Group Blog
 
All blogs
 

Always the two of us เรื่องรัก สองเรา



ชื่อภาษาญี่ปุ่น いつもふたりで Itsumo futari de
ชื่อภาษาอังกฤษ Always the two of Us, Always together
ออกอากาศ 6 มกราคม 2003 เวลา 21.00 น. Fuji TV
ผู้กำกับ Nakae Isao, Kobayashi Kazuhiro
ผู้เขียนบท Aizawa Yuko
จำนวน 11 ตอน เพลงประกอบซีรีย์ Always โดย Ryota Mitsunaga



ให้มันได้อย่างนี้สิ เป็นแนวนี้ที่รอคอยมากเลยล่ะค่ะ สำหรับเรื่องราวความรักของเพื่อนรักเพื่อน เพราะ 'เพื่อน ความผูกพัน และความรัก' เป็นความรักที่ก่อเกิดจากวันเวลาแห่งความคุ้นชินอันยาวนาน รักแบบนี้จึงดูเรียบๆ แต่ลึกซึ้ง และเป็นซีรีย์ความรักที่น่าดูแบบไม่รู้เบื่อหน่าย

ทานิมาจิ มิซึโฮ ( ทาคาโกะ มัตสึ ) สาวช่างฝันที่อายุก็ปาเข้าไป 26 ปีแล้ว ยังคงปักหลักทำงาน part time ซึ่งงาน part time กับคนวัยนี้ถือได้ว่าเป็นงานที่ยังไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ในเมื่อเพื่อนส่วนใหญ่ต่างยึดหลักเตรียมปักฐานกันแล้วสำหรับอายุประมาณนี้ เหตุที่มิซึโฮยังย่ำต๊อกอยู่กับที่ก็เพราะเธอพยายามจะทำความฝันของตัวเองให้เป็นจริง นั่นก็คือการเป็นนักเขียน และแล้วฝันก็ทำท่าจะกลายเป็นจริงเมื่อชายคนหนึ่งเดินทางมาถึงเมืองหิมะอันเป็นถิ่นชนบทที่เธออาศัยอยู่ และบอกกับเธอว่าเป็นตัวแทนสำนักพิมพ์แห่งหนึ่งเดินทางเพื่อมาแจ้งข่าวผลการประกวดงานเขียนที่มิซึโฮได้รับรางวัลและทางสำนักพิมพ์สนใจจะให้มิซึโฮไปเป็นนักเขียนประจำสำนักพิมพ์ที่โตเกียว

เมื่อมีคนว่าเอาไว้เยอะเรื่องที่เธอเอาแต่ฝันเฟื่อง จนไม่คิดทำอะไรให้จริงจังกับชีวิต ข่าวการได้เป็นนักเขียนจึงทำให้มิซึโฮ โม้เอาไว้เยอะก่อนเดินทางไปโตเกียวที่ใครต่อใครในย่านนั้นพากันมาแสดงความยินดีและส่งมิซึโฮขึ้นรถไฟเดินทางออกจากบ้านเกิด เพื่อมุ่งหน้าคว้าฝันที่โตเกียว

แต่กลับกลายเป็นว่าไม่มีอะไรสวยงามอย่างที่มิซึโฮคิด เรื่องรางวัลงานเขียนที่เธอได้รับเป็นเรื่องโกหกพอๆ กับที่การได้เป็นนักเขียนประจำของสำนักพิมพ์เป็นเรื่องหลอกลวง และเงินก้อนหนึ่งที่เธอจ่ายล่วงหน้ามาให้กับชายคนนั้นสำหรับเป็นค่าที่พักค่าอะไรต่างๆ ก็หายสาปสูญไปพร้อมกับคนรับเงินสรุปง่ายๆ คือโดนหลอกเอาเงินไป หมดเนื้อหมดตัว

มาไกลถึงโตเกียวพร้อมกับเงินที่หยิบยืมจากคุณยายผู้ชรา และก็โม้เรื่องที่เธอจะเป็นนักเขียนไปซะเต็มที่ งานนี้ถึงต้องอดตายมิซึโฮก็กลับไปบ้านเกิดไม่ได้ แต่ตอนนี้ไม่มีเงิน ไม่มีที่อยู่ มิซึโฮจำเป็นต้องมองหาความช่วยเหลือจากใครสักคน ก็มีแค่ยูโกะ (ซาโต้ ฮิโตมิ) เพื่อนผู้หญิงคนเดียวที่มาอยู่โตเกียว แต่มิซึโฮจะไปอยู่ด้วยก็ไม่ได้เพราะยูโกะเพิ่งแต่งงานต้องการความเป็นข้าวใหม่ปลามัน และนอกจากเพื่อนคนนี้ก็ไม่มีใครอีกนอกจากเพื่อนสนิทอีกคนคือ โมรินากะ เคนตะ แม้จะติดที่ว่าเขาเป็นผู้ชาย แต่ในยามคับขันเช่นนี้ มิซึโฮก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว



โมรินากะ เคนตะ (Sakaguchi Kenji) ทำงานเป็นนักเขียนบทรายการไวราตี้ทีวี ที่มี เคอิจิโร่ ฟุวะ เป็นผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์ชื่อดัง และเคนตะก็มีชื่อเสียงในวงการทำงานด้านนี้ไม่น้อย เขาอยู่บ้านหรู ทำงานดูดี แต่เคนตะก็ไม่ได้มีความสุขเท่าที่ควรเพราะการทำงานของเขาอยู่ใต้เงาของคุณฟุวะ เนื่องจากเคนตะเป็นคนสนิทที่ไม่ต่างอะไรกับการเป็นเบ๊ของคุณฟุวะสามารถเรียกใช้ได้ตลอดเวลาไม่ว่าจะเช้าตรู่หรือดึกดื่นแค่ไหน เคนตะจึงถูกมองว่าได้ดีเพราะเลียแข้งเลียขาไม่ใช่เพราะความสามารถ แต่บุญคุณอะไรที่มีต่อกันมาที่ทำให้เคนตะยอมคุณฟุวะทุกอย่างนั้น ซีรีย์ไม่ได้มีรายละเอียดไว้ รู้แต่ว่าคุณฟุวะเป็นผู้มีพระคุณที่เคนตะนับถือและเขายินดีจะตอบแทนช่วยเหลือทุกอย่างไม่ว่าเป็นเรื่องอะไรหรือต้องลำบากใจแค่ไหน (เป็นพระเอกแนวแสนดี)



วันหนึ่ง...เคนตะก็ต้องแปลกใจที่มิซึโฮเพื่อนสนิทสมัยเรียนที่บ้านเกิดโผล่หน้ามาให้เห็นที่บริษัท พร้อมกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดว่าจะได้เจอ นั่นคือ เธอมาขออาศัยอยู่ด้วย การพบกันหลังจากที่ไม่ได้พบมานานหลายปีมันก็ดีใจมากอยู่หรอกนะ การให้เธอมาพักด้วยชั่วคราวสักคืนสองคืนก่อนหาทางไปก็ยังโอเคอยู่ แต่การที่มิซึโฮคิดจะอาศัยอยู่กับเขาจนกระทั่งหาทางตั้งหลักปักฐานได้ที่โตเกียวมันดูจะยาวนานเอาเรื่องอยู่ และนั่นทำให้เคนตะลำบากใจ เขาเป็นผู้ชายไม่ใช่ปัญหาเพราะกับมิซึโฮเราเป็นเพื่อนกัน แต่การมีผู้หญิงมาอยู่ด้วยมันอาจจะเป็นปัญหาให้เขาพลาดโอกาสดีๆ ที่จะมีความรักกับผู้หญิงอีกคนที่เคนตะหมายตาเอาไว้ เธออาจจะเข้าใจผิดได้ถ้ารู้ว่าเขามีเพื่อนผู้หญิงอาศัยอยู่ในบ้าน แต่ความเป็นเพื่อนก็ทำให้เคนตะพูดไม่ออก ตั๋วรถไฟที่ซื้อไว้ก็ไม่กล้าพอจะยื่นออกไปแล้วบอกกับมิซึโฮว่า นี่คือตั๋วสำหรับให้เธอเดินทางกลับบ้าน

เมื่อมาอยู่ด้วยกัน มิซึโฮเห็นเคนตะต้องลำบากใจด้วยอะไรหลายอย่างที่เขาต้องทำให้คุณฟุวะ การเป็นคนตรงๆ โผงผาง ทำให้มิซึโฮพูดในสิ่งที่คิดตรงๆ กับเคนตะที่มองเป็นการก้าวก่ายและไม่พอใจมิซึโฮ ทั้งสองทะเลาะกันและด้วยความโกรธ เคนตะจึงยื่นตั๋วรถไฟให้มิซึโฮพร้อมด้วยเงินอีกจำนวนหนึ่งให้เธอนำกลับไปที่บ้าน มิซึโฮโกรธมากที่ถูกไล่ยังไม่เท่าที่เคนตะยื่นเงินส่งให้เธอจึงโยนเงินใส่หน้าเคนตะและเก็บข้าวของออกจากบ้านไปทั้งที่ 'ไม่มีทางไป'



แต่มิซึโฮก็เกิดเรื่องอีกและไม่พ้นเคนตะต้องมาช่วยเหลือและง้อให้เธอกลับมาอยู่ด้วยกันอีก นอกจากมิซึโฮแล้ว แต่เดิมเคนตะก็มีคนอาศัยอยู่ด้วย คือ โคเฮ (เอตะ) และ ชิกะ (อิริเอะ จิกะ) น้องชายและแฟนของน้องชาย คู่รักวัยรุ่นที่ยังไม่เป็นโล้เป็นพายด้วยกันทั้งคู่ ยังเอาแต่เที่ยวเล่นไปวันๆ และอาศัยการกินการอยู่กับพี่ชาย โคเฮกับมิซึโฮก็รู้จักกันมาแต่เด็ก เมื่อมี "พี่มิ" ที่นิสัยเริงร่าน่ารักมาอยู่ด้วยกัน โคเฮ ชิกะ และมิซึโฮจึงเข้ากันได้ดี บ้านของเคนตะจึงครึกครื้นและสนุกสนาน

ชีวิตที่อยู่ด้วยกันในแบบเพื่อนดำเนินไป ในขณะที่ความรักของเคนตะ กับสาวที่เขาชอบ ผู้ช่วยพยาบาล ฟุจิวาระ ฮิโรโกะ (ฮาเซคาวะ เคียวโกะ) ก็มีความก้าวหน้าทางความสัมพันธ์ไปเรื่อยๆ แม้ว่าเธอจะเป็นผู้หญิงของคุณฟุวะมาก่อนแต่เคนตะก็ยินดีจะรักและคบหากับเธอ ทางด้านมิซึโฮก็จับพลัดจับผลูได้เข้าไปทำงานในสำนักพิมพ์เล็กๆ แห่งหนึ่ง ที่เจ้าของสำนักพิมพ์ นาโอยูกิ โอคุดะ (คัตสึรายามะ ชินโงะ) ก็มีใจให้เธอมิซึโฮอย่างออกนอกหน้าแต่เพราะเขาดูเป็นคนขี้เล่นไม่จริงจังมิซึโฮจึงไม่ได้ใส่ใจ นาโอยูกินับถือในความมุ่งมั่นตั้งใจและการเป็นคนไม่ยอมแพ้ของมิซึโฮ เปรียบเทียบกับเขาที่เคยทำงานพลาดและทำให้สำนักพิมพ์ร่วงลงจากความรุ่งเรืองมาสู่ยุคตกต่ำ การได้พบกัยมิซึโฮทำให้นาโอยูกิได้จุดประกายฝันของตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง และยิ่งเธอพยายามให้เห็นมากเท่าไร นาโอยูกิยิ่งมีกำลังใจในการฟื้นฟูสำนักพิมพ์ของตัวเอง นั่นก็คือการตั้งแผนกวรรณกรรมขึ้นมาใหม่หลังจากที่ประสบความล้มเหลวและยุบแผนกไปแล้วในอดีต




แต่อะไรก็ตามในซีรีย์ญี่ปุ่นที่เกี่ยวกับความหวัง ความฝัน ย่อมไม่มีอะไรได้มาง่ายดายอย่างที่คิด ไม่ว่าจะเป็น

เคนตะ ที่ต้องฝ่าฟันกับสายตาคำครหาที่มองว่าเขาเป็นคนสนิทของคุณฟุวะ จนทำให้ใครๆ มองข้ามไปว่าแท้จริงแล้วเคนตะเป็นคนมีฝีมือ เขาได้เป็นหัวหน้าทีมก็ถูกเหมาเอาว่าเพราะคุณฟุวะหนุนหลังจนลืมนึกถึงความจริงที่ว่าเขามีความสามารถเหนือกว่าคนอื่นรอบๆ ตัว คุณฟุวะแม้ว่าเขาจะมีเรื่องส่วนตัวที่ไม่สวยงามแต่ในเรื่องงานเขาเป็นคนที่เคนตะยกย่องในแง่ของการเป็นมืออาชีพ และคุณฟุวะเองก็เล็งเห็นความสามารถแท้จริงของเคนตะและให้การสนับสนุนเขาเพราะฝีมือจริงๆ ไม่ใช่แค่เพราะเขาเป็นคนที่วางใจเรียกใช้งานได้ทุกอย่าง (ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานจริงๆ หรือเรื่องส่วนตัวที่เคนตะเป็นคนคอยตามล้างตามเช็ดให้)

มิซึโฮ การสู้เพื่อฝันของมิซึโฮทำให้ชอบซีรีย์เรื่องนี้ในแง่ที่ว่า ความฝันไม่ใช่สิ่งที่ต้องต่อสู้จนหลงลืมความเป็นจริงของชีวิตเพื่อดึงดันทำมันให้สำเร็จเสมอไป มิซึโฮผู้ล้มเหลวและถึงที่สุดแล้วเธอต้องยอมรับให้ได้ว่า เธอเป็นในสิ่งที่อยากจะเป็นไม่ได้ ทั้งหมดที่พยายามมาต้องยอมปล่อยให้มันเป็นแค่ความพยายามที่สูญเปล่า ซีรีย์เรื่องนี้จึงบอกผ่านตัวละครมิซึโฮว่า ฝันในชีวิตนั้นใช่ว่าจะฝันได้แค่ฝันเดียว การยอมรับความสามารถและพรสวรรค์ของตัวเองที่ไปกันไม่ได้กับสิ่งที่ตัวเองต้องการจะเป็น ก็ถือเป็นเรื่องสำคัญที่คนเราต้องไม่ดันทุรังอยู่ในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ยอมแพ้ ยอมรับ และมีชีวิตต่อไปเพื่อมองหาความฝันครั้งใหม่ การยอมแพ้ต่อความฝันของมิซึโฮนี่แหละเป็นเรื่องเศร้ามากที่สุดในเรื่อง (เสียน้ำตาเช่นเคย)

นาโอยูกิ คนที่เคยผิดพลาดและกลัวที่จะก้าวต่อไปข้างหน้า สิ่งที่เขาทำก็คือระงับความทะเยอทะยานแล้วย่ำอยู่กับที่ ขาดความกระตือรือร้นและสูญเสียความมั่นใจในความสามารถของตนเอง แต่มิซึโฮก็ทำให้นาโอยูกิคิดได้ อย่าทอดทิ้งความฝันถ้ามันยังเป็นสิ่งที่ทำได้อยู่ เพราะการทิ้งความฝันเป็นความเจ็บปวดเหมือนที่มิซึโฮได้รับ และนาโอยูกิต่างจากมิซึโฮตรงที่เขายังไม่ได้พยายามอย่างถึงที่สุด จึงยังไม่มีสิทธิ์ที่จะทิ้งมันไป

*****


เป็นซีรีย์แนวรักโรแมนติกแบบที่ชอบเลยนะคะ สำหรับเรื่องราวแนวเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ รักเกิดจากความผูกพัน ทั้งเคนตะและมิซึโฮเกิดเมืองเดียวเติบโตมาด้วยกันและความสัมพันธ์แน่นเหนียวที่ไม่เคยเกินเลยไปกว่าความเป็น "เพื่อนกัน" เมื่อมาพบเจอกันอีกครั้งในยามที่ชีวิตต่างคนก็ต่างไม่ราบราบรื่นนัก ความผูกพันในอดีตก็หวนกลับมาคุกรุ่นให้ความอบอุ่น

เมื่ออยู่ด้วยกันได้เห็นอีกฝ่ายทุกข์สุข ความเป็นเพื่อนก็คือต้องคอยช่วยเหลือคอยเป็นกำลังใจอยู่เคียงข้าง ห่วงใยดูแลกัน ทำให้ความผูกพันที่มีมาพัฒนาไปเป็นความรู้สึกอีกอย่างหนึ่งที่ต่างคนต่างไม่คิดว่าจะเกิดขึ้น และเมื่อเกิดขึ้นมาแล้วก็ไม่คุ้นเคยและมันก็ยากที่จะยอมรับว่าความรู้สึกที่มีต่อกันได้เกินเลยขอบเขตของความว่าเพื่อนไปแล้ว ทั้งยังยากจะแก้ไขให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม

มิซึโฮ ย้ายหนีออกจากบ้าน และหลักจากนั้นก็ปฏิเสธจะพบหน้าเคนตะเหมือนเช่นเคยเป็น เพราะเธอไม่สามารถเป็นเพื่อนเขาได้เหมือนเดิมอีกต่อไป เป็นเหตุผลที่จำต้องเปิดใจสารภาพพร้อมๆ กับที่เอ่ยคำร่ำลา

เคนตะ มีรักสมหวังกับคนที่เคยเฝ้ามอง เฝ้าฝันและอยากจะรัก กว่าจะได้รักก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เมื่อได้คบหาดูใจกันแล้วกลับไม่มีความสุข เพราะความรู้สึกที่มีต่อมิซึโฮดันมาผิดแผกไปและคอยแทรกเข้ามาในความรักที่เขาคิดว่ามันลงตัวดีแล้ว คนที่เคยรักอยู่กลับไม่รัก กับคนที่ไม่เคยคิดจะรักกลับรักขึ้นมาในตอนที่เธอจากไป

ผลออกมาแนวเดียวกันกับเรื่อง Marriage Hunting คือ คนหนึ่งเริ่มต้นพร้อมจะรักเพื่อนในตอนที่ที่อีกคน เคยรักก่อน เจ็บก่อน ทนอยู่จนพร้อมจะเลิกรัก

กว่ารักจะลงล็อคก็ต้องลุ้นกันหน่อย สำหรับ Always the twe of us




ทาคาโกะ มัตสึ
กับบทของมิซึโฮ ดูไม่แตกต่างกันเลยกับบทของริโกะ ในเรื่อง Love Generation ที่แสดงเป็นคู่ขวัญกับเทปเป้ (ป๋าทาคุยะ) เรื่องนั้นรักเกิดจากความเคยชินเหมือนกัน ขี้โมโห เอาแต่ใจ และเจ้าอารมณ์ (+ น่ารำคาญเล็กน้อย)

เคนจิ ซาคากุจิ เกือบไม่ดูเรื่องนี้เพราะพระเอกนี่แหละ นึกภาพไม่ออกเลยว่าหมออาซาดะ ริวทาโร่ จาก IRYU จะมาแสดงเรื่องรักโรแมนติกให้มันซาบซึ้งตรึงใจได้อย่างไร และก็เป็นอย่างที่คิดนั่นแหละ ไม่มีอะไรให้ปลื้มเลยกับบทของเคนตะ ที่หมอบอยู่ใต้บารมีของคุณฟุวะ กล้ำกลืนขื่นขมเพราะหลงรักฮิโรโกะที่เป็นผู้หญิงของคุณฟุวะ ทั้งที่คุณฟุวะเขาก็มีภรรยาและลูกอยู่แล้ว ไม่มีปากมีเสียง ไม่เคยขัดใจคุณฟุวะและไม่เคยแก้ต่างให้ตัวเองกรณีเพื่อนร่วมงานถากถางเอาเรื่องเลียแข้งเลียขาและไร้ความสามารถ แต่อาศัยบารมีของเนื้อหาแนวเพื่อนรักเพื่อน จึงมีโอกาสได้ยลผลงานการแสดงชิ้นนี้ของเคนจิ

เอตะ กับบทของโคเฮ น้องชายไร้แก่นสารของเคนตะ ซื้อซีรีย์เรื่องนี้มาโดยไม่รู้ว่ามีเอตะแสดงด้วย ตอนโผล่หน้ามาครั้งแรกด้วยการสวมหน้ากากก็ว่าคุ้นๆ พอเปิดหน้าออกมาดีใจสุดๆ ก็อยู่ดีๆ ได้ดูซีรีย์ที่มีนักแสดงคนโปรดอยู่ในเรื่งด้วย ก็เลยดู Always the twe of us ด้วยอาการล่องลอยมีความสุขกันไป


แต่คนที่อยากติคือทีมแคสติ้ง เพราะบทของ เคอิจิโร่ ฟุวะ เป็นบทบาทคนสำคัญของเรื่อง แต่ มาซาฮิโกะ นิชิมูระ เป็นนักแสดงที่ไม่ได้เข้ากันเลยกับบทนี้ เริ่มจากหน้าตาเลยก็ว่าได้ เพราะบทฟุวะเป็นเพลย์บอยเจ้าเสน่ห์ที่มีความสัมพันธ์กับผู้หญิงไม่เลือกหน้าและเขี่ยทิ้งเป็นว่าเล่น และถ้าไม่ว่ากันที่หน้าตาการแสดงก็น่าจะต้องดูแพรวพราวสมกับที่เป็นมืออาชีพมากฝีมือและต้องดูฉลาดลึกที่จะเข้าใจคนและสถานการณ์รอบๆ ตัว ดูฉากของคุณฟุวะทีไรจึงมีอันต้องขัดใจทุกที (ดูแล้วมันไม่ช่าย!)



ไม่ถึงกับเป็นเรื่องสุดซึ้งประทับใจ อาจเป็นเพราะทั้งมัตสึและเคนตะไม่ใช่นักแสดงคนโปรดและดูแล้วก็ไม่ชวนดึงดูดใจทั้งสองคน แต่โดยรวมแล้วก็ดีทั้งในแง่ของความรักและการต่อสู้เพื่อการงาน และถ้าใครชอบแนวเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อแบบนี้ Always the two of us ไม่มีอะไรให้ต้องผิดหวัง


"เรื่องรัก สองเรา" เป็นชื่อที่ตั้งเองแล้วทำให้นึกถึงนิยายไต้หวันเรื่อง " All about us "เรื่องรัก..ของเรา" ที่เขียนโดย หวง เยวี่ยน แปลโดยบีอา กับคำอารัมภบทที่ว่า


ถ้าหากระหว่างเธอกับฉันมีสายใยเชื่อมโยงอยู่ สายใยเส้นนั้นควรเป็นสีอะไร
สีดำคือความแค้น สีฟ้าคือคิดถึง สีแดงคือบุพเพ สีรุ้งคือความรัก
ฉันก้มลงคลำหาปลายเส้นบนข้อเท้าอย่างตื่นเต้นดีใจ
ทำไมจึงมีแต่เส้นด้ายสีตกที่ขาดวิ่นและแตกปลาย ?


All about us ไม่ได้เกี่ยวข้องหรือว่ามีอะไรคล้ายคลึงกับ Always the two of us หรอกนะคะ เพียงแต่อยู่ๆ ก็นึกถึง ก็เลยเขียนถึงเท่านั้นแหละ เอวัง..บล็อกนี้ก็จบลงด้วยประการฉะนี้

ภาพและข้อมูล

* //wiki.d-addicts.com/Itsumo_Futari_de

* //jkdramas.com/jdramas/always2ofus.htmcom

* //chaowalits.multiply.com/journal/item/29/29

* //www.tigercinema.com/action/movies~title/id/52524/#star_tabs




 

Create Date : 07 กุมภาพันธ์ 2554    
Last Update : 22 กุมภาพันธ์ 2558 8:42:57 น.
Counter : 4857 Pageviews.  

Kisarazu Cat's eye ทีมป่วนก๊วนซ่าแห่งคิซาราสึ (เมืองคนเพี้ยน)



Title: 木更津キャッツアイ / Kisarazu Cat's Eye
Genre: Comedy Episodes: 9
Viewership ratings: 10.09
Broadcast period: Jan-18 to Mar-15/ 2002 / TBS
Screenwriter: Kudo Kankuro
Producer: Isoyama Aki
Directors: Kaneko Fuminori, Katayama Osamu, Kudo Kankuro





Kisarazu Cat's eye


Song : A day in our life by Arashi



สมกับที่เป็นผลงานของผู้เขียนบทคนเดียวกันที่เขียนเรื่อง IWGP และ Tiger & Dragon เพราะ Kisarazu Cat's eye เป็นอีกหนึ่งซีรีย์ติสท์แตกแหวกแนวของผู้เขียนบทที่มีชื่อว่า คุโดะ คังกุโร่ (Kudo Kankuro) ซึ่งนานๆ ครั้งๆ ชื่อของผู้เขียนบทถึงจะติดอยู่ในความจดจำนำมากล่าวนิยมชมกันได้เต็มปากเต็มชื่อสักที ก็เพราะติดใจในรูปแบบการนำเสนอที่แปลกที่ไม่เหมือนใคร แม้บางคนอาจรู้สึกว่ามันน่าเบื่อแต่ส่วนตัวแล้วชอบของแปลก






Kisarazu Cat's eye เป็นเรื่องราวของเพื่อนห้าคน บุซซัง, แบมบี้, มาสเตอร์, อานิ,และ อุจจี้ หนุ่มซ่าสุดเซี้ยวของย่านถิ่นคิซาราสึ พวกเขาผูกพันกับกีฬาเบสบอลและตั้งทีมเล่นกันเป็นกิจวัตรโดยใช้ชื่อทีมว่าแคทส์ ทั้งยังมีความหลงใหลในการ์ตูนชื่อดัง ที่ชื่อเข้ากันพอดีกับชื่อทีมเบสบอล ดังนั้นพวกเขาจึงตั้งชื่อกลุ่มโดยเรียกตัวเองว่า "แคทส์อาย"

"แคทส์อายแห่งคิซาราสึ"

เป็นความเข้าใจผิดไปไกลอย่างมหันต์ที่คิดว่าเนื้อหาซีรีย์เรื่องนี้จะซึ้ง เศร้า เคล้าน้ำตา ตามประสาเพื่อนรักผูกพันที่ดันมีคนหนึ่งป่วยเป็นมะเร็งและใช้ชีวิตรอวันตายในช่วงเวลาสุดท้าย 6 เดือนที่เหลืออยู่ เพราะที่จริงแล้วไม่ใช่อะไรแบบนั้นเลย







ตามเรื่องแล้วทุกคนมีชื่อตัวละครตามที่เห็นในภาพแนะนำนะคะ แต่ขอเขียนโดยใช้ชื่อเล่นในระดับสนิทสนมที่ตัวละครใช้เรียกกันในหมู่เพื่อนดีกว่า (น่ารักดี)

บุซซัง - หนุ่มแสบหัวโจกทีมแคทส์อาย เป็นลูกชายเจ้าของร้านตัดผม และบุซซังเองก็เป็นช่างตัดผมด้วย

มาสเตอร์ - หนุ่มซ่า บ้าๆบอๆ (แต่ก็ดูบ้าน้อยที่สุดแล้วในกลุ่ม) เป็นเจ้าของบาร์เหล้า แหล่งสุมหัวของทั้งห้าหนุ่ม มีภรรยาและมีลูกสาม

อานิ - หนุ่มเสเพลที่ตกงานซ้ำซาก

อุจจี้ - หนุ่มซื่อบื้อแต่ลึกลับซับซ้อน

แบมบี้ - หนุ่มใสซื่อ และบริสุทธิ์ (ยังเวอร์จิ้นอยู่) คนเดียวในกลุ่มเพื่อนที่ได้เรียนต่อมหาวิทยาลัย



เพราะหมอบอกว่าบุซซังจะมีชีวิตอยู่ได้อีกแค่ 6 เดือน ในฐานะที่เป็นเพื่อนสนิท เกิดในคิซาราสึเหมือนกัน เรียนโรงเรียนเดียวกัน คบหากันมาตลอด ด้วยความเคารพในความเป็นเพื่อนบุซซังจำต้องบอกกล่าวเรื่องนี้ให้เพื่อนๆ ได้รับรู้ แต่กับโคสุเกะผู้เป็นพ่อบุซซังกลับจงใจปกปิดความจริงเอาไว้

ตามเนื้อหาแล้วซีรีย์เรื่องนี้ควรจะเศร้า คือถ้าจะคิดให้เศร้าก็เศร้าอยู่หรอกนะ แต่ด้วยความที่ตัวละครแต่ละตัวล้วนแล้วแต่เป็นพวกเพี้ยน อาการแสดงออกทั้งคำพูดและการกระทำ จึงไม่ได้สื่อความซึ้งความเศร้าออกมาชัดเจนโดยตรงแต่ก็มีเค้ารางความเหงาของคนใกล้ตายให้เห็นเป็นระยะ บุซซังที่รู้สึกแปลกแยกและโดดเดี่ยวเพราะเขาเป็นคนเดียวที่กำลังจะจากไป จึงไม่มีอนาคตอะไรให้ต้องคิดถึง ฉากที่บุซซังบอกอาการป่วยของตัวเองให้เพื่อนรับรู้จึงเป็นฉากหนึ่งที่ชอบมาก ทั้งที่หวั่นๆ กลัวว่ามันจะเป็นเรื่องจริง ทั้งที่เอนเอียงในความจริงจังที่น่าเชื่อถือของบุซซัง แต่เพื่อนๆ ก็ยังพยายามสรุปว่า "มันโกหกชัวร์!" (เล่นแบบนี้ไม่ขำนะโว้ย)





ดูจากสภาพการณ์ทั้งการออกความคิดการตัดสินใจ บุซซังถือได้ว่าเป็นหัวโจกของทีมแคทส์อายอยู่แล้ว ยิ่งรู้ว่าตัวเองกำลังจะตายยิ่งมีเรื่องมากมายที่อยากจะทำเป็นวีรกรรมสุดเหวี่ยงทิ้งท้าย และสิ่งเดียวที่เพื่อนๆ พอจะทำให้บุซซังได้ก็คือการร่วมก่อวีรกรรมสุดแสบแบบถึงไหนถึงกันนี่แหละ หนึ่งในนั้นก็คือการเป็น หัวโขมยแห่งคิซาราสึ งานอดิเรกของแคทส์อายก็คือการโขมย อะไรก็ได้ที่โขมยแล้วมันให้ความรู้สึกสนุกสุโค่ย และเงินที่ได้จากการโขมยมาพวกเขาจะนำไปทำประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งให้กับคิซาราสึ จะโดยตั้งใจหรือบังเอิญสถานการณ์มันเป็นไป ก็ล้วนแต่กลายเป็นประโยชน์ให้คิซาราสึได้ในที่สุด (หรือนี่จะเป็นอิทธิพลของฮีโร่นามโรบินฮู้ด)



ความโดดเด่นในใจสำหรับซีรีย์เรื่องนี้คือ "ความสัมพันธ์" ที่ไม่ได้ดูเป็นความจริงจัง (เพราะมีแต่คนเพี้ยน) แต่ก็เต็มไปด้วยความจริงใจ (จากใจของคนเพี้ยนๆ นั่นแหละ)

บุซซัง-แบมบี้ ที่มีเรื่องหมางใจกันมาก่อนเมื่อครั้งจบมัธยมปลาย ดูต่างคนต่างก็คงเสียใจกับเรื่องที่ในอดีตผ่านมา ทั้งที่ใจยอมรับว่าตนมีส่วนผิด แต่ไม่มีใครยอมรับออกมาว่าตัวเองผิดและขอโทษ ต่างไม่ยอมรับและเอ่ยปากโทษอีกฝ่าย ตั้งแต่จบมัธยมปลายบุซซังกับแบมบี้จึงเข้าหน้ากันไม่ค่อยติด แต่เพราะบุซซังกำลังจะตาย แบมบี้ที่ห่างหายจึงหันกลับมาเข้ากลุ่ม

บุซซัง-กับชื่อจริงๆ ของอานิ ที่ไม่เคยมีใครจำได้ชัดและเรียกถูก แต่บุซซังทำให้อานิมีความสุขกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ ทั้งที่มันก็แค่การจำชื่อ (ชื่อ ซาซากิ คิซาชิ คนคงจะจำกิๆ คิๆ ชิๆ สับหน้าสับหลังกันกระมัง แม้แต่ชื่อเล่นในเรื่องมักจะมีมุขที่คนเรียกชื่อเล่นด้วยชื่ออานิ แต่ก็ยังเติม อานิคิ อานิกิ แล้วอานิก็มักตระโกนแก้ไขชื่อของเขาออกมาว่า "ไม่มี 'กิ'โว้ย"

บุซซัง-กับมาสเตอร์ บุซซัง-กับอุจจี้ และบุซซัง-กับโมโกะ ไม่ว่าจะกับใครในความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างดูยุกยิกวุ่นวาย แต่ดูแล้วมันเป็นความสนุกและเป็นความสุขที่ได้ใช้เวลาร่วมกัน ก็คงเหมือนตอนเราอยู่กับเพื่อนแก๊งสนิทล่ะค่ะ ไม่รู้เอาเรี่ยวแรง เอาเรื่องราวจากไหนมาพูดกันได้ทั้งวัน หัวเราะไปด้วยได้อีกทั้งวันเมื่ออยู่กับเพื่อนตัวฮา บางครั้งบางคราก็มีลูกบ้าฮึดฮัดขึ้นมาทำโน่นทำนี่กันให้จดจำนำมาหัวเราะระลึกความหลังในเวลาต่อมาแบบไม่รู้จบ



โมโกะ สาวอาโนเนะที่เป็นเพื่อนสมัยเรียนกับหนุ่มๆ ทั้งห้า โมโกะชอบบุซซังแต่ก็สามารถควงผู้ชายได้ทุกคนที่เสนอตัวมาทอดสะพานให้ และยังมี'ของตาย' เป็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่ทุ่มเทรักเพื่อโมโกะสุดหัวใจ ดูจะเป็นรักที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงมาแต่ชาติปางไหน นั่นก็คือ แบมบี้ ใครจะว่าโมโกะเป็นอิสาวบ้าบอปัญญาอ่อนขนาดไหน แบมบี้ไม่เคยสนใจ (ก็ผมรักของผมนี่นา) นี่จึงเป็นหนึ่งในความลุ้นที่ไม่ค่อยมีให้ลุ้นนักในซีรีย์เรื่องนี้ แบมบี้จะเอาชนะใจโมโกะได้หรือไม่และอย่างไร

บุซซัง-แบมบี้-อานิ-อุจจี้-มาสเตอร์ พวกเขาหล่านี้มีความสัมพันธ์อันดี (ที่แม้จะลุ่มๆ ดอน) กับคนเหล่านี้

ออสซี่ (หรือ โอซุ Osu) ชายผู้นี้ความจำเสื่อม แต่เขาเหมือนเป็นสัญลักษณ์ของคิซาราสึ เป็นเหมือนเทวดาประจำเมือง ออสซี่ไม่มีบ้านแต่อาศัยนอนในรถตู้ของเขาเองและเพ่นพ่านไปตามถนนหนทาง สถานที่โปรดปรานของออสซี่ก็คือบาร์เหล้าของมาสเตอร์ เพราะออสซี่จะได้ดื่มเบียร์ฟรีโดยที่มาสเตอร์ไม่เคยคิดตังค์ มันน่าสนใจที่ว่าอดีตเป็นมาอย่างไรกันนะ ใครๆ ถึงได้รู้จักและรักออสซี่ราวกับเป็นคนสนิทคุ้นเคย แม้แต่การที่เขาลงสนามเล่นเบสบอล คนทั้งย่านก็แห่กันมาเพื่อดูและเป็นกำลังใจแก่ออสซี่ที่ความจำเสื่อมและไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไร



เนโกตะ โค้ชทีมเบสบอลจอมงกที่เพี้ยนไม่น้อยหน้าไปกว่าคนอื่นๆ สิ่งหนึ่งที่ทุกคนรู้จักเนโกตะดีนั่นคือ เมื่อเขาโกหกหน้าเขาจะเหมือนหนู (ฮ่าฮ่า)

รุ่นพี่ยามางุจิ ยากูซ่าหน้าหยกที่เป็นขาใหญ่ของคิซาราสึและเป็นที่นับถือเป็นที่พึ่งพาได้(ในบางครั้ง) ของพวกแคทส์อายด้วย แต่ว่า ... อีกเช่นกันคือ ...เพี้ยนนนนน




โรส
ผู้มีฉายาว่า The Second Generation Kisarazu Rose เธอเป็นสาวนักเต้นในบาร์รุ่น สว. (สูงวัย) สำหรับโรสแล้ว อายุเป็นเพียงตัวเลข เพราะเธอยังคงเป็นสาวสูงวัยใจหัวใจเด็ก โรสจะคอยดักหน้าดักหลังหนุ่มๆ ชักชวนให้แวะเข้าผับไปชมการแสดงโชว์ ยามหนุ่มๆ เดินผ่าน แต่มักจะได้ผลกับแค่คนๆ เดียวที่หลงคารมนั่นก็คือ อุจจี้

โคสุเกะ พ่อของบุซซัง เป็นช่างตัดผมที่หลงใหลศิลปะการแสดงเป็นชีวิตจิตใจ งานอดิเรกของพ่อโคสุเกะก็คือการออกไปเรียนการแสดง และมักจะแสดงบทบาทที่เรียนมาให้บุซซังได้เห็นอยู่เสมอ บุซซังไม่เคยเรียกโคสุเกะว่า "พ่อ" ( โอโต้ซัง ) แต่เรียกด้วยชื่อเฉยๆ ว่าโคสุเกะ จะด้วยพื้นฐานเป็นมาอย่างไรไม่อาจทราบได้ แต่เท่าที่เห็นไม่ใช่คู่พ่อลูกที่จะพูดจากันมากนัก จะว่าสนิทก็ไม่ใช่จะว่าห่างเหินก็ไม่เชิง เป็นความสัมพันธ์แบบรักนะแต่ไม่แสดงออกมากกว่า




ครูมิเร
เป็นคุณครูประจำชั้นของบุซซังและเพื่อนๆ ในสมัยเรียน และยังเป็นครูที่โรงเรียนอยู่ เธอถูกครูใหญ่ตามรักตามตื๊อเหมือนพวกสตอล์คเกอร์จนสติแตกและกลายเป็นครูเพี้ยนๆ ไปด้วยอีกคน บุซซังแอบปลื้มครูมิเรมาตั้งแต่เมื่อครั้งยังเรียนหนังสือและครูกับลูกศิษย์เหล่านี้ก็ยังมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันอยู่ แม้ว่าจะออกจากโรงเรียนมาแล้ว

ครูมิเรและบุซซังต่างก็มีช่วงเวลาที่ยากลำบาก บุซซังที่ต้องบอกกล่าวกับเพื่อนๆ ว่าเขากำลังจะตาย และครูมิเรที่เพี้ยนจนทำเรื่องป่วนโรงเรียนก็ถูกพักงานการสอน อดีตครูกับลูกศิษย์จึงผลัดกันให้กำลังใจกันและกันในยามที่อีกคนประสบปัญหา

จุน น้องชายของอานิ ลูกเอาถ่านที่ตรงกันข้ามกับพี่ชาย จุนเป็นนักเบสบอลฝีมือดีและเป็นความหวังของโรงเรียนในการพาทีมมุ่งหน้าสู่การแข่งขันที่โคชิเอ็ง อานิที่ตกงานซ้ำซากจึงเป็นลูกที่ไม่ได้รับความเอ็นดูจากพ่อแม่เท่าไรนัก (ลูกผู้ไม่อยู่ในความคาดหวัง)

พักนี้ เห็นหน้ากันบ่อยนะคะ สำหรับนาริมิยะ ฮิโรกิ ใน Kisarazu cat's eye ยังดูละอ่อนเอ๊าะอยู่เลย อ่อนไม่อ่อนก็เล่นเป็นน้องชายของทาเคชิได้ (อานิ) แต่ถ้าให้เทียบกันตอนนี้คิดว่าหน้าตาของฮิโรกิแก่เลยหน้าทาเคชิไปแล้วนะคะ



ยังมี แขกรับเชิญมากหน้าหลายตาที่โผล่มาในแต่ละตอนให้เนื้อหาของเรื่องสนุกและน่าสนใจมากขึ้น ที่รู้จักแม่นยำก็คือหนุ่มหล่อซาโตชิที่แสดงเป็น Little Yamada อดีตเพื่อนนักเบสบอลที่ก้าวนำไปสู่ชั้นมือโปร Aikawa Sho แสดงเป็นตัวเขาเอง คือเป็นนักแสดงที่พวกแคทส์อายปลื้มและสำหรับบุซซังต้องใช้คำว่า "สุดคลั่ง" ถ้าเป็นแฟนคลับคงเป็นประเภทที่เรียกว่ายอมตายถวายหัว การที่พวกแคทส์ได้พบกับซุปเปอร์สตาร์ตัวจริงที่พวกเขาคลั่งไคล้ก็เป็นอีกหนึ่งความตลกที่ไม่ถึงกับฮาก๊ากแต่มุขของคุณคุโดะก็ไม่ฝืดเลยมีเรื่องให้หัวเราะตลอด ส่วนนักแสดงรับเชิญคนอื่นๆ ก็พอคุ้นหน้าอยู่บ้างแต่ไม่รู้จักชื่อแล้วล่ะค่ะ





และถ้าถามหาแขกรับเชิญที่ถูกใจที่สุดคงต้องเป็น Kishidan (วง J-pop จริงๆในวงการนักร้องญี่ปุ่น ) ที่มาแสดงเป็นตัวพวกเขาเอง คือ วง Kishidan โดยบทบาทคือสมาชิกในวงโตมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเดียวกันของเมืองคิซาราสึ ร่วมกันก่อตั้งวงดนตรีจนมีชื่อเสียงและเป็นสุดยอดความนิยมของชาวคิซาราสึเองด้วย Kishidan มีเหตุให้ต้องมาเกี่ยวพันกันกับพวกหนุ่มๆ ทั้งห้าที่กำลังคิดตั้งวงดนตรีขึ้นมาเล่นกันขำๆ ( เป็นอีกหนึ่งเรื่องท้าทายสุดขั้วที่พวกแคทส์คิดทำ) วง Kishidan นี้เองที่ทำให้ Eppisode 7 และ the movie มีสีสันเพิ่มขึ้นไม่น้อย เพราะมีพวกเขาแล้วมันฮา แต่งตัวเหมือนแก๊งนักเรียนนักเลงที่เดินหลุดออกมาจากหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่น แล้วยังชอบการแสดงบนเวทีของพวกเขาด้วย (ดูสนุกสนานและมันส์ดี)



ไม่ใช่แค่การตั้งวงดนตรีแล้วมีอะไรๆ ไปเกี่ยวข้องกับวง Kishidan หรอกนะคะที่มันสนุก เพราะตอนไหนๆ มันก็มีเรื่องให้ตลกและดูแล้วก็สนุกดี สิ่งใดเกิดขึ้นแล้วไม่ได้ถูกละทิ้งให้หายไปแค่จบในตอน แต่จะมีมาเกี่ยวข้องอยู่เป็นระยะๆ อย่างการเต้น ยัตไซ มตไซ ที่เริ่มขึ้นในตอนประกวด MR.KISARAZU CONTEST เพราะการเต้นนี้ถือเป็นสุดยอดความฮิตและความภาคภูมิใจของท้องถิ่น ยัตไซมตไซจึงเป็นหนึ่งในหัวข้อการประกวดนั่นคือ "การทดสอบจังหวะ" หนุ่มๆ ผู้เข้าประกวดทุกคนจะต้องเต้นยัตไซมตไซ เพื่อให้คณะกรรมการพิจารณาให้คะแนน ใครๆ ก็ขยับตามจังหวะเมื่อได้ยินเสียงยัตไซมตไซ โมโกะก็ชอบยัตไซมตไซ แม้แต่คนความจำเสื่อมอย่างออสซี่ก็ยังเต้นยัตไซมตไซ (Episode 4 Mr.Kisarazu Contest มันฮาได้ใจจริงๆ) จากนั้นก็จะมียัตไซ มตไซโผล่เข้ามาให้เห็นกันอีกแบบผูกใจไว้ไม่ให้ห่างหาย ก็คงเป็นความรู้สึกคุ้นเคยอย่างเดียวกันกับที่ใช้คำว่า "ผูกพันกับตัวละคร" นั่นแหละค่ะ และเพราะยัตไซมตไซกับการประกวดมิสเตอร์คิซาราสึนี่แหละมั้งที่ทำให้ตกหลุมรักตัวละครสุดซื่อบื้ออย่างอุจจี้และแบมบี้ผู้ซื่อใสไร้เดียงสา


แล้วตอนที่พวก Kishidan เต้นยัตไซมตไซนะ โอ้โห ..... สุดฮา





Kisarazu cat's eye ดำเนินเรื่องแบบย้อนไปย้อนมา คนละอย่างกับการวกไปวนมานะคะ เพราะไม่ได้วกวนในเนื้อหาแต่ย้อนกลับไปและดึงกลับมาไปในการตัดต่อภาพและเชื่อมต่อเหตุการณ์ เป็นช่วง "ต่อเวลา" (ที่หายไป) ที่ทำได้อย่างฮาๆ แบบแยบคาย รับรองว่า ..ไม่มีทางเดาทางถูก และแม้จะคุ้นเคยกับช่วงต่อเวลาในทุกๆ ตอนที่ว่านั้นแล้วก็ยังไม่มีเบื่อราวกับว่านั่นเป็นช่วงเวลาที่รอคอยว่าเกิดอะไรขึ้นในอีกด้านหนึ่งระหว่างนั้น (อธิบายยากซะจริง) บางครั้งเรื่องก็ดำเนินไปจนถึงสุดตอนของมันแล้ว เพลินจนลืมไปว่ายังมีช่วงต่อเวลาที่จะย้อนสิ่งเล็กสิ่งน้อยที่หายไปแต่มีผลกระทบไม่น้อยต่อความเป็นไปที่ดำเนินมา Kisarazu Cat's eye สนุกตรงช่วงต่อเวลานี้อย่างหนึ่ง ส่วนอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญจะเป็นสิ่งอื่นใดไปไม่ได้เลย นอกจาก "ตัวละคร" ซึ่งก็ไม่ได้มีคนไหนหล่อลากไส้ลากดิน ก็หน้าตาธรรมดาพื้นๆ นักแสดงญี่ปุ่นนี่แหละ แต่ว่าชอบทุกคน



โอคาดะ จุนอิจิ เริ่มต้นชอบหนุ่มคนนี้จาก Tiger & Dragon มาเจอกันอีกทีในหนังสุดเงียบอย่าง Otonari คู่กับนางเอก อาโซะ และเพราะถูกใจหนังเงียบเรื่องนั้นจึงได้ซีรีย์เรื่องนี้มาในฐานะที่เป็น ผลงานของจุนอิจิ

ซาโต้ เรียวตะ จะจดจำเค้าตลอดไปในบทบาทของอาจารย์คาวาโต้เจ้าคำคมแห่ง Rookies จากนั้นมาไม่ว่าเรียวตะจะแสดงเรื่องไหนก็ชอบไปซะหมด

ซึคาโมโต้ ทาคาชิ ชอบหนุ่มคนนี้จริงๆ เลยนะกับบทบาทของเออิจิ หนุ่มช่างเมาท์ในเรื่อง Kekkon Dekinai Otoko จากนั้นโผล่หน้าให้เห็นแว่บๆ ในเรื่องไหนเป็นได้ดีอกดีใจทุกครั้งไป เพราะเรียวตะ กับทาคาชินี่แหละ ทำให้ซีรีย์ Kisarazu Cat's eye แซงคิวซีรีย์ในสต๊อกเรื่องอื่นๆ มาได้เร็วกว่าปกติทั้งที่ไม่ใช่ซีรีย์แนวรักโรแมนติก

ซากุไร โช แห่งวงอาราชิ เคยได้ยินชื่อคุ้นหูมานานแต่เพิ่งจะเคยเพ่งพิศหน้าตาจริงๆ นี่แหละ ก็ไม่หล่ออย่างที่เคยเห็นนั่นแหละ (อ้าว!) (แฟนๆ อาราชิอย่าเคืองนะ) แต่ว่าบทของแบมบี้ในเรื่องนี้ โชเล่นเป็นคนสุดซื่อได้อย่างน่ารักสมบทบาทไม่เสียสง่าในความเป็นสมาชิกของวงอาราชิแม้แต่น้อย

โอคาดะ โยชิโนริ เคยเห็นหน้าอุจจี้จากซีรีย์เรื่องอื่นแน่ๆ แต่จำไม่ได้เลย บุคลิกของอุจจี้ในเรื่องนี้มีแค่เส้นบางๆ ขีดขั้นระหว่าง 'แค่เอ๋อเหรอ' กับ 'ปัญญาอ่อนจริงๆ' เขาเคยแสดง Oh! my girl กับ Utahime ด้วย แต่ไหงจำบทของเขาไม่ได้เลยหว่า เว้ากันซื่อๆ เลยคืออุจจี้ดูจะโง่ที่สุดในกลุ่ม แต่มักจะมีส่วนเกี่ยวข้องในสถานการณ์พลิกผันให้เหตุการณ์มีอันเป็นไปอยู่บ่อยๆ เพราะเขาคืออุจจี้ผู้ลึกลับที่ใครๆ คาดไม่ถึง






ตัวละครแต่ละตัวบทบาทไม่น้อยหน้ากันนัก นั่นคือสิ่งหนึ่งที่ชอบในความเป็นซีรีย์ญี่ปุ่นคือกระจายความสำคัญไปยังตัวละครต่างๆ ที่ไม่ได้มีไว้แค่ให้พระเอกนางเอกมีคนพูดคุยด้วย เรื่องนี้ไม่ธรรมดาในความรู้สึกก็ตรงที่ตัวละครเหล่านี้ดูไปก็รู้สึกผูกพันไปกับพวกเขา ในความบ้าบวมแบบเพี้ยนๆ ที่กลายเป็นความตลกน่ารักและหลงรักตัวละครเหล่านี้ในที่สุด รักไม่รักก็ดูครบทั้งสามภาค คือ ซีรีย์ปี 2002 , the movie ในปี 2003 และพิเศษสุดท้ายในปี 2006 สงสัยกันใช่ไหมล่ะคะว่าทำไมบุซซังที่เป็นมะเร็งถึงยังมีชีวิตอยู่และมีอะไรให้เล่นอีกใน The movie ปี 2003 และมีอีกทีในปี 2006 ซึ่งตามความยาวแล้วไม่รู้ว่าเป็นหนังหรือเป็นมินิซีรีย์ออนแอร์ทางโทรทัศน์ และความบ้าก็พุ่งดีกรีสูงขึ้นตามลำดับด้วย ซีรีย์ปี 2002 นั้นทำดีมาก The movie ปี 2003 ก็ยังโอเค แต่ว่า the final ในปี 2006 รู้สึกจะบ้าตกขอบโลกเกินไปหน่อย



แต่อย่างไรก็ตาม ต้องถือว่าเป็นการฉลาดสร้างเรื่องและเขียนบท เพราะความจริงที่ว่าบุซซังจะต้องเสียชีวิตไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป แต่ที่ยังมีอะไรให้เล่นก็เพราะการตัดต่อและเชื่อมโยงช่วงต่อเวลาที่กล่าวมานั้นแหละ ทำให้บุซซังยังอยู่มายาวถึงตอนจบสุดท้ายในปี 2006 และก็กลายเป็นอีกหนึ่งซีรีย์ที่ดูจนครบจบสมบูรณ์แบบไร้ข้อกังขา เช่นเดียวกับเพื่อนๆ ในเรื่องที่หมดปัญหาเรื่องค้างคาใจ



ชอบเนื้อหาตรงจุดหนึ่งที่ว่า ทั้งที่มีเพื่อนสนิทที่อยู่ด้วยกันร่วมกันทำอะไรๆ มาตั้งมากมาย แต่สุดท้ายทำไมบุซซังถึงต้องตายไปอย่างเดียวดายไร้เพื่อนสักคนอยู่เคียงข้าง อีกทั้งที่เหลืออยู่ก็วงแตก แยกกันไป "ตกต่ำ" คนละทิศละทาง แล้วก็เพราะบุซซังนี่แหละพวกเขาถึงได้กลับมารวมตัวกันที่คิซาราสึอีกครั้ง ฉากหน้าดำเนินไปในลักษณะคอมมาดี้เฮฮาแต่ก็แฝงเรื่องน่าคิดเอาไว้บ้างไม่ถือว่าโบ๋เบ๋ว่างเปล่าจนเกินไป


ยัตไซ มตไซ
(เรียกถูกหรือเปล่าไม่รู้นะคะ) เป็นเพลงโฟล์คโบราณประจำเมืองคิซาราสึ ชาวคิซาราสึล้วนแต่มีจังหวะยัตไซมตไซอยู่ในสายเลือดทุกคน และยัตไซมตไซนี่แหละ ที่ผลักดันเข้าไปสู่โลกของคิซาราสึและเทใจให้กับซีรีย์แปลกๆ เรื่องนี้....อย่างแรงงงง





เพลงประกอบละคร ชื่อเพลง "A Day in Our Life" ชอบเพลงอยู่ก่อนแล้วถึงเพิ่งมารู้ว่าเป็นบทเพลงของวงอาราชิ วงบอยแบนด์ของญี่ปุ่นที่แม้ไม่เคยฟังเองแต่ก็รู้ได้ว่า วงอาราชิเป็นวงที่มีชื่อเสียงดังไกลไม่น้อย เพลงที่ว่านี้จึงถือว่าสมราคาอาราชิ


Award

32nd Television Drama Academy Awards: Best Screenwriter: Kudo Kankuro
32nd Television Drama Academy Awards: Best Director: Kudo Kankuro
32nd Television Drama Academy Awards: Best Opening
32nd Television Drama Academy Awards: Best Cast











ภาพและข้อมูล :

//wiki.d-addicts.com/Kisarazu_Cat's_Eye
//www.tbs.co.jp/catseye/
Search pictures from google.com




 

Create Date : 30 มกราคม 2554    
Last Update : 22 กุมภาพันธ์ 2558 8:43:17 น.
Counter : 2584 Pageviews.  

Nagareboshi / Shooting Star อธิษฐานรักจากดวงดาว



Title : Nagareboshi ( Shooting Star )
Genre: Romance Episodes: 10
Broadcast network : Fuji TV
Screenwriters: Usuda Motoko , Akiyama Ryuhei
Producer: Nakano Toshiyuki
Director: Miyamoto Rieko




Smiley Nagareboshi / Shooting Star อธิษฐานรักจากดวงดาว Smiley


ตั้งชื่อภาษาไทยให้เก๋ไปอย่างงั้นเองแหละค่ะ เพราะเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับดาวตกและการขอพรในเนื้อเรื่องนั้นก็มีอยู่เพียงนิดเดียว เพราะคิดหลายตลบแล้วไม่รู้จะตั้งชื่อยังไงดี พิจารณาจากเนื้อหาแล้วจะตั้งว่า "แมงกะพรุนสื่อรัก" หรือ "รักนี้เกิดจากตับ" ก็กระไรอยู่ แม้จริงๆ จะใช่ แต่ว่ามันไม่เท่



เข้ามาเป็นตัวเลือกเพราะอยากดูซีรีย์แนวความรักโรแมนติก ประจวบกับนางเอกคือ อายะ อุเอโตะ ( Attention Please, Minamoto Yoshisune , Hoteiler , Marriage Hunting ) ก็มีใจให้ไปค่อนทางแล้ว เห็นทาเคโนะอุจิ ยูทากะ รับบทเป็นพระเอก ต้องรีบเทใจให้เลย ไม่ใช่เพราะเป็นพระเอกในดวงใจหรอกนะคะ ไม่ได้ชอบพอกันมากมายกับยูทากะ แต่เพราะผลงานเรื่อง Shotgun Marriage เป็นหนึ่งในซีรีย์ความรักที่ประทับใจ และเรื่องรักอื่นๆ ที่ยูทากะแสดงก็ได้รับการกล่าวถึงไม่น้อย แม้ตัวเองจะไม่เคยดูแต่ก็คาดหวังว่าเรื่องที่เขาคนนี้แสดงจะต้องน่าดูแน่ๆ แล้วก็ไม่ผิดหวังจริงๆ

หากนำ Nagareboshi ที่มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Shooting Star (ดาวตก) ไปเปรียบเทียบกับ คนรักของพระจันทร์ Moon lovers ที่มีป๋าใหญ่ทาคุยะเป็นพระเอก ผลงานนี้บนเส้นทางสายซีรีย์โรแมนติกแห่งปี 2010 ป๋ารองยูทากะได้หน้าเข้าเส้นชัยไปเต็มๆ แบบทิ้งระยะห่างเป็นโยชน์ ยิ่งถ้าวัดกันที่ความรู้สึกนี่คืออีกหนึ่งผลงานของ ยูทากะ และ อายะ ที่น่าจดจำ (อายะจัง สุดที่รักSmiley)

คู่เหมือนที่แตกต่าง

พี่น้องคู่หนึ่ง เป็นคู่พี่น้องที่รักกัน พี่ชายยินดีและพร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อความสุขของน้องสาว ในขณะที่พี่น้องอีกคู่หนึ่ง คนเป็นพี่ชายพร้อมจะพรากทุกอย่างที่เป็นความสุขของน้องสาวไป ทั้งสองคู่เหมือนกันตรงที่ ต่างก็เป็นคู่พี่น้องสายเลือดเดียวกัน แต่ในความสัมพันธ์สุดต่างกันราวฟ้ากับเหว



โอคาดะ เคนโงะ (Takenouchi Yutaka ) และ โอคาดะ มาริเอะ (Kitano Kii นางเอกภาพยนต์เรื่อง Half way คู่กับ โอคาดะ มาซากิ) คือคู่พี่น้องกลมเกลียวเป็นน้องนางฟ้ากับพี่ชายที่แสนดี ครอบครัวที่มีกันสามคน 'แม่ พี่ชาย น้องสาว' ฉากหน้าดูเป็นครอบครัวอบอุ่นและมีความสุข แต่ฉากหลังฝังตรึงด้วยความทุกข์ใหญ่ยิ่ง เป็นเพราะชะตาฟ้าเปี่ยมยุติธรรมจึงไม่อนุญาตให้มนุษย์หน้าไหนมีความสุขสมบูรณ์พร้อมเกินไป ก่อนครอบครัวจะเหลือกันสามคน นั่นคือการผ่านมาซึ่งอดีตอันแตกแยกและร้าวราน ทั้งมาริเอะยังป่วยเป็นโรคตับและเวลาแห่งการรอคอยผู้บริจาคตับเพื่อทำการปลูกถ่ายก็เหลือน้อยลงทุกที "Hopeless face" ใบหน้าหม่นหมองของคนที่ดูราวกับชีวิตนี้ไร้ความหวังจึงเป็นใบหน้าอันเป็นเอกลักษณ์ของเคนโงะที่ไร้อารมณ์สนุกสนานเอาแต่ขยันทำงานเก็บเงินเพื่อทำหน้าที่ของพี่ชายอย่างไม่ให้มีขาดตกบกพร่อง เตรียมตัวเตรียมใจและเตรียมเงินเพื่อรักษาน้องสาวของตัวเองตลอดมา



มากิฮาระ ชูอิจิ (Inagaki Goro) และ มากิฮาระ ริสะ (Ueto Aya) คือ อีกหนึ่งคู่พี่น้อง แต่ความสัมพันธ์คล้ายดั่งเจ้ากรรมนายเวร คือมันเป็นเวรกรรมอะไรก็มิทราบได้ ที่ชูอิจิจะต้องเป็นพี่ชายที่แสนเลว สร้างแต่ปัญหา สร้างหนี้สิน และยังเป็นจอมรีดไถที่คอยขูดรีดเอาเงินจากน้องสาวไม่ต่างกับตัวแมงดาหน้าไม่นิ่มที่คอยเกาะผู้หญิงกิน (และผู้หญิงที่ว่าก็คือน้องสาวของตัวเอง) เพราะชีวิตเต็มไปด้วยหนี้ คิดจะหนีก็หนีไปไม่พ้น ริสะจึงต้องกลายเป็นผู้หญิงขายตัวเพื่อปลดหนี้ที่ตัวเองไม่ได้ก่อ



'การปลูกถ่ายตับ' ไม่ใช่สิ่งที่หาความเข้ากันได้ยากเย็นแบบการปลูกถ่ายไขกระดูกของผู้เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว แต่แม่กับเคนโงะะต่างก็มีสาเหตุที่ทำให้ตับของทั้งคู่ไร้ประโยชน์ต่อมาริเอะ บริจาคไม่ได้เพราะความไม่เข้ากัน หนทางเดียวที่มีอยู่คือต้องรอผู้บริจาค ซึ่งก็เป็นการคอยที่ไร้จุดหมายเพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะมีคนบริจาคให้ ในขณะที่อาการป่วยของมาริเอะกำลังแย่ลงทุกที เคนโงะกลัดกลุ้มและวิตกกังวล ทั้งที่ขณะนั้นเขากำลังเตรียมงานแต่งงานกับ เออิซาว่า มินาโกะ ( Itaya Yuka) หญิงสาวผู้เป็นคู่หมั้นและรักกันมานานหลายปี



การปลูกถ่ายอวัยวะนั้น ตามกฏหมายของญี่ปุ่นกำหนดไว้ว่าจะต้องได้รับการบริจาคมาจากครอบครัว เครือญาติและ "brain death donor" เท่านั้น ตอนแรกก็ไม่เข้าใจค่ะว่าทำไมต้องเป็นผู้บริจาคที่สมองตาย ถามกูรูอย่างกูเกิ้ลจึงได้รู้ว่า "...เพราะผู้ป่วยที่อยู่ในสภาพสมองตายใหม่ ๆ อวัยวะอย่างอื่นยังทำงานได้ดี ปอดสามารถฟอกอากาศได้ หัวใจสูบฉีดโลหิตได้ ไตล้างของเสียในเลือดได้ ตับยังทำงานอยู่ กระจกตายังไม่ขุ่นมัว ตับอ่อนทำงานตามปกติ ทำให้ผู้ป่วยที่สมองตาย (ซึ่งได้ตายจากเราไปแล้ว) มีสภาพเหมาะที่จะเป็นผู้บริจาคอวัยวะอย่างอื่นที่ยังปกติดี (Donor) ให้ กับผู้รอคอบการปลูกถ่ายได้ (Recipient) แพทยสภาและสมาคมแพทย์ระบบประสาทจึงมีการกำหนดกฎเกณฑ์ในการบริจาคอวัยวะ เพื่อป้องกันการซื้อขาย หรือ ทำผิดจรรยาแพทย์.." (ที่มา : หมอก้อนหิน แห่ง Bloggang.com)





เมื่อตับนำความรักจากไป

แม่ที่รักลูก ยามหมดความหวังสิ้นกำลังใจ ก็พร้อมจะทำทุกอย่าง ลงทุนคุกเข่าขอร้องว่าที่ลูกสะใภ้ ช่วยไปตรวจเลือด ตรวจสภาพตับ และถ้าหากเข้ากันได้ ได้โปรดช่วยบริจาคตับให้มาริเอะด้วย มินาโกะรักหนุ่มคู่หมั้นเคนโงะ และรักมาริเอะเหมือนน้องสาวของตัวเองคนหนึ่งก็จริง แต่การเฉือนอวัยวะของตัวเองไปให้ใครสักคนมันเป็นเรื่องใหญ่ เป็นการให้ที่มากเกินไป หวั่นกลัวผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับสุขภาพของตัวเองในอนาคต นำไปสู่ความลังเลใจ และสุดท้ายเธอก็ตัดสินใจปฏิเสธ

การที่แม่ขอร้อง ขอร้องในฐานะของคนที่กำลังจะเป็นครอบครัวเดียวกัน ในเมื่องานแต่งงานก็จับจองสถานที่กำหนดวันขึ้นแล้วก่อนที่อาการป่วยของมาริเอะจะทรุดลง ดังนั้น คำปฏิเสธการให้ตับ จึงเหมือนเป็นการปฏิเสธการเป็นครอบครัวเดียวกันด้วย รักนี้จึงพังเพราะตับ การแต่งงานถูกยกเลิก

น้องสาวกำลังจะตาย คนรักก็เลิกราจากไป (เพราะเห็นตับมีค่ามากกว่าผู้ชายดีๆ คนหนึ่ง) เคนโงะะจึงตกอยู่ในสภาพของคนสิ้นหวังด้วยใบหน้า Hopeless face หนักยิ่งกว่าเดิม



ทางด้านริสะ เธอมีคนรักเป็นชายหนุ่มหน้าตาดี และท่าทางจะนิสัยดีด้วย (เห็นหน้าวับๆ แวมๆ ให้เพ่งพิศแล้วก็รู้สึกคุ้นๆ ก็เอ๊ะ ! ดีใจวาบเลยเพราะนักแสดงหนุ่มรับเชิญคนนี้คือ สุดหล่อ ไดโตะ ชุนสุเกะ หวานใจหน้าใหม่จาก Tumbling และ Rescue นั่นเอง) แผนในอนาคตของแฟนหนุ่มมีเธออยู่ในนั้นด้วย แต่ถึงอย่างนั้นริสะก็ไม่ได้มีความสุขเท่าที่ควร เพราะเธอมีความลับปิดบังไว้เกี่ยวกับงานพิเศษในสถานที่ที่ประกอบกิจการ Sex Trade "งาน" ที่ไม่อยากทำแต่ต้องทำเพื่อปลดหนี้ ความทุกข์ที่ทับถมอยู่ภายในใจทำให้เธอมีบุคลิกแบบร่างที่ไร้วิญญาณ ซังกะตาย ที่จะมีพอให้เห็นอารมณ์อยู่บ้างก็คือร่องรอยความเหงา เศร้า และเงียบเย็นจนให้ความรู้สึก "วังเวง"

แต่ในที่สุดเธอก็ทำงานพิเศษนั่นจนหลุดหนี้ หวังว่าชีวิตนี้ต่อไปจะดีขึ้นลืมอดีตที่ขื่นขมแล้วก้าวไปมีชีวิตใหม่ในวันข้างหน้า แต่มันดันไม่จบแค่นั้น เพราะคุณพี่ชายที่หายไปพักใหญ่หลังจากทิ้งหนี้ก้อนโตไว้ให้ มันกลับมาหาอีกแล้ว ถึงริสะจะพยายามปกปิดการมีแฟนและชื่อเสียงเรียงนามของแฟนหนุ่มยังไง ไอ้คุณพี่ชายก็ยังอุตส่าห์ดมกลิ่นจนค้นพบ และยังแอบไปหลอกยืมเงินแฟนของริสะ แถมยังปากบอนเรื่องงานพิเศษของเธออีกด้วย

ความผิดของการเป็นคนรักมันไม่ใช่แค่การปิดบังความจริง แต่การที่เป็นผู้หญิงขายเซ็กส์ ผู้ชายหน้าไหนมันจะรับได้ เว้นแต่ว่าเป็นพ่อพระ มองเห็นเนื้อหนังมังสาเป็นของนอกกายจะเอาไปกระทบเนื้อใครจะผ่านอะไรมาก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่เพราะแฟนของริสะไม่ใช่พ่อพระจึงรับไม่ได้ รักนี้จึงพังตามระเบียบ ความรักที่ไม่เหลืออะไรไว้ให้นอกจากหนี้ก้อนใหม่ก้อนใหญ่ที่พี่ชายของเธอยืม 'อดีตแฟน' ไป

นิยามคำว่าพี่ชายสำหรับริสะ จึงหมายถึง คนที่ไม่เคยให้อะไรมาแต่เป็นคนที่เอาทุกอย่างไป



เมื่อตับนำความรักผ่านเข้ามา

สิ่งที่เรียกว่าบุพเพสันนิวาสคงอยู่ในภาวะปั่นป่วนกระมัง ถึงได้ดลบันดาลให้ชายสิ้นหวังคนหนึ่ง ได้มาพบกับผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นยิ่งกว่าคนสิ้นหวังแต่หมดแล้วซึ่งพลังในการมีชีวิตอยู่ เคนโงะและริสะ เคยพบกันก่อนหน้านั้น เพราะแมงกะพรุนเป็นเหตุ ( Jellyfish) ยามเสียใจไร้ทางออกริสะไปที่พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำเพื่อไปดูแมงกะพรุนและเคนโงะก็ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์อยู่ที่นั่น แมงกะพรุนที่ล่องลอย บางเบา ดูเงียบเหงาและโดดเดี่ยวแม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางแมงกะพรุนตัวอื่นๆ "มันเหงาไหม" นั่นแหละคือคำถามที่ริสะถามเคนโงะและเขาอธิบายให้เธอฟังว่าแมงกะพรุนไม่มีสมองมันจึงไม่มีอารมณ์ความรู้สึกและริสะก็บอกว่าเธออยากเป็นเหมือนแมงกะพรุน



เขาและเธอเคยพบกันอีกหลังจากนั้น หน้าพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำริมทะเลที่ริสะนั่งดื่มอย่างเดียวดายและเฝ้ามองดาวบนท้องฟ้าขณะที่เคนโงะออกมาเดินผ่อนคลายอารมณ์ตึงเครียดเรื่องอาการป่วยของมาริเอะ ริสะเห็นชายหนุ่มแปลกหน้าหน้าตาอมทุกข์ท่าทางจะมีปัญหาชีวิตมาเหมือนกัน จึงชวนมาดื่มด้วยกันให้คลายความทุกข์ เธอยังให้นามบัตรแก่เขาเชิญชวนไปเป็นลูกค้าในงานพิเศษของเธอ ใครฉลาดดูก็รู้ได้ ผู้หญิงคนนี้ไม่มีความสุข และกับงานพิเศษแบบนั้นก็คงเพราะมีเรื่องจำใจให้ต้องทำ และสายตาของเคนโงะที่มองริสะก็บอกได้ว่าเขาเป็นคนฉลาด

เคนโงะช่วยชีวิตริสะไว้ในตอนที่เธอกำลังจะฆ่าตัวตาย และไอ้หนุ่มสิ้นหวังก็มีความหวังขึ้นมาจากตับของคนที่ไม่ต้องการจะมีชีวิต (ก็ถ้าชีวิตยังไม่สำคัญ นับประสาอะไรกับตับเล่า) "ผมอยากให้คุณแต่งงานกับผม" จึงเอ่ยปากขอเธอแต่งงานแลกกับการปลดหนี้ให้ เงินสามล้านเยนที่ไม่ได้ให้ไปเปล่าๆ แต่ขอให้เธอตอบแทนคืนมาด้วยตับของเธอ

คนที่กำลังจะตายไปแล้วแต่ดันกลับมาชีวิต เงินสามล้านเยนทำให้ดูเป็นผู้หญิงหิวเงินที่ขายได้แม้กระทั่งตับของตัวเอง แต่ลึกๆ ลงไปใครจะเห็นถึงใจที่รู้สำนึกในบุญคุณคน อีกอย่างคนที่ทิ้งศักดิ์ศรีเอาเนื้อหนังมังสาแลกเงินอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันจะมาเสียดายอะไรกับแค่เสี้ยวตับที่ต้องเสียไป

"my body's not all that valuable"

ริสะตัดสินใจเรื่องตับ ตั้งใจตัดขาดจากพี่ชาย เก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าแล้วหลบหนีไปอยู่ร่วมบ้านกับเคนโงะในฐานะภรรยา (กำมะลอ) ด้วยความรับผิดชอบดีเยี่ยมกับการที่ต้องเล่นละครตบตาคุณหมอเจ้าของไข้ในการนำเรื่องเสนอคณะกรรมการพิจารณาอนุมัติการผ่าตัดเปลี่ยนถ่ายอวัยวะซึ่งต้องมีการตรวจสอบที่มาของผู้บริจาคอย่างเข้มงวด



คามิยะ เรียว (Matsuda Shota) คือ คุณหมอคนดังกล่าว บังเอิญเขาได้พบความจริงว่าเจ้าสาวที่เคนโงะพามาแนะนำตัวในฐานะภรรยา 'โอคาดะ ริสะ' เป็นคนละคนกับ 'มินาโกะจัง' ว่าที่พี่สะใภ้ที่มาริเอะพร่ำพูดถึงด้วยความรักความสนิทสนม การแต่งงานของเคนโงะจึงมีที่มาน่าสงสัย แต่จะคาดคั้นถามเอาความจริงก็เกรงว่าจะเป็นการหยาบคาย ได้แต่เลียบๆ เคียงๆ ถามย้ำ ถามซ้ำ แต่เคนโงะก็ยืนกรานกระต่ายขาเดียว เขาเลิกกับมินาโกะและตกลงใจแต่งงานกับริสะภายในช่วงเวลาที่มาริเอะต้องพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล







ตอนไม่มีตับ ก็รอคอยกันอย่างใจจดใจจ่อ แต่พอมีคนเอาตับมาให้ตรวจสภาพความเข้ากันได้ ทุกอย่างพร้อมแต่กลับทำการผ่าตัดไม่ได้ เพราะในที่สุดความจริงก็คือความจริง คุณหมอคามิยะจะต้องเลือกเองระหว่างการดึงดันช่วยเหลือชีวิตคนไข้ หรือยืนหยัดไว้ซึ่งความถูกต้องภายใต้กฏหมายที่ห้ามไม่ให้มีการซื้อขายอวัยวะ

นั่นไม่ใช่แค่อุปสรรคเดียวที่เคนโงะและริสะต้องฝ่าฟัน เพราะต่อให้คุณหมอคามิยะปล่อยเรื่องนี้ผ่านไปการผ่าตัดก็ยังทำไม่ได้อยู่ดี เนื่องจากตัวผู้ป่วยเองไม่ยอมเซ็นใบยินยอมเข้ารับการผ่าตัด



เพราะครอบครัวต้องแบกรับภาระอาการป่วยของเธอมานาน ความจริงยิ่งกว่านั้นพวกเขาต้องทนรับความเจ็บปวดมามากพอแล้วที่มีเธอลืมตาเกิดมาบนโลกใบนี้ การปลูกถ่ายตับที่ทำให้พี่ชายต้องยกเลิกการแต่งงานและเลิกรากับคนรักไป การจะมีชีวิตยืนยาวต่อไปเพราะชิ้นส่วนอวัยวะที่ได้มาจากผู้หญิงหิวเงินคนนั้นคนที่ขายได้แม้กระทั่งตับของตัวเอง เป็นสิ่งที่มาริเอะยอมรับไม่ได้ เหนือสิ่งอื่นใดเธอไม่อาจยอมรับการผ่าตัด ที่เห็นอยู่แล้วว่าเป็นการผลักดันพี่ชายของเธอให้ตกอยู่ในฐานะผู้กระทำความผิดกฏหมาย เงินที่จ่ายไปเพื่อให้ได้มาก็เห็นได้ชัดอยู่แล้วว่ามันคืออาชญากรรม



ลองคิดดูนะคะ ริสะคือลูกกำพร้า เพราะพ่อแม่ตายจากไปแล้วตั้งแต่ยังเด็ก มีพี่ชายก็เป็นคนสารเลวที่มีแต่ทอดทิ้งและกลับมาเมื่อไหร่นั่นหมายถึงเงินและความรู้สึกที่เธอต้องสูญเสีย ได้เข้ามาอยู่ในบ้านของคุณพระเอก ที่มีคุณแม่แสนดี และตัวคุณพระเอกเองก็เป็นพี่ชายที่แสนดีให้เห็นอยู่ตำตาตำใจ คิดแทนตัวละครแล้วสุดเศร้า "บ้านหลังนั้น" "ผู้ชายคนนั้น" และ "ครอบครัวนั้น" จึงเป็นสิ่งดีๆ ที่ริสะอยากช่วยเหลือด้วยใจจริง

ต่อให้ภายนอกจะดูเป็นผู้หญิงหยาบคายไร้หัวใจยังไง แต่ความจริงใจย่อมเป็นสิ่งสัมผัสได้ เหมือนที่เคนโงะและแม่ของเขาเข้าใจเจตนาของริสะดี เธออาจเริ่มต้นมาด้วยเงิน แต่ที่กำลังดำเนินต่อไปคือด้วยใจล้วนๆ



นางโอคาดะ ริสะนี่แหละ (หุหุ ใช้นามสกุลของพระเอกดีกว่า) ที่จะจัดการกับทุกคน ทั้งหมอ ทั้งคนป่วย และคนบริจาคที่ทุกฝ่ายจะยอมรับได้ นั่นก็คือ มินาโกะ เพื่อให้มาริเอะได้มีชีวิตยืนยาวต่อไป สำหรับริสะแล้วไม่ต้องเป็นตับของเธอก็ได้ หากมินาโกะเปลี่ยนใจกลับมาแต่งแบ่งตับให้กับมาริเอะ เธอก็ยินดีจะหาเงิน(ค่าตับ)สามล้านเยนมาทยอยคืนให้ หรือหากจะยอมรับตับของเธอไว้ ก็ยินดีจะให้ฟรีๆ เพราะเมื่อคืนเงินกลับไป นั่นก็ไม่ใช่การซื้อขายอีกต่อไป (แม่พระของฉ้านนน) จัดการดีเกินไป มินาโกะก็เลยกลับมา ขอเปลี่ยนใจให้บริจาค เอาตับของฉันไปแล้วเราจะได้กลับมารักกันใหม่ดังเดิม



มันเป็นความจริงของชีวิตอย่างหนึ่งเลยนะคะ ทำให้นึกถึงประโยคที่ว่า

People will forget what you said
People will forget what you did

But .... People will never forget how you made them feel


ต่อให้เคนโงะเข้าใจความรู้สึกของมินาโกะและเคารพในสิทธิเสรีภาพที่เธอเลือกจะปกป้องตับของเธอ ไม่นึกตำหนิสักคำที่มินาโกะปฏิเสธการบริจาคแถมยังรู้สึกเสียใจที่ทำให้เธอต้องถูกกดดันให้ตัดสินใจเพราะคำขอร้องของแม่ แต่ว่า ..ต่อให้ยังรักและเข้าใจเหตุผลการปฏิเสธของเธอแค่ไหน การจะลืมเรื่องวันนั้นไปแล้วกลับมารักกันใหม่มันจะเป็นไปได้หรือคะ คิดดูนะคะ การที่จู่ๆ คนที่เรารักที่สุดก็หันหลังจากไปในยามที่เรากำลังเผชิญหน้ากับปัญหาและตกอยู่ในภาวะทุกข์หนักที่สุด จะอ้าแขนรับให้กลับมาเป็นครอบครัวเดียวกันเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นได้ยังไง ในเมื่อเหตุการณ์ครั้งนั้นก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า มินาโกะไม่ใช่คู่ทุกข์คู่ยากที่จะมีสุขร่วมเสพมีทุกข์ร่วมต้าน (อินจัด)

"ฉันต้องการเธอ" (คงหมายถึง ฉันเลือกตับของเธอ) จึงเป็นประโยคที่เคนโงะเลือกบอกได้ถูกคนแล้ว



เรื่องไม่ได้ยุ่งยากอยู่เพียงแค่นั้น เพราะพี่ชายของริสะที่หิวเงินดั่งปลิงดูดเลือดที่หิวโซก็ตามดมกลิ่นควานหาตัวน้องสาวอย่างไม่ลดละ แถมยังจมูกดีเสียด้วย ในที่สุดก็หาริสะพบและสืบจนล่วงรู้เรื่องการแต่งงานของริสะกับเคนโงะที่มีเงื่อนไขอยู่ที่การเฉือนตับ พี่ชายหน้าหน้าเงินไม่ได้ห่วงน้องแต่ห่วงเงิน ทำอย่างไรจึงจะได้เงินจากตับของริสะด้วย จึงก่อปัญหายุ่งยากพัวพันตั้งแต่ต้นจนจบ



Nagareboshi เป็นซีรีย์ เหงา เศร้า เย็น พล็อตละครที่ พระเอก นางเอก แต่งงานกันด้วยเงื่อนไขบางอย่างแล้วจำต้องอยู่อาศัยภายในบ้านหลังเดียวกัน เราอย่าได้หลงคิดว่าจะมีอะไรกุ๊กกิ๊กน่ารักถูกเนื้อต้องตัวโดยบังเอิญให้วี้ดวิ้วเล่น



Nagareboshi ไม่มีอะไรแบบนั้นหรอกค่ะ เพราะพระเอกของเราเป็นสุภาพบุรุษทุกกระเบียดนิ้วหาใช่พระเอกแนวโกรธนิดเคืองหน่อยกระชากจูบตบจูบไม่ ทุกอย่างในบ้านหลังนั้นจะสื่อสารถึงความเหงาเศร้าลึกของนางเอกได้เป็นอย่างดี แม่แสนดีที่ทำอาหารให้ลูกๆ กิน ริสะที่ไม่มีแม่และไม่เคยกินอาหารทำเองบนโต๊ะกินข้าวของครอบครัว ห้องที่เธอได้พักนอนแม้จะเป็นห้องนอนของมาริเอะแต่ก็ทำให้ริสะรู้สึกถึงความอบอุ่นปลอดภัยและหลับตาลงได้สนิทใจที่ได้อยู่กับครอบครัวนั้น ยังมีแมงกะพรุนที่เคนโงะเลี้ยงไว้ในตู้กระจกในห้องนอนที่ริสะจะแวะเข้าไปนั่งเหม่อมองมันเมื่อไหร่ก็ได้ สำคัญสุดคือมีผู้ชายดีๆ ที่เป็นแบบอย่างของพี่ชายแสนดี (แตกต่างกันสุดขั้วกับพี่ชายของตัวเอง) ให้เห็นหน้าและซึมซับความดีของเขาอยู่ทุกวัน



เป็นซีรีย์แนวความรักที่ทำได้ค่อนข้างประณีต พล็อตเรื่องไม่ได้ถึงกับดีเยี่ยมอะไรแต่ก็สนุกดี การสื่ออารมณ์ความรู้สึกที่ไม่ได้ใช้บทพูดมากนัก ฉากสถานที่ แสงสีของบรรยากาศ และเสียงของธีมดนตรี รวมกันแล้วถ่ายทอดความเหงาเศร้า ความทุกข์ของตัวละครได้ดีมาก บรรยากาศทุกฉากทุกตอน เข้ากันกับเนื้อหาอารมณ์ของเรื่องราวและตัวละคร ความสวยงามของสถานที่ถ่ายทำในเรื่องนี้ รวมๆ กันในภาพรวมแล้วขอบอกเลยว่า สวยได้โล่ห์

ถ้าจะมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้คะแนนน้อยไปสักหน่อย ก็คือ 'จุดเปลี่ยนใจ' ของตัวละครแต่ละคนในเรื่องนี้ คิดว่ายังไม่แรงพอ การที่มินาโกะเปลี่ยนใจกลับมาหาเคนโงะ หรือหมอคิยามะเปลี่ยนใจยอมยื่นเรื่องขออนุมัติการปลูกถ่ายตับต่อคณะกรรมการการแพทย์ มาริเอะเปลี่ยนใจยอมรับริสะ หรือแม้แต่กระทั่งจุดเปลี่ยนใจของพี่ชายริสะ เรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นจุดที่ใช่สำหรับการเปลี่ยนแปลง เพียงแต่ดูแล้วรู้สึกว่าความใช่นั้นมันยังดูไม่หนักแน่นพอที่จะทำให้ความคิดความตั้งใจของคนๆ หนึ่ง เปลี่ยนแปลงไปในอีกทางหนึ่ง




นักแสดง

อายะ อุเอโตะ เรื่องก่อนดู Marriage Hunting เธอน่ารักสดใจ แต่มาเรื่องนี้เธอสวยเศร้าทึมๆ สไตล์การแต่งตัวเท่ถูกใจ ขัดใจนิดหน่อยก็ตอนใส่เดนิมขาสั้นแค่โคนขาเท่านั้นแหละ (สั้นครึ่งขากำลังน่ารัก แต่ถ้าสั้นติดโคนขามันสั้นไปไม่ค่อยชอบค่ะ) บุคลิกวังเวงของเธอในเรื่องนี้ ชอบพอๆ กับความเป็นคนใจร้อนวู่วามและดูร้ายๆ ในสไตล์ของแอร์โฮสเตทขาร็อคใน Attention Please เลยล่ะค่ะ



ทาเคโนะอุจิ ยูทากะ หน้าตาก็หล่อไม่ใช่แนวหรอกค่ะ แถมเรื่องนี้ยังทั้งแก่ ทั้งผอม แล้วก็ทั้งดำ แต่ชอบการแสดงของพระเอกคนนี้มาก ทั้งที่ก็ไม่เห็นว่ามีอะไรโดดเด่นไม่ว่าจะสายตาหรืออากัปกริยา แต่ไม่รู้ทำไม รวมๆ แล้วเขาสื่ออารมณ์และเข้ากับบทบาทที่ได้รับแบบไม่มีที่ติ แม้เพิ่งจะเคยดูเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สอง แต่ถ้าเทียบกับชื่อเสียงของซีรีย์ที่เป็นผลงานของยูทากะแล้วคงจะต้องถือว่าเป็นฝีมือระดับแนวหน้ากระมังคะ สิ่งที่ชอบอีกอย่างหนึ่งก็คือ อายะ มีน้ำเสียงที่เพราะ (เข้าใจว่าเป็นนักร้อง) ส่วนยูทากะก็มีเสียงทุ้มใหญ่อันเป็นสำเนียงเสียงพูดที่ถูกใจใช่เลย ชอบมั่กๆ ทั้งสองคน

ฮาราดะ มิเอโกะ แสดงเป็นแม่ของเคนโงะและมาริเอะ สำหรับเธอคนนี้บทแม่คนสำคัญของเรื่องคงเป็นของกล้วยๆ สำหรับเธออยู่แล้วล่ะ

มัตสึดะ โชตะ ได้เล่นเป็นหมอกับเขาด้วย ดูสุภาพนุ่มนวล ทรงผมทรงนี้เข้ากับหน้า แต่ว่าผิวพรรณขาวผ่องนี่สิ ดูผิดไปจาก Liar game เยอะเลย โชตะเรื่องนี้ก็จะรับบทเครียดสักหน่อยกับบทผู้สนับสนุนหลักที่จะต้องพิจารณาตัดสินใจเกี่ยวกับการปลูกถ่ายตับ





คิริยามะ อากิโตะ Kiriyama Akito as Sawamura Ryota เด็กป่วยที่เป็นโรคเดียวกันกับมาริเอะ และเป็นเพื่อนรู้จักกันที่โรงพยาบาล มีส่วนสำคัญกับความรู้สึกนึกคิดของตัวละครอื่นๆ ในเรื่องไม่น้อยเลยทีเดียว แต่พลังความสำคัญที่มีต่อใจของผู้เขียนหามีไม่ ก็เลยละไว้ให้ไปดูกันเอาเอง ( ความหล่อเท่ถูกใจอยู่ที่ไหน ความลำเอียงอยู่ที่นั่น)

อีกคนที่ไม่พูดถึงไม่ได้ คือ อินากาอิ โกโระ (Inagaki Goro as Makihara Shuichi) ที่แสดงเป็นพี่ชายของริสะ เขาแสดงได้กำกวมดีแท้ สีหน้าขยับนิดเดียวแต่บอกได้ชัดหมอนี่กำลังรู้สึกอะไรบางสิ่งและคิดอะไรบางอย่าง แต่ว่าคิดอะไรนั้นเราจะต้องอยู่ในความสงสัยและหวาดระแวง (เอ่อ ..ตกลงว่าครั้งนี้แกจะมาดี หรือมาร้าย ตอนนี้กลับใจได้หรือยัง?) สำหรับคนที่มองโลกในแง่ดีคิดในทางบวกไว้ก่อน อิตานี่อาจจะทำให้คุณต้องผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำอีก หน้าตาดูเป็นคนสุภาพใจดีนะคะ ดูตอนแรกเหมือนจะไม่เข้ากันกับบทปลิงดูดเลือด แต่เอาเข้าจริงก็เหมาะเลยแหละ


ฉากสุดอินของ Nagareboshi


*** "ฉันหันกลังกลับไปไม่ได้อีกแล้ว คุณเป็นเพียงคนเดียวที่ฉันเหลืออยู่"
ประโยคนี้ตอนริสะมาทำข้อตกลงกับเคนโงะเรื่องการแต่งงาน เคนโงะย้ำถามถึงความแน่ใจของริสะเพราะตับเป็นอวัยวะสำคัญที่เขาไม่อยากให้เธอมานึกเสียใจทีหลัง แต่ริสะคิดว่าเคนโงะลังเลและอยากจะเปลี่ยนใจ ในขณะที่เธอได้หนีทุกอย่างมาและหวังจะตั้งต้นใหม่โดยฝากชีวิตช่วงนี้ไว้กับเขา



*** ชูอิจิพี่ชายไปตามหาริสะน้องสาวที่สถานที่ทำงานพิเศษด้วยการทำตัวเป็นแขกไปใช้บริการ เมื่อพูดกันไม่รู้เรื่องริสะจึงร้องบอกบอส (ผู้ดูแลกิจการ) ขอให้ช่วยเพราะเธอกำลังถูกบังคับขืนใจ บอสจึงเรียกนักเลงคุมกิจการ (เฮ้อ หาศัพท์เรียกยากแท้) มารุมกระทืบชูอิจิ ด้วยยึดถือจรรยาบรรณแห่งการประกอบอาชีพว่าต้องเป็นไปด้วยความเต็มใจของทั้งสองฝ่าย พี่ชายถูกรุมซ้อมสะบักสะบอมทิ้งไว้ในซอกตึก ริสะตามมาดูและตัดสินใจหันหลังเดินจากไป แต่เพียงไม่กี่ก้าวเธอก็หยุดเดินและหันกลับมา

น้ำตามาเลย ฮือ มันเป็นจุดที่ว่า พี่น้อง สายเลือด ยังไงก็ตัดกันไม่ขาด ทั้งที่ทำเหมือนจะตัดเป็นตัดตายแต่สุดท้ายริสะก็หอบหิ้วพี่ชายกลับไปเยียวยา เหตุการณ์ลักษณะนี้ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งเดียว เกลียดพี่ชายแค่ไหนแต่เมื่อเขาถึงขั้นเข้าตาจนจริงๆ ริสะก็ยังอุตส่าห์อยู่ตรงนั้น มันน่าโมโหตรงที่ว่าความลำบากของเขามีสาเหตุมาจากการพยายามทำให้เธอลำบากนั่นเอง และสุดท้ายคนที่ลำบากจริงๆ ก็คือริสะ



***ชูอิจิตามรังควานครอบครัวของเคนโงะ และไปไถเงินจากแม่ของเคนโงะมาด้วย ตอนริสะพูดกับพี่ชายของเธอทำนองว่า
"อย่ายุ่งกับครอบครัวนั้น พวกเขาไม่เหมือนเราหรอกนะ"
มันบอกถึงความรู้สึกแตกต่างในสถานะของตัวเองและคนในบ้านหลังนั้นชัดเจน ฟังแล้วรู้สึกเศร้าจัง



**"นี่เป็นเรื่องภายในครอบครัวของเรา" ความหมายของประโยคนี้คือ มันไม่เกี่ยวกับเธอ ไม่ต้องมายุ่ง "ตอนมาริเอะกลับมา เธอช่วย... ปล่อยให้ครอบครัวเราได้ทำความเข้าใจกันเอง" และความหมายของประโยคนี้คือริสะช่วยไม่อยู่บ้านสักพักก่อนนะ ตอนที่มาริเอะกลับมา เคนโงะอาจไม่เจตนา แต่ฟังแล้วมันเป็นคำพูดที่ออกจะบาดหูมากเพราะมันโหดร้ายกับนางเอกของเราไม่น้อย ตอกย้ำความจริงที่ว่าเธอไม่ใช่ส่วนหนึ่งของครอบครัวนี้จริงๆ ซะหน่อย (ก็แค่คนขายตับล่ะว้า)

***"ริสะเป็นภรรยาของผม" เด็ดมากประโยคนี้ เคนโงะพูดกับชูอิจิตอนที่เขาพยายามจะพาริสะไป แต่เคนโงะไม่ยอมและดึงตัวเธอไว้เพื่อจะพากลับบ้าน

*** "ผมไม่รู้ ผมรู้แค่ว่า ผมไม่ต้องการให้น้องสาวของผมมีชีวิตที่ลำบาก และผมเชื่อย่างเต็มที่ว่าริสะไม่เคยมีความสุขได้เลยเมื่ออยู่กับคุณ" แม้ไม่เคยพูดกันเป็นเรื่องเป็นราวอยู่กันแบบเงียบๆ เหงาๆ ริสะเองก็ไม่เคยปริปากอุทธรณ์ความทุกข์ความเป็นมาของเธอให้ใครฟัง แต่คุณพระเอกก็ฉลาดรู้ ดูออกและเข้าใจอะไรได้ตรงจุด ประโยคที่พูดกับพี่ชายของริสะประโยคนี้จึง เป๊ะโชะ!




ฉากเคนโงะสอนริสะขี่จักรยาน นี่ไม่ใช่ฉากกุ๊กกิ๊กหวานฉ่ำ แต่เป็นฉากเศร้าฉากหนึ่งของเรื่อง ริสะกับสาเหตุที่โตป่านนี้แต่ขี่จักรยานไม่เป็น มันเกี่ยวข้องกับที่ระลึก น้ำใจ คำสัญญา และยังเป็นการ 'พยายาม' ปลดปล่อยภาระทางใจจากกันและกัน เคนโงะที่ปล่อยมือจากจักรยานและปล่อยเธอให้ปั่นไปด้วยตัวเองข้างหน้า ริสะที่ห่างไปแล้วหันหลังกลับมามองทั้งน้ำตา (มันคือการหัดขี่จักรยานนะคะ แต่สะท้อนอารมณ์ของอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่เกี่ยวอะไรกับการขี่จักรยาน)



รักนี้เกิดจากตับ และเพราะตับรักจึงต้องแยกจาก มีแต่งก็มีหย่า


"คุณกำลังจะกลับบ้านใช่ไหม"
"ตอบฉันสิ"


ริสะถามเคนโงะด้วยความหวั่นใจอยู่ลึกๆ เพราะรู้ตัวอยู่แล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้นแต่ก็ยังอยากถามเพื่อความแน่ใจ บางทีมันอาจไม่เป็นอย่างที่คิดก็ได้ แต่เคนโงะก็เอาแต่เงียบ ริสะจึงถามย้ำอีกครั้งด้วยประโยคที่แผ่วกว่าเดิม

"แล้ว..ฉันควรจะกลับบ้านด้วยหรือเปล่า"


คำตอบคือความเงียบแต่สุดท้ายเคนโงะก็จำต้องตอบ

"แย่หน่อยนะ"

คำตอบไม่ตรงคำถามแต่ความหมายชัดเจนตรงความต้องการแน่นอน

"งั้น ...ฉันคงต้องอยู่คนเดียวอีกแล้วสินะ"......

ฉากนี้ของยูทากะและอายะเป็นฉากอินที่สุดในซีรีย์เรื่องนี้ ทั้งสองคนแสดงได้ดีทีเดียว ภายนอกเหมือนไม่เป็นอะไรมาก พูดกันเรียบๆ ง่ายๆ แต่ความหมายคือ ริสะไม่ต้องกลับไปที่บ้านหลังนั้นอีกแล้ว คนถามก็เสียใจ คนตอบก็เสียใจ สีหน้าของยูทากะที่นิ่งไปอึดใจก่อนจะกัดฟันเอ่ยคำนี้ออกมา

"ริสะ... ผมขอโทษ"


มันสุโค้ยจริงๆ กลับไปดูเฉพาะฉากนี้อีกทีก็ยังอยากร้องไห้อีกสักครั้ง






ชอบมากที่สุดก็ต้องเป็นฉากจบ การบอกรักที่ไม่ได้บอกด้วยคำว่า "รัก" แต่ซาบซึ้งกว่าคำรักตั้งหลายเท่า และเพราะฉากจบนี่แหละที่ทำให้ซีรีย์เรื่องนี้อยู่ในหมวดซีรีย์ความรักที่ 'จบประทับใจ'



สิ่งที่เห็นเป็นความแปลกอย่างหนึ่งจากซีรีย์เรื่องนี้คือการพูดคุยของตัวละคร เพราะมักจะพูดเรื่องเครียด เรื่องถนอมน้ำใจ ใช้คำพูดอ้อมๆ เพื่อหลีกเลี่ยงที่จะพูดความจริงออกมาให้เข้าใจชัดๆ บ่อยครั้งที่ตัวละครพูดคุยโดยไม่มองหน้ากัน แต่รู้สึกเหมือนพวกเขากำลังจ้องหน้าจ้องตากันอย่างถึงแก่น แปลกดี

เพลงประกอบละครสุดเพราะพริ้ง ฟังไม่รู้เรื่องแต่ให้อารมณ์เหงาเศร้าเข้ากับเนื้อหา อารมณ์ซึ้งเดียวกันกับยามที่เพลง Fox Rain (OST. My girl friend is a Gumiho) และเพลง Tsubomi (OST. Tokyo Tower) ดนตรีบรรเลงส่งเสียงเพลงขึ้นมาเมื่อใด พาอารมณ์เข้าข่าย 'พอเพลงมาน้ำตาจะไหล' และการได้รู้ว่า เพลง Ryuusei OST. Nagareboshi และ Tsubomi OST. Tokyo Tower เป็นผลงานของศิลปินเดียวกันคือ Kobukuro ยิ่งน่าชมเปาะเป็นสองเท่า ร้องเพลงได้ใจได้อารมณ์จริงๆ 'Kobukuro สุโค่ย' Smiley
























































*** เป็นฉากที่สวยงามมากฉากหนึ่งในเรื่อง



*** ภาพน่ารักๆ จาก website



ภาพและข้อมูลจาก

//wiki.d-addicts.com/Nagareboshi

//www.fujitv.co.jp/nagareboshi/index.html




 

Create Date : 09 มกราคม 2554    
Last Update : 22 กุมภาพันธ์ 2558 8:43:39 น.
Counter : 7957 Pageviews.  

Marriage Hunting เสียงหัวใจจากคนใกล้ตัว



Title (romaji): Konkatsu!
Also known as: Marriage Hunting!
Genre: Romance
Episodes: 11
Viewership rating: 10.4 (Kanto)
Broadcast network: Fuji TV
Broadcast period: 2009-Apr-20 to 2009-Jun-29



อ๊ะ ดีนะที่สัปดาห์นี้อยู่ในโหมดอารมณ์เปลี่ยนแนวพอดี ไม่งั้นจะยิ่งเป็นการตอกย้ำตามคอมเมนท์ที่ได้รับในบล็อกก่อนว่ารีวิวแต่ซีรีย์ป่วยๆ ความจริงซีรีย์ปกติดีๆ ที่ไม่ป่วยก็คงจะพอมีอยู่กระมัง แต่คนดันไปเลือกดูแต่เรื่องป่วยๆ เอง แหม่..ท่านก็ จะเอาอะไรมากมายกับคนที่ดูซีรีย์จากการเลือกดูหน้าตานักแสดง (คนที่ชอบๆ ก็ไหงแสดงกันแต่เรื่องป่วยๆ ก็ไม่รู้เนาะ) อีกอย่างชีวิตช่วงนี้ก็จิตป่วยอยู่ไม่น้อย การดูซีรีย์ป่วยๆ จึงถือว่าเป็นเซรุ่ม

เปลี่ยนสุดโต่งกันก่อนเลยนะคะที่สัญชาติ ไปติดละครไทย "ดวงใจอัคนี" อยู่พักใหญ่ ตั้งใจจะย้อนกลับมาตั้งต้นที่ "ธาราหิมาลัย" ไล่กลับลงไปถึง ปฐพีเล่ห์รัก และวายุภัคมนตราเสียด้วยซ้ำ เพราะทนเสียงร่ำลือที่กรอกหูทุกวันไม่ไหว แต่เรื่องนี้ดูจะไม่แรงพอ จึงเบื่อๆ หันมาดูซีรีย์ฝรั่งกันบ้าง ตั้งใจเปิด Zombie แค่ดูไตเติ้ลยังไม่ทันได้เริ่มเรื่องเลย ก็พาลจะกินอาหารตรงหน้าไม่ลง ทั้งเลือดทั้งหนอง ..เฟะเชียว จะดู Robin Hood ก็เพิ่งดูเจ้าชายแคสเปี้ยนจากนาเนียร์มาหมาดๆ จะดูเกาหลีแต่ละเรื่องที่เขาว่ากันว่าสนุกก็สามสิบกว่าตอนขึ้นทั้งนั้น มิควรเสี่ยงดูในช่วงท้ายปีเดี๋ยวจะเสียสุขภาพมีผลกระทบต่อการทำงาน สุดท้ายจึงวกกลับมาตายรังที่ซีรีย์ญีปุ่นเหมือนเดิม

บ่อยครั้งที่ทำการตัดสินใจเลือกดูซีรีย์จากหน้าตาภายนอกของนักแสดง คัดสรรเอาแต่เฉพาะหน้าตาดีๆ ก็กลายเป็นเหตุให้เราพลาดโอกาสการได้ชมซีรีย์ดีๆ ไปอย่างน่าเสียดาย แต่ถึงจะรู้อย่างนั้น ก็ยังเลือกหน้าตามาก่อนอยู่ดี ก็นี่คือการดูละครเพื่อความบันเทิงนี่คะ ย่อมอยากดูหล่อๆ สวยๆ ให้ชื่นตาชื่นใจ ชีวิตจริงมันก็อีกเรื่อง แต่รู้สึกว่าระยะนี้ หนุ่มๆ ในสังกัด ตลอดจนนอกสังกัดที่ชื่นชอบดูจะขาดหายผลงานมาให้ชม เรื่องที่อยากดูก็เก็บดูไปจนหมดแล้ว ก็เหลือแต่เรื่องที่มีอยู่แต่ไม่น่าสนใจเอาซะเลย หรือไม่ก็เรื่องที่อยากดูแทบขาดใจแต่ยังหาดูไม่ได้ จึงต้องหันมาพึ่งพา "สาวๆ" กันบ้าง



หากถามถึงนักแสดงหญิงญี่ปุ่นที่เป็นคนโปรดก็พอจะมีอยู่หลายคน "อายะ อุเอโตะ" เป็นหนึ่งในนั้น ไม่ใช่คนสวยโดดเด่นอะไรมากมายหากเทียบกับนักแสดงหญิงคนอื่นๆ อาจจะสวยไม่สู้ด้วยซ้ำไป แต่ไม่รู้ทำไม ไม่ว่าเธอจะอยู่ในบทบาทไหน ในลุกส์ใด ก็ชอบเธอ

Marriage Hunting หนึ่งในผลงานของอุเอโตะ จึงเป็นหนึ่งตัวเลือกในยามขัดสนที่บังเอิญเป็นที่พอใจอย่างยิ่ง เพราะเนื้อหาโดนใจเกินคาดหวัง เป็นแนวพล็อตเรื่องในดวงใจ "รักอยู่ในความเคยชิน" ที่อยากจะกรี๊ดด้วยความดีใจที่มีมาให้ได้ดูกันอีกแล้ว

*******


อามามิยะ คุนิยูกิ
( Nakai Masahiro ) เป็นลูกชายเจ้าของร้านทงคัตสึในย่านฮารุมิ แม้จะเติบโตมากับร้านทงคัตสึ แต่คุนิยูกิเป็นคนที่เกลียดทงคัตสึมาก เขาทนกลิ่นของมันไม่ได้ และไม่เคยแม้แต่จะคิดลิ้มลองในรสชาด ด้วยเหตุนี้การสืบทอดกิจการต่อจากพ่อจึงเป็นเรื่องที่ไม่อยู่ในความคิดด้วยเช่นกัน "คุนิ" (ขอเรียกชื่อสั้นๆ เหมือนนางเอกในละครเรียกก็แล้วกันนะคะ) หางานอื่นทำด้วยการเป็นพนักงานบริษัท แต่พิษเศรษฐกิจเป็นเหตุทำให้คุนิตกอยู่ในภาวะตกงาน และการหางานทำก็เป็นเรื่องยากเย็น บังเอิญมีอยู่แห่งที่ทำท่าจะมีความหวังนั่นก็คือ สำนักงานตำบลฮารุมิ (เขียนตามการแปลซับที่บอกว่าฮารุมิเป็นตำบลนะคะ) ด้วยคำสั่งจากเบื้องบนในการสนันสนุนให้เกิดการจ้างงานเพื่อบรรเทาภาวะเศรษฐกิจ ท่านนายกเทศมนตรีตำบลฯ จึงเปิดรับสมัครพนักงานชั่วคราวในตำแหน่งพนักงานแผนกอัตราการเกิดซึ่งกำลังเผชิญปัญหาอัตราการเกิดที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยมีคุณสมบัติหนึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญในการสมัครนั่นก็คือต้องแต่งงานแล้ว



คุนิยูกิ ผู้รู้สึกอยู่เสมอว่า ตัวเองนั้นเกิดมากับความโชคร้ายตั้งแต่เด็ก ต้องเผชิญกับความซวยซ้ำแล้วซ้ำเล่า ครั้งนี้ก็เริ่มรู้สึกถึงความซวยด้วยเช่นกัน ใบปลิวรับสมัครงานที่เขาพบโดยบังเอิญนั้น มีส่วนหนึ่งขาดหายไป เขาจึงไม่รู้ว่าคุณสมบัติของผู้สมัครจะต้องเป็นคนที่แต่งงานแล้ว ในห้องสัมภาษณ์เมื่อถูกถามถึง คุนิยูกิจึงเอาตัวรอดเฉพาะหน้า ด้วยการโกหกว่าเขากำลังจะแต่งงาน

นั่นยังไม่ถือว่าซวยหรอก ความซวยมันอยู่ตรงนี้ เมื่อท่านนายกเทศมนตรีออกรายการทีวี "นายกเทศมนตรีพบประชาชน" ( เป็นรายการประจำเหมือนรายการท่านอภิสิทธิ์เลยนะ) ท่านนายกฯ นำเรื่องของคุนิมาพูดออกรายการเอาความดีความชอบว่า เพราะการสนับสนุนการจ้างงานของเธอ ทำให้ชายหนุ่มคนหนึ่งที่ชะลอการแต่งงานเอาไว้เนื่องจากผลพวงของเศรษฐกิจกำลังจะมีโอกาสได้แต่งงาน หรือจะพูดให้ตรงคือท่านนายกฯ ได้ทำการประกาศการแต่งงานของคุนิออกรายการทีวี

เท่านั้นแหละชาวบ้านทั้งย่านฮารุมิต่างแห่แหนมาที่บ้าน มาแสดงความยินดีปรีดากับการประกาศแต่งงานของคุนิยูกิ ชั่วข้ามคืนเขาได้รับของขวัญแสดงความยินดีและเงินช่วยเหลืองานแต่งร่วมล้านเยน โดยที่คุนิยูกิตกอยู่ในอาการน้ำท่วมปาก พูดไม่ออกบอกไม่ถูก เพราะถ้าหากพูดความจริงออกไปแน่ใจได้ว่าเขาต้องตกงานทันที



ฟุคาซาวะ ชิเงรุ ( Sato Ryuta ) เพื่อนสนิทเจ้าของร้านเหล้าฝั่งตรงข้าม เพราะเขาไม่มีเงินจึงถึงกับลงทุนขายรถมอเตอร์ไซด์สุดรักเพื่อนำเงินมาช่วยงานแต่งให้กับเพื่อนสุดเลิฟ คุนิซาบซึ้งใจเกินกว่าจะทนนิ่งเฉยต่อไปได้ เขาสารภาพความจริงกับชิเงพร้อมทั้งขอร้องให้เก็บเป็นความลับ แล้วสองหนุ่มก็ปรึกษาหารือกัน มองหาทางออกด้วยการหาผู้หญิงมาแต่งงานด้วยจริงๆ ให้เร็วที่สุด เพราะหลังจากออกรายการท่านนายกฯ ก็ได้กำชับกับเขาเอาไว้แล้วว่าเพื่อให้คำพูดของเธอไม่ไร้ความหมายคุนิต้องไม่ล่าช้าและรีบจัดงานแต่งให้เกิดขึ้นจริงๆ ภายในสามเดือน ทั้งท่านนกยกฯ ยังเตรียมชุด เตรียมสุนทรพจน์สำหรับงานแต่งคุนิไว้รอเรียบร้อยแล้ว

บริษัทจัดหาคู่น่าจะช่วยได้ สองหนุ่มจึงสมัครไปเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ของบริษัทซึ่งดำเนินการนัดหมายพบปะ จัดปาร์ตี้ในรูปแบบต่างๆ ให้คนหนุ่มสาว คนแก่ คนอ่อน ใครก็ตามที่ไร้คู่และอยากจะหาคู่ได้มาชุมนุมเพื่อมองหาคนที่ใช่และดำเนินความสัมพันธ์ไปสู่การแต่งงาน สองหนุ่มก็พบว่าคนที่เป็นประธานบริษัทจัดหาคู่ไม่ใช่ใครอื่นไกลที่ไหน คือ ทาคาคุระ มาโกโตะ ( Ryo) ที่เป็นเพื่อนเก่าและสนิทกันในวัยเด็กของคุนินั่นเอง การบังเอิญได้พบกันอีกครั้งทำให้ทั้งสองคนกลับมาคบหาเป็นเพื่อนสนิทกันอีกหน มาโกโตะบริหารงานบริษัทจัดหาคู่ก็จริง แต่ชีวิตส่วนตัวของเธอนั้น เธอเป็นหญิงหม้ายที่หย่าร้างสามีและเลี้ยงลูกสองคนตามลำพัง

ที่ปาร์ตี้หาคู่ พวกเขาได้พบสาวสวยคนหนึ่งผู้มีฉายาว่า "ราชินีแห่งปาร์ตี้จัดหาคู่" มุราเสะ ยูโกะ (Shaku Yumiko) เธอคือผู้หญิงที่มุ่งมั่นและจริงจังกับการตามหาผู้ชายเพอร์เฟ็คต์ในอุดมคติที่เธอได้ตั้งมาตรฐานกำหนดไว้ (อย่างเลอเลิศ) คุนิที่เป็นเพียงพนักงานชั่วคราว ไม่มียอดเงินเก็บไม่มียอดรายได้ต่อปีที่แน่นอนพอจะเขียนลงไปในโพรไฟล์ได้ จึงถูกยูโกะเมินตั้งแต่แรกพบ ส่วนชิเงเขาได้รับความสนใจจากยูโกะ เพราะชิเงบอกว่าเขาเป็น CEO ในกิจการของตัวเอง มีคลังเก็บเหล้าและยังเป็นเจ้าของบาร์อีกด้วย ชิเงเริ่มคบหากับยูโกะและท่าทางจะไปด้วยกันได้ดีต่างคนต่างดูมีความสุข



ฮิดะ ฮารุโนะ (อายะ อุเอโตะ) สาวน้อยละแวกบ้าน เธอสนิทกับคุนิและชิเง แม้อายุจะห่างกันมาก (คุนิ 34 ชิเง 30 ฮารุโนะ 22 ) แต่จะว่าความสัมพันธ์เป็นแบบเพื่อนก็คือเพื่อน จะว่าเป็นเหมือนพี่น้องก็ใช่อีก สามคนจะอยู่ด้วยกันเสมอไม่ต่างจากเพื่อนและพี่น้องคนสนิท ฮารุโนะก็เป็นหนึ่งในคนที่กำลังหางานทำและไม่ง่ายเลยที่จะได้งาน

ช่วงที่คุนิหางาน ยูโกะหางาน พวกเขาสามคนต่างปรับทุกข์กันเสมอ ต่างพากันยินดีเมื่อคุนิได้งานทำที่สำนักงานตำบล เมื่อสามคนพูดเรื่องการแต่งงาน ฮารุโนะจะฝันถึงการแต่งงานกับผู้ชายดีๆ ที่เธอรัก ชิเงก็เริ่มคิดเรื่องการแต่งงานเมื่อได้พบกับยูโกะ ส่วนคุนิเรื่องการแต่งงานไม่เคยเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตที่มีอยู่ในหัว แต่เขาเป็นคนแรกที่ต้องเดินเครื่องเต็มกำลังเพื่อมองหาเจ้าสาว ซึ่งก็ดูจะไม่คืบหน้าเท่าไรนักกับปาร์ตี้จัดหาคู่ที่บริษัทของมาโกโตะ

ชีวิตหนุ่มโสดไม่มีใคร ทำงาน กลับมาบ้าน พบเจอเพื่อนๆ เจอกันทุกวัน คุยกันทุกวัน ฮารุโนะมักมาช่วยงานร้านทงคัตสึที่เป็นบ้านของคุนิตั้งแต่เล็ก ทงคัตสึที่คุนิเกลียดเป็นอาหารจานโปรดของฮารุโนะ เธอเป็นเพื่อนของอานามิยะ คุนิยาสึ (น้องชายของ คุนิยูกิ) เป็นเหมือนทั้งเพื่อนและน้องสาวของ คุนิยูกิ จึงไม่ต่างอะไรกับเป็นลูกสาวของคุนิโอะด้วย (พ่อของคุนิยูกิ) จะว่าไปแล้วฮารุโนะที่เดินเข้าๆ ออกๆ ระหว่างร้านทงคัตสึและร้านเหล้าของชิเงมาตั้งแต่เล็กก็เป็นเหมือนส่วนหนึ่งในชีวิตของพวกเขา เป็นน้องสาวคนเล็กที่เห็นกันมาตั้งแต่แรกเกิด ความสัมพันธ์อันยาวนานก็นับไม่ยาก เพราะมันก็ยาวเท่ากับอายุของฮารุโนะนั่นแหละ

แต่ฮารุโนะในวัย 22 ปีไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว ความในใจที่มีมาตอนเยาว์วัย ได้เริ่มเปลี่ยนไปแล้วในวัยสาว แต่จะเปลี่ยนไปอย่างไร ไม่มีใครสักคนที่มองรู้และดูออก



ยูโกะวาดหวังชีวิตการแต่งงานไว้เต็มที่กับชิเง แต่เมื่อได้รู้ความจริงว่าเขาไม่ใช่ CEO ในแบบที่เธอคิด ไม่ใช่เจ้าของบาร์ในแบบที่เธอฝัน เป็นเพียงเจ้าของร้านขายเหล้าเล็กๆ ในย่านฮารุมิ ความผิดหวังทำให้เธอโกรธและตำหนิชิเงด้วยคำพูดแรงๆ ฮารูโนะที่แอบฟังด้วยความเป็นห่วงชิเงไม่พอใจคำพูดของยูโกะ เธอจึงพรวดพราดเข้ามาในร้านเพื่อต่อว่ายูโกะ

"คนอย่างเธอต่างหากที่ไม่คู่ควรกับชิเง"

ชิเงประทับใจมากที่ฮารุโนะออกมาพูดจาปกป้องเขาเต็มที่ เป็นเหตุให้เพื่อนและพี่ชายคนเดียวกันนี้ตกหลุมรักฮารุโนะเข้าอย่างจัง

เมื่อมีความรู้สึกรักในแบบอื่นผุดขึ้นมา อะไรๆ ก็เริ่มจะไม่ลงตัว พากันตุปัดตุเป๋ไปซะหมด

คุนิประทับใจมาโกโตะที่หย่าขาดจากสามีแต่ยังทำงานเลี้ยงตัวเองเลี้ยงลูก และเป็นแม่ที่ดีให้กับลูกๆ สองคนได้ เป็นคนเก่งเป็นผู้ใหญ่ที่คอยให้คำปรึกษาดีๆ และเป็นคนที่คุนิยูกิเริ่มรู้สึกว่าคนแบบนี้แหละที่เขาอยากจะอยู่เคียงข้าง

ฮารุโนะ ที่แอบมีใจพิเศษให้คุนิมาตั้งแต่เวลาไหน ไม่มีใครรู้ ได้แต่เฝ้ามองตามคุนิด้วยสายตาเศร้าๆ เพราะคุนิเริ่มจะมีแต่ชื่อของมาโกโตะติดอยู่ที่ปาก อะไร ๆ ก็มาโกโตะไปซะหมด

ชิเง ที่หลงรักฮารุโนะมากขึ้นทุกวันและเพ้อฝันถึงการแต่งงานอยู่ด้วยกัน มีฮารุโนะเป็นศรีภรรยาช่วยกันทำมาค้าขายต่อไปในอนาคต



ไม่ใช่แต่เรื่องรักที่ค้างใจ เพราะพวกเขายังมีเรื่องใหญ่ที่ค้างคา

ไม่ใช่คุนิยูกิคนเดียวที่โกหกว่าเขากำลังจะแต่งงาน ลุงซากุราดะ ชูโกโร่ ( Hashizume Isao ) ที่เข้ามาทำงานพร้อมกันกับคุนิยูกิถึงจะเป็นชายแก่วัย 61 ปี แต่เขาก็โกหกเช่นกันว่าแต่งงานแล้ว เพราะแท้จริงลุงเป็นหนุ่มแก่ขึ้นคานมายาวนาน เมื่อต่างคนต่างพบความลับของกัน พวกเขาจึงร่วมมือกันในการตามล่าหาคู่วิวาห์ให้เกิดขึ้นในเร็ววันก่อนที่ความลับจะแตก

ที่แผนกอัตราการเกิดยังมี นิเฮอิ ทาคุมิ ด้วยอีกคน ( Tanihara Shosuke) เขาถูกลดขั้นมาเป็นหัวหน้าแผนกนี้ เป็นแผนกที่ทาคุมิมองว่าไม่มีอะไรให้ทำ ได้แต่อยู่อย่างซังกะตายไปวันๆ แต่พอมีลูกน้องมาใหม่สองคนดูท่าทางจะไม่ได้อยู่อย่างสงบสุข มีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นให้ทาคุมิต้องคอยจ้องจับผิด แต่ทาคุมิก็มีจุดอ่อนที่ทำให้ต้องยอมปล่อยเลยตามเลยเมื่อจับได้ว่าลูกน้องทั้งสองคนต่างโกหกเข้ามาเพื่อจะได้มีงานทำ โกหกว่าแต่งงานแล้ว และอีกคนก็โกหกว่ากำลังจะแต่งงาน (แต่เจ้าสาวอยู่ไหนก็ไม่รู้)

ใช่แต่จะวุ่นวายเรื่องการหาคู่วิวาห์และการปกปิดความจริงเท่านั้น ยังมีปัญหาใหญ่กว่าให้หนักใจ เมื่อทาคุมิพบว่า อิโตะ มาซารุ (Kitamura Yukiya) ที่ถูกเรียกตัวมาจากบริษัทดัง เพื่อหวังนำคนมีฝีมือมาช่วยแก้วิกฤตทางการเงินของสำนักงานตำบลฮารุมิที่อยู่ภายใต้การบริหารจัดการของท่านนายกเทศมนตรี อิโตะกำลังยื่นเสนอแผนปรับปรุงเศรษฐกิจระยะยาวของตำบลฮารุมิด้วยการเปลี่ยนย่านการค้าเก่าแก่ที่ซบเซาให้กลายเป็นย่านช็อปปิ้งสมัยใหม่ และแผนในการรื้อสร้างถนนก็คื้อต้องรื้อทิ้งย่านที่อยู่อาศัยในย่านนั้นบางส่วนและให้ชาวบ้านย้ายที่อยู่ออกไป ซึ่งก็มีร้านชิเงและร้านทงคัตสึรวมอยู่ในพื้นที่นั้นด้วย

**



ส่วนเรื่องงานแต่ง นายกเทศมนตรีก็คอยติดตามถามข่าวจนคุนิจนมุม หวุดหวิดจวนจะสารภาพความเกือบแตก แต่ฮารุโนะที่เป็นห่วงกลัวคุนิจะถูกไล่ออกก็โผล่พรวดเข้ามาขัดจังหวะจนตรอกของคุนิ อ้างตัวเป็นคู่หมั้นคู่หมายที่กำลังจะแต่งงานกัน แถมมาโกโตะยังโผล่มาอีกคนในฐานะคู่หมั้นตามที่คุนิโทรไปขอความช่วยเหลือเกิดเป็นรถไฟชนกันขบวนใหญ่ต่อหน้าท่านนายกแบบมิได้นัดหมายหรือให้สัญญาณ แต่เรื่องแต่งงานกำมะลอก็คลี่คลายไปได้แบบเส้นยาแดงผ่าแปดด้วยความเข้าใจของท่านายกที่ลงเอยว่า ฮารุโนะคือว่าที่เจ้าสาวของคุนิยูกิ

วิกฤตผ่านไปด้วยความโล่งใจ ด้วยความช่วยเหลือของใครหลายคน แต่แล้วชิเงก็ไม่สบายใจที่ฮารุโนะอ้างตัวเป็นคู่หมั้นของคุนิ จึงทำการขอฮารุโนะแต่งงานแบบสายฟ้าแล่บต่อหน้าคนใกล้ชิดทุกคนที่กลายเป็นพยานการขอแต่งงานแบบไม่ได้ตั้งตัว แม้แต่คุนิก็มีสีหน้าตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น

ชิเงเฝ้ารอคำตอบ ฮารุโนะลังเลใจเพราะที่ได้รู้จักกับยูโกะและกลายมาเป็นเพื่อนกันหลังจากนั้น เธอก็พูดกรอกหูอยู่เสมอว่า ความรักกับการแต่งงานเป็นคนละเรื่องกัน คุนิก็มีมาโกโตะอยู่แล้ว และถ้าฮารุโนะปฏิเสธชิเงก็กลัวชิเงจะเสียใจ และกลัวความสัมพันธ์ต่อไปจะไม่เหมือนเดิม แต่ครั้นจะรับก็ติดอยู่ที่ว่าฮารุโนะไม่ได้รักชิเงในแบบที่จะแต่งงานกันได้

"แล้วคุนิล่ะ รู้สึกยังไงกับเรื่องนั้น"
"ฉัน อืม ตอนที่ชิเงขอเธอแต่งงาน ฉันตกใจมาก ฉัน..ที่จริงแล้ว ความ..จริง ฉันรักเธอนะฮารุโนะ"

เมื่อถามกับคุนิ เขาทำเหมือนจะสารภาพรัก แต่ประโยคที่ตามมา จะไม่ทำให้นางเอกของเราน้ำตาคลอได้อย่างไร

"ฉันรักเธอมาก พอๆ กับที่รักชิเง ฉันก็คิดถึงความเป็นพี่น้องของพวกเรานะ
แตว่า ถ้าเมื่อไหร่ที่เราใกล้ชิดกันแล้วมีความรู้สึกที่เราไม่เคยรู้จักผุดขึ้นมา มากมาย
พ่อฉันชอบพูดว่ามันคือปาฏิหารย์ และปาฏิหารย์นั้น ดูเหมือนจะเกิดขึ้นกับชิเงนะ"



ขึ้นชื่อว่าผู้หญิง ไม่ว่าเรื่องจริงหรือในละคร ถ้าไม่มีใจแล้วก็คงยากจะตกลงใจแต่งงานด้วย ฉากฮารุโนะให้คำตอบปฏิเสธการขอแต่งงานของชิเงเป็นหนึ่งฉากที่น่าจดจำสำหรับซีรีย์เรื่องนี้ ผู้ชายคนหนึ่งที่ใจกว้างพอจะกล้ำกลืนน้ำตาเพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกดีขึ้น ไม่ต้องรู้สึกผิด ไม่ต้องเสียใจ และไม่ต้องกลัวอะไร ทุกอย่างระหว่างเราจะเหมือนเดิม

"ไม่เอาน่า อย่าทำหน้าเศร้าแบบนั้นสิ นะ"

เป็นคนถูกปฏิเสธแท้ๆ แต่กลับเป็นฝ่ายยิ้มปลอบใจคนที่ปฏิเสธเสียเอง การขอแต่งงานจบลงด้วยดี แม้หลังจากนั้นทั้งฮารุโนะและชิเงจะยังเข้าหน้ากันไม่ติด แต่ความผูกพันอันยาวนานก็นำทั้งสองกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ไม่ยาก และคงต้องยกให้เป็นความดีความชอบของชิเง เพราะเขาไม่ใช่คนที่จะรับความผิดหวังไม่ได้ เขาจึงเป็นลูกผู้ชายหัวใจใหญ่และทำให้สถานการณ์อึดอัดระหว่างกันคลี่คลายลง

สามคน ชิเง ฮารุโนะ และคุนิ กลับมาพบเจอกันดังเช่นชีวิตปกติหลังเลิกงาน

แต่ยิ่งคุนิสนิทสนมกับมาโกโตะมากขึ้นเท่าไร ฮารุโนะดูจะเก็บอาการยากยิ่งขึ้น และในที่สุดชิเงก็ค้นพบสายตาและอาการปวดใจของฮารุโนะเข้าจนได้ ฮารุโนะขอให้ชิเงสัญญาจะไม่บอกเรื่องนี้กับใคร สัญญา ..ตลอดไป ชิเงรับปากแต่ก็คอยเฝ้ามองฮารุโนะด้วยความห่วงกังวล เราสามคน แต่รู้เรื่องกันอยู่สองคน เพราะคุนิไม่เคยระแคะระคายอะไรเลย

****

เพื่อแก้ไขปัญหาภาวะถังแตก แผนเปลี่ยนแปลงย่านฮารุมิให้เป็นแหล่งช็อปปิ้งได้รับการอนุมัติจากท่านนายกเทศมนตรี และชาวบ้านส่วนหนึ่งก็เห็นดีเห็นงามกับค่าชดเชยที่จะได้รับ สาเหตุที่พวกเขาตัดใจที่จะย้ายไปจากที่อยู่อาศัยที่อยู่มาแต่ดั้งเดิมไปอย่างง่ายๆ ไม่ใช่แค่เรื่องเงินชดเชยอย่างเดียว แต่เพราะไม่มีหวังในวันข้างหน้าด้วยต่างหาก เพราะลูกหลานไม่ได้คิดจะสืบทอดกิจการจากคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ เมื่อเรียนจบก็ต่างไปทำงานบริษัทใหญ่มีหนทางของตัวเอง การที่คุนิพยายามปลุกระดมขอความร่วมมือจากชาวบ้านเพื่อต่อต้านแผนพัฒนาของสำนักงานตำบลจึงไม่เป็นผล ในเมื่อตัวเขาเองเป็นลูกชายของร้านทงคัตสึ ยังเกลียดทงคัตสึ ไม่เคยกินและไม่คิดสืบทอดกิจการ แล้วจะมาทำพูดดีให้ชาวบ้านยืนหยัดต่อสู้เพื่อรักษาย่านฮารุมิเอาไว้ได้แบบไหน ในสายตาของชาวบ้าน คุนิจะพูดอะไรก็ได้ เพราะไม่ว่ายังไงคุนิก็ไม่มีส่วนได้เสียกับความเป็นไปของฮารุมิอยู่แล้ว



ทางด้านความรัก จะโดยฐานะเพื่อน พี่ชาย หรือแม้แต่ในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง ชิเงก็อยากให้ฮารุโนะสมหวังและมีความสุข เขาจึงอยากช่วยให้ฮารุโนะได้สมหวังในความรัก วันเกิดครบรอบ 23 ปีของเธอ ชิเงนัดกันสามคนจะไปเที่ยวด้วยกัน แต่ชิเงก็แอบบอกกับฮารุโนะว่าเขาจะไม่ไปตามนัด และให้เธอถือโอกาสนี้เป็นการเดทกับคุนิและสารภาพความจริงที่อยู่ในใจ

แต่วันนั้นได้เกิดเรื่องยุ่งๆ ขึ้นที่ย่านฮารุมิ คุนิจึงไม่ได้ไปตามนัด เมื่อชิเงมาพบเข้าจึงโกรธคุนิมากและเผลอหลุดปากเรื่องความรู้สึกของฮารุโนะออกมา ต่อหน้าทุกคน เพื่อน ญาติพี่น้อง และลุงป้าน้าอาชาวถิ่นฮารุมิ ณ ที่แห่งนั้นได้รับรู้แล้วว่า แม่หนูฮารุโนะแอบรักอานามิยะ คุนิยูกิลูกชายเจ้าของร้านทงคัตสึ คำพูดหลุดออกไปแล้ว เอาคืนไม่ได้ พอรู้ตัวว่าพูดอะไรออกไป ชิเงก็รู้สึกได้ว่า งานนี้เขาต้องตายแน่แล้ว

"นายพูดว่าอะไรนะ นายล้อเล่นใช่ไหม"

แม้ไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร แต่คุนิก็รับรู้ได้อย่างแน่ใจถ้าฮารุโนะรู้สึกกับเขาแบบนั้น ที่ผ่านมาทั้งหมดเธอต้องรู้สึกแบบไหน คุนิหุนหันวิ่งออกไปจากร้านพร้อมภาพของฮารุโนะที่ประเดประดังเข้ามาในหัว สายตา คำพูด อารมณ์ที่โกรธกรุ่นๆ ขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผลของเธอ คุนิเพิ่งจะเข้าใจ แต่เรื่องราวมันกระทันหันเกินกว่าจะคิดอะไรออก เมื่อเขาไปหยุดยืนอยู่ต่อหน้าฮารุโนะ มันก็ยากเกินกว่าจะทำความเข้าใจและพูดอะไรออกไปได้

คุนิที่อธิบายเหตุผลของการผิดนัดและฮารุโนะรับฟังอย่างเข้าใจ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น ทั้งสองคนกลับมาฉลองวันเกิดร่วมกันสามคนที่ร้านของชิเง ทุกคนต่างพยายามทำตัวปกติโดยที่คุนิได้ขอร้องชิเง อย่าบอกให้ฮารุโนะรู้ ว่าเขารู้เรื่องแล้ว

ฮารุโนะพยายามฝืนยิ้มทำตัวเป็นปกติ แต่เมื่อรุ่งขึ้นชาวบ้านก็เริ่มมองเธอด้วยสายตาแปลกๆ (น่าสงสารจัง) รวมถึงท่าทีอึดอัดลำบากใจของคุนิด้วย ในที่สุดเธอก็รู้ตัวว่าความแตกเข้าแล้ว อยากจะโกรธและเล่นงานชิเงแต่ก็โกรธไม่ลงเพราะทั้งหมดที่ชิเงทำลงไปก็เพื่อช่วยเหลือเธอ

ฮารุโนะ รัก คุนิยูกิ และเขารู้ความจริงแล้ว เหมือนกับที่ชาวบ้านร้านตลาดเขารู้กันไปทั่วทั้งบาง แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีคำพูดออกมาจากปากของคุนิสักคำว่าเขาคิดอย่างไร ดูเหมือนฮารุโนะจะไม่มีหวัง เธอจึงทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นและพยายามทำตัวเป็นปกติ ฝืนยิ้มร่าเริง พูดคุยกัน แต่ไม่ว่าพยายามสักเท่าไร ท่าทีลำบากใจก็ไม่ได้หายไปจากสีหน้าของคุนิยูกิ



ในงานเทศกาลคู่รัก ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนการฟื้นฟูฮารุมิที่คุนิยูกิร่วมกันกับชาวบ้านร่วมมือกันจัดขึ้นมาหลังจากเทศกาลนี้ได้ถูกลืมเลือนไปในอดีตมาชั่วระยะหนึ่ง ฮารุโนะตัดสินใจสารภาพความในใจกับคุนิยูกิด้วยตนเองตอนที่ทั้งสองคนออกไปเล่นดอกไม้ไฟด้วยกัน สารภาพเพื่อให้เรื่องราวทุกอย่างจบลงเพียงแค่นี้ ไม่ต้องอึดอัด ไม่ต้องลำบากใจ จากพรุ่งนี้ต่อไปทุกอย่างจะเป็นเหมือนเดิม เธอจะกลับมาเป็นน้องสาวคนเดิมของชิเงและคุนิ

วันรุ่งขึ้น เหมือนเช่นทุกวันที่ฮารุโนะเดินผ่านร้านทงคัตสึและร้านเหล้าของชิเงออกไปทำงานพิเศษ ยิ้มแย้ม ทักทาย ดูมีความสุขดี แต่สีหน้าของคุนิยูกิก็ไม่เหมือนเดิมแบบที่เคยเป็น จากวันนั้นฮารุโนะก็หายหน้าไปจากทุกคน

ชิเงนั่งนับนิ้ว

"สามวันแล้วนะที่ไม่เห็นฮารุโนะ เธอเป็นอะไรไป ไม่สบายหรือเปล่านะ"
"เธอไปทำงานยังไง ถ้าไม่เดินผ่านหน้าร้านเรา หรือฮารุโนะจะเปลี่ยนไปใช้ทางอื่น"

"ที่จริง ฉันก็รู้สึกแย่นะ ที่ฮารุโนะไม่มาป้วนเปี้ยนแถวนี้เลย"

"นี่คุนิ ฮารุโนะไม่ใช่เด็กเล็กๆ อีกต่อไปแล้วนะ"

"ฉันรู้ดี .. แต่ฉันก็เห็นเธอเป็นน้องสาวคนหนึ่ง ตอนฮารุโนะขึ้นชั้นประถม พวกเราก็เรียนวิทยาลัยกันแล้วนะ ฉันเลยเห็นเธอเป็นน้องสาวคนเล็กมาตลอด จนถึงตอนนั้นทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ฉันไม่รู้จะเผชิญหน้ากับเธอยังไง"


ก็ต้องเป็นแบบนั้นแหละค่ะ เพราะคุนิยูกิไม่ได้มองฮารุโนะเป็นอื่นไปเลย จู่ๆ ก็มารู้ความจริงตู้มเดียวแบบไม่มีจังหวะให้ตั้งตัวติด เขาจึงพูดไม่ออกบอกไม่ถูก เพราะไม่รู้ตัวเองควรรู้สึกยังไง และการไม่พูดอะไรออกไปก็ยิ่งทำให้ฮารุโนะเสียใจและถอยห่าง แต่จะให้ตอบรับหรือปฏิเสธไปเลยคุนิก็ทำไม่ได้อีก เพราะไม่ใช่ไม่รัก เขาก็รักฮารุโนะมากอยู่แล้ว รักมาตลอด แต่ถึงตอนนี้ดูเหมือนเขาต้องแยกแยะให้ออกชัดเจนระหว่างรักอย่างน้องหรือรักอย่างผู้หญิงคนหนึ่ง ถ้ามีเวลาให้พิจารณาสักนิดก็คงจะดีกว่านี้ แต่นี่มันกระทันหันเกินไปสำหรับคุนิยูกิ และยิ่งเขาต้องมีเวลาชั่งใจตัวเองมากเท่าไร ฮารุโนะก็ห่างออกไปและมีเวลาให้คิดและตัดสินใจ"ตัดใจ"

"ฉันไม่อยาก กลับไปเป็นน้องสาวอีกแล้ว
ฉันจะไม่กลับไป เป็นน้องสาวของเขาอีก"

แต่เธอก็กลับมา ในวันที่เธอพร้อม กลับมาด้วยความตั้งใจเต็มเปี่ยมที่จะเป็นน้องสาวให้ได้เเหมือนเดิม แต่คุนิยูกิก็ดันจะมาเปิดปากพูดเรื่องความรู้สึกขึ้นมาตอนนี้ (ช้าตลอด) จะไม่ให้ฮารุโนะโกรธได้ยังไงไหว

"คุนิ พอแล้วล่ะ"

"ฉันยอมแพ้แล้ว"

"เพราะฉะนั้น อย่ามาพูดเรื่องนี้กับฉันอีก"



เฮ้อ...กว่าจะลงล็อค และลงเอย เล่นเอาลุ้นกันเหนื่อย ก็รู้แหละว่าเรื่องจะต้อง Happy Ending แต่ในความสัมพันธ์ที่สนิทสนมก็ทำให้มองไม่เห็นแววเลยว่าพระเอกจะมีใจให้นางเอกได้ตอนไหน เพิ่งจะมีใจชื้นขึ้นมาหน่อยกับสีหน้าตกใจตอนชิเงขอฮารุโนะแต่งงาน แล้วยังเก็บมานั่งครุ่นคิดซึ่งก็ไม่รู้ว่าคิดด้วยความรู้สึกแบบไหน รู้สึกกลัวความสัมพันธ์ที่อาจเปลี่ยนไป หรือรู้สึกหวั่นไหวที่จู่ๆ คนใกล้ตัวทั้งสองคนจะกลายเป็นคนสำคัญของกันและกันโดยที่เขาไม่มีเอี่ยว

เป็นซีรีย์แนวรักอีกเรื่องที่มีเนื้อหาถูกใจ แล้วยังมีสาระน่าชมอีกด้วย พูดง่ายๆ คือ ซีรีย์เรื่องนี้ให้ข้อคิดในเรื่อง "ชุมชนเข้มแข็ง" การเปลี่ยนแปลงอะไรในชุมชนของคนหมู่มาก ในชีวิตจริงคงไม่สำเร็จได้ง่ายๆ เหมือนในละคร 11 ตอน แต่ก็เป็นแบบอย่างแนวความคิดที่ชวนให้อยากจะเชื่อว่า หากคนในชุมชนไม่ละทิ้งความพยายาม ร่วมมือร่วมใจกันต่อสู้ในสิ่งที่ต้องการจะเห็น สิ่งที่ต้องการจะเป็น ปัญหาที่มีจะต้องพบทางออก และอีกคนที่สำคัญก็คือผู้นำชุมชนที่ต้องยืนหยัด เป็นหลักที่มั่นคงให้กับประชาชน เหมือนเช่นนายกเทศมนตรีคนนี้ที่มุ่งมั่นจะพัฒนาแก้ไขปัญหาภาวะซบเซาของชุมชน แต่การให้ชาวบ้าน "ย้ายออก" เป็นจุดที่ทำให้เธอต้องคิดหนัก และสุดท้ายเธอก็เลือกในทางที่จะไม่นึกย้อนกลับมาเสียใจภายหลัง




การแก้ปัญหาในเรื่องนี้ คือการร่วมมือร่วมใจกันฟื้นฟูชุมชน จากที่เกิดภาวะซบเซาร้านรวงต่างๆ พากันปิดกิจการไป คุนิยูกิ ชาวบ้าน และเจ้าหน้าที่ตำบลที่เกี่ยวข้อง ได้ช่วยกันมองหาวิธีที่จะทำให้ตำบลฮารุมิกลับมาคึกครื้นอีกครั้ง เนื่องจากตำบลฮารุมิมีตำนานความรักของหนุ่มสาวคู่หนึ่งที่ได้ก่อร่างสร้างตัวและก่อเกิดเป็นการตั้งชุมชนขึ้นที่นี่จนมีการสร้างรูปปั้นเป็นอนุสรณ์แห่งรักเพื่อระลึกถึงคนคู่นั้น พวกเขาจึงคิดจะใช้ตำนานเหล่านี้สร้างตำบลฮารุมิให้เป็น Marriage town การจัดกิจกรรมปาร์ตี้หาคู่ขึ้นในชุมชน ปรับปรุงร้านรวงต่างๆ ให้เหมาะสมกับเป็นบรรยากาศเมืองแห่งความรักที่คนหนุ่มสาวจะออกมาพบปะกัน การทำอาหารให้มีรสชาดอร่อยและออกแบบให้สวยงามน่ารัก การทำของที่ระลึก ตลอดจนสินค้าต่างๆ ให้เข้ากับคอนเซ็ปต์ของการเป็นเมืองคู่รัก และกลายเป็นเอกลักษณ์ที่จะดึงดูดผู้คนให้แวะเวียนเข้ามาและทำให้ย่านฮารุมิมีชื่อเสียงเป็นที่ที่ใครๆ เอ่ยถึงและอยากมาเยือน จากนั้นการค้าขายก็จะดีขึ้น ช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจของชาวฮารุมิให้กลับมาเฟื่องฟูได้อีกครั้ง




ทำให้นึกถึงสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งในเมืองไทยบ้านเรา อย่างเช่น เมืองปาย ที่เต็มไปด้วยร้านสีสันตกแต่งสวยงามตามถนนคนเดินชอปปิ้ง ร้านไปรษณียบัตรมากมายที่ผุดขึ้น ตู้ไปรษณีย์สีแดงๆ และหลักกิโล กลายเป็นฉากยอดนิยมในการถ่ายภาพของนักท่องเที่ยว การตกแต่งถนนร้านค้าให้น่ารักน่าเดินเล่น หรือแม้แต่สินค้าที่ระลึกที่บ่งบอกความเป็นปาย เชียงคานก็ดูจะคล้ายๆ กันในลักษณะการตกแต่งย่านตลาดให้สวยงามมีบรรยากาศเป็นเอกลักษณ์เพื่อดึงดูดผู้คน แม้ว่าคนที่ไปปายในระยะหลังจะพูดออกมาให้ได้ยินว่า "ไม่ค่อยสวยแล้ว" และยังได้ยินคำพูดต่อๆ มาอีก "ถ้าใครยังไม่ได้ไปเชียงคาน ให้รีบไปเสียตั้งแต่ตอนนี้ เพราะอีกไม่นาน เชียงคานอาจจะพังเหมือนปาย" ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าปายในระยะหลังเป็นอย่างไร ถ้าถามความรู้สึกส่วนตัวในตอนที่ไป ก็คิดอยู่เหมือนกันว่าไม่เห็นมีอะไรมากนัก แต่ด้วยอาศัยเที่ยววัดวาและวิวทิวทัศน์ของภูเขาแววล้อมย่อมถือว่าโอเคแล้วล่ะสำหรับการนั่งรถลำบากลำบนฝ่า 1,864 โค้งไปจนถึง แต่ถ้าใครถามไปไหนมา เปลี่ยนจากตอบว่า "ไปปาย" เป็น "ไปปางอุ๋ง" หรือ "ไปแม่ฮ่องสอน" น่าจะตรงตามความจริงมากกว่า เพราะไม่ได้ประทับใจในความเป็นปายสักเท่าไร แต่ถ้าใครจะไปเพื่อเที่ยวแม่ฮ่องสอนย่อมถือว่าคุ้ม เพราะความจริงแล้วการท่องเที่ยวบางทีมันก็สำคัญอยู่ที่เที่ยวกับใคร ถ้าเป็นเพื่อนสนิทร่ำเรียนมาด้วยกัน ไปไหนไปกันเป็นตัวของตัวตูเองแบบสุดๆ พูดจาไม่ต้องภาษาดอกไม้ วะ โว้ย มึง กู ด่าทอกันเล่นด้วยศัพท์แสงเฉพาะกลุ่มได้ล่ะก็ ไปไหนก็สนุกแถมยังต้องไม่ให้ความสนุกเกินเลยไปรบกวนชาวบ้าน โดยเฉพาะเรื่องเสียงดังแปดหลอด




นึกถึงบ้านหอมเทียน ที่สวนผึ้งราชบุรี หากไม่ใช่ขาอึดที่จะไปเที่ยวธรรมชาติเดินป่าหาน้ำตกชมทะเลหมอกที่เขากระจง ก็ไม่คิดว่าสวนผึ้งมีอะไรมากนัก แต่การที่รีสอร์ทต่างๆ สร้างสถานที่ บรรยากาศสวยงาม เอาใจนักท่องเที่ยวสมัยนี้ที่โลกออนไลน์กลายเป็นส่วนย่อยในชีวิตสำหรับการแชร์ชีวิตส่วนตัวบางส่วน สำหรับใครหลายคนการถ่ายรูปจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่มากกว่าจะสนใจพินิจพิเคราะห์ความงามของสถานที่แบบดื่มด่ำมากนัก (ขอแค่มีรูปฉันกับฉากตรงนี้เป็นพอ) แค่เพียงบ้านหอมเทียนแห่งเดียวก็คงดึงนักท่องเที่ยวไว้แล้วกว่าครึ่งวัน ทุกๆ มุมน่ารักสวยงามน่าถ่ายรูป ใครเห็นก็อยากจะเอาตัวเองไปแหมะติดด้วยในภาพถ่าย สินค้า อาหาร ห้องขายของ ห้องน้ำ ทุกอย่างไม่เว้นแม้แต่ภาชนะใส่อาหาร ถุงหีบห่อ ตลอดไปจนถึงถังขยะคงความเป็นธีมเดียวกันเป็นสไตล์ที่น่าหลงใหลให้แวะเวียนไปชม เส้นทางรีสอร์ทและร้านกาแฟแถวๆ วังน้ำเขียวก็คล้ายคลึงกัน อย่างที่ทำให้รีสอร์ท A cup of Love หรือ ร้าน coffee love hill มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักใครผ่านไปเส้นนั้นต้องแวะไป กาแฟจะอร่อยหรือไม่ไม่สำคัญ ขอให้ได้ถ่ายรูปกับมุมต่างๆ ของร้านกาแฟที่สวยงามน่ารักเป็นพอ (เท่าที่ชิมก็บอกไม่ได้ เพราะทุกวันนี้บริโภคกาแฟจนจะกลายเป็นอาหารหลัก มันอยู่ในสายเลือดจนไม่รู้ถึงความแตกต่างในรสชาดกาแฟแต่ละแก้วสักเท่าไร) ธรรมชาติอาจสวยสู้ที่อื่นไม่ได้ไม่เป็นไร แต่สู้กันด้วยบรรยากาศและสไตล์ เหมือนที่สวนผึ้งทำรีสอร์ทเป็นบ้านตุ๊กตาแต่ละตัวในเรื่อง Princeton นั่นอาจทำให้คนไปสวนผึ้งออกอาการคลั่งได้ถ้าไม่ได้ถ่ายรูปกับตุ๊กตายักษ์เหล่านั้น และอาจจะลงแดงไปเลยถ้าไม่ได้แวะเข้าบ้านหอมเทียน ( ไอติมกะทิโปะหน้าลูกชิดใส่กระบอกไม้ไผ่อร่อยมากกกกก)

การที่ซีรีย์เรื่องนี้พยายามทำกิจกรรม หรือสิ่งต่างๆ เพื่อสร้างให้ตำบลฮารุมิมีชื่อในการเป็น Marriage town จึงเป็นเรื่องที่ดูไม่เว่อร์ เพราะการจะสร้างเมืองสักเมืองหนึ่งให้ก่อเกิดเป็นเอกลักษณ์ขึ้นมาน่าจะทำได้อย่างเป็นรูปธรรม เพียงแต่ในชีวิตจริงจะทำให้สำเร็จอาจต้องใช้เวลาและอะไรอีกมากมายที่ไม่ง่ายอย่างในละคร




พระเอก นากาอิ มาซาฮิโระ เขาเป็นใครไม่รู้ ไม่เคยรู้จัก แต่เท่าที่เปิดไปดูประวัติดูเหมือนรายชื่อผลงานของเขาจะยาวเป็นหางว่าวเพียงแต่ไม่เคยเข้าสู่วงโคจร อาจเป็นเพราะหน้าตาพระเอกนี่แหละที่หล่อไม่ใช่แนว เรื่องนี้ก็พลาดการชมมาซะนาน แต่พอมาดูเข้าจริงถึงตอนที่สามที่สี่ก็เริ่มเคยชินและหน้าตาของพระเอกก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร เนื้อเรื่องถูกใจแบบนี้แทบไม่ต้องอาศัยพลังของ อายะ อุเอโตะด้วยซ้ำไป ได้ซาโต้ เรียวตะ มาอีกคนถือว่าเป็นของแถมสมนาคุณที่เกินคุ้ม ( อาจารย์คาวาโต้ จากเรื่อง Rookies ) เรียวตะเรื่องนี้ก็เป็นคนตลกๆ ที่น่ารัก ใจกว้างยังกับน้ำทะเล และเป็นพระรองที่ไม่ทำให้รู้สึกอึดอัดกับเรื่องรักของเราสองสามคนเลยสักนิด คงเป็นเพราะซีรีย์ญี่ปุ่นดำเนินเรื่องไว เพราะถ้าเป็นซีรีย์เกาหลีคนดูจะต้องเผชิญกับอาการอกหักรักคุดของพระรองอยู่ย้ำๆ ซ้ำๆ สงสารจนพาลไม่อยากจะดูอะไรที่เป็นรักสามเส้า

ถ้าใครมองหาซีรีย์แนวความรัก Marriage Hunting เป็นอีกหนึ่งซีรีย์ที่อยากแนะนำค่ะ รักที่ไม่มากไป ไม่น้อยไป คลุกเคล้าไปกับสาระในอัตราส่วนที่พอดีกัน แม้แต่ในมุมของยูโกะ สาวสวยคนสำคัญที่พยายามสุดชีวิตกับการตามล่าหาผู้ชายในอุดมคติให้ตรงตามมาตรฐานสูงส่ง แต่สุดท้ายเธอก็ได้รู้ว่าไม่มีใครในโลกนี้หรอกที่เพอร์เฟ็คต์ และที่รู้ยิ่งกว่านั้น ความรักไม่มีมาตรฐานแต่เป็นความสุขที่จะวัดค่าหาทฤษฏีกันไม่ได้

เพราะความสุขของคนเราไม่เท่ากัน


เรื่องนี้ อายะ อุเอโตะ น่ารักมาก

ภาพและข้อมูล>

//wiki.d-addicts.com/Konkatsu!




 

Create Date : 26 ธันวาคม 2553    
Last Update : 22 กุมภาพันธ์ 2558 8:46:08 น.
Counter : 1292 Pageviews.  

Jikou Keisatsu (Season 1 - 2) โจ , อาโซะ และ ตาพัดโบก




Season 1

ชื่อซีรีย์ : Jikou Keisatsu
กำกับโดย: Tsukamoto Renpei
Written By : Miki Satoshi(ep1-2&9), Iwamatsu Ryo (ep3), Sono Shion Keralino Sandorovich (ep8), Tsukamoto Renpei (ep5)
จำนวนตอน : 9 ประเภท : Mystery Comedy
ปี 2006 TV Asahi


Season 2
ชื่อซีรีย์ : Kaette Kita Jikou Keisatsu
กำกับโดย : Yasumi Goro
จำนวนตอน : 9 ประเภท : Mystery Comedy
ผลิตโดย : Yokochi Ikuhide (tv asahi), Toda Koichi (MMJ)
Written By : Miki Satoshi (ep1-2&9), Sono Shion (ep3&6), Keralino Sandorovich (ep4), Aso Manabu (ep5), Odagiri Joe (ep8),Yoshida Reiko(ep5), Yamada Akane (ep7)
ปี : 2007 TV Asahi


เห็นกันมานานแล้วล่ะค่ะสำหรับ Jikou Keisatsu แต่ดูภาพใบปิดสิคะ จะรู้ไหมละคะว่าพระเอกตาเอ๋อเหรอที่เห็นอยู่นั่นคือ คุณพี่โจ โอดางิริ มารู้ก็ตอนหลงเข้าไปอ่านรายชื่อนักแสดง จริงๆ แล้วชื่อของอาโซะสะดุดตาก่อนพี่โจเสียอีก ก็เลยมีโอกาสได้ชมผลงานอีกเรื่องของโจ และอาโซะ

เห็นแก่ที่คุณพี่โจ อุตส่าห์มาทำตลกง่อนแง่นให้ดูเป็นเพื่อนในมื้ออาหารเย็น (แต่กินซะดึก)อยู่บ่อยๆ และเห็นแก่อาโซะที่แสดงอาโนะเนะได้น่ารักแม้ว่าจะขัดกับบุคลิกทางหน้าตาแบบสุดๆ จึงตัดใจไม่ลงที่จะปล่อยทั้งสองคนไปตามยถากรรม ทั้งที่ระยะนี้ของชีวิตออกจะยุ่งเหยิงแทบหายใจไม่ทันจนอยากจะกลายพันธุ์เอาเหงือกมาช่วยหายใจด้วยอีกทาง

Jikou Keisatsu เป็นซีรีย์ที่ใช้เวลานานมากกว่าจะดูจบ เพราะดูได้แค่ครั้งละตอน และไม่ได้ดูต่อเนื่องมาทุกวัน ไม่ใช่ซีรีย์มีสาระ และไม่ได้ฮาแตกแตน แต่ก็เป็นความขำๆ ให้หัวเราะคิกคักเรี่ยราดอยู่พอสมควร



เรื่องก็มีอยู่ว่า

คิริยามะ ชูอิจิโร่ (Odagiri Joe ) ทำงานในตำแหน่งเจ้าหน้าที่บริหารจัดการข้อมูลให้กับสถานีตำรวจสำนักงานประจำเขต ไม่ทราบว่าเป็นแผนกอะไรแน่นะ ขอเรียกเอาเองแล้วกันนะคะว่าเป็นแผนกคดีความหมดอายุ แผนกนี้ก็จะมีหัวหน้าบ้าบอ และเพื่อนร่วมงานที่แตกต่างบุคลิกและต่างคนก็ต่างเพี้ยนกันไป ศูนย์รวมของสมาชิกแผนกนี้ก็จะอยู่ที่โต๊ะกลางกว้างๆ ของแผนกที่ใช้สารพัดประโยชน์ เป็นทั้งโต๊ะทำงาน โต๊ะประชุม (แต่ไม่เคยเห็นประชุมกันเป็นเรื่องเป็นราว) และโต๊ะชุมนุม(กันด้วยเรื่องไร้สาระอยู่บ่อยๆ)






อยู่มาวันหนึ่งประเด็นไร้สาระของพวกเขาได้พากันพูดถึง "งานอดิเรก" ในเมื่อคนทั่วไปต่างก็มีงานอดิเราด้วยกันทั้งนั้น คนไม่เคยมีอย่างคิริยามะชักเริ่มจะกังวลใจที่ตัวเองดูเป็นคนผิดแผกเนื่องจากไม่เคยมีงานอดิเรกใดให้จับต้อง เพื่อที่จะดูปกติเหมือนคนอื่นทั่วไป คิริยามะจึงต้องมองหางานอดิเรกสักอย่างทำ สุดท้ายจึงมาลงเอยที่ "การสืบสวนคดีความหมดอายุ" นั่นหมายความว่าคดีน่าสนใจใดที่ทางตำรวจยังสืบหาคนร้ายไม่ได้จนล่วงผ่านเข้าสู่วันหมดอายุความ คิริยามะจะนำคดีเหล่านั้นมาสืบสวนเป็นงานอดิเรก เลือกคดีเองด้วยความสนใจบ้าง ถูกยัดเยียดบ้าง ก็ว่ากันไป

มิกะสุกิ ชิสุกะ (Asou Kumiko) เธอเป็นตำรวจหญิงในแผนกจราจร สถานที่สิงสถิตของเธอนอกจากตามท้องถนนก็มีโต๊ะกลางของแผนกคดีความหมดอายุนี่แหละ และยังมีอีกที่ที่เธอโปรดปราดมากสุด นั่นก็คือ Beside คิริยามะ เพราะเธอแอบบชอบคิริยามะ เพ้อล่องลอยไปมา แถมบางที่ยังเก็บไปฝันกลางวันยันกลางคืน



คิริยามะและมิกะสุกิเป็นเพื่อนตำรวจรุ่นราวคราวเดียวกัน จึงสนิทสนมเป็นเพื่อนกัน และเมื่อต้องสืบสวนคดีความหมดอายุ คิริยามะก็ไม่มีใครให้นึกถึง นอกจากมิกะสุกิเท่านั้นที่เขาชวนไปไหนมาไหนเป็นเพื่อน ออกค่ากินค่าอยู่ให้ สำหรับคิริยามะนั่นเป็นการออกไปเป็นเพื่อนช่วยทำงานอดิเรก แต่สำหรับมิกะสุกิเธอมักจะวาดฝันถึงการออกเดทกันหลังจบงาน แต่ดูคิริยามะจะไม่หลงกลในเรื่องนี้สักเท่าไร เพ้อเข้าไปค่ะคุณนางเอก เพ้อเข้าไป

ทั้งสองคนจึงกลายเป็นคู่หูที่ตามเช็คบิลคดีฆาตกรรมต่างๆ ที่หมดอายุความไปแล้วเป็นงานอดิเรก คิริยามะมีมิกะสุกิเป็นมือขวาและพลพรรคนายและนางตำรวจสุดเพี้ยนคอยเป็นผู้สอดแนม หนับหนุน และหนุกหนานไปกับการสืบคดีของคิริยามะ

สาเหตุที่สนใจสอยเรื่องนี้มาดูเพราะเห็นซีรีย์มีทำต่อในภาคสอง คิดเอาเองว่าซีรีย์ที่จะถูกนำมาทำภาคต่อได้นั้น ภาคแรกต้องประสบความสำเร็จทางเรตติ้งอยู่พอสมควร ทำให้ไปอ่านพบชื่อของอาโซะกับโจจึงตัดสินใจได้ทันทีซื้อมาทีเดียวรวดสองซีซั่น และเพิ่งมารู้ตอนหลังว่า ซีรีย์เรื่องนี้ได้รับรางวัล 23rd Annual ATP Awards : Award for Excellence (2006)




แต่ภาคสองไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไปเลย นอกจากทรงผมของพระเอกที่ดูรกรุงรังกว่าเดิม มีตำรวจเพี้ยนๆ มาเสริมทีมอีกคนหนึ่ง ที่เหลือยังอยู่กันครบ ดังนี้

เฮียจูมอนจิ (Toyohara Kosuke) เฮียคนนี้เล่นได้ฮาสุโค่ย เฮียไม่ใช่คนไหนอื่นไกล คือ "ตาพัดโบก" อาจารย์ที่ปรึกษาจอมโหดของน้องหนูโนดาเมะนั่นเอง ( เรื่อง Nodame Caltabile) เฮียมากับความฮาอย่างไรบ้างนั้นคงจะอธิบายกันยาก เอาเป็นว่าฮากว่าใครก็แล้วกัน แต่ที่บอกได้คือมีนิสัยชัดเจนอยู่อย่างนั่นคือการยกตนข่มท่าน ท่านที่ว่านี้จะเป็นใครที่ไหนไปได้ถ้าไม่ใช่คุณพระเอกคิริยามะ ที่เข้ามาเป็นนายตำรวจพร้อมๆ กัน แต่คิริยามะเป็นเพียงเจ้าหน้าที่ฝ่ายข้อมูล ขณะที่จูมอนจิเป็นถึงนักสืบประจำสำนัก แว่วเสียงว่าฝีมือดีเสียด้วย แต่ว่าท่าดีทีเหลียวหรือเปล่าไม่กล้าสรุป ทางด้านคิริยามะที่หน้าตาดูเอ๋อๆ แต่ขอบอกก่อนว่าไม่โง่อย่างที่เห็น เป็นคนช่างคิด ช่างสังเกต เพียงแต่คิดไม่ค่อยเหมือนใคร หรือไม่...ใครที่ว่าก็คิดไปไม่ถึง จึงไม่ค่อยมีใครเชื่อถือนัก แต่บ่อยครั้งที่ความคิดเหล่านั้นกลายเป็นมูลเหตุให้ต่อมนักสืบของจูมอนจิเกิดปัญญาปิ๊งๆแล้วจับคนร้ายได้ แต่แทนที่จะสำนึกในความคิดนั่น กลับทึกทักว่าเป็นเพราะความคิดอันชาญฉลาดของตัวเอง และหยิบยกเอาคำพูดของคิริยามะไปทำพูดเท่ๆ เหมือนเป็นคำจากความคิดของตน ยัง เท่านั้นยังไม่พอ ยังวกกลับเอาคำพูดเหล่านั้นมาเกทับสั่งสอนคิริยามะอีกต่างหาก (เชื่อเค้าเลย ช่างกล้า)



ป้ามาตาไร (Fuse Eri ) ป้าคนนี้เห็นหน้าก็ตลกแล้วค่ะ ผลงานที่จำได้คือเรื่องใหม่ล่าสุดแสดงเป็นตำรวจจอมเพี้ยนอีกเหมือนกันในเรื่อง Atami no Sousakan โดยมีโจ โอดางิริ เป็นนายตำรวจสืบสวนในองค์กรพิเศษระดับชาติ ไม่ใช่ตำรวจเพี้ยน แต่ก็อย่าคาดหวังความเท่อะไรจากโจมากนัก เพราะโจมักมาในบทบาทที่ เอ่อ .. ไม่ยักใช่อย่างที่คิดอย่างที่หวัง T-T

ป้าเป็นตัวชูโรง สามารถเข้ากับทุกคนได้พอๆ กับที่สามารถขัดคอทุกคนได้ ยิ่งกับจูมอนจิ สองคนนี้เสมือนเป็นไม้เบื่อไม้เมา จูมอนจิโผล่มาเมื่อไหร่ป้าเป็นได้แสดงอาการเบะหน้าเบะตาให้ยิ้มฮาอยู่เรื่อย



เจ๊ซานาเอะ (Eguchi Noriko) ฮ่า ฮ่า ฮ่า ขอขำก่อนเถอะ ผู้หญิงคนนี้เคยเห็นจากที่ไหนสักเรื่องแต่จำไม่ได้ เธอเป็นหญิงสาวประเภทหน้าตายตอนดุ ดูไร้ความรู้สึก เหมือนโรคจิตอ่อนๆ และไม่เคยยิ้มเลย แต่เห็นเธอแล้วไม่รู้ทำไมอยากจะหัวเราะทุกครั้งไป กับป้ามาตาไรเธอเข้ากันได้ดี แต่อย่าให้ทะเลาะกันเชียวล่ะ งอนกันได้อย่างน่ารักน่าชัง

ลุงคุนาโมโตะ (Iwamatsu Ryo) ลุงคุนาโมโตะ เป็นหัวหน้าแผนกข้อมูลของมาตาไร ซานาเอะ และคิริยามะ ( จูมอนจิเป็นนักสืบแผนสืบสวน และมิกะสุกิอยู่แผนกจราจร) เป็นหัวหน้าแต่บุคลิกนิสัยเป็นเด็กๆ ลูกน้องจึงเล่นหัวและปีนเกลียวได้ อารมณ์ดี ใจดี ชอบทำหน้าตายิ้มย่องแบบแหยๆ

อาชิสุเกะ (Hida Yasuhito) เป็นลูกน้องซื่อบื้อ ของจูมอนจิ ให้ทำอะไรก็ทำ ไร้ซึ่งความคิดและสามัญสำนึกของคนปกติทั่วไป เพี้ยนพอๆ กันเลย

ยังมีอีกหนึ่งคนคือ เจ้าหน้าที่ชันสูตรหลักฐาน ที่คิริยามะอาศัยความช่วยเหลือในการบอกเล่าถึงหลักฐานตัวเก่าที่มี หรือไม่ก็พิสูจน์ให้สำหรับหลักฐานตัวใหม่ที่เพิ่งหามาได้ (แต่ต้องแลกไปด้วยการถูกรีดไถเอาเงิน) อาจจะอยู่นอกวงโคจรสักหน่อย นานๆ ครั้ง คิริยามะจะมาเจอสักที หรือนานๆ ทีจะโผล่ขึ้นไปร่วมวงไพบูลย์กับแผนกของคิริยามะสักหน แต่การอยู่ห่างก็ใช่ว่าจะไม่เพี้ยนไปด้วยอีกหรอกนะ (สงสัยจะพากันเพี้ยนทั้งสถานี)



อย่างที่บอกค่ะ เข้าใจเอาเองว่าซีรีย์เรื่องนี้คงจะดังพอตัว ถึงได้ทำภาคสองออกมา และยังกล้าทำในรูปแบบที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย เหมือนนั่งดูซิทคอมค่ะ มาเพื่อฮาเป็นเรื่องๆ ไป แต่ละคดีความหมดอายุที่คิริยามะทำการสืบสวน จะถูกคลี่คลายจบในตอน ไม่มีอะไรให้ตื่นเต้นเร้าใจ ฆาตกรตัวจริงไม่ได้มีอะไรเหนือความคาดหมาย คิริยามะไปสืบใครใกล้ชิด ก็ย่อมเป็นหนึ่งในคนเหล่านั้นนั่นแหละ จุดดึงความสนใจให้ติดตามจึงไม่ใช่ "ใครคือฆาตกร" แต่เป็น "ฆาตกรทำอย่างไร" จึงไม่ถูกจับได้และรอดพ้นมือกฏหมายจนกระทั่งคดีความหมดอายุ การสืบคดีของคิริยามะไม่ใช่งานในหน้าที่ แต่เป็นงานอดิเรกโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการยืนยันตัวคนร้ายที่แท้จริงเท่านั้น

ขอย้ำ เป็นงานอดิเรกเท่านั้น!




ดังนั้น ผลการสืบคดีที่ออกมาจะไม่มีผลอะไรทั้งสิ้น เพราะคดีได้หมดอายุความไปแล้ว การสืบสวนคดีต่อจึงเป็นไปโดยปราศจากอำนาจของทางการ และเพื่อแสดงความจริงใจต่อฆาตกรที่ลอยนวลได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างสบายใจต่อไป แม้ว่าจะมีใครคนหนึ่ง (สักคน สองคน อย่างคิริยามะ มิกะสุกิ รู้ความจริงแล้วก็ตาม) คิริยามะจึงได้มอบบัตร >"ผมจะไม่บอกเรื่องนี้กับใคร" ให้กับฆาตกรที่เขาสืบพบ และรับบัตรไปด้วยอาการที่ ถ้าไม่งงๆ ก็อิหลักอิเหลือ

เอ่อ ...

เอ๋ ?

อะเห

หา ?... มันอะไรกันหว่า?


ช่างคิดได้นะ "บัตรผมจะไม่บอกเรื่องนี้กับใคร"

นอกจากบัตรนี้แล้วก็มีชอบอีกอย่างคือ ลุงคุนาโมโตะหัวหน้าแผนกกับการประทับตรา.. ปึก! "หมดอายุความ" แล้วคิริยามะก็นำแฟ้มคดีเหล่านั้นไปทำเป็นงานอดิเรกได้



กลับมาว่ากันต่อที่คุณพี่โจ โอดางิริ เกี่ยวกับคำพูดที่ว่า "อย่าได้คาดหวังอะไรจากโจมากนัก" จริงๆ เลยนะ เพราะไม่ว่าจะเป็นความเท่ ความหล่อ ความฉลาดมาดแมน ความเป็นแบดบอย หรือผู้ชายอบอุ่น โจไม่มีให้ เพราะเท่าที่เคยดูผลงานของโจ ความรู้สึกคือ เอ่อ โจแกเล่นบทบ้าบออะไรของโจนะเนี่ย ไม่เห็นจะเข้ากับหน้าหล่อๆ แบบนี้เลย

ประหลาดคนจริงๆ หน้าตาดีขนาดนี้ แต่เล่นแต่ละบท อะจึ๋ย! อย่างภาพใบปิดของ Jikou Kaisatsu เห็นมานมนานกาเลแล้วล่ะแต่ก็ดูไม่ออกเลยว่าเป็นโจ ไม่คิด้วยว่าเขาจะมาแสดงในบทแบบนี้ เล่นเป็นพี่ชายที่ดูแหยๆ ทึ่มๆ บ้างล่ะ (Boku no Imoto) เป็นเกย์ผู้อ่อนไหวบ้างล่ะ (La Maison de Himiko) เป็นนักรบหัวรุงรัง ขืนใจผู้หญิงอีกต่างหาก (The warrior and the wolf) ดูทรงผมหนวดเคราใน Tokyo Tower สิคะ ยังมีอีกอย่างเรื่อง Shinya Shokudo ดูคาแร็คเตอร์ของโจแล้วอยากจะร้องออกมาว่า ทำไมถึงทำกับฉันด้ายยยย เป็นแบบนี้เลย



ส่วนเรื่องที่เห็นล่าสุด Atami no Sousakan โจเป็นถึงตำรวจหน่วยสืบสวนพิเศษถูกส่งมาสืบคดีที่ตำรวจไม่สามารถคลี่คลายได้ ใส่สูทผูกไทน์ ทรงผมหล่อ คิดว่า มาละเว้ย โจในบทเท่ๆ หล่อๆ หล่อน่ะหล่อจริง แต่เอ่อ... โจคะ โจไม่เป็นดังหวังอีกแล้วค่ะ ทำหน้าบึ๋ย หยึ๋ย อะจึ๋ย ยอะไรของพี่แกก็ไม่รู้ เยอะแยะมากมายมากสำหรับผู้ชายคนนี้ที่ทำลงไปแบบไม่เสียดายความหล่อ



อยากเห็นโจในบทมาดแมนเท่ๆ ให้มันสมหน้าสมตาอย่างเช่น หมออาซาดะ ริวทาโร่ (IRYU) หมอไอซาวะ (Code Blue) เก่งกาจมาดเท่อย่างคุณตำรวทาคาคุระโช (Tokyo Dogs) ฉลาดล้ำลึกแบบอดีตนักต้มตุ๋นอากิยามะ (Liar game) หรือสุขุมนุ่มลึกแบบท่านชานะโอนักรบซามูไรผู้สูงศักดิ์ (Minamoto Yoshisune) หรือเป็นพระเอกหนังรักโรแมนติกอะไรงี้ อะไรก็ได้แบบที่ป๋าทาคุยะมักได้เล่นเป็นพระเอกน่ะ (Goodluck , Engine , Beautiful love, Pride) พี่โจคะ พี่จะทำเพื่อฉันสักเรื่องได้ไหมคะ ขอสักเรื่องทำนองนั้นน่ะพี่ หรือใครรู้จักโจในแบบนั้นช่วยแนะนำที



ทว่าสุดท้ายแล้ว ก็ชอบโจในแบบที่เป็นโจ ในบทของคน "แปลกๆ" แต่ละเรื่องที่โจรับเล่น ดูแล้วมันทำให้รู้สึกว่า เออ หน้าตาหล่อปานนี้ก็เล่นบทแบบนี้ได้นะ โดยเฉพาะบทคิริยามะใน Jikou Keisatsu โจอยู่ในคาแร็คเตอร์ที่เหนือความควาดหมาย ทำไมถึงได้แสดงอากัปกิริยาได้ชวนหัวร่อ ตลก และไม่อยากจะเชื่อว่านี่คือสุดหล่อ โจ โอดางิริ ผม เผ้า หู ตา ปาก จมูก เล่นมันได้ทุกอย่างแบบไม่มีห่วงภาพพจน์ เป็นสไตล์การเลือกบทที่ไม่ติดหล่อไม่ติดเท่ อาจจะไม่ถูกใจแต่ขอซูฮกว่าแสดงออกมาแล้วถูกตา

ถ้าจะนึกถึงนักแสดงไทย ทำให้นึกถึง แดน วรเวช เห็นอยู่ในวงการบันเทิงมาตั้งนานไม่เคยคิดเลยว่าผู้ชายคนนี้จะขำได้ ดูเดี๋ยวนี้สิ เจอแสบสนิท สามสิบสองธันวา บวกสืบสวนป่วนรักที่ได้อ่ำ อมรินทร์มาเป็นคู่หูเข้าไป โอ้โห่.. แดนของฉัน ทำไมแกถึงได้ฮาอย่างเป็นธรรมชาติแบบนี้ แต่ก็ถือว่าแดนยังหล่อนะ แต่โจน่ะไม่ เพราะดูจะถนัดทำลายความหล่อของตัวเองให้ด้อยลงไปได้เยอะในแต่ละเรื่อง



อาโซะเองก็ใช่ย่อย นึกไม่ออกเลยว่าหน้าตาของเธอจะมาเล่นคิขุอาโนเนะได้ ดูไม่เข้ากันอย่างแรง แต่ไหงชีแบ๊วได้ฮาและน่ารัก โดยเฉพาะที่ชอบมากคือเสียงพูดหงุงหงิงและเสียงหัวเราะใสๆ ถ้าไม่เห็นหน้าเห็นตัวแล้วได้ยินเสียงหัวเราะคงนึกว่าเป็นเสียงหัวเราะของเด็กตัวน้อยๆ ที่ร่าเริง คู่กับโจแล้วทั้งหน้าตาและคาแร็คเตอร์ของทั้งสองคนดูเป็นส่วนผสมที่ลงตัว สมกันยังกะผีเน่ากับโลงผุ น่ารักจริงๆ



แต่คนโปรดจริงๆ ในเรื่อง คือ จูมอนจิ หรือที่จดจำมาถึงทุกวันนี้ในฉายา "ตาพัดโบก" เห็นรูปในอินเทอร์เน็ตตอนไม่มีหนวดเคราก็ดูนิ่งๆ ขรึมๆ แต่ในซีรีย์เรื่องนี้เฮียแกก็ฮาอย่างแรงงไม่แพ้ตอนแสดงเป็นตาพัดโบก

คราวก่อนที่เขียนถึงเรื่อง Rescue ได้รับคอมเมนท์มาเป็นข้อมูลเพิ่มเติมว่าเป็นผลงานของผู้กำกับคนเดียวกันกับ Code blue ซึ่งตอนดูละครอยู่ก็นึกอยู่เหมือนกันว่า Rescue เล่นกับประโยคคำพูดกินใจและจับความรู้สึกอินซึ้งไว้ได้คล้ายๆ กับ Code Blue (ไม่รู้ว่าเป็นผู้กำกับคนเดียวกัน) ในเรื่อง Jikou Keisatsu ดูไปดูมาก็นึกไปถึง Tiger & Dragon มีบางอย่างคล้ายคลึง เช่น แนวของเรื่องที่เล่นอยู่มุกเดิมๆ ซ้ำๆ ไม่เปลี่ยน แนวเดียวกันตลอด Tiger & Dragon ใช้เรื่องเล่า รุคาโกะ เป็นการสวมรอยกับเรื่องจริงที่ดำเนินไปได้ลงตัวอย่างน่าทึ่ง Jikou ก็มีเรื่องเล่นเรื่องเมาท์สัพเพเหระทั่วไป แต่บังเอิ๊ญมักมีบางสิ่งไปเป๊ะกันพอดีกับจุดที่นำไปสู่การ "คิดออก" และไขคดีได้ ทั้งที่มันไม่ใช่เรื่องเดียวกัน ชอบค่ะ รู้สึกว่าคนเขียนบทฉลาดดี แต่ไปสืบจากเน็ตแล้ว ไม่ใช่ทีมผู้กำกับงานเดียวกัน Jikou ใช้คนเขียนบทหลายคน แบ่งกันเขียนเป็นตอนๆ ไป โจเองยังได้ร่วมเขียนบทด้วย



เพราะแต่ละตอนมีวิธีดำเนินไปในรูปแบบซ้ำๆ จึงเป็นซีรีย์ที่ดูสบายๆ เหมือนนั่งดุซิทคอมขำๆ "เป็นต่อ" "บ้านนี้มีรัก" หรือ "เฮง เฮง เฮง" แต่ขอบอกหน่อยเถอะว่าเรื่องสอดแทรกความมีสาระของเราที่กล่าวมาดีกว่าเยอะ ( 555 นานๆ ขอชมไทยเราบ้างนะ) เพราะ Jikou ไม่มีสาระอะไรเลย แค่ดูไปขำๆ ไม่ต้องเร่งร้อนให้จบ ดูไปเรื่อยๆ เพราะตัวละครต่างพากันฮาเล็กฮาน้อยได้อย่างน่ารักทุกคน

ยกเว้นตาพัดโบก รายนี้ไม่ใช่แค่ฮาเบาๆ นะ แต่ฮาโฮกเลยล่ะ


ฮ่า ฮ่า ฮ่า เอิ๊กกกก Smiley
ชอบตาพัดโบก Smiley










***

ขอบคุณภาพข้อมูลจาก
//www.blike.net
//wiki.d-addicts.com/Jikou_Keisatsu
//ax-xa.livejournal.com/35925.html






 

Create Date : 22 ธันวาคม 2553    
Last Update : 22 กุมภาพันธ์ 2558 8:47:52 น.
Counter : 2847 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  

prysang
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 98 คน [?]




จำนวนผู้ชม คน : Users Online
New Comments
Friends' blogs
[Add prysang's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.