Group Blog
 
All blogs
 

Buzzer Beat เรื่องรักโรแมนติกแห่งปี



คามิยะ นาโอกิ (Yamashita Tomohisa..ยามะพี)นักบาสเกตบอลอาชีพของทีม JC Arcs ผู้ชายที่ใจดีกับทุกๆ คน เป็นลูกชายคนเดียวของครอบครัวที่มีแต่ผู้หญิง คือ แม่ พี่สาว และน้องสาว มีความมุ่งมั่นที่จะทำตามความฝันของตัวเองคือการเป็นนักบาสมืออาชีพ แล้วก็แต่งงานสร้างครอบครัวที่มั่นคงและมีความสุขกับแฟนสาวที่คบกันอยู่คือ นัตสึกิ แต่นาโอกิก็ยังไม่ประสบความสำเร็จทั้งในด้านบาสเกตบอลที่เป็นงานอาชีพและความรักที่เริ่มจะมีบางสิ่งเปลี่ยนแปลงไป




นาโอกิเป็นคนมีความสามารถ แต่ขาดความมั่นใจในตัวเอง เพราะรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่ผู้หญิงดีๆ อย่างนัตสึกิมาคบหาเป็นคนรัก นาโอกิยิ่งกดดันตัวเองเพื่อหวังจะเป็นผู้ชายดีๆ ที่คู่ควรกับเธอ แต่เพราะผู้หญิงคนนึง "ริโกะ" มาประกาศตัวเป็น "แฟนคลับคนแรก" คอยให้กำลังใจ และสามารถพูดคุยด้วยได้ทุกๆ เรื่อง ผู้หญิงที่อยู่ด้วยแล้วทำให้รู้สึกผ่อนคลายสบายใจ และเป็นคนที่ทำให้นาโอกิมีความกล้าและเกิดความรู้สึกมั่นใจในตัวเองขึ้นมา



ชิราคาว่า ริโกะ ( Kitagawa Keiko)นักไวโอลิน ที่ใฝ่ฝันจะเป็น "มืออาชีพ" ด้วยเช่นกัน แต่ก็ไม่ต่างกันนักกับนาโอกิ นั่นคือ ยังไม่ประสบความสำเร็จ เหตุนี้การเป็นนักดนตรีจึงไม่ค่อยมีจะกิน ริโกะจึงต้องทำงานพาร์ทไทน์ที่ร้านหนังสือในตอนกลางวัน และเล่นไวโอลินในร้านอาหารตอนกลางคืน เธอเป็นคนร่าเริงสดใสและมองโลกในแง่ดี



นานามิ นัตสึกิ (Aibu Saki )สาวสวย หัวหน้าทีมเชียร์ลีดเดอร์ ที่ใครๆ ต่างก็ชื่นชมในความเป็นคนดี แต่ลึกลงไปภายในใจเธอมีความทะเยอะทะยานอยู่ในส่วนลึก การคบกันกับนาโอกิที่เป็นคนเรียบง่ายไม่ฟุ้งเฟ้อ และมองไม่เห็นอนาคต ทำให้เธอไม่มีความสุขเท่าที่ควร นัตสึกิมองว่าการวิ่งไล่ตามความฝันอย่างที่นาโอกิพยายามทำเป็นแค่ความเพ้อฝันของเด็กๆ แต่การปรากฏตัวของริโกะ ผู้หญิงที่ต่างออกไป นั่นคือ ริโกะเชื่อมั่นในตัวนาโอกิ เชื่อในความฝันและคอยเป็นกำลังใจให้เขา ทำให้นัตสึกิรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้ง และพยายามทำทุกทางที่จะยื้อความรักของนาโอกิเอาไว้






เรื่องนี้แล้ว ต้องร้อง..วะฮู้ .... วู้....วู้ ดีใจเหลือเกิน ก็นานนานที จะได้ดูละครรักๆ สัญชาติญี่ปุ่น แบบที่ยกเอาความรักมาเป็นแกนหลักของเรื่องจริงๆจังๆ ซักที Buzzer Beat จึงเป็นเรื่องราวของความรักที่ถูกใจใช่เลยค่า ลองคิดดูสิคะเรื่องราวความรักที่มี ยามะพี เป็นพระเอก และนางเอก เคโกะ ก็ขาวใส สวยน่ารักซะจนแม้แต่ระดับหน้าตาอย่างยามะพีก็เกือบจะดูไม่คู่ควรกับเธอ นิสัยของนางเอกในเรื่องก็น่ารัก มากด้วย คิดดูอีกทีนะคะเรื่องราวความรักที่ตัวละครหลักมาจากพระเอกเป็นนักบาสอาชีพส่วนนางเอกเป็นนักดนตรีสีไวโอลิน พระเอกนั้นอาจจะเรียกได้ว่าอยู่ในช่วงขาลง ค่าตัวตกต่ำ ส่วนนางเอกเป็นพวกขาทะยานไม่ขึ้น คือสีไวโอลินไม่เก่งแต่ใจรัก

พูดง่ายๆ คือ คนไม่ประสบความสำเร็จสองคนมาเจอกัน






แต่ปัญหาคือ พระเอกดันมีแฟน มีแหวนเตรียมขอแต่งงานอยู่แล้วแม้ในเรื่องจะอายุแค่ 24 แต่เพราะเรื่องบาสยังไม่รุ่ง ก็เลยยังรีๆ รอๆ เพราะไม่มั่นใจว่าจะเลี้ยงดูผู้หญิงไหว (ยามะพีเล่นเรื่องนี้เป็นผู้ชายใจดีมาก ชอบทำกับข้าวให้แฟนกิน อยู่บ้านก็ทำให้แม่ พี่สาว น้องสาว พี่สาวกิน กรี๊ด น่ารัก) แฟนของพระเอกเนี่ย ในสายตาของใครๆ ต่างก็ว่าพระเอกเป็นคนโชคดีเพราชีเป็นผู้หญิงแสนดีที่เพอร์เฟ็ค แต่มีนักบาสดาวรุ่งคนใหม่ที่เข้ามาในทีม เห็นแววร้อนแรงและความร้ายลึกของหล่อน ประกอบกับความแสนดีของพระเอกที่มัวรอคอยแต่ความมั่นคงของชีวิตเพื่อหวังให้ชีวิตแต่งงานมีความสุข แฟนก็เลยสวมเขาให้ซะ






กว่าจะรอให้พระเอกรู้ตัวว่าถูกนอกใจ และกว่าจะลุ้นให้พระเอกยอมแพ้เหตุผลที่ทำให้รักนางเอกไม่ได้ และยอมรับซะทีว่ามีนางเอกแทรกซึมเข้ามาอยู่พักใหญ่แล้ว ก็นั่งดูแบบตามองจ้องติดอยู่อยู่จนตีสองตีสาม



ชอบเรื่องแนวนี้และชอบเรื่องนี้มากๆ เลยล่ะค่ะ นักบาสขาลงกับนักดนตรีไส้แห้ง และสถานที่แห่งรักก็คือ ลานบาสเก็ตบอลที่อยู่ติดกับอพาร์ทเมนท์นางเอกและอยู่ใกล้บ้านพระเอก นางเอกก็จะมาซ้อมสีไวโอลิน พระเอกมาซ้อมบาส และจากหน้าต่างห้องนอนนางเอกก็จะคอยแอบมองและหลับตาฟังเสียง แท็บๆ แท็บๆ ของลูกบาสที่พระเอกเลี้ยงบอลกระทบพื้น (กรี๊ดโรแมนติกมากมายค่า)



พระเอกก็มีแฟน นางเอกก็มีผู้ชายแสนดีมารัก แต่คนแปลกหน้าสองคนมาเจอกันและเพราะมีอะไรหลายๆ อย่างเหมือนกันก็เลยพูดคุยกันได้อย่างเปิดอก ต่อมาก็เลยใช้คำว่าเพื่อนเป็นข้ออ้างที่จะห่วงใยใส่ใจกัน (กรี๊ด..น่ารัก)

ถ้าหากละครเป็นเรื่องรัก ๆ มักจะมีเนื้อหาอยู่สองขยัก นั่นคือ กว่าพระเอกนางเอกจะรักกัน ซึ่งถ้าดูไม่ต่อเนื่องมาถึงตรงนี้จะคาใจมาก(และอาจนอนไม่หลับ) ต่อไปอีกครึ่งก็จะเป็นเรื่องของการนำพาความรักฝ่าฟันปัญหาและอุปสรรค นั่นก็คือยัยแฟนเก่าจะต้องย้อนกลับมาคอยจุดถ่านไฟเก่า และเหตุผลที่พระเอกไม่สมควรรักนางเอก ก็เพราะผู้ชายแสนดีที่รักนางเอกคนนั้นดันเป็นผู้ชายที่พระเอกให้ความนับถือในฐานะโค้ชบาสในทีมของตัวเอง เขาคือ โค้ชคาวาซากิ โทโมยะ ที่คอยดูแลให้ปรึกษาและการสนับสนุนมาโดยตลอด ผู้ชายหน้าตาดี นิสัยดี เป็นผู้ใหญ่ที่ดูดีและทำให้นาโอกิรู้สึกด้อยกว่า

เรื่องนี้ รับประกันความชอบค่ะ สำหรับคนที่ชอบดูละครแนวความรักซึ้งๆ โรแมนติก แม้ว่าในความเห็นเรายามะพีเรื่องนี้จะแต่งตัวบ้าบออะไรก็ไม่รู้ที่ทำให้คนหล่อๆ หล่อน้อยลงไปมากมายก่ายกอง แต่ก็เอาเถอะเพราะยังไงเรื่องนี้ยามะพีก็น่ารัก แต่ชุดน่ะนะคะ สีสันแสบตามาก ม่วงเหลือง เขียวส้ม ชมพู แจ๊ดสุดๆ แต่ขัดใจอยู่อย่างนึง เวลาใส่ชุดบาสดูสูงน้อยจังค่ะ และมาดนักกีฬาก็ขัดหูขัดตาชอบกล เห็นแล้วอยากให้พระเอกเบสบอลเรื่อง Rookies มาเล่นแทนซะจริงๆ ถึงจะหล่อไม่เท่า แต่มาดนักกีฬา รับรองกินขาด ( อิอิ แอบนอกใจอีกละ)




ด้วยเหตุดังนั้น จึงขอกล่าวดังนี้ว่า Buzzer Beat เป็นละครความรักที่เยี่ยมมาก เป็นละครที่ดูแล้วมีความสุข มันอิ่มเอมใจในองค์ประกอบของละคร คือนักแสดงหน้าตาดี พระเอกหล่อ นางเอกสวย อาชีพนักกีฬาและนักดนตรีที่แสนจะดูดีมีเสน่ห์ เนื้อเรื่องดี ไม่เยิ่นเย้อ รักสามสี่เส้าไม่น่ารันทดหดหู่และพาลไม่อยากดูเหมือนเวลาดูละครเกาหลีบางเรื่องที่จะต้องคอยสงสารพระรองผู้แสนดีและเป็นคนที่สมควรถูกรัก แต่พอนางเอกไม่รัก (ก็นางเอกต้องคู่กับพระเอก) แล้วมันเริ่มเกิดอาการทนไมได้ หรือพระรองบางเรื่องก็ทำให้การดูละครเป็นไปอย่างอึดอัด เพราะการเป็นนายแสนดีที่ไม่ยอมปล่อยมือ ทำให้เกิดการกระอักกระอ่วน เกรงใจ ลำบากใจกันทุกฝ่าย ฉากกุ๊กกิ๊กน่ารักของพระเอกกับนางเอกก็เยอะ มันมีสถานที่และการการกระทำที่ผลักดันความฝันของกันและกัน มีคำสัญญาว่าต่างคนต่างจะทำความฝันของตัวเองให้ถึงที่สุด และพระเอกนางเอกในเรื่องต่างก็รักกันมาก เหตุนี้จึงได้เห็นสายตาแห่งความรักและสีหน้าอันอ่อนโยนของยามะพี ที่ไม่คุ้นเคยมาก่อน และปลื้มใจสุดๆ เพราะเล่นเรื่องไหนก็ไม่ค่อยเห็นมีปฏิสัมพันธ์กับนางเอกลักษณะนี้มาก่อน หน้าตาบึ้งตึง เครียดตลอดค่ะ


สำหรับฉากจบจำได้ว่าเคยประทับใจตอนจบของละครเกาหลี Coffe prince ที่พระเอกยอมตัดใจส่งนางเอกไปเรียนการทำกาแฟที่เมืองนอก เหมือนกันกับ Pride ที่พระเอกต้องมุ่งหน้าไปเพื่อความฝันของนักฮอกกี้มืออาชีพ และทิ้งนางเอกไว้ข้างหลัง ทำให้นึกถึงคำพูดจากเรื่องนึงที่ยามะพีแสดงเป็นยุวชนทหาร เป็นคำที่คนแก่คนเฒ่าใช้สอนคนหนุ่มคนสาวในเรื่องว่า “สิ่งที่ต้องทำ ก็คือต้องทำ” ตอนจบของเรื่องนี้ก็ให้ความรู้สึกอย่างนั้นเลย



ตอนพระเอกบอกกับนางเอกว่า

“ไปเถอะ”

”ถึงเราจะจากกัน แต่มัน..จะไม่เป็นไร”

“ทุกครั้งที่เราคิดถึงกัน ความคิดถึงจะทำให้เราแข้มแข็งขึ้น”

อ๊ากก มันเป็นซีรีย์ที่ทำให้มีความสุขจริงๆ เป็นแนว Love & Sport ที่ชอบมากมายไม่น้อยหน้าไปกว่า Pride ที่มีทาคุยะแสดงเลย อาจจะชอบเนื้อเรื่องมากกว่าด้วยซ้ำ เพียงแต่ว่า ชุดฮอกกี้ของนักแสดงรุ่นพี่ทาคุยะนั้น เท่ห์กว่าชุดบาสเล็กน้อย หุหุ เรื่อง Pride ไม่ได้บอกว่าจะรอ และไม่ได้สัญญาว่าจะกลับมาใช่มั้ยคะ เรื่องนี้ก็เหมือนกัน ไม่ได้บอกว่าจะรอ และไม่ได้สัญญาว่าจะกลับมาหากัน แต่ไม่ต้องตกใจไปค่ะ มัน Happy Ending อย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้น มีหรือที่จะมานั่งเขียน blog อย่างดี๊ด๊า มีความสุขเช่นนี้ ทั้งที่จบผ่านไปแล้วครึ่งเดือน



ส่วนที่ประทับใจคือ นางเอก Kitagawa Keiko เรียกว่าหลังจากดูเรื่องนี้จบ ขอยกเธอขึ้นหิ้ง เป็น my most favorite actress กันเลยทีเดียว ถ้ามีใครถามว่าเรื่องนี้ชอบใครมากที่สุด คำตอบไม่ใช่ยามะพี แต่เป็นเคโกะนี่ล่ะคะ เธอสวยน่ารักจริงๆ






 

Create Date : 08 พฤศจิกายน 2552    
Last Update : 27 พฤษภาคม 2556 22:27:51 น.
Counter : 13684 Pageviews.  

Rookies ฉายแสงสู่วันพรุ่งนี้ มุ่งสู่โคชิเอ็ง



Rookies


เปิดฉากด้วยไม้เบสบอลกับเลือดที่สาดกระจาย
ตามมาด้วยการตะลุมบอนของนักเบสบอลทั้งสองฝ่าย
เมื่อนักกีฬากลายเป็นนักเลง คนดูกีฬาก็พลอยฮึกเหิมกลายเป็นพรรคพวกนักเลงตามไปด้วย
ต่างเฮโลยกพวกลงมา สนามแข่งเบสบอลจึงเป็นสนามเอาแพ้เอาชนะด้วยการยกพวกตีกันแทน

6 เดือนมาแล้ว ที่ทีมเบสบอลมัธยมปลายของโรงเรียนฟูตาโคตะมากาว่า
ถูกลงโทษด้วยการสั่งพักการแข่งขันและสั่งห้ามเล่นเบสบอล
ช่วงเวลาเหล่านั้น โค้ชได้ละทิ้งทีมไป นักกีฬารุ่นพี่พากันลาออก
จะเหลืออยู่ก็แต่ กลุ่มเพื่อน 10 คนที่ยังรวมตัวเป็น “พวกชมรมเบสบอล”
แต่ไม่ได้รวมตัวกันเป็นชาวชมรมธรรมดานะคะ

เพราะสิ่งที่พวกชมรมเบสบอลแสดงออก ดูยังไง้ยังไงก็ดูหมือน
พวกอันธพาล ที่ ‘น่ากลัว..ว..ว..ว.ววว’



ห้องชมรมเบสบอลถูกใช้เป็นแหล่งมั่วสุม โดดเรียนมาสุมหัวกันเล่นไฟ ดูดบุหรี่
ไม่เว้นแม้แต่การใช้ห้องชมรมเป็นสถานที่ลั่นล้ากับสาว

เหตุนี้แหละ จึงทำให้รู้สึกเกลียดขี้หน้า เจ้าหัวโจก ‘อานิยะ’ ตั้งแต่แวบแรกเห็น
ก็สีหน้าแววตาออกแนว...ร้ายซะ..

เอาเป็นว่า..ดูให้ถ้วนถี่ยังไง พวกชมรมเบสบอล ก็เป็นสัญลักษณ์ของเด็กนักเรียนเกเร
ผู้มีพลังล้นเหลือสำหรับใช้ในการออกกำลัง ต่อให้ไม่มีคนอื่นให้ต่อยตี
ก็ยังอุตส่าห์หันมาตีกันเอง

เพราะไฟฝันในวันเก่า ถูกทำให้มอดดับไปแล้วพร้อมๆ กับเหตุการณ์รุนแรงครั้งนั้น
แต่เหมือนพวกจะไม่ยอมรับมัน เลยทำหลอกตัวเองว่า ชีวิตที่ไม่มีเบสบอลมันก็สุดแสนอิสระ
และห้องชมรม ก็คือสถานที่ที่เนรมิตขึ้นมาใหม่ เพื่อเป็นสวนสวรรค์อันสวยงามในการอยู่(มั่วสุม)อย่างมีความสุขนั่นเอง (ตกแต่งด้วยศิลเปอะซะไม่เหลืออะไรที่บอกเค้าว่ามันคือห้องชมรมเบสบอล)

ที่สำคัญสุด

ใครอย่าได้มาพูดถึง ‘ความฝัน’
เพราะมันน้ำเน่า! ไร้สาระ! และมีสิทธิ์เลือดกลบปาก..เพราะปากแตกเอาได้ง่ายๆ

แค่เพื่อนในกลุ่ม ผู้รักเบสบอลเป็นชีวิตจิตใจ หยิบเอาลูกเบสบอลมาลูบๆ คลำๆ
ด้วยความคิดถึงคะนึงหา ก็เป็นเรื่องไม่พอใจกระชากคอกันขึ้นมาแล้ว

ดังนั้น
เมื่ออาจารย์หนุ่มไฟแรงคนหนึ่ง ก้าวเท้าเข้ามาเป็นอาจารย์คนใหม่
และ คาวาโต้ โคอิจิ ก็ไม่ใช่อาจารย์ 'ธรรมดาๆ' ซะด้วย
เพราะเขาคนนี้
นอกจากจะพกพาความฝันใฝ่และประกายไฟแห่งความหวังมาเต็มเปี่ยมหัวใจแล้ว
ยังเป็นคนที่ชอบพูดถึงความฝันอย่างที่สุด!

เวรล่ะสิ! เป็นเรื่องแล้ว

ก็บอกแล้วไง พวกชมรมเบสบอลเป็นพวก Anti-Dream ต่อต้านความฝัน
ถ้าจะให้เปรียบชัดๆ อาจารย์คาวาโต้ในสายตาของพวกชมรมเบสบอล ก็เป็น “ไอ้น้ำเน่า”
ที่ทำเรื่องน่าอายด้วยการพูดถึงความฝันอย่างเพ้อเจ้อ

ฝันบ้าฝันบออะไรกัน ไร้สาระที่สุด!

แต่..

นกกระจอก ไม่มีวันรู้ความปรารถนาของหงส์
นกตัวเล็กไม่มีทางจินตนาการได้ว่ามีอะไรอยู่ในความคิดของนกตัวใหญ่

เช่นเดียวกับคนโง่ก็ไม่มีวันเข้าใจความทะเยอะทะยานของคนที่ยิ่งใหญ่
เพราะฉะนั้นจงอย่าได้ดูถูกความฝันของคนอื่นเด็ดขาด


คำคมที่คาวาโต้หยิบยกมา เมื่อเผชิญหน้ากันครั้งแรกกับพวกชมรมเบสบอล ทำให้เด็กเกเรทั้งหลายต้องชะงัก

อึ้งกิมกี่ไปตามๆ กัน

หน้าที่สำคัญหนึ่งในการเป็นครูสำหรับคาวาโต้ นั่นก็คือ การเป็นผู้สนับสนุนความฝันการจะบอกให้นักเรียน ฝันให้ไกล แล้วไปให้ถึง นั้นมันง่าย
แต่การจะสร้างแรงบันดาลใจให้ฝันใฝ่ และเชื่อมั่นกับความฝันของตัวเองนั้น ไม่ใช่งานที่ง่ายเลย
โดยเฉพาะ กับพวกแอนตี้ความฝันอย่างพวกชมรมเบสบอล

เข็นครกขึ้นภูเขาอาจจะยังง่ายกว่า



ความสนุกของ Rookies มันจึงอยู่ตรงนี้ค่ะ

สนามเบสบอลที่รกเรื้อ ทีมเบสบอล ที่ไม่ยอมแตะลูกเบสบอล แถมยังโดดเรียน กร่าง เกเร
ถีบโต๊ะเก้าอี้พัง ฟาดหน้าต่างแตก เป็นว่าเล่น และพร้อมใช้กำลังรุนแรงอื่น เมื่อบรรดาท่านๆ
ไม่สบอารมณ์!

พวกชมรมเบสบอลจึงเปรียบเสมือน ‘ขยะโรงเรียน’ ที่อาจารย์ใหญ่อยากจะกำจัดออกไปให้พ้นๆ
แต่จะไล่ออกไปเลยก็ไม่ได้ จะทำให้โรงเรียนดูไม่ดีนัก

ภารกิจนี้ Clean เศษสวะเหล่านี้ จึงต้องคิดการอย่างมีแผน

และแผนที่จะได้ผลดีที่สุด คือการเรียกใช้ คาวาโต้ โคอิจิ

อดีตอาจารย์ผู้เคยมีประวัติใช้ความรุนแรงกับนักเรียนจนเกือบถึงตาย และถูกไล่ออก

เมื่อนักเรียนรุนแรงมาเจอกับอาจารย์ผู้ชอบใช้ความรุนแรง ความรุนแรงย่อมจะเกิด
เมื่อนั้นอาจารย์ใหญ่ก็จะมีสาเหตุอันเหมาะสม สำหรับการโละทิ้งขยะโรงเรียนออกไปได้ทั้งหมด

แต่หารู้ไม่

คาวาโต้นั้นมีเป็นจิตวิญญาณของการเป็นครูเต็มเปี่ยม เมื่อเริ่มที่จะฝันเป็น
ก็ใฝ่ฝันที่จะเป็นครูมาโดยตลอด
และพยายามเป็นครูที่ดีมาอย่างเต็มที่ เหตุรุนแรงที่เคยเกิดขึ้นกับนักเรียน
จึงเป็นอดีตอันด่างพร้อย และเป็นบทเรียนที่คาวาโต้ไม่มีวันลืม

กับคนที่เคยคิดว่าโอกาสในการเป็นครูถูกปิดตายไปแล้ว เมื่อได้รับการว่างจ้างให้กลับมาเป็นครูอีกครั้ง
ย่อมต้องระวังสุดชีวิตที่จะไม่ให้ความผิดพลาดเกิดขึ้นอีก


ดูเหมือนว่า อาจารย์ใหญ่จะวางหมากผิดตั้งแต่เริ่มเกมแล้วค่ะ

แต่อย่าเพิ่งคิดนะคะว่า อดีตครูผู้เคยใช้ความรุนแรงจนเป็นที่เลื่องลือในข่าวหนังสือพิมพ์
จะมีหน้าตาท่าทางห่าม เหี้ยม หรือกวนทีน เพราะคาวาโต้หาได้เป็นเช่นนั้นไม่

ตรงกันข้ามเลย เขามีบุคลิกหน้าตาท่าทางออกซื้ออออซื่อ...
รอยยิ้มกว้างที่บ่งบอกถึงความเปิดเผยจริงใจ
และสีหน้าที่แสดงถึงการมีความสุขอยู่ตลอดเวลา

ก็นึกดูกันเองนะคะ ครู่ซื่อๆ ที่ดูไม่ค่อยฉลาดเท่าไรนัก (นอกจากจะดูเท่ห์ขึ้นมาบ้างตอนที่ชอบหยิบยกคำคมขึ้นมาพูด ) กับแกงค์เด็กนักเรียนเกเรสุดแสบที่มีสมาชิกถึง 10 คน และแต่ละคนก็มีนิสัยแตกต่างกัน มันจะสนุกมันฮาขนาดไหน

ถ้าคิดว่าการจะเล่นงานอาจารย์ซื่อๆ คนนึงมันเป็นเรื่องกล้วยๆ ก็คิดผิดไปซะแล้ว
ก็อาจารย์ดันซื่อสุดๆ เลยไม่ค่อยรับมุขกลั่นแกล้งของนักเรียน
ครั้นจะใช้กำลังจัดการ ก็ไมได้ผล เพราะครูซื่อๆ ดันมี คาราเต้ ขั้นสอง การันตีความแข็งแกร่ง
จึงทำอะไรไม่ได้มากนัก นอกเสียจากว่า คาวาโต้จะยอมให้ตัวเองถูกนักเรียนรุมสกัมซะเอง

เพราะคาวาโต้ไม่ได้นิ่งดูดายกับการโดดเรียนของพวกชมรมเบสบอล
การพยายามเข้าไปจัดการทำให้คาวาโต้เริ่มค้นพบว่าเด็กพวกนี้เป็นพวกปิดกั้นความฝัน
เพราะพวกเขาไม่มีความหวังกับอนาคต และไม่มีความคิดว่าตัวเองต้องการจะทำอะไร
นอกจากปล่อยเวลาให้สูญเปล่าไปวันๆ นึง

เริ่มจากเด็กคนหนึ่งในชมรมเบสบอล ที่ยืนหนังสือลาออกจากโรงเรียน

เหตุเพราะโรงเรียน ไม่มีเบสบอลให้เล่นอีกแล้ว แม้ฝีมือจะห่วยแตกกว่าใครเพื่อน แต่ มิโคชิบะ ก็รักเบสบอลสุดหัวใจ มันเป็นความสิ้นหวังและรันทดที่ต้องอยู่ร่วมกับเพื่อนๆ ในทีม โดยที่ไม่สามารถแม้แต่จะหยิบลูกเบสบอลออกมาลูบคลำให้ใครเห็น มิโคชิบะยอมรับด้วยด้วยน้ำตาแห่งความสิ้นหวังกับอาจารย์คาวาโต้ว่า เขาฝันจะได้เล่นเบสบอลร่วมกับเพื่อนๆ อีกครั้ง เขาแค่อยากจะเล่นเบสบอลกับเพื่อนๆ เท่านั้น

คาวาโต้ จึงประกาศตัว “ครูจะเป็นผู้สนับสนุนความฝันของเธอเอง”

และอาจารย์ซื่อๆ คนนี้แหละ ที่ทำให้พวกชมรมเบสบอลเริ่มหวั่นกลัว
ไม่ได้กลัวคาราเต้ขั้นสอง ไม่ได้กลัวถูกใช้ความรุนแรง ดังเช่นประวัติของคาวาโต้เคยมีมา
แต่กลัวว่า อาจารย์ซื่อๆ คนนี้จะมาเปลี่ยนแปลงพวกเขา จะมาทำให้โลกของเด็กเกเร
ทำให้สวรรค์ของพวกชมรมเบสบอลต้องเปลี่ยนไป เขาคืบคลานเข้ามาแล้ว

คาวาโต้มาแว้วววว


จากนั้น คาวาโต้ก็ใช้ความจริงใจใสซื่อของตัวเองเข้าไปหาเด็กนักเรียนแต่ละคน เหมือนเป็นการ เทน้ำใจใสสะอาดใส่ลงไป เพื่อขับไล่ตะกอนความขุ่นมัวในหัวใจที่ทำให้เด็กพวกนี้ต้องกลายเป็นพวก ‘เด็กมีปัญหา’

ฝ่ายครูสุดจะพยายาม ฝ่ายนักเรียนก็สุดแสนจะต่อต้าน มันก็เลยสุดฮา

แต่เมื่อคนเราแสดงความจริงใจสุดๆ อีกฝ่ายย่อมมีหัวใจรับรู้ความปรารถนาดีเหล่านั้นได้
การฟื้นฟูชมรมเบสบอลขึ้นมาอีกครั้งมันจึงไม่ยากเกินไปนักสำหรับการดึงเด็กสองสามคนแรก และสี่ห้าคนหลัง กลับมาเล่นเบสบอลอีกครั้ง เพราะพวกเขาก็อยากจะมีอะไรทำ อยากจะเปลี่ยนแปลง และรักการเล่นเบสบอลอยู่แล้ว เพียงคาวาโต้แสดงให้เห็นถึงความเอาใจใส่จริงใจ และทำให้เชื่อว่า “ไว้ใจได้” ก็ได้ใจเด็กๆมาไม่ยากนัก



แต่ก็ยังเหลือคนที่ยากที่สุด คนที่มีปมในใจซับซ้อนกว่า

อานิยะ หัวโจกของชมรมเบสบอล พิชเชอร์ฝีมือเก่งกาจ ที่เคยใฝ่ฝันไปไกลกว่าใครเขา นั่นคือการฝันที่จะได้ไปเล่นเบสบอลในสนามโคชิเอ็ง (การแข่งขันกีฬาเบสบอลมัธยมระดับชาติ) แต่เขากลับเป็นคนที่วิ่งหนีเบสบอลอย่างที่สุด

ชินโจว เด็กที่รักเพื่อนที่สุด ให้ความสำคัญกับความหมายของมิตรภาพที่สุด แต่ก็เป็นคนที่ยากสุดอีกเหมือนกัน ที่จะหันกลับมาเข้าทีม เพื่อร่วมเดินไปด้วยกันกับเพื่อน บนเส้นทางของนักเบสบอลอีกครั้ง

แต่ในฐานะผู้สนับสนุนความฝัน คาวาโต้ ย่อมไม่รู้จักกับคำว่า ย่อท้อ

เมื่อเด็กหลายคนเริ่มหันกลับมาเล่นเบสบอล ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ววะ เมื่อจะทำอะไร ต้องทำให้มันสุดๆ ไปเลย
“ถ้าเธอจะเล่นเบสบอลในมัธยมปลาย เธอก็ต้องมุ่งไปที่จุดสูงสุด”

คาวาโต้ผู้นิยมชมชอบคำคม จึงเขียนสโลแกนที่คิดขึ้นมาด้วยตนเองใหม่หมาด ติดไว้บนผนังห้องชมรม

“โดย โควาโต้ โคอิจิ ..... มุ่งสู่โคชิเอ็ง ฉายแสงสู่วันพรุ่งนี้ ทำฝันให้เป็นจริง”

โคชิเอ็งเหรอ? ... ฮ่า ฮ่า ฮ่า คาวาโต้ พูดเรื่องบ้าบออะไรอีกแล้ว นายนี่มันขยันทำแต่เรื่องน่าอายซะจริง
พวกชมรมเบสบอลว่าอย่างนั้น เพราะการฝันถึงเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อย่างโคชิเอ็ง มันตลกสิ้นดี!



คาวาโต้จะทำอย่างไรให้เด็กๆ พวกนี้เชื่อมั่นในความฝัน ว่ามันเป็นไปได้แล้วมุ่งมั่นไปให้ถึงจุดหมาย

ซ้ำร้าย คำว่า โคชิเอ็ง ยิ่งผลักไสให้อานิยะ ถอยห่างจากเบสบอลไปไกลยิ่งกว่าเดิม

งานช้างของคาวาโต้เลยล่ะค่ะ



รวมทีมเบสบอลขึ้นมา ‘มีฝัน’ด้วยความยากลำบากแล้ว ก็ใช่ว่าจะจบแค่นั้น
เมื่อสุดแสบทั้งสิบ กลับมารวมตัวกัน .. คาวาโต้จะประคับประคองเด็กหนุ่มเลือดร้อนที่อารมณ์เปราะบางทั้งหลายให้ยังคง ‘สานฝัน’ ต่อไปอย่างไร โดยไม่เลิกล้มกลางคันซะก่อน

เมื่อเส้นทางที่มุ่งจะไป มันไม่ง่าย อุปสรรคขวากหนามรอคอยอยู่ทุกก้าวย่าง
เมื่ออาจารย์ใหญ่เอง ก็ยังคงคอยขัดแข้งขัดขา อย่างมิได้นำพาต่อการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี
ตลอดจนความมุ่งมั่นตั้งใจของบรรดานักเรียนเหล่านี้
เมื่อชื่อเสียงเลวร้าย ในฐานะผู้ก่อเหตุความรุนแรงครั้งก่อนยังเป็นภาพลบติดอยู่ในใจของผู้คนในสังคม

“อย่ามาทำให้โคชิเอ็ง ของพวกเราแปดเปื้อนดีกว่า”

โห... คำนี้มันจี๊ดดดดด มันแรงค่ะแรงงงงง









และไม่ว่าจะทุ่มเทมากแค่ไหน คาวาโต้ก็ทำเพื่อเด็กๆ เหล่านี้ได้แค่เพียงเป็นผู้สนับสนุน
คอยให้กำลังใจ และ “อยู่เคียงข้างเสมอ”

เพราะในที่สุดแล้ว พวกเขาก็ต้องฝ่าฝันอุปสรรคและเอาชนะแรงกดดันต่างๆ เพื่อผ่านพ้นมันไปให้ได้ ด้วยตัวเอง!

“เอาชนะมันให้ได้ และบอกลาช่วงเวลาที่เคยไร้ค่านั้นซะ”

เช่นเดียวกับที่ พระผู้เป็นเจ้า จะยื่นมือให้กับคนที่พยายามด้วยตนเองเท่านั้น



Rookies จึงเป็นเรื่องราวของการ “สู้เพื่อฝัน” ขนานแท้ ที่ไม่กล้าฟันธงว่า จะทำให้ใครหลายคนที่ดูแนวนี้มาเยอะรู้สึกเบื่อขึ้นมาบ้างหรือเปล่า

เพราะสำหรับตัวเองแล้ว ชอบมากมาย ขนาดว่าไม่รู้กฎกติกาเบสบอลเลย
ก็ยังได้ใจสุดๆ

โดยเฉพาะฉากการเล่นเบสบอลสุดท้าย + มาดนักเบสบอลของอานิยะ ที่ไม่รู้ว่า จากการเกลียดขี้หน้า ดันไปหลงรักเจ้าหัวโจกคนนี้ขึ้นมาตอนไหน สีหน้าแววตาแน่วนิ่งที่เปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ ช่างดูลุ่มลึก แข็งแกร่ง และในตำแหน่งพิชเชอร์คนสำคัญที่ต้องเล่นกันอย่างลืมตาย มันเท่เกินร้อย



อานิยะในเรื่องไม่ได้เป็นหัวโจกในแนว กร่าง โผงผางเสียงดัง ตามลักษณะของนักเลงนะคะ แต่จะ ขรึมๆ ไม่ค่อยพูดค่อยจา แต่เวลาทำอะไร ดูคล้ายกับว่า เพื่อนๆ จะเหลียวมองด้วยความเกรงใจ เอ..อานิยะมันเอาด้วยหรือเปล่าหว่า? น่ารักดีค่ะ



นอกจากเนื้อหาที่อัดแน่นไปด้วยพลังแห่งความฝัน ความหวัง และมิตรภาพระหว่างเพื่อนแล้ว
ที่ชอบเรื่องนี้เป็นพิเศษ ก็เพราะได้ดูผู้ชายเป็นฝูง
นอกจากอาจารย์คาวาโต้ ที่เห็นหน้าอยู่หลายครั้งในเรื่องอื่น และกระเทยใจงาม มาสึมิ จากเรื่องโนดาเมะ ที่ทำให้ยังอึ้งไม่หายกับบทของ โทเฮ ใน Love & Farm เรื่องนี้ก็ยังอึ้งอยู่ ว่า มิโคชิบะ คนนี้คือคนเดียวกับที่เล่นบทมาสึมิจริงๆ เหรอ เพราะบทบาทที่เล่นมันต่างกันยังกะหน้ามือกับหลังเท้า

คนอื่นๆ ไม่รู้จักหน้าค่าตามาก่อนเลย

แถมยังปิ๊งผู้ชายทีเดียว 3 คนรวดเลยล่ะค่ะ คือคนที่รับบท ยูฟูเนะ กับโอคาดะ สองคนเป็นคู่หูกัน คนแรกหัวทองคาดโบว์ คนหลังหัวพังค์คาดผ้า( ฝังกระดุมเม็ดโตอีกต่างหาก) แต่ไหงสองกระทาชายท่านดันดูเท่ห์และน่ารักซะมากมายก็ไม่รู้ ฮาอีกต่างหาก

และแน่นอน อีกหนึ่งในสามคนที่เหลือ ต้องเป็นกระทาชายสุดแมนอย่าง อานิยะ



บทบาทนี้แรกๆ ทำให้นึกถึง ยามะพี แนวนั้นเลยค่ะ นิ่งๆ ขรึมๆ หล่อๆ ร้ายๆ พวกเก็บความรู้สึก และคิดว่าถ้าเป็นยามะพี(ที่หล่อกว่า) คงกรี๊ดน่าดู แต่พระเอกญี่ปุ่นนั้นตัดสินกันที่ความหล่ออย่างเดียวไม่ได้ เพราะสายตามุ่งมั่นของอานิยะมันแน่นอนจริงๆ และถ้าเปรียบกันกับการสวมใส่ชุดเบสบอลแล้วดูหล่อแค่ไหนตามที่เคยเห็นยามะพีใส่อยู่เหมือนกันจากเรื่อง Operation love ต้องขอบอกว่า อานิยะ คนนี้กินมะพีขาด

(ถึงแฟนคลับมะพีคะ เราก็ชอบยามะพีอยู่มากมายเลยนะ แต่ว่ายังมีใจเหลือให้คนอื่นอีกเยอะ)

และจะต้องไปตามหาต่อล่ะค่ะ ว่าสามหนุ่มนี้คือใคร เล่นเรื่องไหนกันมาบ้าง



หน้าตาดีที่สุดในบรรดาสิบคนคงจะเป็นชินโจว น่าจะเป็นลูกครึ่งด้วยนะ ได้เปรียบกว่าใครตรงที่ขาวหล่อและตัวสูงยักษ์เลยค่ะ แต่โดยบทบาทที่ได้รับแล้ว เรื่องนี้อานิยะจึงลอยลำเข้าเส้นชัยอย่างไร้คู่แข่ง

ที่โดดเด่นอีกคนคือวาคาดะ คนนี้เห็นแรกๆ นึกว่าโทโมยะ นางาเสะ แบ่งภาคมาเกิดค่ะ เล่นออกมาบุคลิกคล้ายกันยังกะเป็นพี่น้อง ส่วนที่เหลือ อีก 3 คน ก็ออกแนวฮา โดยเฉพาะตาหนวดฮิราสึกะผู้เป็น อาวุธลับของทีม ( คือไม่จำเป็นสุดๆ อย่าเรียกใช้มัน) ตานี่ออกมาเมื่อไหร่ก็ฮา คุ้นหน้าเหมือนจะเล่นเรื่อง สายสัมพันธ์ดาวตก เจ้านายที่ถูกเอริกะต้มตุ๋นด้วยการหลอกให้หลงรัก

อ่านในเน็ตพบว่า คนเหล่านี้ หลายคนมีดีกรีพระเอกจากเรื่องอื่นๆ ทั้งสิ้น

เป็นงั้นหรอกรึ มิน่า ......ถึงน่ารักกันจัง

ถ้าอย่างนั้นก็คงจะมีแต่พระเอก อาจารย์โควาโต้น่ะสิ ที่นอกจากบทของการเป็นลูกกระจ๊อก ยังไม่เคยเห็นเป็นพระเอกกับเค้าซะที พอมาเรื่องนี้ ได้เป็นพระเอก(จริงๆ) เรายังอุตส่าห์ใจดำ ยกตำแหน่งพระเอก ให้อานิยะ ไปซะนี่ 5555



อ๊ะ! ลืมพูดถึงนางเอก.. เช่นกันค่ะ มีคุณครูสาวที่คอยเป็นกำลังใจแก่อาจารย์คาวาโต้ แต่ก็ออกแนวชื่นชมมากกว่าชอบพอ ... ถ้าจะพูดถึงความชอบพอ ก็ต้องยกตำแหน่งนางเอก ให้กับ ยางิ โทโกะ นักเรียนหญิงที่ลาออกจากชมรมร้องเพลงประสานเสียง มาเป็นผู้จัดการทีมเบสบอล เพื่อคอยเป็นกำลังใจให้กับ........ถึงไม่บอกก็น่าจะรู้นะคะว่าโทโกะจะเป็นนางเอกของใคร
“พาฉันไปด้วยนะ พาฉันไปโคชิเอ็งให้ได้”
ในบรรดาหนุ่มแสบซ่าส์สิบคน ก็มีอานิยะคนเดียวนี่แหละค่ะ ที่มีสาวน้อยหน้าหวานคอยเฝ้ามองตามแผ่นหลัง คอยลุ้นและคอยเป็นกำลังใจอยู่ข้างสนาม
อาจไม่หวานไม่แหวนัก
แต่นั่นก็พอหอมปากหอมคอ สมวัยแห่งการเป็นนักเรียนมัธยมปลาย
(ชอบจัง เวลาที่ อานิยะ กับโทโกะ เดินกลับบ้านด้วยกัน)



ชอบตอนจบนะคะ ใครที่คิดว่าละครแนวนี้ ตอนจบจะเป็นเหมือนที่คิด อย่าเพิ่งคิดค่ะ ไปดูเอาเองดีกว่า ...สรุปเอาง่ายๆ อย่างนี้แหละ แต่รับรองว่าอิ่มใจแน่นอน

โลกเต็มไปด้วยความหวัง อย่าหัวเราะให้กับคนที่มีความฝัน ..นะคะ


ภาพจากโปสเตอร์หนังค่ะ

เกร็ดข้อมูลเพิ่มเติม

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

สนามกีฬาฮันชินโคชิเอ็ง (ญี่ปุ่น: 阪神甲子園球場 Hanshin Kōshien Kyūjō ?) ชื่อเดิมว่า สนามกีฬาโคชิเอ็ง เป็นสนามเบสบอล ตั้งอยู่ในเมืองนิชิโนะมิยะ ประเทศญี่ปุ่น เปิดใช้เมื่อ 1 เมษายน พ.ศ. 2467 จุคนได้ 53,000 คน โดยเป็นสนามกีฬาที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียในขณะนั้น สร้างขึ้นเพื่อรับรองการแข่งขันเบสบอล ของโรงเรียนในระดับมัธยมปลาย ในเดือนสิงหาคมและมีนาคม
ในปี พ.ศ. 2479 ได้มาเป็นสนามกีฬาประจำทีมเบสบอล ฮันชิน ไทเกอร์ ประจำจังหวัดเฮียวโงะ และได้เปลี่ยนชื่อสนามมาเป็น สนามกีฬาฮันชินโคชิเอ็ง ลักษณะสถาปัตยกรรม ได้รับอิทธิพลมาจาก สนามโปโลกราวส์ ใน นครนิวยอร์ก
เนื่องจากแผ่นดินไหวใหญ่ ในปี พ.ศ. 2538 ทำให้เกิดรอยร้าวและคอนกรีตหลุดร่อนลงมา ในปี พ.ศ. 2551 จะเริ่มซ่อมแซมในช่วงนอกฤดูแข่งขัน และคาดว่าจะเสร็จในปี พ.ศ. 2553



แผนผังตะละครในทีมเบสบอลและรายชื่อนักแสดง (โน๊ตไว้ เพื่อตามหาผลงานต่อไป )

Sato Ryuta as Kawato Koichi

Ichihara Hayato as Aniya Keiichi
Sato Takeru as Okada Yuya
Igarashi Shunji as Yufune Tetsuro
Murakawa Eri as Yagi Toko (นางเอก Code Blue ค่ะ)


Shirota Yu as Shinjo Kei
Koide Keisuke as Mikoshiba Toru
Nakao Akiyoshi as Sekikawa Shuta
Takaoka Sousuke as Wakana Tomochika
Kiritani Kenta as Hiratsuka Taira
Kawamura Yosuke as Hiyama Kiyooki
Onoue Hiroyuki as Imaoka Shinobu



ละครเรื่องนี้ทำจากการ์ตูนของนักวาดชื่อดัง ซึ่งเป็นผลงานของ มาซาโนริ โมริตะ ผู้วาด จอมเกบลูส์ ที่โด่งดังในหมู่นักอ่านการ์ตูน (เรื่องราวเดือดๆ ของลูกผู้ชายผ่านนักเรียนที่มีความสามารถของการเป็นนักมวย + นักมวยปล้ำของ มาเอดะ ไทซอน)

เฉพาะในญีปุ่น Rookies มียอดขายถึง 12 ล้าน copies (เป็นการ์ตูนที่มีคนรักมากขนาดนี้ ก็ชักอยากจะหามาอ่านบ้างแล้ว)



กฏกติการการเล่นเบสบอลที่อาจช่วยให้ดูซีรีย์เรื่องนี้สนุกขึ้น อยู่ที่ลิงค์นี้นะคะ

//forums.popcornfor2.com/index.php?showtopic=60625

เพลงประกอบ ชื่อ Kaseki (Artist : Green) เพลงเพราะติดหูค่ะ



อ่านบทความของคุณต่อพงษ์ก็ชอบค่ะ วิเคราะห์เจาะลึกในเนื้อหาสาระของ Rookies ไว้อย่างละเอียดทีเดียว

ความผิดหวังจะทำให้เธอฝันเป็น

//www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9520000048764

นกกระจอกห้ามดูถูกฝันของหงส์

//www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9520000051563

ปัญหาเด็กตีกัน แก้ได้ด้วยครู


//www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9520000054333

รูปภาพจาก

2 รูปมาจากบทความของคุณต่อพงษ์
ส่วนรูปที่มาจากภาพยนต์ นำมาจากเว็บเด็กดี







 

Create Date : 10 ตุลาคม 2552    
Last Update : 30 พฤศจิกายน 2553 0:41:43 น.
Counter : 11343 Pageviews.  

Love & Farm นึกว่ามีดีแค่ภาพสวย

Love & Farm หรรษารักบ้านไร่



อาทิตย์ส่องแสง ทุ่งหญ้าที่ปกคลุมพื้นดินเขียวขจี  รั้วไม้สีขาว  ท้องฟ้าสีคราม ฝูงแกะ ฝูงวัว เดินกันให้ครึ่ด!


หลังจากประทับใจมาแล้วกับฉากวิวทิวทัศน์ในเรื่อง Yasashii Jikan (ช่วงเวลาแห่งไออุ่น) ซึ่งเป็นบรรยาศของฮอกไกโดในฤดูหนาว 

 ฤดูร้อนของฮอกไกโดใน Love & Farm ก็สร้างความประทับใจไม่แพ้กัน  How beautiful  …. สวยอะไรอย่างนั้น

สวยซะจนอยากจะร้องตะโกนบอกฟ้า

อยากไปฮอกไกโด โด โด..ด..ด.ดดดด(จังโว้ย)



 

 

เป็นเรื่องราวของนักศึกษามหาลัยปีสาม 6 คน ที่เรียนเกษตรสาขาต่างๆ และต้องมารวมกลุ่มฝึกงานด้วยกันที่หมู่บ้านทำฟาร์มแห่งนึงทางตอนเหนือของฮอกไกโด


ทาคาชิมึสึ ทาคาชิ : (Tamayama Tetsuji  หรือ ทามาเท็ตสึจัง ) ทาคาชิ หรือ ทากานิ (ดูซับไทย นี่ใส่ซับสับไปสับมาระหว่าง 2 ชื่อนี้ตลอด) ชายหนุ่มรูปงาม หน้าตาการแต่งตัวทันสมัย...อะอ๊าว! ไม่ทันไรก็ถูกเปิดเผยเสียแล้วว่าพื้นเพเป็นเด็กบ้านนอก ลูกเจ้าของฟาร์มผู้มีรากฐานมากจากครอบครัวเกษตรกรขนานแท้



มาโนะ โทเฮ : ลูกชายรัฐมนตรีกระทรวงเกษตรคนนี้ รับบทโดย Koide Keisuke ดูละครจบมาหลายวัน ก็ยังไม่ทันรู้ตัวว่าชายหนุ่มคนนี้ คือ มาสึมิจัง คู่แข่งหัวฟูฟ่องคนสำคัญของน้องหนูโนดาเมะ ที่หวังแย่งชิงหัวใจรักของท่านจิอากินั่นเอง เพิ่งมารู้ก็ตอนหาข้อมูลใส่บล็อกนี่แหละ เล่นเป็นหัวหน้ากลุ่มฝึกงาน ‘มาดเข้ม’ ซะจนจำเค้าไม่ได้เลย ฝีมือใช่ย่อยนะเนี่ย



 


 ริวตะ: ( Nakata Atsuhiko)  เพิ่งจะเคยเห็นหน้าเป็นครั้งแรกนะคนนี้ หนุ่มนักรักศิลปินผู้จับพลัดจับผลูมาเรียนเกษตรแทนที่จะไปเรียนศิลปะ เพราะชอบการวาดรูปอุปกรณ์พกพาของริวตะจึงเป็นกระดาษกับดินสอเพื่อสเก็ตภาพ ฝีมือดีซะด้วยนะ ... วาดออกมาสวยทุกรูป ...(หมายถึงในเรื่อง) แต่บทคลั่ง UFO ของแกนี่ ...เหนือความคาดหมายจริงๆ ..คนเขียนบท คิดได้ไง? 5555


ส่วนนักศึกษาฝึกงานหญิง   หญิง ...3 คน ต่างก็มีดีกรี ‘นางเอก’ ทั้ง 3 คน นี่เป็นอีกหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ชื่นชอบซีรีย์ญี่ปุ่น เพราะสามารถสร้างบทบาทให้ตัวละครแต่ละคนมีความโดดเด่นและมีความสำคัญในแบบของตน  ดูแล้วไม่น่าจะต้องลำบากใจในการรับบทเลย ว่าถ้ามีดรีกรีนางเอกคนอื่นเล่นด้วย จะทำให้สถานะนางเอกดูด้อยกว่าราคาตกหรือไม่ เพราะทุกคนต่างก็เป็นส่วนผสมสำคัญของเนื้อเรื่องในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน

ชิบะ คาซูมิ : (Toda Erika)  เป็นคนซื่อตรง จิตใจดี บางทีก็ดูเอ๋อๆ เป๋อๆ เพราะซุ่มซ่าม แต่เรื่องความมุ่งมั่นตั้งใจนั้นเต็มร้อย เธอเป็นสาวน้อยที่ใฝ่ฝันอยากจะมีฟาร์มเป็นของตัวเอง  จำได้ว่าตอนดูผลงานของเอริกะเรื่องแรก ไม่ค่อยชอบสักเท่าไร แต่ดูเรื่องอื่นต่อมา จึงเริ่มมองเห็นความน่ารัก และยิ่งชอบมากขึ้นเรื่อยๆ


ซูเอนากะ มิโฮโกะ ( Karina ) คุณหนูไฮโซผู้กรีดกราย ไม่ค่อยยอมหยิบจับทำอะไร เป็นคนที่ใช้ความแข็งกระด้างปากร้าย ไม่เป็นมิตรกับใครเพื่อปิดบังความอ่อนไหวและอารมณ์เหงาหงอยของตัวเอง



ฟูจิ อายากะ: (Saki Aibu) เป็นคนร่าเริงแจ่มใสตลอดเวลา (ทำหน้าแอ๊บแบ๊วตลอดด้วย) มีนิสัยก็เปิดเผยตรงไปตรงมา ..ไม่ว่า รัก ชอบ หรือเกลียด ก็แสดงออกหมด จึงดูเป็นเด็กกว่าใครเพื่อน และไม่ค่อยจริงจังกับอะไร ประมาณว่ามาเรียนเกษตรเล่นๆ ไปอย่างนั้น เพราะให้เรียนอย่างอื่นก็ไม่รู้จะเรียนอะไร

เรื่องก็มีอยู่ว่า


เมื่อนักศึกษาฝึกงาน 6 คน ต้องมากินนอนรับผิดชอบทำงานร่วมกัน ก็เหมือนกับคนธรรมดาทั่วไปแรกๆ ยังไม่รู้จักกันดี ก็มีเขม่น มีแอนตี้ มีความคิดเห็นไม่ตรงกัน และทะเลาะกัน แต่เมื่อเวลาผ่านไป การอยู่ร่วมกัน เริ่มเห็นนิสัยใจคอแท้จริง เผชิญหน้ากับปัญหาและผ่านพ้นอุปสรรคมาด้วยกัน ความเห็นอกเห็นใจก็เริ่มละลายพฤติกรรมให้กลายเป็นความสนิทสนมกลมเกลียว   และคอยช่วยเหลือกัน






ดูเรื่องนี้ สองตอนแรกตื่นเต้นกับความสวยงามของภาพทิวทัศน์ธรรมชาติอันสวยงาม รวมถึงสภาพแวดล้อมของฟาร์มม้าฟาร์มโคมม ที่นักศึกษาผลัดเปลี่ยนเวรกันไปช่วยงานเจ้าของฟาร์ม จากนั้นไปถึงตอนที่ 5-6 ก็เริ่มรู้สึกน่าเบื่อ เพราะ ‘ไม่เห็นจะมีอะไร’ มิตรภาพที่เริ่มก่อตัวขึ้น..ก็เป็นเรื่องราวโดยทั่วไปของซีรีย์ญี่ปุ่นที่แทบจะขาดไปไม่ได้ ความรักก็กิ๊กๆ ก๊อก ๆ พอเป็นเครื่องเคียงมิใช่เมนูหลัก ตามประสาหนุ่มสาวธรรมดาที่ย่อมมีปิ๊งกันบ้าง แต่ก็ตามธรรมดาของซีรีย์ญี่ปุ่นอีกเช่นกัน หากไม่ใช่แนวความรักโต้งๆ ความรักก็จะไม่ถูกทำให้เห็นเป็นความสำคัญของเรื่อง แต่จากนั้นก็เริ่มเสียน้ำตา ... และดาราคนแรกที่รินน้ำตาให้กับบทดราม่าก็คือ เจ้าวัวตัวนึง จากนั้นก็เป็นเรื่องราวของเด็กหนุ่ม คัทซึยะ อาชิซากิ ลูกชายเจ้าของฟาร์มม้า อาชิซากิ ผู้รอคอยการมาเยือนของนักศึกษาฝึกงานด้วยความตื่นเต้น และสุดจะดีใจเมื่อทาเคชิเพื่อนที่นับถือเหมือนพี่ชายกำลังจะกลับมาเยือนบ้านเกิด ที่ๆ เคยเล่นด้วยกันมาแต่เล็กแต่น้อย ..แต่คัทซึยะ มีความสุขอยู่กับเพื่อนใหม่ๆ และการได้พบกับสาวสวยจากเมืองกรุงได้ไม่นาน ก็มีเหตุให้ต้องจากเมืองแห่งนี้ไป ...



พระเอกของเรื่อง คือ ทาเคชิ ชายหนุ่มลูกเจ้าของฟาร์มโคนม เมื่อเขาได้ทุนไปเรียนเกษตรที่เมืองกรุง ไอ้หนุ่มลูกทุ่งจากเมืองฟาร์มก็กลายเป็นความหวังของชาวบ้าน รอคอยวันที่คนรุ่นใหม่ไฟแรงจะกลับมาเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการพัฒนาถิ่นเกิด แต่น่าเสียดาย ...ไอ้หนุ่ม ดั๊นมีปมในใจที่ทำให้ไม่ปลื้มอาชีพเกษตรกร พอกลับมาถึงก็ประกาศตัวในงานเลี้ยงตอนรับนักศึกษาฝึกงานว่า จะเลิกเรียน จะไปหางานอย่างอื่นทำ จะไม่อยู่ในเมืองแห่งนี้ เพราะมันเป็นเมืองที่ไม่มีอนาคต และจะไม่กลับมาที่นี่อีก ..... ชาวบ้านที่มารอต้อนรับไอ้หนุ่มผู้เป็นความหวัง จึงอ้าปากค้างด้วยความผิดหวังไปตามๆ กัน


เหตุใด ลูกชายเจ้าของฟาร์ม จึงไม่อยากทำฟาร์ม ...


เหตุใด คนรุ่นใหม่ที่เป็นความหวัง เป็นคนที่เกิดและเติบโตมากับผืนดินทุ่งหญ้าแท้ๆ กลับปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยที่จะสืบต่อ


คำถามกินใจจากในเรื่อง


“นี่เป็นบ้านเกิดของเธอนะ นี่ครอบครัวเธอนะ เธอจะไม่สนใจไยดีเลยหรือ”


แต่การปฏิเสธที่ไร้เยื่อใย ก็ใช่ว่าเป็นเพราะแล้งน้ำใจ


ไม่ใช่เพราะเป็นวัวลืมตีนที่เห็นทุ่งคอนกรีตในเมืองกรุงดีกว่าทุ่งหญ้าในบ้านไร่


แต่เพราะมีจิตใจใฝ่สำนึกและรักในผืนแผ่นดินถิ่นเกิดไม่น้อยไปกว่ากัน



อาจต่างมุมมอง ต่างเหตุผล แต่ก็มีวัตถุประสงค์เดียวกันนั่นคือ อยากให้ทุกคนมีความสุข และมีความอยู่ดีกินดี


ขึ้นอยู่กับว่า ความสุขของใครๆ อยู่ตรงไหนกัน..ความสุขของคนเรา มันไม่เท่ากัน ซะด้วย


แล้วพระเอกของเราจะเลือกทางไหน




 


ดังนั้น มิตรภาพ น้ำใสใจจริง และจิตสำนึกรักบ้านเกิด ..


จึงเป็นสาระสำคัญของเรื่องที่ไม่มีทางทำให้ใครต้องรู้สึก “เสียเวลา” ถ้าหามาดู




สำหรับนักแสดง...ที่สาวๆ ให้ความสำคัญกับความเป็นพระเอก (อิฉันด้วย Smiley )ถ้าใครได้เป็นฉากการทำคลอดวัว..Smiley เชื่อเถอะว่า ต่อให้พระเอกที่หน้าตาบ้านๆ ที่ไม่ใช่ สุดหล่อ “ทามาเท็ตสึจัง” คนนี้มาเล่น  คุณก็จะตกหลุมรักพระเอกได้ในทันที เพราะฉากนี้ ..ดูยังไง มันก็เท่ Smiley


ฉากบรรยากาศเรื่องนี้สวยสุดๆ  โดยเฉพาะ อย่างยิ่ง


- ฉากกลางคืนที่ฟ้าดาษดื่นไปด้วยดาว มีต้นไม้หนึ่งต้น โดดเด่นอยู่กลางทุ่งหญ้าโล่ง เพื่อน 6 คน ผลัดกันเล่าเรื่อง คิคุโกะซังกับเจ้าชายร้านขายของชำ เพื่อปลอบประโลมความเศร้าหมองของ คัทซึยะ อาชิซากิ ชายหนุ่มผู้สูญเสีย


- ฉากการอำลาให้กับคัทซึยะผู้จากไป  ในทุ่งทานตะวันสีเหลืองเจิดจ้านั้น ...ถ้าไม่ใช่เพราะพระเอกคมเข้มและมาดเซอร์ขนาดนี้ ... คงดูเป็นกระเทยไปเลยล่ะ  เพราะมันโรแมนติกมากกกกกก






Free TextEditor




 

Create Date : 09 ตุลาคม 2552    
Last Update : 30 พฤศจิกายน 2553 0:41:54 น.
Counter : 3802 Pageviews.  

Stay gold ทอง..อยู่ทีไหนก็เป็นทอง

..Stay Gold   -  สุดแต่ใจจะไขว่คว้า..


ถูกตั้งชื่อเป็นภาษาไทยว่า "สุดแต่ใจจะใฝ่หา"  แต่ชอบคำ  "สุดแต่ใจจะไขว่คว้า" มากกว่าค่ะ ฟังเพราะกว่ากันเยอะเลย ..

นึกถึงละครไทยของเราที่ชื่อนี้นะคะ  เวอร์ชั่นต๊ะ บอยสเก๊าท์ ดูแล้วก็ชอบ ส่วนเวอร์ชั่น น้องอเล็กซ์ ยิ่งชอบ เพราะน้องแต้ว น่ารักจัง

Stay gold เป็นเรื่องราวของเพื่อน 6 คน ที่สนิทสนมกลมเกลียวกันมาตั้งแต่สมัยมัธยม จนโตเป็นหนุ่มสาววัยทำงาน ต่างคนต่างมีความฝัน และพยายามจะก้าวไปคว้าฝันของตัวเอง

แต่ในชีวิตของคนเราจริงๆ  ความฝันกับความเป็นจริงนั้นแตกต่าง แม้ไม่เคยคิดจะยอมแพ้แก่โชคชะตา แต่หากมันถึงที่สุดแล้ว  บางครั้งคนเราก็ต้องยอมทิ้งความฝันเพื่อจะยอมรับความเป็นจริงของชีวิตและมีความสุขกับมันให้ได้ อาจจะฟังดูเจ็บปวด แต่หากได้พยายามจนสุดใจ  ได้ลงมือทำจนสุดกำลัง ทุ่มเทลงไปอย่างเต็มที่แล้วทั้งแรงกายแรงใจ หากแม้ยังไขว่คว้าไม่ได้มา ...ก็ไม่มีอะไรให้ต้องเสียใจ 


และพวกเขาเหล่านี้คือเพื่อนรัก ที่จะรักและช่วยเหลือกันอย่างน่าประทับใจ



เท็ตสึโอะ  (แสดงโดย ฮากิวาระ มาซาโตะ)  พ่อแม่ตายเพราะอุบัติเหตุ น้องสาวช็อคจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และเพราะเด็กหนุ่มคนนึงต้องวุ่นวายอยู่กับการจัดการงานศพ และยังต้องรับภาระดูแลอู่ซ่อมรถ ทำให้ละเลยต่อสภาพจิตใจของน้องสาวไปชั่วขณะ หลงลืมคำสัญญาที่เคยพูดไว้ การที่น้องสาวต้องกลายเป็นโรคกลัวการเข้าสังคม และไม่เคยปริปากพูดอีกเลยนับแต่นั้น เท็ตสึโอะจึงโทษว่าเป็นความผิดของตัวเอง

นอกจากจะต้องรับช่วงต่ออู่ซ่อมรถของพ่อแล้ว ยังต้องดูแลน้องสาวที่ทั้งหวาดกลัวการอยู่คนเดียว  และหวาดกลัวการเข้าใกล้คนอื่น เวลาที่เท็ตสึโอะทำงานซ่อมรถ ณ มุมหนึ่งใกล้ๆ กัน จะมีน้องสาวนั่งถือตุ๊กตาเหม่อลอยอยู่ตรงนั้น น้องสาวที่ไม่สามารถไปโรงเรียนได้ และต้องมีพี่ชายคอยอยู่ใกล้ๆ ตลอดเวลา  สำหรับเท็ตสึโอะเรื่องการเรียนต่อในมหาวิทยาลัย จึงเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ และ ลืมมันไปได้เลย!

ทาเคชิ (แสดงโดย ทาคุยะ คิมูระ)  และ มาโมรุ  เพราะคบคิดกันทำอะไรบางอย่าง จนเกิดเหตุให้ทั้งสองคนถูกพวกนักเลงรุมทำร้ายในคืนที่เพื่อนๆ นัดมาฉลองคริสต์มาสกัน  มาโมรุบาดเจ็บสาหัสและกลายเป็นเจ้าชายนิทรา ส่วนทาเคชิก็หายหน้าไปไม่มาให้เพื่อนๆ พบเห็นอีกเลยนับแต่นั้น   เพราะมาโมรุมีกันอยู่แค่สองคนกับพี่สาว การต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลแบบไม่มีกำหนด จึงกลายเป็นภาระหนักอึ้งที่ผู้หญิงคนนึงต้องแบกรับไว้  แต่ทาเคชิก็ไม่ได้ทอดทิ้งไปไหน  แม้จะไม่กล้าสู้หน้าใคร แต่ก็ยังแอบมาเยี่ยมมาโมรุที่โรงพยาบาลตอนดึกๆ ลำพังคนเดียวเสมอ  และทุกครั้งก็จะจากไปพร้อมกับเงินที่วางไว้บนโต๊ะข้างเตียง นอกจากพี่สาวของมาโมรุแล้ว ในกลุ่มเพื่อนไม่มีใครรู้ความจริงเรื่องนี้

 คาโอรุ  (แสดงโดย สุซุกิ อันจู ) สาวสวยจิตใจดี ที่เพื่อนชายทุกคนแอบชอบ  แต่เป็นที่รู้กันว่าคนที่คาโอรุมีใจให้เกินกว่าความเป็นเพื่อนคือทาเคชิ  เมื่อทาเคชิหายไปประกอบกับคาโอรุก็ใฝ่ฝันจะมีชีวิตที่ดี มีบ้านหลังใหญ่ มีฐานะทางการเงินที่มั่นคงให้อยู่อย่างสุขสบาย คาโอรุจึงไม่ลังเลที่จะรอคอย แต่เลือกที่จะมองหาผู้ชายดีๆ และตัดสินใจที่จะแต่งงาน

เรียวโกะ
: (แสดงโดย ฟุคัตสึ เอริ หรือ ฟูกะจัง นางเอกเรื่อง Change เรื่องนี้หน้าตาบ๊องแบ๊วน่ารักมากเลย ) ครอบครัวของเรียวโกะมีฐานะร่ำรวย จึงมีเส้นสายฝากฝังลูกสาวให้ได้ทำงานในบริษัทสินเชื่อที่ใหญ่โตมีชื่อเสียง  แต่สาวร่าเริงสดใสอย่างเรียวโกะกลับใฝ่ฝันอยากจะเป็นนักแสดง และไม่ย่อท้อที่จะวิ่งไล่ตามความฝันของตัวเอง 

เคย์สุเกะ (แสดงโดยทาเคดะ ชินจิ) ผู้ชายที่ฝันจะเป็นหมอให้ได้เหมือนพ่อ  แต่สอบแล้วตก สอบแล้วก็ตก ติดต่อกันมา 4 ปีซ้อน ก็ยังไม่ยอมละความพยายาม  และสถานที่ๆ เคย์สุเกะชอบแวะเวียนไปอย่างที่สุด ก็คือ อู่ซ่อมรถของเท็ตสึโอะ  ด้วยเหตุผลเดียวกับที่เรียวโกะก็ชอบใช้คือ “มันเป็นทางผ่าน” 

สาเหตุหนึ่งที่ยิ่งนานวันก็ยิ่งชอบซีรีย์ญี่ปุ่นอย่างมากมาย  ก็เพราะได้ดูละครแล้วย้อนมาดูตัวอยู่หลายต่อหลายครั้ง หลายเรื่องที่ให้กำลังใจฮึดสู้ หลายเรื่องที่ทำให้เห็นมุมมองบางอย่างที่ช่วยปรับให้หูตา-ทัศนคติกว้างขึ้น และอีกหลายเรื่องก็เตือนให้สำนึกได้ว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมาใช้ชีวิตอย่างสิ้นเปลืองมาอย่างไร อะไรที่ยังขาด อะไรที่ควรเติม และอะไรที่หลงลืมให้ความสำคัญไป และสุดท้ายอะไรที่ควรใส่ใจให้มากกว่านี้  วัตถุประสงค์ของการดูละครก็เพื่อความบันเทิง บางครั้งก็เอาหูไปกระทบคำพูดคนอื่นว่า  ละครเรื่องนั้น เรื่องนี้เหรอ  ดูกันได้ไง  ปัญญาอ่อน! ( อ้าว! กำลังติดอยู่ซะด้วย 555 )  บางทีก็ว่ามันเน่าบ้างล่ะ ไร้สาระบ้างล่ะ  แต่ก็นั่นแหละค่ะ ไม่ใช่ไม่เห็นด้วย แต่เป็นคนชอบดูละคร ก็ดูได้สิ  ”ดูแบบไม่ต้องคิดอะไร” อันไหนที่มันแสดงออกมาเกินจริตผิดปกติมนุษย์มนา ก็ทำใจซะว่ามันเป็นละคร  มันก็มีสาระดีๆ บ้างแหละน่า ถ้ามองในแง่ดี อย่างละครไทยบ้านเรา การที่ตัวอิจฉาโรคจิตผู้มีเส้นเสียงโคตะระแข็งแรงเนื่องจากสามารถกรี๊ดวีนแตกกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ได้ตลอดเรื่อง แต่ดันเกิดเส้นสติบอบบางจนเกิดแตกเอาง่ายๆเมื่อพระเอกนางเอกเค้าลงเอยกันในตอนท้ายกลายเป็นบ้าเข้าโรงพยาบาลประสาทไป และดาราที่ถูกถามความคิดเห็นเกี่ยวกับแง่คิดที่ได้จากละครที่ตัวเองแสดง มักจะตอบว่า.. ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว 

ส่วนทางญี่ปุ่นก็จะออกแนว สู้แล้วต้องชนะ สู้เพื่อฝันก็ได้อย่างฝัน  แต่ในความเป็นจริงมันไม่เป็นอย่างนั้นเสมอไปหรอกนะคะ 

 อย่างแรกแบบละครไทยก็สนุกดี (เฉพาะบางเรื่อง) อย่างหลังแบบละครญี่ปุ่นก็ให้กำลังใจดี

เมี่อก่อนไม่ค่อยพบเจอละครแนวนี้มากนัก (หมายถึง ละครที่ไม่ได้ดำเนินเรื่องด้วยชีวิตรักหวานโรแมนติก รักเคียดแค้นแบบรักไปเกลียดไป ก่นด่ากันไป หรือรักอันระทมทุกข์ขมขื่นเพราะต่างชนชั้นจนว่าที่พ่อตาแม่สามี ตลอดจนญาติโยมดงผู้ดีพากันอกโรงมากีดกันขัดขวาง หรือให้รันทดกว่านี้ก็มีความตายจากโรคร้ายมาแทรก และมักจะโผล่มาตอนใกล้จบที่กำลังจะแฮปปี้เอนดิ้งแบบว่า ทำเอาเราเสียอารมณ์ ที่ดูมาแต่ต้นจนจะจบอยู่แล้ว มันเสียเวลาทำมาหากินจริงๆ )  ...จนกระทั่งหันมาดูละครของญี่ปุ่นในต้นปีที่ผ่านมานี่แหละค่ะ ที่ทำให้ได้รู้ว่า มีละครมากมายหลายเรื่องที่ดำเนินเรื่องด้วยความรัก ‘แนวอื่น’ แล้วสามารถก่อให้เกิดความซาบซึ้งตรึงใจได้


สำหรับ Stay gold อาจไม่ได้ถึงขั้นว่าเป็นเรื่องดีเยี่ยม  แต่มันก็ต้องยอมรับว่ามันดีจริงๆ  เพราะเราจะได้เห็นตัวละคร 6 คน ที่..

ต่างคน   ต่างนิสัย  ต่างบุคลิก และต่างความใฝ่ฝัน  แต่ดูเหมือนว่า ทุกคนจะมีหัวใจเดียวกันนั่นคือ หัวใจของนักสู้ผู้ไม่แพ้...ถ้าจะมีบางคนที่แพ้ ก็ได้ชื่อว่าแพ้อย่างชนะหัวใจคนดู

ต่างคนต่างก็มีเรื่องของตัวเอง มีอุปสรรคปัญหาให้ต้องฝ่าฟัน  โดยมี ความรักเป็นแรงผลักดัน นั่นคือ รักในความฝันของตัวเอง รักที่จะห่วงใยดูแลกันและกัน ......แต่อย่าเพิ่งคิดนะคะว่าทุกอย่างมันสะสวยงาม

บนเส้นทางฝันย่อมมีขวากหนามคอยทิ่มเกี่ยว  

ในหัวใจของนักสู้ย่อมต้องเรียนรู้ที่จะแพ้และยอมรับมันให้ได้

ในความสัมพันธ์ย่อมมีความบาดหมาง ขัดแย้งทะเลาะกัน ความผูกพันไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ เพียงรอยยิ้มจากความรักใคร่กลมเกลียว แต่ความผูกพันบ่มเพาะมาจากหยาดน้ำตาของความผิดพลาดและการเรียนรู้ให้อภัย

และการให้อภัยที่ยากที่สุด ยากกว่าการให้อภัยคนอื่น ก็คือการให้อภัยตัวเอง


สิ่งที่จะได้เห็นโดยไม่ต้องมองหา จากละครเรื่องนี้


การอยากทำในสิ่งที่รัก และการรักในสิ่งที่ทำ .. อาจให้ความสุขได้เหมือนกัน แต่หนทางยากง่ายมันต่างกัน  เท็ตสึโอะที่ไม่ต้องเริ่มต้นจากศูนย์ เพราะอู่ซ่อมรถแม้จะมีปัญหาสะสมมาไม่น้อย แต่ยังไงมันก็เป็นรูปเป็นร่างเป็นอู่อยู่แล้ว แต่คนเราเวลาได้อะไรมาโดยไม่ทันเริ่มพยายาม มักจะไม่ค่อยเห็นความสำคัญ จนเผลอคิดไปว่าไม่ได้รักไม่ได้ชอบมัน เท็ตสึโอะที่ลืมตาเกิดมาเห็นแต่อู่ซ่อมรถจึงยัง "มีอย่างอื่นที่อยากทำ" แต่อยากจะทำอะไร คำตอบคือ "ยังไม่รู้"

ความรับผิดชอบ   ซึ่งจะเห็นได้ ทั้งจากทาเคชิและเท็ตสึโอะ   แม้จะมีโรงเรียน ‘เด็กพิเศษ’ เป็นหนทางเลือก ที่จะส่งน้องสาวไปให้พ้นจากภาระการดูแล แต่เท็ตสึโอะก็ไม่ยอมปล่อยมือจากน้องสาวตัวเองง่ายๆ ทำให้นึกถึงพระเอกเรื่องร้านดอกไม้ไร้กุหลาบกับคำพูดที่ว่า "เป็นคนที่ไม่เคยปล่อยมือใคร"

 ส่วนทาเคชิ  สิ่งที่เกิดขึ้นกับมาโมรุ .. จะถือว่าไม่ใช่ความผิดของตัวเองก็ได้ จะใช้ชีวิตอย่างปกติซะก็คงไม่แปลก  แต่ทาเคชิก็เลือกจะรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้นกับมาโมรุจนสุดแรงกำลัง ทำงานทุกอย่างที่ทำแล้วได้เงินมาด้วยหนทางที่สุจริต ถึงอยากได้เงินเยอะๆ ก็ไม่เสี่ยงทำเรื่องผิดกฎหมาย เพราะถ้ามาโมรุยังต้องรักษา ยังไม่มีชีวิตที่ฟื้นขึ้นมาเป็นปกติ ชีวิตของทาเคชิจะมีอันเป็นไป ไม่ว่าจะติดคุก บาดเจ็บหรือตาย ไม่ได้เด็ดขาด!    

ความเพียรพยายาม  ความพยายามอยู่ที่ไหน ความพยายามก็ยังอยู่ที่นั่นต่อไป พยายามแล้วพยายามอีกก็ยังไม่สำเร็จอย่างเคย์สุเกะ  ในชีวิตคนจริงๆ มันก็มีนะคนอย่างนั้น  ล้มเหลวแต่ละครั้งมันก็เจ็บ ไม่อายคนอื่นก็อายตัวเอง  แต่ก็ยังสู้แล้วสู้อีก ....ในชีวิตจริงของคนจำพวกนั้น ช่างไปเอาเรี่ยวแรงจากไหนมาสู้กัน  และเคย์สุเกะก็เป็นตัวอย่างนึงของชีวิตคนเราว่า หากอะไรมันย่ำแย่จนถึงขีดสุด ... จิตใจฝ่ายอธรรมจะเริ่มเปิดเผยหนทางลัดไปสู่จุดหมายที่สั้นกว่าและง่ายกว่า...ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนแล้ว ว่าจะปล่อยให้มันเข้าครอบงำหรือจะยืนหยัดบนหนทางที่ถูกต้อง(ที่ยังมองไม่เห็นจุดหมาย)ต่อไป ...ดูไปก็คิดเหนื่อยใจแทน แค่สอบเข้าก็ลำบากแล้ว ถ้าสอบติดมันไม่ยิ่งยากลำบากในการเรียนยิ่งกว่าเดิมเหรอ เลยลุ้นให้เคย์สุเกะยอมแพ้ตั้งแต่ต้นเรื่องมาแล้ว  แต่หมอนี่ก็ไม่ยักกะยอมแพ้สักที

การให้ความสำคัญกับคุณค่าของชีวิต  คาโอรุผู้ตามหาความหมายของความสุขที่แท้จริง  ความสุขเกิดจากใจหรือเกิดจากเงินตรา ....คำถามของคาโอรุคือ  .... มันผิดด้วยหรือที่คนเราอยากจะมีชีวิตดีๆ และมีความสุข ? มันก็ไม่ผิดหรอก ... แต่บางทีถ้าให้ความสุขตอบแทนไปได้น้อยกว่าความสุขที่ได้รับมา... มันก็ไม่ยุติธรรมสำหรับอีกคน ใช่ไหมล่ะ  

ส่วนเรียวโกะ . .. เป็นตัวอย่างของคนที่ .. บางครั้งความฝันที่ใฝ่หามาทั้งชีวิตก็มีโอกาสมารอให้คว้าอยู่แล้วตรงหน้า ... แต่ดันมีสิ่งอื่นที่ไม่ได้คาดคิดเข้ามาในชีวิตอย่างง่ายๆ และถ้าคิดจะกำจัดออกไปก็ไม่ยากนัก เพราะบางครั้งสิ่งที่ควรให้ความสำคัญ มันอาจจะไม่สำคัญก็ได้ ขึ้นอยู่กับแต่ละคนจะให้คุณค่าแก่สิ่งนั้นๆ อย่างไร  สุดท้ายเรียวโกะก็ต้องตัดสินใจเลือกเหมือนกัน

 ซีรีย์เรื่องนี้ทำให้ประทับใจในความเป็นเพื่อน ที่ดูแล และช่วยเหลือกัน   เคย์สุเกะเป็นชายหนุ่มเรียบร้อยที่มักแวะมาที่อู่ซ่อมรถให้คนห่ามๆ อย่างเท็ตสึโอะคอยโดดเตะ ตบหัว และด่าว่าอยู่เสมอ แต่เคย์สุเกะก็ไม่ถือสาและไม่เคยคิดแม้แต่จะสะบัดฝ่ามือตอบ เพราะรู้เพื่อนรักดอกจึงหยอกเล่น..เรียวโกะก็มักจะโผล่มาทักทายพูดคุยกับเท็ตสึโอะที่อู่ ถ้าเพื่อนมีความคิดไม่เห็นด้วยกับเรื่องอะไรก็จะทำหน้าจ๋อยๆไปนิด  ส่วนคาโอรุก็เป็นเพื่อนผู้แสนดีกับทุกคน และแต่ละคนก็จะชอบแอบไประบายความทุกข์กับมาโมรุผู้นอนป่วยเป็นผักไม่รู้สึกรู้สาอะไร ส่วนที่ชอบมากเป็นพิเศษคือความเป็นเพื่อนห่ามๆ ระหว่าง  เท็ตสึโอะ และ ทาเคชิ  ที่เหมือนจะไม่ค่อยลงรอยกันตลอดเวลา แต่เป็นคนที่รู้ใจ และเข้าใจกันและกันมากที่สุด  ประมาณว่ามองตาก็เข้าใจ  และการปรับความเข้าใจด้วยกำปั้นจะสื่อกันเข้าใจได้ดีกว่าคำพูด

ละครเค้าทำดีนะคะ  มีหลายอย่างที่เราคิดถึงมัน โดยที่ตัวละครไม่ได้พูดออกมา  อย่างเช่น


   ในเนื้อหาละครไม่ได้มีคำพูดใดที่บ่งบอกว่าทำไมทาเคชิ ถึงไม่ยอมกลับมาพบเพื่อนๆ อีกเลย  แต่มันทำให้เราเข้าใจได้ มันตอบคำถามที่ทาเคชิไม่เคยตอบเพื่อนๆ ว่า"ทำไม"  เราจึงตอบให้อย่างนี้ว่า  ..มันเหมือนกับ ถ้ามาโมรุตื่นขึ้นมายิ้มหัวเราะกับเพื่อนๆ ไม่ได้ ทาเคชิก็ไม่สมควรได้รับความสุขเหล่านั้นเช่นกัน พอคิดอย่างนั้นมันช่างเป็นความรับผิดชอบที่กินใจซะจริง
 

หรือตอนที่เคย์สุเกะกำลังเสียใจกับตัวเอง และมาปรึกษากับเท็ตสึโอะซึ่งคนห่ามๆ เวลาไม่เห็นด้วยกับอะไรก็จะพูดจาห่ามๆ ซะตรงเผงออกมา ตอนที่เคย์สุเกะโกรธและบอกว่า  “คนอย่างนายจะมาเข้าใจอะไร  จะมาเข้าใจคนที่สอบตกซ้ำซากมา 4 ปีอย่างฉันได้ยังไง”  สีหน้าของเท็ตสึโอะที่เหมือนโดนอะไรกระทบใจ มันทำให้หัวแว่บ(แอบเถียง)ขึ้นทันที นั่นคือ .... อย่าว่าแต่สอบเลย เท็ตสึโอะ ..ไม่มีโอกาสแม้แต่จะคิดเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยมหาวิทยาลัยเหมือนที่เพื่อนๆ ได้เรียน .. ถึงจะสอบตกเคย์สุเกะก็มีเป้าหมายรู้ว่าตัวเองอยากทำอะไร แต่เท็ตสึโอะต้องทำงานหนักอยู่ในอู่ซ่อมรถไม่มีเวลาแม้แต่จะคิดถึงสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำจริงๆ ด้วยซ้ำ... อินราวกับเป็นเรื่องของตัวเอง ชิงโต้ตอบทางความคิดทั้งที่ตัวละครไม่ได้พูดอะไร 555  สาเหตุแห่งการเสียน้ำตาให้ละครง่าย เป็นเช่นนี้แล  

เหนือสิ่งอื่นใด ละครเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่เห็นว่า  มีคนอื่นอยู่ในบทบาทที่โดดเด่นกว่าทาคุยะ  แถมยังชอบบทบาทนั้นมากกว่าบทของทาคุยะด้วย  เลยทำให้ตื่นเต้นเล็กน้อยที่มีคนเขย่าบรรลังก์พระเอกในดวงใจได้โดยไม่ต้องอาศัยความหล่อใดแม้แต่น้อยนิด (เพราะไม่มี)     ซึ่งก็คือ "เท็ตสึโอะ" เถ้าแก่น้อยอู่ซ่อมรถที่เป็นศูนย์กลางของเพื่อนๆ ต้องคอยรับมือกับปัญหาของตัวเองและคอยรับฟังปัญหาของคนอื่นๆ บางครั้งก็อดไม่ได้ต้องยื่นมือเข้าไปช่วยจัดการและก็เจอเพื่อนโกรธเอาทุกที เพราะความโผงผางตรงไปตรงมาของเท็ตสึโอะนั่นเอง แต่ปากไม่ตรงกับใจอยู่อย่างหนึ่งก็คือ ทำเป็นลั่นวาจาถึงเรื่องขอทาเคชิว่า "จะไม่มีวันให้อภัย" แต่สุดท้ายก็ตัวเองนั่นแหละที่มุ่งมั่นกว่าใครเพื่อนที่จะพาเคชิกลับมาให้ได้ น่ารักซะจริงๆ


Stay Gold   แปลว่า  “ทำตัวให้มีค่า”  ... เพราะทองที่มีค่า  อยู่ที่ไหนก็มีค่า

คนมีค่าก็เช่นเดียวกัน






 

Create Date : 06 ตุลาคม 2552    
Last Update : 30 พฤศจิกายน 2553 0:42:07 น.
Counter : 4157 Pageviews.  

Long Love Letter - ละครเพื่อลดภาวะโลกร้อน




Long love letter .. มหัศจรรย์รักทะลุมิติ  ...

แค่ชื่อเรื่องก็ทำใจลำบากแล้ว

อ่านเรื่องย่อในเน็ตผ่านตากี่รอบ ก็ไม่เคยให้ความสนใจมาก่อน

แผ่นดินไหว แล้วเกิดมีแผ่นดินส่วนหนึ่งยุบตัวทะลุไปอีกมิติหนึ่งในโลกอนาคต ... คิดดูแล้วไม่ใช่แนว แต่ตอนเลือก Operation Love นั่นก็ไม่แนวเหมือนกัน แต่เพราะยามะพีถึงเลือกมาดู และพอดูแล้วก็เศร้าซึ้งสุข ถูกใจซะมากมาย บางทีเรื่องนี้อาจจะดีเหมือนกัน

และหลังจากเคยดูเรื่อง IWGP และทำให้ตกหลุมรักหน้าตามึนๆ กวนๆ และ ประสาทแดก! ของ “โยสุเกะ” ในบท “ทาเคชิ” หัวหน้าแกงค์ G-Boys แล้วก็ไม่เห็นเฮียแกจากเรื่องไหนอีกเลย พอรู้ว่าแสดงเป็นพระเอกเรื่องนี้ จึงไม่ต้องคิดอะไรมาก ... อยากดู โยสุเกะเหรอ จัดไป.... หากที่สุดแล้วจะไม่รู้สึกดีกับเนื้อเรื่องนัก การได้ดูหน้าตามึนๆ ของพระเอกก็ยังถือว่าคุ้ม


เรื่องย่อ.แห่งรักทะลุมิติ




เปิดฉากด้วยการพบกันของอาคิโอะ อาซามิ (แสดงโดย โยสุเกะ คุโบซึกะ) กับยูกะ มิซากิ (แสดงโดย ทาคาโกะ โทคิวะ นางเอกเรื่อง Beautiful life) ลูกสาวเจ้าของร้านขายดอกไม้แห่งหนึ่งชื่อว่า “Shigeo Flower’s shop” และนั่นก็เป็นรักแรกพบ เพราะพวกเขาตกหลุมรักกันและกัน



หลังจากเดทแรก อาซามิก็มานั่งจดจ้องเบอร์โทรศัพท์ของสาวเจ้าอย่างมีความสุข (ก็มันดีใจ ที่ได้เบอร์มานี่หว่า) ก่อนจะวางโทรศัพท์ลงในกระเป๋าข้างตัวแล้วนั่งทอดอารมณ์อมยิ้มอยู่คนเดียว ...(มันช่างมีความสุขจริงๆ เล้ย..)

แต่หากจะว่ากันด้วย “อดีตที่ส่งผลถึงปัจจุบัน” และ “ความสำคัญของเวลา” อาซามิก็ทำพลาดไปซะแล้ว เพราะดันไปตกหลุมพรางของยัยป้าคนหนึ่งที่มาหลอกทำใจดีด้วยการหยิบยื่นถุงมันทอดอามากูริส่งให้ แล้วก็จากไปพร้อมกับโทรศัพท์มือถือของอาซามิ อะไรมันจะซวยปานนั้น โทรศัพท์หายมันไม่เท่าไหร่ แต่เบอร์สาวหายไปนี่สิมันทำใจลำบาก ถึงจะจำเลขสี่ตัวแรกได้ แต่ไอ้สี่ตัวหลังต่อให้นั่งกุมขมับคิดแล้วคิดอีก เดาแล้วเดาอีก มันก็จนปัญญาจริงๆ เฟ้ย

******



ในชั่วโมง Home room ของอาจารย์อาคิโอะ อาซามิ


อาซามิ : “แล้วไงน่ะเหรอ ทุกอย่างก็ยังมืดแปดด้าน”
นักเรียนหญิง : “เธอไม่โทรมาเลยหรือคะ”
อาซามิ : “ อืม .. นี่มันผ่านมาได้เกือบปีแล้วนะ ครูพยายามหาเหตุผลมาอธิบายกับตัวเอง บางทีเธออาจจะทำมือถือตกน้ำ หรือไม่ก็ถูกขโมยโทรศัพท์แล้วไม่มีเงินซื้อใหม่ หรือไม่เธอก็ไม่อยากเจอครูอีก”
นักเรียนที่หลับคนนึง งัวเงียขึ้นมาสะกิดเพื่อน ....

กรี๊ด ยามะพี เล่นเรื่องนี้ด้วย เซอร์ไพรส์มากเพราะไม่รู้มาก่อนเลย ยิงปืน(ซื้อซีรีย์)เรื่องเดียว ได้นกสองตัว(พระเอก 2 คน)

ยามะพี : “นี่” ....
เพื่อน : “หือ ?”
ยามะพี : “อาจารย์สอนเลขเหรอ”
เพื่อน : “เปล่า .. แนะแนว”

อาซามิ ตบโต๊ะยืนขึ้น : “เอาล่ะทุกคน นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า”
นักเรียนหญิง : “เราควรก๊อบเปอร์ในซิมลงในโน้ตบุคให้หมดเผื่อโทรศัพท์หาย”
อาซามิ : “ส่ายหน้า ไม่ใช่”
นักเรียนหญิง : “นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา”
อาซามิบอก : “ยังไม่ถูก”
นักเรียนหญิง : “อาจารย์แต่งเรื่องนี้มาหลอกพวกเราใช่ไหม”
อาซามิ : “นี่เป็นเรื่องจริง 100% ไม่ได้ฟังที่ครูพูดตั้งแต่แรกล่ะสิ”
นักเรียนชาย : “ไม่มีใครฟังหรอกอาจารย์”

ขณะนั้น ยามะพี หลับคาโต๊ะต่อไป

นักเรียนชาย : “น่าเบื่อจะตายหมดเวลาแล้วด้วย"
อาซามิหันหน้าเข้ากระดาน ( ตูไม่สนเฟ้ย ตูจะสอน) หยิบชลอ์คขึ้นมาขีดเขียนเส้นบนกระดาน :
“ สิ่งที่ครูต้องการบอกพวกเธอก็คือ ....”
เขียนชอล์คลงบนกระดานปัดๆๆๆ
นักเรียนชายอ่าน ทำหน้าสงสัย : “ อดีตที่ส่งผลถึงปัจจุบัน อะไรวะ”
นักเรียนชายอีกคน : “ฉันรู้ๆๆๆๆ ชาติโน้น ชาตินี้ ชาตินั้น ใช่มั้ยครับ” หันไปถามอาจารย์
อาซามิ พยักหน้า : “ดีมาก แต่ผิด!” หันหน้าเข้าหากระดานเขียนต่อ “ฟังครูอธิบายนะ”
นักเรียนชาย เริ่มสนใจ นักเรียนหญิงเริ่มเรียกร้องความสนใจ “ไม่เห็นเข้าใจเลยค่ะ”
อาซามิหันกลับมา: “ยังไม่ได้อธิบายเลยนี่แม่คุณ (ชักจะหมดความอดทนแล้วนะเฟ้ย) “ฟังดีๆ นะ”

หันหน้าเข้าหากระดาน..เขียนต่อ
“สมมติว่าเรามีชีวิตอยู่ในมิติปัจจุบัน ซึ่งแทนค่าด้วยแกน X, Y แล้วก็ Z”
หูอาซามิได้ยินเสียงเคี้ยวเอื้องกร๊วบๆ
“ห้ามกินขนมในห้องเรียน” อาซามิเตือนโดยไม่หันหน้ากลับมา อธิบายต่อ
“แต่มิติของจักรวาล ซึ่งมีอะไรซับซ้อนมากมาย ครูจะแทนค่าด้วยแกน X , Y แล้วก็ Z ส่วนนี่ครูจะแทนด้วย X ใหญ่”
อาซามิลากเส้น แกน X แกน Y บนกระดาน
นักเรียนชาย ขัดจังหวะด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “แบบนี้อีกละ!”
อาซามิหันกลับมาหน้าตาแปลกใจ (อะไรกันอีกล่ะวะ)
นักเรียนชายอีกคนบ่น “เอะอะอะไรก็ใช้ X ใหญ่อยู่เรื่อย ใช้อย่างอื่นไม่ได้เหรอ เช่นเครื่องหมายตกกะใจ ไม่ก็เควสชั่นมาร์คตัวใหญ่ๆ น่ะ”

ยามะพีงัวเงียเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง ประมาณว่าคุยเรื่องอะไรกันเหรอ หนวกหูจริงวุ้ย คนจะนอน

อาซามิ พยักหน้าแบบขอไปที
“เอาสิ ก็ได้ เราจะใช้เควสชั่นมาร์คตัวใหญ่ๆ แทน X” อาซามิเขียนเควสชั่นมาร์คทับลงไปบนตัว X ใหญ่
ยามะพี สะกิดๆ เพื่อน : “นี่ ..อาจารย์สอนเลขเหรอ”
เพื่อน : “ไม่ใช่ อาจารย์แค่แนะแนว”
มะพีจึงพยักหน้า งัวเงียขึ้นมาฟัง

อาซามิอธิบายต่อ “เส้นที่ยาวที่สุดนี่ ก็คือชีวิตในปัจจุบันของพวกเรา ลากยาวผ่านมานี่ เวลาบนโลกของเราครูจะแทนด้วยแกน T เส้นนี้ อย่างนี้ จะเห็นว่าทั้งสองแกนตัดกันที่จุดนี้”

เหล่านักเรียน ทำหน้างุนงงสงสัย บ้างก็ฟังอย่างตั้งใจอยากรู้ บางคนก็ยังคงแอบงาบขนม



อาซามิ เน้นจุดตัดของเส้นด้วยวงกลม
“ตรงนี้ ซึ่งก็คือช่วงเวลาปัจจุบันของเรา เน้นอีกที จุดนี้เป็นจุดตัดระหว่าง 2 แกนนี่ แต่ก็แค่ช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น”
ยามะพีหาว เพื่อนอีกคนสีหน้าหงุดหงิดดูนาฬิกาข้อมือ
อาซามิ ยังคงลากอีกเส้น
“ถ้าเวลาผ่านไปเราก็จะมาอยู่ตรงจุดนี้ ต่างกันเพียงแค่เสี้ยววินาที ทุกอย่างก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว”
ยามะพี ที่ยังคงหน้าตาง่วงงุนอยู่ ถามเพื่อน “นี่.. อาจารย์สอนเลขอยู่ไม่ใช่เหรอ”
เพื่อน พยักหน้า “เออๆ เลขก็เลข”

อาซามิอธิบายต่อ “ดังนั้น ณ จุดนี้ ...”
เคาะกระดานปึกๆ ตรงจุดที่ว่า “ระยะเวลาเพียงแค่เสี้ยววินาที เพราะครูมัวแต่อืดอาดเลยถูกขโมยโทรศัพท์ไป ถ้าวันนั้นครูไม่มัวแต่ยึกยัก พูดมันออกไป แค่ถามเธอเล่นๆ คราวหน้าเราจะเจอกันที่ไหนดี หรืออาจบอกเธอไปเลย ผมชอบคุณ”

ยามะพี ทำหน้ายุ่งใส่เพื่อน “นี่ไม่ใช่เลขสักหน่อย” (เอ็งมั่วนี่หว่า) บิดขี้เกียจ
เพื่อนรำคาญไอ้ง่วงนี่เต็มแก่ : “นั่นน่ะสิ” ( ตูก็บอกแต่แรกแล้วไงว่า อาจารย์ ...แนะแนว)
นักเรียนชาย : “ฮ่วย กลับบ้านดีกว่า น่าเบื่อจะตาย”
มะพี : “นั่นสิ” เพราะเห็นด้วยจึงลุกขึ้น เพื่อนจึงลุกด้วย “หิวจะตายอยู่แล้ว เสียเวลา!”

อาซามิ : "โอโตโมะ (ชื่อของยามะพี) แล้วก็ทุกๆ คน พวกเธอห้ามไปไหนทั้งนั้น”

ทาคามัตสึ (เพื่อนสนิทของยามะพี)กำลังจะเดินผ่านหน้าอาจารย์อาซามิออกจากห้อง
“ทาคามัตสึ หยุดเดี๋ยวนี้!” อาซามิสั่งนักเรียน (ฉุนแล้วนะเฟ้ย...) วางชอร์คลงบนโต๊ะ ยืดอกตรงกอดอกหน้าประตู
“มายืนนี่” ชี้จุดยืน ทาคามัตสึเข้าไปยืนตรงจุดที่อาจารย์ชี้อย่างไม่เต็มใจนัก
“ฉันอยากจูบนาย” อาซามิบอก
ทาคามัตสึ ทำหน้าตกใจ “หะ! ว่าไงนะ”

อาซามิยื่นหน้าไปจูจุ๊บนักเรียนชายทันที ทาคามัตสึช็อก!
ตะคอกใส่อาจารย์ด้วยความโกรธ “อยากมีเรื่องหรือไง”
อาซามิยืนกอดอกถามทาคามัตสึ “นายรู้มาก่อนรึเปล่าว่านายจะถูกจูบปาก”
นักเรียนร่วมชั้นทำหน้าเหวอ คนที่กำลังจะเดินออกไป หยุดยืนอยู่หน้าประตู
ยามะพีทำสีหน้าหยะแหยง รับไม่ได้ต่อการกระทำของอาจารย์
“ใครจะไปรู้เล่า” ทาคามัตสึตะโกนใส่หน้า
อาซามิ : “ก็นั่นน่ะสิ แต่มันจะเป็นเรื่องที่นายจะจดจำไปอีกนาน ไม่ว่านานแค่ไหน นายจะไม่มีวันลืมเหตุการณ์ในวันนี้”
ทาคามัตสึยังเช็ดริมฝีปากมือไม้สั่น “บ้าไปแล้วหรือไง” ทาคามัตสึโกรธมาก

อาซามิที่ยังคงเมามันส์กับการสอน(แนะแนว)อยู่ ใช้มือตบบ่าสองข้างของนักเรียนชายทาคามัตสึ ก้มหน้าลงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“แต่นายจำไว้อย่างนะ “
หันหน้าเข้าหาเส้นลากและจุดตัดบนกระดาน
“ทุกสิ่งทุกอย่างที่นายทำไปตอนนี้” เคาะกระดาน “มันจะส่งผลไปถึงอนาคตของนาย”

สีหน้าทาคามัตสึบ่งบอกว่าไม่ได้เข้าใจเรื่องที่อาจารย์กำลังพูดอยู่นัก “อนาคตเหรอ?”
อาซามิ : “ใช่ ... อนาคต ทุกวินาทีมีค่าเสมอ ทุกลมหายใจ ทุกนาที เพราะฉะนั้น…”
อาซามิเดินไปเคาะตรงจุดที่เขียนไว้ว่า
“อดีตส่งผลถึงปัจจุบัน ใช้ทุกวินาทีให้คุ้มค่า ชีวิตคนเราสั้นเพียงแค่พริบตา การกระทำของเราในวันนี้ส่งผลไปถึงภายภาคหน้า”
ทาคามัตสึยังเหวออยู่ แต่ก็เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรในใจ
อาซามิยังคงพร่ำ “ครูอยากให้ทุกคนจำที่ครูพูดเอาไว้ให้ดีก็แล้วกัน เพราะฉะนั้นนับจากวันนี้ ขอให้พวกเราทำปัจจุบันให้ดีที่สุด เพราะเพียงแค่เสี้ยววินาที ...”

อาซามิยังพูดไม่ทันจบ. ทาคามัตสึกำหมัด แล้วพุ่งเข้าใส่อาจารย์ แต่พลาด อาซามิตกใจร้อง "โฮ่ยๆ"
แต่พอหลบได้ก็บอก “ไม่เลวนี่!”
“ไม่ได้เอาคือนอาจารย์ตอนนี้ ผมก็จำไม่ลืมเหมือนกัน” ดูเหมือนว่าทาคามัตสึจะเข้าใจเรื่องที่อาซามิกำลังสอนอยู่เป็นอย่างดี ทาคามัตสึเดินเข้าไปหากำคอเสื้ออาซามิแน่น
อาซามิใช้มือดันไหล่ไว้ “นายก็หัวไวดีนี่ เข้าใจที่ฉันสอนแล้วสิ ดีมาก “ ดันทาคามัตสึไปนั่งเก้าอี้
“เอาล่ะทุกคน โชคดีแล้วกัน เจอกันปีหน้า 2002”
จบชั่วโมงโฮมรูม

นั่นคือ 1 ปีต่อมา...ที่อาซามิได้หยิบยกประสบการณ์ของตัวเองมาเป็นตัวอย่างสอนนักเรียนให้เห็นถึง “ความสำคัญของเวลา”



อยู่มาวันนึง โชคชะตาก็เป็นใจอีกครั้ง เมื่อยูกะที่ยังคงทำงานในร้านดอกไม้ของพ่อเธอ และได้ไปส่งดอกไม้ให้นักเรียนชายคนนึงชื่อ โอโตโมะ (ยามะพี) และคนที่สั่งดอกไม้มาเพื่อหวังเคลมโอโตโมะ นักเรียนหนุ่มหล่อขวัญใจสาวๆ ในโรงเรียน ก็คือ อาจารย์เซกิยะ ที่ยูกะต้องไปเรียกเก็บเงิน

แต่น่าเสียดายที่โชคชะตามักมาผิดที่ผิดเวลา

ที่โรงเรียนโมโตคุระ โยโกฮ่าม่า อาซามิจึงได้พบกับยูกะในสถานการณ์ที่ตัวเองดูย่ำแย่อย่างที่สุด!
และเพราะความฉุนจัดที่ไม่ว่าจะพยายามชี้แจงสถานการณ์ยังไงก็ยังคงเป็นแค่คำแก้ตัวที่ฟังไม่ขึ้นอยู่ดี
อาซามิจึงเผลอหลุดปาก
“ชาตินี้เจอกันครั้งเดียวก็เกินพอ”

ที่เคยรักแรกพบดูเหมือนเกือบจะเป็นจุดจบเมื่อได้พบกันอีกครั้งใน 1 ปีต่อมา
แต่คนที่เคยมีประสบการณ์และเข้าใจถึงความสำคัญของเวลาดีแล้วอย่างอาซามิ คงไม่ยอมให้จบและปล่อยให้มันผ่านไปง่ายๆ แต่ถึงอย่างนั้นโชคชะตาก็ไม่เป็นใจเปิดโอกาสให้ได้ต่อเนื่องความสัมพันธ์นัก




หลังจากปีใหม่มาไม่นาน ก็เข้าสู่ช่วงเวลาปิดภาคเรียนฤดูหนาวที่นักเรียนทุกคนรอคอย หลายคนวางแผนไว้ว่าจะทำอะไรสนุกๆ กันดีในช่วงเวลานั้น แต่สำหรับอีกหลายคนวางแผนไปก็ไม่มีผลเพราะดันเป็นพวกหัวไม่ดีที่มีทีท่าจะสอบตก จึงจัดอยู่ในพวกที่ถูกเกณฑ์มาเรียนในคอร์สพิเศษช่วงปิดภาคเรียนนี้ เช่น โอโตโมะ ทาคามัตสึ และใครๆ อีกหลายคน

อาจารย์เซกิยะที่ส่งดอกไม้ให้นักเรียนชายโอโตโมะก่อนหน้านั้น ได้ชื่อว่าเป็นพวกคลั่งแบรนด์เนมก็จริง แต่ปัญหาก็คือนอกจากจ่ายเงินเพื่อแบรนด์เนมแล้ว เธอพร้อมจะเบี้ยวการจ่ายค่าอื่น ๆ รวมถึงค่าดอกไม้ของยูกะด้วย ยูกะจึงหวนกลับไปทวงค่าดอกไม้ที่โรงเรียนอีกครั้ง ...

บางทีเหตุผลที่แท้จริงที่ยูกะกลับไปที่โรงเรียนอาจไม่ใช่เพราะค่าดอกไม้แต่เป็น..อาซามิ

และพวกเขาก็พบกัน แต่ก็ได้แค่เพียงทักทายและเดินผ่าน
“สวัสดี” “สวัสดี”

จะผ่านไปแค่นี้เหรอ? อาซามิจึงหันกลับมาถาม

“..จะกลับแล้วเหรอ”
ยูกะหันกลับมาตอบ “วันนี้ฉันมีนัดสำคัญค่ะ”
“นัดสำคัญ..” อาซามิรำพึง และพูดไม่ออก

ต่างคนต่างมองตากัน... เมื่อไม่มีคำพูดอะไรจากปากอาซามิ ยูกะจึงหันหลังกลับ
อาซามิหันหลังจะเดินกลับเข้าไปในอาคารเช่นกันแต่ไม่ทันก้าวก็หมุนตัวกลับมา ...มองตามหลังยูกะ

จะปล่อยให้มันผ่านไปหรือ? อย่าลืมสิ ความสำคัญของเวลา

แค่อีกก้าวเดียวยูกะก็จะก้าวพ้นไปจากประตูโรงเรียน แต่ยูกะก็คงจะคิดอย่างเดียวกันกับที่อาซามิคิดอยู่ จึงหยุดเดินและหันกลับมา

“คือว่า...” สองคนพูดพร้อมกัน แล้วหยุดชะงัก

‘อดีตสามารถเปลี่ยนแปลงอนาคต และชีวิตคนเราเพียงแค่พริบตา’ อาซามิบอกกับตัวเอง และตัดสินใจ

“ผมอยากจะบอกว่า.......”

เป็นเวลาเดียวกับที่ยูกะ พูดออกมา “ฉันโทรไปหาคุณ”

อาซามิชะงัก ยูกะจึงย้ำอีกครั้ง “ คืนนั้นฉันโทรไปหาคุณ...ตั้งหลายครั้ง”

จู่ๆ ก็เกิดแผ่นดินไหวขึ้น!!!! และสิ่งต่างๆ รอบตัวก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

*******


มันก็แค่แผ่นดินไหว แล้วทำไม ณ ที่แห่งนั้น ที่ที่เป็นโรงเรียนถึงหายไป ..กลายเป็นหลุมลึกใหญ่ จะว่าเป็นหลุมอุกาบาตพุ่งชนโลกหรือก็ไม่ใช่ ผู้คนบริเวณนั้นต่างตื่นตกใจ พ่อแม่ของเด็กนักเรียนที่หายไปต่างร่ำไห้ เหตุการณ์อันน่าประหลาดใจที่ในเวลาต่อมา ตำรวจ นักข่าว นักวิจัย และผู้เกี่ยวข้องที่เข้ามาพิสูจน์และตรวจสอบก็ไม่สามารถให้คำตอบได้ว่าเกิดอะไรขึ้น แผ่นดินส่วนนั้นถึงหายไปกลายเป็นหลุมขนาดใหญ่ยักษ์ที่มองหาจุดสิ้นสุดของความลึกไม่ได้ สรุปยอดผู้สูญหายไปกับโรงเรียน ยี่สิบกว่าชีวิต ก็ไม่มีใครบอกได้ว่ายังอยู่หรือตายไปแล้ว

*****
แต่พวกเขาปลอดภัยดี โรงเรียนยังคงตั้งอยู่อย่างสง่าราศีมิมีบุบสลายจากแรงสั่นสะเทือน หรือการตกหล่นลงไปในหลุมอย่างที่คนอีกมิตินึงมองหา ที่โน่นอาจเป็นหลุม แต่ในที่เดียวกันในอีกมิตินึงของเวลามันไม่ได้เป็นหลุม แต่เป็นผืนทะเลทรายกว้างใหญ่ มองไปทางไหนก็มีแต่แผ่นดินแห้งแล้งสีมืดดำ หากจะมีเหมือนกันระหว่างที่นี่กับที่โน่น ในที่ที่เดียวกันนี้ (งงมั้ยเนี่ย) ก็คือการหาความสิ้นสุดไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นความลึกของหลุม หรือความกว้างใหญ่ของทะเลทราย

เมื่อยูกะและอาซามิเงยหน้าขึ้นหลังจากแรงสั่นสะเทือนสิ้นสุด นั่นคือโลกใหม่ที่พวกเขาค้นพบ เช่นเดียวกับเด็กนักเรียนที่ยังเฮฮาอยู่ในอาคารเรียนๆ โดยไม่รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ก็เริ่มสติแตกกันทีละคนเมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างห้องเรียนแล้วพบว่าโลกรอบตัว..ได้เปลี่ยนไปแล้ว

เกิดอะไรขึ้น พวกเขาอยู่ที่ไหน ไม่มีใครรู้ ... รู้แต่ว่าปัญหาต่างๆ กำลังจะตามมาและเปลี่ยนแปลงชีวิตพวกเขา


***
ตอนอ่านเรื่องย่อ ก็คิดอยู่เหมือนกันนะว่าเรื่องนี้มันจะสนุกยังไง แผ่นดินที่ทะลุมิติหายไป เหลือแต่หลุมลึกใหญาบนแผ่นดินเหลือไว้ให้คนดูต่างหน้า ... เว่อร์ซะไม่มีเรื่องไหนเกิน แต่ยอมหยิบจับมาดูเพราะชื่อของ ...
โยสุเกะ คุโบซึกะ
พอมาดูแล้ว จึงเปลี่ยนความคิด เพราะคิดว่า “พรหมลิขิต” ที่นำอาซามิกับยูกะมาพบกันเป็นเรื่องราวที่น่ารักมาก หลุมจากแผ่นดินไหว และทะเลทรายกว้างใหญ่ในอีกมิตินึง เป็นจินตนาการที่ตื่นตาตื่นใจพอสมควร ... สถานการณ์ที่ยี่สิบกว่าชีวิตในโรงเรียนต้องผจญหลังจากนั้นก็มีอรรถรสหาน้อยไม่ ในที่ที่มีแต่ทะเลทราย ไม่มีน้ำ ไม่มีอาหาร ไม่มียารักษาโรค และไม่มีสัญญาณของสิ่งมีชีวิตใด...พวกเขาจะอยู่กันอย่างไร ...ในสถานการณ์ที่ต้องเอาชีวิตรอด สัญชาตญาณความเห็นแก่ตัวของคนจะเริ่มปรากฏ ไม่เว้นแม้แต่ผู้ใหญ่ที่ได้ชื่อว่าเป็นครู

ดูแล้วก็สอนตัวเราเหมือนกันนะคะ

คนอาจเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้ แต่ อย่าให้สถานการณ์มาเปลี่ยนแปลง ’ตัวตน’ ของคน


และแน่นอน สถานการณ์ย่อมสร้างวีรบุรุษ ...อาซามิในฐานะ “พระเอก” ย่อมไม่ถูกความเห็นแก่ตัวเข้าครอบงำ และในฐานะครูย่อมต้องทำตัวเป็นที่พึ่งของเด็กนักเรียน จะท้อแท้หวาดกลัวให้เด็กๆ เห็นไม่ได้ หากโรงเรียนคือบ้านคือสถานที่ที่ให้ความรู้สึกปลอดภัย อาซามิก็คือพ่อ ( god father) คือสัญลักษณ์ของความอุ่นใจ เช่นเดียวกับที่ยูกะ มาซามิ อดีตคุณครูที่ถูกไล่ออกจากโรงเรียนไปช่วยงานร้านดอกไม้ของพ่อได้กลับมาสวมวิญญาณการเป็นครูอีกครั้งเพื่อช่วยเหลืออาซามิดูแลเด็กๆ ให้รักษาชีวิตรอดจากภัยอันตราย มีกำลังใจที่จะมีชีวิตอยู่และต่อสู้หาหนทางกลับไปสู่ที่ที่เคยเป็นโลกใบเดิม

**



การที่อาซามิและนักเรียนพยายามทำความเข้าใจเรื่องมิติของเวลาและพบสิ่งที่น่าเชื่อได้ว่ามันเป็นโลกอนาคตที่ไม่เหลืออะไรนอกจากทะเลทราย และซากปรักหักพังของตึกอาคารที่ถูกฝังแทรกตัวอยู่กับหินดินทรายจนดูกลายเป็นภูเขาหินว่างเปล่า ไม่มีพืช ไม่มีสัตว์ ไม่มีระบบนิเวศ น้ำที่ซึมออกมาจากการขุดทรายเต็มไปด้วยสารพิษ เจอเมฆพิษสอดแนม กับฤทธิ์สายฟ้าฟาดทำแผ่นดินแยกเข้าไป ยังไม่อ้าปากเหวอเท่าเจอสิ่งมีชีวิตเดียวที่เรียกว่ามนุษย์กลายพันธุ์ อยากจะบอกว่าละครเรื่องนี้...จินตนาการล้นเหลือจนแสบไส้ไปเลย 5555

สนุกดีค่ะ คราวหน้าจะพิจารณาละครแนวๆ นี้ดีๆ ไม่อคติไปซะก่อน

ส่วนที่ว่าเนื้อเรื่องจะเกี่ยวกันยังไงกับคำ "Long Love Letter" หรือดูแล้วนึกไปถึงเรื่องภาวะโลกร้อนในปัจจุบันได้ยังไง ทั้งที่ในปี 2002 ที่ละครออกอากาศ คงยังไม่มีใครพูดถึงภาวะโลกร้อนอย่างแพร่หลายเท่าไรนัก ..ต้องลองไปหาคำตอบกันดูนะคะ
อิอิ เชียร์ผลงานของ โยสุเกะจังค่ะ (ออกนอกหน้ามาก )

PS. หลังๆ มานี้ พยายามจะเขียนให้สั้นแล้วนะ แต่พอลงมือทีไร ฝนตกหนักน้ำท่วมทุ่งทุกที คราวหน้าจะพยายามให้มันสั้นๆ

Source of pictures:
Forums.popconfor2
คุณป้าหนอนจาก web puntip



ข้อมูลเพิ่มเติมจาก JKDramars :
ชื่อภาษาญี่ปุ่น ロング・ラブレター~漂流教室
ชื่อภาษาอังกฤษ Long Love Letter
ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ Fuji TV, ประเทศญี่ปุ่น
ออกอากาศ 9 มกราคม 2002 ถึง 20 มีนาคม 2002
จำนวน 11 ตอน
เพลงหลัก Loveland, Island ขับร้องโดย Yamashita Tatsuro
ผู้กำกับ -
ผู้เขียนบท Oomori Mika


แนวซีรี่ส์
แนวแฟนตาซี ไซ-ไฟ ที่จะสร้างสีสัน ความแปลกใหม่และตื่นตาตื่นใจให้กับผู้ชม


จุดเด่น

- ได้รับการโหวตจากคณะกรรมการ The Television Drama Academy Award และผู้อ่านนิตยสาร The Television ให้เป็น drama ยอดนิยม

- Yousuke Kubotsuka (พระเอก) ได้รับการโหวตจากคณะกรรมการ The Television Drama Academy Award ให้เป็นดาราชายยอดนิยมอันดับ 1 และได้รับการโหวตจากผู้อ่านนิตยสาร The Television ให้เป็น ดาราชายยอดนิยมอันดับ 2 จากเรื่องนี้

- Takako Tokiwa (นางเอก) ได้รับการโหวตจากผู้อ่านนิตยสาร The Television ให้เป็นดาราหญิงยอดนิยมอันดับ 2 จากเรื่องนี้

- เรื่องนี้ได้ดัดแปลงมาจากหนังสือการ์ตูนแนว Suspense – Horror ชื่อ Hyoryu Kyoshitsu ที่เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้น ณ โรงเรียนประถมแห่งหนึ่ง แต่เมื่อมาสร้างเป็นละครได้เปลี่ยนให้เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นณ โรงเรียนมัธยม และเพิ่มสีสันเรื่องราวความรักของชาย-หญิง และแนวคิดในการดำเนินชีวิตเข้าไปด้วย เรื่องนี้มีการถ่ายทำและเพิ่ม Visual Effect เยอะมาก

ข้อคิดจากซีรี่ส์

ไม่ว่าจะเป็นอดีตหรืออนาคต…ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน…เพราะไม่มีใครรู้ว่าวันพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น…ดังนั้นเราควรใช้ชีวิตทุกวินาทีอย่างคุ้มค่าที่สุด…ความรู้สึกที่ดีต่างๆที่มีอยู่ก็ควรบอกให้คนๆนั้นได้รับรู้ตั้งแต่เดี๋ยวนี้…ไม่ว่าจะคำขอโทษ คำขอบคุณ หรือคำว่ารัก…ก่อนที่จะสายเกินไป…




 

Create Date : 03 ตุลาคม 2552    
Last Update : 30 พฤษภาคม 2554 13:07:40 น.
Counter : 5107 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  

prysang
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 98 คน [?]




จำนวนผู้ชม คน : Users Online
New Comments
Friends' blogs
[Add prysang's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.