All Blog
จัดรักให้ลงล็อค บทที่14(ครึ่งแรก)



บทที่ 14(ครึ่งแรก)



บทที่ 14(ครึ่งแรก)

“ตัวอะไรวะเนี่ย” เสียงทุ้มของเจ้าของบ้านตั้งคำถามกับเพื่อนผิวน้ำผึ้งที่หน้าหงิกงอเป็นจวักมาทิ้งตัวลงบนโซฟาข้างตัว เสื้อผ้ายับย่น ที่แก้มมีรอยแดงเป็นปื้นห้าแถบ ดูคล้ายๆเป็นรอยมือยังไงไม่รู้

“คนโว้ย คน ถึงตอนนี้จะสภาพดูไม่ค่อยได้ก็เหอะ” เสียงห้าวตวัดห้วนอย่างโมโห

“ไปทำอะไรมาคะเนี่ย คุณธเนศ” นิศากรถาม ตากลมฉายแววสงสัย

“ชะอุ๊ย น้องนิก็อยู่ด้วยเหรอเนี่ย โอย...เสียภาพพจน์ชะมัด” ธเนศปิดหน้าหนีอายกับสภาพไม่หน้าดู ทั้งเสื้อผ้าหน้าผม เละอย่าบอกใคร “เป็นเพราะน้องแกนั่นแหละ แสบนักนะ” หนุ่มผิวน้ำผึ้งครางและเสียงเขียวฟ้องเพื่อนสนิทอย่าคับแค้น

“ฮะๆๆๆ” แพรพรรณส่งเสียงหัวเราะเยาะเย้ยมาก่อนตัว “เอ๋...หนูนิ มาอยู่นี่ก็ไม่บอก เราจะได้ไม่ต้องไปเสียเวลาเสียอารมณ์ที่อื่นตั้งนานสองนาน แต่จะว่าไปก็ไม่ได้แย่อะไรมากมาย จะเล่าให้ฟังนะ” เสียงเล็กเจื้อยแจ้วกับเพื่อนสาวอย่างสนุกสนาน

“ยัยเปี๊ยก เงียบไปเลย!” เสียงห้าวดังขัดขึ้นอย่างโมโห จะมาเผากันสดๆต่อหน้าให้ฟังเชียวเรอะ ใจร้ายๆๆๆๆ ผู้หญิงอะไรเนี่ย ไม่มีความน่ารักเลยสักนี๊ดดดดดดดดดดเดียว

“อย่ามาเสียงดัง เดี๋ยวโดนดีอีกหรอก”

“เชอะ ผู้หญิงใจร้ายๆเกินไปแล้ว” ธเนศโวยวาย ชี้ให้ดูสภาพตัวเขาที่ถูกดึงทึ้งแถมอับอายต่อหน้าประชาชีอีก

“เหอะ ช่วยไม่ได้ ดวงนายมันจะซวยเองต่างหาก ยังไงก็หนีไม่พ้นมาโทษกันไม่ได้หรอก” แพรพรรณเชิดหน้าใส่ ไม่ยอบรับข้อกล่าวหา

“แต่เธอเป็นคนก่อเรื่อง งานนี้ฉันอาจจะเสียลูกค้าวีไอพีไปอีกคนก็ได้ โธ่...คุณลูกค้าของฉัน” หนุ่มผิวน้ำผึ้งโวยต่อว่างานนี้อาจกระทบถึงธุรกิจของเขาก็เป็นได้

“ขาดคุณลูกค้าระเบิดลูกตุ้มนั่นไปสักคน สปอร์ตคลับนายไม่เจ๊งหรอกน่า” แพรพรรณอ้อมแอ้มตอบ หวั่นเกรงว่าเธออาจก่อเรื่องให้ธเนศอย่างนั้นก็ได้ ต้องโทษยัยนั่นต่างหาก นอกจากใช้สายตาหมิ่นๆแล้วยังคำพูดที่ว่าเธอเป็นเด็กไม่โตผสมปนเปกับความหงุดหงิดที่ถูกปล่อยทิ้งไว้เหมือนว่าเธอไม่มีความสำคัญ เป็นบุคคลที่ถูกลืมและความโมโหหิว ไม่งั้นเธอไม่บ้าจี้ทำอะไรบ้าๆแบบนั้นแน่


‘ยัยเปี๊ยก ไปรอที่ในร้านก่อนเลย เดี๋ยวตามไป’ ธเนศบอกกับแพรพรรณแล้วปลีกตัวมุ่งเข้าไปในอีกร้านที่อยู่ใกล้เคียงกัน ไม่เหลียวหลังกลับมามองร่างเล็กที่ยืนงง

แพรพรรณถูกธเนศลากแกมขอร้องให้มาช่วยหาซื้อของขวัญให้แก่ผู้มีอุปการะคุณกับสปอร์ตคลับของธเนศ โดยเขาต้องใจจะเลือกด้วยตนเองแต่ติดที่ว่าเขาไม่ค่อยมีเทสในเรื่องนี้สักเท่าไหร่ ก็ไม่ใช่สาวๆนี่นา โดยหลอกล่อว่าระหว่างทางจะได้ช่วยกันปรึกษาหารือเรื่องรัญชิดาไปด้วย แต่ก็ไม่ได้อะไรเพิ่มเติมจากเดิมสักเท่าไหร่ ดูเหมือนจะเป็นแค่ข้ออ้างหลอกใช้เสียมากกว่า

มือบางคว้าโทรศัพท์ขึ้นมากดเป็นรอบที่สาม หลังจากรอบแรกได้รับคำตอบว่า

‘รอเดี๋ยว อีกสิบนาทีไป อย่าเพิ่งชิงกินก่อนล่ะ ไม่งั้นไม่จ่ายนะ’

สิบนาทีต่อมาท้องเธอเริ่มร้อง กลิ่นอาหารที่ย่างบนเตาบนโต๊ะทั้งหลายลอยมาเตะจมูกยิ่งเรียกน้ำย่อยให้ออกมามากกว่าปกติ แพรพรรณโทรไปเรียกเจ้ามืออีกครั้ง

‘ตื้ด ตื้ด ตื้ด ตื้ด...กรุณาฝากข้อความหลังเสียงสัญญาณ’ ปลายสายตัดสัญญาณเธอทิ้ง หญิงสาวกดตัดสายไม่ฝากข้อความใดๆ วินาทีต่อมา เธอได้รับข้อความ

อีกห้านาที กำลังคุยธุระอยู่

‘อ้าว แล้วก็ไม่บอก รออีกนิดนะลูกนะ อย่าร้องงอแงนะจ๊ะ” แพรพรรณลูบท้อง ร้องบอกกระเพาะอาหารตัวเองให้สงบเข้าไว้

ห้านาที

สิบนาที

ยี่สิบนาที

และเป็นสามสิบนาที

‘โอ๊ย...ไม่ไหวแล้ว หิวไส้จะขาด เธอรอมาเกือบชั่วโมงแล้ว’ แพรพรรณลุกออกจากร้านไป ร้านที่เธอมานั่งรอธเนศอยู่นี่ ไม่เหมาะแก่การมาทานอาหารคนเดียว อาหารชุดปิ้งย่างต่างๆมากมายเกินกว่ากระเพาะเธอคนเดียวจะรับไหว มือบางคว้าถุงของขวัญของธเนศติดมือเพื่อเอาไปให้เขาและบอกว่าเธอจะขอแยกไปกินก่อนและปล่อยให้เขาคุยธุระต่อไป

แพรพรรณก้าวเข้ามาในร้านที่เธอเห็นหนุ่มผิวน้ำผึ้งหายเข้ามา ดวงตาโตสอดส่ายหาเพื่อนพี่ชายจนพบ แพรพรรณตรงเข้าหา ตั้งใจจะเข้าไปขัดจังหวะอย่างสุภาพเรียบร้อยที่สุด แต่สิ่งที่ค่อยๆเข้ามาปรากฏในสายตาเรื่อยๆคือหญิงสาวสวยคม แต่งตัวโฉบเฉี่ยวด้วยชุดเกาะอก นั่งกระแซะบนเก้าอี้ยาวตัวเดียวกับหนุ่มผิวน้ำผึ้ง ป้อนอาหารใส่ปากกันจิ๊จ๊ะ

‘อร่อยมากมั้ยคะ คุณธเนศขา’ แพรพรรณถามเสียงแข็ง โยนถุงของขวัญของเขาโครมลงบนโต๊ะ

‘ว้าย! อะไรกันเนี่ย’ หญิงสาวร้องวีดว้ายเสียงแหลม มองผู้กระทำการอุกอาจตาขวาง

‘เฮ้ย...อ้าว...แพร’ ตายละหว่า ธเนศลืมไปเสียสนิทว่าเขาบอกให้แพรพรรณรอเขาอยู่ที่ร้านนานเท่าไหร่แล้วเนี่ย เขากำลังกล่อมให้สาวข้างกายยอมเทกระเป๋าให้โปรโมชั่นตัวใหม่ แต่มันกลับเลยเถิดไปจนเกินเวลาและเกินหน้าที่ที่เคยตั้งใจไว้แต่เดิม

‘นี่เหรอ...ธุระ คงเป็นเรื่องสำคัญมากทีเดียว ถึงได้กล้าลืมทิ้งให้ฉันคอยอยู่ได้เกือบชั่วโมง’

‘เอ่อ…’ เวรกรรม เอาไงดีวะเนี่ย

’ถ้าไม่คิดจะกลับไปก็ไม่ต้องถ่วงเวลาคนอื่นเขา’ แพรพรรณมองหน้าคมแหยเหมือนไม่รู้จะทำยังไงแล้วอยากซัดสักเปรี้ยง

‘อะไรกันคะธเนศ เด็กนี่มีสิทธิ์อะไรมาว่าคุณฉอดๆอย่างนี้คะ ไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่’ กิ๊ฟปลายตามองตำหนิชัดแจ้งตั้งแต่หัวจรดเท้า สาวสวยที่นั่งกระแซะชายหนุ่มส่งเสียงแหลมสูงเสียดแก้วหูมาท้วงแทนหนุ่มผิวน้ำผึ้ง เพราะทนเห็นอาการเบื้อใบ้ของเขาไม่ได้ อีกทั้งยังอยากประกาศให้รู้ว่าเธอก็อยู่ที่นี่เช่นเดียวกันและหวั่นเกรงท่าทีกังวลกับความโกรธของเด็กสาวที่เธอยังไม่รู้ว่าเป็นใคร

ท่าทีที่แพรพรรณกัดปาก ขยับตัวก้าวเข้ามาชิดขึ้นอีกอย่างเอาเรื่องคนแปลกหน้าที่มองเธออย่างตำหนิและข่มด้วยความเป็นผู้ใหญ่กว่าทั้งอาวุโสและสรีระร่างกาย ทำให้ธเนศผลุดลุกมายืนกั้นทางสายตาฟาดฟัน กลืนน้ำลายลงคอแล้วแทบสำลัก เมื่อลูกค้าวีไอพีสาวของเขาดันไปเขี่ยต่อมระเบิดของยัยเปี๊ยกเข้าแล้ว

‘เวรของกรรม คุณกิ๊ฟครับ พูดอะไรแบบนั้นครับ แพร...ฉันขอโทษเป็นอย่างสูงที่ลืมเธอ เดี๋ยวจะชดใช้ให้ แต่อย่ามีเรื่องเลยนะ ไปเถอะ’ เขาพยายามไกล่เกลี่ยหากไม่มีผลใดๆที่ดีขึ้นกลับมา ยิ่งแพรพรรณเห็นที่คนบอกว่าตนเองเป็นผู้ใหญ่มาเกาะแขนอีกข้างของธเนศ ลอยหน้าลอยตาถามหน้าตาเฉยว่า

‘กิ๊ฟพูดอะไรผิดเหรอคะธเนศ ตกลงเด็กตัวกระปิ๊ดนี่ใครคะ มาทำเสียมารยาทอยู่ได้’

‘นี่ เด็กงั้นเหรอ ฉันเนี่ยนะเด็ก คุณเอาอะไรมาวัดว่าฉันเด็กไม่ทราบ’ กิ๊ฟตอบคำถามด้วยการหัวเราะเบาๆจ้องไปที่ตัวของแพรพรรณแล้วกลับมายืนอกท้าทายต่อ แพรพรรณหน้าแดงด้วยความโกรธและอายข้อด้อยที่เถียงไม่ขึ้น ธเนศก็เช่นเดียวกันหน้าแดงเล็กน้อย แต่เป็นเพราะเขินการข่มกันแบบแปลกๆของผู้หญิง

‘ไอ้นี่น่ะเหรอ ตำราไหนสอนคุณไม่ทราบ ฉันนึกว่าเขาวัดกันที่สมองและการปฏิบัติตัวเสียอีก ตัวอย่างเช่น ผู้หญิงดีๆและมีความคิดเป็นผู้ใหญ่แบบที่ฉันนับถือ เขาจะไม่ทำตัวเป็นปลาหมึก นัวเนีย เกาะแกะกับผู้ชายกันหรอก’

แม้จะโกรธแต่แพรพรรณก็โต้ได้กลับเจ็บแสบ ทำเอากิ๊ฟหน้าม้าน ชาดิกไปทั้งหน้า แล้วก็กรี๊ดเสียงแหลม เมื่อมือเล็กของแพรพรรณเอื้อมมาทาบเข้ากับหน้าอกที่เธออวดเบ่งเมื่อครู่

‘เฮอะ ว่าแล้วเชียว เสียเงินซื้อซิลิโคนอัดเข้าไปเท่าไหร่ล่ะเนี่ย ระวังมันจะเน่าจนต้องตัดทิ้ง ทีนี้ละคงไม่เหลือให้บึ้มเป็นระเบิดลูกตุ้มแบบนี้แน่...อุ๊บ’

มือใหญ่ปิดปากเล็กที่ซอยฉับๆสับหญิงสาวอีกคนไม่เลี้ยง คว้าเอวน้องสาวเพื่อนปากจัด ทำท่าจะลากออกไป แต่อีกฝ่ายจิกเท้าไว้มั่น ทั้งดิ้นทั้งทุบให้ปล่อยจะได้จัดการฉะให้แหลกสะใจ

‘พอแล้วยัยเปี๊ยก’ เสียงก้มลงดุแพรพรรณ

‘ธเนศ คุณปล่อยยัยเด็กนี่นะ ปากเสียขนาดนี้มันต้องโดน’ กิ๊ฟดึงร่างเล็กและพยายามแกะมือของชายหนุ่มออกด้วยความริษยาและเจ็บใจ สองมือแข็งแรงหรือจะสู้สี่มือได้ แขนแข็งแรงหลุดออกจากร่างเล็ก แพรพรรณเป็นอิสระแต่ก็ติดกับดักอีกหนึ่งสาว

กิ๊ฟเงื้อมือขึ้นและตวัดลงอย่างแรง หมายมั่นจะลงฝ่ามือไปที่แก้มและปากบนใบหน้าเรียว ตาคมรับภาพตรงหน้าอย่างตะลึง ยัยเปี๊ยกกำลังจะถูกทำร้าย มือหนากระตุกร่างเล็กให้หลบพ้นรัศมีและก้าวเข้ารับแรงฝ่ามือนั้นแทน

เพี๊ยะ!!! เสียงมือกระทบครึ่งแก้มสากอย่างจังจนชาวาบและปรากฏเป็นรอยนิ้วขึ้นทันตา คนทั้งร้านมองมาเป็นตาเดียว บางคนทำท่าซุบซิบ บางคนซี๊ดปากเจ็บแทน ส่วนสองสาวทำปากหวอ

‘พอใจกันรึยังครับ’ ธเนศถาม ยกมือกุมแก้มข้างนั้นไว้

‘กิ๊ฟขอโทษ เจ็บมากมั้ยคะ กิ๊ฟไม่ได้ตั้งใจนะ’ หญิงสาวกระวีกระวาดมาสำรวจรอยฝีมือที่ฝากไว้หน้าเสีย ‘เพราะเธอนั่นแหละ เด็กบ้า’

‘อ้าวๆ ยัยป้าระเบิดลูกตุ้ม มาโทษกันอย่างนี้ได้ไง นายดำนี่มารับฝ่ามือเธอแทนฉันเองนะ’ แพรพรรณเถียง ธเนศช่วยกันเธอไม่ให้ถูกทำร้าย ยื่นหน้าไปรับกรรมแทนเธอเอง เธอไม่ได้ผลักเขาเข้าไปสักหน่อย

‘ไม่จริง ธเนศคุณช่วยยัยเด็กนี่ทำไมคะ คุณก็เห็นว่าสมควรจะโดน ในฐานะที่มาล่วงเกินกิ๊ฟ ไปช่วยมันทำไมคะ ทำไมตอบมานะ…’ สาวระเบิดลูกตุ้มโวยและดึงทึ้งทั้งแขนทั้งเสื้อจนยับเยินขอคำตอบจนเขาเซไปมา ธเนศปวดหัวจี๊ดกับเสียงแหลมเสียดประสาทที่ง้องอแง้งข้างหู

‘โอ๊ย!!! คุณเลิกเขย่าผมเสียที’ ธเนศว่าเสียงดัง สะบัดแขนออก แล้วเสริมต่ออีกว่า ‘คุณกิ๊ฟครับ มีใครเคยบอกคุณบ้างไหมว่าคีย์เสียงของคุณมันสูงมาก ผมแสบแก้วหูไปหมดแล้ว แล้วตอนนี้ผมก็หน้าชาไปแถบนึง เพราะแรงมือของคุณซึ่งอาจเป็นผลมาจากการออกกำลังกายที่สปอร์ตคลับของผม ผมรู้สึกยินดีที่คุณแข็งแรงขนาดนี้ แต่คราวหลังไม่ต้องมาวัดความแข็งแกร่งด้วยการตบตีคนอื่นแบบนี้อีก ผมรับไม่ได้ ลาละครับ ยัยเปี๊ยก!กลับบ้าน’

ธเนศสั่งแพรพรรณเสียงดุ แต่ร่างเล็กไม่ขยับเพราะยังอึ้งกับฝีปากของเขาที่ตอกใส่หน้าลูกค้าวีไอพีของเขาด้วยตัวเอง มือแข็งแรงจึงกลับมาคว้าแขนเล็กดึงออกจากร้านไปอย่างเร็ว



“ฉันอายมากเลยต้องรีบเดินออกมา สาบานเลยว่าฉันจะไม่เข้าไปเหยียบร้านนั้นอีก ให้ตายสิ ฉันเพิ่งด่าลูกค้าวีไอพีเจ้าบุญทุ่มของฉันไป ฉันทำไปได้ยังไงวะ แกช่วยฉันคิดหน่อยเหอะ” หนุ่มผิวน้ำผึ้งถามอย่างไม่เข้าใจตัวเอง

“ฉันก็ไม่รู้แก แต่ก็ขอบใจที่ช่วยยัยแพรวะ” ภูดิสขอบคุณเพื่อนที่ออกรับแทนน้องสาวของเขาหลังหัวเราะสีหน้าเอ๋อ ไม่เข้าใจของเพื่อน

“แกนี่เป็นคนมีจิตสำนึกดีนะ ไม่เห็นเหมือนน้องแกเลย ไม่รู้จักบุญคุณ” ตาคมหวานของธเนศปลายตามองแพรพรรณ เธอทำปากยื่นแลบลิ้นใส่เขา บอกว่า

“ถือว่าเจ๊ากันย่ะ ค่าที่นายปล่อยให้ฉันรอเป็นชาติ”

ปิ๊นๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

เสียงกดแตรอย่างไม่เกรงใจเป็นสัญญาณยุติการถกเถียงลงชั่วคราว ภูดิสลุกขึ้นไปดูเป็นคนแรก ประตูรั้วเปิดพร้อมรถยนตร์แล่นเข้ามาอย่าเร็วแรง ร่างเพรียวถลาลงจากรถไปหาเจ้าของบ้านหนุ่มและกิดเขาไว้แน่น ไม่สนใจสายตาอีกสามคู่ที่มองมา

“ภู...ภูช่วยเราด้วย”

“รัน”



-----------โปรดติดตามตอนต่อไป-------------


//punnarm-farin.bloggang.com


*;...คุยกันนิดหน่อยกับฟ้าริน...;*
ทุกคนคะ เอาครึ่งแรกไปก่อนนะคะ เดี๋ยวครึ่งหลังจะตามมาอีกไม่ช้าแน่นอนค่ะ พอสอบเสร็จก็รีบมานั่งปั่นแลยค่ะ

ขอขอบคุณสำหรับคำอวยพรทุกคำนะคะ

Ormmie - เอามาให้ติดตามอย่างต่อเนื่องสำหรับคู่หนูแพรนะคะ ตอนนี้นายธเนศเป็นไงบ้างคะ

g - สำหรับบทหวานๆที่ขอมา ฟ้ารินจัดให้! เป็นบทบู๊ของหนูแพรไปก่อนนะคะ แฮะๆ ขอโทษทีค่ะ

ผู้ติดตาม - มาส่งครึ่งแรกก่อนค่ะ แล้วครึ่งหลังจะตามาค่ะ


kikkak_riwkiw - เอ้า เอามาส่งแล้วนะจ๊ะ 555 สรุปว่าพี่ฝันดี มันเลยออกมาเป็นแบบนี้ ส่วนครึ่งหลังรู้สึกว่าพี่จะค่อนข้างฝันร้าย









Create Date : 29 กรกฎาคม 2550
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2551 18:10:37 น.
Counter : 228 Pageviews.

1 comment
จัดรักให้ลงล็อค บทที่13



บทที่13



แพรพรรณนั่งสูดอากาศหายใจเข้าลึกๆบนโซฟาที่มุมหน้าต่างบานหนึ่ง รับออกซิเจนจากต้นไม้ขนาดกลาง ตัดแต่งพุ่มเสียกลมดิกอย่างกับลูกอม ที่กระถางสูงเจ้าของห้องจับผูกโบว์น่ารักไว้ประดับ
แต่ตอนนี้เธออยากดึงมันออกมาผูกคอ คนที่นั่งเต๊ะจุ้ย ตัวดำเป็นเหนี่ยง อยู่กลางห้องทำงานของเธอโดยไม่ได้รับอนุญาตนี่ให้ตาเหลือกตาปริ้นไปเลย

เมื่อครู่ใหญ่ที่เธอทิ้งห้องทำงานไป ไม่นึกว่ากลับมาจะมีอะไรสักอย่างเข้ามาสิงสถิตยึดครองโซฟาตัวยาวสไตล์โมเดิร์นของเธอ ธเนศผายมือแล้วตบลงที่ว่างข้างๆเป็นเชิงเรียกให้เธอนั่ง วางท่าอย่างกับเธอเป็นแขกแล้วเขาเป็นเจ้าของห้องเสียเอง

“ว้าย! นายดำ เข้ามาได้ยังไง”

“นี่เรียกให้มันดีๆหน่อย ฉันเป็นพี่เธอนะ” หนุ่มผิวน้ำผึ้งเอ็ดเสียงเขียว เรียกร้องสิ่งที่ควรปฏิบัติต่อเพื่อนพี่ชาย แต่ผลที่ได้คือปากเล็กเบะออกเหมือนสิ่งที่เขาพูดเมื่อกี้ไม่น่าเห็นด้วยเลยสักนิด

“ยัยเปี๊ยก เจอหน้าไม่ไหว้แล้วยังทำท่ากวนอีกนะ” มือใหญ่ยกขึ้นชี้หน้าหญิงสาวคาดโทษ ยกมารยาทการแสดงความเคารพผู้อาวุโสขึ้นมา แพรพรรณไหว้ส่งๆอย่างเสียงไม่ได้แล้วทำท่าเชิดหน้าใส่ ธเนศเลยได้ฉุนอีกเป็นรอบสอง

ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ที่แพรพรรณตั้งแง่ง่อนแง่นใส่ พอรู้ตัวอีกที ยัยตัวเปี๊ยกกลับกลายจากเด็กกวนแต่น่ารัก อารมณ์ดี พอเจอก็วิ่งโร่มาคุยไม่หยุดปาก กลายเป็นยียวนกวนอารมณ์กันอย่างไม่นับถือ แถมยังปากจัดใส่อย่างที่เห็นนี่เสียแล้ว

“แน่ะ ไม่สวย ไม่รับ ทำใหม่เดี๋ยวนี้” ชายหนุ่มจึ๊ปากหงุดหงิด วิญญาณครูระเบียบเข้าสิง ต่อว่าเสียงดุไม่ชอบใจในกิริยาของน้องสาวเพื่อน

“ไม่รับก็อย่ารับ ทำได้แค่นี้แหละ ฮึ!” แพรพรรณไม่ใส่ใจ เดินไปวางแฟ้มที่โต๊ะทำงาน “ออกไปได้แล้ว ชิ่ว!” แพรพรรณโบกมือไล่ประกอบเสียง เล่นเอาธเนศรู้สึกเหมือนเป็นไอ้ด่างไร้ค่า

“ไล่เลยเหรอ ยัยเปี๊ยก เกินไปแล้วมั้ง” ธเนศหน้าบึ้ง ก้าวอาดๆมายืนจังก้า แพรพรรณเงยหน้าท้าความสูงที่ไม่น้อยไปกว่าพี่ชายเกินสามเซนติเมตร ดวงตาคมสวยหวานราวกับผู้หญิงของหนุ่มผิวน้ำผึ้งจนบางครั้งแพรพรรณอดอิจฉาไม่ได้ จ้องอย่างเอาเรื่อง หญิงสาวแลบลิ้นใส่ไม่กลัวเกรง

“นี่แน่ะ! เด็กไม่มีมารยาท” คนผิวเข้มดีดหน้าผากมนดัง ป๊อก! ลิ้นเล็กๆหดฉับกลับเข้าปากเล็กสีชมพูอ่อนซึ่งเบะออกทันใด

“โอ๊ย!เจ็บนะ” มือเล็กกุมหน้าผากที่ปรากฎรอยแดงเรื่อจากแรงดีด “ทำบ้าอะไรเนี่ย” เสียงเล็กกระชากห้วนหลังร้องอุทรณ์ ใบหน้ามีเสน่ห์จับใจสาวๆปรากฎรอยยิ้มยียวนกวนอารมณ์ดังเดิมเหมือนเมื่อแรกเข้ามา ซ้ำยังหัวเราะใสแถมท้ายอย่างสะใจ

“นายถ่าน...โรคจิต” แพรพรรณต่อว่า งัดเอาปมที่เธอใช้เสียดสีเขามาตลอดมาเพิ่มความสะใจด้วยคำต่อท้าย

“นายอีกแล้วเหรอ พี่ เรียกพี่สิ พี่ธเนศจ๋า...” ชายหนุ่มลากเสียงยาวเฟื้อยเป็นแม่นาก “อ้อ ขอสอนวิธีทำความเคารพใหม่เสียด้วย เขาต้องทำอย่างงี้”

ธเนศจับมือเล็กสองข้างของเธอมาประกบกัน แพรพรรณขืนไว้ เบิกตาโตร้อง อี๋ย์ แล้วทำท่ารังเกียจ สะบัดๆมือใหญ่ออกแต่พบว่ามันเหนียวยิ่งกว่าตีนตุ๊กแก ธเนศเห็นอย่างนั้นก็ยิ่งอยากแกล้งให้เต้นขึ้นไปอีก รวบมือเล็กทั้งสองไว้ด้วยมือเดียว มืออีกข้างกดศรีษะเล็ก ผมดัดเป็นลอนสวยนิ่มมือลงแนบอกกว้างแข็งด้วยกล้ามเนื้อ เสียงห้าวสั่งสอนประกอบกับเสียงหัวเราะหึๆในลำคอ รู้สึกถึงแรงดิ้นกุกกักอย่างแรงจนผมเป็นลอนกระจายยุ่ง

“มันต้องอย่างนี้ ก้มหัวไว้ พนมมือ สวยมาก ดีมากน้องรักของพี่ธเนศ”

“ปล่อยนะ ใครเขาทำกันอย่างนี้เล่า อย่างกับนักร้องคาเฟ่หลอกเสี่ยพุงพลุ้ยกระเป๋าหนัก อ๋อ เดี๋ยวนี้เรตติ้งตกฮวบลงถึงกับต้องไปหว่านเสน่ห์นักร้องคาเฟ่เชียวเรอะ โอย หายใจไม่ออก”

เสียงเล็กโอดโอยหลังวิจารณ์การสอนมารยาทการไหว้ของเขาไปเหมือนกับนักร้องในสถานเริงรมณ์ยามค่ำคืน แถมยังว่าเขาเสน่ห์ถดถอยหาสาวไม่ได้จนต้องไปหลอกนักร้องคาเฟ่

“ปากจัดนักเหรอ นี่แน่ะ หายใจไม่ออกตายไปเลย”

มือใหญ่กดหัวเล็กของน้องสาวเพื่อนเข้ากับอกตัวเองแน่นเข้าไปอีก เสื้อแจ็คเกตสีน้ำตาลอุดปากและจมูกของเธอ แพรพรรณดิ้นอึกอัก ร้องอู้อี้ให้ปล่อย เพราะขาดออกซิเจนจนจะตาลายอยู่แล้ว ธเนศโดนมือเล็กที่สะบัดหลุดทุบเข้าให้หลายปึก เลยยอมปล่อย ผนวกกับยังไม่อยากโดนคดีฆาตกรรมน้องสาวเพื่อนด้วยความโมโห



นี่คือเหตุการณ์ทั้งหมดก่อนหน้าที่เธอจะสะโหลสะเหลมานั่งสูดอากาศเข้าปอดลึกบนโซฟาตัวที่นายตัวดำยึดอยู่เมื่อครู่ใหญ่ หญิงสาวมองโบว์สีทองผูกติดกับกระถางอย่างหมายมาด อยากดึงมาจัดการถูกคอนายถ่านให้ขาดอากาศหายใจบ้างใจจะขาด แต่หมดแรง

ก่อนจะได้ทำอย่างนั้น หนุ่มผิวน้ำผึ้งก็มาทิ้งตัวลงนั่งข้างมองหน้าแดงก่ำของแพรพรรณแล้วขำ ผมสีดำเป็นลอนสวยตอนนี้ยุ่งเหยิง อยากหากระจกบานโตๆมาให้ส่องจริงๆให้ตาย ฮา...ไม่เอาดีกว่า เหนื่อยแล้ว

“เอาหล่ะ เลิกเล่น พักยก มีเรื่องมาปรึกษา” สองมือหนายกขึ้นแตะกันเป็นภาษาสากลว่าขอเวลานอกตามกฎการกีฬา แพรพรรณผลักมือเขาออก

“มีธุระเป็นเรื่องเป็นราวกับเขาด้วยเหรอ ไม่น่าเชื่อ” หญิงสาวเบ้ปากให้

“อย่าหาเรื่องน่า มีข่าวล่ามาส่ง ไม่อยากรู้เหรอว่าเมื่อกี้ไปไหนกับพี่ชายเธอมา” หนุ่มผิวน้ำผึ้งบอกหน่ายๆก่อนหยอดเสียงถาม

“ไปไหนมา” ได้ผลแพรพรรณหันขวับมาตั้งหน้าตั้งตาฟังยิ่งกว่าตอนอาจารย์บอกแนวข้อสอบเสียอีก

“ไป...” เสียงห้าวทิ้งช่วงนานยิ่งกระตุ้นความอยากรู้ให้เพิ่มขึ้น ร่างเล็กขยับเข้าไปใกล้ ลุ้น

“อะไร”

“เอ่อ ถอยไปก่อน ชิดๆฝั่งนู้นเลย” ธเนศบอกพลางดันร่างเล็กให้ขยับชิดทีเท้าแขนโซฟาอีกฝั่ง

“อะไรนักหนาเนี่ย เอ้า” แพรพรรณหงุดหงิดขึ้นมาอีก เรื่องมากจริงๆ เมื่อไหร่จะบอกเสียทีละเนี่ย โอ๊ย ทั้งที่บ่นในใจแต่ก็ยอมขยับแต่โดยดี เพราะอยากฟัง เพื่อพิสูจน์ลางสังหรณ์บางอย่างในใจ “บอกซะทีสิ”

“ก็ได้ เมื่อกี้นี้ ไปบ้านยัยรันมา”

“อ๊าย!!นึกแล้วเชียว!!!” เสียงเล็กร้องลั่น “ไปทำไม ไปทำอะไร ยัยนางร้ายนั่นหลอกอะไรอีก บอกมาให้หมดนะ” ร่างเล็กบางถลันมาจับคอเสื้อหนุ่มผิวน้ำผึ้งที่อุดหูซะมิดเขย่าๆๆเค้นถามอย่างที่อยากรู้

โอย ยัยตัวเล็กนี่เสียงแสบแก้วหูชะมัด ไอ้ภูมันเอาอะไรเลี้ยงมาวะเนี่ย โชคดีที่อุดหูทัน แล้วก็สั่งให้ถอยไปไกลๆเสียก่อน ไม่งั้นหูหนวกแน่ๆ แล้วเอาแรงมาจากไหนกันเยอะแยะเนี่ย เขย่าจนหัวจะหลุดอยู่แล้วนะ



ภูดิสมองโทรศัพท์เครื่องบางในมือ กดไล่จนเจอหมายเลขที่ต้องการพร้อมรูปถ่ายใบหน้าหวานใส ประดับด้วยรอยยิ้มร่าเริงติดแก้มนวล กำลังเท้าแขนเอียงคอ ตากลมใสมองตรงมาที่กล้อง ภาพนี้เขาไม่ได้เป็นคนถ่ายไว้เอง แต่เป็นฝีมือใคร คงเดาได้ไม่ยาก

ไม่มีภาพใครในมือถือเครื่องนี้ นอกจากคนในครอบครัวซึ่งแพรพรรณไล่ถ่ายจนครบทุกคน ตอนเขาถอยมันออกมาใหม่ แล้วนี่มาแอบจิ๊กไปถ่ายนิศากรตอนไหนก็ไม่ทราบได้ แถมยังตั้งเป็นรูปภาพเรียกเข้าเสียเสร็จสรรพ

อยากได้ยินเสียงหัวเราะใสๆ ให้คลายความเหนื่อยกับเรื่องที่ทำให้เขาทำตัวไม่ถูกเมื่อตอนเที่ยง จนถึงกับต้องถอยออกมาตั้งหลักก่อนอย่างเร็วรี่ เสียงหวานใสกับคำพูดติดตลกที่ทำให้เขายิ้มตามโดยไม่ต้องปั้นเหมือนยามที่อยู่ต่อหน้าสังคมแม้แต่น้อย

นิ้วแข็งแรงลองเปลี่ยนไปดูที่โหมดวีดีโอ เผื่อน้องสาวเขาแอบเก็บคลิปอะไรไว้อีก มีจริงๆดังคาด เป็นคลิปสั้นๆเวลาเพียงสิบวินาที ตอนที่นิศากรหันหลังก้าวขึ้นรถ หญิงสาวไขกระจกลงมาโบกมือให้พร้อมส่งจูบ เสียงหัวเราะสองเสียงดังประสานกัน แล้วรอยยิ้มมุมปากบนหน้าคมก็ปรากฎ

ภูดิสสะดุ้งเฮือก เมื่อมือถือในมือสั่น มีสายเรียกเข้ารูปภาพปรากฎบนหน้าจอ เป็นรูปเดียวกันกับที่เขาจ้องอยู่นานเมื่อก่อนหน้านี้

“ฮัลโหล” เสียงทุ้มกรอกลงไป หลังจังงังควานหาปุ่มรับสายอยู่นาน

“นิกวนหรือเปล่าคะ พี่ภูยุ่งอยู่รึเปล่า” เสียงหวานกังวานมาตามสาย สอบถามความสะดวก

“เปล่าครับ ไม่ได้ยุ่ง คุยได้เลย” เมื่อวานทั้งวัน หญิงสาวไม่ได้มาที่บ้าน ไม่สิ มาแต่ไม่ยอมเข้าบ้านต่างหาก

“นิแค่จะถามว่าพี่ภูดีขึ้นรึเปล่าคะ แพรบอกว่าพี่ภูมีไข้อีกแล้ว” เสียงหวานมีรอยกังวลเจือมา ภูดิสเอามือแตะหน้าผากตัวเอง วัดอุณหภูมิตัวเอง

“เมื่อวานพี่ลืมทานยา” เสียงทุ้มสารภาพอ่อยๆ แล้วรีบแก้ตัว “แต่พอกลับบ้านก็รีบทานเลยนะ แต่ดูท่าจะไม่ค่อยได้ผล ตอนนี้ก็เลยตัวยังร้อนๆอยู่” เสียงทุ้มอ่อยในประโยคท้าย

“ไปหาหมออีกทีมั้ย พี่ภูเลิกกี่โมงคะ” เสียงใสร้อนรน กังวลถึงอาการไข้ของเขา จนภูดิสต้องรีบบอกว่าเขาไม่ได้เป็นอะไรมาก เพียงแต่ตัวร้อนกว่าปกตินิดหน่อย ก่อนออดๆขออะไรบางอย่างที่ทำให้นิศากรหัวเราะคิกออกมา

“แค่ได้ข้าวต้มกุ้งอีกสักชามสองชามก็คงดีขึ้น” แก้มนวลติดรอยยิ้มกว้าง นึกในใจว่า คุณกังสดาลใส่ยาเสน่ห์ในอาหารให้ครอบครัวนี้ทานรึเปล่า ถึงได้เรียกร้องกันไม่เว้นแต่ละวันแบบนี้ เห็นทีต้องเข้าครัวไปสังเกตการณ์บ้างเสียแล้ว

นิศากรรับปากว่าจะขนอาหารทีสั่งไปให้หม้อใหญ่หนึ่งหม้อ แล้วกำชับให้ชายหนุ่มทานยาหลังอาหารเข้าไปทันทีที่ทราบว่าเขายังไม่ได้ทานอีกแล้ว พร้อมอธิบายติดๆขัดๆเล็กน้อยว่ายุ่งๆนิดหน่อยเมื่อกลางวัน

นิศากรตัดสายไปแล้ว ภูดิสยิ้มขอชาร้อนกับเลขาสาวซึ่งเข้ามาเสริฟแล้วพบว่า หน้ายุ่งๆคิ้วขมวดมุ่นจนมีรอยย่นเมื่อตอนเข้ามา คลายออกจนเรียบ ยิ่งกว่าทำเบบี้เฟส



กว่าจะตอบคำถามของยัยเปี๊ยก หนุ่มผิวน้ำผึ้งก็หัวคลอนไปหลายรอบ แถมยังโดนทำร้ายทั้งที่ไม่มีความผิดอีกต่างหาก ยัยเปี๊ยกนี่หาที่ลงไปได้ก็มาโทษเขาว่าไม่รู้จักเข้าไปขัดจังหวะหรอกนะ

“ได้ไงเล่า เสียมารยาท”

“แล้วแอบฟังนี่ไม่เสียมารยาทเหรอ”

“ขอบใจนะ ใช้งานเสร็จก็ด่าเลย เป็นน้องที่ดีเสียเหลือเกิน” ชายหนุ่มประชด

“ก็มันจริงนี่ เฮ้อ! กลุ้มจริงๆเล๊ย พี่บ้า เพิ่งจะแก้ตัวให้ไปหยกๆ หาเรื่องให้ต้องเวียนหัวอีกแล้ว ถ้าหนูนิรู้เข้าจะเป็นไงเนี่ย” แพรพรรณบ่นหน้ายุ่ง

“ถ้าไอ้ภูมันไม่มีปัญญาจีบได้สำเร็จ พี่ธเนศสุดหล่อรอต่อคิวอยู่นะจ๊ะ” ธเนศทำหน้าทะเล้น ตาเป็นประกายวิบวับหน้าหมั่นไส้

“นางฟ้ากับซาตานไม่มีวันอยู่ร่วมกันได้ น่าจะรู้ดีนี่” แพรพรรณบอกหน้าตาเฉย หน้าคมเข้มหงิกทันควัน เร็วกว่าปิดสวิตเสียอีก

ไอ้สองพี่น้องนี่ มันน่านัก คนนึงเปรียบเขาเป็นคนไม่น่าไว้ใจเหมือนหมาป่า ส่วนยัยเปี๊ยกว่าเขาเป็นซาตาน สรุปแล้วไม่มีดีเลยทั้งสองอย่าง

“ยัยเปี๊ยกจะไปไหน” ธเนศร้องเรียกแพรพรรณซึ่งลุกพรวดไปทางประตู

“ไปจัดการพี่ภูน่ะสิ บอกไม่รู้ตั้งกี่ทีว่ายัยนั่นน่ะมารร้ายตัวจริง ยังไปยุ่งอยู่ได้”

“อย่าเพิ่งเลยน่า หมอนั่นไม่ได้สบายอกสบายใจหรือตีปีกดีใจหรอกที่ถูกจู่โจมสารภาพรักเข้าแบบนี้ มันถอนใจไม่รู้กี่ทีตอนอยู่บนรถ” หนุ่มผิวน้ำผึ้งเอนตัวลงนอนเอกขเนกบนโซฟายาว

“แล้วจะทำไงล่ะ” หญิงสาวกระแทกตัวลงนั่งที่โซฟาอีกตัว

“ไม่รู้ ยังคิดไม่ออก เพราะตราบใดที่ยัยรันยังเป็นเพื่อนเราอยู่ พี่เธอก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้หรอก”

“นั่นสิ” แพรพรรณกุมขมับ พี่ชายเธอเป็นคนดี เป็นเจ้านายที่ดี เป็นลูกที่ดี และเป็นเพื่อนที่ดี อันหลังนี่ดีจนเกินไป จนน่าโมโห เพราะมันดันเข้าทางยัยนางร้ายมืออาชีพนั่นเข้าเต็มๆ “เฮ้ อีตาพี่ธเนศ มานอนอะไรแถวนี้”

“ไม่ได้นอน กำลังใช้ความคิดต่างหาก” เขาตอบทั้งๆยังหลับตา

บนโซฟานุ่มๆที่ได้เอนหลัง แอร์เย็นๆกำลังสบาย กับกลิ่นหอมอ่อนๆของอะไรสักอย่าง ดูท่าจะเป็นกลิ่นเดียวกับน้ำหอมของยัยเปี๊ยกที่เขาได้กลิ่นตอนสอนท่าไหว้ให้เมื่อกี้ มันน่านอนชะมัดให้ตายสิ

แพรพรรณซึ่งกำลังง่วนคิดหาวิธีแยกพี่ชายกับยัยนางร้ายให้เด็ดขาดก็เงียบไป จนผ่านไปเกือบสิบนาที

“มันจะมีวิธีไหนให้พี่ภูตัดขาดได้”

“...” ไม่มีเสียงตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก

“ว่าไงล่ะ คิดอะไรออกบ้างมั้ยเนี่ย”

“คร่อกฟี้” กรุณาฝากข้อความหลายเสียงสัญญาณ

แพรพรรณลุกจากเก้าอี้ไปเท้าเอวมอง เฮ้ยไหนบอกว่ากำลังคิด คิดๆๆๆคิดจนหลงไปถึงไหนแล้วล่ะเนี่ย กรนคร่อกๆไม่อายอีกตะหาก นี่มันห้องทำงานนะ ไม่ใช่ห้องนอน

“นี่ อีตาพี่ธเนศ ตื่นๆๆๆ” เสียงเล็กเรียกเสียงดัง แต่ไม่มีสิ่งใดที่มีชีวิตในห้องนี้ขยับแม้แต่น้อย นอกจากเจ้าของห้องหน้าหงิกยกมือเตรียมขึ้นปลุกหนุ่มผิวน้ำผึ้งด้วยแรงสัมผัส

เพี๊ยะ!

โดนไปหนึ่งป้าบบนกล้ามเนื้อแข็งๆที่ต้นแขน หนังเหนียว ด้านชาคงจะไม่รู้สึกอะไรเท่าไหร่

“ฮื้อ” เสียงห้าวครางในลำคอ ทำหน้าหงุดหงิดเอามือปัดตรงตำแหน่งที่โดนทำร้ายเมื่อครู่ ทำเหมือนมีแมลงอะไรมาตอมเสียมากกว่า

“นี่ นายดำปืน ลุกสิ ตื่นเดี๋ยวนี้นะ จะนอนก็ไปนอนที่บ้านตัวเองสิ ได้ยินมั้ยเนี่ย โอ๊ยหูหนวกรึไง” แพรพรรณเขย่าไหล่หนา ซ้ำยังดึงแขนแข็งแรงให้ลุก หวังจะปลุกให้ตื่นแต่ไม่ได้ดังใจซ้ำยังมีเสียงไม่พึงประสงค์ตอบกลับมาอีกต่างหาก

“คร่อกฟี้”

“ปลุกยากปลุกเย็น นี่นอนหรือตายกันแน่เนี่ย“ หญิงสาวบ่นปนหอบ เธอย่อตัวลงจ้องมองหน้าคมเข้มท่ามกลางแสงสว่างยามบ่ายที่สาดแสงเข้ามาในห้อง ตกกระทบลงบนสันจมูกโด่ง สะท้อนขนตายาวยิ่งกว่าผู้หญิงอย่างแอบอิจฉาอยู่นิดๆ “คอยดูนะจะปล่อยให้นอนถึงเช้าเฝ้าบริษัทแทนยามเลย คนประสาท”

ตาคมหวานของหนุ่มผิวน้ำผึ้งปรือเปิดนิดๆ นิ้วแข็งแรงแตะลงที่แก้มหญิงสาวแล้วลากแผ่วๆมาที่ริมฝีปากสีชมพู


“จุ๊ๆ เงียบหน่อยสิจ๊ะ ขอพี่นอนหน่อยนะที่รัก” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงอ่อน ตาคมปิดลงและหลับไปดังเดิม

“ประสาท ที่รักบ้าบออะไรยะ อีตาบ้า” แพรพรรณปัดนิ้วแข็งแรงออกต่อว่าหน้าแดงเรื่อ เดินฉับๆไปชนโครมเข้ากับโซฟาเดี่ยวที่เธอจับจองเมื่อครู่ จนซี๊ดปากลูบสะโพกป้อยๆแล้วกลับไปโต๊ะทำงาน หันหน้าเข้าคอมพิวเตอร์ก่อนบ่นพึมพำคาดโทษคนทำเธอเซ

ธเนศผงกหัวมองร่างเล็กบางกระทืบเท้าผละไปแล้วชนโครม ขบขันในใจ เหมือนรู้ว่ามีคนแอบหัวเราะเยาะ หน้าใสหันขวับแก้มป่องคิ้วขมวดกลับมา

ความจริงเขาเผลอหลับไปจริงๆ แต่พอโดนปลุกด้วยแรงมือก็สะดุ้งตื่น แต่ไม่อยากโดนสวดหูชาเลยทำเป็นหลับต่อ ยัยเปี๊ยกนี่ก็ยังไม่ยอมรามือ ทำเขาเกือบตกเก้าอี้ ดีที่ขืนตัวไว้ก่อนทันการ แถมยังจะทิ้งให้เขานอนเฝ้าตึกเป็นเพื่อนยามอีก เลยแกล้งยั่วเล่นซะหน่อย เป็นการเอาคืน

แต่ว่าแก้มยัยตัวเล็กนี่ก็นิ่มเหมือนกันนะเนี่ย ทีหลังปากจัดใส่เขาอีกล่ะก็ ได้หยิกเล่นก็คงนิ่มมือดีไม่น้อย หน้ายัยเปี๊ยกตอนโดนดึงจนแก้มโย้คงจะตลกหน้าดู



รถสีขาวจอดลงที่หน้าบ้านหลังใหญ่ นิศากรลงจากรถพร้อมหม้อข้าวต้มกุ้งหอมกรุ่นที่แม่เธอเป็นคนกำกับการแสดงฝีมือครั้งแรกในครัวบ้านเธอเอง คุณกังสดาลไม่ยอมปฏิบัติการเอง แต่ลงมือชี้นิ้วสั่งเธอให้จับทัพพี ตักข้าว หั่นผัก แกะกุ้งตามสูตร

เพราะไม่อยากติดกลิ่นอาหารไปงานเลี้ยงที่ได้รับเชิญพร้อมคุณลักษิกา อาหารฝรั่งอบๆย่างๆเธอถนัดนัก แต่อาหารไทยง่ายๆอย่างข้าวต้มกุ้งนี่ นิศากรไม่มั่นใจเอาเสียเลย คราวแรกที่โดนดึงเข้าห้องครัวพร้อมคุณกังสดาลที่แต่งตัวสวยงามเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวหน้าเบ้อยากขอโทรศัพท์กลับไปบอกขอเปลี่ยนเมนูกับคนป่วยทันที

“เอ้า ใส่ผักเข้าสิลูก เป็นอะไรนักหนาแค่ข้าวต้มกุ้ง ทีสปาเกตตี้ มักโรนียังผัดซู่ซ่าอยู่เลย” คุณกังสดาลบ่น อาการตกประหม่าที่ติดหน้าตาลูกสาวที่อย่างไม่ค่อยได้เห็นนัก มันแน่นทนนานตั้งแต่บอกให้ลงมือทำเอง แทนที่จะให้แม่บ้านแสดงฝีมือแทนคุณกังสดาล

“โธ่แม่ก็ ไม่เคยทำนี่นา แล้วนี่คนกินจะท้องเสียมั้ยคะเนี่ย แม่จะแกล้งคนป่วยรึไงคะ” หญิงสาวโอดครวญ

“ไม่หรอกน่า เอ้าเร็วๆเข้าสิลูก กว่าจะไปถึง พี่เขาหิวโซพอดี”



นิศากรมองหม้อในมือ สูดหายใจ หายใจได้ไปเปราะหนึ่ง คุณกังสดาลชิมแล้วสั่งให้เติมนู่นเพิ่มนี่จนพอใจแล้วบอกว่าโอเค จึงสั่งให้เธอจัดการบริการส่งถึงที่อย่างกับเด็กส่งพิซซ่า อย่างน้อยก็รับประกันจากต้นฉบับแล้วน่า

วันนี้ไม่มีใครอยู่บ้านสักคน ทั้งคุณลักษิกาที่รู้แล้วว่าไปงานกับแม่เธอ ส่วนแพรพรรณนั้น ภูดิสบอกว่าหายตัวไปพร้อมเพื่อนเขา ธเนศ

“เป็นไงบ้างคะ” นิศากรถาม เรียกความสงสัยจากภูดิส หลังจากเขาตักอาหารเข้าปากไปหนึ่งคำ

“อร่อยครับ” นิศากรระบายลมหายใจยิ้มโล่ง แล้วลงมือตักข้าวต้มในชามตนเองเข้าปากไปบ้าง

“มีอะไรรึเปล่า หรือว่าหนูนิแอบใส่ยาพิษให้พี่กิน ถึงว่ารสชาติแปลกๆไปนิดหน่อย” ภูดิสตั้งข้อสงสัยและเขี่ยพลิกดูในชาม

“เปล่าซะหน่อย ใครเขาจะไปทำอย่างนั้นเล่า” นิศากรแก้ “พี่ภูว่ามันแปลกๆเหรอคะ แปลกยังไง”

“ก็ อ่อนเค็มไปหน่อย”

“งั้นคราวหน้าต้องใส่น้ำปลามากกว่านี้” นิศากรพยักหน้าหงึกหงัก รับคำวิจารณ์ไว้ไปพัฒนาฝีมือต่อไป ภูดิสมองคนงึมงำอย่างอย่างพิจารณา นิศากรถามต่ออีกว่า

“พี่ภูจะกลับคำรึเปล่า ถ้านิจะบอกว่า นี่เป็นข้าวต้มชามแรกที่นิทำ” นิ้วเล็กชี้ไปที่อาหารบนโต๊ะ

“หือ?” ภูดิสมองชามตรงหน้าสลับกับคำทำที่ทำหน้าหน้าทะเล้นแล้วพูดต่อว่า

“จริงๆแล้ว จะให้แพรเป็นหน่วยกล้าตายคนแรก แต่ดันไม่อยู่ พี่ภูในฐานะเป็นพี่ชายและเป็นคนเดียวที่อยู่ในบ้านหลังนี้ เลยต้องรับกรรมเป็นหนูทดลองตัวแรกไป” ชายหนุ่มพยักหน้าขบขันกับหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายเป็นนักชิมโดยไม่รู้ตัว

“ถือว่าพี่โชคดีรึเปล่าที่ข้าวต้มชามนี้ดันอร่อย”

“คงงั้นมั้งคะ แต่ว่าอร่อยจริงๆนะคะ พี่ภูไม่ได้หลอกนินะ”

“อร่อยจริงๆครับ ยอดเยี่ยมมากสำหรับชามแรก” ชายหนุ่มยกนิ้วโป้ง

“ขอบคุณค่ะ” รอยยิ้มภูมิใจสว่างขึ้นบนแก้มนวล ภูดิสมองแล้วยิ้มตาม

สองหนุ่มสาวจัดการอาหารจนเกลี้ยงชามพลางพูดคุยสลับกับมีเสียงหัวเราะเบาๆแทรกเป็นระยะ นิศากรรับหน้าที่พยาบาลพิเศษดูแลเรื่องยาและจัดการเปลี่ยนผ้าพันแผลอย่างที่หมอแนะนำให้อย่างเอาใจใส่ ภูดิสลืมเรื่องหนักใจตอนเที่ยงไปชั่วครู่ ก่อนจะคิ้วเข้มจะขมวดพร้อมกับตากลมใสเบิกกว้างขึ้นเมื่อพบว่าผู้มาเยือนยามเย็นอีกคนหนึ่งเป็นใคร




-----------โปรดติดตามตอนต่อไป-------------


//punnarm-farin.bloggang.com


*;...คุยกันนิดหน่อยกับฟ้าริน...;*

ลงบทนี้แล้ว ฟ้ารินขอลาไปสอบนะคะ ชีวิต สอบยังไงก็ไม่รู้ อาจารย์ก็ยิ่งเป็นคนมหัศจรรย์ยิ่งนัก จะเอาอะไรมาออกอีกละเนี่ย ยังไงก็อวยพรให้ฟ้ารินทำข้อสอบถูกด้วยนะคะ แล้วเจอกับบทต่อไปค่ะ

kikkak_riwkiw - ฮา ฟิวจ๋า พี่กุ๊กหาย พี่ก็หายเช่นเดียวกันจ๊ะ หายกันไปหมดเลยทั้งสามคน โฮะๆๆๆ

g - ฟ้ารินก็ยังไม่อยากจบค่ะ จะได้เล่นงานยัยรันกันอีกสักสองสามยกเน้อ

Ormmie - แหม ไม่สงสารพี่ภูกันเลยหรือคะ อย่าเพิ่งเกลียดพี่ภูเลยนะคะ พี่ภูฝากมาขอความเห็นใจค่ะ





Create Date : 15 กรกฎาคม 2550
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2551 18:14:18 น.
Counter : 239 Pageviews.

5 comment
จัดรักให้ลงล็อค บทที่12



บทที่12


แพรพรรณซึ่งกลับมาจากทานอาหารรสเด็ดด้วยอารมณ์เบิกบานและสะใจเล็กน้อย เมื่อได้ฟังวีรกรรมทำร้ายตัวเองของนางร้ายชื่อดังจากปากนิศากร พอเปิดประตูเข้าบ้านมา ก็เจอภูดิสกลับจากที่ทำงานมีอาการตัวร้อนขึ้นมาอีกครั้ง เนื่องจากชายหนุ่มฝืนสังขารให้มือข้างเจ็บพิมพ์ไม่บันยะบันยังอย่างที่เคยทำตอนยังดีๆอยู่ อาการอักเสบบวมจึงถามหาอีกครั้ง แถมตอนกลางวันยังลืมทานยา ไข้เลยกำเริบขึ้นมาอีกครั้ง ชายหนุ่มกำลังเอนตัวบนโซฟายาวพักสบายๆ

“อ้าว พี่ภู ไหงมานอนตรงนี้ล่ะ เป็นอะไรรึเปล่า” แพรพรรณทัก

ร่างสูงผงกหัวขึ้นมองน้องสาวที่ยืนเด่นอยู่กลางห้องอยู่แต่ผู้เดียว เขาได้ยินจากเลขาของเขาแว่วๆมาว่าแพรพรรณและนิศากร บอกว่าจะไปทานส้มตำรสเด็ดกันตอนเย็น ตอนที่เขาออกมาที่โต๊ะคุณเลขา คลาดกับหญิงสาวไม่กี่นาที นิศากรฝากข้าวต้มกุ้งฝีมือคุณกังสดาลไว้ให้แล้วจากไป เพราะไม่อยากรบกวนการทำงานของเขา นิศากรต้องเป็นคนมาส่งน้องเขาแน่นอน เพราะแพรพรรณขับรถไม่เป็น แต่ตอนนี้กลับไม่เห็นร่างสมส่วนที่ควรจะมาพร้อมน้องสาวเขา

“หาอะไรเหรอ” แพรพรรณถามยิ้มๆ เมื่อเห็นพี่ชายสอดส่ายสายตาเหมือนหาอะไร ภูดิสไอแค่กๆ ไม่ตอบอะไร เพราะน้องสาวเจื้อยแจ้วมาเป็นคำตอบให้ตัวเองอยู่แล้ว

“หนูนิ? ไปแล้ว ไปดูร้านเขานั่นแหละ” แพรพรรณชี้แจง

“เย็นป่านนี้แล้วยังจะไปอีกเหรอ” ภูดิสขมวดคิ้วมองดูนาฬิกาเรือนใหญ่ที่แขวนบนผนัง มันบอกเวลาว่าขณะนี้เกือบหนึ่งทุ่มแล้ว แสงพระอาทิตย์ถูกลบไปจากท้องฟ้าแล้ว เขาไอแคกๆ ระบายลมหายใจร้อนๆออกมา วางศีรษะลงบนโซฟากว้างเช่นเดิม เพราะรู้สึกมึนนิดๆ

“อ้าว ตัวร้อนนี่นา” แพรพรรณแตะแขนแตะหน้าพี่ชายแล้วร้องออกมา

“เหรอ พี่มึนๆแล้วก็ง่วงด้วย“

“งั้นก็ต้องรีบกินข้าวกินยาแล้วนอนพัก” น้องสาวบอกด้วยความเป็นห่วง เอามืออังหน้าผากพี่ชายอีกรอบ เม้มริมฝีปากถาม “ตัวไม่ร้อนมากเท่าไหร่ พอจะทนฟังเรื่องน่าปวดหัวที่เพื่อนชื่อดังของพี่ก่อไว้กับหนูนิได้รึเปล่า”

ภูดิสผงกหัวขึ้นมองน้องสาวอีกครั้งอย่างสนใจ สะดุดหูกับเรื่องที่รัญชิดาทำไว้กับนิศากร ก่อนพยักหน้าตอบรับ แล้วกระถดตัวขึ้นนั่งรับฟัง อาจเป็นเรื่องที่เขาเคยขะยั้นคะยอถามจากนิศากรแล้วเธอไม่ยอมเฉลย แพรพรรณซึ่งเล่าทุกอย่างเหมือนกันเผชิญมาด้วยตัวเอง แอบใส่ไข่นิดหน่อยแบบที่ทำให้อีกฝ่ายวาดภาพว่ามีเขางอกออกจากศีรษะสวยของรัญชิดาและที่ปากก็มีเขี้ยวด้วยเช่นกัน

“อะไรกันเนี่ย” ภูดิสทั้งมึนงง ไม่เข้าใจ แปลกใจและตกใจกับสิ่งที่น้องสาวสาธยายให้ฟัง เหตุผลที่ทำให้นิศากรตัดเขาออกจากวงโคจรไประยะหนึ่ง “รันทำแบบนั้นทำไม”

“โอ๊ย ไวรัสมันเข้าไปกินเซลสมองรึไงเนี่ย ก็บอกอยู่หยกๆ ภูรักฉันมานานแล้ว” แพรพรรณทำเสียงสูงย้ำประโยคอย่างหมั่นไส้ ภูดิสทำหน้าเหยเก

“พูดอะไรแบบนั้น แล้วยังไปว่าหนูนิอย่างนั้นอีก” ชายหนุ่มนึกขุ่นเคืองเพื่อนสาวขึ้นมาทันที ที่ไปว่านิศากรอย่างรุนแรงอย่างนั้น ทั้งทีไม่เป็นความจริงเลยสักอย่างเดียว

“แหม...พวกผู้ชายนี่ยังไงกันนะ พูดโต้งๆขนาดนี้ยังไม่เข้าใจอีก คุณรัญชิดาคนดังตั้งใจจะกีดกันไม่ยอมให้หนูนิให้หนูนิใกล้พี่ภูอีกไงล่ะ”

“กันทำไม”

“ยังมีหน้ามาถามอีก คุณรันตัวอิจฉาหันกลับมามองพี่แล้ว ดีใจมั้ยล่ะ” แพรพรรณถามประชดประชัน จ้องมองหาความยินดีในแววตาพี่ชายเขม็ง หากพบแต่ความแปลกใจของเขาวาบขึ้นเท่านั้น

น้องสาวโล่งใจไปเปลาะหนึ่งไม่ได้ที่พี่ชายไม่มีความหวังในตัวนางร้ายสาวหลงเหลือตามที่เคยพูดไว้ แต่เธอจะแกล้งทำเป็นสงสัยเขาต่อไปอย่างนี้แหละ

“จะยังไงก็แล้วแต่ ถ้าพี่ภูไม่สนใจเขาแบบนั้นก็เคลียร์ให้เรียบร้อย จะได้ไม่มีใครเข้าใจผิดกันอีก” แพรพรรณเสนอทางให้แล้วทำท่านึก ”รีบๆใช้อาการบาดเจ็บให้เป็นประโยชน์นะ เพราะพอหายแล้ว หนูนิก็จะไม่โผล่มาคอยเอาใจอย่างนี้แล้ว จะบอกให้”

“หมายความว่าไง” ภูดิสถามขึ้นทันทีหลังแพรพรรณพูดจบ

“หนูนิบอกไว้ว่า จะไม่มาที่นี่แล้วก็ที่บริษัทอีก ถ้าไม่จำเป็น เรียกว่าจะไม่ไปที่ที่มีพี่ภูอยู่แบบพร่ำเพรื่อน่ะ”

“ทำไมอีกล่ะ” น้ำเสียงทุ้มหงุดหงิด ไม่พอใจทันทีที่ได้ฟังคำชี้แจงของนิศากรผ่านแพรพรรณ ทั้งที่เขาอธิบายไปแล้ว เพราะอะไรยังต้องหลบเขาอีก

“เพื่อป้องกันการระรานของคุณรันเพื่อนสนิทของพี่ภูนั่นแหละ ช่วยไม่ได้นะพี่ภู เพื่อนของพี่เองก็จัดการเอาเองละกัน อาทิตย์หน้าหมอนัดตัดไหมแล้วใช่มะ แย่จังนะ เวลาแห่งความสุขของคนเรานี่ มันมักจะสั้นอย่างนี้เสมอหล่ะ เฮ้อ”

แพรพรรณตบบ่าพี่ชาย ทอดถอนใจแบบปลงๆ ก่อนเดินลับหายไปชั้นบน ภูดิสคลึงขมับปวดหัวตุบๆมองมือข้างที่เจ็บแล้วคิด

พอหายแล้ว หนูนิก็จะไม่โผล่มาคอยเอาใจอย่างนี้แล้ว จะบอกให้

ได้ไง ทำอย่างนี้ได้ยังไง เขาไม่ยอมกลายเป็นคนน่ารังเกียจทั้งที่หน้าตาไม่ได้เหมือนอสูรอีกหรอกนะ ไหนบอกว่าเข้าใจแล้วไงล่ะ ทำอย่างงี้ใช้ได้ที่ไหนกัน นี่แพรพรรณไม่ยอมบอก เขาคงงงเป็นไก่ตาแตกตอนที่เธอแปลงร่างเป็นนินจาอีกรอบแน่ๆ



ชายหนุ่มผิวสีน้ำผึ้งต้องเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ เมื่อเพื่อนสนิทมาปรากฏตัวตอนกลางวันแสกๆที่สปอร์ตคลับของเขาในวันทำงานอย่างนี้ ซ้ำยังทำหน้าตาไม่สบอารมณ์สุดตัวใส่เขาอีก

“ฝนตกในทะเลทรายแน่ๆ มาทำอะไรวะเนี่ยคุณวีรบุรษ” ธเนศถามกวนๆ เรียกเพื่อนแบบเยินยอวีรกรรมสุดแมนของเพื่อน

“มีเรื่องยุ่งๆวะ” ชายหนุ่มยกมือเสยผมหงุดหงิด

“เรื่องอะไรกันวะ ทำให้หน้าหล่อๆของแกมันกลายเป็นตูดได้ขนาดนี้” ธเนศวางมือจากอาหารอิตาเลี่ยนที่สั่งขึ้นมา เพราะเพื่อนส่ายหน้าปฏิเสธตอนเขาชวนลงไปชิมเมนูใหม่ข้างล่าง อยากมีที่ส่วนตัวมากกว่าจะไปเจอที่ที่มีคนจ๊อกแจ๊กจอแจอย่างร้านอาหาร

“มันประหลาดแล้วฉันก็ไม่อยากเชื่อเท่าไหร่ เลยมาคุยกับแกนี่แหละ”

“อะไรของแกวะ จะกระตุ้นต่อมอยากรู้อยากเห็นฉันไปถึงไหน”

“แพรบอกว่ารันไประรานหนูนิแถมว่าเสียๆหายๆกลางห้าง” ธเนศหูผึ่ง มองเพื่อนอย่าสนใจ ภูดิสเล่าตามคำพูดของแพรพรรณ โดยตัดส่วนที่คิดว่าน้องสาวน่าจะเพิ่มความอลังการณ์ให้กับเรื่องราวทิ้ง จนกระทั่งภัยล่าสุดที่นิศากรเผชิญหน้ากับนางร้ายสาวที่ห้องน้ำที่ร้านอาหาร

“แล้วไงต่อ น้องนิว่าไงบ้าง” ภูดิสสะดุดหู คิ้วขมวดนิดๆ ไม่ค่อยชอบใจกับคำเรียกขานนิศากรของเพื่อนที่ตีสนิทรวดเร็ว แต่ก็ยังพูดต่อไป

“แกจำได้มั้ย วันที่ฉันมาที่นี่แล้วเจอหนูนิ” ธเนศพยักหน้า ยิ้มมีเสน่ห์ผุดพรายที่ข้างแก้ม เมื่อนึกถึงเรื่องเปิ่นที่เคยทำไว้ต่อหน้าหญิงสาว “ยิ้มบ้าอะไรของแกวะ”

“เปล่าๆ ไม่มีอะไร เล่าต่อสิ”

“ก่อนหน้านั้นหนูนิหลบหน้าฉันมาเป็นอาทิตย์ เพราะรันสั่งห้าม”

“อืม ยัยรันก่อสงครามเร็วกว่าที่คิดแฮะ ชิงลงมือก่อนได้เปรียบเสียด้วย”

“สงครามอะไรของแก” ภูดิสเอ่อ ไม่เข้าใจคำพูดเพื่อน ธเนศมองหน้าเพื่อนสนิทแล้วส่ายหน้า

“แกนี่มันโง่แล้วก็ซื่อบื้อเรื่องผู้หญิงชะมัด ไม่ได้รู้อะไรเลย” ภูดิสหน้าหงิกกับคำต่อว่าของเพื่อนที่ราวกับนัดกันมากับแพรพรรณ

“ใครจะไปฉลาดล้ำเหมือนแกเล่า” ภูดิสชมแบบประชด คนที่กลับมาถือมีดกับส้อมตัดชิ้นเนื้ออีกครั้ง

“ขอบใจที่ชม เพราะฉะนั้นคนฉลาดอย่างฉัน จะบอกอะไรคนซื่อบื้ออย่างแกสักอย่างนึงแล้วกัน ยัยรันกำลังเคว้งคว้าง แกคงรู้ ยัยนั่นเห็นว่าแกคอยเป็นห่วงเป็นใยเขามาตลอด คงคิดว่าแกยังรักเขาอยู่ คิดว่าแกเป็นของเขา”

“พูดเหมือนแพร” ชื่อแพรพรรณสะกิดใจธเนศให้นึกถึง แม่หนูตัวเปี๊ยกจอมเซี้ยวน้องสาวเพื่อน หายหน้าหายตาไปเลยแฮะ เขามัวแต่ยุ่งๆนิดหน่อย เลยลืมสังเกตไป

“ยัยเปี๊ยกด้วยเหรอ อืม ฉลาดเหมือนฉัน แล้วตกลงแกยังรู้สึกแบบเดิมอยู่อีกรึเปล่า” ประโยคท้ายธเนศทำเสียและหน้าจริงจัง

“ไม่หรอก นั่นมันนานมากแล้ว ฉันแค่ห่วงเขาในฐานะเพื่อน เหมือนแกนั่นแหละ”

“ก็ดี งั้นแกก็ควรบอกเขาให้เข้าใจ ไม่งั้นยัยนั่นก็เกาะแกอย่างนี้ไม่ปล่อยหรอก น้องนิก็จะพลอยซวยไปด้วยอย่างนี้ เออ ว่าแต่น้องนิยังว่างใช่มั้ยวะ”

หนุ่มผิวน้ำผึ้งทำตาวาวเมื่อถามถึงนิศากร จนภูดิสอยากเอาส้อมจิ้มให้ตาบอด ชายหนุ่มกระชากเสียงถามออกไป

“ทำไม แกจะทำอะไร” เขาถามทั้งๆที่รู้คำตอบ แต่ก็ยังถาม

“บ๊ะ ถามนิดเดียวทำเป็นโมโหโทโส ไม่เอาก็ได้ เห็นเป็นแกหรอกนะ ไม่งั้นล่ะก็...มีศึกชิงนางแน่” เสียงห้าวหัวเราะเบาๆตบท้ายแบบยั่วอารมณ์

“ชิงอะไรของแก หนูนิเป็นเพื่อนยัยแพรนะ ส่วนแกเป็นเพื่อนฉัน จะทำอะไรอย่าให้เสียมาถึงฉันแล้วฉันก็เป็นพี่ เพราะฉันนั้นแกห้ามจีบเล่นๆเด็ดขาด หนูนิเป็นเด็กดี เข้าใจรึเปล่า”

เสียงนุ่มทุ้มห้วนเด็ดขาด ชี้ส้อมไปที่เพื่อน ทำหน้าดุ จนธเนศที่คราวแรกแหย่เล่นหน้าตูมที่เพื่อนเห็นเขาเป็นหมาป่านิสัยเสีย คิดจะล่อลวงลูกแกะน่ารักขาวสะอาด

“แกเห็นฉันเป็นคนเลวขนาดนั้นเชียวเหรอเนี่ย ฉันมันเลว มันต้อยต่ำไม่คู่ควรกับน้องเขาขนาดนั้นเชียวเรอะ” ธเนศประท้วงหน้างอ ความจริงแค่อยากสะกิดลองใจเพื่อนดูสักหน่อย ไม่คิดว่าภูดิสจะกีดกันแบบย้อนกลับมาว่าแทงใจเขาแบบนี้

“เฮ้ย ไม่ได้พูดขนาดนั้นสักหน่อย แต่ช่วยไม่ได้ พฤติกรรมเรื่องผู้หญิงของแกไม่น่าไว้ใจนี่หว่า” ยังไงความหมายที่ภูดิสบอกมาก็ไม่บอกเลยว่าเขาเป็นคนดีขึ้นมาสักนิด ออกแนวปลอบส่งๆมากกว่า สุดท้ายก็แปลว่าเขามันพวกหมาป่า

เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นขัดจังหวะสองหนุ่ม หน้าจอแสดงชื่อของรัญชิดา ธเนศถือวิสาสะดึงมาดู

“แหม...ตายยากจริงๆยัยนี่ นัดมาคุยกันเสียเลยสิวะ จะได้เคลียร์ให้เสร็จๆไป” เขาส่งมือถือเครื่องเล็กให้ภูดิสกดรับกรอกเสียงลงไป

“สวัสดีรัน พอดีเลย เรากำลังมีเรื่องจะพูดด้วย เจอกันหน่อยได้มั้ย หือ?...ว่าไงนะครับ” เสียงทุ้มแสดงอาการตื่นตระหนก เมื่อปลายสายที่แย้งมาว่าตัวไม่ใช่ดาราชื่อดังมีน้ำเสียงตื่นๆ เขากรอกเสียงลงไปอีกครั้ง แล้วลุกพรวดขึ้น

“ได้ๆ ที่ไหนครับ โอเค ผมจะรับไปเดี๋ยวนี้”

“อะไรวะภู มีเรื่องอะไร” ธเนศพลอยลุกพรวดขึ้นไปด้วย คงเกิดเรื่องอะไรแน่ๆ เพื่อนเขาถึงได้พรวดพลาดรวดเร็วแบบนี้

“ผู้จัดการรันโทรมา บอกว่ารันไม่สบายมาก ตอนนี้นอนตัวร้อนจี๋อยู่ที่บ้าน อาละวาดไม่ยอมไปโรงพยาบาล เรียกให้ฉันไปหา”

“ฉันไปด้วย” ยังไงรัญขิดาก็เป็นเพื่อนเขาคนหนึ่ง หากว่าเธอป่วยจริงๆ เขาที่รับรู้เรื่องก็ควรจะไปช่วยเหลือด้วย สองเพื่อนสนิทบึ่งรถออกจากสปอร์ตคลับอย่างรวดเร็ว



“ฮัลโหล พี่ภูอยู่ไหนเนี่ย บ่ายแล้วยังไม่เข้ามาอีก ไปไหนฮะ” เสียงแพรพรรณห้วนดังแสบแก้วหูฝ่ายที่ยกโทรศัพท์ขึ้นรับแทนเพื่อนที่ทำหน้าที่ขับรถทั้งที่มือพันผ้าพันแผลไว้ซึ่งครางเสียงอ่อยเป็นชื่อน้องสาว เขาเลยสงสารรับแทนเสียเอง แล้วก็เจอกับเสียงแว๊ดดังก้องหู

“โอ๊ย แก้วหูเกือบทะลุแน่ะ ยัยเปี๊ยก ตอนกลางวันกินข้าวบูดมารึไง ถึงได้อารมณ์เสียขนาดนี้” แพรพรรณฟังเสียงห้าวๆที่โต้กลับมาแล้วอ้าปากหวอ เสียงห้าวๆกวนบาทาแบบนี้ไม่มีใครได้อีก นอกจากนายตัวดำนั่น หญิงสาวดึงโทรศัพท์ที่แนบหูเมื่อครู่มาดูหน้าจออีกครั้งว่าไมได้โทรผิด

“อี๊ย์ อีตาพี่ธเนศ มาชวนพี่ภูไปเถลไถลที่ไหนอีกฮะ งานการมีไม่ทำกันรึไง” แพรพรรณทำเสียงรังเกียจเดียดฉันท์ต่อว่าเพื่อนพี่ชายอย่างไม่เกรงใจ

“อ้าวๆ ใส่ความกันงี้ได้ไง ว่าแต่แม่หนูเปี๊ยกไม่มีงานรึไง ถึงได้ว่างมาแว๊ดๆจิกคนอื่นเขาแบบนี้” ประโยคแรกท้วงแต่ประโยคสองยอกย้อนกลับให้แม่หนูเปี๊ยกอยากยื่นมือทะลุโทรศัพท์มาต่อยให้ปากเจ่อ

“ตาบ้า! แล้วเลิกเรียกว่าหนูเปี๊ยกนะ นายตัวดำ!” แพรพรรณตวัดเสียงห้วนดังลั่นกะว่าให้เสียดเข้ารูหูไปกระแทกเยื่อแก้วหูให้ทะลุ หนุ่มผิวน้ำผึ้งสะดุ้งหน้าตึง ก้มลงมองสีผิวแบบชาวทะเลทรายของตัวเองที่สาวๆหลายคนชื่นชอบ บอกว่าดูแมนสมชาย หากแพรพรรณค่อนขอดเขาตลอดมาว่าดำเป็นอีกาจนเสียความมั่นใจไปหลายครั้ง

“นี่!ยัยเปี๊ยก ถึงจะดำๆก็ดำแบบสมาร์ท ดาร์ค ทอล แอนด์แฮนซั่ม สาวๆเขาชอบกันทั้งนั้น” เสียงห้าวกวนอารมณ์อ้างคำชมจากสาวๆ ปลายสายเบะปากค่อนกลับว่า

“แหม...สาวๆพวกนั้นคงใส่คอนแทคเลนส์กลับด้านกันทุกคน สายตาเลยฝ้าฟางแบบนั้น ไม่งั้นก็คงจะประชด แต่คนฟังกลับพาซื่อนึกว่าจริงไปเสียอีก” เสียงเล็กๆหัวเราะเยาะตามประโยคสุดท้าย ธเนศเข่นเขี้ยว คับแค้น แปลความหมายย่อๆว่า ยัยเปี๊ยกด่าเขาว่า โง่ แถมหลงตัวเอง

“ปากจัดจริงนะ มิน่าหนุ่มๆที่ไหนก็ไม่กล้าเข้ามาจีบสักคน มีปากเป็นสายสิญจน์ล้อมรอบตัวไว้อย่างนี้นี่เอง” คนฟังจี๊ดอารมณ์พุ่งขึ้นมาอีกครั้ง หนอย ไม่รู้จริงยังมีหน้ามาพูด ที่เธอยังไม่มีคนรักเป็นเพราะยังไม่มีใครที่พอใจจริงๆต่างหาก

“ก็เอาไว้กันผีร้ายแบบนายยังไงล่ะ อีตาบ้า!รู้ไว้ซะด้วย” แพรพรรณกระแทกเสียงใส่แล้วกดวางสายทันทีด้วยแรงอารมณ์ ลืมความตั้งใจสืบหาพี่ชายไปเสียสนิท สูดหายใจเข้าลึกสุดโต่งระงับอาการอยากบีบคอผีร้าย จนนิศากรกลัวว่าอากาศในห้องจะถูกเพื่อนสูดเข้าไปหมดเสียก่อน

“ยัยเปี๊ยก ฮัลโหลๆ เฮ้ย!” หนุ่มผิวน้ำผึ้งสบถหัวเสีย มองหน้าจอที่ตัดสายไปสามวินาทีที่แล้วอย่างแค้นๆ “แกให้ยัยเปี๊ยกกินกรรไกรเข้าไปรึไงวะ” ธเนศหันไปถามเพื่อน

“พอกันนั่นแหละ ทั้งสองคนเลย” ภูดิสส่ายหัวให้บทสทนาดุเดือดที่ดังลอดทะลุโทรศัพท์มา สองคนนี้ไม่เคยยอมกันเสียที คนหนึ่งก็กวนบาทา อีกคนก็ไม่เคยยอมพ่ายแม้แต่น้อย ทิ้งระเบิดให้กันเสมอมา

“ยัยเปี๊ยกเริ่มก่อนนะโว้ย ฉันไม่ผิด” ชายหนุ่มโยนความบาปให้น้องสาวเพื่อนไปแทนข้อหาทำให้เขาแสบแก้วหู แถมใส่ความหาว่าเป็นคนเหลวไหลก่อน ภูดิสถอนใจเฮือกไม่อยากต่อความกับเพื่อนให้ยืดยาว ขี้เกียจฟังมันกวน

“ถอนใจอะไรวะ เรื่องฉันหรือเรื่องยัยรันตัวร้าย” ธเนศสะกิดถามเพื่อน ภูดิสหน้านิ่วทันทีที่โดนถาม



ก่อนหน้านี้เขาเร่งไปหารัญชิดาที่บ้าน เพราะคิดว่าหญิงสาวไม่สบายมากจริงๆตามคำบอกของผู้จัดการ แต่พอไปถึง...รัญชิดานอนปวดหัวเพราะโรคไมเกรนตามที่เป็นบ่อยๆเท่านั้น อาการตัวร้อนที่บอกก็ไม่ร้ายแรง แค่เป็นไข้นิดหน่อยเท่านั้น แต่หญิงสาวอาละวาดไม่ยอมกินยาและร้องไห้

‘ไม่กิน...ไม่มีใครต้องการเรา ก็ให้มันปวดให้ตายไปเลย เราจะได้ไม่ต้องเหงาอยู่คนเดียวอีก ไม่ต้องผิดหวังซ้ำซากให้เจ็บอีก’ รัญชิดาครวญครางน้ำตาอาบแก้ม

‘ใครว่าเล่า รันมีเพื่อนอีกตั้งหลายคน ธเนศก็มานะ’ นางร้ายสาวผงกหัวมองหนุ่มผิวน้ำผึ้งอีกคนแล้วเบ้ปาก ธเนศที่ทำท่าชูสองนิ้วให้สู้ๆเป็นกำลังใจให้ หักนิ้วลงหน้าหงิก เดินออกไปจากห้องที่เปิดประตูทิ้งไว้ เรียกหาน้ำจากแม่บ้าน

‘พวกนั้นก็แค่เพื่อนกินเท่านั้นแหละ ไม่เคยห่วงเราจริงๆเลยสักคน ภูไม่มีเวลาให้เราเลย พอเราโทรไปภูก็ไม่รับสาย หรือถ้ารับก็พูดไม่ถึงนาทีแล้วก็วาง ไม่เห็นใส่ใจเราบ้างเลย เราคงไม่มีความสำคัญอะไรแล้ว’ น้ำเสียงของรัญชิดาตัดพ้อ น้ำตารื้นคลอตาสวย เรียกคะแนนความสงสารได้อย่างดี

‘เราไม่ว่างจริงๆ ตอนนั้นมันยุ่งมาก เราขอโทษละกัน’ ภูดิสขออภัยที่ละเลย ไม่คิดเลยว่าจะทำให้หญิงสาวรู้สึกโดดเดี่ยวได้ขนาดนี้

‘ภู เราไม่มีใครแล้วจริงๆนะ ภูอย่าทิ้งเรานะ ขอร้อง’ รัญชิดาเขย่าแขนชายหนุ่มขอร้องน้ำตาตก

‘ไม่ทิ้งหรอกรัน ไม่มีวันหรอกนะ’ ชายหนุ่มปลอบ มือใหญ่ปาดน้ำตาให้ เธอยิ้มหน้าชื่นขึ้นทันที ‘เราเพื่อนกันนะ’ หากมือบางมายึดไว้ นางร้ายสาวเอ่ยแผ่วเบา เหมือนจะหมดแรง

‘แค่นั้นเองเหรอภู แค่เพื่อนเท่านั้นเอง‘ คำว่าเพื่อนตอกย้ำใจ เสียงนิศากรที่บอกอย่างนี้เช่นกันดังมากระทบในห้วงความคิด

ภูดิสเงียบ เรื่องที่เขาอยากจะพูดให้หญิงสาวเข้าใจ เขานึกได้ แต่พูดตอนนี้จะดีหรือไม่ ดูท่ารัญชิดาอยู่ในภาวะอารมณ์ไม่ค่อยปกติเท่าไหร่

‘ภูแน่ใจเหรอ ระหว่างเราเรียกว่าเพื่อน’ ภูดิสมองสบตาสวยเลิกคิ้ว ‘ภูรักเรา เรารู้นะ ภูรักเรามานานแล้ว’

‘ใช่รัน แต่...’ นางร้ายสาวแทรกขึ้น เมื่อมีคำว่าแต่ ข้อความหลังจากนั้นมักจะตรงข้ามกับประโยคแรกเสมอ

‘ตอนนี้เรารักภูแล้วนะ เรารู้แล้วว่าภูดีที่สุด น่ารักที่สุด เป็นห่วงเรามากที่สุด มากกว่าใครทั้งหมด’ ภูดิสอึ้งกับคำสารภาพของนางร้ายสาว รัญชิดาโผเข้ากอดชายหนุ่มซบหน้าลงกับไหล่กว้าง

‘ภูยังรักเราอยู่ใช่มั้ย เรารู้นะที่ภูเป็นห่วงเราขนาดนี้ก็เพราะรักเรา ขอบใจมากนะภู ภูคนดี คนสำคัญที่สุดของเรา ขอบคุณมากเลย”

‘เอ่อ...รัน คือ...‘

‘โอ๊ย...ภู ปวด ปวดหัว‘ มือเรียวกุมขมับ สีหน้าเจ็บปวด ผู้จัดการสาวประเภทสองรีบรี่เข้ามาส่งยาพร้อมแก้วน้ำให้ชายหนุ่มรับไปป้อนนางร้ายสาว

‘ทานยาก่อนนะรัน จะได้หายปวด‘ รัญชิดาพยักหน้ารับ ยอมทำตามอย่างว่าง่าย “นอนซะรัน ตื่นมาก็หาย” เขาคลี่ผ้าห่มคลุมตัวให้เธอทำท่าจะผละไป หากมือเรียวรีบดึงเขาไว้

‘ภูจะไปไหน‘

‘คือเรา ต้องกลับไปบริษัทแล้วล่ะ สายแล้วมีงานรออยู่‘ ข้ออ้างเกี่ยวกับงานถูกยกมาใช้เพื่อหลีกให้พ้นสถานะการณ์ที่เขายังตั้งตัวรับไม่ทันนี้ หากเป็นเมื่อหลายปีก่อนนั้น คำสารภาพนี้คงทำให้เขาดีใจและพอใจ หากแต่วันนี้ไม่ใช่เลยสักนิดเดียว

‘ขอโทษนะที่กวน รีบไปเถอะ’ นางร้ายสาวยิ้มเนือยๆมาให้ ชายหนุ่มจึงก้าวออกมาปิดประตูห้อง หน้าคมยุ่งเหยิง มือใหญ่ยกขึ้นเสยผมวุ่นวายใจ ธเนศยืนกอดอกรออยู่ข้างประตู ได้ยินทุกอย่างโดยไม่ต้องสงสัย



“ถามจริงๆเถอะวะ แกคงไม่ได้ดีใจที่ยัยนั่นมาสารภาพรักแกหรอกใช่มั้ย ถ้าป็นอย่างนั้นฉันคงอยากฆ่าตัวตาย” ธเนศทำท่าปาดคอ ลิ้นห้อยลงมาตาเหลือกประกอบ

“เฮ้อ!” ภูดิสถอนใจหนักหน่วง ลำบากใจกับคำพูดของรัญชิดาแล้วก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ถึงหญิงสาวอีกคน ชายหนุ่มมองบาดแผลตัวเองแล้วก็นึกโกรธสาวหน้าใสขึ้นมาอีก

ทำไมตอนนี้มีแต่เรื่องยุ่งยากซ้อนกันไปหมดนะ โอ๊ย ปวดหัว


-----------โปรดติดตามตอนต่อไป-------------


//punnarm-farin.bloggang.com


*;...คุยกันนิดหน่อยกับฟ้าริน...;*

g - ดีใจจังที่ชอบค่ะ สำหรับตอนหวาน รอสักครู่ค่ะ มีให้แน่นอน แต่จะเป็นเมื่อไหร่ ตอนหน้าเลยดีมั้ยน้า ว่าไงคะ

kikkak_riwkiw - ข่าวร้ายอ่ะฟิว อาธันว์ลาพักร้อน ตอนนี้มาสงบศึกชิงอาธันว์กันก่อน แง้ คิดถึงอาธันว์ สกปรกได้ที่เลยใช่ม้า ตอนที่แล้ว แล้วตอนนี้ล่ะ เป็นไง น่าถีบให้ตกเตียงจริงๆว่ามั้ย บ่นไว้ว่าตาเเฉะ ตอนนี้เลยลดดีกรีความยาวลงมาเท่าเดิม กลัวฟิวตาบอดไปเสียก่อน หวังดีนะเนี่ย แฮะๆ

kookkookkai - เอ่อ จะให้จบแล้วเหรอคะ ยังก่อนได้มั้ยคะ ยังไม่จบภายในเร็วๆนี้หรอกค่ะ อยากป่วนมากกว่านี้ แฮะๆ

ทุกคนว่าไงคะ อยากให้จบเร็วๆรึเปล่า





Create Date : 08 กรกฎาคม 2550
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2551 18:16:24 น.
Counter : 294 Pageviews.

3 comment
จัดรักให้ลงล็อค บทที่11



บทที่11



นิศากรหัวเราะคิก เมื่ออยู่บนรถเรียบร้อย มุ่งหน้ากลับบ้านอย่างที่คนเจ็บต้องการ ชายหนุ่มหน้านิ่วน้อยๆขณะใช้มือข้างดีนับซองยาในถุงกระดาษของโรงพยาบาลที่ประโคมให้มา แก้นั่นแก้นี่เยอะแยะเต็มไปหมดให้สมกับราคาที่จ่ายให้โรงพยาบาลเอกชนที่ไปใช้บริการมาเมื่อครู่

“กินยาเฉยๆก็คงอิ่มแล้ว ไม่ต้องกินข้าวหรอกเนอะ” เสียงทุ้มแกล้งพูดประชดขำๆ

“เยอะขนาดนั้นเชียวหรือคะ เว่อร์ไปรึเปล่าคะ”

“ก็ดูสิครับ” มือหนารวบซองยามาโชว์ให้เธอดู เป็นเครื่องยืนยันคำพูด

“สีสวยน่ากินดีออกค่ะ” ภูดิสหน้าเบ้น้อยๆ ไม่ใช่ว่าเขาเกลียดการกินยาเหมือนน้องสาวที่ป่วยครั้งใด ทั้งแม่และพี่ชายอย่างเขาต้องนั่งคุมไม่คลาดสายตา ไม่ให้แพรพรรณเอายาไปทิ้ง ทั้งที่เป็นยาน้ำแบบที่เด็กทาน เพราะน้องสาวเขากลืนยาเม็ดไม่ได้ แต่ว่านี่รู้สึกจะมากเกินไป

“ฮื่อ ขาดไปไม่กี่สีก็เอามาเรียงเป็นรุ้งได้แล้วนะครับ” นิศากรหัวเราะเบาๆกับประโยคเปรียบเปรย แล้วก็รู้สึกร้อนน้อยๆที่แก้มเนียนใสเมื่อแว๊บหนึ่งเธอหันไปยังร่างสูงที่นั่งด้านข้าง พบว่าเขายิ้มมุมปากอย่างที่ชอบทำประจำส่งมาให้


“เดี๋ยวๆหนูนิ จะไปไหนครับ” เสียงทุ้มร้องเรียกเมื่อหญิงสาวเลี้ยวรถไปอีกทางหนึ่งที่ไม่ใช่เส้นทางกลับบ้านของเธอ

“กลับบ้านไงคะ” นิศากรตอบ

“บ้านไหนครับ”

“ก็บ้านพี่ภูสิคะ พี่ภูบอกว่าจะกลับบ้าน” หญิงสาวบอกทวนความต้องการของเขา แต่ชายหนุ่มส่ายหน้า

“ไม่ใช่บ้านพี่ ไปบ้านหนูนิสิครับ บ้านพี่ไม่มีใครอยู่เสียหน่อย คุณป้าบอกว่าจะทำอาหารไว้คอยด้วย พี่จะไปกิน” ภูดิสเฉลยเหตุที่ไม่อยากกลับบ้าน เพราะจะไปกินของอร่อยที่บ้านเธอนี่เอง

“ผิดสัญญากับผู้ใหญ่ไม่ดีนะครับ” ชายหนุ่มเอ่ยเหตุผลเสริม

สองพี่น้องนี่ติดใจฝีมือทำอาหารของคุณกังสดาลเหลือเกิน จนครั้งหนึ่งคุณลักษิกาแกล้งอิจฉา นิศากรมองชายหนุ่มขำๆแล้วเลี้ยวกลับตรงไปยังบ้านเธอ

ทำอย่างกับเด็กๆเหมือนแพรไม่มีผิด ตะเกียกตะกายจะไปบ้านเธอทั้งที่เจ็บเพื่อจะกินของอร่อย


แพรพรรณร้องอย่างตกใจเมื่อสายตากราดไปเห็นผ้าแผลสีขาวสะอาดที่มือใหญ่ เพราะชายหนุ่มเผลอให้มือข้างนั้นอีก จึงกระเทือนจนร้องโอดโอยจนหญิงสาวต้องเตือนซ้ำว่าอย่ากระเทือนบาดแผล

“เอ๊า พี่ภู นิบอกแล้วว่าอย่างเพิ่งโดนแผลไงคะ เดี๋ยวแผลก็อักเสบ บวมกันพอดี” หญิงสาวเดินอ้อมรถมาดุ

“เฮ้ย พี่ภูไปทำอะไรมาเนี่ย ทำไมมือเป็นแบบนี้ล่ะ”

หลังผ่านการซักฟอกวีรกรรมปราบโจรระทึกขวัญที่ห้างดัง ผู้หญิงสามคนรับฟังไปร้องไปอย่างหวาดเสียวตาม สองแม่จับมือกับตบอกปุๆ แล้วบ่นยืดยาว ใจความเหมือนอย่างที่ผู้บาดเจ็บเคยดุเธอมาไม่มีผิด ชายหนุ่มส่งสายตาคมมาเหมือนจะบอกว่า

เห็นมั้ยล่ะ

นิศากรคอตก แถมยังโดนเพื่อนตีเข้าหนึ่งป๊าบด้วยข้อหาเดียวกันกับพี่ชายว่า ทำให้ทุกคนเป็นห่วงดีนัก ใจหายใจคว่ำกันหมด สุดท้ายเป็นคุณแม่ทั้งสองที่ดุและหยิกเข้าคนหมับสองหมับ

“แม่ฟังแล้วจะเป็นลม ถ้าขืนทำอย่างนี้อีกนะ แม่จะตีให้ตายเลย คอยดูสิ”

“ป้าก็จะเป็นลมด้วยคน โอ๊ย หัวใจจะวาย อย่าทำอย่างนี้อีกนะลูก ป้าเป็นห่วง”

“ขอโทษค่ะทุกๆคน” หญิงสาวขอโทษเสียงอ่อย

“ดูซิ พี่เขาเลยต้องมาเจ็บไปด้วย โถ...ตาภู” คุณกังสดาลหน้าเสียมองบาดแผลของชายหนุ่ม เช่นเดียวกับลูกสาว ภูดิสเห็นแล้วรีบปลอบให้สบายใจว่าเขาไม่ได้เป็นอะไรมาก

“แค่นิดเดียวเองครับ ผมไม่เป็นอะไร คุณป้าไม่ต้องกังวลนะครับ”

“นั่นสิ ตัวโตจะตาย โดนนิดๆหน่อยๆเท่านี้ ไม่เป็นไรหรอก”

“ใช่ค่ะคุณป้า พิการชั่วคราวแบบนี้ แพรจะได้ฉวยโอกาสเอาคืนที่เคยแกล้งแพรถนัดๆหน่อย สมน้ำหน้าแล้วพี่ภู ฟ้าดินคงลงโทษที่แกล้งน้องไว้ เลยให้ทะเร่อทะร่าไปโดนมีดเข้า” สามแม่ลูกช่วยกันคลายความกังวลและเปลี่ยนเป็นเรื่องขำขัน

ดวงตาคมมองอาหารตรงหน้าพราวเป็นประกาย ค่าตอบแทนและทำขวัญวีรบุรุษอย่างภูดิสเป็นเสต็คเนื้อหอมกรุ่น มันทอดและสลัดเคียงครบสูตรฝีมือคุณกังสดาลที่คุณลักษิกาและแพรพรรณเสนอไว้ว่าเป็นเมนูโปรดอีกหนึ่งอย่างของเขา

“ทานเลยจ๊ะ เต็มที่เลยนะ ป้าทำสุดฝีมือให้ภูเลยนะเนี่ย” คุณกังสดาลโฆษณา

“ขอบคุณครับ” ภูดิสตั้งท่าจับส้อมและมีดเตรียมพร้อม ชายหนุ่มเปลี่ยนมีดมาไว้ข้างซ้ายเพื่อจะใช้ออกแรงหั่นชิ้นเนื้อและจับส้อมข้างขวาแทน แต่ก็ยังไม่สำเร็จอยู่ดี อุปกรณ์การกินหลุดจากมือข้างเจ็บของเขาลงโต๊ะและเขาหน้านิ่วนิดหนึ่งเพราะเจ็บแผล

“ตายจริง ลืมไปเลย มือเจ็บแบบนี้จะกินได้ยังไงล่ะเนี่ย” คุณลักษิกาเอ่ยพลางคิด แพรพรรณที่นั่งข้างมารดาสบตาแพรวพราว

“หนูนิ ช่วยพี่ภูหน่อยสิ รับผิดชอบดูแลหน่อย” แพรพรรณแกล้งทวงบุญคุณที่พี่ชายช่วยเพื่อนสาวไว้

นิศากรคว้าอุปกรณ์จากมือชายหนุ่มมาทำหน้าที่ตัดเป็นชิ้นพอดีคำ แสดงความรับผิดชอบเต็มที่ หญิงสาวชะงักมือเงยหน้าขึ้นเหมือนนึกอะไรได้ เธอหันไปถามภูดิสที่นั่งรอกินอย่างใจจดใจจ่อ

“พี่ภู ทานยารึยังคะ”

“เอ้อ ยังครับ” ภูดิสทำท่านึกได้เช่นกัน จึงบอกว่ายาอยู่บนรถ หญิงสาวหันไปสั่งคนให้ไปเอา และจัดการจัดยาใส่แก้วเล็กยื่นให้พร้อมน้ำ กลับไปจัดการกับอาหารของเขาต่อ

ชายหนุ่มยื่นยาหลากสีในมือให้น้องสาวดู จัดการเทใส่ปากแล้วยักคิ้วให้น้องก่อนดื่มน้ำตามอึกใหญ่ แพรพรรณทำท่าเกาคอหน้าแหย เรียกเสียงหัวเราะในลำคอภูดิส นิศากรมองสองพี่น้องยิ้มๆ บางทีเธอก็ชอบเวลาพี่น้องนี่แกล้งหยอกกัน แต่บางทีพอเห็นแล้วก็อดระอาไม่ได้

“เจ็บแล้วยังจะมีแก่ใจแกล้งน้องอีกนะภู” คุณลักษิกาอดดุขำๆไม่ได้ ชายหนุ่มดีหน้าไม่รู้ไม่ชี้

“เฮ้อ มือขวาเสียด้วย ลำบากแย่เลย” คุณกังสดาลยังกังวล

“มือเจ็บแบบนี้ก็ไม่เลวนะครับ สบายดี” ภูดิสบอกข้อดีในการเจ็บครั้งนี้ว่าสบายดี เพราะทุกคนช่วยกันบริการเขา ประมาณว่ามีสิทธิพิเศษ สบายเหนือกว่าคนอื่นๆ

ชายหนุ่มจิ้มอาหารเข้าปากยิ้มให้คุณกังสดาลซึ่งชักจะเห็นด้วยกับสิ่งที่เขากล่าวมา ท่ามกลางความอิจฉาที่เริ่มก่อตัวของแพรพรรณซึ่งนั่งมองพี่ชายรับบริการจากเพื่อนสาวเจ้าบ้าน นิศากรกำลังเทซอสใส่ให้ในจานพี่ชายและมารดาของตัวขยับทิชชู่ส่งให้

“พอแล้วๆ เอาใจกันมากเกินไปแล้ว” น้ำเสียงอิจฉาดังจากร่างเล็กผอมบาง มือบางฉุดมือเพื่อนที่จะตักมันฝรั่งทอดส่งให้ภูดิสออก เรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนบนโต๊ะได้ฮาใหญ่

นิศากรและภูดิส ขำนิสัยของแพรพรรณที่เกิดจะขี้อิจฉาแบบเด็กๆ เพราะพี่ชายได้รับการเอาใจใส่มากกว่า

ส่วนสองแม่หัวเราะกึ่งยิ้มอย่างสมใจ ที่เห็นลูกสาวและลูกชายเข้ากันดีและนิศากรที่คอยดูแลภูดิสอย่างเอาใจใส่จนแพรพรรณน้อยใจ งอนตุ๊บป่องไปเลย

“อย่างนี้ก็ดี เหมือนที่ตาภูบอกจริงๆนะ”

“นั่นสิ”

คุณลักษิกาแอบกระซิบกับคุณกังสดาลอมยิ้ม ขยิบตาให้กัน และส่ายหัวให้แพรพรรณที่อิจฉาจนลืมหน้าที่ที่ตัวเองเป็นตัวตั้งตัวตีเสียแล้ว



คุณลักษิกาจัดการลากภูดิสเข้าห้องนอนตั้งแต่หัวค่ำหลังกลับจากบ้านเพื่อน เพราะพ่อลูกชายตัวที่ไม่เจียมตัว ทำท่าจะตรงเข้าห้องหนังสือดูงานที่ทำค้างไว้เมื่อวาน ทั้งที่ตัวเองหาวหวอดๆตั้งแต่อยู่บนรถ ด้วยฤทธิ์ยาที่ทานเข้าไป

“ไปเลย ไปอาบน้ำจะได้เข้านอน เจ็บแล้วยังไม่เจียมอีก” คุณลักษิกาว่าเข้าให้

ภุดิสจัดการอาบน้ำด้วยน้ำอุ่นตามที่มารดาสั่ง ไม่อาบน้ำเย็นอย่างที่ตัวเองชอบทำ เพราะไม่อยากได้อาการไข้ขึ้นเพิ่มเข้าไปอีก เพราะตอนรู้ก็รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวพิกล

...อย่าให้แผลโดนน้ำเด็ดขาดนะคะ...

เสียงหวานใสของนิศากรกำชับไว้ก่อนที่เขาจะก้าวขึ้นรถ ชายหนุ่มมองมือที่มีผ้าพันแผลสีขาวพันๆไว้ เขายื่นออกให้พ้นรัศมีของน้ำที่อาจกระเซ็นโดน

พอจัดการอาบน้ำเสร็จเรียบร้อย ทำท่าจะล้มตัวลงนอน เขาก็นึกอะไรอย่างหนึ่งได้ ร่างสูงกระเด้งลุกจากเตียงนุ่มมาหันหาของที่ต้องการ

อย่าลืมทานยาแก้ไข้ก่อนนอนด้วยนะคะ คืนนี้พี่ภูอาจจะไข้ขึ้นก็ได้ มือเล็กๆขาวๆชูซองยาให้เขาดู ชี้ตรงคำว่าก่อนนอนให้เห็นเด่นชัด

ภูดิสล้มตัวลงนอนอีกครั้งหลังจัดการทานยาเสร็จเรียบร้อยอย่างที่หากคุณหมอได้รู้ คงดีใจไม่น้อย ที่คนไข้ทำตามที่สั่งทุกคำ ไม่ผิดเพี้ยนจากที่นิศากรกำชับกำชาไว้ตามคำแนะนำของแพทย์ทีเดียว

...ขอบคุณค่ะ...

ภาพใบหน้าหวาน ตากลมใสแป๋ว ประดับรอยยิ้ม มือน้อยพนมขึ้นไหว้ชายหนุ่มเรียบร้อย ขอบคุณและขอโทษที่ช่วยเธอจนต้องเจ็บตัว

เขาหลับไปเมื่อไหร่ไม่รู้ตัว หากแต่ที่รู้คือริมฝีปากของเขามีรอยหยักยกขึ้นน้อยๆและคิ้วเข้มไม่ขมวดมุ่นเหมือนที่เป็นมาตลอดหลายวัน


“อะไรนะ ยัยนั่นพูดขนาดนั้นเชียวเหรอ ฮึ่ย!อย่างนี้ยอมไม่ได้ ไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาดเลย มีเรื่องขนาดนี้ทำไมไม่ยอมเล่านะหนูนิ” เสียงเล็กๆดังด้วยอารมณ์พุ่งปรี๊ดเมื่อได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดที่นิศากรเผยให้ฟัง

หลังนิศากรส่งส่วยเป็นข้าวต้มกุ้งร้อนๆให้คนเจ็บที่คุณเลขาบอกแกมบ่นว่ากำลังง่วนเตรียมเอกสาร เพื่อเข้าประชุมบ่ายนี้

‘เดี๋ยวจะต้องลืมทานอาหารอีกแน่เลยล่ะค่ะ’ นันทาส่ายหน้าหน่ายๆในพฤติกรรมของเจ้านายที่ชอบทำงานจนลืมทานอาหารอยู่เสมอ

นิศากรจึงไม่รบกวนเวลา แต่ฝากส่วยไว้ให้แทน ในใจนึกอยากสำรวจบาดแผลของเขาดูว่ายังเรียบร้อยดีอยู่ไหม อาการไข้ขึ้นจากแผลอักเสบซึ่งแพรพรรณแอบมารายงานกึ่งชื่นชมพี่ชายให้ฟังว่าเป็นคนไข้ที่ดีนั้นดีขึ้นบ้างหรือเปล่า

“ช่วยเตือนให้ทานยาด้วยนะคะ” นิศากรขอให้นันทาช่วยกำชับคนเจ็บก่อนจะออกมา คุณเลขารับคำยิ้มๆมองตามหลังร่างสมส่วนพลางคิดถึงเจ้านายที่ง่วนอยู่กับเอกสารในห้อง เมื่อเช้าภูดิสหายหน้านิ่ว



“โมเม ขี้ตู่ กุเรื่องชัดๆ หนูนิอย่าไปเชื่อยัยนั่นนะ” มือเล็กจับส้อมจิ้มไก่ย่างสูตรเด็ดของร้านส้มตำบรรยากาศหรูแบบเรือนไทยระบายอารมณ์ แพรพรรณเดือดดาลเสียยิ่งกว่าเจ้าตัวที่ประสบชะตากรรมนั้นเองซะอีก มีอย่างหรือ ขนาดไม่ได้รู้จักมักจี่กับเป็นการส่วนตัว เพียงแค่เห็นกันทางหน้าหนังสือพิมพ์ ยัยนางร้ายนั่นก็มาระรานกันซึ่งๆหน้าขนาดนี้

“แน่ใจเหรอ” นิศากรถามอย่าคลางแคลง แล้วก็รีบแก้เมื่อเห็นเพื่อนหน้าบึ้งขึ้นมาทันตา เพราะคิดว่าตัวถูกหาว่ากำลังโกหก “เราไม่ได้ว่าแพรนะ ก็ที่เขาพูดมาก็ถูกทุกคำนี่”

‘ภูเขารักฉันมานานแล้ว’ แพรพรรณเถียงไม่ออก แต่ยังไม่วายหาข้อโต้แย้ง แก้ตัวแทนพี่ชายจนได้

“เห็นมั้ยละ นานแล้ว นั่นมันนานแล้วนะ เรื่องเก่าน่ะหนูนิเข้าใจรึเปล่า” แขนขาวถูกแพรพรรณเขย่ายิกๆ ตะยั้ยคะยอให้เพื่อนเชื่อในสิ่งที่ตนพูด

“รู้แล้วๆ เรื่องเก่าก็เรื่องเก่า แต่ยังไง พอพี่ภูหายเจ็บเมื่อไหร่ แพรอย่าเรียกให้เราไปที่บริษัทหรือที่บ้านบ่อยๆอีกเลยนะ ขอร้อง”

“โธ่ หนูนิ ไม่เอานะ อย่าทำแบบนี้เลย พี่ภูเปล่ากิ๊กยัยนั่นจริงๆนะ เชื่อสิ” แพรพรรณโอดครวญ ไม่ยอมๆๆแผลแค่นั้นอีกไม่เกินสองอาทิตย์ก็ต้องหายสนิทแน่นอน ไม่ไปที่บ้าน ไม่ไปบริษัท แล้วจะเจอกันยังไงล่ะ โอ๊ยปวดเฮด พี่บ้า ก่อเรื่องอีกจนได้นะ

“อาจจะปิดไว้ก็ได้ ใครจะไปรู้” นิศากรตั้งสมมติฐาน

“พี่ภูไม่มีความลับหรอก” แพรพรรณเอ่ยอย่างมั่นใจ นั่นหมายถึง ผู้ชายคนเดียวในบ้านไม่มีทางเก็บสิ่งใดเป็นความลับรอดพ้นจากเธอได้ต่างหาก

แต่ไหนแต่ไรมา ความลับของพี่ชาย เจ้าตัวไม่เคยได้มีโอกาสเก็บไว้นาน น้องสาวอย่างเธอกับคุณลักษิกา คุ้ยแคะแกะเกาออกมาจนได้เสมอ หากไม่ได้จริงๆ ก็จัดการง้างปากผู้ชายคนเดียวคนบ้าน งัดเอาความลับที่หนีบไว้ในซอกฟันออกมาจนได้

นิศากรรู้นิสัยขี้งัดขี้ล้วงของเพื่อนเป็นอย่างดี เพราะโดนกับตัวมาแล้วหลายที สิ่งที่แพรพรรณยืนยัน เชื่อได้ว่ามีเปอร์เซนต์เป็นจริงสูง แต่ก็ยังไม่อาจสนิทใจได้ว่าจะไม่เกิดเหตุซ้ำรอยให้แปลบใจอีก

“นี่!หนูนิ” แพรพรรณสะกิดเพื่อนแรงๆ “ไม่ไว้ใจเราแล้วรึไง เราไม่หน้ามืดจนต้องทำให้หนูนิเสียใจอีกหรอกน่า แล้วถ้าพี่ภูหัวใจไม่ว่างจริงๆ ก็ไม่มีทางเชียร์ให้หรอก”

“พูดอะไรน่ะแพร เชียร์อะไรอีก นี่ยังไม่เลิกคิดอะไรบ้าๆอีกเหรอ” นิศากรชักจับอะไรอย่างหนึ่งได้ เพราะเพื่อนสาวหลุดหลายประโยคที่ส่อเค้าลางถึงเรื่องจับคู่เก่าๆออกมา

“อุ๊ย” แพรพรรณอุทานตาโต

“นั่นไง เราบอกแล้วไม่ใช่เหรอไงว่าไม่เอาแล้ว แล้วยังคิดเล่นเกมอะไรกับเราอีกฮะ” ดวงตากลมเบิกขึ้น ส่งกระแสดุๆเขียวๆให้คนที่ตกใจเพราะหลุดปาก คอตก

“ยังไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย” เสียงเล็กๆแก้ตัวอุบอิบ

“ถ้างั้นก็เลิกคิดจะทำไปได้เลย ไม่มีประโยชน์หรอกรู้ไว้ด้วย เพราะเราจะไม่เล่นตามเกมของแพร มันไม่มีทางสำเร็จ” แพรพรรณทำเสียงในลำคออย่างหงุดหงิด ขัดใจ

“แต่พี่ภูไม่ได้มีกิ๊กมีกีกที่ไหนแน่นอนร้อยเปอร์เซนต์จริงๆนะ” ไม่วายยืนยันเสริมคำบอกของพี่ชายตามที่เพื่อนเล่าให้ฟัง จึงโดนตากลมๆดุใส่เข้าให้อีกรอบ เลยแก้ตัวว่า “อันนี้ไม่ได้อยู่ในแผนสักหน่อย เรื่องจริงๆล้วนๆนะ”

นิศากรค้อนขวับเล็กๆให้เพื่อนอย่างอดไม่ได้ อ่อนใจและเชื่อเลยว่าแพรพรรณคงไม่เลิกคิดวางแผนง่ายๆ คงต้องคอยระวังตัวเสียแล้ว

“อ๊ะ รัญชิดานี่” เสียงแพรพรรณโพล่งขึ้น พลางทำท่าเข่นเขี้ยว ข้อหาทำร้ายจิตใจและร่างกายอีกนิดหน่อย แต่รวมกันแล้วทั้งหมดที่ดาราสาวทำ สร้างความกรุ่นโกรธเจ็บใจให้เธอได้ไม่แพ้เจ้าของเรื่องเลยแม้แต่น้อย

นิศากรมองตามพลันพบว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องเป๋งตรงมาที่เธออย่างยโสเช่นกัน มุมปากแดงสวยด้วยสีเครื่องสำอางค์มีชื่อเหยียดยิ้มอย่างที่หญิงสาวคิดว่าไม่เป็นมิตรและเยาะยังไงชอบกล

“ฮึ้ย น่าเกลียดชะมัด คนอะไร สวยแต่หน้าตา” แพรพรรณออกปากว่า นิศากรเบือนหน้ากลับ ยกแก้วน้ำสีสวยขึ้นดื่ม ดับความร้อนในใจที่เริ่มคุกรุ่นด้วยความเจ็บใจที่ถูกกระทำเมื่อครั้งก่อน

“สวัสดีจ๊ะ น้องแพร” นางร้ายสาวเดินเข้ามาทักทายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“สวัสดีค่ะ มาทานข้าวเหรอคะ” แพรพรรณยกมือไหว้และทักอย่างเสียไม่ได้เพราะความจำเป็นด้านความอาวุโสและรู้จักกันมาก็หลายปีอยู่ ถึงแม้ไม่สนิทสนมแต่ก็เป็นเพื่อนพี่ชาย เธอไม่ใช่คนไร้มารยาทสักหน่อย ดาราสาวรับไหว้

“นี่หนูนิ นิศากร เพื่อนสนิทคนดีและน่ารักที่สุดของแพรค่ะ พี่ภูการันตีได้” แพรพรรณแนะนำทั้งที่รู้ว่าสองสาวพบกันจังๆไปแล้ว พร้อมทั้งเสริมคำให้นางร้ายสาวยอกแสยงไปด้วย

ประโยคหลังของแพรพรรณทำรัญชิดาสะอึกไป ทำตาโตมองคนที่ถูกแนะนำเขม็ง คล้ายกับคนถูกแนะนำที่ตาโตเช่นกัน แต่คนละอารมณ์ ตากลมเบิกกว้างแว๊บนึงเพราะคำพูดประหลาดของเพื่อน

การันตีกันตอนไหนยะ ยัยแพร พูดอะไรมั่วซั่ว

“เคยเจอกันแล้ว ครั้งนึง” นิศากรสบสายตามาดร้ายที่จ้องมาแข็งเป๋งเฉย ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ปล่อยให้คำพูดของแพรพรรณสร้างความเจ็บแสบให้รัญชิดาโดยไม่แก้ไข อยากเอาคืนบ้าง

ช่วยไม่ได้ อยากเดินมาหาเรื่องใส่ตัวเองนี่นะ

นิศากรเหลือบมองตาวิบวับเป็นประกายของเพื่อนก็รู้ได้ทันทีว่า เธอไม่ต้องออกแรงคิดหาทางแก้แค้นเองให้เหนื่อย เมื่อแพรพรรณมองนางร้ายสาวอย่างมาดมั่นจ้องเล่นงานอยู่ทุกวินาที อย่างน้อยก็โดนธนูอาบยาพิษของแพรพรรณไปแล้วดอกหนึ่ง ส่วนเธอแค่ส่งเสริมให้มันออกฤทธิ์เร็วๆเท่านั้นเอง

“เค้กฝอยทองที่สั่งได้แล้วครับ” กล่องขนดเล็กมีตราของร้านอาหารติดด้านบนในถุงที่มีโลโก้เดียวกับกล่องถูกนำมาวางบนโต๊ะ

“แหม...อร่อยสู้ฝีมือคุณป้าไม่ค่อยได้ แต่ยังไงก็แก้ขัดไปได้ก่อนแล้วกัน พี่ภูบ่นอยากกินวันละสามรอบแต่ไม่ว่างจะไปบุกบ้านหนูนิอีกสักที”

รัญชิดาหูผึ่ง คำว่าอีกสักที แสดงว่าเคยไปมาแล้วและอยากไปอีกแต่ไม่ว่างเสียที หมายความว่าไง ภูไปบ้านยัยนี่มาแล้วงั้นเหรอ แถมยังจะพากันไปอีกด้วย

“เหรอจ๊ะ งานยุ่งมากเหรอเนี่ย แหม...โทรคุยกันทุกวันเช้าเย็นไม่เห็นบอกพี่เลย เมื่อกี้ก็เพิ่งวางสายไป”

นางร้ายสาวแสร้งบ่นยิ้มๆมองนิศากรเชิดๆ บอกประมาณว่างานยุ่งไปหานิศากรไม่ได้ แต่ว่างคุยกับนางร้ายสาววันละสองรอบ และเลือกอมความจริงบางอย่างที่ว่าภูดิสเพิ่งวางสายไปเมื่อครู่ เพราะชายหนุ่มขอตัวทั้งที่เพิ่งรับสายได้ไม่ถึงนาที เธอเลยยังไม่ทันได้พูดอะไรกับเขาเลยสักนิด

สองสาวเพื่อนสนิทเงียบไปครู่ แล้วส่งสายตาหากัน ฝ่ายหนึ่งบอกว่า

‘ไหนว่าไม่กิ๊ก’

‘อย่าไปเชื่อๆๆๆๆ’ แพรพรรณไม่ยอม จิกสายตาตอบเพื่อนทันที

“ไม่เห็นพี่ภูเล่าเรื่องพี่รันให้แพรฟังนานแล้วนะคะ รู้สึกจะตั้งแต่หนูนิกลับมาละมั้ง ฮิๆ แพรคิดว่าพี่ภูคงลืมพี่รันไปเสียสนิทซะแล้วสิคะ” แพรพรรณยิงอีกหนึ่งดอก ตรงเข้ากลางใจนางร้ายสาวอย่างจัง

รัญชิดาสะอึก หน้าแดงด้วยอารมณ์ มือเรียวกำแน่น คอเกร็งขึ้นเพราะถ้อยคำจากปากแพรพรรณราวกับไฟเผาหัวใจให้ร้อนรน เพราะไม่ต่างจากที่น้องสาวภูดิสพูดสักนิด ตั้งแต่แม่นี่กลับมา ภูดิสดูจะลืมเธอไปจริงๆ ไม่มีโทรศัพท์ติดต่อจากชายหนุ่ม ไต่ถามสารทุกข์สุขดิบ เธอเองต่างหากที่ต่อสายถึงเขาเสมอ พูดคุยกันไม่เท่าไหร่ก็ต้องวางสาย เพราะเขาติดงานทุกที แถมบางครั้งยังเหม่อลอย ไม่ค่อยใส่ใจฟังที่เธอพูดสักเท่าไหร่ ก่อความรู้สึกอ้างว้างและปวดร้าวในใจ

“พี่ขอตัวนะคะ เพื่อนรอนานแล้ว” เสียงของนางร้ายสาวแข็งอย่างปิดไม่มิด ตอนแรกคิดว่าจะมาตอกย้ำเรื่องเก่าเสียหน่อย แต่ตอนนี้กลับโดนตอกเสียเอง ใจอยากตะโกนด่าตอบโต้กลับไปแต่ไม่มีคำพูดใดจะโต้ได้เลย รัญชิดาเดินคอแข็งออกไปทันที กระแทกส้นรองเท้าจะดูเหมือนว่ามันจะสึกลงหลายเซนต์กว่าจะถึงโต๊ะเพราะแรงบดขยี้ของเจ้าของ

“ท่าทางจะแทงใจอย่างแรง ดูสิ พูดไม่ออก ถอยไปโน่นเลย” แพรพรรณหัวเราะแถมท้ายอย่างสาแก่ใจ นิศากรมองไปทางรัญขิดา เจ้าหล่อนกนะแทกตัวนั่งจนเก้าอี้แทบพังก็หัวเราะพรืดออกมา

“ไปอำเขาแบบนั้น เกิดไปเม้งเอากับพี่ภูจะทำยังไง” นิศากรถามกลั้วหัวเราะ นิ้วเล็กกรีดน้ำตาที่ไหลออกมาเพราะขำ ก่อนสะดุดในเวลาต่อมา เมื่อแพรพรรณหยอดเสียงตอบ แววตาระริกชอบกล

“เปล่าอำซะหน่อย พูดจริงๆตามที่ตามข้อมูลในมือถือพี่ภูทุกคำเลย”

“ไปห้องน้ำก่อน เดี๋ยวมา”

นิศากรบอกแพรพรรณก่อนเรียกพนักงานมาเก็บเงินค่าอาหาร เตรียมตัวกลับ เพราะอาหารรสแซ่บเริ่มจืดเจื่อนไปบวกกับใกล้หมดและหากทานมากกว่านี้ มีหวังจู๊ดๆ กระเพาะเธอไม่ได้สามารภปรับรับอาหารรสจัดขนาดนี้ได้สักเท่าไหร่ แต่ด้วยความอยากสุดๆ เลยจัดการสั่งรสจัดพิเศษ ทานไปก็ซี๊ดๆซ๊าดๆกันไป

ถ้อยคำกระแทกใจของแพรพรรณเมื่อครู่อาจมาจากฤทธิ์เดชของพริกที่ผสมในส้มตำ น้ำตก ตรงหน้านี่ก็ได้ ใครจะไปรู้

เสี้ยวหนึ่งในใจ เธอออกจะสงสารที่โดนแพรพรรณใช้คำพูดทำร้าย แต่อีกครึ่งหนึ่ง นิศากรก็สมใจที่ดาราสาวโดนตอกหน้าเย้ยหยันอย่างที่เคยทำไว้กับเธอ



“ยัยเด็กบ้า” ร่างเพรียวในชุดกระโปรงแค่เข้าปราดเข้ามาขวางทางออกหน้าห้องน้ำ ใบหน้าสวยถมึงทึง เสียงหัวเราะขำขันของทั้งสองคน เหมือนน้ำมันราดลงเตาไฟที่จุดทิ้งไว้โดยแพรพรรณ นางร้ายสาวสืบเท้าคุกคามร่างกลมกลึงของนิศากรด้วยแววตาพิโรธ

“อะไรอีกล่ะเนี่ย” นิศากรถอยหลัง ถอนหายใจเบื่อแรงๆ ยัยนางร้ายตามมาราวีเธอโดยเฉพาะถึงในห้องน้ำ นิศากรโดนมือเรียวของรัญชิดาผลักไหล่อย่างหาเรื่องจนเซ

“เธอยังไม่เลิกไปให้ท่าเขาถึงที่อีกหรือไง หน้าไม่อายอย่างเหลือเชื่อจริงๆ”

อีกแล้ว ยัยตัวร้ายนี่กล่าวหาเธออีกแล้ว นิศากรเดือดปุดขึ้นมาทันควันเหมือนมีคนมาเร่งเตาไฟให้แรงขึ้นอย่างรวดเร็ว

“คนหน้าไม่อายน่ะ น่าจะเป็นคุณมากกว่านะคะ คุณรัญชิดา ดาราชื่อดัง แต่ขี้ตู่ว่าเขาเป็นแฟนตัว โดยที่เขาไม่ได้รู้เรื่องด้วยสักนิด!” นิศากรกระแทกประโยคท้ายใส่หน้านางร้ายสาวดังๆ หน้าสวยเหวอไปนิดก่อนปรับสีหน้ายิ้มเยาะกลับอย่างไม่สะทกสะท้าน

“น้องแพรบอกเธอว่าอย่างนั้นน่ะสินะ แล้วเธอก็เชื่อ” รัญขิดาแค่นหัวเราะแต่ก็ได้ไม่นาน เพราะประโยคต่อมาเหมือนน้ำสาดเข้าหน้าเธออย่างจัง

“พี่ภูต่างหากที่บอก เขาบอกว่า ฉันเข้าใจผิดทุกอย่าง คุณสองคนเป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้น ไม่มีอะไรเกินไปกว่านั้น!” รัญชิดาหน้าชา ไม่นึกว่าภูดิสจะพูดอย่างนั้นกับเด็กนี่ทั้งไม่นึกว่าเด็กนี่จะกล้าแล่นไปถามเขาตรงๆ หน้าอ่อนๆใสๆอย่างนี้ เธอเห็นเขาห่วง จึงคิดว่าเขายังรัก แต่ไม่เคยกล้าถามอะไรออกไป แม้แต่คำเดียว

“ไม่จริง!!ฉันไม่เชื่อ เธอโกหก” นางร้ายสาวพุ่งเข้ามา หมายจะผลักหญิงสาวให้ล้มคว่ำด้วยความโกรธ นิศากรหลบทันหวุดหวิด รัญชิดาจึงพุ่งหวือไปในอากาศเข้าหาต้นไม้ประดับบนโต๊ะหินข้างกระจกบานยาวที่ใช้สำหรับแต่งตัว

“โอ๊ย!” ดาราสาวร้องด้วยความเจ็บ ขอบโต๊ะตัวนั้นกระแทกเข้าที่ท้องนางร้ายสาวอย่างจังจนทรุดลงกอง

“อีเด็กบ้า โอ๊ย!” รัญชิดาคำรามเสียงรอดไรฟัน นิศากรตกใจยกมือปิดปากตาโต ทั้งตกใจและสงสารกับสภาพของนางร้าย จึงคิดจะเอื้อมมือไปช่วยฉุดให้ลึกขึ้นแบบพลเมืองดี แต่สายตาวับวาวด้วยความแค้นเคือง หญิงสาวจึงชะงักอยู่กับที่

การเป็นพลเมืองดีก็ต้องเลือกด้วยว่า ช่วยคนๆนั้นแล้ว จะเป็นภัยแก่ตัวทีหลังรึเปล่า ช่วยสุ่มสี่สุ่มห้า อาจซวยได้นะคะ ทุกๆคน

“ยัยเด็กบ้า ฮึ่ย!” นางร้ายพยุงตัวลุกขึ้นเอง รัญชิดาไม่ปล่อยให้เหยื่อมีเวลาเตรียมตัวหลบหลีกได้อีก เธอปราดเข้าหานิศากรอีก หมายจะทำร้ายให้สาแก่ใจ

แต่ฟ้าคงมีตาหรือยัยตัวร้ายอย่างเธอซวย ต้องแพ้ภัยตัวอย่างในละครก็ไม่ทราบได้ รัญชิดาลื่นพรืดเพราะน้ำที่ไหลนองจากอ่างล้างหน้า มือเรียวคว้าถังขยะสีเงินทรงกระบอกยึดเหนี่ยวตัว หากแต่มันเบาเกินไปจนล้มคว่ำไปอีกรอบ

“กรี๊ด!!!” เสียงนางร้ายหวีดร้อง ซ้ำร้าย เศษขยะต่างๆนานาในถังยังกรเด็นออกมาบนตัวเธอที่หน้าคว่ำไปกับพื้นอีก

“อี๋ย์แหยะ” นิศากรเบ้หน้าให้กับภาพที่เห็น

ดาราคนสวยนอนจมกองขยะอยู่ในห้องน้ำ จริงๆแล้วที่พื้นยังดูสะอาดดีอยู่ ถ้าไม่นับรวมบริเวณน้ำเจิ่งนองที่รัญชิดาเอาชุดสวยซับให้แล้ว แต่ก็นะ พื้นรองเท้าใครต่อใครบ้างก็ไม่รู้ที่เหยียบย่ำเข้ามา แถมยังขยะนานาชนิดนั่นอีก นิศากรมองดาราสาวที่คลับคล้ายจะเหมือนสุนัขสุนัขพันธ์ดีถูกเนรเทศ เลยต้องมาคุ้ยขยะยังไงชอบกลตอนนี้แล้วก็ออกจะสงสาร แล้วก็หญิงสาวต้องสะดุ้ง

“กรี๊ด!!!” เสียงหวีดแหลมดังขึ้นอีกรอบ เมื่อรัญชิดากระดกตัวขึ้นมองดูสภาพตนพลางครางโอดโอย “อ๊าย!! อะไรกันเนี่ย เอาออกไปจากตัวฉันนะ อี๋ย์ สกปรก โสโครกที่สุดเลย กรี๊ด!!! แหวะ...ฯลฯ”

นิศากรไม่อยู่ฟังคำบริภาษต่างๆนานาอีกมากมายที่ออกจากปากสีแดงสดของนางร้ายสาว เพราะหูเล็กๆของเธอตอนนี้ได้ยินแต่เสียงวิ้งๆ ผลมาจากเสียงหวีดแหลมยาวยืดเกินร้อยยี่สิบเดซิเบลของนางร้ายสาวนั่นแหละ จริงๆอยากเป็นพลเมืองดีอีกรอบ แต่ก็จนใจจริงๆ ไม่ไหวๆ

ช่วยไม่ได้นะ เธอทำตัวเองทั้งนั้นนะเนี่ย แล้วอีกอย่าง พลเมืองดีอย่างฉัน ก็เลือกสถานการณ์เหมือนกัน


-----------โปรดติดตามตอนต่อไป-------------

//punnarm-farin.bloggang.com


*;...คุยกันนิดหน่อยกับฟ้าริน...;*

มาต่อแล้วค่ะ ฟื้นฟูกำลังภายในได้80% แล้วค่ะ ตอนนี้ยาวปรื๊ดเลย ถือว่าชดใช้ให้สำหรับการหายตัวไปฟื้นฟูพลังวัฒน์ สะใจมั้ยค่ะ สำหรับการแก้แค้นยัยรัน( เรียกอย่างนี้เพราะหมั่นไส้ยัยนี่ชะมัด) โดนไปหลายหมัดเลยทีเดียว เฮอะๆ สกปรกไปหน่อยรึเปล่า แฮะๆ ทุกคนจะว่าฟ้ารินเป็นคนโส(โครก)รึเปล่าคะ

Ormmie - นั่นแน่ จับได้แล้ว เผยตัวออกมาแล้วเหรอคะ ไม่ต้องแอบก็ได้ค่ะ ออกมาคุยกันเลยดีกว่า (อันนี้ออกแนวหาเรื่องไปเปล่า) เอาเป็นว่า สวัสดีค่ะ ฟ้ารินยินดีต้อนรับและอยากคุยกับทุกคนเลยค่ะ

kikkak_riwkiw - อ้าว อุตส่าห์ชิ่งได้หนึ่งตอน ตามมาติดๆอีกแล้ว แง้ว แล้วฝันถึงพี่ภูกะอาธันว์เป็นไงบ้าง มาเล่าหน่อยนะ พี่เป็นแฟนพันธ์แท้อาธันว์ ฮ่าๆๆๆ

Honey - ติดเลยค่ะ ติดเลย แฮะๆ





Create Date : 02 กรกฎาคม 2550
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2551 18:17:24 น.
Counter : 257 Pageviews.

3 comment
จัดรักให้ลงล็อค บทที่10



บทที่10



เฮ้อ! อะไรกันนักหนากับชีวิตเรากันเนี่ย ยัยนางร้ายรัญชิดานั่น ออกจะรวย สวย มีชื่อเสียง เชิดเริ่ดขนาดนั้น ไม่น่าเชื่อว่าจะมีนิสัยคนขี้ตู่ แต่ก็ว่าไม่ได้หรอก คนเราสมัยนี้ รู้หน้าไม่รู้ใจนี่นะ ส่วนอีกคนก็ปฏิเสธอย่างมั่นคงว่าสิ่งที่เธอพูดออกมาทั้งหมดนั่น มันผิด มันไม่ได้เป็นอย่างที่เธอหลงเชื่อคำยัยนางร้าย
ยัยแพรพี่ชายเธอเป็นยังไงกันแน่นะ ปวดหัวจริงๆเล๊ย


ใบหน้าหวานใสหันออกไปทางหน้าต่าง แขนขาวเท้ากับประตูรถ มือบางเกยคางไว้ คิ้วเรียวขมวดน้อยๆ ท่าทางแบบนั้นสร้างความอึดอัดคับข้องให้ร่างสูงหลังพวงมาลัยโดยไม่ได้ตั้งใจ

“ยังไม่บอกค่ะ” นี่คือคำปฏิเสธของนิศากร

เมื่อสอบสวนเรื่องราว สาเหตุของอาการนินจาของหญิงสาวแล้วยังไม่ได้ความกระจ่าง ซ้ำดวงตากลมที่เคยใสกลับเต็มไปด้วยความสงสัยเมื่อมองมา ริมฝีปากอิ่มเม้มนิดๆอมความสงสัยอย่างใดอย่างหนึ่งไว้ ไม่ยอมเปิดปาก แม้เขาจะยอมทำตัวเป็นคนเซ้าซี้อย่างที่ไม่เคยทำกับคนนอกครอบครัวมาก่อนด้วยความอยากรู้ เพื่อหาทางปัดแววตาเคลือบแคลงของหญิงสาวให้หมดไปเสียที มองแล้วมันไม่สบายใจยังไงก็ไม่รู้

ใครจะเชื่อเรื่องใส่ไข่ ตั้งประเด็นชวนให้ตื่นเต้น กระตุ้นความอยากรู้เรื่องรักๆใคร่ๆของดาราสาวกับเขาก็ตาม ชายหนุ่มไม่เคยใส่ใจ แต่คราวนี้ คนที่ปักใจดันเป็นนิศากร ซึ่งใช้ความเข้าใจนี้กันตัวเองให้อยู่ห่างจนแทบจะหายไปจากเขาอีกเป็นครั้งที่สอง ภูดิสที่วุ่นวายใจ หงุดหงิด อึดอัด สุดท้ายตกใจก่อนปฏิเสธอย่างแน่วแน่ และเขาก็ได้โล่งใจไปนิดนึงเมื่อเห็นว่าสาวน้อยคล้อยตามคำปฏิเสธของเขา แต่มันไม่ทั้งหมด นี่สิ น่าหนักใจ


“เฮ้อ” เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ดังลั่นรถ เรียกผู้ร่วมเดินทางให้หันกลับมามองอย่างแปลกใจได้อย่างดี รถโฟร์วิลหยุดตามสัญญาณไฟ มือใหญ่เท้าคางกับประตูรถคล้ายกับหญิงสาวอีกคน

เขาไม่ชอบแววตาสงสัยไม่ไว้ใจแบบนั้นของเธอเลยให้ตายสิ เขาถามเรื่องราวเพื่อจะได้แก้ข้อสงสัยให้ เธอก็ดันไม่ยอมปริปากบอกอีก แล้วอย่างนี้จะเข้าใจกันได้ยังไง

“เป็นอะไรคะ?” นิศากรอดถามไม่ได้ เพราะหน้าคมที่นิ่ว คิ้วเข้มก็ขมวดมุ่น คล้ายมีเรื่องคิดหนักนักหนา

ทีเขาถามก็ไม่ยอมตอบ แล้วตัวเองทำมาสงสัย อย่างนี้ต้องแกล้งให้อยากรู้เสียให้เข็ด

ดวงตาคมตวัดมองใบหน้าหวานอย่างพิจารณาและสงสัย ก่อนบอกหน้าตาเฉยว่า

“เปล่าครับ” ชายหนุ่มหันกลับบังคับรถให้เลี้ยวเข้าห้างสรรพสินค้าที่หมาย ดวงตาคมปรายมามองเป็นระยะ แล้วถอนใจครั้งแล้วครั้งเล่าจนนิศากรชักสงสัยและขวางท่าทางประหลาดๆนั้นเข้าทุกที

เอ๊ะ อะไรเนี่ย ทำไมต้องมองอย่างนั้นแล้วก็ถอนหายใจเฮือกๆด้วยนะ น่าหงุดหงิดชะมัด

“มองนิทำไมคะพี่ภู” หญิงสาวถาม

“อืม เปล่าครับ” ชายหนุ่มเหล่คิดนิดนึงก่อนจะตอบ

“ไม่จริง บอกมาเดี๋ยวนี้นะคะ” มือเล็กกระตุกแขนเสื้อดึงให้เร่งเร้าจะเอาคำตอบ

“ไม่มีอะไรสักหน่อย” คำตอบนั้นส่งผลให้หญิงสาวกัดริมฝีปาก สูดลมหายใจเข้ายาวเพิ่มความอดทนที่จะไม่เขย่าแขนแข็งแรงให้สั่นคลอนด้วยความอยากรู้

“พี่ภู บอกมานะ พูดสิคะ ทำไมต้องมองนิแล้วถอนใจแบบนั้นด้วย” นิศากรกระตุกซ้ำหลายๆที จนเสียงทุ้มเอ่ยปราม

“พี่กำลังขับรถนะครับ” นิศากรปล่อยมือจากเสื้อที่เธอกระตุกจนแขนแข็งแรงข้างนั้นปล่อยจากพวงมาลัย มือขาวบางยกไปกอดอก กลัวว่าจะเผลอยกไปตีคนปรามนิ่งๆแต่กวนอารมณ์ยังไงไม่รู้ในความรู้สึก

จนกระทั่งเขาจอดรถเข้าที่นิ่งสนิทแล้ว ชายหนุ่มจ้องใบหน้าหวานใสก่อนถอนใจแรงๆแถมอีกทีแล้วลงมายืนรอนิศากรที่รี่ตามลงมาทันทีเหมือนกัน เขาสาวเท้าเดินนำไม่ให้เธอตามมาข้างเคียงทัน

“พี่ภูหยุดนะ หันมาคุยกันเดี๋ยวนี้เลย” ร่างเล็กตะครุบแขนแข็งแรงไว้ทันหน้าร้านกาแฟรสชาดดี แต่ราคาแพงสักหน่อย

“อะไรครับ” เขาแอบยิ้มนิดหนึ่งก่อนหันมาตีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ถาม

“ยังมาถามอีกนะ ทำไมต้องมองนิแปลกๆอย่างนั้นด้วยแล้วก็ถอนใจเฮือกๆอีกต่างหาก” เสียงใสว่าอย่างไม่ชอบใจ หงุดหงิดกับแววตาที่มองอย่างเคลือบแคลง

“พี่มองยังไงครับ” ภูดิสย้อนถาม

“พี่ภูจ้องเหมือนสงสัยอะไรสักอย่าง แต่ไม่ยอมพูดออกมา ข้องใจอะไรพูดมาเลยดีกว่า ทำอย่างนี้นิไม่ชอบนะคะ” ใบหน้าคมพยักรับทำท่าว่าเข้าใจ แล้วถามกลับอีกว่า

“ทีนี้เข้าใจรึยังว่าพี่รู้สึกยังไง ตอนที่พี่ถามแล้วนิไม่ยอมบอก แล้วยังมองพี่อย่างที่พี่ทำกับหนูนิเมื่อกี้”

หญิงสาวอ้าปากค้าง เธอโดนย้อนศรเข้าให้แล้ว โทษฐานที่เธออมเรื่องที่เขาอยากรู้นัก แต่เซ้าซี้ยังไงก็ไม่ได้คำตอบนั่นเอง จนเขายอมแพ้ด้วยอารมณ์หงุดหงิด เพราะไม่ได้ดังใจ มือเล็กสะบัดมือออกจากแขนแข็งแรงที่ดึงไว้เมื่อกี้แรงๆ

“หนอยแน่ะ เอาคืนใช่มั้ยเนี่ย”

“ก็ นิดหน่อย แต่พี่ไม่ได้ตั้งใจอยากแกล้งหนูนินะ” ชายหนุ่มยอมรับก่อนแก้ต่างให้ตัวเมื่อดวงตาใสเริ่มมองอย่างเอาเรื่อง แล้วเสริมต่อไปว่า ”พี่แค่อยากให้หนูนิรู้บ้างว่าเวลาถูกทำแบบนั้นแล้ว พี่จะรู้สึกยังไง”

“พี่ภูอยากรู้ขนาดนั้นเชียวเหรอคะ”

“ไม่เท่าไหร่ ถ้าหนูนิไม่มองพี่แบบนั้น พี่ก็ไม่ชอบเหมือนกันนะครับ” ชายหนุ่มบอกความรู้สึกในใจว่าไม่สบอารมณ์เหมือนกัน เมื่อได้รับสายตาเคลือบแคลง ไม่ไว้ใจเช่นนั้น

“ขอโทษค่ะ”

“มีอะไรก็พูดมาสิครับ คนเราควรจะพูดจะได้เข้าใจกัน พี่ไม่ชอบเวลาเราไม่เข้าใจกันอย่างนี้เลยนะ” เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยถึงปัญหาที่ประสบอยู่

แววตาคมมองออดขอให้หญิงสาวบอกสิ่งที่เธอเก็บงำไว้ ต้นเหตุของความข้องใจของเธอ นิศากรมองสบตาคมเหมือนอ้อนขอนั้นแล้วต้องหลบ เพื่อยืนยันคำเดิมที่บอกไปก่อนหน้านี้แล้ว

“ยังไม่บอกไงคะ”

“ทำไมล่ะครับ” ชายหนุ่มถามด้วยความไม่เข้าใจ จะปิดบังเขาไปทำไม เพราะอะไรถึงไม่ยอมพูดให้เข้าใจกัน จะได้หลุดพ้นจากสถานการณ์น่าอึดอัดแบบนี้เสียที

“นิไม่ได้พูดว่าไม่บอกนะคะ แต่พูดว่า ยังไม่บอกค่ะ อีกไม่นานพี่ภูรู้แน่ แต่ไม่ใช่เดี๋ยวนี้ เข้าใจมั้ยคะ” หญิงสาวอธิบาย เน้นคำให้เข้าใจ และบอกให้เขารอ

“เมื่อไหร่ครับ พรุ่งนี้บอกเลยได้มั้ย” ภูดิสซักไซ้ถึงกำหนดเวลาที่จะได้ทราบ ไม่รู้ทำไม เขาถึงได้ใจร้อนอยากรู้นัก รู้เพียงแต่ว่า ไม่อยากให้เธอมีสิ่งใดเคลือบแคลงในตัวเขาสักอย่างเดียว อาจเป็นเพราะความผิดพลาด ปากเสียเมื่อครั้งก่อน จนทำให้เธอหนีหายไปเสียนาน

“นิเพิ่งรู้นะคะว่า พี่ภูเนี่ย เอาแต่ใจแล้วก็ขี้เซ้าซี้ไม่แพ้แพรเลย” นิศากรทอดถอนใจต่อว่าเข้าให้ เพราะชักเหนื่อยกับการอธิบายแล้ว

“เอ่อ จริงเหรอครับ” หญิงสาวพยักหน้าหงึกๆ ภูดิสทำหน้าแหยต่อข้อสังเกตของร่างเล็กตรงหน้า จนนิศากรอดขำไม่ได้

“เอาล่ะค่ะ ไปซื้อของกันได้แล้ว อ้อ ห้ามถามอีกนะคะ ไม่งั้นจนชาติหน้านิก็จะไม่เล่าให้ฟัง” นิศากรชวนแล้วตีกันเขาไว้ แล้วเดินนำไป คราวนี้เรียกเสียงถอนใจได้จากร่างสูง ไม่ใช่อย่างที่เคยแกล้งทำ

เอ้า รอก็รอ เฮ้อ!




ภูดิสปล่อยให้หญิงสาวเป็นผู้นำเลือกซื้อของ ส่วนคนตัวสูงทำหน้าที่เข็นรถตามและมีประโยชน์แค่ช่วยหยิบของที่อยู่สูงเพียงอย่างเดียว จะปรึกษาหารือว่าของที่ต้องการอยู่ที่ใดก็ไม่ได้คำตอบเลยสักอย่าง โดยเขาเหตุผลหน้าซื่อว่า

“ครั้งสุดท้ายที่พี่มาซื้อของที่ซุปเปอร์มาเก็ต ก็ตอนขนซื้อเสบียงไปออกค่ายตอนปีสี่ มันหลายปีมาแล้วนี่ครับ” นิศากรคำนวณเวลาดูคร่าวๆก็คิดได้ว่านานจริงๆ แล้วก็ส่ายหน้าปลงๆว่าได้แค่คนขับรถกิตติมาศักดิ์มาช่วยซื้อของอย่างที่แพรพรรณกับคุณลักษิกามอบตำแหน่งให้เท่านั้นเอง

“พี่ภูไปออกค่ายกับเขาด้วยเหรอคะ”

“ฮื่อ มันน่าสนุกดี เพื่อนมาชวนก็เลยยกขโยงไป เป็นประสบการณ์ชีวิตที่ดีแถมได้ทำบุญด้วยอีกต่างหากนะ” ชายหนุ่มตอบยิ้มที่มุมปากนิดๆเมื่อคิดย้อนถึงเรื่องสมัยเรียน

“นิก็ว่าอย่างนั้นนะคะ แต่ไม่เคยได้ไปกับเขาสักที เดี๋ยวติดนู่นติดนี่ อดตลอดเลย” นิศากรทำหน้าเสียดาย

“มีอยู่ครั้งนึง แม่ขนซื้อทั้งข้าวสารอาหารแห้งอะไรเต็มไปหมด จะฝากไปทำบุญ ต้องยัดใส่รถกระบะไป พอจะขนขึ้นรถใส่ของบริจาคกลับเต็มเสียนี่ พี่เลยต้องขับตามไปเอง แถมทางก็คล้ายๆพื้นผิวดวงจันทร์ยังไงอย่างนั้น อยู่ริมเขาอีกต่างหาก อุตส่าห์คิดว่าจะได้นั่งสบายๆกินลมชมวิว เก็บแรงไปช่วยตอกตะปูตัดไม้ที่ไหนได้” ชายหนุ่มตีหน้าพิลึก ทั้งขำทั้งเซ็งปนเปกันไป

“อืม ได้ประสบการณ์ชีวิตที่ดีจริงๆด้วยนะคะ” เสียงหวานกลั้วหัวเราะใส

“พอกลับมา เพื่อนมันปั้นโล่ดินเผารูปรถมาให้พี่ด้วยนะ”

“จริงเหรอคะ” นิศากรถามอย่างไม่ค่อยเชื่อ ชายหนุ่มจึงยืนยันซ้ำแถมท้าพิสูจน์ให้ไปดูที่ห้องเขาได้เลย


ทั้งสองมาถึงลานจอดรถ จัดการช่วยกันขนเสบียงใส่ท้ายรถซึ่งจอดอยู่ไม่ไกล แล้วหญิงสาวก็ตาโตเมื่อเห็นอะไรบางอย่างเข้า

“กรี๊ดดดดดดดด ช่วยด้วย โจรกระชากกระเป๋า ช่วยด้วยๆๆๆๆ” เสียงหวีดร้องดังลั่นจากหญิงสาวแต่งตัวดี มีฐานะ หิ้วถุงสินค้าแบรนด์เนมหอบใหญ่

“พี่ภู โจรๆ” เสียงหวานตื่นตระหนกที่เห็นไอ้โจรสวมแว่นตาดำวิ่งลิ่วมาทางทั้งเขาและเธอ

มือไวกว่าใจคิด หญิงสาวผลักรถเข็นพุ่งไปชนโครมเข้ากับไอ้โจรกระชากกระเป๋าจนมันหกล้มหกลุกไม่เป็นท่า กระเป๋าที่ฉกมากระเด็นไปอีกทาง นิศากรรีบคว้ามันไว้

“เฮ้ยยยยยยยย” มันร้องด้วยความตกใจ เมื่อตั้งตัวได้มันกัดฟันกรอดจ้องนิศากรคับแค้นที่ขัดขวาง

“หนอย อีนังบ้า แกเอาคืนมาเดี๋ยวนี้” มันก้าวเข้ามาจะกระชากกระเป๋าถือในมือเธอ แต่หญิงสาวไม่ยอมปล่อย นิศากรผงะถอยหลังด้วยความกลัว มันย่างสามขุมเข้ามาหา แต่ก็ต้องชะงัก เพราะร่างสูงของภูดิสก้าวเข้ามาขวางไว้และดึงร่างเล็กให้หลบข้างหลังฉับพลัน

ปี๊ดๆๆๆๆ

เสียงนกหวีดดังถี่เร่งเร้า เป็นสัญญาณเรียกให้ผู้ปฏิบัติหน้าที่เดียวกันตามมาช่วยกันจับไอ้โจรห้าร้อย มันเห็นยามสองคนวิ่งมาไกลๆ จึงรีบชักมีดขึ้นมา แล้วขู่เสียงต่ำ

“เอากระเป๋าคืนมา ไม่งั้นฉันจิ้มแกไส้ไหลแน่”

“แกนั่นแหละ จะโดนจับ ทางนี้ค่ะ โจรอยู่ทางนี้” เสียงหวานตะโกนเรียกเจ้าหน้าที่ดังลั่น กระโดดโบกมือเรียก

“เงียบนะโว้ย อีบ้า ฉันบอกให้ส่งกระเป๋ามา” มันตะคอกเสียงเหี้ยม ภูดิสอาศัยจังหวะที่มันล่อกแล่ก เตะเข้าที่ข้อมือมันอย่างแรงจนอาวุธมีคมนั้นหลุดจากมือ แล้วต่อยเข้าที่หน้ามันจนหงายไป มันตะเกียกตะกายจะหนี แต่ถูกชายหนุ่มล็อคคอไว้ นิศากรยืนระทึก คิดวุ่นวายจะทำอย่างไรดี

ตากลมใสหันมองมีดที่ตกอยู่ไปไม่ไกลจากตัว รีบเร่งจะไปคว้าไว้กันไม่ให้เจ้าโจรใช้เป็นเครื่องมือได้อีก ทว่าเจ้าโจรห้าร้อยตีศอกเข้าที่ท้องภูดิสและดิ้นหลุดมาได้ ถลันมาคว้าไปได้ก่อนและใช้มันจี้เธอ

“กูบอกให้เอามา” ใบหน้าหวานใสตระหนกซีด เมื่อมันกวัดแกว่งมีดในมือ

“เฮ้ย” ภูดิสตะโกนเรียกความสนใจกลับมาที่ตัว มันหันขวับตวัดคมมีดปาดเข้าที่มือหนาที่กางขึ้นบังป้องกันตัวโดยอัตโนมัติ

“โอ๊ย!” เสียงทุ้มครางด้วยความเจ็บ เลือดสีแดงสดไหลออกจากบาดแผลฉับพลัน เจ้าโจรร้ายก็ตกใจเช่นกัน มันทำท่าจะวิ่งหนี แต่โดนเจ้าหน้าที่ตะครุบตัวไว้ทันท่วงทีที่วิ่งมาถึง

“พี่ภูเป็นยังไงบ้างคะ” นิศากรรี่เข้ามาหาชายหนุ่มที่กุมมือข้างขวาไว้แน่น ระงับความเจ็บปวด ใบหน้าหวานยิ่งตื่นเข้าไปอีกเมื่อเห็นบาดแผลและเลือดที่ทะลักไหลออกไม่หยุดชัดเจน

“ไม่เป็นไรครับ นิดหน่อย หนูนิเจ็บตรงไหนรึเปล่า” ชายหนุ่มถามอย่างห่วงใย มองสำรวจความเรียบร้อยของร่างเล็ก

“นิไม่เป็นไร ฮือ พี่ภูเลือดออกไม่หยุดเลย” นิศากรกระสับกระส่ายควานหาของในกระเป๋าวุ่นวาย หาผ้าเช็ดหน้าที่ยังไม่ได้ใช้ขึ้นมา พันมือหนาไว้ เพื่อห้ามเลือด

“คุณคะๆ ขอบคุณนะคะที่ช่วย ว้าย บาดเจ็บหรือคะ ตายแล้ว” ผู้หญิงวัยประมาณสามสิบกว่าร้องวี๊ดว้ายด้วยความตกใจที่เห็นเลือดไหลซึมจากผ้าเช็ดหน้าสีขาวออกมาเป็นรอย

“กุญแจรถล่ะคะพี่ภู ไปโรงพยาบาลกัน” ชายหนุ่มล้วงกระเป๋าคว้ากุญแจรถออกมาจากกระเป๋ากางเกง มอบหน้าที่คนขับรถให้หญิงสาว เพราะสภาพมือเช่นนี้คงไม่สามารถขับเองได้ นิศากรจับร่างสูงยัดเข้ารถ และตัวเองประจำที่คนขับ

“เอ่อคุณคะ โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดอยู่ไหนคะ” หญิงสาวถามเจ้าของกระเป๋าอย่างเร่งรีบ กังวลกับบาดแผลที่คาดว่าจะแย่อยู่มาก สังเกตจากเลือดที่ไหลไม่หยุด

“ฉันบอกทางให้ค่ะ” เจ้าของกระเป๋าเสนอให้อย่างเต็มใจและร้อนรนเช่นเดียวกัน

“ขอบคุณค่ะ” นิศากรเอ่ยแล้วรีบพากันขึ้นรถมุ่งตรงไปโรงพยาบาล



ภูดิสออกจากห้องผ่าตัดเล็กแล้วก็ต้องถอนใจเมื่อเห็นร่างบางที่ถลันเข้ามาสอบถามอาการพร้อมเจ้าทุกข์อีกคนที่อาสานำทางมาให้

เฮ้อ ตัวเล็กแค่นี้กลับใจกล้าจะจับโจรโดยไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดีเสียก่อนเลยสักนิด จนตัวเองเกือบแย่ นิสัยอย่างนี้ น่าตีจริงๆเลย โชคดีที่ไม่ได้รับอันตรายอะไร

“พี่ภูเป็นยังไงบ้างคะ เจ็บมากรึเปล่า” นิศากรทำท่าซี๊ดปากหน้าเบ้ถามอย่างห่วงใย คว้ามือหนาที่พันผ้าพันแผลไว้มามองใกล้ แล้วช้อนตามองชายหนุ่มหน้าเสีย

“พี่ไม่เป็นไรแล้วครับ ก็แค่เย็บแผลนิดหน่อยเท่านั้นเอง” เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยปลอบให้หญิงสาวคลายความกังวล

“พี่ภูเจ็บตรงไหนอีกรึเปล่าคะ” เสียงใสเอ่ยซักถึงอาการเจ็บปวดนอกเหนือ ชายหนุ่มสั่นหน้าปฏิเสธ

“แค่มีดบาดมือแน่นะ” ภูดิสพยักหน้าแล้วยิ้มให้เธอ

“เฮ้อ นิตกใจแทบแย่แน่ะ” นิศากรผ่อนลมหายใจโล่งอก

“พี่ก็ตกใจแทบแย่เหมือนกันนั่นแหละ” ภูดิสถือโอกาสตีหน้าเคร่งดุเสียเลย ”ทำอย่างนี้ไม่ดีเลยนะหนูนิ ถ้าไอ้โจรนั่นทำร้ายหนูนิ แล้วช่วยไม่ทัน พี่จะทำยังไง”

“ขอโทษค่ะ มือมันไปก่อนแล้วนี่คะ” หญิงสาวเสียงอ่อยขอโทษ หน้าหวานใสม่อยลงถนัดตา

“พี่หัวใจจะวายตอนมันแกว่งมีดไปทางหนูนิ” ชายหนุ่มเผยถึงเหตุการณ์ระทึกขวัญ น่าหวาดเสียวซึ่งสั่นคลอนจิตใจเขาอย่างแรง

“นิก็อึ้งเหมือนกัน นึกว่าจะโดนมีดแทงซะแล้วสิ คงเจ็บน่าดูเลย” หญิงสาวนึกแล้วยังหวาดเสียวไม่หาย

“ยังจะพูดอย่างนี้อีก พี่โกรธแล้วนะครับ” เสียงทุ้มเข้มขึ้น ชักโมโหที่หญิงสาวยังพูดเล่น ดวงตาคมก็เข้มขึ้นเช่นเดียวกับเสียงไม่มีผิด

“หนูนิรู้ตัวไหมว่ากล้าเกินไปแล้ว” ภูดิสเข่นเขี้ยว อยากจับมาร่างเล็กตีเสียให้เข็ด ข้อหาที่เสี่ยงอันตรายโดยไม่คิด

นิศากรหน้าจ๋อย ถูกดังที่เขาว่าทุกคำ หาญกล้าไปขวางทางโจรด้วยมือเปล่าจนเกือบถูกมีดจิ้มเข้าให้ วิญญาณพลเมืองดีมันเข้าสิงเธอตอนไหนก็ไม่รู้ จึงสั่งให้เธอผลักรถเข็นไปกระแทกมันจนล้มคว่ำไม่เป็นท่า มานึกกลัวได้อีกทีก็ตอนที่มันขู่ตะคอกนั่นแหละ

“อ่า ขอโทษนะคะ ขอขัดจังหวะนิดนึงนะคะ” ผู้หญิงที่ทั้งสองช่วยเหลือเอาปลายนิ้วโป้งแตะนิ้วชี้ประกอบคำพูด พลางพินิจใบหน้าคมของภูดิสซ้ายทีขวาที

“อ๋อ นึกออกแล้ว ใช่จริงๆด้วย คุณภูดิส คุณภูดิสใช่มั้ยคะ” น้ำเสียงตื่นเต้นอย่างกับเจอดาราดัง สองคนที่เหลือมองหน้ากันงงๆกับท่าทางของหญิงวัยสามสิบกว่าผู้นี้

“ครับ มีอะไรรึเปล่าครับ” ชายหนุ่มถาม

“คุณที่กำลังเป็นข่าวกับนางร้ายดัง รัญชิดาใช่มั้ยคะ” อ๋อ ที่แท้ไม่ใช่ตื่นเต้นเหมือนเจอดารา แต่เจอกิ๊กดาราต่างหาก ชายหนุ่มตีหน้าเบื่อหน่าย ส่วนหญิงสาวตวัดตามองค้อนนิดๆอย่างอดไม่ได้

“เอ่อ...เฮ้อ!” ภูดิสถอนใจเซ็งๆกึ่งไม่รู้จะตอบอะไรดี มือหนาข้างเจ็บเผลอยกขึ้นเสยผมที่ตกลงมาปรกหน้าผากอย่างรำคาญ

“โอ๊ะ...โอย” ชายหนุ่มซี๊ดปากด้วยความเจ็บปวด แผลเพิ่งเย็บใหม่ๆแม้จะยังชาเพราะฤทธิ์ยา แต่เมื่อกระทบเทือนแบบนี้ก็ส่งผลให้เจ็บจี๊ดขึ้นมาได้

“พี่ภู เจ็บมากไหมคะ โธ่เอ๊ย อย่าเพิ่งโดนแผลสิคะ” เสียงใสถามอย่างตกใจและห่วงใยก่อนเอ็ดที่เขาไม่ระวัง มือบางดึงมือใหญ่มาสำรวจบาดแผล

“อ๋า...คุณน้องคนนี้ ลูกสาวไฮโซใช่มั้ยคะ” คราวนี้เธอหันความสนใจมาที่นิศากร “ยังไงกันแน่คะเนี่ย สรุปว่าคนไหนตัวจริงละคะ”

เจ้าของกระเป๋าตั้งคำถามสอดรู้ ดูท่าจะเป็นพวกกาะติดสถานการณ์วงการบันเทิงแน่นหนึบแน่ๆเชียว เชื่อได้เลยว่าต้องเป็นขาประจำอุดหนุนนิตยสารก็อตชิบดาราหลายฉบับแน่นอน นิศากรคิดในใจ

“พี่ว่าเราไปรอรับยากันดีกว่า” ภูดิสเปลี่ยนเรื่องเป็นชวนหญิงสาวเลี่ยงไปรอรับยาตามที่พยาบาลสั่งไว้เมื่อครู่ นิศากรพยักหน้าหงึกเห็นด้วย เพราะไม่อยากยุ่งกับเรื่องข่าวนี่อีก

“เดี๋ยวสิคะ คุณน้องทั้งสอง แหม...เดินเร็วจังเลย” หญิงเจ้าทุกข์ครวญเมื่อซอยเท้าตามมาจนทันที่บริเวณจ่ายยา เสียงเจ้าหน้าที่เรียกชื่อชายหนุ่มพอดี จึงจัดการรับยาและจะไปจัดการค่าใช้จ่าย แต่หญิงสาวเจ้าของกระเป๋ารีบกันไว้และบอกว่าจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเป็นการตอบแทน

“ไม่ต้องค่ะคุณน้อง คุณพี่ขอจัดการเรื่องนี้เองนะคะ ถือว่าเป็นการตอบแทนที่คุณน้องช่วยเหลือพี่จนเจ็บขนาดนี้” ภูดิสอาศัยช่วงที่เธอหันไปยุ่งเรื่องค่ารักษา สะกิดนิ้วเล็กเบาๆเรียก

“กลับบ้านกันเถอะ”

“คะ?”

“ไปเถอะ เร็วเข้า” เมื่อเธอยังไม่ขยับลุก เสียงทุ้มเร่งและเกี่ยวนิ้วเล็กดึงให้ตามมาจนถึงรถ หารู้ไม่ว่าคนตามหลังมาหน้าแดงซ่านน้อยๆ เพราะความอุ่นจากนิ้วแข็งแรงที่เกี่ยวนิ้วเล็กของเธอไว้ อีกทั้งสายตาของคนรอบข้างที่มองเหมือนเธอและเขากำลังเกี่ยวก้อยกันเดินยังไงอย่างนั้น

-----------โปรดติดตามตอนต่อไป-------------


*+..คุยกันนิดหน่อยกับฟ้าริน..+*

โอย ไม่สบายอีกแล้วค่ะ ตื่นมาวันพฤหัสก็เจ็บคอ แสบคอสุดๆ กินน้ำยังไม่ค่อยลงเลย แล้วต่อมาก็เกิดอาการน้ำมูกไหล ทนไม่ไหวเลยไปหาหมอ กลัวเป็นนาเดีย เป็นไข้เลือดออกแบบนาเดีย ไม่ใช่ป่วยแล้วสวยแบบนาเดียนะคะ หมอบอกว่า "คอแดงแปร๊ดเลยนะ แดงสุดยอดไปเลย" แล้วกินข้าวดันกัดลิ้นตัวเอง ไม่ได้อยากฆ่าตัวตายนะคะ มันบาปหนา ฟ้ารินยังอยากเป็นนางฟ้าอยู่ แต่ในเผลอกัดเข้าไปเอง เจ็บ ปูดเลย มีเลือดออกนิดๆด้วย
ฮือออออ ยาลดน้ำมูก ทุกคนรู้ใช่มั้ยคะ มันมักจะมีฤทธิ์ทำให้เราง่วงนอ เพราะเมื่อเราง่วงแล้ว เราจะไม่รู้ว่าน้ำมูกไหลและทรมานแค่ไหน แวลาหายใจไม่ออก แต่ไม่คิดว่ามันจะมีฤทธิ์มากขนาดนี้ ฟ้ารินทานยานั่นเข้าไปก่อนจะอาบน้ำ วันนั้นใช้เวลาอาบน้ำอย่างเร็วเพราะหนาว ออกมาก็นั่งดูรักเธอทุกวันไปไม่ถึง3ตอน และตั้งใจว่าจะนั่งปั่นพี่ภูซะหน่อย ไม่ไหวค่ะ มึนหัว โงนเงน เขียนตัวห่างกันเป็นวา(ชอบร่างลงกระดาษก่อนน่ะค่ะ อยู่หน้าคอมนานๆปวดไมเกรน) ก็ต้องลุกมานอน โอยหัวจะทิ่ม แต่ยังไม่ทิ่มค่ะ เพราะเซไปชนกำแพงซะก่อน ตอนนั้นฟ้ารินเลยเข้าใจ ทำไมศรรามถึงขับรถชน ไม่ควรทานยาก่อนขับขี่เด็ดขาดนะคะ ฟ้ารินอาจจะมาส่งช้าหน่อย สำหรับตอนหน้า เพราะขอเพิ่มพลังวัฒน์ให้ตัวเองเสียก่อน จนบัดนี้ที่เอาบทนี้มาส่งก็ยังมึนๆ ต้องขออภัยมาณที่นี้ด้วยนะคะ เอาหล่ะค่ะ เม้าท์ยาวยืด มาตอบเม้นท์ดีกว่า

ninja - มีแต่คนรอแก้แค้น 555 ฟ้ารินก็ด้วย แต่รอเดี๋ยว ค่ะ ตอนหน้ามีเฮแน่ ขอไปพักฟื้นก่อน แล้วจะมาแผลงฤทธิ์แน่นอนค่ะ





Create Date : 24 มิถุนายน 2550
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2551 18:18:34 น.
Counter : 330 Pageviews.

4 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  

ปั้นน้ำกะฟ้าริน
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]








  • งานเขียนใน Blog นี้ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายลิขสิทธิ์ ไม่อนุญาตให้คัดลอก หรือ ดัดแปลงเนื้อหา นำไปเผยแพร่ต่อที่อื่นๆ ทุกรูปแบบ

  • Thanks design by freepik


Designed by Freepik