กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
 
ตอนที่ ๑ เริ่มเรื่องประวัติ พ.ศ. ๒๔๐๕-๒๔๑๑


ในงานประจำปีวัดเบญจมบพิตร ทรงมีพระราชดำรัสว่า

"มือขวาซ้ายมาถ่ายรูปด้วยกัน"



..............................................................................................................................................................



ฉันเกิดในพระบรมมหาราชวัง เมื่อปีจอ วันเสาร์ที่ ๒๑ มิถุนายน(๑) พ.ศ. ๒๔๐๕ ประเพณีในราชสกุลสมัยนั้น เมื่อพระเจ้าลูกเธอประสูติ ถ้าเป็นพระองค์ชายได้พระราชทานพระขรรค์เล่ม ๑ กับปืนพกกระบอก ๑ ถ้าเป็นพระองค์หญิงได้พระราชทานพระภูษาแพรคลุมพระองค์ผืน ๑ เป็นของเฉลิมขวัญให้วางไว้ในกระด้งที่รองพระองค์ เมื่อประสูติแล้วได้ ๓ วันมีการพิธีเวียนเทียนสมโภชตำหนักที่ประสูติ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จลงประทับเป็นประธานรดน้ำมหาสังข์และเจิมพระราชทาน ฉันได้เฝ้า "ทูลกระหม่อม"(๒) สมเด็จพระบรมชนกนาถของฉันเป็นครั้งแรกในวันนั้น ต่อนั้นมาเมื่อประสูติแล้วได้เดือน ๑ มีการพิธีสมโภชอีกครั้ง ๑ เรียกว่าสมโภชเดือน เป็นการใหญ่กว่าสมโภช ๓ วัน(๓)ต้องหาฤกษ์ทำให้วันดี บางทีเกินวันครบเดือนไปหลายๆวัน พิธีนั้นเริ่มด้วยพระสงฆ์เจริญพระปริตตอนบ่ายเมื่อก่อนวันฤกษ์ ครั้งถึงวันฤกษ์เวลาเช้าเลี้ยงพระและสงฆ์อำนวยพรก่อน(๔)แล้วจึงทำพิธีพราหมณ์ คือโกนผมไฟไว้จุก และพระครูพราหมณ์เอาลงอาบน้ำในขันสาคร ครั้นถึงเวลาบ่ายพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จลงประทับเป็นประธานในการพิธีเวียนเทียนสมโภชและทรงรดน้ำพระมหาสังข์ทรงเจิมเหมือนครั้งก่อน สมโภชแล้วพระครูพราหมณ์อุ้มเอาขึ้นวงในพระอู่ไกวร่ายมนต์กล่อม ๓ ลาเป็นการเสร็จพิธี

ในวันสมโภชเดือนนี้ทูลกระหม่อมพระราชทานของขวัญ คือทองคำสำหรับทำเครื่องแต่งตัวกับเงินร้อยชั่ง(๘,๐๐๐ บาท) สำหรับเป็นทุนและพระราชทานชื่อด้วย ฉันได้พระราชทานชื่อว่า "พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร" คนทั้งหลายเรียกกันว่า "พระองค์ดิศ" มาจนได้รับกรมในรัชกาลที่ ๕ นาม "ดิส" ที่พระราชทานเป็นชื่อของฉันนั้นในทางพระศาสนาถือว่ามีสิริมงคล ด้วยเป็นพระนามพระพุทธเจ้าก็มี เป็นพระนามของพระเจ้าแผ่นดินซึ่งทรงพระเกียรติในการอุปถัมภกพระพุทธศาสนาก็มี แต่ตามคำของท่านผู้ใหญ่ในวงศ์ญาติซึ่งรับราชการอยู่ใกล้ชิดพระองค์ในสมัยนั้น ท่านว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเอานามของคุณตา (ท่านชื่อ "ดิส" เป็นพระยาบำเรอภักดีอยู่ในเวลานั้น)มาพระราชทาน ด้วยทรงพระราชดำริว่าเป็นคนซื่อตรง

เรื่องประวัติของคุณตานั้น ปู่ของท่านชื่อ "บุญเรือง" เดิมเป็นที่หลวงคลังเมืองสวรรคโลก ได้เป็นข้าหลวงเดิมของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมีความชอบมาแต่ครั้งรบพม่าที่เมืองเหนือ ครั้นเสด็จผ่านพิภพจึงทรงตั้งให้เป็นที่พระจันทราทิตย์ในกรมสนมพลเรือน ต่อมาเลื่นขึ้นเป็นพระยาในรัชกาลที่ ๑ นั้น(๕) บุตรพระยาจันทราทิตย์คน ๑ ชื่อเลี้ยง ไม่ปรากฏว่าได้ทำราชการในตำแหน่งใด มีบุตรคือคุณตา เกิดแต่ในรัชกาลที่ ๑ ถึงรัชกาลที่ ๒ เมื่องานพระราชพิธีพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวลงสรง จึงได้เป็นมหาดเล็กข้าหลวงเดิมอยู่กับพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแต่ยังทรงพระเยาว์มา ครั้นถึงรัชกาลที่ ๓ เมื่อกรมหมื่นศักดิพลเสพได้เป็นพระมหาอุปราช ทรงคุ้นเคยกับนายเลี้ยงบิดาของท่านมาแต่ก่อน จึงโปรดตั้งให้เป็นจมื่นอินประพาสในกรมวัง วังหน้า

เวลานั้นพระยาจันทราทิตย์ถึงอนิจกรรมแล้ว จมื่นอินทรประพาสจะเอาคุณตาไปถวายตัวทำราชการให้มียศศักดิ์ในวังหน้า คุณตาไม่ย่อมไป ว่า "ไม่ขอเป็นข้าสองเจ้า" ถึงจะเป็นอย่างไรก็จะเป็นข้าแต่ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระองค์เดียว แล้วอยู่สนองพระเดชพระคุณมาจนตลอดรัชกาลที่ ๓ จึงทรงยกย่องความซื่อตรงของท่านเล่ากันมาอย่างนี้ และมีความปรากฏในหนังสือพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแห่ง ๑ ทรงบริภาษพวกข้าหลวงเดิม ว่าเห็นผู้อื่นมีบุญก็มักจะเอาใจออกห่าง เคยเห็นใจมาเสียแล้ว จะไม่เป็นเช่นนั้นก็แต่ "อ้ายเฒ่าดิศ"(กับใครอีก ๒ คน) พระราชดำรัสนี้ดูประกอบคำที่เล่าให้เห็นว่าเป็นความจริง(๖)

ลักษณะที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระนามพระเจ้าลูกเธอนั้น ทรงเขียนลายพระราชหัตถ์เป็น ๒ ฉบับ ฉบับ ๑ เป็นอักษรและภาษาไทยพระราชทานพระนาม อีกฉบับ ๑ เป็นอักษรอริยกะ(๗)และภาษามคธ ทรงพระราชนิพนธ์เป็นคาถาพระราชทานพร คาถาที่พระราชทานพรฉัน ว่า

สุขี อยํ โหตุ กุมาโร
นาเมน โส ติศฺสวโร กุมาโร
อายุญฺจ วณณญฺจ สฺขพฺพลญฺจ
ติกฺขญฺจ ปญญญฺจ ปฏิภาณภูตํ
ลทฺธา ยสสฺสี สฺขตํ มหิทฺธี
ปโหตุ สพฺพตฺถ จรํ สุสีวี
กุลญฺจ รกฺเขถ สมาตรญฺจ
สพฺเพหิ สตฺตูหิ ชยํ ลเภถ

สุขี ทีฆายุโก โหตุ ปุตโต ติสฺสวรวฺหโย
กุมาโร ชุมปุตฺโตยํ อิทธิมา โหตุ สพฺพทา
พุทฺโธ ธมฺโมจ สงโฆ จฺ อิจฺเจตํ รตนตฺตยํ
ตสฺสาปิ สรณํ โหตุ สมฺมา รกฺขตุ นํ สทา ฯ



คำสมเด็จพระทธโฆษาจารย์ วัดเทพศิรินทร์แปลคาถา

ขอกุมารนี้จงมีความสุขในกาลทุกเมื่อ กุมารนี้จงมีนามว่าดิศวรกุมาร โดยนิยม ขอดิศวรกุมารนี้จงได้ซึ่งชนมายุยืนยงดำรงอยู่ตลอดกาลนาน ขอจงได้วรรณซึ่งผิวกายอัยผ่องใส และจงได้วรรณคุณความสรรเสริญเป็นนิรันดร ขอจงได้ซึ่งสุขกายสุขใจเป็นนิจกาล จงได้ซึ่งกำลังกายอันแกล้วกล้า ทั้งให้มีกำลังปัญญารู้รอบครอบในกิจกาลทั้งปวง และให้ฉลาดในปฏิภาณโวหารกล่าวคำโต้ตอบในที่ประชุม ขอให้ดิศวรกุมารมีอิสริยยศ บริวารยศปรากฏด้วมหิทธิศักดาเดชานุภาพมาก ขอให้มีชนมพีชยืนนานพอเพียงควรแก่กาล

อนึ่ง ขอให้ดิศวรกุมารพึงรักษาไว้ซึ่งสกุลวงศ์ให้ดำรงยืนยาว และพึงรักษาไว้ซึ่งจรรยา คือความประพฤติชอบธรรมสุจริต พึงได้ชัยชำนะปัจจามิตครในที่ทั้งปวง
อนึ่งขอให้กุมารบุตรของเรา อันมีนามว่า ดิศวรกุมารผู้เป็นบุตร ชุ่ม นี้ จงมีฤทธานุภาพในกาลทั้งปวง
ขอพระศรีรัตนตรัยทั้งสาม คือ พระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆเจ้า จงเป็นที่พึ่งแก่ดิศวรกุมารนั้น และจงรักษาซึ่งดิศวรกุมารนั้นโดยชอบในการทุกเมื่อ เทอญ

คาถาที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าทรงพระราชนิพนธ์พระราชทานพระเจ้าลูกเธอนั้น ประทานพรบางอย่างเหมือนกันทุกพระองค์ แต่มีบางอย่างแปลกๆกัน สมเด็จฯกรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการได้ทรงพยายามรวบรวมคาถาพระราชทานพรแปลเป็นภาษาไทย(๘) ตรัสว่าทรงพิจารณาดูพรที่พระราชทานแปลกกันนั้น มักจะได้ดังพระราชทาน พรที่ตัวฉันได้พระราชทานจะได้จริงเพียงไรแล้วแต่ผู้อื่นจะพิจารณา แต่ลูกของฉันเองเพิ่งได้อ่านหนังสือประชุมคาถาพระราชทานพร เมื่อกรมหมื่นราชศักดิ์สโมสรโปรดให้พิมพ์แจกเป็นของชำรวยในงานฉลองพระชนมายุเสมอพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๒ อ่านแล้วพูดว่า "พรที่ทูลกระหม่อมปู่พระราชทานเสด็จพ่อไม่เห็นมีว่าให้มั่งมี" เป็นทำนองว่าเพราะฉันไม่ได้พระราชทานพรข้อนี้จึงไม่รู้จักมั่งมี

ตามความเข้าใจของคนทั้งหลายในปัจจุบันนี้ ดูเหมือนจะหมายความว่าต้องมีเงินนับด้วยแสนจึงมั่งมี แต่ก่อนมาหาเช่นนั้นไม่ด้วยตั้งแต่โบราณมาจนสมัยเมื่อฉันยังเป็นเด็กไม่ใคร่มีใครมีเงินมาก เพราะการเลี้ยงชีพไม่ต้องใช้เงินเท่าใดนัก ข้าวปลาอาหารยังถูก เป็นต้นว่าข้าวสารราคาก็เพียงถังละ ๕๐ สตางค์(๙) ผู้ทรงศักดิ์มีบ่าวไพร่เป็นชาวสวนชาวนายังได้ของกำนัลเจือจาน การที่ต้องใช้เงินไม่มากมายเท่าใดนัก แม้จนเครื่องนุ่งห่มใช้สอยและของเล่นที่ยั่วให้ซื้อก็ไม่ใคร่มีอะไร ผิดกับทุกวันนี้มาก ในเหล่าเจ้านายจึงมีน้อยพระองค์ทีเดียวที่รู้จักเอาพระทัยใส่ในการสะสมเงินทอง(๑๐)

อีกประการ ๑ ผลประโยชน์ของเจ้านายที่ได้พระราชทานก็ยังน้อย ว่าส่วนตัวฉันเองได้เงินเดือนๆละ ๘ บาท ได้ข้าวสารสำหรับให้พี่เลี้ยงแม่นมและบ่าวไพร่กิน กับน้ำมันมะพร้าวสำหรับตามตะเกียงที่เรือนจะเป็นเดือนละกี่ถังลืมเสียแล้ว ถึงปีได้พระราชทานเบี้ยหวัด เบี้ยหวัดพระเจ้าลูกเธอที่ยังไม่ได้โสกันต์กำหนดเป็น ๓ ชั้น ชั้นต่ำปีละ ๒ ชั่ง(๑๖๐ บาท) ชั้นกลาง ๒ ชั่ง ๑๐ ตำลึง(๒๐๐ บาท) ชั้นสูง ๓ ชั่ง(๒๔๐ บาท) ฉันได้เคยรับทั้ง ๓ ชั้น แต่ได้เลื่อนชั้นเร็วเพราะอยู่ในพระเจ้าลูกเธอชั้นเล็กที่โปรดทรงใช้สอย พออายุ ๖ ขวบก็ได้รับเบี้ยหวัดถึงชั้น ๑ นอกจากนั้นยังได้ "เงินงวด" ประจำปีจากภาษีอากรบางอย่าง และมีอสังหาริมทรัพย์ได้พระราชทาน ๒ แห่ง คือ ตึกแถวที่ริมถนนเจริญกรุง ๒ ห้อง ได้ค่าเช่าห้อง ๑ เดือนละ ๔ บาท กับนาที่ริมคลองมหาสวัสดิ์แปลง ๑ เป็นเนื้อนารวม ๓๐๐ ไร่ คุณตาจัดการทำได้ข้าวมาเจือจานกินบ้าง ถ้าคิดเป็นเงินรายได้ทุกประเภทที่กล่าวมา เห็นจะตกราวปีละ ๓,๐๐๐ บาท ดูก็ไม่รู้สึกอัตคัดในสมัยนั้น

เรื่องประวัติในตอนเมื่อฉันยังเป็นทารก แม่เล่าให้ฟังบ้างได้ยินท่านผู้อื่นที่ได้เลี้ยงดูอุปการะเล่าบ้าง เป็นเรื่องๆไม่สู้ติดต่อกัน แม่เล่าให้ฟังเป็นเรื่องต้น ว่าเมื่อพาฉันขึ้นไปเฝ้าบนพระมหามณเฑียรครั้งแรก ทูลกระหม่อมเอานิ้วพระหัตถ์จิ้มที่ปากสักครู่หนึ่ง แล้วตรัสแก่แม่ว่า "ลูกคนนี้จะฉลาด" เมื่อคิดว่าในเวลานั้นอายุของฉันเพียงสักสามสี่เดือน จะทรงพยากรณ์ด้วยสังเกตอย่างไรดูก็น่าพิศวง บางทีจะทรงสังเกตว่าดูดนิ้วพระหัตถ์หรือไม่ เพราะธรรมดาลูกอ่อนย่อมชอบดูดนม เมื่อเอานิ้วจิ้มที่ปาก ถ้าเป็นทารกมีอุปนิสัยสังเกตรู้ว่ามิใช่นมก็ไม่ดูด ถ้าไม่มีอุปนิสัยเช่นนั้นก็หลงดูดด้วยสำคัญว่านม หลักของวิธีที่ทรงพยากรณ์จะเป็นดังว่านี้ดอกกระมัง

เรื่องประวัติตามได้ยินท่านผู้ใหญ่เล่าต่อมา ว่าเมื่อฉันอายุได้ ๒ ขวบ เจ็บหนักครั้ง ๑ ถึงคาดกันว่าจะตาย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีรับสั่งให้กรมหลวงวงศาธิราชสนิท ซึ่งเป็นอธิบดีกรมหมอหลวงเสด็จเข้าไปทรงดูแลการรักษาพยาบาล และกรมหลวงวงศาฯตรัสให้หลวงจินดา(ชื่อตัวว่ากระไรลืมเสียแล้ว)ตั้งยารักษาฟื้นจึงได้รอดชีวิตมา เมื่อหายเจ็บแล้ว ต่อมาจะได้ตามเสด็จไปพระนครศรีอยุธยา แม่เกรงว่าเอาแม่นมไปด้วยจะลำบากจึงคิดให้ฉันหย่านม(๑๑)ด้วยอาหารอย่างอื่นล่อ และห้ามมิให้แม่นมให้กินนม แต่ฉันร้องไห้จนนมพลัดแกสงสารลอบมาให้กินนมทุกวัน ก็ไม่หย่าได้ทันวันตามเสด็จจึงต้องให้แม่นมไปด้วย แต่เมื่อไปอยู่ตำหนักเล็กบนลานข้างหลังพลับพลาจตุรมุขในวังจันทร์เกษม แม่ยอมให้กินนมแต่วันแรก พอตกค่ำสั่งให้เอาตัวนมพลัดไปคุมไว้ที่อื่น ไม่ให้ลอบมาหาได้ ในคืนวันนั้นปล่อยให้ฉันร้องไห้ดิ้นรนจนหลับไปเอง รุ่งขึ้นก็หย่านมได้ ตำหนักในวังจันทร์ฯหลังนั้นยังอยู่จนถึงรัชกาลที่ ๕ เมื่อฉันขึ้นไปภายหลังนึกว่าจำได้ตั้งแต่ครั้งเมื่อถูกอดนม ถ้าเป็นเช่นนั้นก็คงเป็นเพราะรู้สึกตามประสาเด็ก ว่าได้รับความทุกข์ร้อนใหญ่หลวงเป็นครั้งแรกจึงไม่ลืม

แต่เมื่อมาคิดว่าเวลานั้นอายุยังไม่ถึง ๓ ขวบ ก็เกิดสงสัยว่าหรือจะหลงเอาเรื่องที่ได้ฟังเล่ากับที่ได้เห็นในภายหลังมาสำคัญปนกันไป มีอีกเรื่อง ๑ ซึ่งจำได้เนื่องกับตามเสด็จไปวังจันทร์ฯ คือเขาเอาดินปั้นเป็นกรงมีซี่ไม้ไผ่อยู้ข้างบนใส่จิ้งหรีดมาให้เล่น ฟังมันร้องและดูมันกัดกันสนุกดี แต่ก็ได้ไปวังจันทร์ฯหลายครั้ง อาจจะมาจำได้ต่อเมื่อไปครั้งหลังๆ เพราะฉะนั้นเห็นจะไม่ควรอวดว่ารู้จักจำมาแต่เล็ก ที่มาเริ่มจำความได้จริงนั้นตั้งแต่ปีขาล พ.ศ. ๒๔๐๙ เมื่ออายุได้ ๔ ขวบเป็นต้นมา ถึงตอนนี้เริ่มเรียนหนังสือและขึ้นเฝ้าทูลกระหม่อมทุกวัน เวลานั้นเสด็จประทับที่พระอภิเนาวนิเวศ์(๑๒)แล้ว

การศึกษาของพระเจ้าลูกเธอ ดูเหมือนจะมีระเบียบมาแต่ในรัชกาลที่ ๑ (บางทีจะตามอย่างครั้งกรุงศรีอยุธยา)ใช้มาจนในสมัยเมื่อฉันเริ่มศึกษา ถ้าเรียกตามคำที่ใช้ในการศึกษาทุกวันนี้ ชั้นประถมศึกษาเรียนต่อครูผู้หญิงที่ในพระราชวังเหมือนกันทั้งพระองค์ชายและพระองค์หญิง พอพระชันษาได้ ๓ ขวบก็ตั้งต้นเรียนภาษาไปจนพระชันษาราว ๗ ขวบ จึงเริ่มเรียนชั้นมัธยมศึกษาภาคต้น ถึงชั้นมัธยมการเล่าเรียนของพระองค์ชายกับพระองค์หญิงเริ่มแยกกัน พระองค์ชายเรียนต่อครูผู้ชาย พระองค์หญิงเรียนต่อครูผู้หญิง เพราะวิชาที่เรียนตอนนี้ผิดกัน พระองค์ชายเริ่มเรียนภาษามคธ พระองค์หญิงก็เริ่มฝึกหัดการเรือน แต่คงเรียนภาษาไทยด้วย อ่านหนังสือเรื่องต่างๆเหมือนกันทั้งพระองค์ชายและพระองค์หญิง การฝึกหัดกิริยามารยาทก็กวดขันตั้งแต่ชั้นนี้ เขตของการเรียนชั้นมัธยมภาคต้นไปจนถึงโสกันต์(พระองค์ชายพระชันษา ๑๓ ปี พระองค์หญิงพระชันษา ๑๑ ปี)

แต่นั้นเรียนวิชามัธยมภาคปลาย คือพระองค์ชายทรงผนวชเป็นสามเณร เรียนพระธรรมกับทั้งฝึกหัดปฏิบัติพระวินัย Discipline และเริ่มเรียนศิลปวิทยาเฉพาะอย่างที่ชอบพระอัธยาศัย ทรงผนวชอยู่พรรษา ๑ บ้างกว่านั้นบ้าง จึงลาผนวช(ที่ทรงผนวชอยู่จนอุปสมบทเป็นพระภิกษุมีน้อย) เมื่อลาผนวชแล้วต้องออกมาอยู่นอกพระราชวัง แล้วเรียนวิชาเฉพาะอย่างแต่นั้นมา การเรียนวิชาในสมัยนั้น อาศัยไปฝึกหัดอยู่ในสำนักผู้เชี่ยวชาญด้วยยังไม่มีโรงเรียน แต่วิชารัฐประศาสน์และราชประเพณีนั้น เจ้านายได้เปรียบคนจำพวกอื่นเพราะมีตำแหน่งเข้าเฝ้าในท้องพระโรงอันเป็นที่ว่าราชการบ้านเมือง ได้เรียนด้วยได้ฟังคดีที่เจ้าหน้าที่กราบบังคมทูลและที่พระเจ้าอยู่หัวทรงบัญชาการมาแต่ยังเยาว์วัย ตลอดจนได้คุ้นเคยกับท่านผู้หลักผู้ใหญ่ในราชการบ้านเมือง ด้วยเข้าเฝ้าทุกๆวันดังกล่าวมา การศึกษาชั้นนี้ตลอดเวลา ๖ ปี จนพระชันษาได้ ๒๑ ปีถึงเขตอุดมศึกษา ทรงผนวชอีกครั้ง ๑ เป็นพระภิกษุ ศึกษาพระธรรมวินัยกับทั้งวิชาอาคมชั้นสูง ซักซ้อมให้เชี่ยวชาญ เปรียบเหมือนอย่างเข้ามหาวิทยาลัย เมื่อลาผนวชก็เป็นสำเร็จการศึกษาสามารถรับราชการได้แต่นั้นไป

ส่วนเจ้านายพระองค์หญิงนั้น ตั้งแต่โสกันต์แล้วก็ทรงศึกษาวิชาความรู้ชั้นสูงขึ้นไปเป็นลำดับ นับแต่การศึกษาศีลธรรมและฝึกหัดวิชาการเรือน และเริ่มเรียนวิชาเฉพาะประเภทอันชอบพระอัธยาศัยสืบเนื่องไป จนอำนวยการต่างๆในหน้าที่ของขัตติยนารีได้โดยลำพังพระองค์ ข้อที่พระองค์ชายมีโอกาสเรียนราชการเพราะเข้าเฝ้าในเวลาเสด็จออกท้องพระโรง เจ้านายพระองค์หญิงก็มีโอกาสศึกษาทางฝ่ายใน ได้ความรู้ทั้งราชประเพณีและระเบียบวินัยในสมาคมของกุลนารี จนสามารถรับหน้าที่ราชการฝ่ายในและฝึกสอนผู้อื่นสืบกันมา ที่ในพระราชวังจึงเป็นแหล่งสำหรับกุลสตรี เปรียบเหมือนมหาวิทยาลัยอันเป็นที่ผู้มีบรรดาศักดิ์ชอบส่งธิดาเข้าไปฝากให้ศึกษาในสำนักเจ้านาย และผู้อื่นสามารถฝึกสอน คนทั้งหลายจึงชอบชมผู้หญิงชาววังมาแต่โบราณเพราะการที่ได้ศึกษานั้น

ว่าเฉพาะการศึกษาของตัวฉันเอง ได้ทันเรียนชั้นปฐมศึกษาตามแบบเก่าเมื่อในรัชกาลที่ ๔ แรกเรียนต่อคุณแสงเสมียน(๑๓) ในเวลานั้นหนังสือเรียนยังไม่มีฉบับพิมพ์แม่ต้องจ้างอาลักษณ์เขียนหนังสือเรียนด้วยเส้นหรดารลงในสมุดดำ เมื่อได้หนังสือมาแล้วถึงวันพฤหัสบดีอันถือกันทั่วไปจนทุกวันนี้ว่าเป็น "วันครู" ควรเริ่มเรียนหนังสือเวลาเช้า ให้บ่าวถือพานรองหนังสือเรียนนั้นนำหน้า พี่เลี้ยงอุ้มตัวฉันเดินตามมีบ่าวกั้นพระกลดคน ๑ บ่าวตามอีกสองสามคน คน ๑ ถือพานเครื่องบูชามีดอกไม้ธูปเทียนกับดอกเข็ม และดอกมะเขือกับทั้งหญ้าแพรก (ของเหล่านี้เป็นของอธิษฐานขอให้ปัญญาเฉียบแหลมเหมือนเข็ม มีความรู้มากเหมือนเมล็ดมะเขือ และรู้รวดเร็วเหมือนหญ้าแพรกขึ้น) เมื่อถึงสำนักครู ยกพานหนังสือเข้าไปตั้งตรงหน้า จุดธูปเทียนกราบไหว้บูชาหนังสือแล้วจึงเริ่มเรียน ครูให้ไม้เหลาเท่าแกนธูปอัน ๑ สำหรับชี้ตัวหนังสือที่อ่าน สอนให้อ่านคำนมัสการ "นโม พุทฺธาย สุทฺธํ" ก่อน จำได้แล้วจึงอ่านสระพยัญชนะต่อไป นอกจากวันพฤหัสบดีไม่ต้องมีเครื่องบูชา ไปเรียนเวลาตอนเช้าทุกวันเพราะกลางวันต้องขึ้นเฝ้า

ฉันเรียนอยู่กับคุณแสงไม่ช้านัก จะเป็นเพราะเหตุใดลืมเสียแล้ว ต่อมาย้ายไปเรียนต่อคุณปาน ธิดาสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ ถึงตอนนี้เริ่มใช้หนังสือพิมพ์ คือปฐม ก กาซึ่งหมอบรัดเลพิมพ์ขึ้นเป็นครั้งแรก แต่ยังใช้วิธีสอนอยู่อย่างเดิม หัดอ่านสระพยัญชนะและอ่านตัวอักษรประสมกันไปจนจบแม่เกย แล้วหัดอ่านหนังสือเรื่องต่างๆเช่นบทละครเรื่องอิเหนาและรามเกียรติ์เป็นตัน เรียนถึงชั้นนี้เรียกว่า "ขึ้นสมุด" เพราะใช้หนังสือเรื่องต่างๆเป็นหนังสือเรียน อ่านเรื่องต่างๆไปจนสามารถอ่านหนังสือไทยได้แตกฉาน แต่ส่วนหัดเขียนหนังสือไม่สู้กวดขันนัก เลขไม่ได้สอนทีเดียว เพราะในสมันนั้นยังถือว่าเป็นวิชาอันหนึ่งซึ่งต้องมีครูสอนต่างหาก ในเวลาเมื่อฉันกำลังเรียนหนังสือนั้น ประจวบกับที่หมอบรัดเลพิมพ์หนังสือสามก๊กสำเร็จ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงซื้อมาพระราชทานพระเจ้าลูกเธอพระองค์ละฉบับ ๔เล่มสมุดฝรั่ง ตั้งแต่นั้นฉันก็อ่านหนังสือสามก๊กเป็นหนังสือเรียน เลยชอบอ่านหนังสือเป็นนิสัยติดตัวมาจนบัดนี้

เรื่องขึ้นเฝ้านั้น ตั้งแต่ออกจากผ้าอ้อมแม่ก็พาขึ้นเฝ้าดังกล่าวมาแล้ว แต่ขึ้นไปเฝ้าเป็นบางวันและเฝ้าอยู่ชั่วครู่ประเดี๋ยวก็พากลับ ต่อเมื่ออายุย่างเข้า ๔ ขวบ จึงขึ้นเฝ้าทุกวันเป็นนิจ พระเจ้าลูกเธอในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (นอกจากกรมหมื่นมเหศวรศิววิลาศกับกรมวิษณุนาถนิภาธร)ล้วน "เกิดในเศวตรฉัตร" คือประสูติเมื่อเสด็จเสวยราชย์แล้วยังอยู่ในปฐมวัยด้วยกันทั้งนั้น แต่เป็นชั้นต่างกันตามพระชนมายุ ที่ประสูติแต่ปีชวด พ.ศ. ๒๓๙๕ ลงมาจนปีมะโรง พ.ศ. ๒๓๙๙ เป็นชั้นใหญ่ ที่ประสูติแต่ปีมะเส็ง พ.ศ. ๒๔๐๐ ลงมาจนปีวอก พ.ศ. ๒๔๐๓ เป็นชั้นกลาง ที่ประสูติแต่ปีระกา พ.ศ. ๒๔๐๔ มาจนปีมะโรง พ.ศ. ๒๔๑๑ เป็นชั้นเล็ก เวลาที่พระเจ้าลูกเธอขึ้นเฝ้านั้นต่างกันตามชั้น คือขึ้นเฝ้าพร้อมกันทุกชั้นเมื่อเวลาเสวยกลางวัน แต่เวลาเสด็จลงทรงบาตรตอนเช้า หรือเวลาเสด็จออกข้างหน้าตอนบ่าย ตามเสด็จแต่พระเจ้าลูกเธอชั้นใหญ่กับชั้นกลาง เวลาเสด็จออกทรงธรรมและออกขุนนางกลางคืน ตามเสด็จแต่พระเจ้าลูกเธอชั้นใหญ่

และยังมีพระเจ้าลูกเธอบางพระองค์ซึ่งทรงเลือกสรรสำหรับทรงใช้สอยเป็นอุปัฏฐากประจำพระองค์มีแต่ในชั้นใหญ่ คือพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและกรมหลวงสมรรัตน์ฯเป็นต้น พระเจ้าลูกเธอชั้นใหญ่กับชั้นกลางอาจไปตามเสด็จได้โดยลำพังพระองค์ แต่ชั้นเล็กยังต้องมีผู้ใหญ่ควบคุมจึงมิใคร่ได้ตามเสด็จ ตัวฉันอยู่ในชั้นเล็ก เมื่อตอนแรกขึ้นเฝ้าแม่เป็นผู้ดูแล แต่ต่อมาเจ้าพี่โสมาวดี (คือกรมหลวงสมรรัตน์ฯ) กับเจ้าพี่สีนากสวาสดิ์ (ทั้ง ๒ พระองค์ เป็นธิดาเจ้าจอมมารดาเที่ยงซึ่งเป็นพี่ของแม่) ท่านเป็นชั้นใหญ่ ทรงรับดูแลพาตามเสด็จออกไปข้างหน้าในตอนบ่าย ฉันจึงได้ออกไปกับเหล่าเจ้าพี่ที่เป็นชั้นกลางมาแต่ยังเล็ก เห็นจะเป็นด้วยทูลกระหม่อมทรงสังเกตเห็นว่าฉันไม่ตระหนี่ตัว กล้าออกไปข้างหน้าแต่เล็กนั้นเองจึงลองใช้สอย และโปรดฯให้ตามเสด็จตั้งแต่อายุยังไม่ถึง ๕ ขวบ

การที่ทูลกระหม่อมลองใช้สอยเมื่อยังเล็กนั้น จำใส่ใจไว้บางเรื่อง มาคิดดูในเวลานี้เป็รเรื่องที่ฉันควรจะอวดก็มี ที่ควรจะละอายก็มี จะเล่าทั้ง ๒ อย่าง เรื่อง ๑ ดูเหมือนเมื่ออายุฉันได้สัก ๕ ขวบ วันหนึ่งเวลาเสวยกลางวัน ณ พระที่นั่งนงคราญสโมสร ทูลกระหม่อมตรัสสั่งให้ฉันไปหยิบตลับหยกในพานเครื่องพระสำอางมาถวาย เจ้าพี่กรมหลวงสมรรัตน์ฯเป็นต้น ท่านตรัสบอกเมื่อภายหลังว่า ท่านพากันทรงพระวิตก เพราะพานเครื่องพระสำอางนั้นตั้งอยู่บนพระแท่นลดข้างพระแท่นบรรทมบนพระที่นั่งภาณุมาศจำรูญ ซึ่งฉันยังไม่เคยไปถึง เกรงจะไปเซอะ แต่ส่วนตัวฉันเองในเวลานั้นไม่รู้สึกวิตกว่าจะหยิบผิด ไปมัวแต่กลัวผีเป็นกำลัง ด้วยต้องขึ้นบันไดเข้าไปในพระที่นั่งภาณุมาศฯเวลาไม่มีใครอยู่ในนั้น แข็งใจเดินดูไปจนเห็นเครื่องหยกในพานพระสำอาง ก็ปีนขึ้นบนพระแท่น ไปหยิบเอาตลับหยกลงมาถวายได้ถูกดังพระราชประสงค์ ทูลกระหม่อมตรัสชมว่าฉลาด วันนั้นเฝ้าอยู่พร้อมกันมาก ดูเหมือนฉันจะได้ "ยี่ห้อ" ดีแต่นั้นมา

เรื่องตลับหยกที่กล่าวนี้ยังประหลาดด้วยเมื่อเวลาล่วงมากว่า ๖๐ ปี เมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาฯโปรดเกล้าฯให้ฉันเป็นนายกราชบัณฑิตยสภา มีหน้าที่จัดพิพิธภัณฑ์สถานสำหรับพระนคร ฉันตรวจดูของพิพิธภัณฑ์เดิม พบเครื่องหยกอยู่ในกำปั่น ฉันนึกขึ้นว่าเป็นเครื่องพระสำอางของทูลกระหม่อม ให้สอบบัญชีได้ความว่าเดิมมีพานทองรอง เป็นของส่งออกมาจากข้างในแต่เมื่อแรกตั้งพิพิธภัณฑ์ (ณ ศาลาสหทัยสมาคม) ที่ในพระบรมมหาราชวัง ครั้นเมื่อพิพิธภัณฑ์ย้ายไปอยู่ที่พระราชวังบวรฯ มีผู้ร้ายลักพานทองที่รองไปเสีย เหลืออยู่แต่เครื่องหยกจึงเอาเก็บรักษาไว้ในกำปั่น ฉันหยิบตลับหยกใบที่นึกว่าเคยหยิบลงมาถวายทูลกระหม่อม เอาไปถวายกรมหลวงสมรรัตน์ฯทอดพระเนตร ท่านทรงจำได้ว่าเป็นใบนั้นเอง ฉันจึงให้ส่งเครื่องพระสำอางหยกคืนไปยังกระทรวงวังทั้งสำรับ เพื่อจะเอาไปรักษาไว้กับเครื่องราชูปโภคของเก่า

อีกเรื่อง ๑ ต่อมา วันหนึ่งเวลาเสวยกลางวันเหมือนอย่างเรื่องก่อน ทูลกระหม่อมตรัสใช้ให้ฉันออกไปดูที่ห้องอาลักษณ์ว่า "ตาฟัก" คือพระศรีสุนทรโวหารราชเลขานุการอยู่หรือไม่ ด้วยวันนั้นมีกิจจะทรงพระอักษรนอกเวลาที่เคยทรง พระศรีสุนทรโวหารเป็ยผู้สำหรับเขียนพระราชนิพนธ์ตามรับสั่ง ฉันกลับเข้ามากราบทูลว่า "ตาฟักอยู่ที่ห้องอาลักษณ์" ครั้งเสวยแล้วดำรัสสั่งให้ผู้อื่นไปเรียกพระศรีสุนทรโวหาร เขากลับเข้ามากราบทูลว่ากลับไปบ้านเสียแล้ว ทูลกระหม่อมตรัสฟ้องคุณป้าเที่ยงว่าฉันเหลวไหลใช้สอยไม่ได้เรื่อง คุณป้าเที่ยงเตรียมจะลงโทษ เรียกคุณเถ้าแก่ที่ได้ไปกับฉันมาถามว่าฉันไปเที่ยวแวะเวียนเสียที่ไหน คุณเถ้าแก่เบิกความยืนยันว่าได้ไปกับฉันจนถึงห้องอาลักษณ์ และได้ยินฉันบอกกับพระศรีสุนทรโวหารว่า ทูลกระหม่อมมีรับสั่งใช้ให้ฉันไปดูว่าแก่อยู่หรือไม่ ความจริงก็ปรากฏว่า เป็นด้วยพระศรีสุนทรโวหารแกไม่เชื่อคำของฉัน พอเห็นพ้นเวลาเคยทรงพระอักษรแล้วกลับบ้านไปเสีย เมื่อได้ความดังนี้ก็รอดตัว ถ้าหากไม่มีคุณเถ้าแก่เป็นพยานวันนั้นเห็นจะถูกตีไม่น้อย

อีกเรื่อง ๑ จะเล่ารู้สึกละอายอยู่บ้าง คือมีใครส่งขวดหมึกอันเป็นของคิดขึ้นใหม่มาถวายทูลกระหม่อมจากต่างประเทศอัน ๑ ขวดหมึกนั้นทำเป็นรูปหอยโข่งพลิกตัวได้ตั้งบนที่ เวลาไม่ใช้ก็พลิกปากหอยเข้าไปเสียข้างหลัง เป็นอันปิดรักษาหมึกไว้เอง ไม่ต้องมีฝาขวด ถ้าจะใช้หมึกพลิกหอยให้ปากออกมาข้างหน้า หมึกก็มาอยู่ที่ปากหอยนั้นไม่ต้องจุ่มปากกาลงไปลึก ทูลกระหม่อมโปรดขวดหมึกนี้ตั้งไว้บนโต๊ะทรงพระอักษร วันหนึ่งเสด็จออกพระที่นั่งอนันตสมคมเวลาบ่าย จะโปรดให้ผู้ใดผู้หนึ่งดูขวดหมึกนั้น มีรับสั่งใช้ให้ฉันกลับเข้ามายกออกไปถวาย ฝ่ายตัวฉันไม่รู้กลไกของขวดหมึก พอยกขึ้นตัวหอยก็พลิกกลับออกมา หมึกหกราดถาดที่รองนองไปทั้งนั้น ฉันตกใจราวกับจะสิ้นชีวิตด้วยรู้ว่าคงถูกทูลกระหม่อมกริ้ว แต่มิรู้จะทำประการใดก็ยกขวดหมึกเดินต่อไป ยังไม่ทันออกข้างหน้าพบเจ้าพี่ทองแถมถวัลยวงศ์ (คือ กรมหลวงสรรพสาตร์ศุภกิจ) วิ่งกระหืดกระหอบมา ดูเหมือนกำลังตกพระทัยด้วยเสด็จขึ้นไปช้าไม่ทันตามเสด็จออก ตรัสถามฉันว่าทูลกระหม่อมเสด็จอยู่ที่ไหน ฉันบอกว่าประทับอยู่พระที่นั่งอนันตสมาคม แล้วเลยส่งขวดหมึกวานให้ท่านเอาไปถวาย เจ้าพี่ทองแถมก็รับเอาไปด้วยความยินดี ไปถูกกริ้วเสียงอมทีเดียว ส่วนตัวฉันเองพอขวดหมึกพ้นมือไปก็รีบกลับมาเรือนเลยรอดตัว เรื่องขวดหมึกนี้เลยเป็นเรื่องสำหรับเจ้านายพี่น้องล้อเจ้าพี่ทองแถมฯกับตัวฉันต่อมาอีกช้านาน

เรื่องตามเสด็จทูลกระหม่อมนั้น แต่พอฉันขึ้นเฝ้าได้เสมอในไม่ช้าก็ได้ตามเสด็จออกข้างหน้า เพราะเจ้าพี่โสมกับเจ้าพี่สีนากท่านคอยประคับประคองดังกล่าวมาแล้ว ถ้าเสด็จทรงพระราชดำเนินไปใกล้ๆ เจ้าพี่ท่านจูงไป ถ้าทรงพระราชดำเนินไปทางไกล เช่นเสด็จไปวัดราชประดิษฐ์ฯเป็นต้น มหาดเล็กเขาก็อุ้มไป พวกมหาดเล็กที่เคยอุ้มฉันมาได้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ในรัชกาลที่ ๕ มีหลายคน ควรกล่าวถึงโดยเฉพาะ คือเจ้าพระยาสุรพันธพิสุทธิ(เทศ บุนนาค) เพราะได้มาอยู่ในกระทรวงมหาดไทยด้วยกัน เมื่อฉันเป็นเสนาบดีและตัวท่านเป็นสมุหเทศาภิบาลมณฑลราชบุรี ท่านยังลำเลิกว่าเคยอุ้มฉันมาแต่เล็ก ถ้าตามเสด็จไปด้วยกระบวนแห่มักทรงพระราชยาน(๑๔) แต่แรกฉันขึ้นวอพระที่นั่งรองตามเสด็จ

ครั้นต่อมาเมื่อพระเจ้าลูกเธอที่เคยขึ้นพระราชยานรุ่นก่อนทรงพระเจริญ พระองค์หนักเกินขนาดโปรดให้เปลี่ยนชุดใหม่ จึงทรงพระกรุณาโปรดฯให้ฉันขึ้นพระราชยานตั้งแต่อายุได้ ๕ ขวบมาจนสิ้นรัชกาล พระเจ้าลูกเธอที่ได้ขึ้นพระราชยานเป็นชุดเดียวกันรวม ๔ พระองค์คือ สมเด็จพระศรีพัชรินทรฯ กับสมเด็จพระพันวัสสาฯ สองพระองค์นี้เสด็จบนพระเพลา ถ้าไปทางไกลก็ประทับข้างซอกพระขนอง กรมพระสมมตอมรพันธุ์ กับตัวฉันนั่งเคียงกันข้างหน้าที่ประทับ

เรื่องขึ้นพระราชยานฉันจำได้ไม่ลืมเพราะเคยตกพระราชยานครั้ง ๑ เมื่อไปตามเสด็จงานฉลองวัดหงส์ ในปีเถาะ พ.ศ. ๒๔๑๐ ขากลับเสด็จขึ้นพระราชยานที่ท่าวรดิษฐ์ เห็นจะเป็นด้วยฉันง่วงนั่งหลับมาในพระราชยาน เมื่อผ่านประตูกำแพงแก้วพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาททางด้านตะวันออก พอคนหามพระราชยานลงบันได ข้างหน้าพระราชยานต่ำลง ฉันก็พลัดตกลงมา จมื่นจง(โต ซึ่งภายหลังได้เป็นที่พระยาบำเรอภักดิ์ แล้วเลื่อนเป็นพระยาวิเศษสัจธาดาในรัชกาลที่ ๕) อุ้มส่งขึ้นไปนั่งอย่างเดิม ไม่ได้เจ็บปวดชอกช้ำอันใด แต่เมื่อทูลกระหม่อมมาตรัสเล่าที่ข้างใน แม่ตกใจกลัวจะเกิดอัปมงคลถึงให้ทำขวัญกันเอะอะ เรื่องตกพระราชยานนี้ชอบกล เจ้าพี่ท่านได้ขึ้นพระราชยานมาก่อน บางพระองค์ก็เคยตก ใครตกก็เป็นจำได้ไม่ลืม เพราะนานจะมีสักครั้ง ๑

แต่ประหลาดที่มามีเหตุเช่นนั้นแก่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช(เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ)ในรัชกาลที่ ๕ ครั้งตามเสด็จไปวัดกลางเมืองสมุทรปราการ เวลานั้นฉันเป็นราชองครักษ์เดินแซงไปข้างพระราชยาน สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯขึ้นพระราชยานแต่พระองค์เดียว ประทับพระยี่ภู่ข้างหน้าที่ประทับ เมื่อกระบวนแห่เสด็จถึงวัดจะไปที่หน้าพระอุโบสถ แต่พอผ่านศาลาโรงธรรมที่พวกพ่อค้าตั้งแถวคอยเฝ้า มีผู้ชูฎีกาทูลเกล้าฯถวาย(๑๕) ดำรัสสั่งให้หยุดพระราชยานเพื่อจะทรงรับฏีกา สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ เห็นจะกำลังเผลอพระองค์ พอพระราชยานหยุดชะงักก็พลัดตกลงไปข้างหน้า เป็นครั้งหลังสุดที่เจ้านายตกพระราชยาน

การเสด็จประพาสของทูลกระหม่อมนั้น บางวันทรงรถในเวลาบ่าย รถพระที่นั่งที่ทรงในสมัยนั้นเป็นรถ ๒ ล้อมีประทุน อย่างที่เรียกในภาษาอังกฤษว่า Buggy เทียบม้าเดี่ยว บางวันโปรดให้ฉันตามเสด็จขึ้นรถพระที่นั่ง เจ้าพี่ชั้นใหญ่ท่านนั่งสองข้างพระองค์ ฉันนั่งตรงที่ห้อยพระบาท ต้องก้มหัวหลีกสายบังเหียนซึ่งทรงขับม้าอยู่เสมอ

ในสมัยนั้นเริ่มมีเรือไฟ ชื่อ "เจ้าพระยา" เดินเมล์ และรับส่งสินค้าในกรุงเทพฯ กับเมืองสิงคโปร์ ๑๕ วันมาถึงกรุงเทพฯครั้ง ๑ วันใดเรือเมล์มาถึงทูลกระหม่อมก็ติดพระราชธุระทรงหนังสือ ซึ่งใครๆมีมาถวายจากต่างประเทศ และทรงเขียนลายพระราชหัตถเลขาตอบหรือที่จะมีไปถึงต่างประเทศ ราว ๓ วันจึงเสร็จพระราชธุระ ในระหว่าง ๓ วันนั้นมักไม่เสด็จประพาส และไม่โปรดให้ใครรบกวน จนพวกเข้าเฝ้าทั้งฝ่ายหน้าและฝ่ายในเข้าใจกัน พอได้ยินว่าเรือเจ้าพระยามาถึงก็ระวังไม่ให้มีอันใดกวนพระราชหฤทัย ในพวกเด็กๆเช่นตัวฉันแม้ถูกห้ามมิให้เข้าไปใกล้ที่ทรงพระอักษร

แต่เมื่อรู้ว่าเรือเจ้าพระยาเข้ามาถึงก็พากันยินดี ด้วยมักมีผู้ส่งของเข้ามาถวายทูลกระหม่อม บางทีมีของแปลกๆได้พระราชทานเนืองๆ ของประหลาดอย่างหนึ่งนั้นคือ น้ำแข็ง ดูเหมือนจะเพิ่งทำได้ที่เมืองสิงคโปร์ไม่ช้านักมีผู้ส่งแท่งน้ำแข็งใส่หีบกลบขี้เลื่อยมาถวายเนืองๆ ได้น้ำแข็งมาเมื่อใดก็มักโปรดให้แจกเจ้านายและข้าราชการผู้ใหญ่ พวกที่เพิ่งได้เห็นน้ำแข็งชั้นเด็กๆเช่นตัวฉัน ชอบต่อยออกเป็นก้อนเล็กๆอมเล่นเย็นเฉียบสนุกดี พวกที่เป็นชั้นผู้ใหญ่ดูมิใคร่มีใครชอบ มักบ่นว่ากินน้ำแข็งปวดฟันและยังมีพวกคนแก่ที่เป็นแต่ได้ยินว่าแจกน้ำแข็ง ไม่เชื่อว่าน้ำ กระซิบกันว่า "จะปั้นน้ำเป็นตัวอย่างไรได้" ด้วยมีในสุภาษิตพระร่วงว่า "อย่าปั้นน้ำเป็นตัว" หมายความห้ามมิให้ทำอะไรฝืนธรรมชาติ หรืออีกนัยหนึ่งกล่าวแต่ว่า "ปั้นน้ำเป็นตัว" หมายความติเตียนว่า แกล้งปลูกเท็จให้เป็นจริง เคยได้ยินกันชินหูมาแต่โบราณ โรงทำน้ำแข็งเพิ่มมามีขึ้นในประเทศนี้ต่อเมื่อรัชกาลที่ ๕

นอกจากของที่ส่งมาจาก "เมืองนอก" บางทีทูลกระหม่อมเสด็จประพาสเวลาบ่ายไปแวะห้างฝรั่ง ซึ่งตั้งอยู่ที่หน้าตึกพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ หรือเสด็จแวะตามร้านทรงซื้อของเล่นหรือของกินมาแจกพระเจ้าลูกเธอ เพราะฉะนั้นในพวกชั้นเล็กถึงจะได้ตามเสด็จหรือไม่ได้ตาม ก็อยากให้เสด็จประพาสด้วยกันทุกพระองค์

ฉันเคยตามเสด็จทูลกระหม่อมไปหัวเมืองหลายครั้ง ครั้งแรกไปถึงพระนครศรีอยุธยา เมื่อคราวอดนมที่เล่ามาแล้ว ครั้งที่ ๒ แม่เล่าว่าได้ตามเสด็จไปในเรือกำปั้นไฟพระที่นั่งจนถึงเขาธรรมามูล เมืองชัยนาท(๑๖) ต่อมาอีกครั้ง ๑ ได้ตามเสด็จไปลงเรือไฟ (ดูเหมือนจะเป็นเรืออัคเรศรัตนาศน์ ที่เอมปเรอนะโปเลียนที่ ๓ ถวาย) ออกไปถึงปากอ่าว ฉันได้เห็นทะเลเป็นครั้งแรก จำได้เพราะเห็นปลากระเบนบินประหลาดติดตา ต่อมาได้ตามเสด็จไปพระปฐมเจดีย์ เสด็จไปครั้งนั้นทรงเรือกำปั่นไฟจักรข้างขนาดย่อมไปทางคลองมหาสวัสดิ์ ซึ่งเพิ่งขุดใหม่ยังเป็นคลองใหญ่ ในคราวนั้นฉันไปถูกเรียกเป็นพยานให้เบิกความเรื่องเจ้าพี่พระองค์ ๑ ในชั้นเล็กด้วยกันไปหกล้ม ประชวรฟกช้ำ มีการไตร่สวนว่าหกล้มเพราะเหตุใด จึงจำได้ถนัด

ฉันได้ความยกย่องในการตามเสด็จครั้งหนึ่ง เมื่ออายุได้ ๖ ขวบในปีเถาะ พ.ศ. ๒๔๑๐ ปีนั้นมีการเสด็จออกรับแขกเมืองอย่างเต็มยศ(๑๗) ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม เวลาเสด็จออกรับแขกเมืองนั้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประทับพระราชบัลลังค์ตรงกลาง ขุนนางเฝ้าทางด้านหน้า เจ้านายต่างกรมรัชกาลอื่นเฝ้าทางด้านเหนือ พระเจ้าลูกเธอชั้นผู้ใหญ่มีพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นหัวหน้าเฝ้าทางด้านใต้ ที่โสกันต์แล้วแต่งพระองค์ทรงฉลองพระองค์ครุยอย่างเจ้านายผู้ใหญ่ ที่ยังไม่ได้โสกันต์แต่พระองค์ทรงเกี้ยวและอาภรณ์ตามแบบพระราชกุมารที่ยังเยาว์วัย ประทับบนเบาะและมีเครื่องยศตั้ง(๑๘)

วันนั้นฉันตามไปส่งเสด็จทูลกระหม่อมถึงหลังพระทวารทางเสด็จออก แล้วเกิดอยากเห็นการออกแขกเมือง จึงลอบออกพระทวารทางด้านใต้ ไปแอบเสามองดูอยู่ข้างหลังที่เหล่าเจ้าพี่ท่านประทับ เผอิญทูลกระหม่อมชำเลืองพระเนตรมาเห็น พอเสด็จขึ้นตรัสถามฉันว่า "ลูกดิศอยากออกแขกเมืองกับเขาบ้างหรือ" ฉันกราบทูลว่า "อยาก" ทูลกระหม่อมมาตรัสเล่าให้คุณป้าเที่ยงฟัง แล้วดำรัสสั่งว่าถ้าเสด็จออกแขกเมืองคราวหน้า ให้ฉันไปนั่งข้างท้ายแถวเจ้าพี่ แต่พานเครื่องยศที่ใช้กันนั้นโตเกินตัวฉันนัก ให้คุณป้าเที่ยงหยิบพานทองขนาดย่อมของสมเด็จพระศรีสุริเยนทรฯ ซึ่งอยู่ในที่มาเป็นพานเครื่องยศไปตั้งสำหรับตัวฉัน แต่เผอิญเวลานั้นจวนสิ้นรัชกาลอยู่แล้ว ไม่มีแขกเมืองต่างประเทศมาเฝ้าอีกในกรุงเทพฯ ฉันก็เลยไม่ได้ออกแขกเมือง ถึงกระนั้นก็ได้พระราชทานเบี้ยหวัดเพิ่มถึงชั้นสูงในปีนั้น


Create Date : 29 มีนาคม 2550
Last Update : 29 มีนาคม 2550 15:49:52 น. 2 comments
Counter : 2678 Pageviews.  
 
 
 
 
(ต่อ)


ตั้งแต่อายุย่างเข้า ๖ ขวบ ฉันเข้านอกออกในได้โดยลำพังไม่ต้องมีใครควบคุม แม่ก็ไม่ห้าม เห็นจะเป็นด้วยท่านใคร่จะให้กล้า แต่เมื่อกลับไปเรือนต้องไปเล่าให้ท่านฟังทุกวันว่าไปที่ไหนบ้าง ฉันชอบออกไปคอยตามเสด็จประพาสในตอนบ่าย เป็นเหตุให้คุ้นเคยกับข้าราชการนอกจากมหาดเล็กออกไปอีกหลายคน บางวันพระองค์เจ้าสิงหนาทราชดุรงคฤทธิ์(๑๙)(เมื่อยังเป็นหม่อมเจ้า)ผู้เป็นอธิบดีกรมม้าและรถพระที่นั่ง ท่านอุ้มเอาขึ้นนั่งหลังม้า บางวันก็ไปเห็นอาลักษณ์เขาเขียนหนังสือด้วยปากกาฝรั่ง(คือปากกาเหล็กเช่นเราใช้กันเป็นสามัญทุกวันนี้) นึกชอบบอกเขาว่าอยากหัดเขียนบ้าง อาลักษณ์คนนั้นใจอารีให้ปากกาฝรั่งมีด้ามไม้อัน ๑ (ราคาว่าอย่างทุกวันนี้เห็นจะราว ๑๐ สตางค์) ฉันถือเชิดชูกลับมาเรือนด้วยความยินดี พอแม่เห็นก็ขนาบขนานใหญ่ ด้วยท่านสั่งกำชับอยู่เสมอให้รักษาความประพฤติ ๓ ข้อ คือ ไม่ให้มักได้ ไม่ให้ตะกราม และไม่ให้พูดปด ท่านว่าฉันไม่ควรไปขอปากกามาจากอาลักษณ์ แล้วบังคับให้คนคุมตัวฉันเอาปากกาไปคืน ก็เลยไม่ได้หัดเขียนอย่างอาลักษณ์ ถึงหัดก็เห็นจะเหลว

มาถึงปีเถาะที่ชอบไปขึ้นใหม่อีกแห่ง ๑ ด้วยตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวลาผนวชจากสามเณรมาประทับที่พระตำหนักสวนกุหลาบ อยู่ด้านใต้ใกล้กับพระอภิเนาวนิเวศน์ เจ้านายมักเสด็จไปประชุมที่นั่นในเวลาก่อนเข้าเฝ้าฯ หรือเมื่อเฝ้าแล้วมิใคร่ขาด พวกเจ้านายชั้นเล็กเช่นตัวฉันก็มักไปเฝ้าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวตอนกลางวันเมื่อเฝ้าทูลกระหม่อมแล้ว ยังจำได้ถนัดว่าเมื่อแรกไปเฝ้านั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้ตัดเสื้อสักหลาดสีเขียวเป็นรูปเสื้อแยกเกตอย่างฝรั่งพระราชทานตัว ๑ รู้สึกว่าได้ของสมัยใหม่ชอบใจนี่กระไร แต่นั้นก็ไปสวนกุหลาบเสมอ

เวลานั้นเจ้าพระยานรัตนราชมานิต(โต)ยังเป็นนายเวร เกิดมีไมตรีจิตเอาเป็นธุระประคับประคอง ยังเล่าจนเมื่อเป็นเจ้าพระยาว่ามูลเหตุที่ท่านจะชอบฉันนั้น เพราะฉันจำท่ากุลาตีไม่ได้ (เห็นจะได้เห็นเมื่องานพระเมรุกรมหมื่นมเหศวรศิวลาส) แล้วไปเต้น "ถัดทา" อวดท่านที่สวนกุหลาบ เรื่องนี้ลำเลิกจนในรัชกาลที่ ๖ เมื่อท่านป่วยหนัก วันนั้นไปเยี่ยมท่านเป็นครั้งที่สุด

ฉันได้ตามเสด็จทูลกระหม่อมเป็นครั้งที่สุด เมื่อเสด็จไปทอดพระเนตรสุริยอุปราคาที่ตำบลหว้ากอ แขวงเมืองประจวบคีรีขันธ์ เมื่อปีมะโรง พ.ศ. ๒๔๑๑ เวลานั้นอายุย่างเข้า ๗ ขวบ การที่เสด็จไปครั้งนี้นับเป็นเรื่องสำคัญในพงศาวดาร ด้วยเป็นเหตุให้ทูลกระหม่อมสวรรคต แต่ข้อนี้ก็มิได้มีใครคาดในเวลานั้น แต่มักพอใจกล่าวกันเมื่อภายหลังด้วยความอาลัย ว่าถ้าไม่เสด็จไปทอดพระเนตสุริยอุปราคาที่หว้ากอ ทูลกระหม่อมก็ยังเสด็จอยู่ต่อมาชวนให้ผู้ที่ไม่รู้เรื่องจริงเข้าใจว่าไม่พอที่จะเสด็จไป เหตุใดทูลกระหม่อมจึงเสด็จไปหว้ากอครั้งนั้น แม้เจ้านายที่เป็นลูกเธอก็มาทราบชัดเจนต่อภายหลังด้วยได้ฟังสมเด็จฯเจ้าฟ้า กรมพระยาบำราบปรปักษ์ ท่านประทานอธิบายให้เข้าพระทัย ว่าตามตำราโหราศาสตร์ของไทยนั้นว่าสุริยอุปราคาไม่เป็นวิสัยที่จะมืดหมดดวงได้เหมือนจันทรอุปราคา พวกโหรเชื่อกันมาอย่างนั้นแต่โบราณ

แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงศึกษาวิชาโหราศาสตร์เชี่ยวชาญทั้งอย่างไทยและอย่างฝรั่งจนถึงวัดแดดวัดดาวได้มาแต่ยังทรงผนวช ถึงกระนั้นก็ยังไม่เกิดปัญญาเรื่องสุริยอุปราคาหมดดวง มาจนปีมะโรง พ.ศ. ๒๔๑๑ ทรงคำนวนว่าจะเห็นสุริยอุปราคาหมดดวงในประเทศสยามเป็นครั้งแรกในปีนั้น ตรัสบอกพวกโหรไม่มีใครเชื่อด้วยผิดตำรา สมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมพระยาบำราบฯตรัสเล่าในส่วนพระองค์ว่า "ฉันเองก็ไม่เชื่อท่าน แต่เกรงพระราชหฤทัยก็เอออวยไปด้วยเช่นนั้น" แต่สุริยอุปราคาครั้งนั้นดูในกรุงเทพฯ จะไม่เห็นมืดหมดดวง จะเห็นได้แต่ในท้องที่ใกล้เมืองประจวบคีรีขันธ์ อันตำบลหว้ากออยู่ตรงเส้นกลางทางโคจรของสุริยอุปราคา จึงต้องเสด็จไปทอดพระเนตรถึงที่นั้น

ทรงชักชวนผู้เชี่ยวชาญโหราศาสตร์ทั้งพระและคฤหัสถ์ให้โดยเสด็จด้วย เล่ากันว่าทูลกระหม่อมทรงทรมานพระองค์ด้วยการคำนวนสุริยอุปราคาครั้งนั้นมากตั้งแต่ก่อนเสด็จไป ด้วยทรงเกรงว่าจะพลาดพลั้งไม่เห็นมืดหมดดวง หรือไม่ตรงเวลานาทีทรงพยากรณ์ก็จะละอายพวกโหร เพราะทรงทราบอยู่ว่าไม่มีผู้ใดเชื่อ การเสด็จไปหว้ากอครั้งนั้นยังมีการสำคัญอีกอย่าง ๑ ด้วยมีพวกนักปราชญ์ทั้งฝรั่งเศสและอังกฤษขอมาดู เซอร์แฮรีออดเจ้าเมืองสิงคโปร์ก็จะมาเข้าเฝ้าด้วยกับภรรยาเพื่อดูสุริยอุปราคา ณ ตำบลหว้ากอด้วย จึงต้องเตรียมการเสด็จไปครั้งนั้นผิดกับครั้งอื่นแต่หนหลัง

ถ้าว่าเฉพาะแต่ตัวฉันจำได้ ตั้งแต่รู้ว่าทูลกระหม่อมได้ทรงเลือกตัวฉันให้ไปตามเสด็จด้วย ก็ยินดีเหลือล้นเพราะนิสัยชอบเที่ยวดูเหมือนจะมีขึ้นบ้างแล้ว ทั้งครั้งนั้นได้พระราชทานเครื่องแต่งตัวและการ์ดชื่อพิมพ์ใส่ซองเงินสำหรับรับแขกเมืองแปลกกับตามเสด็จคราวก่อนๆ เมื่อตามเสด็จไปในเรือพระที่นั่งอัคราชวรเดช(๒๐) เห็นจะเป็นเพราะข้างในห้องแน่นกันนัก ตัวฉันกับน้องหญิงแขไขดวง(๒๑)(ซึ่งเป็นธิดาคุณป้าเที่ยง) ถูกส่งออกไปนอนกับคุณตาข้างท้ายเรือ ด้วยในเวลานั้นคุณตาเป็นผู้บัญชาการทหารบกจึงมีหน้าที่คุมทหารรักษาพระองค์ไปในเรือพระที่นั่ง

เมื่อเรือแล่นออกทะเลไป ทูลกระหม่อมเสด็จไปที่ดาดฟ้าตอนท้ายเรือ เยี่ยมพระองค์มาตรัสถามฉันกับองค์แขว่าเมาคลื่นหรือไม่เมา ต่างกราบทูลว่าไม่เมาทั้ง ๒ คน (พวกผู้ใหญ่เขาว่าที่แท้นั้นตัวฉันมีอาการเมาคลื่นอยู่บ้าง แต่หากแข็งใจทูลไปว่าไม่เมา) อย่างไรก็ดีทราบว่าในลายพระราชหัตถเลขาที่พระราชทานมากรุงเทพฯ ทรงติเตียนคนตามเสด็จไปเมาคลื่น ตรัสอ้างว่าแต่เด็กๆเช่นตัวฉันกับองค์แขยังไม่เมา แต่ที่จริงเห็นคลื่นจะไม่มีเท่าใดนัก ด้วยเป็นฤดูลมตะวันตกเฉียงใต้พัดออกมาจากฝั่ง ถึงกระนั้นผู้ที่แพ้คลื่นทะเลในสมัยนั้นยังมีมาก เป็นต้นว่าสมเด็จฯเจ้าฟ้า กรมพระยาบำราบปรปักษ์ได้เคยตามเสด็จไปถูกคลื่นครั้งหนึ่งแล้วก็ไม่เสด็จไปทะเลอีก ตามเสด็จคราวนี้ก็สู้ทรงช้างตั้งแต่เมืองเพชรบุรีเดินบกไปจนถึงตำบลหว้ากอ

ทูลกระหม่อมเสด็จแวะประพาสที่บางแห่งในระยะทาง มีที่แหลมเขาตะเกียบเป็นต้น ฉันจำได้ว่าตามเสด็จขึ้นบกพวกเด็กชาอุ้มไป ไปพบฝูงวัวของชาวบ้านเขาต้อนมา กลัววัวมันจะชนนี่กระไร ไปถึงภูเขาแห่งหนึ่งมีอ่างหินขังน้ำฝนไว้ในนั้น ทูลกระหม่อมไปประทับที่ริมอ่าว แล้วทรงตักน้ำมาทำน้ำมนต์ประพระเจ้าลูกเธอ ภูเขาที่ว่านี้มิใช่ที่อื่น คือ "เขาลาด" นั้นเอง ทุกวันนี้ก็ยังงามดีเป็นที่เที่ยวแห่ง ๑ ของผู้ที่มาหัวหิน อ่างหินนั้นก็ยังปรากฏอยู่ที่เชิงเขา เสด็จขึ้นบกอีกแห่ง ๑ ที่คุ้งมะนาว (อันเป็นที่ตั้งสาขากรมอากาศยานบัดนี้) อยู่ข้างใต้อ่าวเกาะหลัก อันเป็นที่ตั้งเมืองประจวบคีรีขันธ์ ทูลกระหม่อมทรงม้าพระที่นั่ง ตัวฉันขี่คอเด็กชาตามเสด็จไปจนถึงพลับพลาที่หว้ากอ ระยะทางสัก ๒๐๐ เส้น

พลับพลาตั้งต่อชายหาดที่ริมทะเล เขาว่าที่ตรงนั้นเป็นดงตะเคียน(๒๒) จึงเป็นเหตุให้เกิดเจ็บป่วย เมื่อมาคิดดูในชั้นหลังก็ชอบกล ทางโคจรของดวงอาทิตย์ที่จะเห็นสุริยอุปราคามืดหมดดวงได้ในครั้งนั้น คงมีเขตออกไปข้างเหนือข้างใต้ของเส้นศูนย์กลางที่อยู่ตรงตำบลหว้ากอ(๒๓) หากตั้งพลับพลาที่อ่าวมะนาว ซึ่งอยู่เหนือหว้ากอขึ้นมาเพียง ๒๐๐ เส้นก็จะพ้นที่มีความไข้ และคงเห็นสุริยอุปราคามืดหมดดวงได้เหมือนกัน ก็แต่ในสมัยนั้น ทางชายทะเลปักษ์ใต้ยังมิใคร่มีใครได้ไปเที่ยวเตร่รู้เห็นภูมิลำเนาเพราะทางคมนาคมยังลำบาก จึงเอาคติทางโหราศาสตร์เลือกที่ตั้งพลับพลาที่ตำบลหว้ากอ

ความทรงจำเมื่ออยู่ที่หว้ากอครั้งนั้น นึกหาเรื่องอะไรที่เป็นแก่นสารไม่ได้ด้วยเป็นเด็ก จำได้แต่ว่าชอบวิ่งเล่นกับเจ้านายพี่น้องที่หน้าพลับพลา และจำได้ว่าได้ไปยืนเข้าแถวรับเซอร์แฮรีออดกับภรรยาเมื่อเข้าไปเฝ้าข้างในได้จับมือกับฝรั่งเป็นครั้งแรก และเซอร์แฮรีออดให้รูปฉายาลักษณ์ของตนแผ่น ๑ ยังรักษามาอีกช้านาน ส่วนเรื่องสุริยอุปราคานั้น เกือบไม่ได้เอาใจใส่ที่เดียว จำได้ว่ามีโรงตั้งกล้องส่งที่หน้าพลับพลา กล้องส่องจะเป็นอย่างไรก็จำไม่ได้ พวกฉันได้แจกแต่กระจกสีคล้ำแผ่นเล็กๆสำหรับให้ส่องดูดวงอาทิตย์ และจำได้ว่าเมื่อหมดดวงนั้นมืดถึงแลเห็นดาวในท้องฟ้า แต่ฟังตามที่เล่ากันว่าทูลกระหม่อมทรงปิติยินดีมาก ด้วยได้จริงดังทรงคำนวนหมดทุกอย่างและพวกโหรบรรดาที่ตามเสด็จไป (ซึ่งเชื่อตำราว่าจะหมดดวงไม่ได้นั้น) ก็พากันพิศวงงงงวย นัยว่าถึงพระยาโหราธิบดี(เถื่อน)เมื่อยังเป็นหลวงโลกาทีป พอเห็นหมดดวงก็ร้อง "พลุบ" ออกไปดังๆ โดยลืมว่าอยู่ใกล้ที่ประทับ

เมื่อเสด็จกลับมาถึงกรุงเทพฯ ได้สัก ๗ วัน มีงานสมโภชพระแก้วมรกต ฉันจำได้ว่าตามเสด็จทูลกระหม่อมไปทอดพระเนตรโขน ณ พระที่นั่งไชยชุมพล ได้เห็นทูลกระหม่อมเป็นครั้งที่สุดในวันนั้น พอกลับมาก็ล้มเจ็บเป็นไข้ป่าด้วยกันทั้งแม่และตัวฉัน แต่เห็นจะไม่เป็นอย่างแรง ถึงกระนั้นก็ต้องนอนแซ่วยู่กับเรือนเกิอบเดือน ได้รู้แว่วๆว่าทูลกระหม่อมประชวร พออาการฟื้นขึ้นทูลกระหม่อมก็เสด็จสวรรคต เมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ เมื่อรู้ข่าวพากันตกใจสิ้นสติอารมณ์แม้แต่จะร้องไห้ก็ไม่ออก จนเขาพาขึ้นไปสรงน้ำพระบรมศพจึงได้ร้องไห้ ได้ยินแม่เล่าให้ฟังเมื่อภายหลังว่าในเวลาเมื่อทูลกระหม่อมประชวรอยู่นั้น ตรัสห้ามไม่ให้พระเจ้าลูกเธอที่ยังทรงพระเยาว์เข้าไปให้ทอดพระเนตรเห็น เพื่อจะทรงระงับความอาดูรด้วยห่วงใย ถึงกระนั้นก็ปรากฏในจดหมายเหตุเรื่องประชวร ว่าทรงเป็นห่วงพระเจ้าลูกเธอมาก ถึงมีพระราชหัตถเลขาฝากฝังปรากฏในจดหมายเหตุ ดังคัดมาลงต่อไปนี้


"ถึงวันพฤหัสบดี เดือน ๑๑ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เวลาโมงเช้า ดำรัสสั่งให้พระยาบุรุษฯ ออกไปเชิญเสด็จพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงวงศาธิราชสนิท เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ ที่สมุหกลาโหม เจ้าพระยาภูธารภัย ที่สมุหนายก เข้าไปเฝ้าถึงข้างพระที่พระบรรทม มีพระราชดำรัสสั่งว่า เห็นจะเสด็จสวรรคตในวันนั้น ท่านทั้ง ๓ กับพระองค์ได้ทำนุบำรุงประคับประคองกันมา บัดนี้กาลจะถึงพระองค์แล้ว ขอลาท่านทั้งหลายในวันนี้ ขอฝากพระราชโอรสธิดา อย่าให้มีภัยอันตรายหรือสิ่งกีดขวางในการแผ่นดิน ถ้าจะมีความผิดสิ่งไรเป็นข้อใหญ่ ขอแต่ชีวิตไว้ให้เป็นแต่โทษเนรเทศ ขอให้ท่านทั้ง ๓ จงเป็นที่พึ่งแก่พระราชโอรสธิดาต่อไปด้วยเถิด ท่านทั้ง ๓ เมื่อได้ฟังก็พากันร้องไห้สะอื้นอาลัย จึงดำรัสห้ามว่า อย่าร้องไห้ ความตายไม่เป็นอัศจรรย์อันใด ย่อมมีย่อมเป็นเหมือนกันทุกรูปทุกนาม ผิดกันแต่ที่ตายก่อนและตายทีหลัง แต่ก็อยู่ในต้องตายเหมือนกันทั้งสิ้น บัดนี้เมื่อกาลมาถึงพระองค์เข้าแล้วจึงได้ลาท่านทั้งหลาย"


ข้างฝ่ายพระราชโอรสธิดาทั้งปวง ก็รู้สึกกันมาแต่ยังทรงพระเยาว์จนเติบใหญ่ทุกพระองค์ ว่าในความรักลูกแล้วจะหาผู้ใดที่รักยิ่งกว่าทูลกระหม่อมเห็นจะไม่มี เพราะฉะนั้นความรักทูลกระหม่อมจึงตรึงอยู่ในพระหฤทัยด้วยกันทั้งนั้น จะยกตัวอย่างเช่นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับกรมหลวงสมรรัตน์ฯ ทั้งสองพระองค์นี้ทูลกระหม่อมทรงใช้ชิดติดพระองคอยู่เป็นนิจ

เมื่อถึงรัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประทับ ณ ที่ใดๆ ในห้องที่บรรทมคงมีพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวด้วย เคยมีพระราชดำรัสแก่ฉันว่า "ถ้าขาดไปไม่สบายใจ" ฉันจึงทราบว่าพระองค์ทรงติดทูลกระหม่อมถึงปานนั้น กรมหลวงสมรรัตน์ฯก็เป็นทำนองเดียวกัน เมื่อเสด็จออกไปอยู่ที่วังวรดิศก็มีพระบรมรูปทูลกระหม่อมไว้กับพระองค์เสมอ ทูลถามเรื่องแต่ก่อนมา ถ้าเป็นเรื่องเนื่องด้วยทูลกระหม่อมแล้ว ทรงจำได้แม่นยำกว่าเรื่องอื่น เคยมีผู้ถามฉันว่าจำทูลกระหม่อมได้หรือไม่ ข้อนี้ตอบยากอยู่สักหน่อยเพราะพระบรมรูปทูลกระหม่อมมีมากได้เห็นจนชินตา แต่ฉันนึกว่าจำได้ด้วยเมื่อเสด็จสวรรคตอายุของฉันเข้า ๗ ขวบแล้ว ทั้งได้ตามเสด็จและรับใช้ใกล้พระองค์ถึง ๓ ปี เป็นแต่ไม่ได้มีโอกาสสนองพระเดชพระคุณทูลกระหม่อมเมื่อยังเสด็จดำรงพระชนม์อยู่มากเหมือนเจ้าพี่ที่ท่านเป็นชั้นใหญ่

เมื่อเขียนถึงตรงนี้นึกขึ้นถึงคำราชทูตฝรั่งคนหนึ่งซึ่งเอาใจใส่ศึกษาพงศาวดารประเทศทางตะวันออกนี้ เคยแสดงความเห็นแก่ฉันว่า สังเกตตามเรื่องที่ฝรั่งมาทำหนังสือสัญญาเมื่อรัชกาลที่ ๔ นั้น เมืองไทยใกล้จะเป็นอันตรายมากที่เดียว ถ้าหากไม่ได้อาศัยพระสติปัญญาของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแก้ไข ประเทศสยามก็อาจจะไม่เป็นอิสระสืบมาได้ คำที่เขาว่านี้พิเคราะห์ในพงศาวดารก็สมจริง ในชั้นนั้นมีประเทศที่เป็นอิสระอยู่ทางตะวันออกนี้ ๕ ประเทศด้วยกันคือ พม่า ไทย ญวน จีน และญี่ปุ่น นอกจากเมืองไทยแล้ว ต้องยอมทำหนังสือสัญญาด้วยถูกฝรั่งเอากำลังบังคับทั้งนั้น ที่เป็นประเทศเล็กเช่นพม่าและญวนก็เลยตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเมื่อปลายมือ ที่เป็นประเทศใหญ่หลวง เช่นเมืองจีนก็จลาจลและลำบากยากเข็ญสืบมาจนทุกวันนี้ กลับเอาตัวรอดได้แต่ประเทศญี่ปุ่นเพราะเขามีคนดีมากและมีทุนมากด้วย ถึงกระนั้นก็ต้องรบราฆ่าฟันกันเองแล้วจึงตั้งตัวได้ มีประเทศสยามประเทศเดีวที่ได้ทำหนังสือสัญญากับฝรั่งโดยฐานมิตร และบ้านเมืองมิได้เกิดจลาจลเพราะทำหนังสือสัญญา

แต่น่าอนาถใจอยู่ที่ทุกวันนี้ผู้รู้พระคุณของทูลกระหม่อมมีน้อยตัวลงทุกที ถึงมีเสียงคนชั้นสมัยใหม่(แต่มีน้อยคน)กล่าวว่าหนังสือสัญญาที่ทำเมื่อรัชกาลที่ ๔ เสียเปรียบฝรั่งเพราะไทยในสมันนั้นไม่รู้เท่าถึงการ เมื่อคิดต่อไปในข้อนี้ดูเป็นโอกาสที่ฉันจะได้สนองพระเดชพระคุณทูลกระหม่อมได้อีกบ้างเมื่อแก่ชรา ด้วยแถลงความจริงให้ปรากฏ เพราะเมื่อฉันเป็นนายกกรรมการหอสมุดสำหรับพระนคร และเป็นนายกราชบัณฑิตยสภาต่อมา ได้อ่านหนังสือเก่าทั้งที่รวบรวมฉบับได้ในประเทศนี้และที่ได้มาจากต่างประเทศ พบอธิบายในเรื่องพระราชประวัติของทูลกระหม่อม ซึ่งยังมิใคร่มีใครทราบหรือทราบแต่เรื่องไม่รู้ต้นเหตุมีอยู่มาก ฉันจึงพยายามแต่งเรื่องประวัติของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ด้วยอาศัยหนังสือพงศาวดารรัชกาลที่ ๔ ของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์กับเทศนาพระราชประวัติ ซึ่งสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงพระนิพนธ์เป็นโครงเรื่อง แถลงพลความตามอธิบายที่ฉันได้มาทราบเมื่อภายหลังไว้ในตอนที่ ๒ และที่ ๓ ของหนังสือนี้


..............................................................................................................................................................


เชิงอรรถ

(๑) จันทรคติกาล เดือน ๗ แรม ๙ ค่ำ จุลศักราช ๑๒๒๔ ตรงกับคริสตศักราช ๑๘๖๒

(๒) พระเจ้าลูกยาเธอในรัชกาลที่ ๓ เรียกพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า "ทูลกระหม่อมแก้ว" มาถึงรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้พระเจ้าลูกเธอเรียกแต่ว่า "ทูลกระหม่อม" แต่เรียกกันโดยคล่องพระโอษฐ์ว่า "ทูลหม่อม" ทุกพระองค์ ประหลาดอยู่ที่พระเจ้าลูกเธอในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็เรียกพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า "ทูลกระหม่อม" เห็นจะเรียกตามรับสั่งพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว และเรียกพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว "พ่อป่า" อันมาจากคำ Papa ภาษาฝรั่ง อย่างเคยเรียกแต่เมื่อยังเป็นกรม

(๓) ประเพณีสมโภช ถ้ามิใช่พระราชกุมารเรียกว่า "ทำขวัญ" การทำขวัญ ๓ วัน ทำแต่เป็นสังเขป คงเป็นเพราะยังไม่มั่นใจว่าทารกนั้นจะเป็น"ลูกผีหรือลูกคน" คือจะรอดอยู่ได้หรือไม่รอด เมื่ออยู่ได้ถึงเดือนก็เป็นอันมั่นใจว่ารอด จึงทำขวัญด้วยการพิธีเป็นหลักฐานเหมือนอย่างว่ารับเข้าทะเบียนเป็นสมาชิกในวงศ์สกุล

(๔) ที่มีพิธีสงฆ์ในการสมโภชเดือนนั้น เห็นจะเพิ่มขึ้นในรัชกาลที่ ๔ ก่อนมาเห็นจะมีแต่พิธีพราหมณ์

(๕) มีชื่อปรากฎอยู่ในคำปรึกษาปูนบำเหน็จในรัชกาลที่ ๑ และในหนังสือพระราชวิจารณ์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

(๖) ในรัชกาลที่ ๕ ก็พระราชทานพระนามพระเจ้าลูกเธอพระองค์เจ้าเพ็ญพัฒพงษ์ ตามนาม "เพ็ญ" ของเจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรง ผู้เป็นคุณตา

(๗) อักษรอริยกะนั้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริประดิษฐ์ขึ้น แต่เมื่อทรงผนวชสำหรับให้เขียนภาษามคธสะดวก มีทั้งอักษรเหลี่ยม(อย่างตัวโรมัน)สำหรับพิมพ์ และอักษรกลม(อย่างอิตะลิค)สำหรับเขียน

(๘) ประทานฉบับไว้ที่หอสมุดสำหรับพระนครราชบัณฑิตยสภาไว้พิมพ์แล้ว

(๙) มีจดหมายเหตุหนังสือประติทิน "บางกอกคาเลนดาร์" ของหมอบรัดเล ว่าเมื่อปีชวด พ.ศ. ๒๔๐๗ ฝรั่งเข้ามาซื้อข้าวไปขายเมืองจีนมาก ราคาข้าวสารแพงถึงเกวียนละ ๑๒๐ และ ๑๕๐ บาท ราษฎรเดือดร้อนจนถึงรัฐบาลต้องประกาศห้ามไม่ให้เอาข้าวออกจากเมืองอยู่ ๗ เดือน

(๑๐) พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคตเมื่อปีฉลู พ.ศ. ๒๔๐๘ มีเงินสดอยู่เพียง ๒,๕๐๐ บาทเท่านั้น

(๑๑) ในสมัยนั้นยังไม่ใช้วิธีเลี้ยงเด็กด้วยนมโค เจ้านายมีนางนมเลี้ยง ตัวฉันเคยมีแม่นมเลี้ยงต่อกันมาถึง ๓ คน

(๑๒) พระอภิเนาวนิเวศน์ รวมพระที่นั่งหลายองค์สร้างขึ้นในบริเวณสวนขวาที่เรียกว่าสวนศิวาลัยบัดนี้ แต่มาชำรุดทรุดโทรมเสียเมื่อในรัชกาลที่ ๕

(๑๓) ในรัชกาลที่ ๓ โปรดให้เด็กผู้หญิงลูกผู้ดีที่ไปอยู่ในวังเรียนอ่านและหัดเขียนหนังสือไทยและหนังสือขอม ให้อาลักษณ์สอนที่ตำหนักแพ ผู้ที่เรียนสำเร็จได้รับราชการเป็นเสมียนอยู่มาได้เป็นครูสอนหนังสือเจ้านายที่ยังทรงพระเยาว์หลายคน

(๑๔) ประเพณีเสด็จพระราชยานมาเลิกเมื่อเปลี่ยนเป็นใช้รถในรัชกาลที่ ๕ ตัวอย่างพระราชยานมีอยู่ในพิพิธภัณฑ์สถานสำหรับพระนคร

(๑๕) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทรงรับฏีกาแทนพระองค์ตั้งแต่พระชนมายุได้ ๕-๖ พรรษา และเมื่อทรงมีพระชนมายุ ๘ พรรษา จึงโปรดเกล้าฯให้สถาปนาขึ้นเป็น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมงกุฎราชกุมาร ทีรัชทายาทเป็นพระองค์แรก

(๑๖) ในจดหมายเหตุบางกอกเลนดาร์ของหมอบรัดเล ว่าเสด็จไป เมื่อปีขาล พ.ศ. ๒๔๐๙

(๑๗) ในจดหมายเหตุบางกอกรีคอเดอร์ของหมอบรัดเล ว่าแขกเมืองโปรตุเกศ เป็นเจ้าเมืองมาเกา ชื่อ ดองโยเส ฮอร์ตา

(๑๘) การเสด็จออกรับแขกเต็มยศในพระที่นั่งอนันตสมาคม มีรูปเขียนเสด็จออกรับแขกเมืองฝรั่งเศส ติดอยู่ในท้องพระโรงกลางพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท

(๑๙) บิดาเจ้าพระยาเทเวศรวงศ์วัฒน์ หม่อมราชวงศ์ หลาน กุญชร

(๒๐) เสด็จออกจากกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ ๘ สิงหาคม เสด็จกลับถึงกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ ๒๔ สิงหาคม รวมเวลาเสด็จไปครั้งนั้น ๑๖ วัน

(๒๑) พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าแขไขดวง พระเจ้าลูกเธอพระองค์ที่ ๘ ใน ๑๐ พระองค์ที่ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาเที่ยง และทรงเป็นลำดับที่ ๖๘ ในบรรดาพระราชโอรสธิดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

(๒๒) เมื่อฉันว่าการมหาดไทย ได้ให้ไปตรวจว่ามีสิ่งอันใดเหลืออยู่บ้างหรือไม่ ได้รับรายงานว่ามีฐานก่ออิฐถือปูน(เห็นจะเป็นที่ตั้งกล้องส่ง)เหลืออยู่แห่ง ๑ ฉันได้สั่งให้รักษาไว้

(๒๓) เช่นสุริยอุปราคาคราว พ.ศ. ๒๔๗๖ เส้นศูนย์กลางอยู่ที่ตำบลหัวหิน แต่อาจจะเห็นหมดดวงได้ตั้งแต่เขาทะโทนแขวงเมืองเพชรบุรี ลงไปจนถึงเมืองประจวบคีรีขันธ์


..............................................................................................................................................................


ความทรงจำ ตอนที่ ๑
 
 

โดย: กัมม์ วันที่: 29 มีนาคม 2550 เวลา:15:30:33 น.  

 
 
 
Magnetic Sponsoring Mike Dillard
 
 

โดย: Magnetic Sponsoring Mike Dillard (mlmboy ) วันที่: 18 ธันวาคม 2551 เวลา:1:57:50 น.  

Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet

กัมม์
 
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 41 คน [?]




วิชา ความรู้จะมีค่าเมื่อถูกถ่ายทอด
[Add กัมม์'s blog to your web]

MY VIP Friend

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com