ บุญเขตอันเยี่ยม (ตอน: แนวคิดการออกแบบพระเจดีย์)-น้อมเศียรเกล้า
"เจดีย์"บุญเขตอันเยี่ยม (ตอน มิติทางสถาปัตยกรรม)-น้อมเศียรเกล้า
อยู่ก็รัก จากก็คิดถึง - น้อมเศียรเกล้า
ส.ค.ส ๒๕๕๕ ด้วยรัก..จากน้อม
ธรรมะของมหาสมุทร (ความถ่อมตน) - น้อมเศียรเกล้า
รองเท้าในวัด- น้อมเศียรเกล้า
..............แผล....................
แม้เห็นครั้งแรกก็เลื่อมใส : บุพเพสันนิวาส ( การอยู่ร่วมกันในกาลก่อน )
+*-.++-*. สุขสันต์วันแก่ +*.-*+.*+
กำลังใจ สู้ภัยน้ำท่วมและอันตรายของชีวิต
ความแตกต่างของ "สร้างภาพ" กับ "รักษาภาพ" (นิยามโดยมิสฮัมเบิล)
+*-+** ลำนำแห่งสายน้ำ -+*-..*-+*.
หญิง-ชายกลายเป็นอสูรกายขณะขับรถ
คำโบราณว่า "แม้เสียงจิ้งจกร้องทัก ยังต้องหยุดฟัง"
จ่าฝูงนำ ลูกฝูงตาม
ไม่สำรวมในการบริโภค รับประทานอาหารจุบจิบถือได้ว่า "ไม่สำรวมในศีล"
ปรารถนา หรือ ไม่ปรารถนาดี ? (ตอน ๒/๒ จบ)-น้อมเศียรเกล้า
ปรารถนา หรือ ไม่ปรารถนาดี ?- น้อมเศียรเกล้า
อิสรภาพเกินโลกสาม (so much,very much Free...)
การขอขมา-กิจของผู้มีบุญบารมีจะพ้นทุกข์ (ตอน ๓/๓ จบ)
การขอขมา-กิจของผุ้มีบุญบารมีจะพ้นทุกข์ (ตอนที่๒/๓)
การขอขมา-กิจของผุ้มีบุญบารมีจะพ้นทุกข์ (ตอนที่๑/๓)
ส.ค.ส ๒๕๕๔
ให้แล้วให้เลย กลับคืน ๑๐๐ บาท - น้อมเศียรเกล้า
ไม่อยากเสียคนก็..อย่าไปรักอะไรให้มากนัก - น้อมเศียรเกล้า
"เพื่อน" กับ คนที่"ไม่ใช่เพื่อน"- น้อมเศียรเกล้า
"กาลกิณี"กับ"สีเสื้อ"- น้อมเศียรเกล้า
เมื่อก่อน..และ..เดี๋ยวนี้ - น้อมเศียรเกล้า
คำพรพระ- น้อมเศียรเกล้า
เสื้อแห่งความสุข เมล็ดพันธุ์จากบ้านที่ไม่เคยมีคนตาย และจอกทองคำของพระราชา
ทำบาปเพราะความจำเป็น (จะหลอกตนเองไปถึงไหน)- น้อมเศียรเกล้า
วันนี้วันพระ.. พายเถิดหนาพ่อพาย - น้อมเศียรเกล้า
จามรีรักษาขน - น้อมเศียรเกล้า
สวัสดีจ่ะ....ความโสด (ไม่โสดห้ามเข้ามาอ่าน)- น้อมเศียรเกล้า
เกลียด..ทำไม- น้อมเศียรเกล้า
วิธีเพาะบ่มความฉลาด (ปัญญาบารมี) - น้อมเศียรเกล้า
.อุบาสิกา-สตรีผู้มีบุญ เกินจะพรรณา - น้อมเศียรเกล้า
น้อมเล่าเรื่อง "เปรตจัดหัวนอนกับผู้เพ่งโทษ" - น้อมเศียรเกล้า
วาจาสุภาษิต ย่อมมีผลแก่ผู้ปฎิบัติ เหมือนดังดอกไม้งาม..(ตอนจบ)
...วาจาสุภาษิต ย่อมมีผลแก่ผู้ปฎิบัติ เหมือนดังดอกไม้งาม ที่มีทั้งสีสวย และกลิ่นอันหอม...
ธุดงควัตร ไม่ต้องรอเป็นพระ ก็สามารถฝึกปฏิบัติได้ - น้อมเศียรเกล้า
สำเภาพยาบาท - น้อมเศียรเกล้า
เมื่อไร"แร้ง"จะกลับใจ ??? - น้อมเศียรเกล้า
ธรรมาธรรมะสงคราม (สงครามกับนักฆ่า ภายใน) - น้อมเศียรเกล้า
ความเข้าใจเรื่อง "พรหมจรรย์" - น้อมเศียรเกล้า
ธรรมาธรรมะสงคราม (สงครามกับนักฆ่า ภายใน) - น้อมเศียรเกล้า
ดูก่อนนิกรชน.........................อกุศลบทกรรม
ทั้งสิบประการจำ.........................และละเว้นอย่าเห็นดี
การฆ่าประดาสัตว์.........................ฤ ประโยชน์บ่พึงมี
อันว่าดวงชีวี........................ย่อมเป็นสิ่งที่ควรถนอม
ถือเอาซึ่งทรัพย์สิน.......................อันเจ้าของมิยินยอม
เขานั้นเสียดายย่อม.......................จิตตะขึ้งเป็นหนักหนา
การล่วงประเวณี........................ณ บุตรีและภรรยา
ของชายผู้อื่นลา-........................มกกิจบ่บังควร
กล่าวปดและลดเลี้ยว........................พจนามิรู้สงวน
ย่อมจะเป็นสิ่งควร........................ นรชังเป็นพ้นไป
ส่อเสียดเพราะเกลียดชัง........................บ่มิยังประโยชน์ใด
เสื่อมยศและลดไม........................-ตริระหว่างคณาสลาย
พูดหยาบกระทบคน........................ก็ต้องทนซึ่งหยาบคาย
เจรจากับเขาร้าย........................ฤ ว่าเขาจะตอบดี
พูดจาที่เพ้อเจ้อ........................วจะสาระบ่มี
ทำตนให้เป็นที่........................นรชนเขานินทา
มุ่งใจและไฝ่ทรัพ-........................ยะด้วยโลภเจตนา
ทำให้ผู้อื่นพา........................กันตำหนิมิรู้หาย
อีกความพยาบาท........................ มนะมุ่งจำนงร้าย
ก่อเวรบ่รู้วาย........................ฤจะพ้นซึ่งเวรา
เชื่อผิดและเห็นผิด........................ สิจะนิจจะเสื่อมพา
เศร้าหมองมิผ่องผา........................สุกะรื่นฤดีสบาย
ละสิ่งอกุศล.....................สิกมลจะพึงหมาย
เหมาะยิ่งทั้งหญิงชาย........................สุจริต ณ ไตรทวาร
จงมุ่งบำเพ็ญมา-........................ตุปิตุปัฏฐานการ
บำรุงบิดามาร-........................ดรให้เสวยสุข
ใครทำฉะนี้ไซร้........................ก็จะได้นิราศทุกข์
เนานานสราญสุข........................และจะได้คระไลสวรรค์
ยศใหญ่จักมาถึง........................กิตติพึงจักตามทัน
เป็นนิจจะนิรัน-........................ดรย่อมจะหรรษาฯ
(พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว)
พระราชนิพนธ์เรื่อง
"ธรรมาธรรมะสงคราม"
ที่ผู้เขียนยกขึ้นมาตอนต้นนี้ เป็นวรรณคดีที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงประพันธ์ขึ้นไว้เมื่อทรงได้ฟังพระธรรมเทศนามงคลวิเศษ ซึ่งสมเด็จพระสมณะ กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงแสดงในงานเฉลิมพระชนมพรรษาปี ๒๔๖๑....
แท้จริงแล้ววรรณคดีเรื่องนี้มีเค้าโครงมาจากพระไตรปิฏก ชาดกเรื่อง
ธัมมเทวปุตตจริยา
ประวัติเมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสวยพระชาติเป็น มหายักษ์ชื่อ ธรรมะชักชวนมหาชนให้ประพฤติกุศลกรรมบถ ๑๐ ทำการต่อสู้กับยักษ์ฝ่ายชั่วซึ่งชักชวนมหาชนให้ทำความชั่ว
ครั้นเมื่อธรรมเทวปุตรทำใจให้สงบเพื่อที่จะรักษาศีล เทวปุตรฝ่ายชั่วกลับถูกธรณีสูบ คือรถบ่ายหัวตกลงพื้นโลก พ่ายแพ้ไปเอง ทำให้เห็นว่าในที่สุดธรรมะก็ต้องย่อมชนะอธรรม
วรรณคดีเรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงความเป็นจริงอย่างหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นอยู่ทุกขณะ แม้บางท่านจะตระหนักหรือไม่ตระหนักก็ตาม นั่นก็คือเรื่องราวของสงคราม
พอกล่าวถึงสงครามอาจจะทำให้ท่านจินตนาภาพไปถึง สมรภูมิดุเดือดที่สองฝ่ายทำการโรมรัน ต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย พรั่งพร้อมไปด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์ ที่ต่างฝ่ายต่างนำออกมาเพื่อที่จะช้ำทำลาย ฆ่าฟัน คู่ต่อสู้ในสนามให้พินาศไป และชื่อว่าสงครามย่อมเป็นเช่นนั้น คือมีความรุนแรง เพราะจุดประสงค์ของสงครามก็คือการทำให้ได้เหนือชัยชนะอีกฝ่ายหนึ่ง และมีความจงใจอย่างแรงกล้าจะทำให้อีกฝ่ายมีความพินาศ
อย่างไรก็ตามสงครามภายนอกที่หลายท่านพอจะเข้าใจว่ารุนแรงอาจจะยังเปรียบเทียบไม่ได้กับสงครามภายในจิตใจที่เกิดขึ้นอยู่ทุกขณะ คือการที่ธรรมะฝ่ายกุศล และอกุศลเข้าทำการช่วงชิงอำนาจซึ่งกันและกันในการบังคับบัญชามนุษย์
ซึ่งหากฝ่ายกุศลเป็นผู้มีชัยชนะ ก็จะทำให้มนุษย์ผู้นั้นอยู่ใกล้เส้นทางสายกลางของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันเป็นเส้นทางที่อยู่บนกระแสพระนิพพาน อันเป็นแหล่งของความสุข ความสำเร็จและความบริสุทธิ์
แต่หากอกุศลเข้าทำการโรมรันชิงช่วงใจของมนุษย์ได้สำเร็จแล้วก็จะทำให้มนุษย์ผู้นั้นหลุดออกจากทางสายกลางของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันห่างไกลจากกระแสพระนิพพาน และประสบแต่ความทุกข์ยากเดือดร้อน
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่าเมื่อใดที่กุศลเกิดขึ้นจิตใจ ก็เกิดความสุข ความสงบความเจริญ เมื่อใดอกุศลเข้าครอบงำจิตใจก็เกิดเป็นความวุ่นวายเดือดร้อน เพราะความสุขหรือความทุกข์ทั้งมวลย่อมเกิดจากใจก่อนทั้งสิ้น
ธรรมทั้งหลาย มีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จด้วยใจ ถ้าใจอันโทษประทุษร้ายแล้ว จะพูดก็ตาม จะทำก็ตาม ความทุกข์ย่อมติดตามไป..ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จได้ด้วยใจ ถ้าใจผ่องใสแล้ว จะพูดก็ตาม จะทำก็ตาม ความสุขย่อมติดตามไป
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงตรัสสอนให้คนเรานี้ควรฝึกฝนใจ และทำให้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต เพราะใจนี้เองเป็นนาย เป็นประธานในการควบคุมให้คนเราดำเนินชีวิตไปในลักษณะต่างๆที่แตกต่างกันไป แม้กระทั่งนำมหาชนสู่ความเจริญรุ่งเรืองสูงสุดกระทั่งเปลี่ยนแปลงปุถุชนเป็นอริยชน หรือทำให้มหาชนตกต่ำที่สุดถึงขนาดไปนรกได้รับความทุกข์ความเดือดร้อน
จริงอยู่การฝึกฝนจิตใจอาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายและกระทำให้เสร็จสิ้นไปเพียงเวลาชั่วคืน เพราะการต่อสู้ระหว่างกุศลกับอกุศลนี้แท้จริงแล้วเปรียบดัง มหาสงครามใหญ่ที่ต้องเอาชีวิตเข้าเป็นเดิมพัน
และอาวุธที่จะเข้ามาห้ำหั่นกันนั่นก็คือ บุญและบาปที่ติดตัวมากับมนุษย์เรา เป็นดังอาวุธยุทโธปกรณ์ที่จะนำมาทำร้ายทำลายอีกฝ่ายหนึ่ง
ผู้ใดที่มีบุญมากก็จะสั่งสอนตัวเองได้ จะรู้หนทางบุญ บาป คอยให้กำลังใจตัวเอง คอยสอนตัวเอง ผู้ที่สะสมบาปไว้มาก บาปก็มีกำลังทำให้อกุศลเข้าครอบงำได้ง่าย..
การเกิดเป็นมนุษย์จึงต้องต่อสู้อย่างมาก ต่อสู้กับทั้งเวลาที่กลืนกินชีวิตของเราไปทุกขณะจิต และต่อสู้ที่จะขจัดมลทินหรือ*ศัตรูภายใน*ในการทวนกระแสกิเลสสร้างความดี เพราะการทำดีไม่ใช่เรื่องง่าย อุปมาเหมือนการว่ายทวนกระแสน้ำซึ่งต้องอาศัยกำลังทั้งกายและใจเข้าแลก
***มลทินภายใน อมิตรภายใน ศัตรูภายใน ผู้ฆ่าภายใน ข้าศึกภายใน มี ๓ ประการได้แก่ โลภะ โทสะ โมหะ (อิติวุตตก ๒๕/๒๙๕) ***
จึงมีผู้คนจำนวนมากยอมพ่ายแพ้ให้กับบาปอกุศล เนื่องจากบาปเป็นสิ่งที่ทำง่าย และไม่ต้องลงทุนอะไรมากเลย ส่วนการทำความดีเป็นเรื่องยาก และต้องอาศัยการลงุทนที่ทำได้ยากลำบาก คือการข่มใจเข้าสู้.. สู้กับหลายสิ่งหลายอย่างที่เป็นเหยื่อล่อ ให้เพลิดเพลินและติดในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และธรรมารมณ์ต่างๆ
<
a href="//www.bloggang.com/data/t/tilltomorrow/picture/1286983463.jpg" target=_blank>
การต่อสู้ระหว่างกุศลกับอกุศลในใจของเรานี้ เกิดขึ้นนับตั้งแต่วันเกิดจนวันกระทั่งวันตาย วันใดก็ตามที่เราไม่ลุกขึ้นสู้ กิเสสก็ชนะเราจึงต้องพยายามให้กุศลหรือความดีเกิดขึ้นในตัวบ่อยๆ
"แม้บางครั้งเราจะพลาดไปบ้างก็ตาม ต้องคิดเสมอว่าสู้ก็ตายไม่สู้ก็ตาย แต่ถ้าไม่สู้ ชีวิตที่เหลืออยู่ก็ไม่ต่างอะไรจากคนที่ตายแล้ว นั่นก็คือตายไปจากความดีนั่นเอง แถมมีผลพวงเป็นความทุกข์ความเสียหายเดือดร้อน"
ผู้ที่พ่ายแพ้ต่อกิเลส คือไม่พยายามต่อสู้นั่นเองสมเด็จพระสัมมาสัมพทุธเจ้าทรงตรัสว่า มารย่อมข่มเห่งคนผู้นั้น
เปรียบเสมือนลมทำลายต้นไม้ที่ไม่แข็งแรง
ส่วนผู้ที่มีความเพียร ไม่มักเห็นว่าสวยงาม สำรวมอินทรีย์ (คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) รู้ประมาณในการบริโภค มีศรัทธา ปรารภความเพียร มารย่อมไม่ข่มเหงผู้นั้น
เหมือนลมไม่ทำลายภูเขาอันล้วนด้วยศิลาฉะนั้น
วรรณคดีเรื่องธรรมาธรรมะสงครามนี้เป็นวรรณดคีสอนให้คนรู้จักทำความดีและเชื่อถือในความดี เชื่อถือธรรมะที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอน ว่าท้ายที่สุดแล้วการยึดมั่นทำความดีจะนำสิ่งที่เป็นความสุขความสำเร็จมาให้
ส่วนผู้ที่ทำบาปบาปย่อมทำลายตัวเขาเอง ดังอธรรมเทวปุตรที่ต้องพ่ายแพ้ภัยตนเองไป ....แท้จริงเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นพระสมัยพระบรมศาสดาเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์ ทั้งยังสามารถเปรียบเปรยเป็นบุคคลาธิษฐานเรื่องการต่อสู้กับนักฆ่าคือกิเลสภายในได้อย่างดีอีกด้วย
ก็สมดังพุทธศาสนาสุภาษิตที่ขออนุญาตยกมาเป็นธรรมภาษิตว่า
ธรรมและอธรรมทั้ง ๒ อย่างนี้ย่อมหาเสมอกันไม่ ธรรมทั้ง ๒ อย่างนี้เสมอกันหามิได้
อธมฺโม นิรยํ เนติ อธรรมนำไปนรก
ธมฺโม ปาเปติ สุคฺคตึ ธรรมให้ถึงซึ่งสวรรค์
เนื้อเรื่อง : น้อมเศียรเกล้า
ขอขอบพระคุณภาพชุด"ยักษ์"จาก : @single mind for peace
Create Date : 13 ตุลาคม 2553
Last Update : 20 สิงหาคม 2554 14:30:49 น.
0 comments
Counter : 2999 Pageviews.
Share
Tweet
ชื่อ :
Comment :
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
น้อมเศียรเกล้า
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [
?
]
Friends' blogs
Webmaster - BlogGang
[Add น้อมเศียรเกล้า's blog to your web]
Links
Bloggang.com
Pantip.com
|
PantipMarket.com
|
Pantown.com
| © 2004
BlogGang.com
allrights reserved.