Group Blog
 
All blogs
 

Minamoto no Yoshisune : โศกนาฏกรรมของนักรบผู้อาภัพ


Statue of Yoshitsune at Dannoura


เพราะรู้จุดจบของเรื่องนี้ เลยเกิดความสงสัยเต็มแก่ว่า “ทำไม” มันเป็นเกียรติยศศักดิ์ศรีของเหล่านักรบซามูไรกันอย่างไร ในญี่ปุ่นถึงมีพิธีคว้านท้องที่เรียกว่าเซ็บปุกุ สงสัยมาตั้งแต่เด็กเลยเชียวนะเรื่องนี้
เป็นการเริ่มต้น spoil อย่างโจ่งแจ้งมาก ขออภัย หากทำให้...ไม่อยากดู!

เรื่องย่อชีวิตของนักรบผู้อาภัพ
ในยุคนั้น ในหมู่นักรบที่คอยป้องกันราชสำนัก ตระกูลไทระ กับตระกูลมินาโมโตะ เริ่มมีกองกำลังที่มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทั้งสองตระกูลค่อยๆ แผ่ขยายอำนาจออกไปและใช้ความสัมพันธ์อันดีกับผู้สำเร็จราชการและขุนนางผู้ใหญ่ในราชสำนักแบ่งประเทศออกเป็น 2 ฝ่าย ในที่สุด ทั้ง 2 ฝ่ายก็มาประจันหน้ากันที่เมืองหลวง ตอนนั้นเป็นสมัยเฮจิปีที่ 1 และกลายเป็นสงครามช่วงชิงอำนาจระหว่าง ไทระ โนะ คิโยโมริ (ผู้นำของตระกูลไทระ) กับ มินาโมโตะ โนะ โยชิโทโมะ (ผู้นำของตระกูลมินาโมโตะ) ในขณะนั้น แต่ว่าเมื่อเจอกับกองทัพยิ่งใหญ่ของตระกูลไทระ กองทัพมินาโมโตะก็ยากที่จะรับมือได้ จึงเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไป ตระกูลไทระจึงครองอำนาจในหมู่นักรบและใช้อิทธิพลควบคุมราชสำนักตั้งแต่นั้นมา (สงครามครั้งนั้นจึงได้ชื่อว่าสงครามเฮจิ)

นั่นคือการเปิดฉากละครเพื่อเล่าถึงต้นกำเนิดความบาดหมางของสองตระกูลนักรบ ไทระ และ มินาโมโตะ

เมื่อสิ้นหัวหน้าตระกูลโยชิโทโมะ ตระกูลมินาโมโตะจึงแตกกระสานซ่านเซ็น ถ้าไม่ถูกจับไปประหาร ก็ต้องหลบลี้ซ่อนตัวไม่ให้ใครรู้ว่าเป็นเชื้อสายมินาโมโตะ

โยริโทโมะ หนึ่งในลูกชายของผู้นำตระกูลมินาโมโตะ ผู้สืบทอดสายเลือดโดยตรง (ลูกที่เกิดจากภรรยาที่แต่งงานอย่างถูกต้องตามประเพณี) ซึ่งตามธรรมเนียมนักรบลูกชายของศัตรูจะต้องถูกประหาร แต่คิโยโมริผู้นำตระกูลไทระ ก็ได้รับการขอร้องจากแม่ชีผู้เป็นแม่ให้ละเว้นโทษตายแก่โยริโทโมะ และในส่วนลึกของตัวคิโยโมริเองก็มีความเมตตาต่อเด็กชายที่องอาจกล้าหาญในท่ามกลางศัตรูอย่างน่าชื่นชม จึงสั่งเนรเทศโยริโทโมะไปอยู่เกาะอิสึในฐานะนักโทษเชลย

โทคิวะ หญิงคนรักของหัวหน้าตระกูลมินาโมโตะ แม้จะพาลูกชายทั้งสามคนหลบหนีไป แต่ก็ถูกคนของตระกูลไทระตามตัวจนพบ ตามธรรมเนียมแล้วโทคิวะที่เป็นหญิงอาจได้รับการละเว้นชีวิตได้ แต่เด็กชายทั้งหมดต้องถูกประหาร แต่อีกเช่นกันที่ความเมตตาของคิโยโมริ ทำให้กระทำสิ่งผิดพลาดอีกครั้ง ซึ่งส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อตระกูลไทระในเวลาต่อมา นั่นก็คือการละเว้นชีวิตให้แก่โทคิวะและลูกชายทั้งสามหลังจากที่ได้ไว้ชีวิตโยริโทโมะมาแล้วครั้งนึง ลูกชายสองคนในวัยที่รู้ความของโทคิวะถูกบังคับให้บวช เหลือเพียงอุชิวากะ เด็กทารกในอ้อมอกที่ได้รับอนุญาตให้อยู่กับโทคิวะผู้เป็นแม่

และต่อไปนี้คือเรื่องราวของนักรบผู้อาภัพ Minamoto Kuro Yoshisune



เพื่อรักษาชีวิตรอดโดยเฉพาะชีวิตของลูกชาย โทคิวะต้องยอมตกเป็นนางคณิกาของคิโยโมริ และ อุชิวากะ (โยชิสึเนะ พระเอกของเรื่อง แสดงโดย ทักกี้) ต้องเติบโตมาภายใต้ร่มเงาของศัตรูผู้ฆ่าพ่อและทำลายล้างตระกูลของตัวเอง โทคิวะ เป็นหญิงสาวเลอโฉมผู้มีนามอันเลื่องลือ ประกอบกับความสงบเสงี่ยมยอมรับชะตากรรมของตัวเองแต่โดยดี ทำให้คิโยโมริเมตตาต่อโทคิวะอย่างมาก และรวมไปถึงเมตตาอุชิวากะด้วย

ในวัยเยาว์อุชิวากะจึงหลงคิดว่าคิโยโมริแห่งตระกูลไทระคือพ่อ และคิดว่า
โทโมโมริ และ คิเงฮิระ ลูกชายตระกูลไทระที่ชอบมาเล่นด้วยกันบ่อยๆ คือพี่ชายของตัวเอง ความเมตตาของคิโยโมริที่มีต่ออุชิวากะ ทำให้ มิเนโมริ ลูกชายคนรองของคิโยโมริ เกิดความริษยาเพราะความเมตตาเหล่านั้นเขารู้สึกว่าตัวเองไม่เคยได้รับจากพ่อมาก่อน

เมื่อคนอื่นๆ เติบโตขึ้นในวัยหนุ่ม โยชิสึเนะก็เติบโตเป็นเด็กที่รู้ความ และตามธรรมเนียมอีกเช่นเคย ที่เชื้อสายของศัตรูควรถูกกำจัดหรือจัดการให้แน่ใจว่าจะไม่เป็นปัญหาต่อไปในอนาคต แม้คิโยโมริจะพยายามยื้อเวลาให้อุชิวากะได้อยู่กับแม่นานเพียงใด สุดท้ายก็ต้องออกคำสั่งกับโทคิวะให้ส่งอุชิวากะไปอยู่ที่วัดบนเขาและสั่งห้ามไม่ให้กลับเข้ามาในเมืองหลวงอีกต่อไป โทคิวะไปส่งลูกชายที่ วัดคุรามะ ด้วยความระทมทุกข์ที่เก็บกดไว้ภายใต้จิตใจอันเข็มแข็ง และได้มอบขลุ่ยให้แก่ลูกชายไว้เป็นตัวแทนต่างหน้า

อุชิวากะ ซึ่งได้รับชื่อใหม่ว่า ชานะโอ ถูกบังคับให้บวชอยู่เนืองๆ แต่จนแล้วจนรอด ชานะโอก็ไม่พร้อมยอมบวชแต่กลับสนใจเรียนรู้วิชาการต่อสู้ และตั้งแต่เด็กจนโตก็แอบเข้าเมืองหลวงบ่อยๆ จนเป็นที่รู้จักและมีมิตรแท้อยู่กลุ่มหนึ่งที่คอยให้การช่วยเหลือดูแลชานะโอเสมอมา

ต่อมาชานะโอก็ได้รู้ความจริงว่าแท้จริงแล้วตัวเองคือสายเลือดมินาโมโตะ และคิโยโมริที่เคยหลงคิดว่าเป็นพ่อ ก็คือศัตรูที่ทำให้พ่อของตัวเองต้องจบชีวิตลง เป็นความจริงที่ไม่อยากยอมรับแต่ก็ต้องยอมรับ

เมื่อถูกกดดันจนถึงที่สุดเรื่องการบวช และสุดท้ายถึงขั้นตามล่าหมายชีวิตชานะโอจึงหลบหนีจากเมืองหลวงไปอยู่อิราอิสึมิ ก่อนไปได้แอบลักลอบไปอำลาโทคิวะผู้เป็นแม่ที่เคยถูกสั่งห้ามไม่ให้พบกันมาโดยตลอด และด้วยความช่วยเหลือของ
ท่านยายโอโตกุ หญิงชราที่หัวหน้าตระกูลไทระให้ความนับถือ ชานะโอจึงมีโอกาสได้พบกับคิโยโมริตามลำพัง

ความเมตตาที่คิโยโมริมีให้กับเด็กน้อยอุชิวากะไม่เคยถูกลืมเลือน การได้พบเด็กชายอีกครั้งในวัยหนุ่มคงยากจะบรรยายความรู้สึก
นอกจากคำพูดที่เหมือนเป็นการสั่งเสียครั้งสุดท้ายของคิโยโมริต่อชานะโอ เพราะจากเหตุการณ์ครั้งนี้ทั้งสองคนก็ไม่เคยมีโอกาสได้พบกันอีก
“จงจำไว้ว่าเจ้าเป็นมินาโมโตะ และข้าเป็นไทระ”

ในระหว่างที่เดินทางไปยังอิราอิสึมิและผ่านไปยังสถานที่ที่พ่อของตัวเองเสียชีวิต ชานะโอ ได้ตัดสินใจทำพิธีเกะโบคุด้วยตัวเอง) ซึ่งตามปกติพิธีนี้จะต้องกระทำโดยบุคคลสำคัญ เช่น พ่อ หรือผู้ใหญ่ที่สมควร (ขออภัยถ้าจำชื่อไม่ถูก เป็นพิธีตัดผม สวมหมวก คล้ายๆ กับโกนจุกของไทยมังคะ คือเพื่อแสดงความหมายว่าได้ล่วงพ้นวัยเด็กเข้าสู่การเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว) ซึ่งหลังจากทำพิธีแล้ว ตามธรรมเนียมจะต้องทำการเปลี่ยนชื่อ ชานะโอจึงตั้งชื่อให้ตัวเองเป็น “คุโร โยชิสึเนะ” แปลว่า ลูกชายคนที่เก้าของตระกูลมินาโมโตะผู้เคยอาศัยอยู่วัดคุรามะ ( แปลประมาณนี้ล่ะค่ะ ถ้าจำไม่ผิด) โยชิสึเนะจึงถูกเรียกว่า “ท่านคุโร” ตั้งแต่นั้นมา

ทั้งตอนอยู่วัดคุรามะและแอบหนีลงเขามาเมืองหลวงบ่อยๆ ตั้งแต่เด็กจนโต หรือตอนหนีจากเมืองหลวงเพื่อเดินทางไปยังอิราอิสึมิ ท่านคุโร ก็ทยอย ได้พบกับมิตรแท้แต่ละคน ที่เปรียบเสมือนเป็นญาติผู้ใหญ่ เพื่อนแท้ และข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ ผู้ซึ่งคอยให้ความช่วยเหลือ คอยยืนหยัดต่อสู้เคียงข้างท่านมินาโมโตะ โยชิสึเนะจวบจนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต

เท่าที่เล่ามายาวเหยียดจนถึงตอนนี้ คงจะเป็นเพียง 10% ของเรื่องเองมั้งคะ การเดินทางไปยังอิราอิสึมึของท่านคุโร เพิ่งจะเป็นเพียงการเริ่มต้นไปสู่เส้นทางชีวิตที่ผกผัน บนชนวนความบาดหมางของสองตระกูลที่ลุกฮือขึ้นเป็นไฟสงครามครั้งใหญ่อีกครั้ง และนำไปสู่เรื่องราวของโศกนาฏกรรมในที่สุด


*****
ความเห็น ส่วนตัวล้วนๆ ต่อซีรีย์เรื่องนี้ :- ( spoil ! )ถ้านึกถึงละครพีเรียดเกาหลี ที่ตั้งชื่อให้ฟังดูยิ่ง ยิ่งใหญ่อย่างเช่น ลีซาน-จอมบัลลังค์พลิกแผ่นดิน / มูยุล-มหาบุรุษพิชิตแผ่นดิน / จูมง-จอมกษัตริย์กู้แผ่นดิน
อยากจะใช้คำว่า เกียรติศักดิ์แห่งตระกูล เกียรติภูมิแห่งชาติกำเนิด....เเป็นสโลแกนสำหรับอธิบายถึงละครเรื่องนี้ซะจริงๆ บางครั้งการเลือกความตายเป็นหนทาง นอกจากจะไม่คิดว่าเป็นการกระทำที่โง่เง่าแล้ว ยังทำให้รู้สึกถึงเกียรติยศศักดิ์ศรีที่ความตายจะคงไว้ไม่ให้ใครมาย่ำยีได้ กลายเป็นเท่ห์ซะงั้น

แต่เสียดาย..ที่เรื่องนี้ ยังสู้ละครพีเรียดของเกาหลีไม่ได้ ความเข้มข้นต่างกันเยอะ แถมยังดูพากษ์ไทยด้วย ทำให้เสียอรรถรสไปมากพอสมควรเพราะจะเคยชินกับการฟังเสียงต้นฉบับและอ่านซับมากกว่า บางครั้งก็รู้สึกรำคาญว่าเสียงมันไม่เข้ากันกับสิ่งที่ตัวละครกำลังแสดงอยู่ โดยเฉพาะเสียงท่านยายโอโตกุ ที่คอยเล่าเรื่อง แหบๆ เครือๆ ฟังแล้วหงุดหงิดหัวใจชะมัด!

ในการดูซีรีย์เรื่องนี้ แม้จะรู้สึกได้ถึงอารมณ์ยิ่งใหญ่ที่กล่าวมาข้างต้น แต่ว่า..ก็เป็นการเข้าใจตามเนื้อหาเรื่องราว ที่ไม่ได้ ‘จับใจ’ เท่าที่ควรจะเป็น .... อืม...อธิบายยากเหมือนกันนะคะ คือว่า..เรื่องราวมัน “โศกนาฏกรรม” ชัดๆ เลยล่ะ แต่อารมณ์มันไม่สลดหดหู่ตามตัวละคร
เพราะวิธีการดำเนินเรื่องมันดูแข็งๆ ทื่อๆ คงเป็นเพราะความยาวที่ยาวมากๆ ด้วย ละครจึงไม่ได้เล่าเรื่องด้วยความเป็นไปของตัวละครทั้งหมด แต่จะคล้ายๆ กับละครเวที คือมีเสียงกล่าวเล่าเรื่องราว(จากเสียงท่านยายโอโตกุ) เสร็จปุ๊บตัวละครก็ออกมาในฉากนั้นๆ แป๊บๆ ก็เปลี่ยนไปอีกฉาก โดยมีเสียงเล่าเพื่อเชื่อมเหตุการณ์ เช่นว่า เสียงเล่าเรื่องบอกว่า เกิดการรบที่.......... แล้วก็เป็นฉากตัวละครฟันดาบต่อสู้กันสี่ห้าเชะ! (ลงทุนน้อยนะนั่น) จากนั้นก็เปลี่ยนไปยังเหตุการณ์อื่นโดยมีเสียงเล่าเพื่อเชื่อมเหตุการณ์ในการเปลี่ยนฉาก....คือเป็นอย่างนี้ไปตลอด ไม่ใช่ว่าจะขนม้าขนทหารออกมารบกันเอาจริงเอาจังแบบละครเกาหลีหรือจีน และฉากแอคชั่นก็ยังไม่ค่อยแข็งแรงแข็งขันให้สมจริงเท่าไรนัก

และนี่ก็คงเป็นสาเหตุให้ความสัมพันธ์ของตัวละครไม่ลึกซึ้งต่ออารมณ์ของคนดู (หมายถึงอารมณ์ส่วนตัวของเจ้าของบล็อกนะคะ คนอื่นอาจจะไม่รู้สึกอย่างเดียวกัน) ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ดีใจของโยชิสึเนะที่ได้พบกับโยริโทโมะ พี่ชายที่รอคอยมานานเพื่อหวังให้เป็นหลักยึดเหนี่ยวของชีวิต หวังจะคอยติดตามรับใช้และกอบกู้ตระกูลขึ้นมาอีกครั้ง ปะทะกับอารมณ์ห่างเหินเย็นชาของโยริโทโมะที่ในฐานะลูกชายเชื้อสายตรงจึงถือตัวว่าอยู่ในชนชั้นที่สูงกว่า และไม่เคยให้ความไว้วางใจน้องชายต่างมารดา / อารมณ์รักใคร่เสน่ห์หาระหว่างโยชิสึเนะและชิสึกะ (นางเอก ) ที่สุดแสนจะน้อยนิดและจืดชืด

โดยเฉพาะในส่วนสำคัญของเรื่องอย่างเช่น อารมณ์เจ็บปวดของโยชิสึเนะที่ต้องคอยติดตามไล่ต้อนตระกูลไทระที่เคยอาศัยร่มเงาเติบโตมาในระยะหนึ่ง การต้องสู้รบกับลูกชายตระกูลไทระที่เคยเล่นหัวกันมาในวัยเด็ก ความพะวักพะวนห่วงใยต่อน้องสาวที่เกิดจากโทคิวะและคิโยโมริ สายเลือดร่วมกันของตระกูลไทระและมินาโมโตะที่ต้องระหกระเหินไปกับตระกูลไทระในท่ามกลางไฟสงครามโดยที่โยชิสึเนะเองเป็นฝ่ายไล่ต้อน / อารมณ์ภายใต้เปลือกอำนาจและความเลือดเย็นของโยริโทโมะที่ยังคงโหยหาความรักความผูกพันฉันท์พี่น้องที่ตัวเองไม่เคยได้สัมผัส แต่ในฐานะผู้นำตระกูลก็มีเหตุผลให้ตัวเองใจแข็งพอที่จะเมินเฉยต่อความรักความจริงใจที่โยชิสึเนะน้องชายเต็มใจจะมอบให้ โยงมาถึงอารมณ์เจ็บช้ำน้ำใจของโยชิสึเนะที่ถูกบีบคั้นจนกระทั่งต้องยอมหันหลังให้กับความตั้งใจที่จะภักดีต่อพี่ชายไปชั่วชีวิต มันคงจะเป็นความรู้สึกเจ็บปวดมากๆ และเหตุการณ์ที่โยชิสึเนะทำการตัดขาดความเป็นพี่น้องกับโยริโทโมะนั้น อารมณ์น่าจะได้ประมาณการหลั่งน้ำทักษิโณทกของสมเด็จพระนเรศวรลงผืนแผ่นดินเพื่อประกาศอิสรภาพกันเลยทีเดียว แต่คนดูอย่างเรากลับไม่อินซักเท่าไร (หรือว่าอยู่ในช่วงอารมณ์ตายด้านกันนะ)

Yoshitsune by Kikuchi Yōsai


ไหนๆ ก็วิจารณ์แล้ว ขออีกสักนิดสักหน่อยเถิดนะ ... อีกสิ่งหนึ่งที่คิดว่าค่อนข้างจะแสดงรายละเอียดออกมาน้อยไปหน่อย ก็คือ ความเป็นสุภาพบุรุษลูกผู้ชายของโยชิสึเนะ ปกติดูหนังพีเรียดพวกนี้ ความเป็นลูกผู้ชายตัวจริงกระทิงแดงของพระเอกจะต้องปรากฏออกมาเพื่อแสดงโฉมหน้าวีรบุรุษเนื้อทอง มิตรแท้และข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์จะได้รับตอบแทนมาจากการเป็นผู้ให้ก่อน เช่นเดียวกับที่คนดูอย่างเราจะเทใจให้เมื่อได้เห็นน้ำใจท่าน แต่สำหรับโยชิสึเนะ การเป็นสายเลือดตระกูลนักรบอันยิ่งยงอย่างมินาโมโตะมักจะดูเป็นใบเบิกทางไปสู่การพบปะผู้คนให้ได้รับการยกย่องนับถือและการให้ความช่วยเหลือซะก่อนที่จะทำอะไรๆ ให้คนเหล่านั้น คือแค่รู้ว่าเป็นมินาโมโตะก็ก้มหัวให้แล้ว จึงค่อนข้างจะเห็นการเป็นผู้รับมากกว่าผู้ให้ เลยพาลไม่ค่อยรู้สึกว่าพระเอกทำอะไรๆ ให้สมควรได้รับน้ำใสใจจริงจากผู้คนในแบบที่ยอมตายถวายชีวิตให้ได้

เมื่อหยิบละครที่เกี่ยวข้องกับคำว่า ศึกสงคราม , กบฏ, จักรพรรดิ, เชื้อพระวงศ์, ราชสำนัก, เขตปกครอง, เล่ห์เหลี่ยมการแย่งชิงอำนาจ, ความทะเยอทะยาน และ การทรยศ หักหลัง ฯลฯ ก็ช่วยไม่ได้จริง ๆ ที่จะคาดหวังสูง ว่าน่าจะเข้มข้น เร้าใจ ติดหนึบ และประทับใจกับเรื่องราวของชายชาตินักรบอย่าง มินาโมโตะ โนะ โยชิสึเนะ มากกว่านี้

แต่ในฐานะคนที่รักซีรีย์ญี่ปุ่นหัวปักหัวปำ ก็เลยคิดเข้าข้างว่า... คงเพราะเรื่องราวของนักรบผู้อาภัพคนนี้...มีเหตุการณ์ความเป็นไปที่ยาวมาก จึงไม่อาจลงรายละเอียดตัวตนของพระเอกให้เห็นถึงสติปัญญาที่เฉียบแหลม หรือวาจาที่เฉียบคมให้สมกับเป็นยอดนักรบในตำนานที่เลื่องลือออกมาได้มากเท่าที่ควร ถ้าต้องการเยี่ยงนั้น อาจจะต้องทุ่มทุนสร้างในการเพิ่มความยาวอีกเท่าตัวเช่นที่ จูมงของเกาหลี ทำออกมาแปดสิบตอน (ดูกันให้แก่ไปข้างนึง)

และถ้าถามว่า .. บ่นจังเลย แล้วจะนั่งดูอยู่ทำไมตั้งสี่ซ้าห้าสิบตอน....ก็แหม... ดันชอบละครพีเรียดซะมากมายนี่นา แค่ได้ดูฉากชีวิต บ้านเมือง ผู้คน การแต่งกาย...ที่ย้อนยุคไปโบร่ำโบราณ ก็มีความสุขกับละครในระดับนึง โดยมิต้องเรียกร้องอะไรมากมายแล้ว แค่ขอบ่นนิ๊ดนึง...



"Yoshitsune and Benkei Viewing Cherry Blossoms", by Yoshitoshi Tsukioka



น่าแปลกที่ละครเรื่องนี้เป็นเรื่องของชายชาตรีซะส่วนใหญ่ แต่ที่ทำให้ประทับใจกลับเป็นบรรดาผู้หญิงๆ ที่ยุคนั้นถ้าเทียบกับผู้ชายแล้วช่างดูต่ำต้อยด้อยค่าเหลือเกิน ต้องให้ความเคารพยกย่องเหล่าผู้ชายๆ กันชนิดที่เรียกว่าหมอบราบคาบแก้วกันเลยทีเดียว แต่ว่าผู้หญิงเหล่านั้นก็ไม่ได้อ่อนแอ หรือเอาแต่จะพึ่งพาผู้ชาย ตรงกันข้ามกลับเต็มไปด้วยความเข้มแข็งและมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบดูแลในฐานะฝ่ายสนับสนุนที่ผู้ชายจะขาดไปไม่ได้ ความเข้มแข็งที่ว่านี้ก็จะเห็นได้จากหลายๆ ตัวละคร อย่างเช่นโทคิวะ แม่ที่ต้องเข้มแข็งเพื่อรักษาชีวิตของลูกชายสายเลือดมินาโมโตะ แม่ที่ต้องสละลูกสาวให้ตระกูลไทระไปเลี้ยงดู / เพื่อค้ำชูอำนาจของตระกูล ลูกสาวของตระกูลไทระต้องยอมไปเป็นพระชายาเพื่อหวังให้กำเนิดจักรพรรดิองค์ต่อไป /ผู้นำฝ่ายหญิงของตระกูลไทระที่ต้องยืนหยัดเป็นศูนย์รวมจิตใจของลูกๆ ทั้งหญิงชาย/ โยชิโกะ ที่สายเลือดมินาโมโตะในตัวครึ่งหนึ่งทำให้เป็นเหมือนแกะดำในตระกูลไทระแต่ก็มีจิตใจมั่นคงต่อการเลือกทางเดินของตัวเอง รวมถึงบทบาทของบรรดาผู้หญิงๆ ที่เป็นภรรยาของนักรบอื่นๆ ด้วย

ฉากที่ชอบ คือ


- ฉากที่โยชิโกะ เป็นตัวแทนของตระกูลไทระยืนถือเป้าธนูเสี่ยงทายบนเรือลำเล็กลอยลำอยู่กลางทะเลเพื่อท้าทายกองทัพมินาโมโตะ โยชิสึโนะแม่ทัพบนฝั่งรับคำท้าด้วยการสั่งให้นักรบยิงธนูออกไป โดยไม่รู้เลยว่าหญิงสาวผู้กล้าหาญจากตระกูลไทระคนนั้นคือน้องสาวของตัวเอง
- ฉากที่โยชิโกะอ่านจดหมายลับที่ส่งมาจากโยชิสึเนะแล้วร้องไห้ เพราะไม่เคยพบกันมาก่อนนอกจากตอนแรกเกิด จึงไม่คาดคิดว่าจะได้รับความรักความห่วงใยจากพี่ชาย ที่เขียนมาขอร้องให้ทำตามแผนที่โยชิสึเนะต้องการจะดึงตัวโยชิโกะออกมาจากสนามรบ คำจากพี่ถึงน้องบอกว่า ...พี่จะเป็นคนดูแลเจ้าเอง ...นี่มันวี๊ดมากค่า อารมณ์อยากมีพี่ชายประทุ
- การแสดงความกล้าหาญและหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีของสตรีตระกูลไทระท่ามกลางสนามรบอันวุ่นวายบนท้องทะเล

หญิงสาวในตระกูลผู้ดีญี่ปุ่นผมยาวเกือบระพื้นในชุดกิโมโนโบราณสีหวานนี่ช่างให้ความรู้สึกงามสง่าจริงๆ นะคะ และตัวละครที่โปรดปรานที่สุดในเรื่องก็คือ โยชิโกะ กับ โทโมโมริ (แสดงโดยอาเบะ) แม่ทัพของตระกูลไทระ ที่เป็นลูกชายคนรองของตระกูลนั่นเอง



รูปภาพจาก :-

//en.wikipedia.org/wiki/Minamoto_no_Yoshitsune


เกร็ดความรู้เพิ่มเติม : การพบกันของ คุโร โยชิสึเนะ กับ เบ็งเค

//diary.yenta4.com/diary.php?Oo_Nat_oO:1:1:2005:10778


Ushiwaka maru



Saito Musashibo Benkei


ฉากสู้กัน ตอนที่เบ็งเคย์เปิดผ้าคลุมหน้าอุชิวากะ





 

Create Date : 27 กันยายน 2552    
Last Update : 30 พฤศจิกายน 2553 0:42:36 น.
Counter : 9949 Pageviews.  

MAOU : เพิ่งรู้จัก Ikuta Toma ครั้งแรก


..MAOU = The devil king..



แม้คนจะลืมอดีตได้ แต่อดีตไม่เคยลืมพวกเขา


มีอยู่ 2 เหตุผลที่เลือกหยิบซีรีย์เรื่องนี้ขึ้นมาดู

 1. เป็นเหตุผลที่เอ่ยแล้วฟังดูดี  เพราะตัวละครหลักของเรื่องเป็นตำรวจและทนาย ทั้ง 2 อาชีพ หากจะมองกันในแง่ของ อุดมคติ  เป็นอาชีพที่รู้สึกว่า ..เท่ห์สุดๆ ไป
2. เป็นเหตุผลง่ายๆ แค่เพียง .. .ภาพนี้เป็นเหตุ



ใครน่ะ ?  หล่อจัง Smiley Smiley

น้อยครั้งมากเลยนะ ที่จะตัดสินได้ว่าพระเอกญี่ปุ่นหน้าตาดีหรือไม่ ถ้ายังไม่ได้หยิบเอาซีรีย์เรื่องนั้นๆ ขึ้นมาดู เห็นหน้าตอนแรกๆ ส่วนใหญ่จะรู้สึกว่า หน้าตาแปลกๆ เสียมากกว่า คงเป็นเพราะหน้าตาที่บ่งบอกถึงความเป็นชาติพันธุ์ที่ต่างไปจากเราเลยไม่ค่อยคุ้นเคย หลังจากได้ดูละครที่นักแสดงเหล่านั้นเล่นไปสักพักจนคุ้นเคยถึงจะรู้สึกว่าหล่อ...ยิ่งถ้าอยู่ในบทบาทที่ชื่นชอบยิ่งเทใจให้มากเป็นพิเศษ จากนั้นก็จะติดตามหาเรื่องอื่นๆ มาดูอย่างไม่ต้องเสียเวลาคิดทบทวนเลือกเนื้อเรื่องมากนัก.... 


แต่ชายหนุ่มคนนี้ ดูภาพปุ๊บ ...Smiley หล่อได้โล่ห์เลย Smiley ( คำนี้จำมาจากคุณ MamLCH อิอิ ขอยืมมาใช้หน่อยนะคะ)  ขอเอาซีรีย์มาดูจริงๆ จังๆ หน่อยซิ จะหล่อเหมือนในรูปหรือเปล่า ..พอเปิดดูแรกๆ อ้าว! Smiley ไหงหน้าตาแปลกๆ อย่างงั้นหว่า....ดูไปดูมา ....ก็หล่อดีเหมือนกัน พอเริ่มคุ้นเคยและชอบบทที่เค้าเล่น ..โอ้โหเฮะ ...หล่อเท่ห์ได้ใจมากมายค่า

MAOU มีนักแสดงหนุ่มหล่อ.. 2 คน มาประชันบทบาทกัน



คนหนึ่ง คือ Ikuta Toma  รับบทเป็นนายตำรวจหน้ามนคนหน้าหล่อ

อีกคนหนึ่ง คือ Ohno Satoshi ที่ใครๆ เขาเรียก “โอจัง” อย่างกันเอง เหตุเพราะความหนิดหนมอันเกิดจากการติดตามผลงานอย่างคุ้นเคย ...แต่สำหรับป้าที่ล้าหลังในวงการซีรีย์ญี่ปุ่นอย่างเรา ....อะโน ..หมอนี่คือใครเหรอ ? ถึงจะไม่คุ้นเลยก็ขอเรียกโอจังด้วยคนละกัน ..ง่ายดี

แต่โชคดีนะ ที่ความหล่อของโอจังไม่ใช่แนวเรา..พูดแบบทำร้ายใจจิตแฟนๆ โอจังคือ..ไม่หล่อ ..(เอาน่า...อย่าแอบเคืองกันนะ..แบบว่าเรื่องแบบนี้ตาใครตาท่าน) ไม่งั้นคงมีรายการซีรีย์ของโอจัง เข้าคิวต่อเรื่องอื่นๆ ที่ยาวเหยียดอยู่แล้วให้ยาวออกไปอีก

นี่หากถ้ำกระบอกรับบำบัดอาการเสพติดซีรีย์เมื่อไหร่ จะรีบไปบำบัดก่อนคนแรกเลย

เกริ่นซะนานเชียว เล่าถึงเรื่องย่อกันจริงๆ จังๆ ซะทีดีกว่า
โทมะ รับบท เซริซาว่า นาโอโตะ เป็นตำรวจหนุ่มเลือดร้อน ที่ตั้งใจทำงาน(ต่อไปนี้ขอถือวิสาสะ ตั้งให้เป็นพระเอกของเรื่อง แม้ว่าถ้าดูกันตามบทจริงๆ แล้วพระเอกควรเป็นโอจัง) เขาเป็นลูกคนรวย..ซึ่งหากจะใช้ชีวิตอย่าง “คุณชาย” ก็สามารถทำได้ แต่..นาโอโตะ ก็เลือกที่จะมาเป็นตำรวจ เพื่อไล่ตามจับผู้ร้ายอย่างเอาเป็นเอาตาย ...ถึงกับมีสถิติในการจับกุมสูงสุดแห่งปีเชียวนะคะ  สาเหตุก็เพราะในอดีตย้อนไปสมัยมัธยมต้น เขาเคยเป็นเด็กเกเร และก็เคยพลั้งมือฆ่าเพื่อนนักเรียนด้วยกัน แต่ก็เพราะความเป็นลูกคนรวยนี่แหละ ทำให้เขาได้รับคำตัดสินให้เป็น “ผู้บริสุทธิ์” หลุดพ้นจากคดีฆ่าคนตาย



เพื่อนนักเรียนที่เสียชีวิตเพราะมีดในมือของนาโอโตะนั้น เป็นน้องชายของ นารุเสะ เรียว (โอโนะ)  เขาเป็นทนายความที่มีความสามารถบวกกับบุคลิกภายนอกดูเป็นคนดี ช่วยเหลือว่าความให้คนเดือดร้อนที่ยากจน จนได้รับฉายา “ทนายความเทวดา” แต่ภายใต้เปลือกของความสุภาพใจดีนั้น อัดแน่นฝังลึกไปด้วยความแค้นที่มีต่อ นาโอโตะ ครอบครัวเซริซาว่า รวมถึงทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีและช่วยเหลือให้นาโอโตะหลุดพ้นความผิด



ออกแนว bad boy อย่างนั้น (โทมะ) และ แค้นนี้ต้องชำระอย่างนี้ (โอโนะ)  ไม่ดูไม่ได้แล้ว

นางเอก .. ชิโอริ  ทำงานเป็นบรรณารักษ์ห้องสมุด  และมีพลังพิเศษ นั่นคือ เมื่อเธอจับต้องสิ่งของใด จะสามารถมองเห็นเหตุการณ์ที่เกี่ยวพันกับสิ่งของนั้นๆ ได้ แม้จะเป็นเพียงภาพติดตาไม่ปะติดปะต่อให้สามารถล่วงรู้เหตุการณ์ทั้งหมดได้ แต่นั่นก็ถือว่ามากพอที่ตำรวจจะมาขอความช่วยเหลือจากเธอในการทำคดีเสมอ (ขออภัยค่ะที่ไม่รู้จักชื่อนักแสดง เธอเป็นสาวน้อยตาโตหน้าตาน่ารักค่ะ ยังดูเด็กๆ อยู่เลย)  

ความจริงแล้วละครเรื่องนี้ดำเนินเรื่องไปเรียบๆ เรื่อยๆ ไม่มีอะไรหวือหวา แต่ที่ยังคงความน่าสนใจอยู่ได้ เพราะพล็อตที่น่าติดตามนี้เอง  แม้จะรู้อยู่แล้วว่าใครคือฆาตกรที่ใช้วิธียืมมือฆ่า  ก็อยากจะรู้อยู่นั่นแหละว่า ความจริงจะถูกเปิดเผยเมื่อไหร่ และอย่างไร

แม้โอจังจะโดดเด่นในฐานะ ชายหนุ่มผู้สูญเสีย เจ็บปวด และคั่งแค้น แต่การที่โอจังไม่ได้แค้นพระเอกคนเดียว แต่เหมารวมหมายหัวให้ตายหมดทั้งฝูง แถมยังดึงเอาคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องหรือบังเอิญเข้ามาเกี่ยวข้องแต่เพียงน้อยนิดมาใช้เป็นเครื่องมือบำบัดความแค้นของตัวเองด้วย จุดนี้เองที่ทำให้ ความน่าเห็นใจ ที่ควรมีสำหรับโอจัง หายวับไปครึ่งค่อน




ตรงกันข้ามกับโทมะ


อดีตเด็กไม่ดีที่ดีแล้ว...แม้จะถูกตัดสินคดีให้เป็นผู้บริสุทธิ์ แต่นั่นก็ช่วยเขาได้แค่เพียงไม่ต้องติดคุก เพราะในความเป็นจริง เขาถูกตัดสินและตราหน้าไปแล้วว่าเป็น “ฆาตกร” และโทมะก็ยอมรับคำตัดสินนั้นแต่โดยดี  เพราะความรู้สึกผิดในสิ่งที่ได้ทำลงไป ทำให้เขาเลือกหนทางที่จะชดใช้ความผิด ด้วยการสละชีวิตอย่าง “คุณชาย” มาเป็นตำรวจ

“ถ้าผมจะทำงานหนัก แล้วก็พยายามใช้ชีวิตอย่างสุจริต
ถ้าผมใช้ชีวิตอย่างตรงไปตรงมา บางที  พระเจ้าอาจให้อภัยผม”




ลำพังตัวเองก็รู้สึกผิดมากพออยู่แล้ว เพื่อนยังคอยตอกย้ำว่าเป็นฆาตกร แถมยังทวงบุญคุณที่เคยให้ความช่วยเหลือเป็นพยานจนรอดคดี  พ่อก็ไม่ลงรอยกันไม่ได้ดั่งใจเมื่อไรก็หยิบเอาเหตุการณ์ครั้งนั้นขึ้นมาพูดจาทิ่มแทงใจ คนรอบข้างที่ช่วยเหลือเป็นพยานแม้จะไม่พูดอะไร แต่ก็รู้กันอยู่แก่ใจว่าเขาแทงเด็กคนนั้น ที่ไม่ถูกตัดสินให้มีความผิดก็เพราะอำนาจเงินของพ่อ

แค่อยากจะบอกว่า มีดเล่มนั้นมันช่างกระซวกใจคนดูอย่างเราซะจริงๆ พับผ่าสิ

นั่นก็เกินพอที่จะสงสาร ...ต่อมาผู้คนรอบข้างก็ถูกฆ่าตายไปทีละคนๆ ทั้งที่เริ่มค้นพบและแน่ใจว่าคนเหล่านั้นถูกฆ่าเพราะตัวเองเป็นต้นเหตุ แต่ก็ช่วยเหลืออะไรไม่ได้ ยิ่งความจริงกับสิ่งที่เป็น มันมีผลลัพธ์ไม่แตกต่างกัน แล้วใครจะเชื่อในมุมที่ต่างออกไป ..คุณพระเอกจึงไม่สามารถจะพูดอะไรออกมาได้ และโกยคะแนนสงสารไปมากกว่าเดิมอีกอักโข


แม้..โทมะ จะแสดงได้ไม่ถึงน้ำถึงเนื้อนักในบทบาทของการ “ดิ้นรนที่จะมีชีวิตอยู่อย่างเจ็บปวด” (คำพูดจากหัวหน้าตำรวจของโทมะในละคร) แต่โดยเนื้อหาแล้วก็พอจะเข้าใจและรู้สึกสงสารในการเป็นนาโอโตะอย่างมาก

เพราะการเติบโตขึ้นมากับความรู้สึกผิด เป็นอะไรที่ ..สุดจะบรรยายจริงๆ

(เอาประสบการณ์ชีวิตตัวเองเป็นบรรทัดฐานอีกละ เลยอินเป็นพิเศษ)

หมายเหตุ ความน่าสงสารนี้เกิดจากเนื้อเรื่อง หน้าตาหล่อๆ ของโทมะหาได้มีเอี่ยวแม้เพียงเล็กน้อยแต่อย่างใด (จริงๆ นะ SmileySmiley)


ดูแล้วมันก็เครียดอยู่เหมือนกัน ยิ่งนางเอกไม่ได้ดั่งใจ เพราะเธอดันเมินโทมะซัง(ของเรา) และไปหลงรักโอจัง(ของใครบ้างก็ไม่รู้) โน่น... เคืองอย่างแรง  ดีนะ ที่ความรักไม่ใช่เรื่องหลัก เพราะถ้าเกิดเป็นรักสามเส้าอย่างโดดเด่นชัดเจนขึ้นมาเมื่อใด ... คงไม่สามารถจะทนดูเรื่องนี้ให้จบได้

รำคาญอยู่เหมือนกันกับเสียง เช้ง ช้าง ... เช้ง... ช้าง  ที่เป็นการถ่ายเน้นสีหน้าแววตาหรือรอยยิ้มหยันร้ายลึกของโอจัง เพราะมันบ่อยมาก  เดี่ยวเช้ง  เดี๋ยวช้าง  ประมาณว่า  เออน่า  รู้แล้วว่าแค้นฝังหุ่น ร้ายฝังในอยู่ภายใต้คราบนักบุญ แต่จะย้ำๆ ซ้ำๆ อะไรกันนักหนาเนี่ย นี่ไม่ใช่หนังฆาตกรโรคจิตสยองขวัญ และก็ไม่ใช่หนังผีเขย่าประสาทนะ
แต่เนื้อเรื่องโดยรวมแล้วก็สนุกและน่าติดตามค่ะ


“คุณมีใบหน้าที่เหมือนกับผม  ทนทุกข์ ดิ้นรน และเสียใจในบาปของตัวเอง นั่นคือใบหน้าของเรา”

(คำพูดของคุณตำรวจเซริซาว่า นาโอโตะ ที่มีต่อ คุณทนาย นารุเสะ เรียว)



Free TextEditor




 

Create Date : 09 กันยายน 2552    
Last Update : 30 พฤศจิกายน 2553 0:42:48 น.
Counter : 3062 Pageviews.  

The flower shop without roses ร้านดอกไม้ไร้กุหลาบ

The flower shop without roses (Bara no nai Hanaya )

 ร้านดอกไม้ไร้กุหลาบ





เมื่อไหร่ก็ตามที่ได้ดูละครแนว Light heart warming เป็นอดไม่ได้ที่จะรู้สึกชอบซีรีย์เรื่องๆ นั้นๆ อย่างมากมาย ....โดยเฉพาะซีรีย์ที่ประกอบไปด้วยตัวละคร “เด็กๆ” ในชีวิตจริงก็ใช่ว่าจะเป็นคนรักเด็กอะไรหรอกนะคะ ... นี่อาจจะเป็นสาเหตุ..ที่เมื่อไหร่ก็ตามได้เห็นความฉลาดน่ารักของเด็ก รวมไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ เป็นอดไม่ได้ที่จะหลงรักซีรีย์เรื่องนั้นๆ ... 

~ Smiley  ร้านดอกไม้ไร้กุหลาบ Smiley ~ 

เป็นการตั้งชื่อซีรีย์ได้เพราะพริ้งและดึงดูดความสนใจได้ทันที ทำไมร้านดอกไม้ ไม่ขายกุหลาบ ? แต่ก็ไม่ได้สนใจหามาดู เพราะเวลาที่หาอ่าน review ในเน็ต ...แน่นอนว่า..พระเอกนั้นหน้าตาช่างไม่เข้าข่าย “ความหล่อ” เอาซะเลย .. แม้ว่าจะหลงรัก  ทาเคอุจิ ยูโกะ นักแสดงหญิงที่มีรอยยิ้มแสนน่ารักเปรียบประหนึ่งว่ายิ้มออกมาแล้วจะทำให้โลกสดใสขึ้นทันตา  .. แต่ว่านะ ... ละครที่นางเอกตาบอด ก็คงรันทดพอๆ กับนางเอกขาพิการใน Beautiful life ที่ถ้าไม่ใช่ทาคุยะคงไม่หยิบขึ้นมาดูให้เปลืองน้ำตาเล่น

จนกระทั่งได้อ่าน review ในของเพื่อนชาว bloggang นี้เอง ที่เขียนถึงได้น่าสนใจ และเหมือนว่านางเอกจะตาบอดไม่แท้ ....ก็ยิ่งทำให้น่าสนใจยิ่งขึ้นอีก ส่วนที่ทำให้ตัดสินใจจะดูจริงๆ เพราะว่าเด็ก...เป็นความเชื่ออย่างหนึ่งว่าละครเรื่องไหนมีเด็กเรื่องนั้นต้องมีเนื้อหาดีๆ ไม้เว้นแม้แต่ผู้ใหญ่ลีกับนางมา ช่อง 3 ที่คนหลงรักไอ้ปี๊ดกันทั้งเมือง ไม้เว้นแม้แต่พี่สาวโต๊ะทำงานด้านหลังที่ออฟฟิศ คนที่แทบจะไม่ดูละครเลยยังพรรณาถึงไอ้ปี๊ดให้ฟังอยู่บ่อยๆ

เปิดฉากเรื่องราวได้น่าสนใจ .... ภาพของหญิงสาวน่ารัก รอยยิ้มสดใส กับถ้อยคำจากความรู้สึกดีๆ จากนั้นก็เป็นเหตุการณ์ความสูญเสียที่มีผู้ชายหัวฟู คนนึงวิ่งมาที่โรงพยาบาล (พระเอกหัวฟู นี่ทำเอาใจเสียทุกราย ...มันเป็นทรงผมที่รับไม่ค่อยได้Smiley ) ดอกกุหลาบในมือร่วงลงพื้น เมื่อได้พบว่า...เธอผู้เป็นที่รักได้จากไป  ...หลังจากที่ให้กำเนิดลูกสาวตัวน้อย สิ่งมีค่าเดียวที่เธอเหลือทิ้งไว้ให้เขา พร้อมกับชีวิตที่"ไร้กุหลาบ" ตั้งแต่นั้นมา



ภาพของช่วงเวลาที่ชายหนุ่มคนนึงเฝ้าถนอมเลี้ยงลูกเล็กให้เติบโตขึ้นมา  ควักเอาใจไปครองตั้งแต่ยังไม่เห็นหน้าพระเอกชัด... จึงไม่มีปัญหาหากว่าพระเอกจะมีหน้าตาที่ไม่ได้หล่อเหลาอะไร (ดังความคาดหมาย) ดูเป็นผู้ชายหน้าตาธรรมดาๆ คนนึง ... เช่นเดียวกับเด็กหญิงผู้เป็นลูกสาว ....ใบหน้าที่ปิดบังไว้ด้วยถุงกระดาษอยู่พักใหญ่ ...นอกจากจะคอยลุ้นว่าคนเป็นพ่อจะทำอย่างไรให้ลูกสาวตัวน้อยยอมเปิดถุงให้เห็นหน้าแล้ว เหตุผลที่เธอซ่อนหน้าตาตัวเองจากผู้เป็นพ่อ ยังทำให้หลงรักเธอเข้าเต็มเปา ..

ความสัมพันธ์ของสองเรา ( พ่อ-ลูก )  ช่างน่ารักเหลือเกิน


พ่อ : ชิโอมิ เอย์จิ Smiley  นอกจากจะเป็น"คุณพ่อแสนดี"ที่เลี้ยงลูกสาวมาเพียงลำพังเป็นเวลา 8 ปี ยังเป็น "ผู้ชายแสนดี"..ต่อผู้คนรอบข้าง มีน้ำใจ ช่วยเหลือคนอื่น ไม่เคยถือโทษโกรธใคร ดีชนิดที่เรียกว่า “เลิศประเสริฐศรี” (ดูไปก็สงสัยนะ อะไรจะเป็นคนดีกันได้ขนาดนั้น)

ลูก : ชิโอมิ ชิซูกุ  Smiley  เด็กหญิงตัวน้อยวัยแปดขวบ ..หน้าตาแจ่มใสน่ารัก ช่างพูด ช่างคิด มีความเป็นผู้ใหญ่เกินตัวและฉลาดเป็นกรด (เด็ก 8 ขวบอะไรจะฉลาดปานนั้น ถึงขนาดมีหน้าที่ดูแลการเงินของบ้าน) แถมยังมีจิตใจดีแบบที่เรียกว่าลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น เพราะทั้งแม่ผู้ให้กำเนิดและพ่อผู้เลี้ยงดู สุดแสนจะเป็นคนดี(อย่างเหลือเชื่อ) ทั้งคู่ โดยเฉพาะคนเป็นแม่ เทปวิดิโอที่เธอทิ้งไว้ให้คนเบื้องหลัง ทุกคำพูดกลั่นออกมาจากความรักความจริงใจ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการเป็น “ผู้หญิงคิดบวก” Positive thinking อย่างที่สุด

หลังจากที่แม่ของชิซูกุเสียชีวิตไป เอย์จิต้องทำงานอย่างหนักเพื่อจะเลี้ยงดูชิซูกุให้ดีที่สุด พร้อมกับทำความฝันของเธออันเป็นที่รักให้เป็นจริงนั่นคือการเปิดร้านขายดอกไม้  เรื่องการแต่งงานใหม่หรือเปิดหัวใจให้ใครจึงเป็นเรื่องที่เอย์จิไม่เคยคิดถึงมาก่อน ถึงจะเศร้าโศกเสียใจสักแค่ไหนกับการจากไปของเธอ แต่เอย์จิก็มีชีวิตอยู่มาได้เพื่อสิ่งเดียวที่มีความหมายสำหรับเขานั่นก็คือชิซูกุ



สองผู้ลูกอาศัยอยู่ในบ้านที่เป็นร้านดอกไม้ด้วยกันตามลำพัง ต่อมาเอย์จิได้ให้ความช่วยเหลือ นาโอยะ ที่ถูกแกงค์นักเลงตามทวงหนี้ให้มาอาศัยอยู่ในบ้านและช่วยงานร้านดอกไม้ด้วย  นอกจากนี้ เพราะความเป็นคนดีสุดประเสริฐของคุณพ่อและความน่ารักของคุณลูก ทำให้เห็นผลของความดีอย่างหนึ่งนั่นคือพวกเขามีมิตรแท้ ไม่ว่าจะเป็นคุณลุงร้านคาเฟ่ฝั่งตรงข้าม  คุณครูประจำชั้นแสนสวยของลูกสาว  คุณป้าสวนดอกไม้ ที่เป็นคนสอนเอย์จิเกี่ยวกับเรื่องดอกไม้ และยังเป็นคนช่วยดูแลชิซูกุตลอดมา ภายหลังเธอถูกลูกๆ ทอดทิ้ง และต้องไปอยู่บ้านพักคนชรา ทำให้เอย์จิชวนคุณป้ามาอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัว (เป็นอีกหนึ่งความแสนดีมีน้ำใจของพระเอก)

อยู่มาวันหนึ่ง ท่ามกลางฝนพรำ...ร้านขายดอกไม้ที่ไม่ขายดอกกุหลาบ ก็มีหญิงสาวคนนึงเข้ามายืนพักพิงเพื่อหลบฝนอยู่ใต้ชายคาหน้าร้าน  เอย์จิได้หยิบยื่นน้ำใจให้แก่เธอคนนั้นด้วยการชวนให้เข้ามานั่งหลบฝนอยู่ในร้าน หาเครื่องดื่มร้อนๆ ให้ดื่ม และชวนพูดคุย 

นั่นเป็นการพบกันครั้งแรกของเขาและเธอ  เอย์จิคุณพ่อลูกติดเจ้าของร้านขายดอกไม้ กับ Smiley  มิโอะ..หญิงสาวตาบอดที่หน้าตาสะสวยน่ารักและ เหมือนว่าจะ' มีชีวิตที่โดดเดี่ยวในโลกมืดมิดลำพัง

รอยยิ้มของเธอ..เหมือนดอกไม้  เอย์จิชอบผู้หญิงที่มีรอยยิ้มเหมือนดอกไม้...เธอจึงกลายเป็น..ดอกไม้ในหัวใจ..ในเวลาต่อมา

เขาเป็นผู้ชายอบอุ่นแสนดี  จิตใจที่งดงาม เต็มเปี่ยมไปด้วยความจริงใจ ทำให้หัวใจของมิโอะสั่นคลอน เล่ห์กลความหลอกลวงที่เคลือบเอาไว้ถูกกะเทาะเปลือกออกจากใจทีละน้อย...

ในความหลอกลวงมีความรัก และในความรัก...เพื่อให้รักคงอยู่...จึงต้องหลอกหลวงกันต่อไป



การสร้างความน่าสนใจอย่างหนึ่งของละคร ก็คือการสร้างปมให้คนดูอยากรู้...เมื่ออยากรู้ก็ต้องติดตาม และนี่คือสาเหตุที่..เมื่อเปิดละครเรื่องใดขึ้นมามาดูแล้ว ก็แทบจะตัดใจหยุดดูไม่ลง จนกว่าเรื่องมันจะคลี่คลายหรือจบไปให้หายค้างคาใจ ... เรื่องนี้ก็เช่นกัน

การพบกันของเอย์จิกับมิโอะไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ...เธอจงใจเข้ามาในชีวิตของเขาด้วยวัตถุประสงค์บางอย่าง...(อยากรู้...ว่าพระเอกของเราผิดตรงไหน ถึงมุ่งหวังทำลายกันเยี่ยงนั้น )

เธอนำความรักมาให้ แต่ก็นำความสูญเสียมาด้วยการพรากสิ่งสำคัญในชีวิตไป

ยิ่งดูก็ยิ่งทำให้เคลือบแคลงสงสัย  ตกลงว่า พระเอกนั้น เนื้อแท้ลึกลงไป เป็นคนดีๆ จริงๆ หรือเปล่าหว่า ? หรือเป็นอดีตคนเลวที่กลับใจ หรือเป็นแค่คนเลวที่พยายามจะชดใช้ความผิด ....เอย์จิรักแม่ของชิซูกุมากมายจริงๆ หรือแท้จริงไม่เคยรักเลย และการรับเลี้ยงลูกสาวมาก็เพียงแค่ต้องการจะรับผิดชอบ.... สับสนมึนงงค่ะ  คิดและคิด... ว่าตกลง ความจริงเป็นอย่างไรกันแน่...แม้จะหักมุมทำร้ายจิตใจบ้าง แต่หักมุมอย่างเดียวกันนี้เคยเจอมาแล้วในบันทึกหัวใจนายซางดู หนนี้เลยไม่น้ำตาท่วมจอมากเกินไป และที่สำคัญ...ก็ไม่ได้จบแบบทำร้ายจิตใจ ตรงกันข้ามเลยคือ Happy Ending (อย่างสุดซึ้ง)

สำคัญคือ  มีเด็กหญิงชิซูกุ คอยทำให้อมยิ้มไปกับความน่ารักของเธอได้ตลอดทั้งเรื่อง โดยเฉพาะความน่ารักกับทุกฉากที่พ่อลูกเค้ากุ๊กกิ๊ก หรือนั่งคุยปรึกษาหารือกันอย่างจริงจัง ...ชอบตอนที่ชิซูกุบอกพ่อว่า เงินของร้านขาดไปไม่ว่าจะตรวจบัญชีบวกเลขกี่รอบแล้วก็ยังขาดอยู่ แล้วเอย์จิแบบว่าทำ...หน้าเจี๋ยมเจี้ยม นั่งพับขาตัวลีบสารภาพกับลูกสาวว่าพ่อเอาเงินไปเอง แล้วลูกสาวก็ดีเหลือใจ "พ่อจ๊ะ ไม่เป็นไรหรอกที่พ่อจะเอาเงินไป นี่เป็นเงินที่พ่อทำงานหนักหามาได้ พ่อมีสิทธิ์ที่จะใช้..............." บทพูดประมาณนี้ล่ะค่ะ  แค่ 8 ขวบเองนะเนี่ย  น่ารักจริงๆ




“ทำดีได้ดีมีที่ไหน  ทำชั่วได้ดีมีถมไป”

ไม่รู้ใครช่างคิดคำพูดนี้ออกมานะ  แสดงถึงความอัดอั้นตันใจแบบ "ทำดีไม่ได้ดี" ...ดูอย่างพระเอกเรื่องนี้ ก็เป็นคนดีที่ถูกทำร้าย ในความเป็นจริง..มันก็อาจจะจริงบ้างถ้าจะตัดสินกันในช่วงเวลาสั้นๆ   แต่ทางที่ดีอย่าไปคิดอย่างนั้นให้ท้อแท้ใจในการทำความดีจะดีกว่าค่ะ ...ขอเพียงว่า  ให้เชื่อมั่นศรัทธาในกรรมดี ผลแห่งความดี ....วันนึงจะต้องเห็นผล.. อีกเช่นกัน ...ดูละครเรื่องนี้เป็นตัวอย่างได้ว่า  ปิดทองหลังพระ พระก็เป็นทอง (สุภาษิตบ้านไหนเนี่ย)  “ทำดีต้องได้ดีอย่างแน่นอน”

มีคำพูดที่กินใจอยู่ในซีรีย์เรื่องนี้ คือตอนที่เอย์จิบอกกับตาของชิซูกุถึงคำพูดที่ รูริ (แม่ของชิซูกุ) พูดถึงพ่อ

“ ฉันได้รับความรักมากมายจากพ่อ เพราะฉะนั้นก็ไม่เป็นไรเลยที่ฉันจะไม่ได้รับมันมากกว่านั้น”  ถ้าได้ดูเนื้อเรื่องจะเข้าใจความหมายของคำพูดนี้ค่ะ

และตอนจบที่เอย์จิร้องไห้และกำลังจะลุกหนีไปจากภาพของครอบครัวอบอุ่นตรงหน้า และมิโอะรั้งไว้พร้อมกับบอกว่า

“ อย่าไปเลยค่ะ อยู่ที่นี่แหละ อยู่ในที่ที่คุณกลัวและพยายามหลบเลี่ยงมาตลอด อยู่กับความสุขตรงนี้ เพราะคุณเป็นคนที่ไม่เคยปล่อยมือใคร เพราะฉะนั้นคุณควรเป็นคนที่เหมาะจะอยู่ตรงนี้มากที่สุด"   คนที่ไม่เคยปล่อยมือใคร... เป็นคำพูดที่อธิบายถึงพระเอกเรื่องนี้ได้ดีที่สุดเลยทีเดียว


นักแสดง 
 

ชิโอมิ เอย์จิ/ รับบทโดย คาโตริ ชินโง คุณพ่อที่แสนอบอุ่นอ่อนโยน และใจดีกับผู้คนเป็นที่สุด


 

ชิโรโตะ มิโอะ / รับบทโดย ทาเคอุจิ ยูโกะ  หญิงสาวตาบอด และนางพยาบาลแสนสวยที่แบกรับความกดดันจากปัญหาอาการเจ็บป่วยด้วยโรคร้ายแรงของพ่อ และเป็นเหตุผลที่บีบบังคับให้เธอต้องเข้าไปใกล้ชิดกับเอย์จิ และหลงรักเขาในที่สุด (แพ้ความดี)
 

 

คุโด้ นาโอยะ / รับบทโดย มัตสึดะ โชตะ  ตอนดู Love Shuffle ชอบโชตะอย่างมากมาย มาเรื่องนี้... แรกๆ เกลียดขี้หน้าอย่างมาก ...( แสดงว่าตีบทแตกพอสมควร Smiley) แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นตัวละครสำคัญของเรื่อง ..  จึงหมั่นไส้ในบางครั้ง ชอบความตลกบ้างในบางหน...พอเรื่องดำเนินมาถึงตอนท้ายๆ จึงกลับไปเทใจให้อย่างเดิมSmiley
 
โอโนะ ยูกิ /รับบทโดย ซากุ ยูมิกุ เป็นคุณครูประจำชั้นของชิสึกุ ที่คอยดูแลคนเป็นลูก เป็นที่ปรึกษาและให้กำลังใจคนเป็นพ่ออยู่เสมอ


ชิโอมิ ชิสึกุ / รับบทโดย ยากิ ยูกิ ลูกสาวของเอย์จิ ..เพราะเจ้าถุงกระดาษสีเหลืองบ้าง สีชมพูบ้างนี่แหละ ทำให้ลุ้นหน้าตาของเด็กน้อยแทบแย่เลยในการเปิดฉากละครออกมาตอนแรกๆ  ถ้าอยากเห็นว่าน่ารักแค่ไหน ต้องไปหาเรื่องนี้มาดูนะคะ (เชียร์เด็กสุดฤทธิ์)Smiley


ขอบคุณภาพสวยๆ จาก


www.ballwad.com/forum/index.php?topic=99.0




Free TextEditor




 

Create Date : 05 กันยายน 2552    
Last Update : 30 พฤศจิกายน 2553 0:42:59 น.
Counter : 3293 Pageviews.  

Karei Naru Ichizoku เลือดล้างตระกูล

 

Karei Naru Ichizoku เลือดล้างตระกูล



ความทะเยอทะยาน สายเลือด แผนการ ความฝัน เรื่องราวของตระกูลที่งดงามที่สุด และน่ารังเกียจที่สุด




การหยิบซีรีย์เครียดๆ เรื่องนี้ขึ้นมาดู ไม่ได้มีเหตุผลใดมากไปกว่า การเป็นอีกหนึ่งในผลงานของ คิมูระ ทาคุยะ นักแสดงที่ชื่นชมในความสามารถ ...และชอบผลงานที่เคยดูผ่านมาทุกเรื่อง จึงไม่คิดว่า ความเครียด ของซีรีย์เรื่องนี้จะสร้างความลำบากทางใจให้มากนัก โดยเฉพาะกับคนที่เคยผ่านการดู The sky has left your eyes มาแล้ว ...จะมีซีรีย์เรื่องไหนกล้าทำให้รู้สึกรันทดหดหู่ไปยิ่งกว่านั้นอีก
และพอได้ดู
ความเห็นที่มีต่อซีรีย์เรื่องนี้คือ ... เหมือนเอา “อารมณ์โศกนาฏกรรม” แบบ the sky has left your eyes กับ “อารมณ์อุดมการณ์” ที่มีเนื้อหาเข้มข้นแบบ Change (นายกมือใหม่หัวใจประชน) มารวมไว้ด้วยกัน
อารมณ์โศกนาฎกรรมแบบไหน ?
บอกไม่ได้ค่ะ...เพราะเป็นปมของเรื่อง รู้ก่อน...เดี๋ยวใจเสีย จนไม่อยากดู
อารมณ์อุดมการณ์อย่างไร ?
ในเรื่อง Change เราจะเห็นการแย่งชิงอำนาจทางการเมือง และความคิด มุมมอง ความรู้สึกของคนที่เป็นประชาชนต่อการเมือง และนักการเมือง และพระเอกทาคุยะ ก็เป็นนักการเมืองหน้าใหม่ ที่ฝันจะนำการเมืองไปสู้ความเปลี่ยนแปลง ...สำหรับเรื่องนี้ “เลือดล้างตระกูล” นี้ก็คล้ายคลึงกัน มันเปียว เทปเป้ ที่รับบทโดยทาคุยะ ก็เป็นนักสู้เพื่อฝัน คือฝันที่พัฒนาเทคโนโลยีการทำเหล็กเพื่อเป็นใบเบิกทางในการนำอุตสาหกรรมเหล็กของญี่ปุ่นไปสู่ตลาดโลก และอุปสรรคขวากหนามนอกจาก “เศรษฐกิจ” แล้ว ที่หนีไม่พ้นอีกอย่างก็คือ “การเมือง”
“เศรษฐกิจการเมือง” นี่แหละ ที่กลายเป็นเหตุผลสำคัญต่อความคิดที่ว่า “เลือดล้างตระกูล” เป็นซีรีย์คุณภาพดีอีกเรื่องหนึ่งที่ควรได้รับการชื่นชม
Karei Naru Ichizoku เป็นเรื่องราวที่ย้อนยุคไปในช่วงต้นหลังสิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 ในฐานะประเทศผู้แพ้สงคราม เพื่อไม่ให้ถูกกลืนกินจากนายทุนต่างชาติที่กำลังหลั่งไหลเข้ามา ญี่ปุ่นต้องเร่งฟื้นฟูประเทศและหนึ่งในมาตรการนั้นก็คือการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ที่จะส่งผลให้ 12 ธนาคารในประเทศ ต้องถูกควบรวมกันเพื่อให้มีกำลังทุนแข่งแกร่งไว้ต่อสู้กับธุรกิจต่างชาติได้ และแน่นอนว่าธนาคารเล็กธนาคารน้อยจะต้องถูกกลืนโดยธนาคารใหญ่



หนึ่งในธนาคารเล็กที่ว่าก็คือ ..ธนาคารอันชิน ของตระกูลมันเปียว ที่มี มันเปียว ไดสุเกะ หัวหน้าตระกูล เป็นผู้บริหาร โดยมีลูกชายคนรองช่วยทำงาน ลูกที่ไดสุเกะตั้งใจจะให้เป็นผู้สืบทอดกิจการธนาคารและธุรกิจในเครือของตระกูล





ทำไมจึงเป็นลูกชายคนรอง ไม่ใช่ลูกชายคนโตอย่าง มันเปียว เทปเป้ (ทาคุยะ)
ก็เพราะสาเหตุบางอย่างที่ทำให้เทปเป้ กลายเป็นลูกชายที่พ่อไม่รัก ...และมีความสัมพันธ์พ่อลูกอย่างห่างเหินเย็นชามาโดยตลอด ประกอบกับเทปเป้นั้นรักการทำเหล็กเป็นชีวิตจิตใจ เขาจึงเลือกทางเดินของตัวเองด้วยการทำธุรกิจผลิตเหล็ก ซึ่งในยุคนั้นถือว่าเป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญมาก ถึงกับมีคำกล่าวว่า “เหล็กคือประเทศ”
เทปเป้ มีอุดมการณ์และความใฝ่ฝัน ที่จะพัฒนาเทคโนโลยีการทำเหล็กของญี่ปุ่นให้ทัดเทียมนานาประเทศและนำสินค้าออกไปสู่ตลาดโลก (ถ่ายทอดเนื้อหาได้สมจริง สมจัง มีการเอ่ยถึง หลายๆ ยี่ห้อของญี่ปุ่น โตโยต้า ยามาฮ่า ที่ยุคนั้นยังเป็นบริษัทเล็กๆ ในประเทศ ว่าจะครองตลาดโลกในเวลาต่อมาด้วย)



แต่เพราะประสบปัญหาการกีดกันจากคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกันซึ่งมีข้อได้เปรียบตรงที่มีเตาถลุงเหล็กเป็นของตัวเอง และเป็นแหล่งวัตถุดิบ(เหล็กดิบ)ให้กับบริษัทของเทปเป้ แต่พอเห็นบริษัทเทปเป้ชักจะก้าวไปไกลล้ำหน้า เพราะผลิตสินค้ามีคุณภาพดีเป็นที่ยอมรับ มีปริมาณการสั่งซื้อสูง พวกก็อิจฉา วันดีคืนร้ายก็อ้างโน่นอ้างนี่แกล้งไม่ส่งวัตถุดิบให้.. และการกีดกันนี้นอกจากจะเป็นปัญหาที่เทปเป้ต้องแบกรับแล้ว ยังเป็นอุปสรรคใหญ่ในการพัฒนาอุตสาหกรรมเหล็กของญี่ปุ่นด้วย ดังนั้น เทปเป้รู้ดีว่าปัญหาเหล่านี้จะไม่มีวันหมดสิ้นไป และบริษัทไม่มีทางจะก้าวไปไหนได้เลยหากเตาถลุงเหล็กยังเป็นข้อได้เปรียบที่ทำให้เกิดการผูกขาดทางวัตถุดิบ เขาจึงต้องการจะสร้างเตาถลุงเหล็กขึ้นมาเอง โดยได้รับการสนับสนุนจากนักการเมืองและนายธนาคารที่เห็นถึงประโยชน์ที่ชาติบ้านเมืองควรได้รับ
ในขณะเดียวกัน ผลประโยชน์ที่นักการเมืองอีกกลุ่มได้จากบริษัทคู่แข่งก็คอยระราน ขัดแข้งขัดขาไม่ให้มีการสร้างเตาถลุงฯ ขึ้นมาได้ แต่เทปเป้ก็ไม่ยอมแพ้ พยายามฝ่าฟันเดินหน้าต่ออย่างไม่ย่อท้อ
การสร้างเตาถลุงเหล็กนั้น จะต้องใช้เงินทุนมหาศาล และแหล่งเงินทุนก็คือธนาคารอันชิน ของไดสุเกะผู้เป็นพ่อ ที่เป็นธนาคารหลักในการให้เงินทุน และมีธนาคารอื่นเป็นธนาคารรองลงมา หนึ่งในนั้นก็คือธนาคารที่เพื่อนของเทปเป้เป็นผู้บริหารและเพื่อนคนนี้ก็ให้การสนับสนุนเทปเป้เป็นอย่างดี ( ซึ่งในการกู้เงิน..จะมีกฎการให้เงินทุน เงื่อนไขการสนับสนุนของธนาคารหลัก ธนาคารรอง เป็นความรู้ทางธุรกิจเหมือนกันนะคะ เช่น ต้องได้รับอนุมัติจากรัฐบาลให้สร้างก่อน พอถึงเรื่องกู้เงิน จะต้องมีธนาคารหลัก ที่ให้เงินทุนหลัก ธนาคารรองอีกหลายธนาคาร และการถอนเงินทุนหรือไม่ให้เงินทุนเพิ่มของธนาคารหลักที่จะมีผลต่อธนาคารอื่นๆ) ดูเบื้องหน้าเหมือนไดสุเกะจะสนับสนุนลูกชาย แต่เพราะธนาคารตัวเองก็กำลังเผชิญหน้ากับปัญหาการควบกิจการธนาคารตามแผนการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของรัฐบาล เป็นธรรมดาที่ปลาใหญ่จะกินปลาเล็ก จึงมีความเป็นไปได้สูงที่ธนาคารอันชินจะถูกกลืนโดยธนาคารอื่น(ที่ใหญ่กว่า) ....หนทางเดียวที่จะอยู่รอดคือ....การฝืนกฎธรรมชาติให้ปลาเล็กกินปลาใหญ่ ซึ่งตามหลักกฎหมายหรือกฎกระทรวง (ซักอย่างนี่แหละค่ะ ขออภัยที่จำไม่ได้) ธนาคารเล็กกว่าจะเป็นธนาคารนำในการรวมกับธนาคารใหญ่ไม่ได้ ถึงได้ก็จะไม่เป็นที่ยอมรับในสังคม..แต่เมื่อมีนักการเมืองและผลประโยชน์มาเกี่ยวข้อง มันก็.จุด จุด จุด....ละไว้ในฐานที่เข้าใจกัน


ไดสุเกะจึงรวมหัวกับนักการเมืองหักหลังคนที่เป็นเครือญาติ และเพราะหวังจะฮุบธนาคารของเพื่อนที่ให้การสนับสนุนเทปเป้ จึงใช้บริษัทของเทปเป้เป็นเครื่องมือ ถึงกับวางแผนจะให้บริษัทของลูกชายล้มละลาย..ช่างเป็นพ่อที่ใจร้ายอะไรอย่างนี้ ( ฮือ ..เศร้า)
การต่อสู้ของพ่อกับลูก ที่นำไปสู่ความร้าวฉานและถึงขั้นแตกหักในที่สุด และการต่อสู้นี้ก็ได้แสดงให้เห็นถึง "ภาวะความเป็นผู้นำ" ในสองแบบที่แตกต่าง..ทำให้อดคิดไปไม่ได้ว่า..การจะผลักดันอะไรซักอย่างหรือทำอะไรให้สำเร็จนั้น อาศัยความดีสุดขั้วก็ไปไม่รอด ร้ายสุดขั้วอาจจะไปได้ไกลแต่ก็ไปไม่ถึง..ดังนั้น "ผู้นำ" อาจจะต้องมีมากกว่าความดีหรือความร้าย นั่นคือความฉลาดที่จะเลือกใช้ความดีความร้ายให้ถูกที่ถูกเวลา (สงสัยจะเป็นยากนะ ...ผู้นำเนี่ย) ...
เรื่องนี้ทำให้รู้สึกว่าโลกของคนรวยก็ไม่ง่ายเหมือนกัน เพราะตั้งแต่ดูทาคุยะมา เรื่องนี้ทำงานหนักที่สุดแล้ว หนักกว่าตอนเป็น นายก ใน Change อีก ไม่รู้เหมือนกันนะคะว่าเรื่องนี้มีชื่อเสียงโด่งดังเหมือนเรื่องอื่นๆ ของทาคุยะหรือเปล่า แต่ถึงไม่ดังก็คงไม่แปลกใจ เพราะคิดว่าเนื้อหามันค่อนข้างแรง แต่ก็ถือว่าทำได้ดีในการไม่นำเสนอเนื้อหาที่ไปแปดเปื้อนศีลธรรมอันดีงามให้โจ่งแจ้งชัดเจนนัก คลุมเครือๆ แต่เอาเป็นว่า...คนดูเข้าใจ
แต่ส่วนที่ดีคือดูเรื่องนี้แล้วแล้วมันเห็นภาพชัดเจน ทำไมนักการเมืองถึงแย่งชิงเก้าอี้กันเอาเป็นเอาตาย การสร้างเครือข่ายผ่านอิทธิพลของตระกูลเครือญาติ ที่รวมไปถึงการเอื้อผลประโยชน์ทางธุรกิจ (ทำให้นึกถึงหนึ่งตระกูลและ ...ใครบางคน...ที่คุณก็รู้ว่าใคร...) การรับเงินนอกกฎหมาย การจ่ายเงินใต้โต๊ะ ฯลฯ และสุดท้ายการฟ้องร้องคดี “ธนาคารกระทำการไม่สุจริตต่อธุรกิจ” ที่บริษัทของเทปเป้ ฟ้องร้อง ธนาคารของพ่อ เป็นฉากตอนสำคัญที่ชอบมากในซีรีย์เรื่องนี้...


จุดเด่นที่ประทับใจ
1. ความสามารถทางการแสดงของทาคุยะที่เรียกได้ว่าเล่นได้ดีเหลือเกินนั้น ...จะให้บรรยายอีกกี่รอบก็ยังปลาบปลื้มเหมือนเดิม..
2. ความสวยงามของฉากหรูหราอลังการ ไม่ว่าจะเป็น คฤหาสน์ของตระกูลมันเปียว ...ห้องนั่งเล่น ห้องอาหาร โรงแรม ธนาคาร หรือแม้กระทั่งฉากโรงงาน และเตาถลุงที่ทำออกมาดูสมจริง
3. อืมม... จะเรียกว่าไงดีล่ะ ก็ไม่รู้ศัพท์แสงของการถ่ายหนังเค้านี่นะ เรียกว่า การจัดภาพก็แล้วกัน ทำได้สวยจริงๆ การเน้นฉาก เน้นคน ฉากของเมืองที่เห็นอยู่ไกลจากบริเวณบ้านของตระกูลมันเปียว บางครั้งจะทำให้ภาพฉากหลังเบลอๆ มันให้ความรู้สึกบางอย่าง ฉากกลางคืนที่ภรรยาของเทปเป้ยืนอยู่และมี แสงระยิบระยับของตัวเมืองในตอนกลางคืนอยู่เบื้องหลัง สรุป เราว่าเรื่องนี้เป็นหนัง”ภาพสวย”


กล่าวถึงความรัก


ชอบภรรยาของเทปเป้ค่ะ จะมีสักกี่เรื่องนะที่พระเอกกับนางเอกเป็นสามีภรรยา มีลูกด้วยกัน ผู้ชายทำงานหนักและผู้หญิงคอยเผ้ามองด้วยสายตาอบอุ่นอยู่เคียงข้าง คอยให้กำลังใจ ชอบเวลานางเอกบอกว่า “ฉันเป็นภรรยาของมันเปียว เทปเป้นะคะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันก็จะอยู่กับคุณค่ะ” (ซึ้ง)

กล่าวถึงครอบครัวมันเปียว


(พี่ชายใหญ่กับน้องหญิงเล็ก)


ไม่ว่าจะเป็นน้องชายคนรอง .ที่เผ้ามองความเป็นไปทุกอย่างในครอบครัวอย่างเงียบๆ เพราะใจนั้นยอมแพ้เสียแล้วว่าการต่อต้านไดสุเกะผู้เป็นบิดาและหัวหน้าตระกูลนั้นเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่า ไม่มีใครเอาชนะพ่อได้หรอก เขาจึงก้มหน้ายอมรับความจริง และใช้ชีวิตอย่างซังกะตายไปวันๆ นึง และทำให้ภรรยาที่แต่งงานกันในเวลาต่อมาซังกะตายตามไปด้วย น้องสาวคนรองที่ถูกบังคับให้แต่งงานกับนางการเมือง..เหตุผลก็เพื่อการสร้างเครือข่ายและเธอก็เป็นอีกคนที่ไม่ได้มีความสุขกับชีวิตครอบครัวที่มีสามีเป็นนักการเมืองเจ้าเล่ห์เห็นแก่ตัว น้องสาวคนเล็ก...ผู้ดิ้นรนและหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะปกป้องตัวเองไม่ให้ถูกบังคับไปแต่งงานเพื่อสร้างเครือข่ายด้วยอีกคน.....ภรรยาลับที่มีอิทธิพลต่อความเป็นไปของทุกคนในบ้าน แม่..ผู้สิ้นหวังและไร้ความสุข จะว่าไปแล้ว ในครอบครัวมันเปียว ไม่มีใครเลยที่มีความสุข ต่างก้มหน้ายอมรับชีวิตที่ถูกควบคุมอยู่ภายใต้อำนาจของพ่อ มีเพียงเทปเป้เพียงคนเดียวที่กล้าต่อต้าน การที่เขาคัดง้างต่อสู้กับพ่อมาโดยตลอดทำให้เขากลายเป็นความหวังของแม่และน้องๆ ที่รอคอยว่าเทปเป้จะเอาชนะพ่อได้ในวันนึง และวันนั้นทุกคนจะมีชีวิตที่เป็นอิสระ แต่วันนั้นจะมาถึงหรือไม่.....โปรดติดตาม ….

ข้อมูลจาก //www.matichon.co.th

เป็นหนังที่แสดงให้เห็นชัดเจนว่าญี่ปุ่นสร้างชาติมาหลังสงครามได้แข็งแกร่งอย่างไร นอกจากความฝันอันทะเยอทะยานสูงสุดของคนหนุ่มสาว ที่จะนำประเทศให้ก้าวหน้าอย่างมั่นคงแล้ว ยังมีนักการธนาคารที่คอยสนับสนุนกิจการอันเต็มไปด้วยแรงบันดาลใจอย่างจริงจัง

กระทั่งคนเล็กคนน้อยซึ่งเป็นผู้ทำงานในหน้าที่ต่างๆ ที่มีแต่ความมุ่งมั่นจะให้บริษัทเจริญก้าวไปข้างหน้า

จนแม้แต่ความเด็ดเดี่ยวที่อาจมองว่าเป็นความอำมหิตเหี้ยมเกรียม ซึ่งเป็นพฤติกรรมอีกด้าน ก็มีส่วนผสมผสานให้สังคมเคลื่อนไหวไปตามต้องการ

ขณะซึ่งวิธีคิดเก่า เช่น การใช้อำนาจทางการเมือง เพื่อหักล้างธุรกิจกันอย่างรุนแรง หรือการใช้เล่ห์กลทางธุรกิจแข่งขันกันก็มีอยู่ ก่อนที่ความสำเร็จของสังคมส่วนใหญ่จะเป็นตัวยืนยันเป้าหมายที่แท้ของการก่อร่างสร้างเมืองให้ยอมรับกัน

Copy มาจาก //www.popconfor2 แต่เห็นบอกว่าข้อมูลจาก //www.matichon เลยไม่ทราบว่าเป็นคำวิจารณ์ของใคร แต่ตรงใจมากค่ะ

"เป็นหนังที่แสดงให้เห็นชัดเจนว่าญี่ปุ่นสร้างชาติมาหลังสงครามได้แข็งแกร่งอย่างไร"









 

Create Date : 03 กันยายน 2552    
Last Update : 30 พฤศจิกายน 2553 0:43:11 น.
Counter : 4177 Pageviews.  

Love Shuffle ..ไม่ดู ..เสียดาย..

 Love Shuffle   เกมรักสลับคู่ SmileySmiley



แค่ชื่อภาษาไทยอย่าง "เกมสลับคู่รัก" หรือที่เราสลับใหม่เป็น "เกมรักสลับคู่" ก็ไม่คิดอยากดูเรื่องนี้แล้ว เพราะเราเป็นประเภทชอบดูหนังแบบ ‘รักเดียวใจเดียว’ ประเภทจะคบกันคนนี้ไปกิ๊กกับคนโน้น มีใจกับคนนั้น ไม่ใช่แนวที่จะดูด้วยความสนุกได้สักเท่าไหร่ เหมือนเคยดู Gossip Girl หรือ One tree hill ของทางฝรั่งเขา
เข้าใจว่า Love Shuffle ก็คงจะเป็นแบบนั้น แบบที่รักกันอยู่คู่หนึ่ง แล้วเปลี่ยนใจไปรักกับอีกคู่หนึ่ง แม้เวลาเปิดอินเทอร์เน็ตดูข้อมูลจาก review ซีรีย์ญี่ปุ่นเพื่อหาซีรีย์ดีๆ มาดู ใครจะว่าสนุกแค่ไหนก็ยังไม่มีแรงดึงดูดใจพอ เพราะยังติดอยู่กับชื่อเรื่อง แต่เพราะอยากจะดูแนวความรักโรแมนติกหวานๆ บ้าง แล้วไม่รู้จะดูเรื่องอะไร ก็เลยเลือกเอาเรื่องที่มีคำว่า Love อย่าง Love Shuffle นี่แหละ (บทจะตัดสินใจขึ้นมา ก็ง่ายดายซะอย่างนั้น)




ดูสองสามตอนแรก ตั้งป้อมอยู่แล้วว่าคงไม่ชอบก็เลยรู้สึกไม่ชอบจริงๆ แต่อะไรที่ดูมาแล้วก็ดูต่อไปเถอะ เพราะไม่ชอบทำอะไรให้มันค้างค้า ดูต่อไปอีกหน่อยก็ยิ่งไม่ชอบ เพราะคู่ที่แอบหวังซะสุดฤทธิ์ให้ชอบพอกัน ในการสลับคู่เดทรอบแรกแล้วเหมือนจะไปกันได้ดี ก็ดันทำท่าจะไม่ใช่เมื่อเปลี่ยนคู่เดทไปยังคนที่สองและคนที่สาม แต่เมื่อดูต่อไปอีกนิด..ก็เริ่มสนุกกับการลุ้นว่าใครจะชอบกับใคร และทำไมถึงเป็นอย่างนั้น พอรู้ว่าใครแอบมีใจให้ใครแล้วก็ยิ่งสนุกเพราะลุ้นว่า...จะได้ลงเอยกันไหม จะไปรอดหรือเปล่า และคู่ที่ทำให้ผิดหวังในตอนแรกว่า ไม่เห็นเหมาะกันเลย กลับกลายเป็นคู่ที่ชอบมากที่สุด น่ารัก ถูกใจ โรแมนติก ใช่เลย! Smiley


อุซาตะ เคย์ ( ทามากิ ฮิโรชิ หรือท่านจิอากิของน้องหนูโนดาเมะ) พนักงานบริษัทไอที ไอซาว่า ไอรุ นักแปลสาว เซระ โอจิโร่ ( มัตสึดะ โชตะ) ช่างภาพอิสระ และ มาซาโตะ ( ทานิฮาระ โชสุเกะ) หนุ่มจิตแพทย์


เรื่องมันเริ่มจากที่แหวนหมั้นบนนิ้วนางข้างซ้ายของเคย์ ที่เป็นหัวข้อให้พวกเขาได้เปิดประเด็นพูดคุยถึงเรื่องความรัก และเมื่อพวกเขาได้รู้ว่าเคย์เพิ่งถูกแฟนขอยกเลิกการแต่งงานโดยไม่ทราบสาเหตุ เรื่องความรักกับความสัมพันธ์จึงถูกหยิบยกขึ้นมาแสดงความเห็น คุณหมอคิคุตะ ซึ่งได้รับฟังปัญหาความรักของเคย์ และทัศนคติเกี่ยวกับความรักของโอจิโร่และไอรุ จึงชวนทุกคนมาสังสรรค์กันอีกครั้ง และพวกเขา 4 คนก็ได้ตกลงที่จะร่วมหัวจมท้ายลงเรือ “Love Shuffle” เดียวกัน ( แม้ว่าบางคนจะไม่เต็มใจนักกับเกมสลับคู่รักนี้ก็ตาม)



ตัวละครหลัก Smiley


Smiley อุซาตะ เคย์  ( ทามากิ ฮิโรชิ หรือ ท่านจิอากิจากเรื่องโนดาเมะ) เพราะเป็นว่าที่หนูตกถังข้าวสาร เขาจึงมีโอกาสได้ทำงานในบริษัทใหญ่โตของว่าที่พ่อตา แต่แล้วจู่ๆ Smiley เมย์ แฟนสาว ก็ขอยกเลิกการแต่งงานโดยไม่ทราบสาเหตุ หน้าที่การงานและการเงินเลยทำท่าจะหลุดลอยตามไปด้วย ทั้งเมย์และเคย์ต่างก็รักกันมาก นอกจากเคย์แล้วเมย์ไม่เคยรักใครเขาเป็นรักแรกรักเดียวที่คบกันมาหลายปี จนตัดสินใจที่จะแต่งงานกัน แต่หลังจากได้คิดอย่างรอบคอบถึงความสัมพันธ์ที่มี เมย์กลับเชื่อว่าการแต่งงานไม่ใช่ความคิดที่ดี และไม่ควรจะเกิดขึ้น เธอจึงเปลี่ยนใจขอยกเลิก ทั้งที่ความรักไม่ได้หนีหายไปไหน แต่ก็ยังยืนยันความตั้งใจขอ ‘ไม่แต่ง’


Smiley ไอรุ  นักแปลสาวสวย เก่ง ฉลาด ทันสมัย มั่นใจในตัวเอง แต่เป็นคนที่ไม่เคยประสบความสำเร็จในความรัก แม้กระทั่งกับ Smiley อุคิจิ แฟนหนุ่มที่คบกันอยู่ แม้เขาจะหน้าตาดี (ที่ซ่อนไว้ภายใต้กรอบแว่นตาหนาเตอะ) มีสมองเป็นเลิศในการทำธุรกิจจนรวยล้นเหลือตั้งแต่อายุยังน้อย หล่อ รวย และฉลาด ครบสูตรอย่างนี้ จะหาได้จากที่ไหนง่ายๆ แต่มันเป็นเรื่องจริงที่ว่า no one perfect เพราะอุคิจิ ก็มีบางอย่างที่ทำให้ “หาคนคบยาก” และไอรุก็ดันสงสารในข้อนั้น จึงตกลงคบกันมากับเขาเพราะความเห็นใจ


Smiley โอจิโร่ (โชตะ พระเอกเรื่อง Liar game) ช่างภาพหนุ่ม มือโปร บุคลิกดูเพล์บอย นิสัยดูห่ามๆ และกำลังมีความสัมพันธุ์อยู่กับ Smiley เรย์โกะ ผู้หญิงที่แต่งงานมีสามีแล้ว (คำพูดตรงๆ คือเป็นชู้กับเมียชาวบ้าน) เพราะทั้งคู่ต่างเห็นว่า เซ็กส์กับความรักมันคนละเรื่องกัน ก็แค่เรื่องสนุกจากความสัมพันธ์ทางกาย


Smiley คิคุคะ จิตแพทย์หนุ่ม เป็นคนดูสุภาพ ใจดี และดูเป็นผู้หลักผู้ใหญ่กว่าทุกคน คู่รักของเขาเสียชีวิตไปแล้ว และคนที่คิคุตะชักนำมาร่วมเกม Love Shuffle ก็คือ คนไข้ที่คิคุตะกำลังพยายามสุดกำลังในการเยียวยาภาวะจิตใจ เธอคือ Smiley ไคริ จิตรกรฝีมือเลิศที่อายุยังน้อย ยังเป็นเพียงเด็กสาวคนนึง เธอมีชีวิตหมกมุ่นอยู่กับการวาดภาพและการฆ่าตัวตาย จึงกลายเป็นคนที่มีบุคลิกประหลาดและดูสติเลื่อนลอยอยู่ตลอดเวลา




และนี่คือเหตุผลว่าทำไมถึงได้ชอบคู่ของไคริที่สุด เพราะการที่ผู้ชายแบบนั้น จะมาตกหลุมรักผู้หญิงแบบนี้ แบบที่ดูเลื่อนลอยไร้อารมณ์และไม่ได้รับรู้ความเป็นไปในโลกรอบตัว แถมยังคิดแต่เรื่องความตายและการฆ่าตัวตาย ดูแล้วไม่เห็นจะเหมาะกันสักนิด แต่กลับเหมาะกันอย่างที่สุด
ตอนแรกเดาไม่ถูกเลยว่าใครจะคู่กับใคร เพราะ 8 คนนี้ ต้องสลับคู่เดทกันไปมาในแต่ละสัปดาห์ แต่ถึงอย่างไรความยาวของซีรีย์แค่เพียง 10 ตอน ก็สามารถจัดสรรคู่รัก 4 คู่ออกมาได้อย่างลงตัวในที่สุด




หาใช่กล้ามเป็นมัดๆ แต่..ก้างเป็นซี่ๆ



คู่หู "ทาระจัง"


 


 บทบาทของแต่ละคนก็ไม่มากน้อยไปกว่ากันสักเท่าไรเลย โดยเฉพาะโชตะ พระเอก Liar game ที่เล่นเป็นช่างภาพโอจิโร่ ที่ทำให้เชื่อแล้วว่า ซีรีย์ญี่ปุ่นนั้น พระเอกนางเอกต้องอาศัยบทบาทและทรงผม เมื่ออาทิตย์ก่อนเพิ่งจะบ่นๆ ไปว่า พระเอก Liar game สุดแสนจะไม่หล่อ แต่ที่ยอมโอเคเพราะบทที่ได้รับนั้นทำเอาท่านเท่ห์เหลือเกิน พอได้ดูโชตะเล่นเรื่องนี้อีกที โห...กรี๊ด น่ารักมากเลย หลงใหลได้ปลื้มอีกแล้ว เป็นอะไรที่ตรงข้ามกับทามากิเลย ตอนเป็นจิอากิของโนดาเมะน่ะหล่อเหลาเอาการ แต่เรื่องนี้ดูให้ตายก็ไม่หล่อ ...แปลกจัง สงสัยสายตาจะมีปัญหา





Scene สุดประทับใจ  SmileySmiley




ระยะหลังมานี้ ชักไม่กล้าจะการันตีซีรีย์ญีปุ่นให้เพื่อนแล้ว เพราะเท่าที่ดูซีรีย์ญี่ปุ่นมา ก็มีแค่เรื่อง สูตรรักข้าวห่อไข่ กับ ซุปเปอร์สตาร์ถามหารัก ( my husband) เท่านั้นเอง ที่ให้คะแนนกลางๆ เป็นระดับธรรมดา คือ ดูก็ได้ ไม่ดูก็ไม่ถือว่าน่าเสียดาย แต่ Love Shuffle ถ้าไม่ดู ..คงเสียดายแย่เลย










 

Create Date : 06 สิงหาคม 2552    
Last Update : 30 พฤศจิกายน 2553 0:43:21 น.
Counter : 7348 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  

prysang
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 98 คน [?]




จำนวนผู้ชม คน : Users Online
New Comments
Friends' blogs
[Add prysang's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.