All Blog
จัดรักให้ลงล็อค บทที่22 (ครึ่งหลัง)




บทที่22 (ครึ่งหลัง)

วันใหม่เริ่มต้นอย่างสดใส สายฝนชุ่มฉ่ำเมื่อรุ่งเช้ายิ่งพาให้อากาศสดชื่น หยาดฝนพร่างพรมเป็นละอองน้ำเย็นฉ่ำยังเกาะกิ่งไม้และใบไม้สะท้อนแสงแดดน่ามอง เสียงนกร้องเจี้ยงแจ้วยามเช้าบริเวณสวนสวยร่มรื่นในบ้านไพเราะเสนาะหู คนไม่เคยได้สนใจอย่างภูดิสกลับได้ยินชัดเจน เพราะเหตุใดกันหนอ

เกือบไปแล้ว

ก่อนลาจากหญิงสาวสีหน้างงงันที่เพิ่งได้รับตำแหน่งใหม่เมื่อคืนนี้เกือบเผลอดึงร่างกลมกลึงมากอดแน่นๆอีกครั้งแล้วเชียว เกือบจะห้ามใจตัวเองไม่ได้แล้ว ต้องท่องไว้ในใจตลอดเวลาว่าความผิดเก่าเพิ่งสะสางยังไม่ทันจาง จะอาจหาญก่อคดีใหม่ไม่ได้เชียว จึงได้แค่กระชับมือน้อยมาจุมพิตเบาๆ พอให้ชื่นใจก่อนลา เพียงเท่านั้นก็ยังได้รับสายตาขุ่นเขียวจากคุณกังสดาลที่คงจะแอบดูอยู่หน้าห้อง ชี้หน้าคาดโทษไว้

‘น่าตีจริงเชียว ไปไป๊ กลับบ้านไปได้แล้ว ขับรถดึกดื่น อันตราย’ คุณกังสดาลบ่นแล้วไล่ น้ำเสียงไม่จริงจังนัก แถมข้างท้ายยังคงแสดงความห่วงใย ภูดิสอมยิ้มในหน้า

มาจนถึงตอนนี้ รอยยิ้มนั้นก็ยังไม่เลือนหายไป ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นนอกจากคุณลักษิกา หลังจากสำรวจสภาพลูกสาวคนเล็กเรียบร้อยแล้วไล่ให้ขึ้นไปนอน เขารั้งมารดาไว้ ก่อนสารภาพเรื่องราวทั้งหมด แล้วก็ได้รับฝ่ามือตามด้วยเล็บจิกเข้าที่หัวไหล่

‘ร้ายจริงตาภู เลี้ยงมาแต่เล็กแต่น้อยไม่เคยคิดว่าจะกล้าได้ถึงขนาดนี้ เกิดฝ่ายโน้นเขาโกรธขึ้นมาจะทำยังไง อดได้ลูกสะใภ้กันพอดี’

‘แต่ก็ไม่ได้โกรธซะหน่อย’ ภูดิสลูบหัวไหล่ป้อยๆ คุณลักษิกามองค้อน ไม่วายมือลงบนต้นแขนแข็งแรงอีกหนึ่งทีอย่างหมั่นไส้พ่อลูกชายตัวดี ชอบทำเรื่องให้ตกใจและหวิดเสียสัมพันธภาพอันดีกับเพื่อนเธออยู่เรื่อยเชียว

‘ย่ะ ไม่โกรธ เอาเถอะ ยังไงมันก็ทำให้มีเรื่องดีๆน่ะแหละนะ แหม พรุ่งนี้ต้องไปหาว่าที่ลูกสะใภ้เต็มๆตาหน่อยแล้ว’ คุณลักษิกายิ้มกริ่มกับแผนที่วางไว้ในใจ

‘ผมไปด้วย’

‘ไม่ไปทำงานรึไงกัน’ หญิงสูงวัยหันมาถามลูกชาย ภูดิสหน้ามุ่ยเมื่อนึกได้ว่าพรุ่งนี้ไม่ใช่วันหยุด คุณลักษิกาหัวเราะร่า นึกสมน้ำหน้าลูกชายอยู่ในใจ แต่ก่อนชวนไป ไม่ไป อ้างอย่างโน้นอย่างนี้ว่าต้องสะสางงานที่เขาขนกลับมาบ้านกองโตทุกอาทิตย์ มาตอนนี้เกิดทุรนทุรายอยากไป แต่ไม่ได้ไป สมน้ำหน้าดีแท้

‘ทำงานให้สนุกนะจ๊ะ ลูกชาย แม่จะไปฝากท้องกับบ้านว่าที่ลูกสะใภ้แต่เช้า ไม่ต้องรอทานข้าวนะจ๊ะ’ คุณลักษิกายั่วอย่างสนุกสนานก่อนปลีกตัวขึ้นห้องไปนอนหลับอย่างเป็นสุขสมปรารถนาอย่างที่รอมานาน



ด้วยเหตุนี้ นิศากรและคุณกังสดาลจึงได้โอกาสต้อนรับแขกคุ้นเคยที่โผเข้ามากอดหมับเข้าแทนการรับไหว้อย่างปกติธรรมดาที่เคยทำเสมอๆ

“อรุณสวัสดิ์จ๊ะ หนูนิของแม่” คุณลักษิกาทักทายอย่างแช่มชื่น เรียกเต็มปากเต็มคำว่าหนูนิของแม่ ทำเอาคนถูกเรียกอึ้งไปพักใหญ่ก่อนหน้าแดงซ่าน มาอย่างนี้แสดงว่าทุกเรื่องราวคนถูกถ่ายทอดถึงกันและกันแล้วเป็นแน่แท้ โอย อาย

“อะไรกันลักษิกา ไม่ทันจะอะไรก็จะมาแย่งลูกสาวฉันไปซะแล้วเหรอ” คุณกังสดาลแหวแบบหวงลูกสาวขึ้นมา

“แย่งเยิ่งอะไรกัน เปล่าซะหน่อย กล่าวหา” คุณลักษิกาแก้ตัว

“ก็ได้ยินอยู่ชัดๆเมื่อกี้” คุณกังสดาลไม่ยอม

“เรียกเตรียมเอาไว้ให้ชินปากจ๊ะ”

“ยังไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้ ฉันยังไม่ยอมปล่อยลูกให้ไปไหนเร็วนักหรอก อีกสิบปีดีไหมหนูนิ” คุณกังสดาลกล่าวพร้อมดึงลูกสาวกลับมาเกาะไว้

“อ้าว พูดอย่างนี้ฉันงอนนะ เดี๋ยวก็ไม่มาขอซะหรอก”

“ไม่ได้นะ!” เสียงทุ้มแทรกขึ้น พร้อมร่างสูงปรากฎเป็นบุคคลที่สี่ ภูดิสรีบตื่นแต่เช้า ทั้งที่เพิ่งได้นอนไม่ดี่ชั่วโมง แต่งตัวลงมาดักรอคุณลักษิกาด้านล่าง หวังมาฝากท้องด้วอีกคนก่อนไปทำงาน เขารี่เข้ามาหามารดา ก้มลงกระซิบข้างหู “แม่พูดอย่างงั้นได้ไง ไม่อยากได้ลูกสะใภ้แล้วเหรอครับ”

“ก็เขาบอกว่าต้องรอสิบปีถึงจะยกให้นะ” คุณลักษิกาบอกเสียงดัง สุ้มเสียงไม่พอใจ

“อ้าว! คุณป้า” ใบหน้าคมเหวอ ร้องค้าง เรียกเสียงหัวเราะจากสองมารดาที่หลิ่วตาให้กันอย่างรู้ทันกันและกัน ที่พูดไปทั้งหมดเมื่อครู่ก็แค่อยากแกล้งแซวลูกหลานเล่นกันเท่านั้นเอง แต่คนมาใหม่ไม่รู้เรื่องราว ตกหลุม เชื่อว่าเป็นจริงดังนั้น เลยอ้าปากค้าง การดูใจกันนานๆก็ออกจะเป็นเรื่องดี แต่ว่า สิบปี ออกจะนานเกินไปหน่อยละมั้ง

“ล้อเล่นนะจ๊ะ ฮะๆๆๆๆ”

ท่ามกลางเสียงหัวเราะสนุกสนาน คนถูกห้อมล้อมมีความรู้สึกอย่างหนึ่งที่ยังคงค้างในหัวใจ บางอย่างที่หลงลืมไปเมื่อคืนนี้เพราะเรื่องวุ่นวาย บางอย่างที่ยังคงทำให้ไม่มั่นใจ

“เอ้า มาหาข้าวเช้าทานกันไม่ใช่เหรอ เข้าไปทานกันเสียทีดีกว่า เดี๋ยวไปทำงานสาย ลูกน้องทั้งหลายเขาจะไม่นับถือเจ้านายเอา” เสียงมารดาฉุดให้เธอออกจากความนึกคิดของตน คุณกังสดาลกวาดต้อนแขกคนสนิทเข้าบ้าน สองมารดาเคียงคู่นำกันไปก่อนแล้ว นิศากรถูกปล่อยให้รั้งท้าย มือนิ่มถูกกระตุกน้อยๆ ใบหน้าคมก้มลงมามองต่ำเกือบชิดแก้มนวลร้องเรียก

“หนูนิครับ”

“คะ อุ๊ย” หญิงสาวหันตามเสียงเรียก แล้วก็ได้ร้องอุทาน อุณหภูมิในหน้าร้อนขึ้นเมื่อแก้มนวลเฉียดปลายจมูกของคนเรียกเข้า

“อรุณสวัสดิครับ วันนี้อากาศสดชื่นดีจริงๆนะ หึๆ” เสียงหัวเราะต่ำในลำคออย่างสมความตั้งใจ ทำให้เธอต้องหันไปมอง ตาคมพราวระยับอย่างคนอารมณ์ดี ชายหนุ่มยืดตัวขึ้นสูดลมหายใจเข้าลึก อากาศสดชื่นที่หมายถึงจะแปลตรงตัวหรือมีความหมายอื่นใด ดวงตาที่มองเธออยู่บอกให้รู้อยู่แล้ว

“คนบ้า!” นิศากรแหวใส่ เดินหนีเสียเฉยๆ คนถูกว่าตามไปรวบมือน้อยไว้ในมือใหญ่ แล้วหยุดเดินซะอย่างนั้น เจ้าของมือเล็กจึงต้องหยุดตาม ไปไหนไม่รอด

“ทักพี่คำแรกก็ว่าพี่ซะแล้ว ใจร้ายจัง นี่เหรอว่าที่ลูกสะใภ้คุณแม่” ชายหนุ่มแกล้งว่างอนๆ ทั้งที่รู้ว่าเหตุใดเธอจึงพูดอย่างนั้น

“พูดอะไร นิไม่ได้เป็นซะหน่อย” หญิงสาวค้าน พยายามทำน้ำเสียงให้ปกติ ทั้งที่ยังหันทางอื่นไม่ยอมมองชายหนุ่มสักนิด

“ไม่ได้เป็นอะไร”

“ก็ไม่ได้ได้เป็น ลูก...ลูก สะ...ใภ้น่ะสิ” พยายามแล้วแต่ไม่สำเร็จจนได้ คนตอบตะกุกตะกักอย่างเขินอาย

“เป็น ดูนี่สิ”

แหวนวงน้อยฝังเพชรเรียงกันสามเม็ด ขนาดพอดีไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป เขาสวมติดนิ้วก้อยไว้ตั้งแต่เมื่อคืน ก่อนนอนเขาตรงเข้าไปเคาะประตูห้องคุณลักษิกา ขอมันมา แหวนวงนี้ เลือกมาจากกรุสมบัติล้ำค่าของมารดาที่ยอมให้กวนเวลานอนเพราะลูกชายมาขอแหวนไปหมั้นสาว

ตลอดคืนจึงฝันถึงแต่คนที่เขาต้องการสวมให้ตลอดเวลา ใบหน้านวลใส แก้มซับสีชมพู กับดวงตากลมมองมาตาแป๋วแบบอึ้งกึ่งงงงันก่อนเขาผละจากมายังติดในใจ

เขาชูมันขึ้นมาให้หญิงสาวได้ดู ก่อนถอดออกจากนิ้วตัวเอง ดึงมือนิ่มข้างซ้าย เลือกบรรจงสวมมันลงไปที่นิ้วนาง ช่างพอดิบพอดีกับนิ้วเรียวขาวนวลอย่างกับวัดขนาดมาโดยตรง ภูดิสยิ้มอย่างพอใจ บอกเสียงอ่อนโยนกับหญิงสาวตรงหน้าว่า

“หนูนิรู้ไหม เขาว่ากันว่า หากแหวนที่สวมนิ้วก้อยของผู้ชายได้พอดีเหมือนกับนิ้วนางของผู้หญิง เขาว่าเป็นเนื้อคู่กัน”

ใช่ เธอก็รู้มาอย่างนั้นเหมือนกัน และบัดนี้ แหวนวงนั้น วงที่สวมพอดีกับนิ้วก้อยของเขาก็กลับมาสวมได้พอดีกับนิ้วนางเธอเช่นกัน แล้วเขารู้รึเปล่าว่าที่นิ้วนางข้างซ้ายน่ะ มีเส้นเลือดเชื่อมต่อโดยตรงไปสู่หัวใจ

เพราะฉะนั้นรอยอุ่นจากเจ้าของแหวนที่ยังติดอยู่กับโลหะเนื้อลื่น จึงสร้างความอบอุ่นจากปลายนิ้วไปจนถึงหัวใจเธอเช่นกัน

“พี่จองไว้ด้วยแหวนวงนี้แล้วนะ รู้ไหมครับ” หญิงสาวไม่ตอบ กลับก้มหน้างุดซ่อนรอยแดงบนผิวแก้มที่เพิ่มมากขึ้นทุกทีราวกับจะเป็นไข้

“สวัสดีตอนเช้าอีกครั้งครับ หนูนิของพี่”





-----------โปรดติดตามตอนต่อไป-------------


//punnarm-farin.bloggang.com


*;...คุยกันนิดหน่อยกับฟ้าริน...;*
รีบมาส่งก่อน ฟ้ารินจามบ่อยๆนี่เพราะหลายคนคิดถึงรึเปล่าคะ (เข้าข้างตัวเองซะงั้น ฮิๆ) หรือจริงๆแล้ว ฟ้ารินจะเป็นหวัด เอาหล่ะค่ะ หลังจากนี้ก็ไม่รู้ว่าจะได้มีโอกาสมาส่งตอนต่อไปเมื่อไหร่ เพราะอย่างที่เกริ่นไว้ในครึ่งแรก ฟ้ารินมีสอบค่ะ ถ้าหากเจียดเวลามาเขียนต่อได้ ฟ้ารินจะรีบนำมาประเคนเลยค่ะ สำหรับตอนนี้คงหวานพอให้คิดถึงฟ้ารินกันไปจนถึงเวลาที่ฟ้ารินมาอัพตอนต่อไปนะคะ แล้วหากต้องส่งใบลาในระยะเวลาที่แน่นอนฟ้ารินก็จะรีบมาแจ้งข่าวค่ะ จะได้ไม่เข้ามาเก้อกันนะคะ
ปล.ช่วยอวยพรฟ้ารินกันหน่อยนะคะ พรุ่งนี้มีรายงานหน้าห้องค่ะและอาทิตย์ต่อจากนี้ไป 2-3 อาทิตย์ฟ้ารินสอบ!!!!!!!!!!!

สุดท้ายนี้ขอเสนอ ภาพยนตร์เรื่อง
Final Examination สอบก็ตาย ไม่สอบก็ตาย
วันนี้แล้ว ทุกมหาวิทยาลัย

kikkak_riwkiw - ท่าทางจะใช่ ติดนิสัยมาจากพี่แน่ๆ เจ้าเล่ห์ๆเนี่ย ใช่ซี่ พี่มันยัยจิ้งจอก (ด่าตัวเองซะงั้น)

Ormmie - รอดมาได้แล้วยังมาทำเจ้าเล่ห์ต่อด้วยค่ะ ขอบคุณที่อวยพรค่ะ พรุ่งนี้ฟ้ารินมีรายงาน แต่ไม่เท่าไหร่ ไอ้จะสอบนี่สิ ขอให้สมพรที่อวยมาให้ฟ้ารินนะคะ เพี้ยง

น้อง ก. - แหมๆๆๆ เชิญได้เลยค่ะ ที่ติดเพราะว่าฟ้ารินแอบทากาวไว้ ลองดูที่ขาสิคะ 5555

Smillzz - สอบๆๆๆๆๆค่ะ พรุ่งนี้รายงาน ทำท่าจะยุ่งอีกนานกว่า2อาทิตย์ค่ะ เลยรีบๆมาต่อให้จบตอน หวานก่อนมาป่วนพี่ภู (วางยาพระเอกนี่หว่า5555)

g - รอครึ่งหลัง ครึ่งหลังมาส่งแล้วจ้า สมใจต่อไหมเอ่ย

ยารีส - มีงานตรึมเหมือนกันเลยค่ะ แต่งานของฟ้ารินนี่สิ หฤโหดและหฤหรรนัก เพราะไม่สามารถคาดเดาได้ว่าข้อสอบจะออกอะไร กรี๊ดดดดดดดดดด






Create Date : 24 กันยายน 2550
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2551 17:55:38 น.
Counter : 310 Pageviews.

8 comment
จัดรักให้ลงล็อค บทที่22 (ครึ่งแรก)





บทที่22

ปกติเขาว่าความเย็นจะช่วยลดความร้อนได้ อย่างตอนเราเป็นไข้ตัวร้อน เรายังใช้น้ำเพื่อนลดความร้อนในตัวได้เลย แต่ตอนนี้เครื่องปรับอากาศเครื่องโตที่พ่นลมเย็นสดชื่นกลับไม่มีผลต่ออุณหภูมิในหน้าเธอเลย เวลาล่วงเลยมาถึงเมื่อไหร่แล้ว หญิงสาวไม่ได้นับ แต่จนกระทั่งรุ่งเช้าของอีกวันแล้ว อาการหน้าร้อนกับผิวขาวๆเป็นชมพูระเรื่อยังคงเดิมอย่างกับเป็นสีหน้าปกติของเธอไปแล้ว

ตอนนี้เธอตื่นเต็มตาแล้ว สลัดความง่วงออกจากหัวสมองหล่นหายไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ อาจจะเป็นตั้งแต่ตอนลืมตาขึ้นมาแล้วพบใบหน้าคมอยู่แค่คืบ ตะลึงงันรับสัมผัสนุ่นนวลนั้นโดยไม่อาจต่อต้าน กว่าจะรู้ตัวว่ากำลังเผชิญสถานการณ์ล่อแหลมก็ถูกลักเอาจูบแรกไปเสียแล้ว

อะไรก็ไม่น่าอายเท่ากับว่ามีคนร่วมเห็นเหตุการณ์ด้วยนี่สิ โดยเฉพาะคนที่เห็นไม่ใช่ใครอื่นเลย คนในบ้านเห็นกันมาแต่อ้อนแต่ออก มารดาเธอนั่นเอง

‘คุณป้า!’

‘แม่!’

ทั้งที่ในใจคิดว่าตะโกนไปเสียงดัง แต่กลับได้ยินแค่สองเสียงกระซิบประสานกัน มองไปหน้าประตูเป็นตาเดียว เหมือนกระจกสะท้อน คุณกังสดาลและสาวใช้ที่ถือถาดผ้าขนหนูผืนเล็กกับโคโลญหอมเย็นมา แล้วทำหล่นโครมจนสองหนุ่มสาวรับรู้การมาของอีกฝ่ายก็มองมาตาเบิกโตเช่นเดียวกัน

‘อุ๊ย!ขอโทษค่ะ’ แม่สาวใช้ร้องอุทาน

‘หนูนิ!’ เสียงนี้เป็นของคุณกัสดาล

เหมือนว่าแม่สาวใช้จะรู้หน้าที่ตัวเองดีหรือเป็นเพราะสังเกตเห็นอาการหนีลงรูของเจ้านายคนเล็กของบ้านก็ไม่รู้ จึงรีบก้มหน้างุดเก็บข้าวของที่ตัวทำหล่นเกลื่อนกลาด ย่องแวบออกไปโดยไว แต่ก็ไม่วายหันมาแอบมองนิดๆ

นิศากรกระถดตัวเลื้อยลงจากหมอนสีขาวสะอาดพร้อมกับดึงผ้าห่มมาคลุมหัว ขดตัวกลมอยู่ใต้ผ้านวมผืนหนา อายจนแทบอยากฝังตัวลงไปในฟูกให้รู้แล้วรู้รอด หรือหลุดลงไปใต้เตียงได้เลยยิ่งดี

จะบ้าตาย นี่มันอะไรกันเนี่ย เกิดอะไรขึ้น น่าอายที่สุดเลย

นิศากรตีอกชกหัวอยู่ใต้ผ้าห่ม ก่อนได้ยินเสียงทุ้มตะกุกตะกักเรียกคุณกังสดาลเสียงอ่อย ถ้าหากหญิงสาวจะกล้าโผล่หัวออกมาดูภายนอก ก็จะได้เห็นคุณสุภาพบุรุษแทบจะทุกกระเบียดนิ้วหน้าเฝื่อน โหนกแก้มแดงซ่าน กุมขมับอยู่ไม่ไกลเลย

‘เอ่อ...คุณป้า คือ ผม...เฮ้อ!’ อยากพูดแต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไร จะแก้ตัวอะไรได้ สุดท้ายเลยได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่

ทำรุ่มร่ามกับลูกสาวเขาอย่างนั้น แถมยังในบ้านเขาอีกด้วย เวรกรรมแท้ๆ

‘ว่าไงจ๊ะ จะแก้ตัวว่ายังไงก็ว่ามา’ น้ำเสียงเรียบกับสายตมคมดุในทีจากหญิงสูงวัยเทียบเท่ามารดา เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็น และมันก็ทำให้เขาหวั่นเกรงไม่น้อยเลย

‘เอ่อ’

‘ลูกป้ามีเสน่ห์จนอดใจไม่ไหวเลยหรือ’ คุณกังสดาลถามอย่างนั้น หากเป็นเวลาปกติคงเป็นเรื่องชวนหัว แต่ใบหน้าดุกับน้ำเสียงเรียบทำให้รู้ว่าไม่ขำ

ใช่ บ้าไปแล้วแน่ๆเลย สติสตังเขามันหนีหายไปไหนซะหมดกันนะ ถึงได้ทำอะไรแบบนั้นได้ แอบขโมยจูบผู้หญิง!

‘ขอโทษครับ’ ภูดิสยอมรับผิดแต่โดยดี แต่คุณกังสดาลกลับตอบเสียงสะบัดมาอย่างเอาเรื่อง

‘แค่นั้นไม่หายหรอก ลูกสาวป้าไม่ใช่ของข้างทาง จะได้ให้ใครมาหยิบมาแตะได้ง่ายๆ’

‘ผมไม่ได้เห็นหนูนิเป็นอย่างนั้นนะครับ’ ชายหนุ่มแก้อย่างร้อนรน เขาไม่ได้คิดอย่างนั้น ไม่เคยคิด และจะไม่คิดด้วย สุภาพสตรีไม่ว่าจะเป็นคนไหน อาชีพใด ก็ไม่ควรได้รับการปฏิบัติแบบนั้น เป็นผู้ชายควรให้เกียรติผู้หญิง คุณลักษิกาพร่ำสอนมาตั้งแต่เด็ก

‘แต่ภูทำกับลูกสาวป้าเหมือนอย่างนั้นนี่ ไม่ได้คบหากันฉันท์คนรักเสียหน่อย จะได้กอดจูบกันได้ คนอื่นรู้เข้าเขาจะคิดยังไงกัน’

ใช่เลย การกระทำที่ไม่ได้ตั้งใจ เพราะความเผลอไผลโดยแท้ ส่งผลเสียรุนแรงไปถึงหญิงสาวด้วย คนภายนอกจะมองไม่ดีถึงเพียงไหน ใครจะรู้ ปากคนช่างเสริมต่อมีมากมายนัก ทั้งที่ความจริงเธอไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย

คิ้วเข้มขมวดมุ่น ตีหน้ากังวลและเสียใจระคนกัน เมื่อถูกสะกิดให้เห็นผลร้ายที่อาจเกิดขึ้นได้

‘หวังว่านี่คงเป็นครั้งแรก ใช่ไหม’ คุณกังดาลเอ่ยถามอย่างคลางแคลง

‘แม่!’ นิศากรร้องเสียงดัง โผล่หน้าอมชมพูออกมาจากผ้าห่ม ‘หนูเป็นกุลสตรีนะ ถามงี้ได้ไง’

‘จะไปรู้เรอะ อยู่กันข้างนอกได้เห็นกับตาอย่างอยู่ในบ้านเสียเมื่อไหร่’ คุณกังสดาลปรายตามองลูกสาวตอนเน้นคำ เห็นกับตา ลูกสาวคนเดียวหน้ามุ่ยมุดกลับเข้าผ้านวม ส่งเสียงกระเง้ากระงอดลอดออกมา

‘ผมไม่เคยนะครับ อย่างมากสุดก็แค่...’ เว้นคำสุดท้ายไว้ให้สังสัยซะอย่างนั้น

‘แค่อะไร สารภาพมาเดี๋ยวนี้’ คุณกังสดาลเค้นต่อทันควัน

‘เอ่อ...จับมือ’ ชายหนุ่มหน้าเจื่อน จะแค่ไหนยังไงซะก่อนล่วงเกินลูกสาวเค้าวันยังค่ำ คุณกังสดาลมองค้อน

‘ถึงจะแค่ไหนก็ไม่ควร คนอื่นเขาเห็นก็เข้าผิดกันไปหมด เก็บไปนินทากันสนุกปาก ดูอย่างครั้งก่อนนั่นปะไร แค่คุยกันสองต่อสองยังได้ลงหนังสือพิมพ์ว่าเป็นรักสามเศร้าสี่เศร้า’

คนพูดพาดพิงถึงเรื่องเมื่อครั้งกระโน้น นักข่าวจับเอาภาพสองหนุ่มสองที่ท่าน้ำในวันเลี้ยงต้อนรับเล็กๆสำหรับนิศากร นำมาตีแสกหน้าเสียดสีนางร้ายสาวว่าถึงคราวแห้วรับประทาน นักธุรกิจหนุ่มเปลี่ยนใจไปหาลูกสาวไฮโซ

‘เสียหายกันหมด ถ้ามันมีเค้าความจริงบ้างจะไม่ว่าเลยเชียว แล้วนี่อะไร ถึงขั้นกอดจูบทั้งที่ไม่ได้เป็นอะไรกันได้ยังไง ไม่ถูกต้องเอาเสียเลย ลูกสาวน้าเสียหายอย่างนี้แล้วจะทำยังไงกันล่ะเนี่ย’

คนพูดถอนหายใจกลัดกลุ้มหนักหนา ก่อนเปลี่ยนสีหน้าพร้อมประโยคบอกใบ้หนทางแก้ไขความผิดอย่างที่ต้องการให้ลูกชายเพื่อน

‘ถ้าจะรักจะชอบกันจริงจังก็ไม่ได้มีใครขัดขวางอะไรอยู่แล้ว แค่บอกกล่าว แล้วทำให้มันเป็นเรื่องเป็นราวไป ขออนุญาตผู้ใหญ่เสียหน่อย เวลาใครถามจะได้บอกเขาให้ชัดเจนไปได้’

ภูดิสมองคุณกังสดาลอย่างค้นหา ช่วงท้ายเป็นคำพูดส่อนัยบางอย่าง สอดคล้องกับหน้าตามีเลศนัย ภูดิสเข้าใจได้ รับรู้ถึงโอกาสที่หญิงสูงวัยกำลังมอบให้ เพียงแค่บอก เขาจะได้ แค่หยิบฉวยมันไว้ ไม่มีใครขัดขวางอยู่แล้ว โอกาสที่จะช่วยขยับสถานภาพระหว่างเขาและเธอให้ใกล้ชิดกว่าเดิม โอกาสที่จะได้อยู่ใกล้โดยไม่ต้องหาข้ออ้างใดๆอีกต่อไป นอกจากหัวใจ ใช่ ความรู้สึกภายในหัวใจ สองหัวใจที่รู้ดีว่าต้องการต้องการอะไร แต่เพราะอุปสรรคที่ใครคนหนึ่งสร้างไว้ เป็นเหมือนหนามที่ผุดขึ้นมาทิ่มแทงระหว่างทางเดิน โดนเข้าหนึ่งทีก็หักออกหนึ่งที แต่เมื่อโดนซ้ำเข้าอีก จึงเกิดความลังเลที่จะก้าวต่อไป ด้วยกลัวว่าจะเจ็บซ้ำตรงที่เก่า สองใจจึงยังห่างกัน แต่ครั้งนี้แหละ โอกาสนี้แหละที่เป็นเหมือนสะพานทอดไปเหนือขวากหนามนั้น ทางลัด! หรือจะเรียกว่า รวบลัด ก็คงจะได้ละมั้ง

‘ถ้าอย่างนั้น ผมขออนุญาต คบกับหนูนิครับ’ เสียงทุ้มเอ่ยมั่นคง นักธุรกิจอย่างเขา มีหรือจะปล่อยให้โอกาสงามๆผ่านไปโดยไม่ตะครุบไว้

‘หา!!!’ มือบางสลัดผ้าห่มออก ดีดตัวขึ้นจากท่าขดตัวกลมเหมือนกระต่ายในรู มองตะลึงอย่างไม่อยากเชื่อหู

‘แน่ใจหรือ’ คุณกังสดาลถามย้ำ แน่ใจในเรื่องใด คนถูกถามรู้ได้ดี

‘แน่ใจครับ’ เขาส่งสายตาและน้ำเสียงแน่วแน่ไปถึงคนถาม เขาแน่ใจว่าว่าต้องการอย่างนั้น แน่ใจว่ารักว่าชอบ แน่ใจว่าจะดูแลอย่างดี หญิงสูงวัยยิ้มหน้าชื่น สมใจ ก่อนตอบง่ายๆว่า

‘อนุญาตจ๊ะ’

‘ขอบคุณมากครับ’ ภูดิสยิ้มกว้างอย่างยินดี ประกายตาระยับ

‘ดีจัง ได้คนดีๆมาช่วยดูแลหนูนิเพิ่มอีกคน ป้าก็ค่อยวางใจ’

นาฬิกาส่งเสียงเตือนถึงเวลาที่ล่วงเลยไปแต่ละชั่วโมง ชายหนุ่มชำเลืองมองเห็นว่าเลยเวลาอันสมควรมานานแล้ว จึงขอตัวกลับ คุณกังสดาลเดินนำออกไปก่อน เปิดโอกาสเล็กน้อยให้เขาได้ล่ำลาลูกสาวที่นั่งอ้าปากหวอ ยังงงันไม่เลิกรา

‘พี่กลับก่อนนะครับ ฝันดีนะหนูนิ ฝันถึงพี่บ้างก็ดี’ มือน้อยถูกคว้าไปจุมพิตเบาๆ ดวงตากลมสบตาคมหวานชวนหวั่นไหวก่อนจากไป ทิ้งรอยอุ่นซ่านไว้ตรงหลังมือแล่นไปถึงใบหน้านวลจนเป็นสีชมพู


-----------โปรดติดตามตอนต่อไป-------------


//punnarm-farin.bloggang.com


*;...คุยกันนิดหน่อยกับฟ้าริน...;*

ครึ่งแรกอีกแล้ว ขอโทษด้วยค่ะที่มาครึ่งๆกลางๆอย่างนี้เป็นครั้งที่สอง เนื่องเพราะรายงานnovelและหนังสืออ่านนอกเวลาที่ Guy de Maupassant เขียน ดันเป็นโรคประสาทหลอนตอนเขียน ทำเอาฟ้ารินมึนไปเลย แต่ทำไงได้ มันสอบนี่นา ต้องทนตะเกียกตะกายอ่านให้จบ สู้ๆๆๆๆ สูดหายใจเข้าลึกลึ้ก ทุกคนเป็นกำลังใจให้ฟ้ารินด้วย จะสอบอีกแล้ว อ๊ากกกกกกกกกกกกกก






Create Date : 21 กันยายน 2550
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2551 17:57:17 น.
Counter : 261 Pageviews.

7 comment
จัดรักให้ลงล็อค บทที่21




บทที่ 21

นิศากรตะลึงตัวแข็งอยู่หลังพวงมาลัย ตากลมเบิกกว้าง แสงไฟที่สาดส่องจ้ามาจากรถอีกคันที่สวนทางเข้ามา หญิงสาวเบรกตัวโก่ง ตกตะลึงกับภาพและแสงจัดจ้าที่เพิ่งผ่านตา เสียงโลหะหนากระทบกันอย่างแรงดังก้อง แพรพรรณกระเด้งกระดอนไม่ติดเบาะ โชคดีที่คาดเข็ดขัดนิรภัย มันจึงช่วยดึงรั้งร่างเล็กให้ไม่เคลื่อนไปกระทบคอนโซลหน้ารถได้ แรงกระชากนั้นจะทำให้เธอตื่นจากการหลับไหลหรือไม่ นิศากรไม่รู้ เพราะหลังจากนั้นสติของเธอดำดิ่งลงสู้ห้วงนิทราอันมืดมน

ช่วงหนึ่งที่เธอรู้สึกตัว ตากระพริบปรือเปิดขึ้นเล็กน้อยแล้วหลับลงอีก หูแว่วเสียงไซเรนดังก้องและเสียงอะไรอีกสารพัดอย่างหญิงสาวไม่อาจจำแนกได้ แต่หนึ่งในนั้น คือเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์เครื่องจิ๋วของเธอเอง นิศากรจำได้ อยากเอื้อมมือไปควานหาแต่ไม่สามารถทำได้ เพราะท่อนแขนมันหนักอึ้งเกินไป เสียงนั้นยังร้องระงมอีกชั่วครู่แล้วหายไป จากนั้นเธอรู้สึกโหวงเหวงดังตัวลอยอยู่ในอากาศ แล้วสติก็ดำดิ่งลงสู่ความดำมืดอีกครั้ง



ฝีเท้ายาวๆก้าวเร็วถี่รัวไปตลอดทางที่ซึ่งมีผู้คนมากมาย สถานที่สีขาว รวมถึงเจ้าหน้าที่ที่เดินกันขวักไขว่ก็ล้วนแต่งด้วยสีขาว

โรงพยาบาล

สองหนุ่มเดินเร็วเกือบเป็นวิ่ง มองหาส่วนที่หญิงสาวทั้งสองควรจะอยู่ หางตาของทั้งสองแวบเห็นหญิงคนหนึ่งบนรถเข็นนอนที่ถูกเข็นเข้าห้องฉุกเฉินอย่างรวดเร็ว เธอคนนั้นมีเลือดเต็มกายทั้งหน้าตาและแขนขา ดูน่ากลัวเสียดความรู้สึกยิ่งนัก เดาเอาว่าคงไม่พ้นอุบัติเหตุที่ทุกวันนี้เกิดขึ้นแทบทุกนาที หากคำนวณดูแล้ววันๆนึงจะมีคนไข้ประเภทนี้ซักกี่ราย เหยื่ออุบัติเหตุกี่สิบคนต่อวัน เพราะความประมาท ขาดสติแท้ๆ จึงได้เกิดเหตุน่าเศร้าสลดแบบนี้

ภูดิสและธเนศสบตากัน ภาวนาอย่าให้สองสาวที่เป็นคนไข้ของโรงพยาบาลแห่งนี้ต้องมีสภาพเช่นนั้นเลย แรงชนิดหนึ่งบีบหัวใจอย่างแรง ความห่วงกังวลเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ ภาพเมื่อครู่ชวนให้คิดไปในทางร้าย เสียงไซเรนที่เร่งเร้าจากรถฉุกเฉินทึคงจะแล่นอย่างแรงเข้ามาส่งผู้ป่วยให้ถึงมือหมอให้ได้เร็วที่สุด เพื่อต่อชีวิตให้ผู้บาดเจ็บเร็วที่สุด ดุจท่อนฟืนที่เติมเข้าไปภายในหัวใจที่ระอุดุจเตาไฟด้วยความเป็นห่วง

สองหนุ่มสลัดภาพอันน่ากลัวใดๆก็ตามในความคิดออก ตรงไปเคาน์เตอร์สอบถาม แจ้งชื่อสองสาว รอคอยอย่างการค้นหาอย่างใจจดใจจ่อ ร้องขอคุณพระคุณเจ้าให้เจ้าหน้าที่แจ้งกลับมาว่าสองสาวไม่ได้อยู่ในอาการสาหัสจนต้องให้เขาทั้งสองตามไปห้องฉุกเฉินดังที่ใครคนหนึ่งที่รับโทรศัทพ์ของนิศากรบอกเขาให้วางใจได้ระดับหนึ่ง

‘คุณผู้หญิงไม่ได้สติ เราจำเป็นต้องพาไปโรงพยาบาลก่อน ยังไงคุณตามไปที่นั่นเลยก็แล้วกันครับ แต่ดูเบื้องต้นแล้วไม่น่าห่วงอะไร มีเพียงบาดแผลฟกช้ำเล็กน้อยครับ’

แม้ประโยคสุดท้ายจะทำให้ใจมา แต่คำว่า ไม่ได้สติ ยังมีผลให้กังวลไม่คลาย ยังไงก็ต้องได้รับการตรวจและยืนยันจากแพทย์ว่าปลอดภัยเสียก่อน

“ว่ายังไงครับ” เสียงห้าวเร่งเร้า เวลาชั่วนาทีเหมือนนานจนไม่อาจรอ ธเนศเป็นฝ่ายแย่งถามเสียก่อน ยัยเปี๊ยกจะเจ็บตรงไหนบ้างรึเปล่า อย่าเป็นอะไรเลยนะ ขอร้อง ขออย่าให้เป็นอะไรเลย สาธุ เขาอธิษฐานในใจ ตลอดเส้นทางที่มา

ภูดิสก็ไม่ต่างกัน ตลอดทางที่ขับรถ เขาต้องใช้ความพยายามอย่างมาก ไม่ให้เหยียบคันเร่งจนสุดอย่างที่ใจอยากให้เป็น เพราะการจราจรแถบนั้นไม่เอื้ออำนวย ซ้ำเขายังไม่อยากให้มีอะไรก็ตามที่อาจบั่นทอนเวลาที่จะมาถึงที่นี่ให้เร็วที่สุด ความห่วงกังวลมีเป็นสองเท่าของคนนั่งข้าง แต่ก็มีสติเป็นสองเท่าของเพื่อนเช่นกัน

ธเนศหูอื้อตั้งแต่ได้ยินคำว่า อุบัติเหตุ ภูดิสเข้าใจได้ดี เพื่อนเขาหน้าซีด ตกประหม่าจนไม่อาจทำอะไร เหตุการณ์ร้ายๆในอดีตคงตีย้อนเข้ามาเป็นระลอก คุณลักษิกาเช่นกัน ถึงกับเข่าอ่อนด้วยความตกใจ ลูกสาวของตนและเพื่อนตกอยู่ในอันตราย แม้ได้รับคำปลอบใจก็ยังคงห่วง ธเนศตามติดมาขึ้นรถ สองมือกำแน่นเข้าหากันตลอดเวลา



เมื่อได้รับคำตอบจากเจ้าหน้าที่ ธเนศวิ่งไปก่อนคนเป็นพี่ชายเสียอีก ห้องผู้ป่วยห้องใหญ่ สองหนุ่มสอดส่ายหาร่างสองสาวในห้วงคำนึง

“นั่นไง อยู่นั่น” ธเนศเสียงสั่นขณะร้องบอกเพื่อน ภูดิสเร่งฝีเท้าเข้าไปทันที แต่คนร้องบอกกลับไม่ขยับเขยื้อน มองตามหลังเพื่อนไปด้วยใจระทึก ภูดิสไม่ทันมอง เขาตรงเข้าสำรวจร่างน้องสาวและนิศากรซึ่งนอนอยู่เตียงข้างกันทันที

“ญาติหรือคะ” พยาบาลร่างอวบ ถามชายหนุ่ม

“ครับ อาการเป็นยังไงบ้างครับ มีอะไรร้ายแรงรึเปล่า”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แค่ฟกช้ำเล็กน้อย”

“คงยังไม่สร่าง อีกเดี๋ยวก็หายค่ะ ญาติไม่ต้องกังวลนะคะ” พยาบาลร่างอวบยิ้มขำๆพลางชี้ไปที่แพรพรรณ ซึ่งขณะนี้ตาปรือเปิดนิดๆ ส่ายหน้าไปมา

ภูดิสเลิกคิ้วน้อยๆก่อนทำความเข้าใจถึงต้นสายปลายเหตุอาการน้องสาวแล้วส่ายหน้า ผ่อนลมหายใจหนักหน่วง ทรุดตัวลงนั่งบนเตียงน้องสาวมองอย่างหมั่นเขี้ยว สร่างเมื่อไหร่จะขอไม้เรียวที่แม่เก็บไว้มาตีสักป๊าบ

หมดห่วงไปคนนึงแล้วแต่อีกคนที่ทอดร่างบนเตียงสีขาวอีกเตียงนี่สิ เขาแน่ใจว่าเจ้าหล่อนไม่ได้มีอาการมึนเมาเช่นน้องสาวของเขาแม้แต่น้อย เพราะก่อนที่เขาจะไม่สามารถติดต่อเธอได้ นิศากรยังคงพูดคุยผ่านโทรศัพท์ได้อย่างดี

“แล้วทำไมถึงได้นอนอย่างนี้ล่ะครับ” เขาถามด้วยความกังวลสงสัย หากเป็นแค่นั้น เหตุใดจึงไม่ได้สติ

“คนจะตกใจจนสลบไปน่ะค่ะ คุณหมอบอกว่าอีกไม่นานก็ฟื้นค่ะ”

ภูดิสพยักหน้าเข้าใจ อีกไม่นานก็ฟื้น ต้องรอให้เธอฟื้น ระหว่างนี้ภูดิสจึงสำรวจตามเนื้อตัวของนิศากร ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงเช่นเดียวกับน้องสาวเขา แต่แล้วคิ้วขมวดมุ่นเมื่อเห็นพลาสเตอร์ปิดแผลอันเล็กบนหน้าผากหญิงสาว

“นี่...”

“แค่แผลเล็กๆน่ะค่ะ เลือดออกนิดหน่อย ไม่กี่วันก็หาย” พยาบาลร่างอวบรอตอบคำถามอยู่แล้วแทรกขึ้น มองหน้าชายหนุ่มที่ยังคงยุ่งด้วยความกังวล

นิ้วยาวเกลี่ยผมที่ปรกหน้าผากหญิงสาวออก แตะเบาๆใกล้กับพลาสเตอร์นั้น ปราถนาในใจอยากให้ตัวเองมีมนตร์วิเศษ ช่วยปัดเป่าความเจ็บปวดได้ เพื่อลบรอยแผลนี้ให้หายไปก่อนความเจ็บปวดจะมาเยือนยามที่นิศากรฟื้นคืนสติขึ้นมา

ฝีเท้าก้าวเข้ามาเบาๆ ทำให้เขาเงยหน้าขึ้นมามอง หนุ่มผิวน้ำผึ้งหน้าซีดเซียว จ้องมองสองร่างบนเตียงสลับกันไปมา อดีตทำให้ใจเขาหวาดหวั่น กลัวแสนกลัว ภาพหญิงสาวที่นอนนิ่งทั้งสอง ช่างเหมือนกับภาพของมารดาเขายิ่งนัก มารดาที่ลาจากไปเกือบจะพร้อมกับทุกคนในครอบครัว หลังอุบัติเหตุครั้งใหญ่ที่พรากเอาน้อง พ่อ แม่ และพี่ชายของธเนศไปอย่างไม่มีวันกลับ

“ไม่เป็นไรใช่ไหม ภู ไม่มีใครเป็นอะไรใช่ไหม” เสียงห้าวสั่นระริก สองมือกำแน่น กลัวคำตอบ แม้จะเห็นแล้วว่าสองสาวไม่ได้เจ็บหนักตรงไหน แต่ก็กลัว

“ใจเย็นๆธเนศ ไม่มีใครเป็นอะไร” ภูดิสปลอบโยน เขารู้ดีถึงสาเหตุอาการของเพื่อน วางมือบนไหล่หนาบีบกระชับให้ความมั่นใจแก่เขา

“แน่นะ ไม่เป็นไรแน่นะ” ยังถามย้ำ ไม่อาจแน่ใจได้เต็มร้อย

“แน่สิ”

“แล้วทำไมยังนอนอย่างนี้ล่ะ ไม่เป็นไรต้องลุกขึ้นมาแล้วสิ” ความกลัวแล่นเข้าจับจิด แม่ของเขาก็นอนอย่างนี้ ก่อนจากไป ทิ้งเขาไว้เพียงคนเดียว

“เดี๋ยวก็ฟื้น แกใจเย็นๆ ไม่เป็นอย่างที่แกกลัวหรอก”

“ไม่จริงหรอก เป็น...ไม่อย่างนั้น ยัยเปี๊ยกต้องลุกมาโวยเสียงแปร๋นแล้ว นี่ยังนอนไม่ขยับเลย” ธเนศมองแพรพรรณที่นอนนิ่ง หายใจติดขัด สับสนจนทำอะไรไม่ถูก

“ไม่เป็นไรจริงๆ ยัยแพรเมาหลับไปเท่านั้นเอง พยาบาลบอกเมื่อกี้นี้” ภูดิสชี้แจงอย่างหนักใจ ประสบการณ์ร้ายๆของธเนศ ทำให้เพื่อนเขาหวาดกลัวจะซ้ำรอยเดิม เขารู้ธเนศห่วงใยแพรพรรณดังน้องสาวคนหนึ่งเช่นเดียวกัน

“ไม่เชื่อก็ปลุกมาถามดูสิ แพร แพร ตื่นสิ” ภูดิสท้าแล้วเขย่าตัวน้องสาวเรียกให้ตื่น แพรพรรณปรือตาเปิดนิดๆ ร้องอืออาด้วยน้ำเสียงรำคาญที่ถูกปลุกจากนิทรารมณ์

“ยัยเปี๊ยก...ยัยเปี๊ยก” ธเนศลองเรียกดูบ้าง แพรพรรณยกมือขึ้นปิดหู ไม่อยากให้เสียงเรียกนั้นรบกวนเธออีก แต่ธเนศยังเรียกซ้ำอีกหลายครั้ง จนเจ้าของชื่ออารมณ์เสีย ส่งเสียงแหวออกมาทั้งที่ยังไม่ลืมตา

“ฮื้อ เรียกอยู่ได้น่ารำคาญ” แล้วก็รู้สึกว่าร่างตัวเองลอยหวือไปปะทะอะไรบางอย่างเข้า บางอย่างที่อบอุ่นและมีเสียงดังตึกตักเป็นจังหวะ สองแขนเข็งแรงโอบกระชับร่างเล็กของแพรพรรรณไว้ ดีใจและโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก น้ำตาซึมจากกระบอกตาชายหนุ่ม ยินดีสุดจบรรยาย อุบัติเหตุครั้งนี้ไม่สามารถพรากใครไปจากเขาได้

“ไม่เป็นไรใช่ไหม เจ็บตรงไหนรึเปล่ายัยเปี๊ยก บอกสิ” เสียงห้าวดังข้างหู แพรพรรณลืมตาขึ้นอย่างยากเย็น พร้อมอาการปวดหัวจี๊ดจึงส่งเสียงครางอ่อย

“โอ๊ย ปวดหัวจังเลย”

“ฮึ สมน้ำหน้า ริอ่านกินเหล้าดีนัก” ภูดิสว่าเข้าให้ ถ้าอยู่ที่บ้านล่ะก็ เป็นโดนตีแน่ๆ ถึงจะโตเป็นสาวแล้ว พี่ชายอย่างเขาก็ไม่มีความคิดจะปล่อยให้น้องสาวหรือผู้หญิงคนไหนดื่มจนเมามายอย่างนี้

“ใครอ่ะ เสียงคุ้นๆ” เมื่อถูกต่อว่าแกมซ้ำเติมก็ดวยทันที ดันตัวออกห่าง เพ่งมองไปทางต้นเสียง สะอึกดังอึ๊กเมื่อพบหน้าคนคุ้นเคยกันมาแต่ยังแบเบาะยืนกอดอกหน้าดุ ตาเข้ม “พี่ภูน่ะเอง ที่นี่ที่ไหนเหรอ”

“โรงพยาบาล” เสียงทุ้มตอบนิ่งๆ แพรพรรณมองไปรอบด้าน ยกมือเกาหัวงงๆ

“มาทำอะไรที่นี่ล่ะ ใครเป็นอะไรเหรอ” คำถามนั้นทำเอาพี่ชายถอนใจเฮือก อยากซัดซักป๊าบเดี๋ยวนี้ ค่าที่เมาจนไม่รู้ความอะไรเลย เกิดอุบัติเหตุขนาดนั้นยังมาถามหน้าเอ๋อว่ามาทำอะไรที่นี่

“รถปีนขึ้นไปบนฟุตบาทข้างทาง ดีที่ไม่เป็นอะไรมาก” เขาบอกน้องสาวตามที่ได้ยินมาจากเจ้าหน้าที่คนที่รับโทรศัพท์ของนิศากร

“หา!!!” แพรพรรณตาโตร้องอุทาน “จริงเหรอ แล้วหนูนิล่ะ” ร่างเล็กโดดลงจากเตียงทันควัน ตั้งตัวไม่ได้เพราะยังมึนจากฤทธิ์แอลลกอฮอล์เลยร่วงแปะลงไป

“ยัยเปี๊ยก! เจ็บไหม โธ่เอ๊ย ใครใช้ให้ลุกพรวดพราดอย่างนั้นเล่า” ธเนศถลันเข้าไปดู บ่นน้องสาวเพื่อนหน้ายู่แต่ฟังดูก็รู้ว่าน้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความห่วงใย แขนแข็งแรงช่วยประคองให้ร่างเล็กลุกขึ้น

“นายดำ เจ็บจัง อ๋า...เขียวปื๋อเลย” แพรพรรณกุมหัวเข่าป้อยๆเลิกกระโปรงขึ้นมาดูก็พบรอยช้ำเป็นดวงสีเขียว ทำปากเบะร้องลั่น

“จริงด้วย โอ๋ ไม่ร้องนะยัยเปี๊ยก พยาบาลครับทางนี้ครับ ขอยาให้น้องผมหน่อย” ธเนศร้องเรียกหายาให้แพรพรรณทันที ภูดิสส่ายหน้ากุมขมับกับความวุ่นวายของเพื่อนและน้องสาว ถึงจะเข้าใจอารมณ์เพื่อนว่ากำลังสติแตกเล็กน้อย ก็อดเวียนหัวไม่ได้

“โอย...” เสียงครางเบาๆข้างตัวเรียกความสนใจจากภูดิสให้หันกลับไปทันควัน ใบหน้านวลใสส่ายไปมา ลืมตาขึ้นช้าๆแล้วกระพริบปริบๆปรับให้รับแสงสว่างได้ เป็นสัญญาณว่าหญิงสาวได้สติแล้ว รอยยิ้มอ่อนโยนแต้มบนหน้าคมอย่างยินดี

“หนูนิครับ เป็นยังไงบ้าง”

“อืม พี่ภู” ร่างบางยันตัวขึ้นอย่างยากเย็น ภูดิสจึงช่วยประคองจนทรงตัวขึ้นนั่งได้ ตัวเขานั่งบนเตียงเคียงข้างนิศากร คว้ามือเธอไว้เมื่อเธอจะแตะไปทางพลาสเตอร์บนหน้าผากตัวเอง

“อย่าครับ ยิ่งไปโดนจะยิ่งเจ็บนะ หนูนิหัวแตกแต่นิดเดียว ไม่กี่วันก็หายแล้ว” หญิงสาวพยักหน้า มองไปรอบกายงงๆ อาการเดียวกับแพรพรรณเมื่อครู่

“หนูนิอยู่ที่โรงพยาบาลครับ รถปีนขึ้นไปบนฟุตบาท เกิดอะไรขึ้นครับ”

“ใช่ มีผู้ชายสี่คนขับรถตามมา ท่าทางน่ากลัว นิเลยขับรถหนี แล้วก็มีรถสวนทางมา ชนกับรถคันนั้น นิตกใจ รถเลยเสียหลัก แพร แพรล่ะคะพี่ภู แพรเป็นอะไรรึเปล่า” เสียงดังสนั่นลั่นยังติดอยู่ในโสตประสาท รถยนตร์สองคันประสานงากันอย่างแรง ใครจะเป็นอย่างไรบ้างเธอไม่รู้ เพราะความตกใจจึงเบี่ยงรถหลบจนปีนขึ้นไปข้างทาง ท้ายประโยคกังวลถึงเพื่อนสาวที่ร่วมทางมาด้วย

“ไม่เป็นไรหรอก อยู่นั่นแน่ะ” เขาเบี่ยงตัวเปิดทาง ให้เห็นอีกสองคนบนเตียงข้างๆ ธเนศชะโงกหน้าดูการปฏิบัติงานของนางพยาบาลสาว กำลังทายาอย่างเบามือที่สุด แต่ก็ไม่วายทำให้แพรพรรณสะดุ้งเมื่อต้องนวดคลึงตัวยาลงลนรอยฟกช้ำที่ถูกกระแทกซ้ำเข้าไปรอยเดิม ธเนศเลยแย่งหน้าที่นั้นเสียเอง

“หนูนิ เป็นไงบ้าง” แพรพรรณส่งเสียงข้ามมา “อุ๊ย โอ๊ย เบาๆสินายดำ” มือเล็กฟาดลงบนไหล่หนาดังเพี๊ยะ น่าแปลกที่ไม่มีการตอบโต้จากหนุ่มผิวน้ำผึ้งเหมือนปกติ นอกจากเสียงห้าวที่ร้อนรน และพยายามทำตามที่แพรพรรณบอกอย่างตั้งใจมากกว่าเดิม

“ฉันขอโทษนะ โอเค เบาๆ”

นิศากรมองภาพนั้นอย่างประหลาดใจ ส่วนอีกคนก็ส่งเสียงขลุหขลักในลำคอพลางส่ายหน้า ถ้าไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้จนธเนศสติแตก เขาไม่อยากเชื่อว่าธเนศจะยอมทำอะไรแบบนี้เลยจริงๆ ปกติมีแต่จะเถียงกันจนน่าปวดหัว แสบแก้วหู



ภูดิสทำหน้าที่ขับรถตามเคย แต่คราวนี้มีสมาชิกมาเพิ่มอีกสองคน รถแล่นช้าลงกว่าตอนขามาเกือบครึ่ง แม้ถนนจะโล่งว่างแทบไม่มีเพื่อนร่วมทาง สองสาวผู้ร่วมเดินทางหลับสนิทไปอีกรอบแล้ว ไม่แปลกเพราะขณะนี้เป็นเวลาดึกมากแล้ว และยิ่งเหนื่อยจากเหตุการณ์ร้ายมาด้วยแล้ว ร่างกายคงยิ่งต้องการพักผ่อนมากกว่าเดิม

ที่นั่งตอนหลัง ธเนศจับตัวแพรพรรณที่นอนซุกหัวเข้าหาประตู ตัวงอ ดูท่าจะไม่สบายนักให้เอนมานอนลงบนตักเขา ถอดเสื้อนอกตัวเองห่มให้ร่างเล็ก ลูบผมนิ่มๆเป็นลอนสวยคล้ายกล่อมเด็กตัวเล็กๆ

ขณะที่รถติดไฟแดง ภูดิสคว้าเสื้อแจ๊กเก็ตที่ทิ้งไว้บนรถมาคลุมให้นิศากรที่นิ่งอยู่เบาะหน้าข้างคนขับ นิศากรห่อไหล่ด้วยความหนาว เขาจึงลดความเย็นในรถให้อุณหภูมิไม่หนาวเกินไป เอื้อมตัวไปปรับเอนเบาะหญิงสาวเอนลงเล็กน้อยให้เธอนอนสบายขึ้น กลิ่นหอมอ่อนๆจากกายเธอโชยมาแตะจมูกยามใกล้ชิด ภูดิสแอบสูดหายใจเข้าอย่างอดใจไม่ไหวแล้วรีบถอนตัวจากมา



รถยนตร์คันหรูแล่นเข้ามาในตัวบ้านใหญ่ที่แม้จะเป็นเวลาค่อนดึกแล้ว แต่ไฟยังคงเปิดสว่างไสว เพราะนายหญิงของบ้านยังรอคอยลูกสาวด้วยความห่วงกังวล แม้จะได้รับคำยืนยันจากลูกชายเพื่อนว่าลูกสาวไม่เป็นไรมากแล้วก็ตาม

คุณกังสดาลผุดลุกขึ้นทันทีที่ได้ยินเสียงรถ รีบเร่งออกมารับลูกสาวที่หน้าบ้านพร้อมกับสมาชิกในบ้านอีกหลายคนที่ได้รู้ข่าว ต่างแห่แหนกันมาจดจ่อรอคอยนายเล็กของบ้าน

ภูดิสเปิดประตูฝั่งที่นั่งข้างคนขับให้คุณกังสดาลได้เข้าไปดูลูกสาวที่นอนหลับไหลไม่ยอมตื่น หัวใจคนเป็นแม่แทบขาดและร้อนรุ่มดังไฟสุมเมื่อได้ยินข่าวร้ายของลูกสาวคนเดียว บัดนี้เหมือนมีคนเอาน้ำมาดับไฟนั้นให้มอดลงแล้ว เมื่อเห็นกับตาชัดเจนว่าลูกสาวไม่ได้เจ็บร้ายแรงตรงไหน มีเพียงบาดแผลเล็กน้อยที่หน้าผากเท่านั้น

“หนูนิลูก ถึงบ้านเราแล้วลูก” คุณกังสดาลปลุกลูกสาว แต่ไม่ได้ผล ลูกสาวไม่มีทีท่าจะตื่นจากนิทรารมณ์ เช่นเดียวกับอีกหนึ่งสาวที่เบาะหลัง ยังคงซุกซบกับตักธเนศต่างหมอนนิ่ง ไม่รับรู้อย่างอื่น

“ไม่ต้องปลุกก็ได้ครับ ผมอุ้มไปส่งบนห้องให้ก็ได้”

“ก็ดีจ้ะ ช่วยหน่อยนะภู”

ภูดิสช้อนร่างนิ่มไว้ในอ้อมแขน เดินตามคุณกังสดาลที่นำไปห้องลูกสาว ใบหน้านวลใสพิงซบกับไหล่กว้าง ภูดิสก้มมองแล้วยิ้มน้อยๆอย่างพอใจ อยากให้ทางข้างหน้าทอดยาวออกไปอีกหน่อย แต่ก็ไม่ได้อย่างใจ เมื่อคุณลักษิกาเปิดประตูรออยู่ข้างหน้า เขาก้าวเข้าไปในห้องสีขาว เปิดไฟส่างนวลตา คุณกังสดาลเลิกผ้าห่มขึ้น ให้ภูดิสวางร่างลูกสาวลงบนเตียงนุ่ม แล้วผละจากห้องไปหาผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัวลูกสาวที่สั่งสาวใช้ไว้ก่อนนำชายหนุ่มขึ้นมา

ภูดิสดึงผ้าห่มคลุมให้หญิงสาวเบามือ เกลี่ยไรผมบางที่ปรกหน้าให้ออกจากแก้มและหน้าผากนวล เห็นพลาสเตอร์เล็กสีขาวแล้วก็ถอนใจอย่างสงสาร ใบหน้าคมก้มลงชิดหน้าผาก พึมพำเบาๆอวยพรให้หญิงสาว

“หายเร็วๆนะครับ เพี้ยง!”

เมื่อมาอยู่ใกล้ใบหน้านวล สายคมก็อดจะจ้องมองใบหน้าของหญิงสาวไมได้ นิ้วยาวที่เกลี่ยไรผมเลื่อนลงไล้แก้มขาวนวล เหมือนต้องมนตร์ดึงดูดชายหนุ่มให้สูดกลิ่นหอมอ่อนๆที่แก้มใสนั้น เขากดจมูกและปากลงไปแผ่วเบา ไต่แตะเรื่อยมาจนถึงมุมปากสีชมพูอ่อนของคนนอนหลับสนิท สายตาคมมองริมฝีปากอิ่มอย่างเผลอไผล อดไม่ได้ที่จะกดริมฝีปากตัวเองลงเบาๆเช่นเดียวกับที่ทำกับแก้มนวล

ดวงตากลมปรือเปิดเพราะถูกรบกวนที่ผิวนวล รอยเยิ้มหวานในดวงตากลมของคนเพิ่งตื่นดูน่าเย้ายวนเหลือเกิน เป็นผลให้ชายหนุ่มประทับริมฝีปากลงที่เดิมอีกครั้ง หากครั้งนี้สัมผัสแนบแน่นกว่าเดิม

“อุ๊ย! ขอโทษค่ะ” เสียงอุทานพร้อมกับของในมือหลุดลงพื้นเสียงดัง ทำให้ภูดิสผละออกมามอง คุณกังสดาลอยู่ที่หน้าประตูห้องท่าทางตะลึงงันพร้อมกับสาวใช้ที่ยกมือขึ้นปิดตา



-----------โปรดติดตามตอนต่อไป-------------


//punnarm-farin.bloggang.com


*;...คุยกันนิดหน่อยกับฟ้าริน...;*
เอามาส่งแล้วน้า โอ๊ยงานยุ่งสุดๆ ตอนหน้าเมื่อไหร่ไม่รู้ ต้องลุ้นกันต่อไปจ้า

une playful pizzicato - ไม่รักเหรอคะ ทำไมล่ะคะ รักเหอะนะๆๆๆๆ

kikkak_riwkiw - ใจร้ายตรงไหน ไม่ได้ใจร้ายสักนิดเดียว

popo - มาแว้วๆๆๆ เอามาส่งแล้วนะคะ

Smillzz - จะให้เป็นไงดีน้า ไม่บอก แต่ว่าพี่ภูปวดหมองสุดๆเลยอ่ะค่ะ ใบ้แค่นี้




Create Date : 14 กันยายน 2550
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2551 17:58:22 น.
Counter : 246 Pageviews.

5 comment
จัดรักให้ลงล็อค บทที่20


บทที่20

ร่างเล็กนั่งเอนไปมา พิงคนโน้นทีคนนี้ที ยามที่ยื่นหน้าไปร่วมวงสนทนาที่ฟังไปงงๆบ้างรุ้เรื่องบ้าง มือเล็กยกแก้วที่มีน้ำสีสวยอยู่เต็ม เธอกระดกทีเดียวหมดเกลี้ยง เป็นแก้วที่เท่าไหร่แล้วนิศากรไม่ได้นับ แต่คำนวณคร่าวๆจากจำนวนที่วางบนโต๊ะแล้ว นับได้ครบสิบนิ้วพอดี ยังไม่รวมที่บริกรหนุ่มน้อยมาเก็บไปก่อนหน้านี้

แพรพรรณลุกพรวดขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เดินโงนเงนออกจากโต๊ะไปท่ามกลางความงงงันของทุกคน

“แพร จะไปไหน” นิศากรถามเป็นคนแรกและตามมาดึงเพื่อนไว้ก่อน แพรพรรณหันมาทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ปลดมือเพื่อนสาวออกจากตัว ตอบเสียงอ้อแอ้ก่อนเดินต่อไป

“ไปห้องน้ำ ห้องน้ำอยู่ไหนเนี่ย หือ อยู่ไหน ว้าย!” เสียงเล็กร้องอุทาน ขาเรียวสะดุดเข้ากับพื้นต่างระดับ ล้มโครมลงไปนั่งแปะอยู่กับพื้นแทบเท้าใครคนหนึ่งเข้า

“แพร!” นิศากรตาโต ถลันเข้าหาร่างเล็กที่ทรุดอยู่บนพื้น กุมหัวเข่าป้อยๆ ”เป็นไงบ้าง เจ็บล่ะสิ”

“ฮือ หนูนิ เจ็บหัวเข่าจังเลย มืดแบบนี้ใครจะมองเห็นทางกันเล่า เปิดไฟสิ เปิดไฟ” แพรพรรณโวย โทษเอากับความมืดที่ทำให้เธอต้องสะดุดหน้าคะมำแบบนี้ นิศากรส่ายหน้า ฉุดมือเพื่อนสาวให้ลุกขึ้นโดยมีพลเมืองดีอีกคนช่วยเข้าประคอง

“ขอบคุณค่ะ” นิศากรกล่าว เงยหน้าขึ้นยิ้มกว้างกับเขา อีกฝ่ายดูเหมือนอึ้งไปเมื่อสบสายตาเข้ากับตากลมโตของหญิงสาว

“ไม่ ไม่ ไม่เป็นไรครับ”

“ขอบคุณค่า คุณคนใจดี” แพรพรรณแสดงความขอบคุณแบบมึนๆ ขยับเข้าไปจ้องหน้าเขาใกล้ๆ เพ่งสายตาในความสลัวลาง เอียงคอบอกบางอย่างต่อชายหนุ่มผู้นั้นยิ้มๆ ซึ่งก็มีผลทำให้เขายกมือเสยผมยาวปรกหน้าผากตามสมัยเขินๆ

คิ้วเข้มพาดเฉียงกับดวงตาสองชั้นวิบวับล้อแสงไฟแบบหนุ่มเจ้าชู้ ริมฝีปากบางและจมูกโด่งเป็นสันรับกับใบหน้าเรียวคล้ายผู้หญิง ที่ใบหูข้างหนึ่งใส่ต่างหูสีเงินเป็นแป้นกลมที่ติ่งหู เลยขึ้นไปตรงกระดูกอ่อนมีห่วงเงินติดอยู่ ดูเท่ห์เก๋แบบหนุ่มเจป็อป สไตล์ญี่ปุ่นโดยแท้ด้วยเครื่องแต่งกาย

“หล่อใช้ได้เลยนะเนี่ย”

“แพร! ขอโทษนะคะ พอดีเพื่อนเมานิดหน่อยน่ะค่ะ ขอตัวนะคะ” นิศากรดึงตัวแพรพรรณออกมาจะกลับไปที่โต๊ะ แต่เพื่อนสาวร้องโวยวายอีกรอบจะไปห้องน้ำ

“ไม่เอา ไปห้องน้ำ หนูนิช่วยพาไปหน่อยสิ” สองสาวจึงต้องย้อนกลับมาทางเดิม ผ่านหน้าชายหนุ่มไปอีกครั้ง เขามองตามไปไม่ละสายตา มองค้างจนเพื่อนที่รออยู่ที่โต๊ะต้องเข้ามาสะกิดให้รู้สึกตัว

“เฮ้ย นนท์ มองอะไรวะ”

“ชื่อน่ารักจัง ยิ้มก็น่ารัก” อานนท์เอามือจับไปที่หัวใจที่เต้นแรงแทบทะลุออกมานอกอก ท่าทางละเมอเพ้อฝัน



รถยนตร์คันหรูแล่นออกมาจากบ้านใหญ่ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานและเป็นสถานที่เกิดเหตุด้วยความเร็วที่มากกว่าปกติไปตามถนนโล่งว่างพอสมควรและหยุดชะงักกึกจนคนนั่งข้างหัวคะมำเกือบชนเอากับกระจกใสหน้ารถเป็นรอบที่สอง

“เฮ้ย! ไอ้ภูแกจะฆ่าฉันรึไง” ธเนศทวงถามเสียงกระชาก

“ฉันเนี่ยนะจะฆ่าแก” เขาถามกลับ หน้ายังคงติดรอยเคร่งเครียดอยู่ ตั้งแต่ผลุนผลันออกจากบ้านนางร้ายสาวมา

“ก็เออสิวะ”

“ถ้าฉันจะฆ่าแก ฉันไม่เหยียบเบรกหรอก ปล่อยให้มันชนโครมไปแล้ว” ภูดิสแก้ข้อกล่าวหา

“เออ ถูก ขอบใจที่แกยังมีสติดีอยู่ เป็นฉันเจอเข้าแบบนั้น คงได้ฟิวขาดบ้างแหละวะ ทั้งบิดเบือนความจริง สร้างเรื่องหลอกชาวบ้าน คราวนี้หลอกกันระดับประเทศ ไม่ได้หลอกแค่หนูนิคนเดียว ฝีมือก้าวหน้าไวชะมัด” ธเนศร่ายยาววีรกรรมร้ายกาจของรัญชิดา สุดท้ายก็ชมปบบประชด คนฟังกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก อารมณ์ผิดหวังและไม่อยากเชื่อปนเปกันไปหมดในตัวเขา

“ฉันไม่อยากเชื่อว่ารันจะทำได้ถึงขนาดนี้ เขาคิดอะไรของเขาอยู่ ฉันไม่เข้าใจเลย”

“รันทำได้ถึงขนาดนี้ แสดงว่ายัยนั่นคงอยากได้แกมากเลยนะ พ่อรูปทอง หน้าหล่อๆแบบคนดีของแกกับความสามารถของแกมันล่อตาล่อใจเกินไปแล้ว รู้ตัวซะบ้าง” ธเนศปรับกระจกมองหลังให้เคลื่อนไปส่องหน้าเพื่อน ชี้ให้ภูดิสดูเงาในกระจก เขาปรับมันกลับไปยังตำแหน่งเดิม ระบายความในใจออกมาให้

“จะมาเกิดอยากได้อะไรเอาตอนนี้”

“ก็เพราะว่ายัยนั่นไม่มีใครแล้วน่ะสิ เลยกลับมาหาของตายอย่างแก” ภูดิสปัดมือที่ชี้หน้าเขาออก “ของตายกำลังจะหลุดมือ คงรู้สึกว่ายอมไม่ได้”

คำพูดของธเนศยิ่งทำให้เขารู้สึกแย่ไปกว่าเดิม ลดตำแหน่งจากเพื่อนที่คอยดูแลกันยามทุกข์ กลายเป็นแค่ของตายสำหรับรัญชิดาไปเท่านั้น จะว่าไปเรื่องราวความสัมพันธ์ของเขากับรัญชิดาก็เข้าข่ายนั้นอยู่ ไม่หรอก ในความรู้สึกของรัญชิดามันตรงเลยเชียวหละ ไม่อยากยอมรับก็ต้องยอม แม้ว่าตัวเขาจะไม่เคยคิดอย่างนั้นเลยก็ตาม

“เอาไงต่อละทีนี้”

“ไม่รู้ ไม่อยากคิด ปวดหัว” ภูดิสบอกปัดไปอย่างที่ใจคิด ตอนนี้เขาอยากพักมันไว้ อยากลืมเรื่องราวในวันนี้ให้หมดเสียด้วยซ้ำ ถ้ามันจะเป็นไปได้

“ถ้าเกิดพรุ่งนี้ยัยรันมาขอโทษน้ำตานองหน้า แกจะทำไง”

“ไม่รู้ แกเลิกพูดได้แล้ว ไม่งั้นฉันจะเตะแกลงไปเดี๋ยวนี้เลย” ธเนศยอมหุบปากแต่โดยดี เพราะสีหน้าสีตาของเพื่อนบอกย้ำชัดเจนว่าจะทำจริงอย่างที่พูด ถ้าเขายังหาเรื่องถามต่อไป



แพรพรรณยืนเกาะประตูรถ ทำหน้าผะอืดผะอมชอบกล นิศากรซึ่งพยายามดันตัวเพื่อนเข้ารถรีบถอยฉากให้เพื่อนสาวทันที แพรพรรณพุ่งตัวไปเกาะพุ่มไม้ อาเจียนออกมาบรรเทาอาการคลื่นไส้เพราะฤทธิ์แอลกอฮอลล์ในเครื่องดื่มสีสวยที่กระดกเข้าไปกว่ายี่สิบแก้ว นิศากรเอาน้ำในรถไปให้เพื่อนสาวบ้วนปาก

“โอย ปวดหัวจังเลยหนูนิ เอ้า ยืนดยกไปโยกมาอีก จะแกล้วเราให้เวียนหัวหนักกว่าเดิมรึไง” แพรพรรณหาเรื่องป้ายสีให้เพื่อน โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่า ตัวเองนั่นแหละที่โชซเซไปมาจนตัวเองเวียนหัว ไม่ใช่เธอเพี้ยน แกล้งยืนโยกไปมา

“เอ้าลุกขึ้น จะได้กลับบ้าน เมาใหญ่แล้ว”

“อือ เมาแล้ว กลับบ้านนอนดีกว่า” เออ ดี แพรพรรณเป็นมนุษย์คนแรกรึเปล่าเนี่ยที่รับว่าตัวเองเมา แล้วตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืนเกาะไหล่นิศากรไปขึ้นรถ ร้องกลับบ้าน จะไปนอน แต่รถที่ยังจอดนิ่งทำให้แพรพรรณท้วงขึ้นมาว่าทำไมไม่ออกรถเสียที

“รอเอากระเป๋าก่อน แป๊บนึง” กระเป๋าสะพายของทั้งสองสาวยังอยุ่ข้างใน ที่สามารถไขรถได้เพราะกุญแจรถและโทรศัพท์มือถือของนิศากรอยู๋ในกระเป๋ากางเกง พอออกจากห้องน้ำทั้งสองคนก็ไม่ได้กลับไปที่โต๊ะอีก การจะพาแพรพรรณที่ทรงตัวไม่ติดพื้นไปบนพื้นต่างระดับที่มองไม่ค่อยเห็นเพราะความสลัวไม่ใช่เรื่องง่าย ประตูทางออกใกล้และเหมาะสมแก่สภาพของเพื่อนสาวแล้วที่ควรจะเดินทางกลับ

“อ้อ กระเป๋า เอากระเป๋าก่อน โอเค เร็วๆนะ”

นิศารกรรับคำ พอดีกับที่สาวเทียมประจำกลุ่มเดินเฉิดฉายออกมาพร้อมแฟนหนุ่มล่ำบึ้กมาส่งกระเป๋าสองใบให้

“ไงยะยัยแพร สลบเหมือดไปเลยเหรอ โชคดีนะเนี่ยที่หล่อนเมาแล้วเป็นเด็กดี ว่าง่าย ถ้าฉันเป็นแม่มันนะ จะจับมอมเหล้าทุกวันเลย ฮ่าๆๆ”

“เห็นด้วยนิดหน่อย” นิศากรออกความเห็นขำๆ พลอยผสมโรงไปด้วยไม่ได้ เพราะออกจะเป็นข้อดีจริงๆ

“ไปได้แล้วย่ะ กลับดึกดื่นกว่านี้ เดี๋ยวคุณหญิงแม่ของเธอสองคนจะเป็นกังวล สั่งเลิกคบฉันเพราะพาลูกเขาไปเสเพล ขับรถดีๆล่ะ แปดสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงปลอดภัย ประหยัดช่วยชาตินะยะ” สาวเทียมอวยพรตามแบบฉบับ ก่อนส่งท้ายด้วยการขยิบตามแลบลิ้นแผล็บแบบตลกๆบอกว่า ”รีบๆไปซะ ฉันจะได้กลับไปเต้นระบำนัวเนียกับที่รักฉันต่อ”

หญิงสาวมองค้อนอย่างหมั่นไส้ ผลุบเข้ารถไป โบกมือลาก่อนก่อนรถไปโดยที่ไม่รู้ว่ามีรถอีกคันขับตามออกไปด้วย



ภูดิสและธเนศเข้านั่งบนโซฟายาวกลางห้องรับแขก แม่บ้านนำน้ำเย็นๆมาเสริฟ ภูดิสรับมาดื่มอย่างกระหาย น้ำเย็นชื่นใจช่วยให้ผ่อนคลายได้บ้างเล็กน้อย ส่วนหนุ่มผิวน้ำผึ้งหันรีหันขวาง สอดส่องไปบริเวณ ภูดิสเห็นเข้าก็ถามอย่างแปลกใจ

“หาอะไร”

“ยัยเปี๊ยกไปไหน”

“เข้านอนไปแล้วละมั้ง ดึกแล้ว” ภูดิสยกนาฬิกาข้อมือมองดูเป็นเวลากว่าห้าทุ่มแล้ว น้องสาวเขาห่วงสวย มักจะเข้านอนเร็ว กลัวหน้าจะเหี่ยวก่อนวัย

“เป็นไปไม่ได้ สั่งไว้นักหนาว่าจะรอให้มารายงานตัว ไม่มีทางชิ่งไปนอนได้หรอก” ธเนศวิเคราะห์ แพรพรรณไม่มีทางหลุดสถานการณ์ไปได้ ยิ่งเป็นเรื่องรัญชิดาด้วยแล้ว เธอยอมสละเวลานอน ยอมหน้าเด้งน้อยลงในวันรุ่งขึ้นเพื่อจะได้รู้เรื่องก่อนใคร แล้วคุณลักษิกาในชุดคลุมก็เข้ามาเฉลย เมื่อถูกถามถึงลูกสาวคนเล็ก

“อ๋อ ออกไปเที่ยวผับกับเพื่อนๆยังไม่กลับเลย”

“หา! เที่ยวผับ” ภูดิสร้อง

“จ้ะ บอกจะไปหาหนุ่มๆกลับบ้านมาสักคนสองคน” คุณลักษิกาบอกเสียงเจือหัวเราะ

“หาหนุ่มๆเหรอครับ! ” คราวนี้เป็นธเนศร้องบ้าง สองหนุ่มหน้าเครียด น้องสาวเขาออกไปเที่ยวผับแล้วยังบอกว่าจะเก็บหนุ่มมาบ้านอีก น่าตีเสียจริงๆ

“ใส่ชุดไหนไปครับ” คนเป็นพี่ซักถึงการแต่งตัวทันที

“อ่อ ชุดกระโปรงน่ะ สีขาวๆที่เป็นสายเดี่ยว สวยเชียวแม่ชอบ”

“สายเดี่ยว! ใส่สายเดี่ยวไปเที่ยวผับเนี่ยนะ” ธเนศร้องโวย ยัยเปี๊ยกแต่งตัววอบๆแวมๆไปเที่ยวที่แบบนั้นได้ไง มีแต่พวกเสือสิงทั้งนั้น

“แม่ปล่อยให้ใส่ได้ไง โป๊จะตาย” ภูดิสหน้าเครียดทันที ถึงแพรพรรณจะไม่ได้สวยเซ็กซี่ แต่ก็โตเป็นสาวเต็มตัวแล้ว ผิวพรรณก็บำรุงจนสวยปลั่ง เปิดโชว์แบบนั้นก็เรียกสายตาคนได้ไม่น้อย คนสมัยนี้ก็ยิ่งไว้ใจไม่ค่อยได้อยู่ด้วย

“แหม...ไปกันตั้งหลายคนแน่ะ ไม่เป็นไรหรอก”

“ไปกับใครบ้างครับ” ภูดิสถามต่อทันควัน

“ก็กลุ่มเดิมนั่นแหละ หนูนิก็อยู่ด้วย ไม่ปล่อยให้เถลไถลนานหรอกน่าภู” คุณลักษิกาอ้างชื่อนิศากร ดูจะเป็นบุคคลที่น่าเชื่อถือสุดในกลุ่ม แต่ไม่รู้ว่ายิ่งกลับทำให้ลูกชายกระวนกระวายเข้าไปใหญ่

“หนูนิด้วยเหรอครับ แล้วคุณป้าปล่อยให้ไปได้ไง มีแต่ผู้หญิงทั้งนั้น” ภูดิสคว้าโทรศัพท์ออกมากดเบอร์น้องสาวทันที เสียงต่อสายดังอยู่นานก็ไม่มีคนรับ

“ยัยแพรไม่รับสาย ไม่ได้ยินรึไงกัน” เขาต่อสายอีกครั้ง



อีกฟากหนึ่งที่ควานหามือถือของตัววุ่นวาย หาไม่เจอจนต้องเทกระเป๋าออกมา เสียงโทรศัพท์ก็ตัดไปเสียแล้ว นิศากรเลือกใช้เส้นทางลัดเพื่อย่นระยะเวลาในการเดินทาง ลืมคิดไปถึงภัยร้ายที่อาจเกิดขึ้นได้ในถนนสายเปลี่ยวเส้นนั้น ปกติมีรถราวิ่งกันขวักไขว่ในเวลากลางวัน แต่ขณะนี้พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปหลายชั่วโมงแล้ว ข้างทางซึ่งห้องแถวสองชั้นปิดตายเป็นทิวแถว ดูร้างผู้คนมานานจนสภาพซอมซ่อ ไร้ผู้ร่วมทางเมื่อหญิงสาวพารถเก๋งของตนแล่นลึกเข้าไปทุกที

“ใครโทรมาเหรอแพร” นิศากรถามเพื่อนสาว อีกฝ่ายยกโทรศัพท์ขึ้นมาส่องชื่อดู แต่อ่านไม่ออกเสียงแล้ว เพราะตาลายเห็นตัวอักษรซ้อนกันเต็มไปหมด

“ไม่รู้ อ่านไม่ออก”

“อ้าว ไหนเอามาดูสิ” นิศากรคว้ามาพอดีกับที่มันส่งเสียงดังขึ้นอีกครั้ง ชื่อภูดิสเด่นหรา นิศากรต้องเป็นคนรับแทนเพราะเจ้าของหลับตาพริ้มไปแล้ว

“ค่ะพี่ภู”

“หนูนิเหรอ อยู่ไหนกันครับเนี่ย แล้วยัยแพรไปไหนไม่รับโทรศัพท์” เสียงชายหนุ่มส่งมาตามสายดูเป็นกังวล

“อยู่บนรถค่ะ กำลังพาแพรกลับไปส่งบ้าน เมาหลับไปแล้ว”

“เมา?”

“ค่ะ ว้าย!...” เสียงหญิงสาวร้องอุทานพร้อมเสียงเบรกรถดังสนั่น หญิงสาวทิ้งเครื่องมือสื่อสารไปคว้าพวงมาลัยรถแทน หักหลบรถที่ปาดหน้าไปแบบหวุดหวิด รถของหญิงสาวเกือบขึ้นไปเสยฟุตบาททางเดินเสียแล้ว

“อะไรกันเนี่ย ขับรถภาษาอะไร” หญิงสาวต่อว่าอยู่บนรถ เสียงร้องเรียกดังลอดโทรศัพท์ที่นอนแอ้งแม้งบนตัก เธอหยิบขึ้นมาแนบหูต่อ ปลายสายเรียกเธอไม่หยุดน้ำเสียงตื่นตระหนก

“ค่ะพี่ภู”

“หนูนิเป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น”

“รถมาปาดหน้าน่ะค่ะ ดีที่เบรกทัน ไม่งั้นชนเละเลย”

“เจ็บตรงไหนรึเปล่า”

“ไม่ค่ะ ไม่เป็นไรเลย เดี๋ยวนะคะพี่ภู สงสัยจะมาขอโทษแล้ว”

คนขับรถคันที่ปาดหน้าหญิงสาวเมื่อครู่ก้าวลงจากรถ ท่าทางเมาๆมาเคาะกระจก นิศากรโบกมือเป็นสัญญาณว่าไม่เป็นไร ชายคนนั้นพยักหน้าแต่ก็ยังไม่หลีกทางไป เกาะรถเธอไว้ พยายามจะเปิดประตูรถแต่เธอล็อกไว้ทั้งสี่ด้าน ชายอีกสามลงจากรถมาสมทบกับอีกคน ท่าทางเมาไม่แพ้กัน ล้อมรถเธอเอาไว้ทั้งสี่ด้าน ชายคนเดิมยังคงเคาะและพยายามจะเปิดประตูเธออยู่

“หลีกไปสิ หลีกไป ทำอะไรกันน่ะ”

นิศากรโบกมือไล่ กลัวจนมือสั่นบีบแตรไล่เสียงดัง แต่ถนนที่เธออยู่ตอนนี้รอบข้างบ้านเรือนปิดสนิทดูคล้ายจะร้างตลอดทั้งแนวถนน แพรพรรณกระพริบตาเปิดขึ้นมองรอบตัว ถามเสียงยานอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว

“ใครทำอะไร เคาะทำไมเนี่ย ดึกดื่นแล้วคนอื่นเขาจะนอนกัน ไม่มีมารยาทเลย” บ่นเสร็จเรียบร้อยเปลือกตาของเพื่อนสาวก็ปิดลง ไม่มีทีท่าจะตื่นขึ้นมารับรู้อะไรอีก นิศากรกำพวงมาลัยแน่นเข้า ใช้สมองเร็วรี่

ปี้นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน

หญิงสาวกดแตรเสียงดังยาวนาน จนพวกที่รุมล้อมรถเธออยู่ต้องยกมือปิดหูกันเป็นแถว ทั้งตกใจเสียงแตรและต้องตระหนกเป็นรอบสองเมื่อเธอเร่งเครื่องอย่างแรง ชายสี่คนสะดุ้งเฮือกกระโดดหลบโดยสัญชาตญาณ รู้ตัวกลัวตายเหมือนกันแม้ว่าฤทธิ์แอลกอฮอล์จะทำให้สมองสั่งงานช้าไปบ้าง หญิงสาวใช้จังหวะนั้นเร่งเครื่องกระชากรถถอยหลังไป ติดชายร่างผอมด้านหลังยืนขวางอยู่

“เฮ้ย! อะไรวะ” ชายคนนั้นร้องโวยวาย เมื่อเธอเบรกกึกในระยะห่างจากตัวเขาไม่ถึงเมตรหลังจากถอยหลบออกมาเมื่อครู่ เธอทำใจเด็ดเร่งเสียงเครื่องดังลั่นอีกครั้งหวังขู่ให้กลัว นึกขอบคุณโชคชะตาที่แผนนี้ใช้ได้ผล ขอบคุณฟ้าที่ทำให้ชายคนนั้นใจเสาะ ไม่กล้าพอจะยืนเสี่ยงท้าตายอยู่เช่นเดิม มันวิ่งขึ้นไปหลบบนฟุตบาทเปิดทางให้เธอถอยออกและเร่งเครื่องออกไปบนถนนนั้นอีกครั้ง

นิศากรมองกระจกส่องหลัง เห็นรถคันเดิมยังตามมาไม่ห่าง มันเบนซ้ายทีขวาที พยายามขึ้นมาตีคู่กับรถของหญิงสาว มันเปิดกระจกมากำอะไรสักอย่างในมือ ปามาใส่หน้ารถเธอ

“ว้าย” หญิงสาวร้องอุทาน รถเป๋ออกจากเส้นทางไปเล็กน้อย เธอรีบบังคับให้กลับเข้าเส้นทางเดิม เสียววูบไปทั้งหัวใจก่อนเรียกสติให้กลับมาโดยไว ขาเรียวบนรองเท้าส้นสูงเหยียบคันเร่งเพิ่งความเร็ว รถพุ่งทยานไปข้างหน้าราวกับจรวดเพื่อออกไปสู่ถนนใหญ่ซึ่งแสงไฟสาดส่องให้เห็นลิบๆตรงหน้าฟ หัวใจเต้นระทึกกลัวว่าผู้ประสงค์ร้ายที่ตามหลังมาจะเร่งเครื่องตามมาจนขนานคู่กันได้อีกครั้ง ฝ่ายนั้นอาจปาดหน้าเธอได้อีก คงไม่แคล้วเกิดอุบัติเหตุ หากเป็นอย่างนั้นเธอจะทำอย่างไร ไม่อยากจะคิดต่อให้ใจระทึกมากไปกว่านี้

นิ้วมือที่กำรอบพวงมาลัยรถมั่นเกร็งจนข้อขาว สายตาเพ่งไปข้างหน้าอย่างแน่วแน่ ไม่ใส่ใจแม้เสียงโทรศัพท์ข้างตัวจะร้องระงมไม่หยุด ด้วยเกรงว่าหากวอกแวกแม้เพียงนิดในความเร็วร้อยหกสิบจวนร้อยแปดสิบอยู่รอมร่อ เส้นชะตาชีวิตทั้งของเธอและแพรพรรณอาจหากสะนั้นกระทันหัน เธอยังไม่อยากเพิ่มงานให้ท่านยมบาล ไม่อยากถูกผ่าพิสูจน์ ไม่อยากเป็นเหยื่ออุบัติเหตุรายวันที่ขึ้นตามหน้าหนังสือพิมพ์ พาดหัวข่าวอย่างดุเด็ดเผ็ดมัน ไม่เอานะ!!! หรือหากไม่ถึงตาย เธอก็อาจพิการ อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งต้องได้รับบาดเจ็บแน่ๆ เธอไม่ชอบนอนนิ่งๆนานๆ การทำให้บิดามารดาทุกข์ใจ เป็นบาปหนานัก เธอจะไม่ทำ ไม่ๆๆๆๆ แล้วนี่ยังมีชีวิตของแพรพรรณที่หลับไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่ด้วย ความประมาทเป็นหนทางแห่งความตาย คำพูดนี้ดังก้องในหัวไปมา

รถยนตร์ของหญิงสาวเข้าใกล้ปากทางมากขึ้นทุกที นิศากรเริ่มผ่อนคันเร่ง เปิดโอกาสให้รถคันหลังสามารถขึ้นมาตีเสมอได้ตั้งใจเบียดรถเธอเข้ามาเรื่อยๆจนเกือบปีนขึ้นไปข้างทาง ขณะนั้น แสงไฟหน้ารถก็สาดเข้ามา

โครม!!!


-----------โปรดติดตามตอนต่อไป-------------


//punnarm-farin.bloggang.com


*;...คุยกันนิดหน่อยกับฟ้าริน...;*
ค้างไว้ซะงั้น 55555 สะใจ

Smillzz - ตอบว่าเด็กสามคนนี้มาจากไหน ก็ขอยกจากเนื้อเรื่องมาเลยละกันนะคะ อาจจะอ่านตกไปบ้าง

....“นางปีศาจ เอ๊ย! เป้าหมายหลักเกาะแขนใครหว่า อ๋า...อาภูนั่นเอง” แม่หนูเนะโกะเพ่งมองแล้วร้องอย่างจำได้ ว่าเขาเป็นเพื่อนของบิดาของทั้งสามที่พกเอาลูกๆมาร่วมงานทุกปี....

ก็เป็นอย่างนี้แหละค่ะ หนึ่งในเพื่อนของพี่ภูนั้นเอง

g - ตาสว่าง สงสัยที่บ้านของนางร้ายจะใช้ซิลวาเนียร์ พอสว่างก็ไม่มีอะไรน่ากลัว555

une playful pizzicato - แพ้อ่ะๆๆๆๆ ทำไงดี แง้ ไม่ย้อมไม่ยอม(ดิ้นไปดิ้นมา)

ยูกิ - สวัสดีจ๊ะ สมาชิกใหม่หรือเก่าที่เพิ่งเผยตัว มาลงให้ต่อแล้วน้า




Create Date : 07 กันยายน 2550
Last Update : 7 กันยายน 2550 19:29:32 น.
Counter : 354 Pageviews.

5 comment
จัดรักให้ลงล็อค บทที่19









บทที่19

“บลูเรียกฟ้าเปลี่ยนๆ”

“ฟ้าประจำอยู่ชั้นสองเปลี่ยน เป้าหมายเคลื่อนตัวแล้ว”

“มารีนเรียกบลู เรียกฟ้าเปลี่ยน มารีนประจำการใต้บันได กำลังจับตามองเป้าหมายเปลี่ยน”

เสียงเล็กๆส่งผ่านกันไปมาทางวิทยุสื่อสารสีสดใส ร่างเล็กคลานดุ๊กดิ๊กไปมา ผลุบๆโผล่ๆทางโน้นทีทางนี้ที ไม่มีใครใส่ใจเท่าใดนัก เปิดโอกาสให้เด็กหญิงร่างป้อมผิวขาวที่มีเครื่องหน้าทั้งคิ้ว คาง จมูก ปาก และดวงตากลมแป๋วชั้นเดียวเหมือนกันทั้งสามคนเป๊ะ สวมชุดกระโปรงสั้นสายดอกไม้เล็กๆต่างสีสัน จีบบานรอบตัว ผมยาวหยักศกน้อยๆนิ่มมือถูกรวบติดกิ๊บเล็กๆไว้ครึ่งหนึ่ง เล็ดรอดสำรวจไปทั่วงาน ไม่เว้นแม้กระทั่งชั้นบนของบ้านหลังใหญ่ เปิดเข้าเปิดออกปประตูเกือบทุกบานในบ้าน กระทำการอย่างเงียบเชียบ คิดว่าตัวเองกำลังสวมบทบาทเป็น สามสาวนางฟ้าชาลี



อิมมี่ กระเทยสาวผู้จัดการส่วนตัวที่แกล้งทำทีเป็นถ่ายภาพบรรยากาศงานโดยรอบ แต่แท้ที่จริงแล้ว กล้องวีดีโอขนาดเหมาะมือนั้นกำลังดึงภาพนางร้ายสาวควงแขนภูดิสอย่างสนิทสนมไปทักทายเพื่อนร่วมรุ่นหลายคนซึ่งนั่งจับกลุ่มกันอยู่มุมหนึ่ง

“น่านๆๆๆ ฮู้ย เกาะเป็นปลิงเชียวนะคะคุณน้อง ชาตินี้จะได้เป็นนางเอกกับเขาเหรอเนี่ย อีตาผู้กำกับนั่นตาถั่วหรือไม่ก็หวังเคลมแหงๆ ทำมาทาบทามจะให้เป็นนางเอก”

เมื่ออยู่ห่างหูห่างตา ผู้จัดการส่วนตัวเป็นอดเม้าท์ไม่ได้ ถึงรู้ว่าไม่มีใครฟัง แต่ก็คิดออกมาเสียงดังๆ ส่วนตัวอิมมี่แล้วไม่ได้มีมิตรจิตจะรักใครรัญชิดาแม้สักน้อย แต่ด้วยคำว่าเงินและท้องไส้ยังคงเรียกร้องอาหาร จึงจำเป็นต้องทนให้นางร้ายสาวแว้ดใส่ทุกวี่วัน อิมมี่เบ้ปากใส่หน้าจอกล้องที่ตัวถืออยู่ ไม่รู้ตัวว่าด้านหลังยังมีอีกหนึ่งคน กระโดดเหยงๆแอบดูแอบฟังอยู่



“ฟ้าเรียกบลู เรียกมารีน ลูกสมุนของเป้าหมายหลักกำลังปฏิบัติการบางอย่างที่คาดว่าน่าจะเป็นปฏิบัติการวีดีโอคลิปเหมือนในหนังที่โฆษณาเลย เปลี่ยน” แม่หนูฟ้ากรอกเสียงเล็กๆส่งผ่านไปถึงอีกสองพี่น้องฝาแฝด

“โอ้โห มารีนอยากดูบ้าง” แม่หนูมารีนร้องมาตามสาย

“ไม่ได้นะ มารีนต้องประจำตำแหน่ง รายงานมาเดี๋ยวนี้ เป้าหมายหลักทำอะไรอยู่” แม่หนูบลูห้าม พลางสั่งให้รายงาน

“นางปีศาจ เอ๊ย! เป้าหมายหลักเกาะแขนใครหว่า อ๋า...อาภูนั่นเอง” แม่หนูมารีนเพ่งมองแล้วร้องอย่างจำได้ ว่าเขาเป็นเพื่อนของบิดาของทั้งสามที่พกเอาลูกๆมาร่วมงานทุกปี “สงสัยจะกลัวหลงทาง เหมือนเวลาป๊ะป๋าสั่งให้เราจับมือกันไว้ตอนไปเที่ยวห้าง จะได้ไม่หลง” แม่หนูมารีนวิเคราะห์อย่างมีหลักการ อีกสองแฝดพยักหน้าเห็นด้วย

“นี่ๆ เปลี่ยนจากเป้าหมายหลักเป็นนางปีศาจดีกว่า มารีนว่าเหมาะกว่าเยอะเลย”

“บลูเห็นด้วย”

“โอเค มติเป็นเอกฉันท์” แม่หนูฟ้าทำเก่ง เลียนแบบคำพูดตามเจ้าหน้าที่รัฐใช้ในการเลือกตั้งที่ผ่านมาได้เหมือนเปี๊ยบ เพราะแอบไปถามป๊ะป๋ามาแล้วว่ามันแปลว่าอะไร “ตกลงเราจะเปลี่ยนโค๊ดลับเป็นนางปีศาจแทนเป้าหมายหลัก”



เสียงเพลงดังไม่เบานักจากเครื่องเสียงชุดใหญ่กลางห้อง ทำให้การคุยไม่สะดวกนัก ต้องตะเบ็งเสียงเล็กน้อย แต่ก็ไม่อาจขัดขวางการนินทาของผู้ร่วมงานไปได้

“นี่ๆเธอ ได้ยินข่าวมานะ เขาว่ากันว่าเพราะว่ายัยรันจะหันไปหาภู พี่ประภพก็เลยน้อยใจ ควงยัยดาวร้ายรุ่นน้องมายั่ว ยัยนั่นเลยถือโอกาสเลิกซะตอนนั้นเลยไง”

“จริงเหรอ ยัยรันยังร้ายเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลย”

“อ้าว! ตกลงยัยรันจับภูได้เหรอ เสียดายสุดๆนะเนี่ย”

“ได้อะไรกัน ก็ภูเขาเลิกสนใจยัยนั่นไปตั้งนานแล้ว มีใหม่ๆเอ๊าะๆดีกรีนักเรียนนอกมาให้เลือก ลูกสาวนายกสมาคมอะไรนั่นไง คนนี้แม่ปลื้ม” คนพูดทำท่ายกนิ้วชี้กับนิ้วโป้งกางออกเป็นรูปเครื่องหมายถูกประกอบด้วย

เพื่อนผู้ชายหลายคนที่นั่งอยู่ในวงล้อมนั้นด้วยแอบมองหน้ากันแล้วพาส่ายหัว พวกผู้หญิงช่างนินทากันจริง ทั้งๆที่อยู่ในงานของเขาแท้ๆ ยังกล้าอีก ขาเม้าท์เจ้าเดิมตั้งท่าอ้าปากจะนินทาเจ้าของงานต่อต้องชะงัก เพราะร่างสเพรียวในชุดแดงที่ถูกนินทาเกี่ยวแขนภูดิส ผู้ร่วมถูกนินทาก้าวเข้ามา

“คุยอะไรกันอยู่ เม้าท์ฉันรึเปล่า”

ผู้ถูกถามหลายคนหน้าเจื่อนไปเล็กน้อย เพราะโดนเข้าไปเต็มๆ แต่แล้วก็รีบปรับสีหน้าให้ร่าเริงดุจเดิม ปั้นยิ้มกว้างให้เจ้าของงานที่นึกรู้เช่นกันว่าต้องถูกนินทา แต่เธอเฉยชาเสียแล้ว เล่นละครทำหน้าไม่รู้เสียก็สิ้นเรื่อง ในขณะที่เพื่อนชายหลายคนในวงนั้นเห็นละครโรงเล็กนั้นแล้วก็กลั้นขำจนใหล่กระเพื่อม

“เฮ้ย ภู ธเนศ มาๆๆๆ กำลังพูดถึงอยู่พอดี เนอะพวกเรา” หนุ่มหนึ่งอาจหาญ แกล้งเสียดสีอย่างขำๆ ร้องเรียกให้อีกสองผู้มาใหม่ร่วมนั่งล้อมวงด้วยกัน ท่ามกลางสายตาราวมีดคมที่พุ่งตรงมาหมายจะแทงกระซวกให้เลือดอาบ

สองหนุ่มทรุดตัวลงบนโซฟาเดียวกันที่เหลือ แต่แล้วหนุ่มผิวน้ำผึ้งก็มีอันต้องกระเด็นไปที่โซฟาอีกตัว เพราะรัญชิดาแทรกตัวมากระแทกเขา และสวมรอยนั่งเคียงร่างสูงของภูดิสแทนหน้าตาเฉย

‘เฮ้ย อะไรวะ ยัยนี่ สะโพกทอร์นาโดจริงๆ ชนทีกระเด้งไปเกือบแปดลี้’ หนุ่มผิวน้ำผึ้งบ่นงึมงำ จำใจสละที่ให้นางร้ายสาวแทน

“แกสองคนเป็นไงกันบ้างวะ กิจการรุ่งเรืองดีนี่” หนุ่มผู้อาจหาญคนเดิมตั้งคำถาม

“ก็เรื่อยๆนั่นแหละ” ภูดิสเป็นฝ่ายตอบ

“เรื่อยๆของแกนี่ เจริญขึ้นเรื่อยๆใช่ไหมวะ อิจฉาจริงวุ้ย”

“เรื่องอะไร” ภูดิสถามงงๆ

“ทำเป็นไก๋ เรื่องงานก็รุ่ง สาวก็รุ่ง เฮ้อ...สลับร่างกันกับฉันดูไหมวะ ฉันอยากลองเป็นแกดูสักวัน” คนพูดทำตาลอยชวนฝัน คนถูกแซวไม่ยักเห็นดีด้วย ไม่ลองมาเป็นเขาก็ไม่รู้หรอก วุ่นวายจะตายไป ธเนศอยากขำกลิ้งเหมือนตอนอยู่บนรถอีกสักที

“สาวน้อยที่ลงข่าวกับแกเป็นไงวะ น่ารักไหม ที่เป็นลูกสาว...ใครนะ…”

“นายกสมาคมแม่บ้าน” สาวขาเม้าท์เห็นเพื่อนทำท่านึกไม่ออกก็เสริมต่อให้ ขณะที่รัญชิดานิ่งฟังการสนทนานั้นอย่างเงียบขรึม

“น้องนิน่ะเหรอ” ธเนศแทรกขึ้น เรียกความสนใจจากคนรอบข้างได้อย่างดี

“ชื่ออะไรนะ” สาวขาเม้าท์ถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“น้องนิ แต่เจ้าภูมันเรียกหนูนิตามน้องกับแม่ แล้วแม่กับยัยเปี๊ยกก็เรียกตามแม่ของน้องนิอีกที สรุปว่าภูมันเรียกตามว่าที่แม่ยายมันอีกทีนั่นแล” หนุ่มผิวน้ำผึ้งแอบแซวตอนท้าย เลยได้สายตาดุขึ้งจากภูดิสลอยมา แต่ไม่เถียงสักคำ

“ตกลงชื่ออะไรกันแน่วะ”

“หนูนิ นิศากร น่ารักอย่างนี้เลย” ธเนศชูนิ้วโป้งยื่นมาสุดมือ โปรโมทต่อไปอีกว่า “กำลังจะเปิดร้านเสื้อเป็นของตัวเองด้วย ยัยเปี๊ยกกรี๊ดกร๊าดใหญ่ เห่อยิ่งกว่าเป็นร้านของตัวเองเสียอีก”

คนอื่นๆร้องอู้ ชื่นชมในความสามารถ แต่หนึ่งคนในวงล้อมนั้นยิ้มเหยียด ไม่เห็นจะวิเศษตรงไหนเลย จะเป้นใครไปได้อีกที่คิดอย่างนี้ นอกจากนางร้ายสาวนั่นเอง

“เดี๋ยวๆ ยัยเปี๊ยกของแกนี่ใครวะ” ถามเพราะไม่เข้าใจฉายาติดปากของธเนศ

“ยัยแพรไง น้องเจ้าภูมันที่ตัวเล็กกะปิ๊ด พูดมากๆนั่นไง” หลายคนร้องอ๋อยาวยืดเพราะจำได้ ภูดิสส่ายหัว มันน่าแกล้งโทรเรียกแพรพรรณให้มานั่งบ่นให้หูชานัก ไอ้หมอนี่เล่นแซวพี่ไม่พอ นินทาน้องเขาต่อหน้าซ้ำเข้าอีกด้วย

“สองคนนี่เขาสนิทกัน แม่ๆเขาก็ด้วย” หนุ่มผิวน้ำผึ้งบบรรยายต่อ “นี่ถ้าไม่มีมาร เอ๊ย ! อุปสรรค เส้นทางรักของเจ้าภูมันก็คงจะราบรื่นมาก” เขาลากเสียงยาว แสดงให้รู้ว่ามากแค่ไหน

“ขนาดนั้นเชียว”

“คุณแม่เขาปลื้ม” ธเนศขยายต่อ เลียนแบบประโยคยอดนิยมในช่วงหนึ่ง เพราะตรงใจมากที่สุดแล้ว

“ยืนยันได้ จริงไหม...รัน” ธเนศหันมาถามหน้าซื่อ หากดวงตาไม่ได้เป็นไปตามนั้นด้วยเลยสักนิด มันส่อแววกวนอารมณ์ชัดๆ

รัญชิดาที่กำลังเคืองต่อประเด็นสนทนาที่ยกเอาคู่แข่งของเธอมาชื่นชมหน้าตึงขึ้นมาทันควัน หน้ากากนิ่งเรียบรับฟังอย่างสงบเลื่อนหลุดไปชั่วครู่ เผยให้เห็นดวงตาวาวโรจน์แบบนางร้ายชัด อีกทั้งเสียงแค่นในลำคอดังลอดออกมาอย่างไม่ตั้งใจ ทุกคนเห็นและได้ยินชัดเจน ภูดิสหันขวับตามเสียงนั้น ขมวดคิ้วมุ่น ไม่แน่ใจว่าใช่หรือเปล่า เพราะรัญชิดารีบปรับสีหน้าทันทีที่รู้ตัว

“ก็...คงอย่างนั้นละมั้ง ไม่รู้เหมือนกัน ภูไม่เคยบอกฉันอย่างนั้นนี่” นางร้ายสาวโต้กลับด้วยรอยยิ้มละไม ไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย หันไปรับแก้วน้ำที่เด็กรับใช้นำมาเสริฟมาส่งต่อให้ภูดิสและของตัวเอง ส่วนของหนุ่มผิวน้ำผึ้งปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเด็กรับใช้ไป ธเนศยักไหล่ ไม่ใส่ใจอาการเสียมารยาทของเจ้าของงาน พูดเสียดใจนางร้ายสาวต่อไปอีกว่า

“เออ ลืมไป ไม่สนิทถึงกึ๋นจริงๆ นายนี่มันไม่ค่อยปริปากบอกเรื่องส่วนตัวหรอก” หนุ่มผิวน้ำผึ้งเอ่ยให้เห็นถึงลำดับความสำคัญระหว่างตัวเขาและรัญชิดาว่านางร้ายสาวยังด้อยความสำคัญไปกว่าเขา ภูดิสถึงไม่แย้มพรายถึงความคิดในเรื่องส่วนตัวให้ฟัง รัญชิดาสะอึกหน้าตึงอีกยก ปรายสายตาคุกรุ่นส่งมาให้ หากคนรับก็ไม่สะทกสะท้านดังเคย



อีกฟากหนึ่งของเมือง กลุ่มหญิงสาวกลุ่มใหญ่สังสรรค์กันเฮฮาในผับหรูราคาแพง สาวๆแต่งตัวสวยงามตามสมัยด้วยความที่เรียนมาทางนี้ร่วมกัน ไม่มีใครยอมหลุดจากกรอบความสวยงามตามสไตล์ของตัวเองให้น้อยหน้า ต่างคนต่างตะเบ็งเสียงแข่งกับเสียงดนตรีดังกระหึ่มรอบกาย บรรยากาศสลัวลาง แสงไฟถูกจัดให้สว่างแค่พอเห็นหน้ากันได้ เสียงหัวเราะดังเป็นระยะ สาเหตุด้วยมุขเสี่ยวหวานเชื่อมของสาวประเภทสองประจำกลุ่มที่พกเอาแฟนหนุ่มหล่อล่ำบึ้กมาอวดแก่สายตาเพื่อนสาวให้อิจฉาเล่นมาปล่อยให้กลางวง ถือโอกาสแทะโลมแฟนหนุ่มของตัวต่อหน้าประชาชีจนหลายคนตาร้อนผ่าว บ่นอุบอย่างอิจฉาแกมเสียดายร่างกายกำยำสมชาย หากจิตใจกลับฝักใฝ่ทางเพศที่สาม

เครื่องดื่มบนโต๊ะเล็กพร่องไปอย่างรวดเร็ว เพราะต่างยกขึ้นจิบแก้เจ็บคอเวลาตะโกนคุยกัน ลืมคำนึงถึงฤทธิ์แอลกอฮอล์ของมันไปชั่วขณะ โชคดีที่มันเป็นส่วนผสมเพียงน้อยนิด ไม่อย่างนั้นคงได้มีคนเมากลิ้งกันไปอย่างไม่รู้ตัว ยกตัวอย่างร่างเล็กที่เริ่มโงนเงนน้อยๆอย่างแพรพรรณ หญิงสาวพูดไม่หยุดปาก ถามโต้งๆใส่หนึ่งสาวในกลุ่มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

“หนูนิกลัวล่ะสิ ใช่ไหมละ พี่ภูบุกไปหาเรื่องใส่ตัวถึงรังยัยตัวร้ายรัญชิดาถึงที่เลย ไม่รู้จะยัยนั่นจะมีแผนอะไรอีกหรือเปล่า”

แพรพรรณชี้นิ้วไปที่หน้าของนิศากร หญิงสาวอดอึ้งไม่ได้เพราะแทงใจเข้าเต็มเปา อดปริวิตกในใจไม่ได้ว่าจะเป็นอย่างที่แพรพรรณพูดออกมา เพื่อนเธอคนนี้ไม่ค่อยคาดเดาอะไรผิดพลาดเสียด้วยสิ

นิศากรถอนใจ ทั้งที่พยายามแล้วที่จะไม่สนใจ แต่ก็ยังคงว้าวุ่น เมื่อชายหนุ่มโทรศัพท์มาเผยว่าได้รับคำเชิญจากรัญชิดาให้ไปร่วมงานเลี้ยงวันเกิดที่จัดขึ้นที่บ้านของนางร้ายสาวเองและลากเธอไปร่วมใช้ความคิดเลือกของขวัญให้ศัตรู ดูทำเข้า

‘พี่ภูคิดอะไรอยู่คะ ให้นิเลือกของขวัญให้ยัยนาง...เอ๊ย! คุณรัน’ นิศากรตะครุบคำพูดตัวไว้ทัน แต่ภูดิสก็พอเดาได้ว่าเธอจะเรียกรัญชิดาว่าอะไร คงเป็นคำเดียวกันกับที่น้องสาวเค้าเรียกนั่นแหละ ยัยนางร้าย

‘คิดว่าหนูนิเป็นคนใจดี น่ารัก’ ภูดิสโปรยคำหวานอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน หญิงสาวไม่อยากหันไปมองสบตาเขา แค่นี้เธอก็หวั่นไหวจะแย่

‘ถ้านิเลือกหมามุ่ยยัดใส่กล่องไปให้ ยังจะพูดแบบเดิมอีกหรือเปล่าคะ’

‘จะทำจริงเหรอครับ’ เขาแค่ลองถามดู ไม่นึกว่าคำตอบที่ได้ยินต่อไปจะทำให้รู้สึกเสียวแทนเพื่อนสาวไม่ได้ เพราะดวงตาของเธอช่างเต็มไปด้วยความมาดหมายจริงๆ

‘ก็น่าลองดู เขาเคยกรี๊ดใส่นิจนหูแทบแตก หลอกอีกตั้งหลายครั้ง มันก็น่าแก้แค้นอยู่เหมือนกัน ว่าไหมคะ’

‘เราควรระงับเวรด้วยการไม่จองเวรนะครับ’ ภูดิสยกคำพระเข้ามาเตือนสติ นิศากรเลยค้อนเข้าให้ นี่เขาคิดว่าเธอจะทำจริงๆหรือไงกัน บ้าจริงๆเลย

สุดท้าย น้ำหอมก็คือของขวัญแบบเบสิคสุดๆเลยมาอยู่ในมือเธอ แอบแก้แค้นเล็กน้อย ด้วยการเลือกกลิ่นที่ฉุนที่สุดให้นางร้ายสาว อำพรางเจตนาร้ายนิดๆด้วยขวดสวยงามและจัดการให้พนักงานใส่กล่องห่อเสร็จสรรพแบบไม่ยอมให้แกะก่อนถึงมือผู้รับได้เด็ดขาด

ขอโทษนะคะพี่ภู บางครั้งการจองเวรบ้างเล็กๆน้อยๆก็ทำให้เราสบายใจได้ โดยเฉพาะคนถูกจองเวรไม่รู้ว่าคนจองเวรเป็นใคร ฮิๆ

‘จริงๆแล้วมันก็เหมือนงานรวมเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยนี่เองแหละ นานๆเจอกันทีคงคุยกันยาว กลับดึกแหงๆ’

‘มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นแหละค่ะ อย่างพวกเพื่อนนิ ต้องหาที่รวมกันนอนค้างบ้านใครสักคน’

‘มีหวังได้ตื่นสายไม่ทำงานช้ากันพอดี พี่ว่าสักสี่ทุ่มคงต้องขอลา ดีไหมครับ’ ชายหนุ่มหันมาถามเป็นเชิงขอคำปรึกษา

‘ก็ดีค่ะ ไม่เร็วไปจนน่าเกลียด’

‘พี่ไปตอนหนึ่งทุ่ม กลับสี่ทุ่ม ถึงบ้านคงราวๆห้าทุ่มนะครับ’ เขากระตุกยิ้มมุมปาก รายงานแผนความเคลื่อนไหวคร่าวๆของตัวเองให้เธอรับทราบ ราวกับรายงานความประพฤติที่บิดาเธอเคยทำกับมารดาเธอยังไงอย่างงั้น ลึกๆเธอพอใจที่ได้ยิน แต่กลับทำเสียงเฉยบอกเขาหน้าตายกลับไป

‘เรื่องของพี่ภู ไม่เกี่ยวกับนิเสียหน่อย’



ทั้งที่นิศากรบอกไปอย่างนั้นว่าไม่สนใจ แต่ใจกลับทรยศปาก ไม่เป็นไปอย่างที่บอกเลยสักนิด ต้องโดดออกจากบ้านมาหาเรื่องทำ อยู่กับอย่างอื่นไม่ให้จิตใจต้องว้าวุ่น แต่ก็ไม่พ้นเรื่องนี้ไปได้ แม่เพื่อนจอมเจื้อยแจ้ว ทำท่าเมา เมาแล้วก็ยิ่งพูด แถมพูดแบบจี้ใจเสียด้วย เสียงเพลงนั่นก็อีก เหมือนกำลังว่าเธอกลายๆยังไงก็ไม่รู้ โดยเฉพาะประโยคเด็ด ประโยคเดียวกับชื่อเพลง

ปากฉัน...ไม่ตรงกับใจ

“ไม่ต้องห่วงมากนะ เราสั่งนายดำให้เกาะพี่ภูไว้แล้ว ไม่ต้องกังวล เดี๋ยวหน้าแก่นะเออ” น้ำเสียงปลอบออกจะป้อแป้เล็กน้อย และยังมีกะใจห่วงสวยแทนเพื่อนอีกต่างหาก แล้วก็ตามต่อมาด้วยคำปลอบใจอีกมากมายจากเพื่อนสาวทั้งหลาย



ถึงเวลาตัดเค้ก รัญชิดาคว้าภูดิสไปยืนข้างตัวตามติดด้วยธเนศซึ่งสังเกตการณ์อยู่เงียบๆ งานนี้อาจมีปาปารัสซี่แปลกหน้ามาสอดส่อง แต่นั่นแหละ เขาจะรู้ได้ยังไง เขาไม่ใช่คนวงในนี่นา คงทำได้แต่เกาะติดจนแทบจะแนบชิดไปกับเพื่อนจนน่าขนลุกในความรู้สึกเล็กน้อย แบบว่าไม่มีทางเก็บเอาไปลือได้เลยว่าสองคนนี่แอบไปจู๋จี๋กันสองต่อสองได้ เพราะยังมีเขาคอยแทรกบทสนทนาอยู่เรื่อยๆแทบจะเป็นประโยคต่อประโยค แอบกัดบ้าง กระแทกบ้างอย่างสนุกสนาน

“แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทูยู....เย้!” เสียงร้องประสานกันในท่อนสุดท้าย เจ้าของวันเกิดเป่าเทียนก้อนโตน่าทาน ริมฝีปากสีแดงสดคลี่ออกกว้าง ทำให้ใบหน้าสวยใต้แสงสลัวนั้นน่าจับตามองยิ่งขึ้น แต่แล้วรอยยิ้มนั้นก็ชะงักค้าง เมื่อพบอีกคนแทรกตัวเข้ามาหาพร้อมช่อดอกไม้สวยและกล่องของขวัญ

“สุขสันต์วันเกิดจ๊ะรัน” ประภพก้าวเข้ามาแทรกกลางระหว่างนางร้ายสาวและภูดิส ซึ่งภูดิสก็ฉากตัวหลบให้อย่างเต็มใจ ผู้ร่วมงานมองมาเป็นตาเดียว อยากรู้ว่าเธอจะทำอย่างไรต่อไป เมื่อคนรักเก่ามาหาถึงที่

“ขอบคุณค่ะ” เธอกล่าวเสียงสั่นน้อยๆ รับมาแต่ไม่มองหน้าคนให้เลยสักนิดเดียว ปรับอารมณ์อ่อนไหวในใจเป็นแข็งกร้าว หันไปจัดการตัดเค้กชิ้นแรก เลี่ยงไปส่งให้ภูดิส ยิ้มหน้าชื่นให้เขา เขารับและขอบใจเบาๆ เหลือบมองคนรักเก่าของหญิงสาวแล้วอยากถอนหายใจดังๆ ประภพมองมาอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ

“สำหรับภู คนดีที่สุดของเรา ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันเสมอ ยามที่เราทุกข์ใจ ขอบคุณมากๆนะ” รัญชิดาขยับเข้าไป สอดแขนเข้ากับเอวชายหนุ่ม ซบหน้าลงกับอกกว้างนิ่งนาน เรียกเสียงฮือฮาจากทุกสายตา บ้างมองอย่างอิจฉา บ้างซุบซิบกันไปต่างๆนานา

และหนึ่งคนที่มองอย่างเจ็บปวด ไม่ใช่ใครอื่น นอกเสียจากประภพ เขาสะบัดหน้า ผละจากไปจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว รัญชิดามองเขาจากไปทางหางตา วูบในอกลึกๆ หากแต่ทำคอแข็งเชิดหน้าไว้อย่างทระนง คนที่ทรยศเธอ ทำให้เธอเจ็บ เขาก็ต้องได้รับความเจ็บปวดนั้นบ้าง

“ว้าย ยัยนางร้าย ปล่อยเดี๋ยวนี้นะยะ มาเกาะแกะของเค้าได้ยังไง ภูเขามีเจ้าของแล้วนะฮ้า จะบอกให้” ธเนศแกล้งทำเสียงเล็กแหลม ท่าทางกระตุ้งกระติ้ง แกะมือรัญชิดาและดันร่างเพรียวให้ออกห่างจากภูดิส แล้วว่าติดตลกอย่างที่จำมาจากลูกค้าสาวประเภทสองคุยกันระหว่างออกกำลังกายที่สปอร์ตคลับของเขา

“ยัยตุ๊กแก เผลอเป็นไม่ได้เชียว กระโดดเกาะอยู่เรื่อย” ฟังดูน่าขำแต่คนถูกตำหนิไม่ตลกไปด้วยสักเท่าไร ภูดิสทำหน้าเหยถามหนุ่มผิวน้ำผึ้งอย่างไม่แน่ใจ

“แกเป็นตุ๊ดตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ไม่รู้ ตอนเป็นไม่ได้ใส่นาฬิกา ไอ้บ้า!ฉันล้อเล่น” เสียงห้าวตะโกนเฉลย ทิ้งท่ากรีดกรายเพื่อนๆอึ้งไปหลายวินาทีปล่อยขำฮาครืนออกมา ภูดิสถอนใจโล่งอกยิ่งทำให้เกิดเสียงหัวเราะขึ้นมาอีกระลอก ภูดิสถอนใจโล่งอกยิ่งทำให้เกิดเสียงหัวเราะขึ้นมาอีกระลอก โจ๊กเด็ดของธเนศทำให้เขาสามารถแยกตัวออกจากรัญชิดาได้ เนื่องจากถูกดึงเข้าไปในกลุ่มผู้ชายซึ่งเอาแต่แซวแกมหยอกเรื่องเมื่อครู่ไม่หยุด

ในขณะที่ธเนศโล่งใจที่เปลี่ยนช็อตเด็ดน่าเก็บไปลือเป็นฉากตลกไปได้ เขาไม่รู้ว่าในอีกมุมหนึ่ง ผู้จัดการส่วนตัวของรัญชิดากำลังยิ้มอย่างสมใจกับผลงานของตัว ตรงรี่ขึ้นไปชั้นบน ห้องของนางร้ายสาว คว้าเอาคอมพิวเตอร์พกพาของตัวเองขึ้นมา จัดการต่อเข้ากับกล้องวีดีโอในมือ ถ่ายข้อมูลลงไป

อิมมี่เปิดเข้าโปรแกรมตัดต่อ เลือกตัดภาพเฉพาะมุมที่มองแล้วดูเหมือนรัญชิดาและภูดิสนั่งคลอเคลียแบบคู่รัก กระเทยสาวร่อนไปทั่วงานพร้อมกล้องวีดีโอในมือ ไม่มีใครรู้ว่ากำลังทำตามแผนร้ายกาจ สอดส่องตามมุมต่างๆเล็งไปที่สองหนุ่มสาว เพื่อหามุมกล้องเหมาะเหม็งชวนให้เข้าใจผิดแบบปาปารัสซี่ เปิดเวปเพจขึ้นมาเตรียมพร้อม เข้าเวปไซต์ชื่อดัง เตรียมตั้งกระทู้เด็ด

“วันหลังรับจ๊อบแอบถ่ายบ้างดีกว่า ฝีมือใช้ได้เลยนะเราเนี่ย คงหาเงินได้อื้อเลย” เสียงใหญ่ดัดให้เล็กชมตัวเองอยู่ในห้องคนเดียว ไม่ทันได้ดูว่าที่ประตูซึ่งเปิดแง้มไว้ มีสายตาอีกสามคู่กำลังจดๆจ้องๆไปที่หน้าจอ คิ้วเล็กๆสามคู่ขมวดพร้อมกัน เมื่อร่างของกระเทยสาวปิดไปมาบนเก้าอี้

“อุ๊ย!ว้าย! ตายๆๆๆ ประตูเขื่อนอย่าเพิ่งเปิดนะ รอเดี๋ยวๆๆๆ” อิมมี่ร้องปรามอวัยวะบางส่วนของตัวเองแล้วก็วิ่งเข้าห้องน้ำไป

สามร่างเล็กๆจึงวิ่งกรูกันเข้ามาที่คอมพิวเตอร์ ภาพบนจอทำให้ทั้งสามตาโตกระซิบกระซาบกันกันเสียงเบา

“โอ๊ะ ดูนี่สิ ปีศาจเกาะอาภูด้วย จะเข้าไปสิงในร่างของอาภูแน่ๆ” นิ้วเล็กๆเคาะไปบนแป้นลูกศร เลื่อนไปภาพต่อไป ตามที่ครูเคยสอนให้ในวิชาคอมพิวเตอร์

“จุ๊บแก้มกันด้วย”

“อ๋า ปีศาจกอดอาภู” สามฝาแฝดร้องเอะอะแบบที่พยายามให้เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ มือน้อยของแม่หนูฟ้าตีไปบนแป้นพิม ไปโดนเข้ากับปุ่มหนึ่ง เกิดหน้าต่างขึ้นมาเป็นภาษาอังกฤษที่ทั้งสามฝาแฝดแปลไม่ออก แต่มีให้เลือกสองอย่าง

“ซี เอ เอ็น ซี อี แอล” แม่หนูมารีนสะกดทีละตัวแล้วเกาหัว

“ซี เอ เอ็น แคน แปลว่ากระป๋อง” แม่หนูบลูตอบมาครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกสามตัวที่เหลือแม่หนูน้อยสั่นหัวด๊อกแด๊ก แปลไม่ออก

“โอ เค แปลว่าตกลง” แม่หนูฟ้าบอกแล้วจิ้มไปปุ่มนั้นทันที ภาพบนหน้าจอหายไปหนึ่งภาพ ทั้งสามร้องอู้ว์

“หายไปแล้ว ฟ้าทำไง เอาใหม่ซิ” แม่หนูบลูถามอย่างตื่นเต้น

“ไม่รู้ ก็ทำแบบนี้” มือน้อยตีไปบนแป้นพิมอีกครั้ง เกิดหน้าต่างเดิมขึ้นมา แม่หนูบลูจิ้มไปบนปุ่มโอเคเลียนแบบแม่หนูฟ้า ภาพอีกภาพหนึ่งหายไปอีก

“โอ้ อย่างนี้เอง” สามฝาแฝดทำต่อไปอีกเรื่อยๆ จนถึงสามภาพสุดท้าย แม่หนูมารีนคว้ากล้องวีดีโอเครื่องเล็กมาดู จิ้มมั่วๆไปบนหน้าจอสัมผัส หน้าจอที่นิ่งอยู่กลับเปลี่ยนเป็นภาพอีกสองแฝด ประตูห้องเปิดผางออก ร่างเพรียวก้าวเข้ามาตวาดเสียงดังเมื่อเห็นผู้แปลกปลอมทั้งสาม

“ทำอะไรน่ะ เด็กบ้า!” รัญชิดาตวาดลั่น รี่เข้าไปหากลุ่มเด็กที่กลุ้มรุมอยู่หน้าคอมพิวเตอร์พกพา สามฝาแฝดผงะ ทิ้งของในมือลงที่เดิม ร้องกรี๊ดไปรวมกันอยู่อีกมุมห้อง นางร้ายสาวร้องหาผู้จัดการส่วนตัวลั่น ฝ่ายหลังเปิดประตูห้องน้ำกุมท้องออกมา ร้องบ่น

“อะไรกันคะคุณน้อง ร้องเสียงดังลั่นไปหมด อ้าว แล้วนั่นเด็กที่ไหนคะเนี่ย”

“ทำอะไรอยู่ ไม่รู้จักดู ปล่อยให้เด็กบ้าพวกนี้มายุ่งกับคอมพิวเตอร์ได้” หญิงสาวชี้กราดไปที่สามฝาแฝด

“คุณพี่เขื่อนแตกค่ะ สงสัยเพราะซูชิปลาดิบแน่ๆเลย”

“ไปเช็คดูซิ ว่ามีอะไรเสียหายบ้างรึเปล่า” รัญชิดาสั่ง อิมมี่ทำปากขมุบขมิบไปตรวจดูแล้วร้องเสียงดัง หน้าตาเลิ่กลั่ก

“รูปๆๆ ไปไหนหมดล่ะ ว้าย! แม่เจ้า ในกล้องนี่ก็ไม่มี” ภาพในหล้องวีดีโอที่ถ่ายไว้ทั้งหมดถูกอัดทับด้วยฝีมือแม่หนูน้อยมารีนไปแล้ว

“ต้องเป็นไอ้เด็กบ้าพวกนี้แน่ ฮึ้ย!” นางร้ายสาวตวัดสายตาโกรธเกรี้ยวไปทางทั้งสามซึ่งตัวสั่นลนลาน

“กรี๊ด!!! ปีศาจมาแล้ว ช่วยหนูด้วย” สามฝาแฝดพล่านวิ่งไปทั่วห้อง ปีนป่ายขึ้นตามที่สูง ทั้งตู้ โต๊ะ เตียง ปัดของตามชั้นลงมาใส่นางร้ายสาว ป้องกันตัวจากมือปีศาจที่ไล่ตะครุบ รัญชิดาหัวหมุนไม่รู้จะจับใครก่อนดีวิ่งตามคว้าตัวมั่วไปหมดเช่นกัน

“กรี๊ด!!! ป๊ะป๋าจ๋า ช่วยหนูด้วย” หนูน้อยทั้งสามวิ่งกรูกันออกมาจากห้องร้องลั่นๆไปทั่ว เสียงเอะอะดังลอดลงมาถึงห้องข้างล่าง รัญชิดาคว้าตัวแม่หนูบลูที่วิ่งช้าที่สุดได้ มือเรียวฟาดไปที่ก้นดังป้าบ หนูน้อยร้องไห้จ้า น้ำตาร่วงพรู เรียกหาพ่อและฝาแฝดอีกสองคนที่วิ่งนำหน้า

“แงๆๆๆ ป๊ะป๋า ฟ้า มารีน ช่วยด้วย ฮือๆๆ”

“ร้องทำไม เงียบเดี๋ยวนี้นะเด็กบ้า” สิ้นเสียงตวาดแว้ด สองฝาแฝดก็วิ่งกรูกันเข้ามาทั้งเตะทั้งตีนางร้ายสาวชุลมุนไปหมด

“ปล่อยนะ ปีศาจใจร้าย ปล่อยบลูนะ”

“ป๊ะป๋าๆๆๆ ปีศาจจะตีบลู ป๊ะป๋าช่วยด้วย”

รัญชิดาร้องโอยด้วยความเจ็บปวด ถึงแม้จะเป็นแรงเด็ก แต่หากโดนเข้าหลายครั้งเข้าก็เจ็บได้เหมือนกัน นางร้ายสาวผลักร่างป้อมทั้งสามให้ออกห่าง แต่ออกแรงมากไปสามฝาแฝดเลยล้มกลิ้ง แผดเสียงร้องระงม เรียกความสนใจให้ผู้ที่ขึ้นมาตามเสียงให้รีบเร่งเข้าใกล้ที่เกิดเหตุมากขึ้น

“อะไรกันน่ะ รัน” ภูดิสร้องถามเป็นคนแรก เมื่อเห็นหลานร้องไห้จ้าล้มกลิ้งอยู่กับพื้นรอบกายของรัญชิดา ตรงเข้าประคองร่างหลานทั้งสามพร้อมกับธเนศและคนอื่นๆที่ตามมาด้วยกัน ต่างอุ้มขึ้นมาปลอบกันเป็นการใหญ่

“ฮือ เจ็บ” แม่หนูน้อยร้องครวญ

“ฟ้า บลู มารีน ใครทำอะไรครับ บอกอาสิ” ภูดิสถามอ่อนโยน ลูบหลังไหล่หนูน้อยไปมาอย่างปลอบประโลม

“ปีศาจ ตี เจ็บ” แม่หนูมารีนสะอึกสะอื้น ชี้ไปที่หญิงสาวเจ้าของบ้าน ทุกสายตาเลื่อนไปมอง

“รัน ตีหลานทำไม” ธเนศถามเสียงดุ ไม่ว่าเด็กทั้งสามจะทำอะไร เขาก็เห็นว่าการลงโทษด้วยการตีไม่ทำให้เด็กสำนึกผิดได้ ซ้ำยังเป็นการทำรุนแรงอีกด้วย

“สามคนนี่ มาเล่นคอมฯฉัน ลบข้อมูลจนเสียหายหมด”

“อะไรเสียหายบ้าง” คำถามนี้เล่นเอานางร้ายสาวนิ่งงัน อยากบอกแต่ก็พูดไม่ได้

“รูป สมุนปีศาจ...ฮือ...บอกว่ารูปหาย” แม่หนูฟ้าเฉลย

“รูปอะไรครับ ฟ้า”

“รูปในนั้น อาภูจุ๊บแก้มปีศาจ มีเต็มไปหมดเลย”

“อะไรนะ! อยู่ไหน พาอาภูไปดูหน่อยซิ” ภูดิสขมวดคิ้วมุ่น ถามอย่างตกใจ อุ้มแม่หนูน้อยขึ้น เดินลิ่วไปทางห้องนอนหญิงสาวตามที่แม่หนูฟ้าบอก ทุกคนรี่ตามมา รัญชิดาร้องห้ามแต่ไม่มีใครฟัง

“อันนี้ๆ” หนูน้อยทั้งสามชี้ไปยังคอมพิวเตอร์ที่เปิดค้างอยู่เป็นทางเดียวกัน รูปที่เหลืออยู่ค้างบนหน้าจอ สามรูปสุดท้ายที่ยังไม่ถูกลบไป กล้องวีดีโอยังต่ออยู่กับเครื่อง ที่สำคัญคือหน้าเวปไซด์ที่เปิดค้างไว้ ฟ้องการกระทำได้ชัดเจน

นางร้ายชื่อดังสวีทหวานจ๋อยในงานเลี้ยงวันเกิดกับนักธุรกิจ

“บ้าเอ๊ย!คิดได้ไงเนี่ย น่าเกลียดสุดๆ” ธเนศสบถเสียงดัง เสียงซุบซิบดังขรม

ภูดิสพูดไม่ออก รูปเหล่านั้นชวนให้เข้าใจผิดด้วยมุมกล้อง ทั้งๆที่ไม่มีอะไรแบบนั้นเลยสักนิด เพื่อนร่วมกลุ่มในงานต่างเป็นพยานได้ เขาหน้าเครียด ผิดหวังในการกระทำของหญิงสาวมาก ลบรูปเหล่านั้นออกด้วยตัวเองแล้วพับคอมพิวเตอร์ปิดอย่างแรงด้วยอารมณ์โกรธ เขาผลุนผลันออกจากห้องผ่านหน้ารัญชิดาซึ่งยืนตัวสั่นอยู่หน้าประตู

“ภู เรา...” เธอคว้าแขนเขาไว้ เขาปลดมือเธออกแล้วตรงดิ่งออกไปแต่เธอไม่ยอมปล่อย ยังคงคว้าไว้อีก

“ภู คือว่า…”

“ไม่ต้องพูดอะไรแล้วรัน” เขาแทรกขึ้น “เราผิดหวังมาก ไม่คิดว่ารันจะทำอีก เราคิดว่ารันจะเข้าใจแล้ว เราไม่คิดอะไรกับรันอีก”

“แต่คิดกับยัยเด็กนั่น ทำไม” ทั้งที่เธอกลับมาหาเขาแล้ว ยอมเป็นฝ่ายถูกเลือก ลงสนามแย่งชิง แต่ผลลัพท์กลับไม่ได้ดังใจ

“ใช่ แต่มันไม่มีเหตุผลที่ทำให้เราคิด รู้อย่างเดียวคือเขาทำให้เรายิ้มได้เพียงแค่ได้ยินเสียง ทำให้เราปล่อยวางมาดทุกอย่างที่เคยทำกับคนนอกครอบครัว เวลาอยู่กับหนูนิเราสบายใจที่สุดอย่างไม่เคยเป็น แม้แต่ตอนที่เราเคยชอบรัน” ภูดิสบอกตามที่ใจรู้สึก

“เลิกทำอย่างนี้เสียทีนะรัน เราขอร้อง ถ้ารันไม่หยุด เราจะไม่ยอมอีกต่อไป” พูดจบแล้วเขาก็จากไป ไม่ฟังคำตอบจากเธออีก รัญชิดาน้ำตาเอ่อ ตอนนี้เธอหมดหวังแล้วจะได้เขามาเคียงข้างคอยปลอบใจ เธอคงต้องอยู่เพียงคนเดียว มองเพื่อนมากหน้าหลายตาที่จับจ้องมาที่เธอ หลากหลายความรู้สึก แต่แน่ใจได้เลย ไม่มีใครเห็นใจและสงสารสักคน

รัญชิดาวิ่งไปอีกห้องหนึ่ง ปิดประตูทรุดลงนั่งอย่างอ่อนแรง น้ำตาไหลเป็นทางในความมืดมิด เสียงเพลงจากด้านล่างยังคงดังแว่วมาให้ได้ยิน เธอลุกเดินไปเปิดม่าน มองลงไปด้านล่าง แขกเหรื่อทยอยกันกลับ ต่างโบกมือลากันยิ้มแย้ม บ้างกลับด้วยกัน อีกหลายคนจับกลุ่มพูดคุยกันอย่างออกรส แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องของเธอ รถคันแล้วคันเล่าทยอยกันออกไปจากบริเวณบ้านเธอ สุดท้ายก็ไม่เหลือสักคัน มีเพียงเธอในความมืดมิด เงียบงัน เพียงคนเดียวในบ้านหลังใหญ่



-----------โปรดติดตามตอนต่อไป-------------


//punnarm-farin.bloggang.com


*;...คุยกันนิดหน่อยกับฟ้าริน...;*
โอย เขียนไปเขียนมา ยาวปรื้ดอีกแล้ว หวังว่าทุกคนคงไม่จ้องตคอมกันจนตาบอดไปซะก่อนนะคะ หากทำใครปวดตา ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย แฮะๆ

kikkak_riwkiw - เอาเลยจ๊ะ ตามสบาย เขียนคอมเม้นละตัวก็ไม่ว่า

g - ใจดีจังเลย สงสารพี่ภูด้วย แล้วคราวนี้จะสงสารนางร้ายด้วยรึเปล่าคะ

Smillzz - ทายผิดอีกแล้ว คราวนี้ส่งมาซะดีๆ เก็บตังค์ค่ะเก็บตังค์

une playful pizzicato- รอนานเหงือกแห้ง แต่ฟ้ารินว่าตอนนี้คงอ่านกันตาโบ๋แน่เลยค่ะ

ยารีส - เอามาส่งแล้วนะคะ ตามคำทวงเลยค่ะ ยาวปรื้ดเลย สะใจเลยนะคะ




Create Date : 31 สิงหาคม 2550
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2551 17:59:25 น.
Counter : 320 Pageviews.

4 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  

ปั้นน้ำกะฟ้าริน
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]








  • งานเขียนใน Blog นี้ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายลิขสิทธิ์ ไม่อนุญาตให้คัดลอก หรือ ดัดแปลงเนื้อหา นำไปเผยแพร่ต่อที่อื่นๆ ทุกรูปแบบ

  • Thanks design by freepik


Designed by Freepik