Group Blog
 
All blogs
 

WILD LIFE ( Movie) สัตวแพทย์มือใหม่ หัวใจเมโลดี้

สัตวแพทย์มือใหม่ หัวใจเมโลดี้





เรื่องย่อฉบับการ์ตุน

ไม่ได้เขียนเองนะคะ แต่ตัดๆ รวบๆ เอามาจาก"ความเดิมตอนที่แล้ว" ของ หนังสือการ์ตูนเล่ม 1-6

ความสามารถพิเศษของเด็กนักเรียนหนุ่ม ม.ปลาย อย่าง อิวาชิโร่ เท็ตโช มีอยู่อย่างเดียวเท่านั้น นั่นก็คือ “หูเมโลดี้" (สามารถฟังเสียงต่างๆ เป็นโน้ต ได้ยินเสียงที่คนธรรมดาไม่ได้ยิน และสามารถแยกแยะความผิดปกติของเสียงได้) นอกนั้น เล่นดนตรีก็ไม่ได้ ร้องเพลงก็ไม่เก่ง แน่นอนว่าเรื่องเรียน ยิ่งแล้วใหญ่ แล้วอนาคตจะไปเหลืออะไร้



แต่แล้วบุญพาวาสนาส่งให้เขาได้พบกับนายสัตวแพทย์ กาซู ผู้ช่วยเหลือสุนักจรจัดโดยไม่หวังผลตอบแทน เท็ตโชประทับใจมาก ถึงขนาดมุเรียนจบคว้าใบประกอบโรคศิลป์ด้านสัตวแพทย์มาได้อย่างเหลือเชื่อ! และได้เข้าทำงานที่ R.E.D. โรงพยายาบาลสัตว์เปี่ยมนุษยธรรม รักษาสัตว์ป่วยทุกชนิดโดยไม่หวังผลกำไร นี่ละ โรงพยาบาลในอุดมคติ โดยประจำอยู่ที่ “แผนกที่2” Wild life (รับแต่ผู้ป่วยที่เป็นสัตว์ชนิดพิเศษเท่านั้น เช่น สัตว์แปลกๆ สัตว์ป่าพันธุ์หายากไม่แพ้หมอ)



เมื่อมีหูเมโลดี้เป็นอาวุธประจำกาย ไม่ว่าสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่เป็นโรคอะไรร้ายแรงแค่ไหน หูเมโลดี้ของสัตวแพทย์มือใหม่อย่าง อิวาชิโร่ เท็ตโช เป็นจับเสียงผิดปกติได้หมด ความรู้น่ะเหรอ? ศูนย์สนิท! (เรียนจบมาได้ไงฟะเนี่ย?) แต่ใจนั้นอบอุ่นร้อนแรงเกินร้อย ถึงดีกรีความบ้าจะพุ่งกระฉูดไปหน่อย แต่ความมุ่งมั่น ทุ่มเทให้กับงานถึงขนาดยอมเอาชีวิตเข้าแลกก็ไม่เคยน้อยหน้าใคร



ในแผนกที่ 2 Wild life ทีมงานมีฝีมือกันทั้งนั้น แม้ว่าเท็ตโชจะมีความรู้และประสบการณ์น้อยนิด แต่เขาก็อาศัยความสามารถพิเศษคือหูเมโลดี้ วินิจฉัยอาการผิดปกติของสัตว์ต่างๆ ได้ไม่ว่าอาการนั้นจะละเอียดอ่อนสักเพียงใด แถมยังได้รับการติวเข้มจาก เรียวโต สึกาสะ สัตวแพทย์อัจฉริยะ แต่เป็น "เสือไบ"

ดังนั้น อนาคตใสใส จึงไม่ไกลเกินเอื้อม รึเปล่านะ ?



แม้จะความรู้น้อย ด้อยปัญญา (ทางการแพทย์) และบ้าๆ บวมๆ แต่ความที่เขาเป็นคนที่มีจิตใจอบอุ่น และแสนจะตรงไปตรงมา ตามอารมณ์ความรู้สึกนึกคิด ดั้งนั้นไม่เพียงแต่สัตว์เท่านั้น เขายังสามารถปลอบโยนจิตใจของมนุษย์ได้อีกด้วย ด้วยเหตุนี้จึงได้รับความช่วยเหลือ ( เหรอ ? ) จากเรียวโต คุณหมอรุ่นพี่ที่แสนจะฉลาดเฉลียว (แต่ผิดมนุษย์มนา) หลอกล่อด้วยกลอุบายต่างๆ ให้เท็ตโซได้เรียนรู้ศึกษา (โดยกลอุบายส่วนใหญ่ที่ว่า คุณหมอเรียวโต..ต้องถือโอกาสได้มีเวลาอ่านการ์ตูนและอู้งานด้วย) จนเท็ตโซสามารถพัฒนาทั้งด้านความรู้และประสบการณ์ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด



ขอพูดถึงรวมๆ ไปเลยนะคะ ทั้งการ์ตูนและซีรีย์

การ์ตูนเรื่องนี้สนุก และมีสาระในแง่ของการให้ข้อคิดที่ดีเกี่ยวกับการอนุรักษ์ธรรมชาติและสัตว์ป่า และสำหรับคนที่เลี้ยงสัตว์หากอ่านการ์ตูนเรื่องนี้ก็คงจะได้ข้อคิดดีๆ อยู่ไม่น้อยเกี่ยวกับการดูแลเอาใจใส่ชีวิตความเป็นอยู่ สภาวะธรรมชาติของสัตว์ที่หากไม่ได้รับการใส่ใจให้ดีอาจจะส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของสัตว์เลี้ยงนั้นๆ ด้วย

เข้าใจว่าการ์ตูนเรื่องนี้ไม่ดังซักเท่าไหร่นะ แต่ถึงไม่ดังก็ได้รับรางวัล

“The Best Comics for Boys Comics Category”

การ์ตูนยอดเยี่ยมแห่งปีครั้งที่ 51 ของ Shogakukan Manga Awards

นั่นเป็นเรื่องของการ์ตูนดีๆ แต่ที่เริ่ดไปกว่านี้ คือมีการนำมาทำเป็น มินิซีรีย์ด้วย พอรู้อย่างนั้นอารมณ์อยากดูพุ่งกระฉูด






พอได้เห็น Trailers ก็อยากออกอาการ อุ๊ยตาย ว้ายกรี๊ด !

เพราะเขาผู้รับบทหมอเท็ตโชคือ อิชิฮาระ ฮายาโตะ

นักแสดงที่เป็น “ลูกรักหัวแก้วหัวแหวน” ของเราเอง จะไม่ให้กรี๊ดได้ไง เมื่อขาได้มาอยู่ในบทบาทตัวการ์ตูนไม่กี่ตัวในโลกของมังงะที่ชื่นชอบมากเป็นพิเศษ คุณหมออิวาชิโร่ เท็ตโช สัตวแพทย์บ๊องตื้น แต่ก็ทำงานด้วยจิตใจที่ร้อนแรง ขะมักเขม้น และเอาจริงเอาจัง

และเท็ตโช ก็ “สุดโง่” ไปเลย ถ้าเอาไปเปรียบกับความรู้คู่ภูมิปัญญาของ"เซ็มไป" คุณหมอรุ่นพี่ ที่ไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงแล้วอายุเท่าไหร่ ด้วยใบหน้าที่ยืนยงเป็นหนุ่มคงกระพัน อย่าง เรียวโต สึกาสะ ผู้เปรียบเสมือนคุณหมอพี่เลี้ยง



การ์ตูนเรื่องนี้มีฮา เป็นระยะๆ ความซื่อบริสุทธิ์ที่เท็ตโชไม่เคยไล่ทันร้อยเล่ห์เพทุบายของคุณหมอเรียวโต บวกกับอาการบ้องตื้น และหน้าแหกของเท็ตโช ที่ทำให้ฮาอยู่เสมอ มีอยู่ตอนหนึ่งที่คุณหมอทั้งสองและพยาบาลสาวสวย ต้องไปเป็นไกด์ให้กับนักท่องเที่ยวเพื่อรณรงค์ให้คนหันมาสนใจและอนุรักษ์ฮิปโปโปเตมัสที่กำลังจะสูญพันธ์ เท็ตโชที่ไม่รู้มาก่อนว่าธรรมชาติของฮิปโป จะระบายเหงื่อสีแดงๆ คล้ายเลือดออกมาตามผิวหนัง (จริงหรือเปล่าไม่รู้นะ เล่าตามการ์ตูน)



เท็ตโชจึงเข้าใจว่าฮิปโปถูกยิงพรุนทั่วตัวเพราะไปทำลายเรือกสวนของเกษตรกร จึงกระโดดจากเรือนำเที่ยวด้วยความตื่นตูมหวังจะไปช่วยเจ้าฮิปโป .. พอเรียวโตรู้เรื่อง ก็ขำ ก๊ากๆๆๆๆ จนน้ำตาเล็ด มันตลกพอๆ กับมุขที่เรียวโตแอบคิดว่า “ อยากให้ความโง่ของเจ้าเท็ตโชสูญพันธ์ไปจากโลกนี้แทนพวกฮิปโปจริงๆ “ ..555 ชอบมากค่ะมุขนี้




และสำหรับคนที่เป็นแฟนคลับของ ทามายามะ เท็ตสึจิ คงได้กรี๊ด เพราะเขาได้แสดงในบท
เรียวโต สึกาสะ สัตวแพทย์เสือไบสุดหล่อเจ้าเสน่ห์ที่มีผลโหวตจากแฟนการ์ตูนให้เป็นตัวละครยอดนิยมอันดับ 1 มาแรงแซงโค้งเหนือกว่าเท็ตโชที่เป็นพระเอกเสียอีก






แต่แม้จะควานหาซีรีย์เรื่องนี้มาอย่างหนัก ก็ไม่สามารถหาแหล่งขายที่ใดได้ในอินเตอร์เน็ต เช่นเดียวกับหาแหล่งโหลดก็ไม่เคยพบเจอะเจอว่ามีอยู่ที่แห่งใด (พยายามเสิร์ชกูเกิ้ลจนพรุนแล้วมั้งคะ) นี่ถ้ามีโอกาสเดินผ่านร้าน dvd เมื่อไหร่ จะแวะถามไถ่ตามหา แต่คาดว่าคงไม่มี อยากดูมาก ใครเห็นวางขายอยู่ที่ไหน โหลดได้จากบ่อนใด ถ้ารู้ช่วยบอกที อานิสงค์ผลบุญนี้ขอให้สวยขอให้หล่อขอให้รวยยิ่งๆ ขึ้นไป

ละครเรื่องนี้ สร้างออกมาเพียง 3 ตอนค่ะ และไม่แปลกใจเลยว่าทำไมทำแค่นั้น เพราะมันยากเย็นอยู่นะ ถ้าจะทำเป็นซีรีย์ตามหนังสือการ์ตูนกันจริงจัง การจะต้องใช้สัตว์มาเข้าฉากอย่าง เสือ สิงห์ กระทิงแรด ลิงแฟนตาซี ฮิปโปโปเตมัส หมีขาวขั้วโลกเหนือ จรเข้ ปลาวาฬ ปลาโลมา นกเพนกวิน ยีราฟ นกกระจอกเทศ งูเหลือมยักษ์ ฯลฯ ซึ่งในเรื่องสัตวแพทย์ของ R.E.D. ต้องเดินทางไปรักษาหรือไปให้ความร่วมมือกับหลายองค์กรในนานาประเทศ มันคงจะไม่ง่ายนักถ้าจะใช้สัตว์จริงๆ และถ้าใช้สัตว์จริงๆ ใครจะแสดง ? สแตนอินก็คงไม่ค่อยสู้ มั้ง ... หรือถ้าวงการละครญี่ปุ่นก้าวหน้าปานว่าทำฉากทุกอย่างจากอำนาจของเทคโนโลยีสมจริงเทียมเท่าวงการฮอลลีวู้ด เดาว่า ก็คงต้องลงทุนสูงน่ะนะ

ตอนที่สร้างออกมาเป็นซีรีย์ จะเกี่ยวกับสัตว์ 3 ประเภท คือ ยีราฟ แพนด้า และช้าง

แต่จะออกอากาศแค่ 2 ตอน คือ ช้าง และแพนด้า เนื่องจาก ยีราฟที่ใช้ในการถ่ายทำได้เสียชีวิตลง โดยตัวแม่ยีราฟตรอมใจที่ต้องแยกจากลูกของมันในระหว่างถ่ายทำอยู่ประมาณ 3 วัน (เป็นตอนที่เท็ตโซต้องรักษาขาให้ลูกยีราฟด้วยการใส่ขาเทียม) แม้ลูกมันจะกลับคืนมาหลังจากนั้น แต่ความเครียดที่ถูกแยกจากลูกคงจะสะสมเกินบรรเทา มันจึงตายในอีกสองสามวันต่อมา เมื่อแม่ของมันตาย ลูกยีราฟที่เข้าฉากถ่ายทำก็ตรอมใจตายตามแม่ของมันด้วย น่าเศร้าจริงๆ





เพิ่งรู้นะคะว่ามันเป็นสัตว์จิตใจบอบบางมาก ในการ์ตูนก็มีการพูดถึงเรื่องความเครียดของสัตว์อยู่บ่อยครั้งหากว่ามนุษย์ไปทำอะไรให้มันรู้สึกผิดธรรมชาติ อย่างยีราฟร่างกายของมันก็คงบอบบางด้วย ไม่ต่างกับในเรื่องที่พระเอกรักษาขาของลูกยีราฟเลย




คือ ถ้าหากกระดูกมันหัก เตรียมใจได้เลยว่ามันต้องตาย ยากที่จะผ่าตัดเชื่อมต่อกระดูกเพราะว่าขาของมันมีกล้ามเนื้อน้อยมาก ถ้าหากเกิดบาดแผล จะทำให้การไหลเวียนของโลหิตแย่ลงง่ายและทำให้เซลล์เนื้อเน่าตาย และหากว่ามันต้องเสียขาด้วยการตัด มันก็จะตายในไม่ช้าเพราะยีราฟเป็นสัตว์ที่ยากแก่การทรงตัวด้วยขาเพียงสามขา และมันเป็นสัตว์กินพืชที่ต้องยืน เพราะในสัตว์กินพืชระบบหลอดย่อยอาหารจะยาวมากเพื่อทำหน้าที่แยกหญ้าซึ่งเป็นอาหารที่ยากต่อการย่อย



ดังนั้นถ้ายืนไม่ได้ น้ำหนักตัวจะไปกดทับระบบหลอดการย่อยอาหาร จนเกิดโรค Gastric dilatation การขยายตัวของกระเพาะอาหารอย่างรุนแรง เป็นโรคที่เกิดจากการสะสมของแก๊สอวัยวะภายใน และเสียชีวิตในที่สุด (ข้อมูลจากการ์ตูนและหมายเหตุประกอบเนื้อหาการ์ตูน)



ดังนั้น เท็ตโชที่รักสัตว์เป็นชีวิตจิตใจ จึงไม่ยอมแพ้และพยายามหาขาเทียมที่เหมาะสมมาใส่ให้มัน แม้จะมีคนทัดทานว่านั่นไม่ใช่ปัญหา และการผลิตขาเทียมชนิดพิเศษก็ผลิตทัน แต่ปัญหาคือระหว่างที่ขายังไม่หายดีนั่นต่างหาก เพราะมันจะเครียด และมันจะตายในที่สุด ในการ์ตูนตอนนี้ เขาจึงใส่เรื่องของ “แรงปรารถนาที่จะมีชีวิต” โดยเอาความรักของคนที่มีต่อสัตว์เป็นแรงกำลังใจนั่นล่ะค่ะ

เพราะการถ่ายทำละครมีผลให้ยีราฟแม่ลูกเสียชีวิต สถานี HBK จึงงดฉายละครในตอนของยีราฟ ซึ่งก็น่าจะทำถูกแล้วนะคะ ถ้ายังออกอากาศอยู่ก็คงหดหู่สิ้นดี อย่างน้อยๆ ก็ถือเป็นการแสดงความรับผิดชอบอย่างหนึ่ง

ว่าแต่ ... วกกลับมาเรื่องเดิม



แล้วจะไปหาตอนช้าง กับแพนด้า มาได้จากที่ไหนละเนี่ย

ยิ่งเห็นตัวอย่าง นางพยาบาลน่ารักอย่าง เสะโน่ มิกิ กอดแพนด้าอย่างน่ารักน่าเอ็นดู (และน่าอิจฉา) ยิ่งอยากดู

ยิ่งเห็น ฮายาโตะ ในบทของเท็ตโชหัวสีทอง กับช้างไทยของเรา ซึ่งมาถ่ายทำกันที่ลำปาง ดูตัวอย่างมีฮายาโตะนั่งหลังช้าง ฮายาโตะปล่อยโคม มีสาวนางหนึ่งเรียกฮายาโตะว่า “อ้ายบ่าวเท็ตโช” ท่าทางเรื่องจะซึ้งดีด้วย ยิ่งทำให้อยากดูสุดๆ

แต่หาดูไม่ได้ แป่ว!

แห้วไปตามระเบียบ

อย่าลืมนะคะ ใครรู้ว่าจะหาได้จากที่ไหน ช่วยบอกกล่าว

ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ

และ

ขอบคุณมากค่ะ สำหรับ

-Clip ตัวอย่างจาก Youtube (hayatomcbee,wildlife.gyao.jp)
- ข้อมูล + ภาพกล่อง DVD จาก //talktowildlife.exteen.com
- ภาพฮายาโตะคุง จาก จุด จุด จุด จากไหนไม่รู้ ลืมโน๊ตที่มาไว้ เพราะเซฟเก็บไว้จากการพยายามหาโหลดหนังเรื่องนี้ไว้นานแล้ว ขออภัยสำหรับเจ้าของที่โพสต์นะคะ

และ

หนังสือการ์ตูน Wild life โดย Masato Fujisaki
ลิขสิทธ์โดยสำนักพิมพ์ NED Comics

***



WILD LIFE

Revised 17 ธันวาคม 2552

















เพราะความเอื้อเฟื้อของเพื่อนๆ ชาว Bloggang คือ คุณ MamLHC และ momo_lawleit ที่มาแนะนำแหล่ง จึงมีโอกาสได้ดูแล้วล่ะค่ะ

ขอบคุณมากนะคะ

เป็นเรื่องที่ดูด้วยความปลาบปลื้มใจเป็นยิ่งนัก

"ช้าง ช้าง ช้าง น้องเคยเห็นช้างหรือเปล่า" มีเพลงช้างในหนังด้วย น่ารักจัง

"นางเอก" แก้มอูม น่ารักมาก

"แพนด้า" น่ารักที่สุด

"พระเอก" ... ละไว้ในฐานที่เข้าใจกัน ว่าชอบนักแสดงชายคนนี้เอามากๆ

จึงไม่ต้องบรรยายให้มากความ เดี๋ยวจะถูกเพื่อนฝูงหมั่นไส้เอา





 

Create Date : 13 ธันวาคม 2552    
Last Update : 25 กุมภาพันธ์ 2556 17:28:49 น.
Counter : 9625 Pageviews.  

Orthros No Inu : สัมผัสเป็น สัมผัสตาย

“สัมผัสเป็น สัมผัสตาย” ตั้งเอง อมยิ้มเองค่ะ ... ฟังดูเชยๆ แปร่งๆ ยังไงก็ไม่รู้
แต่ว่าก็คิดคำอื่นไม่ออกน่ะนะ

อิอิ

ก็เพราะละครมันเป็นเช่นนี้แล

สัมผัสเดียวหายโรค และสัมผัสเดียวหายด้วยเหมือนกัน คือ หายจากโลกนี้ไป




“หาย”
ด้วยหัตถ์แห่งการเยียวยา รักษาได้ทุกอย่าง
ทุกโรคภัยร้ายแรง บาดแผลเล็กน้อยไปจนถึงสาหัส

และ

“หาย” ด้วยหัตถ์แห่งการฆ่า สัมผัสเดียว ไปไม่กลับ
หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี หนีไม่พ้น เพราะตายสนิท!

เหมือน Angel & Demon เทวา กับ ซาตาน

(เหมือนชื่อหนังสือของ Dan Brown เรื่อง Angel & Demon เลยแฮะ)


หนึ่งฝ่ายที่หยิบยื่นการเยียวยารักษาให้มีชีวิตพ้นทุกข์ทรมานก็เปรียบกับเป็น พระเจ้า เทวา เทพยดา หรือ เทวดา ส่วนอีกฝ่ายที่หยิบยื่นความตายมอบให้ ก็ไม่ต่างกับเป็น ซาตาน มัจจุราช ( แต่ไม่สีชมพูนะ) ยมทูต ยมบาล ชอบคำไหนก็เอาคำว่า “หัตถ์” ใส่เข้าไปข้างหน้าค่ะ ตามแต่จะชอบใจ เพราะแต่ละคำความหมายยังได้อยู่ และกิ๊บเก๋ทุกคำ เช่น

“หัตถ์เทพยดา”
ไท้ ไทย และโบราณดี

“หัตถ์ยมบาล”
ซื่อๆ ทื่อๆ ตลกดี

ตามซับไทยที่ดู ใช้คำ “หัตถ์พระเจ้า” กับ “หัตถ์ยมทูต” ชอบคำหลังนะคะ โดนใจที่สุดแล้ว

เรื่องย่อที่พยายามย่อแล้ว

เรื่องราวของชายหนุ่มสองคน ที่มีพลังเหนือมนุษย์ เป็นพลังจากมือสัมผัสตามที่กล่าวมา



“หัตถ์เทวดา” ริวซากิ ชินจิ (แสดงโดย ทาคิซาวะ ฮิเดอากิ Takizawa Hideaki หรือที่ใครๆ เรียกว่า ทักกี้) คงจะดีถ้าริวซากิถือคติ เมตาตาธรรมค้ำจุนโลก และใช้ ”พลังมือ” ที่มีให้เป็นประโยชน์ต่อประชาชนชาวญี่ปุ่นและมวลมนุษยชาติ แต่ว่าริวซากิคนนี้ ดันเป็นนักโทษประหารจากคดีฆ่า 3 ศพ แต่เพราะในตอนเกิดคดียังอยู่ในวัย “เยาวชน” จึงเป็นเยาวชนผู้กระทำผิดที่ยังไม่ถูกประหารเพราะรอการสำนึกตัว ริวซากิจึงจำคุกมาแล้ว 10 ปี

มีหัตถ์เทวดา แต่ดันผ่าไปอยู่ในคุก ช่างไร้ประโยชน์ซะจริง



“หัตถ์ยมทูต” อาโออิ เรียวสุเกะ (แสดงโดย นิคิชิโด เรียว Nishikido Ryo ) อาจารย์หนุ่มโรงเรียนมัธยมที่ จิตใจดี มีเมตตา แต่ว่าเป็นเจ้าของอำนาจมืด นั่นคือพลังแห่งการฆ่า ในภาวะคับขันที่อาจไม่ได้ตั้งใจเต็มร้อยให้ตาย แต่เมื่อเผลอส่งพลังในมือสัมผัสออกไป เพราะคิดจะช่วยเหลือคนอื่น หรือป้องกันตัวเองให้พ้นอันตราย เผลอเดียว ตายสนิท

แต่ถึงจะเป็นเผลอเดียว อาจารย์อาโออิก็อุตส่าห์เดินตากฝนดังพระเอกมิวสิกวิดิโอเพลงรักไปมอบตัวที่สถานีตำรวจ เพื่อแจ้งความจับตัวเอง “ผมฆ่าคนตาย”

แม้ว่าจะมีตำรวจหญิง อาซาเบะ นากิสะ เป็นพยานในเหตุการณ์ แต่ในเมื่อตำรวจหาหลักฐานมายืนยันการฆ่าเป็นรูปธรรมไม่ได้ เพราะไม่มีวิทยาศาสตร์การชันสูตรศพ หรือทฤษฏีใดเป็นไปได้ว่า คนจะตายเพียงเพราะสัมผัสจากมือ ด้วยฆาตกรรมที่เหนือเมฆนี้ อาโออิ จึงเป็นฆาตกรคนดีที่ลอยนวล

นอกจากสองหนุ่มที่มีพลังเหนือมนุษย์นี้แล้ว ก็มีบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องในเรื่องราว



“ตำรวจหญิง” อาซาเบะ นากิสะ (แสดงโดย มิซึคาว่า อาซามิ Mizukawa Asami) คุณแม่ลูกหนึ่งที่รักและซื่อตรงต่ออาชีพตำรวจ นากิสะรอดตายเพราะหัตถ์ยมทูต แต่ในฐานะตำรวจก็ไม่อาจปล่อยให้การตายที่ตัวเองเป็นพยานรู้เห็นอยู่ต่อหน้าผ่านไปเฉยๆ ได้ การตายที่เห็นอยู่เต็มตา ถึงพิสูจน์เอาผิดไม่ได้ก็ยังรู้เห็นการฆ่าอยู่เต็มใจ จะจัดการอย่างไรกับหัตถ์ยมทูตดี

ส่วนอีกคนที่เข้าไปเกี่ยวข้องก็มีหัตถ์เทวารักษาโรคได้ทุกอย่าง คนเป็นแม่ทุกคนเมื่อมีโอกาสย่อมทำทุกอย่าง บังคับ ขอร้อง อ้อนวอน ให้ลูกสาวตัวเองที่ทรมานจากโรคหอบหืดและขาดโอกาสหลายๆ อย่างที่จะมีชีวิตอย่างเด็กปกติทั่วไปได้ถูกรักษา แต่เมื่อแม่อย่างนากิสะเป็นตำรวจ ศักดิ์ศรีและหน้าที่การงานค้ำขอ จึงไม่อาจขอให้หัตถ์เทวดาช่วยรักษาลูกตัวเองได้ แม้โอกาสนั้นจะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ แค่เพียงเอ่ยปาก

คนดีๆ ที่ฆ่าคนตายอย่างหัตถ์ยมทูต อยากจับให้ได้ ก็จังไม่ลงเพราะความเป็นคนดี
(หรือต่อให้จับลง ก็ไม่มีหลักฐานให้จับอยู่ดี)

คนไม่ดีในสายตาหนีออกจากคุกมาอย่างหัตถ์เทวดา คนนี้จับลง แต่จับไม่ได้

เป็นความสัมพันธ์แรกเริ่มของนางเอกต่อหัตถ์ทั้งสอง คือ ริวซากิ และ อาโออิค่ะ

อาซามิเช่นเป็นตำรวจในเรื่องนี้ถือว่าหน่วยก้านดี แขนขายาว และคล่องแคล่วใช้ได้

ตัวละครสมทบอื่น ๆ ขอบอกกล่าวสั้นๆ เรียงจากซ้ายไปขวา



ซาวามูระ (แสดงโดย Kuranosuke Sasaki ) ตัวร้าย ที่ไม่ค่อยเข้าใจชัดแจ้งนักว่า ร้ายแล้วได้อะไร ดูแล้วไม่เห็นจะคุ้มกับที่พยายามลงทุนลงแรง นักแสดงคนนี้คุ้นกันไหมคะ ต้องคุ้นอยู่แล้วล่ะ เพราะจะเห็นหน้าบ่อยมากในซีรีย์ญี่ปุ่น

ชิฮารุ (แสดงโดย นัตสึกิ ฮาราดะ) แพทย์ชันสูตรศพ เพื่อนของนากิสะ คบหากันอยู่กับซาวามูระ และยังคอยช่วยหลือให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับหัตถ์ยมทูต และหัตถ์เทวดา ถ้ามีโอกาส

มาซาโตะ (แสดงโดย Oshinari Shugo) "นักวิจัยยา" จะมีศัพท์แสงอย่างอื่นเรียกให้เพราะพริ้งกว่านี้หรือเปล่าก็สุดรู้ค่ะ แต่ที่แน่ๆ คือเป็นนักวิจัยพัฒนาตัวยารักษาโรค อะไรทำนองนี้ เป็นคนรักของนากิสะ และคอยดูแลลูกสาวของเธอในตอนที่นากิสะยุ่งเหยิงอยู่กับงานตำรวจ



คุมาคิริ มาซารุ (แสดงโดย ยาโอโทเมะ ฮิคารุ Yaotome Hikaru) เด็กมีปัญหาตามสไตล์ลูกคนรวย แม่ตายจาก พ่อไม่มีเวลาดูแล เพราะมัวแต่หาเงิน คนนี้เห็นหน้าเป็นครั้งแรก ชอบเค้าจังค่ะ เพราะหน้าตาน่ารักเหมือน หลุยส์ สก็อต บ้านเรา เหมือนมากๆ เลย เป็นบทหน้าเครียดๆ ที่ต้องพยายามทำให้ตัวเองรอดจากคดีฆาตกรรม ด้วยการตามฆ่าปิดปาก คานะ นักเรียนหญิงของ อาโออิ ซึ่งบังเอิญได้ยินเหตุการณ์และอาจเป็นพยานชี้ความผิดได้

คานะ (แสดงโดย Haru) นักเรียนหญิง ของ เรียวสุเกะ (หัตถ์ยมทูต) ที่ถูกมาซารุคอยรังควานตามฆ่าปิดปาก

Ryuji Yamamoto แสดงเป็น ตำรวจอาวุโส ที่เคยเป็นตำรวจพี่เลี้ยงให้กับนากิสะเมื่อครั้งเพิ่งเข้ามาเป็นตำรวจใหม่และทำงานร่วมกันมาตลอด

Atsuko Takahata แสดงเป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่เล็งตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยหวังใช้พลังหัตถ์เทวดาของริวซากิเป็นเครื่องมือผลักดันขึ้นสู่อำนาจ

ประธาน คุมาคิริ (แสดงโดย Toshio Shiba) พ่อของมาซารุ เป็นนักธุรกิจที่สนับสนุนเงินทุนผิดกฎหมายให้กับรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข

Kumada Sea แสดงเป็น ลูกสาวขอานากิสะ เป็นโรคหอบหืด จิตใจดี และต่อสู้กับโรคของตัวเองอย่างเข้มแข็ง เรียกริวซากิที่มีหัตถ์เทวดาว่า “คุณพ่อมด”

เรื่องราวที่เป็นไป

เพราะเหตุใด ริวซากิเจ้าของหัตถ์เทวา จึงให้ความสนใจเป็นพิเศษเมื่อรับรู้
การมีอยู่ของหัตถ์ยมทูต อาโออิ

การพบกันของสองเรา

ริวซากิ แหกคุก

เมืองริวโกกุ ที่จมหายไปใต้ผืนน้ำ หลังการสร้างเขื่อนชื่อเดียวกัน “เขื่อนริวโกกุ”

เครื่องรางอย่างเดียวกันของ ริวซากิ และอาโออิ “มังกรพันเกลียวไม้กางเขน”

คนหนึ่งมีหัตถ์ยมทูตแต่หัวใจเทวดา อีกคนหนึ่งมีหัตถ์เทวดาแต่หัวใจยมทูต

มุมมองที่แตกต่าง พลังที่สวนทาง

แต่มีเหมือนกันอยู่อย่าง คือ พยายามเลือกที่จะเป็นนายของมือตัวเอง

ทำไม หัตถ์เทวดาที่เป็นพลังเยียวยารักษา จึงเป็นที่มาของความเดือดร้อนวุ่นวาย

มนุษย์ปั่นป่วนและสำแดงธาตุแท้โลภมาก เห็นแก่ตัว

การมีอยู่ของหัตถ์ยมทูต เพื่อรักษาสมดุลพลังของหัตถ์เทวดาหรือเพื่อลบล้างพลังนั้นให้หมดสิ้นไป

เราต่างเป็นพระเจ้า และถ้าจะอยู่อย่างพระเจ้าที่แท้จริง

ต้องมีทั้งสองอำนาจ ในการพิพากษามนุษย์ให้ “อยู่” หรือ “ตาย”

นั่นหมายถึงเราต้องอยู่ร่วมกัน

เมื่อเราอยู่ร่วมกัน เราจะไม่เป็นไร


แต่

การจะเป็นได้อย่างพระเจ้า

ต้องทิ้งความรู้สึกอย่างมนุษย์ไปหรือ


หรือ

โลกนี้ไม่ควรมีพระเจ้า



พลังวิเศษกับมนุษย์ในยุคปัจจุบัน ดูพล็อตเรื่องแล้วก็ไม่ค่อยจะคลิกกันสักเท่าไร แต่ไม่รู้จะดูอะไร เห็นเรื่องออกมาใหม่ๆ ขอประเดิมด้วยเรื่องใหม่ๆ กับเค้าบ้าง

ที่เรียกร้องความสนใจไม่ใช่เนื้อเรื่อง แต่เป็นการวางตัวนักแสดง ที่ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับความหล่อของทักกี้ เพราะทักกี้ไม่ใช่คนโปรด

อ่านจากที่ไหนๆ ก็เป็นไปในทำนองเดียวกัน การต่อสู้ระหว่างความดีงามและความชั่วร้าย ทักกี้คือฝ่ายชั่วร้าย มีมือดีแต่ไม่ยอมรักษา ทักกี้ชั่วช้าใช้มือแสวงหาผลประโยชน์และอำนาจ เช่นเดียวกับชื่อตอนที่แปลออกมาเป็นไทย

“หัตถ์พระเจ้า หัวใจปิศาจ”

สรุปคือทักกี้เลว

สงสัยจัง หน้าสวยๆ อย่างทักกี้ มาแสดงบทนี้จะเป็นไงหนอ?

ส่วนบทของอาโออิ จะว่าตรงกันข้ามกับบุคลิกของเรียวก็ไม่เชิงนัก เพราะ หน้าตาคล้ำๆ ของเรียว เหมาะแล้วล่ะที่จะเป็นเจ้าของหัตถ์ยมทูต ถึงจะมีหัวใจงามฉาบทองทา ก็ไม่ถือว่าแปลกเพราะเคยเห็นเรียวเล่นมาแล้วทั้งบทคนดีที่น่ารักและคนไม่ดีที่โรคจิต

โดยความรู้สึกแรก สองคนนี้น่าจะเล่นสับบทกัน ให้เรียวเป็นเทวดาใจดำ
และ ทักกี้เป็นยมทูตใจงาม

แต่เมื่อนักแสดงถูกวางให้เป็นตัวละครที่ขัดกับความรู้สึก จึงเป็นความน่าสนใจและขอยลยิน

ชอบตัวนักแสดงคือ เรียว

แต่ชอบบทบาทของริวซากิที่ทักกี้แสดง งานนี้บทดี ทักกี้งาบเอาความเด่นไปกิน
ตามความคาดหมาย

เพราะหญิงชอบชายเลว (อ้าว!)

จริงๆ แล้ว ม่ายช่ายอย่างง้านนนน ( รีบแก้ตัวก่อน)

โดยบุคลิกแล้ว บทของ 2 หนุ่มนี้ไม่ต่างกันมาก ทุกข์เพราะ มือของตัวเองอย่างเดียวกัน

โดดเดี่ยวเพราะไม่มีใครเข้าใจความรู้สึกของคนที่มี “มือวิเศษ” อย่างเดียวกัน

จึง เครียดๆ ขรึมๆ นิ่งๆ คล้ายๆ กัน

แต่ (เป็นธรรมดาที่ต้องมีแต่)

ตามบทเลยค่ะ ทักกี้มีมือรักษา ใครๆ ก็เข้ามารุมเร้าแสวงหาประโยชน์
ต้องผ่านอะไรมามากกว่าเรียว ที่มีมือฆ่า

มีประโยชน์อยู่เหมือนกัน แต่น้อยคนนักจะต้องการ

คิดว่าบทของทักกี้เป็นตัวขับเคลื่อนเรื่องราวมากกว่า
และบุคลิกของริวซากิจะดูเด็ดเดี่ยวแข็งกร้าว ดูเข้มแข็งมากกว่า

ถ้างั้นขอ เปลี่ยนเป็นว่า “หญิงชอบชายแมน” ดีกว่านะ 555

แต่ถ้าได้ดูแล้ว อาจจะคิดไม่เหมือนกันก็ได้

พูดถึงเรียว

เรียวของเรา เจ้าเกิดมาเป็นดาราอาภัพหรืออย่างไร เท่าที่เคยดูเรียวมานะ ไม่ว่าเล่นเรื่องไหนก็รับบทเด่นอยู่หรอก แต่ก็เด่นไม่สุดโต่ง เพราะมีเพื่อนแย่งเด่นไปโด่งกว่าทุกที 1 litre of tear เป็นพระเอกก็จริง แต่ก็เป็นการนำเสนอเรื่องราวความเด่นของเจ้าของลิตรน้ำตาคือนางเอกอายะ Ryusei No Kizuna ก็โดนนิโนะเอาความเด่นในฐานะพี่ชายคนโตแย่งไปกิน Last Friend
ก็โดนเอตะที่รับบททาเคชิ ตัวไม่แมนแต่เอาหัวใจสุดแมนเข้ามาข่ม

มาเรื่องนี้ ทักกี้ก็เอาหน้าสวยๆ มาจิ๊กบทงามๆ ไปอย่างไม่แลเหลียว

แต่ก็ต้องยอมรับว่า ทั้งเรียว และทักกี้ ได้แสดงในบทที่เหมาะแก่กันและกันแล้ว

ชอบบท ริวซากิ ชินจิ เพราะทักกี้เล่นดีด้วยหนึ่ง สองเป็นความคลาดเคลื่อนไปพอสมควรถ้าหากจะมีใครเข้าใจว่าทักกี้เล่นเป็นคนเลว ประเด็นนี้คงเป็นเพราะ

ทักกี้ ไม่ยอมรักษาให้ใครง่ายๆ และฟรีๆ

(แต่บทอยากจะรักษาก็ทำขึ้นมาแบบตามใจข้า ไม่ต้องรอให้เอ็งหรือใครร้องขอ
เท่ล้นจอขึ้นมาเลยทันที )

ด้วยเหตุนี้จะว่าเข้าข่ายคนเลว ก็ไม่เชิงนัก ..

เอ... แต่คิดดูอีกที การเพิกเฉยไม่ดูดำดูดี เห็นคนเดือดร้อนพอช่วยได้แล้วไม่ช่วย
ก็ถือว่าไม่ดีเหมือนกัน

งั้นทักกี้ก็เลว .. ...(อ้าว!)

คือในใจจะไม่ค่อยเห็นว่าเลวนัก ต้องลองดู แล้วตัดสินกันเอาเอง ว่าทักกี้เลวจริงหรือเปล่า เลวมากน้อยแค่ไหน

ความคิดและมุมมองในบางครั้งบางคราวของหัตถ์เทวดาริวซากิ ทำให้นึกถึงหนังสือเรื่อง
The Book Thief จอมโจรหนังสือ ( เขียนโดย มาคัส ซูซัค Markus Zusak )
เป็นหนังสือที่ดีมากสมฐานะของ Best Seller

เป็นเรื่องในเยอรมันช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ความยากแค้น ลำบากของผู้คน การเข่นฆ่ายิว การต่อต้านฮิตเลอร์ และเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัวเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ “ลีเซล เบมิงเกอร์”
ที่เริ่มขโมยหนังสือ ตั้งแต่ยังไม่รู้หนังสือ
และค่อยๆ เติบโตขึ้นมาเป็นเด็กสาวพร้อมๆ กับการเติบโตมาตามฉายาเท่ๆ ของหัวขโมย

“จอมโจรหนังสือ"

เนื้อเรื่องก็มีเสน่ห์อยู่แล้ว ที่ที่ทรงเสน่ห์ยิ่งกว่า คือวิธีการเล่าเรื่อง

ไม่ได้ดำเนินเรื่องไปด้วยการเล่าจาก "ฉัน"
ไม่ได้บรรยายจาก ความคิด หรือจินตนาการของ "ผู้แต่ง" ออกมาตรงๆ เป็นเรื่องราว

แต่เป็นเรื่องเล่าผ่านสายตาของ “ยมทูต” ... ตนหนึ่ง

ที่ไม่ได้มีเอี่ยวใดๆ กับความเป็นไปของเรื่อง
แค่เพียงผู้แต่งเนรมิตขึ้นมาให้เป็นผู้บรรยาย เป็นผู้รู้เห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง
มองผ่านชีวิต และชำแรกเข้าไปในความคิด ความเป็นตัวเป็นตนของมนุษย์ ในฐานะที่ต่างออกไป
เพราะไม่ใช่การมองจากมุมมองของมนุษย์ด้วยกันเอง แต่เป็นยมทูตที่คอยทำงานเก็บวิญญาณมนุษย์ผู้ตาย และเป็นงานที่หนักด้วยนะคะ เพราะอยู่ในช่วงสงคราม และลีเซลก็เป็นเด็กหญิงที่ยมทูตพบเห็นและออกจะ “เอ็นดู” อยู่ไม่น้อย

ดังนั้น ระหว่างวนเวียนทำงานเก็บวิญญาณอยู่แถวนั้น เรื่องราวของลีเซลและรอบๆ ตัวลีเซล
จึงอยู่ในสายตาของคุณยมทูตเสมอ

เวลาอ่านหนังสือเล่มนี้ จินตนาการเกิดขึ้นมาเองโดยไม่ได้ตั้งใจ คือ

ภาพของยมทูตรูปหน้าหล่อ รอยยิ้มเล่ห์ลึก บ่งบอกความฉลาด หลักแหลม ปากซีด ผอมเกร็งแบบเนื้อซีดหุ้มกระดูก ในชุดคลุมสีดำที่โพกตั้งแต่หัวปรกลงมาเห็นใบหน้าแค่ครึ่งเดียว ถือคทาสวมเครื่องประดับที่เป็นสัญลักษณ์แห่งความตาย เคลื่อนคล้อย..ล่องลอย ..เอื่อยๆ อยู่ท่ามกลางความคุกรุ่นของไฟสงครามเพื่อทำหน้าที่ของทูตเก็บวิญญาณ ยามพักเหนื่อย หรือรอคอยให้ดวงจิตของมนุษย์คนใดสิ้นสุด ก็จะนั่งเอกเขนกในทวงท่าที่สวยงาม หย่อนใจอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพัง หรือนั่งนิ่งอยู่ตามกิ่งไม้ ขอบรั้วทางเดิน ริมหน้าต่าง บนยอดหลังคา เพื่อมองดูเหตุการณ์ความเป็นไปของมนุษย์ราวกับว่ามันเป็นความบันเทิงจากงานอดิเรกอย่างหนึ่ง ในสายตาของยมทูตที่ไร้อารมณ์ความรู้สึก พวกมนุษย์ช่างน่าขัน น่าสมเพช และบางครั้ง ก็น่าเห็นใจ

เป็นมนต์เสน่ห์ของจินตนาการที่ทำให้หลงรักหนังสือเรื่องนี้

แล้วเล่ามาตั้งยาวนี่เกี่ยวอะไรกับทักกี้ ใน Orthros No Inu ?

ก็เพราะจะบอกว่า ความคิดและมุมมองของทักกี้ ที่มองตัวเองในฐานะที่ต่างออกไปจากมนุษย์ธรรมดา เพราะมีพลังวิเศษจึงไม่ต่างอะไรกับการเป็นพระเจ้า และนั่นทำให้มองเห็นตัวตนของมนุษย์ที่แท้ลึกลงไปอีกแง่หนึ่ง ความโลภ ความเห็นแก่ตัว ความเอารัดเอาเปรียบ ที่ใครๆ ต่างเข้ามารุมเร้าเอาผลประโยชน์ในการรักษาจากทักกี้ ในขณะเดียวกันก็เห็นถึงความซื่อสัตย์ ความรัก ความเสียสละ จากคนที่ไม่เรียกร้องต้องการพลัง และหากมีโอกาสจะได้รับ ก็ยินดีสละมันเพื่อคนอื่น

เป็นส่วนเสี้ยวเล็กๆ ที่คล้ายคลึงกับ ยมทูตผู้เล่าในจอมโจรหนังสือ

ที่มองเห็นความโหดร้ายในตัวของมนุษย์ การเข่นฆ่า ทำลายล้างแม้แต่เผ่าพันธุ์ของมนุษย์ด้วยกันเอง มนุษย์พร้อมจะชิงชัง รังเกียจ แก่งแย่ง เห็นแก่ตัว และเอาตัวรอด!

แต่..ในตัวมนุษย์อีกเช่นกัน ที่มีความลึกล้ำของมิตรภาพ ความรัก ความเมตตา ความเสียสละ
เกินกว่าจะประมาณได้

ในสายตาของยมทูต มนุษย์จึงเป็นเผ่าพันธุ์ที่ “ประหลาด” และ “ความเป็นมนุษย์” นี่เอง
ที่ทำให้ยมทูต จบเรื่องเล่าจอมโจรหนังสือด้วยอารมณ์ขันร้ายลึก

เป็นความร้ายลึกเหนือกว่าอารมณ์ขันใดๆ ที่เคยใช้ในการบอกเล่าเรื่องราวมาตลอดทั้งเล่ม

ด้วยการยอมรับกับตัวเองอย่างซื่อๆ ว่า

“ข้าถูกมนุษย์หลอกหลอน”

เป็นหนังสือขโมยน้ำตา ทว่า..ปิดท้ายด้วยการสร้างรอยยิ้มให้จนแก้มปริ

เล็กน้อยเพิ่มเติมจาก SUIKAs @ popcornfor2 ที่ต้องมีใจรักมากมายถึงให้ข้อมูลไว้แน่นขนัดและทำรูปภาพหรูหราสวยงามขนาดนี้ ถ้าอยากตามไปดู ใช้ลิงค์นี้ //forums2.popcornfor2.com/index.php?showtopic=15530


ตามตำนานกรีกเล่าว่า Orthros หรือออร์ธรอสเป็นสุนัขสองหัวที่มีหางเป็นงู เป็นพี่น้องกับเคลเบรอสและคิไมร่า เกิดจากเทพ Typhon กับ Echidna
ความหมายตามภาษากรีกของ Orthros คือ "morning twilight หรือแสงอรุณ"


ภาพและข้อมูลจาก

//series-8.blogspot.com/2009/09/orthros-no-inu.html

และไหน ๆ ก็ไหนๆ แล้ว ขอช่วยโฆษณาหนังสือดีๆ แบบมิมีคิดตังค์



จอมโจรหนังสือ THE BOOK THIEF
Author: มาร์กัส ซูซัค/ บีจา แปล
Publisher: เพิร์ล พับลิ่งชิ่ง /2551
Price: 430 BTH







 

Create Date : 10 ธันวาคม 2552    
Last Update : 30 พฤศจิกายน 2553 0:40:36 น.
Counter : 7121 Pageviews.  

Last Friend เพื่อนกันตลอดไป

เพื่อนสุดท้ายของชีวิต





Last friends ซีรีย์ที่เล่าเรื่องได้กระชากใจคนดูอย่างที่สุด และยังมีการผลิกคาแรคเตอร์ของดาราอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน และก็ยังรวมดาราวัยรุ่นแถวหน้าของญี่ปุ่นไว้ถึง 5 คน และยังได้ Utada มาร้องเพลงประกอบละครให้อีก แบบนี้ครบเครื่องสุดๆ

Last friend เล่าถึง มิชิรุพนักงานร้านเสริมสวยที่ครอบครัวไม่ค่อยมีความสุขเท่าไหร่ จนกระทั่งเธอได้พบกับ โซสุเกะข้าราชการหนุ่มที่ดูภายนอกแล้วเป็นคนอ่อนโยน และรัก มิชิรุ เป็นอย่างมาก โซสุเกะจึงชวนมิชิรุ มาอยู่ด้วยกันในฐานะคนรัก มิชิรุดีใจเป็นอย่างมาก ถึงขนาดไปซื้อเครื่องใช้เป็นคู่มาใช้ด้วยกัน ระหว่างทางกลับ มิชิรุ ได้ พบกับ รุกะ ทอมบอยเพื่อนสนิทสมัย ม .ปลาย

รุกะดีใจอย่างยิ่งเพราะแอบรัก มิชิรุตลอดมา เลยขอเบอร์ติดต่อกันไว้ แล้วก็เลย ชวน มิชิรุ มาอยู่บ้านเช่ากับเพื่อนๆด้วยกัน แต่มิชิรุ ก็ปฎิเสธไป แต่แล้วไม่นานเมื่อ มิชิรุ อยู่กับ โซสุเกะ ก็ได้พบกับเรื่องที่ไม่คาดฝัน เมื่อโซสุเกะกลับกลายเป็นคนขี้หึงอย่างรุนแรงเข้าขั้นโรคจิตเลยทีเดียว ถึงขนาดใช้กำลังกับมิชิรุอย่างไร้เยื่อใย

มิชิรุ ซึ่งไม่เหลือใครแล้ว ยังนึกขึ้นได้ว่ายังมีรุกะอยู่จึงไปหารุกะ แวบแรกที่รุกะเห็น มิชิรุ รุกะก็สาบานกับตัวเองว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นแม้ว่าต้องแลกด้วยชีวิต ก็จะต้องปกป้องมิชิรุให้ได้......


เรื่องย่อในที่นี้ ไม่ทราบว่าต้นฉบับมาจากแหล่งใด เพราะทั้ง www.theloverss.com และ www.r-u-indy.com แปะเรื่องย่อนี้

พอได้อ่านเรื่องย่อแล้วก็จินตนาการเอาเองว่า เรื่องนี้จะต้องประกอบไปด้วยความเครียด ความรุนแรง ความขมขื่นของชีวิต ปกติละครรักรันทดของชีวิตชายหญิงที่เป็นพระเอกนางเอกโดยปกติก็เครียดพออยู่แล้ว แต่ใน Last Friend บ่งบอกได้ว่าพระเอกน่าจะเป็นทอม

โห ... แค่คิดก็เครียดแล้ว

ที่กล่าวมาเป็นความรู้สึกที่มีต่อ Last Friend ที่เห็นชื่อเรื่องผ่านสายตาอยู่บ่อยๆ เวลาอ่าน review หรือ preview ละครในอินเตอร์เน็ตเพื่อเลือกหาละครมาดู จึงได้อ่านเรื่องย่อคล้ายกันเดิมๆ อยู่หลายครั้ง และทุกครั้งก็ขอผ่าน แม้ว่าจะมีชื่อของ จูริ อุเอโนะ น้องหนูโนดาเมะคนโปรดเป็นแรงแม่เหล็กดึงดูดก็เถอะ

แต่ก็ด้วยเหตุผลเดียวกัน ที่เห็นคนพูดถึง Last Friend ไม่น้อย ซึ่งในจำนวนไม่น้อยที่ว่าก็มักจะมีการพูดถึงอารมณ์ของละครด้วยความรู้สึกบางอย่าง ที่น่าสนใจ รวมถึงเสียงชื่นชมนักแสดงที่พลิกบทบาทมาสวมวิญญาณตัวละครได้อย่างสมฐานะของการเป็น “นักแสดง” โดยเฉพาะเด็กสาวน่ารักอย่างน้องหนูโนดาเมะ ที่จะมาเล่นเป็นทอมรุกะ

ชื่อของ จูริ อุเอโนะ จึงเป็นแรงแม่เหล็กที่ดึงแรงยิ่งขึ้น
แต่ละครที่พระเอกเป็นทอม .... จะดึงจะดูดยังไง เอาช้างมาฉุดก็ไม่ไป เพราะงานนี้ท่าจะ Happy Ending ยาก!

จึงตั้งหน้าตั้งตา ‘เมิน’ Last Friend ต่อไป อย่างไม่แยแส

ทว่า จากการสั่งสมประสบการณ์ในการดูละครญี่ปุ่นนานเข้า เชื่อได้ว่าน่าจะมีอะไรดีๆ อยู่พอสมควร ดังที่เห็นสิ่งดีๆ เสมอในละครญี่ปุ่นแต่ละเรื่อง หรือหากไม่มีสาระอะไรมากมายก็จะมีความสนุก หรือถ้าไม่มีอะไรสนุก ก็ยังคงเป็นเรื่องที่ดูได้เรื่อยๆ ไม่เสียหายอะไรให้กับความเบื่อหน่าย
และเมื่ออ่านพบคำวิจารณ์ประโยคหนึ่งว่า

เรื่องนี้มันยิ่งกว่า The smile has left your eye เรื่องราวหลอกหลอนที่ยกให้เป็นผลงานชิ้นเอกของทาคุยะ คิมูระ

เฮ้ย ! น้ำเสียงแสดงอาการไม่เชื่อถือสักนิด

มันเฉียบขนาดนั้นเลยหรือ กระชากใจปานนั้นเชียว

The smile น่ะนะ มัน เป็นอาการใจหาย ใจแห้ง ใจเหี่ยว จนแม้อยากร้องไห้ก็บีบน้ำตาไม่ออก (ให้เพื่อนยืมไปปดู มันบอกว่าเป็นคืนที่ถูกละครหลอนจนนอนไม่หลับ)

Last Friend คงไม่ขนาดนั้นม้างงง

ถึงจะไม่ค่อยเชื่อ แต่ประโยค “ยิ่งกว่า the smile ฯ “ นี่มันดึงความสนใจอย่างแรง

เอาวะ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เอาเลย .... ลุย



ด้วยเหตุดังนั้น จึงมีเรื่องย่อ ฉบับ ‘ฉันเล่าเอง’ ดังนี้ว่า

หญิงเป็นเพื่อนทอม และทอมรักหญิง

หญิงรักชาย ชายก็รักหญิง แต่ชายรักร้าย รักแบบทุบตีทำร้ายหญิง

ทอมรักหญิงจึงปกป้องหญิง

เกย์เป็นเพื่อนทอม และกลายเป็นเพื่อนหญิง

เกย์รักทอม แม้ทอมจะรักหญิง

เกย์จึงดูแลหญิง ที่เป็นดั่งหัวใจของทอม

ทอมรักหญิงเกินเพื่อน แต่หญิงรักทอมอย่างเพื่อน

ทอมจึงเป็นได้แค่เพื่อนกับหญิง

ทอมรักเกย์อย่างเพื่อน แต่เกย์รักทอมเกินเพื่อน

และยินดีจะรักด้วยหัวใจโดยรักษาความเป็นเพื่อนไว้ให้คงอยู่ตลอดไป

หญิง ชาย ทอม เกย์ ล้วนแล้วแต่มีเพื่อน และมีรัก

Last Friend จึงน่าสนใจที่ว่า

พวกเขารักกันแบบไหน ?

และอยู่ร่วมกันอย่างไร?

เป็นเพื่อน เป็นคนรัก เป็นสามี เป็นภรรยา

หรือไม่ได้เป็นอะไรเลย

ก็แค่ ..

เป็นคนที่หัวใจมีรัก




หลังจากได้ดูแล้ว ก็มีความเห็นฉบับ “ฉันคิดเอง” คือ

มันคนละแบบกับ The Smile นะคะ
ถามว่าเครียดไหม ก็เครียดอยู่ แต่ไม่ได้เครียดขนาดนั้น
ดูๆ ไป ดูเรื่อยๆ ดูบ้างพักบ้างจะได้ไม่ต้องตึงเครียดจนเกินไปนัก
เรียกว่าเป็นละคร “น้ำดี” เรื่องหนึ่งเลยทีเดียว
เพียงแต่มีความแปลกออกไปที่บุคลิกของตัวละคร
ที่มีลักษณะต่างออกไป
ในการเป็นบุคคลเพศที่หนึ่ง สอง สาม และ สี่
แต่จะต่างกันยังไงก็มีหัวใจอย่างเดียวกัน
นั่นคือ การเป็นมนุษย์ที่มีทั้ง รัก โลภ โกรธ หลง
ใครจะเป็นคนดี คนเลว รักร้าย รุนแรง
หรือรักพิสุทธิ์ด้วยใจใสสะอาดนั้น
ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการผิดปกติทางเพศ
แต่ขึ้นอยู่กับความผิดปกติทางจิตใจของใครแต่ละบุคคลเอง
และแน่นอน คนผิดปกติทางเพศ ไม่ได้หมายความว่าจะต้องผิดปกติทางใจ
จะเพศไหน ๆ ก็มีชิวิตจิตใจอย่างมนุษย์คนหนึ่ง
ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิง ผู้ชาย หรือไม่ใช่ทั้งผู้หญิง และผู้ชาย
จงมองพวกเขาเหล่านั้นด้วยความเท่าเทียมทางความคิดคือ
“เป็นคนเหมือนกัน”

และจงปฏิบัติต่อพวกเขาเหล่านั้นด้วยการเคารพในสิทธิความเป็นคนที่เกิดมาเป็นมนุษย์อย่างเดียวกัน

อาจกล่าวได้ว่า โลกอยู่ได้ด้วยความรัก ...และโลกของละครก็ไม่เคยขาดความรัก
แม้ว่าในละครญี่ปุ่น ...พระเอกนางเอกไม่ได้รักและลงเอยกันเสมอไป
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าละครนั้นจะมองหาความรักไม่ได้เลยจริงๆ
ความรักระหว่างชายหญิง ความรักในสายเลือด ความรักในบุพการี ความรักในเพื่อนพี่น้อง หรือแม้แต่ความรักในการเป็นเพื่อนมนุษย์ มันมีอยู่
ต่อให้ไม่เห็นกันโต้งๆ ก็แฝงอยู่ล่ะนะ
ใน Last Friend ก็เช่นกัน ... อีกหนึ่งแง่มุมความรัก ที่ความหมายไม่ได้แต่งต่างจากการนิยามความรักโดยทั่วไป
ความรักคือการให้ และความรักคือสิ่งสวยงามที่กลั่นออกมาจากความบริสุทธิ์ใจ

นั่นแหละคะ Last Friend ในมุมมองตามแบบฉบับ ฉันมองเอง

อยากกล่าวถึงนักแสดง

“ทอม” คือ คิชิโมโตะ รุกะ แสดงโดย อุเอโนะ จูริ ปลาบปลื้มกันมาแล้วจากเรื่อง โนดาเมะ และมาโปรดปรานกันอีกจากเรื่อง Engine ในบทของ มิซาเอะ เด็กสาวกำพร้าเก็บกดที่เป็นเหมือนพี่สาวใหญ่ภายในบ้านเด็กกำพร้า จนลืมให้ความสนใจกับโขะยูกิที่แสดงเป็นนางเอกไปเลย ตอนที่พระเอก จิโร่ ( รับบทโดยนักแสดงรุ่นใหญ่ ทาคุยะ คิมูระ ที่คงจะแก่กว่ากันมาก) สวมกอดและจูบบนเรือนผมของจูริซึ่งแม้จะเป็นการแสดงความรู้สึกอย่างพี่ชายกับน้องสาวกำพร้าในบ้านอุปถัมภ์ ก็ถือเป็นฉากที่ประทับใจมาก ข่มฉากสวีทของพระเอกนางเอกในตอนจบของเรื่องอย่างราบคาบ ใน Rainbow Song ที่เล่นกับพระเอกคนโปรด อิชิฮาระ ฮายาโตะ ก็ชอบจูริในบทสาวห้าว ผู้เก็บกดอาการเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อไว้ภายในใจ



“เกย์” คือ มิซึขิม่า ทาเคชิ แสดงโดย นากายะมะ เอตะ เรื่องแรกที่ดูผลงานของเอตะ คือบทของ ริว นักดนตรีสีไวโอลิน ที่ถือคติ “เกิดมาเพื่อร็อคแต่ขอตายเพื่อคลาสสิก” ซึ่งเป็นอีกหนึ่งคนในเรื่องโนดาเมะที่ชอบมาก ได้เห็นกันอีกครั้งกับเรื่อง วัวสาวแก่เคี้ยวหญ้าหนุ่มอ่อน Supuri รับบทซาโตชิหนุ่มหล่อที่นางเอก working woman หลงรักในความมาดแมนมากความสามารถและมั่นใจในตัวเองสูง แต่เบื้องหลังก็เครียดขรึม และเป็นทุกข์เพราะความเป็นหนุ่มช้ำรักที่เป็นชู้รักกับภรรยาชาวบ้าน เรื่องนั้นก็เล่นดี ไม่มีอะไรให้ติ แม้สายตาจะไม่ได้เห็นเค้าเป็นคนหล่ออย่างบทบาทในเรื่องก็เถอะ

มาเห็นการแสดงกันอีกครั้งใน Last Friend นี่เอง ก็เช่นกัน เล่นดี และไม่มีอะไรจะกล้าไปติ...นอกจากจะบอกว่า เออ...เล่นแบบนี้ก็ได้ด้วยแฮะ สลัดภาพริว และภาพของซาโตชิอย่างไม่เหลือเงา และสวมวิญญาณทาเคชิที่มีหัวใจรักให้รุกะ ทาเคชิทำงานเป็นบาร์เทนเดอร์ร้านเครื่องดื่ม และเป็นช่างแต่งหน้าด้วยค่ะ ตัวละครในซี่รีย์ญี่ปุ่นนี้ได้ใจอย่างหนึ่งคือความหลากหลายในอาชีพ



“เกย์” คือคำที่เอามาใช้เรียกแทนทาเคชิให้นึกถึงบทบาทที่น่าสนใจเท่านั้นเอง เมื่อทาเคชิมีความรักต่อรุกะที่เป็นทอม เพราะจริงๆ แล้วก็ไม่รู้เหมือนกันว่า คำ “เกย์” นี่หมายถึงลักษณะอย่างไรกันบ้าง เพียงแต่ในเรื่อง ทาเคชิ จะกลัวเรือนร่างผู้หญิง จึงบอกไม่ได้อย่างแน่ชัดจริงๆ ว่า ทาเคชิเป็นเกย์ หรือเปล่า ?

“หญิง” คือ ไอดะ มิชิรุ รับบทโดย นางาซาว่า มาซามิ (นางเอก Operation love) มิชิรุเป็นหญิงสาวที่ดูบอบบาง อ่อนแอ และมีชีวิตก็ไม่มีความสุขนัก เพราะมีแม่ที่คอยแต่รีดไถ เมาเหล้า เมาผู้ชาย จึงไม่ได้สนใจไยดีต่อชีวิตของลูกสาวสักเท่าไร เพื่อให้พ้นไปจากชีวิตห่วยๆ โซสุเกะจึงเป็นเจ้าชายขี่ม้าขาว ที่จะนำพามิชิรุไปสู่ปราสาทสวยงามและครองรักกันอย่างมีความสุขตราบชั่วนิรันดร์ แต่มิชิรุก็ฝันสลาย ต้องบอบช้ำทั้งใจและกาย เพราะเข้าใจความโดดเดี่ยวอ้างว้างของโซสุเกะ เพราะรู้ว่าโซสุเกะรักและเจ็บปวดทุกครั้งที่ทุบตีทำร้าย มิชิรุที่รักโซสุเกะมากเช่นกันจึงไม่อยากทิ้งโซสุเกะไป แต่ถึงมิชิรุจะมากแค่ไหน การทำร้ายที่รุนแรง และมือหนักขึ้นเรื่อยๆ ก็ทำให้มิชิรุกลัวโซสุเกะมากด้วยเช่นกัน และมันเกินกว่าจะทานทน

มีความเข้าใจว่า มาซามิ น่าจะเป็นนักแสดงยอดนิยมที่มีชื่อเสียงมากพอสมควร สังเกตได้จากผลงานมากมายที่พบเห็นได้ง่ายในท้องตลาด ...แต่ก็เคยดูอยู่ไม่กี่เรื่อง คือ Yasashii Jikan, Operation Love และ Dragon Sakura และแต่ละเรื่อง ชื่อของมาซามิไม่ใช่ประเด็นในการเลือก เพราะถึงยังไงเธอก็ไม่ใช่นางเอกที่ชอบ แต่ก็ไม่ใช่ไม่ชอบ คือเฉยๆ ถ้าเป็นมาซามิ ก็ไม่เป็นไร ดูเรื่องนั้นๆ ได้อย่างไม่เกี่ยงงอน

ไม่รู้คนอื่นเค้ามีกันบ้างหรือเปล่านะคะ เจ้าอาการไม่ถูกชะตากับดาราเนี่ย
เรามีนะ ดาราไทยก็มี เกาหลี ก็มี (ไต้หวันดูน้อย เลยยังไม่เจอ) มีทั้งดาราหญิงทั้งดาราชาย แบบที่ว่า ถ้าเป็นคนนี้เล่น ขอผ่านแบบไม่ต้องคิด 555
ต้องเรียกว่าติดบัญชีดำค่ะ แต่ของญี่ปุ่น ชายยังไม่มี แต่หญิงมี 1 คนในบัญชีดำมี 1 คนในบัญชีเทา

บัญชีเทา คือ ถึงจะไม่ค่อยชอบ แต่ขอพิจารณาบทบาทและเนื้อเรื่อง เรื่องนั้นๆ ก่อน ด้วย



“ชาย” คือ โออิคิวะ โซสุเกะ แสดงโดย นิชิคิโด เรียว ข้าราชการหนุ่มซึ่งทำงานเกี่ยวกับการช่วยเหลือเด็กและครอบครัวในสังคม ดูสุภาพใจดี มีฐานะ ใครจะคาดคิดว่าภายใต้เปลือกที่ดูดีทุกอย่าง ลึกลงไปมีความโดดเดี่ยวอ้างว้าง และโหยหารักอย่างลึกซึ้งรุนแรงและนั่นกลายเป็นความหึงหวงอย่างรุนแรงที่ก่อให้เกิดการลงมือทำร้ายอย่างควบคุมไม่ได้

แม้ใครๆ ในเรื่องจะบอกว่า ความรู้สึกของโซสุเกะไม่ใช่ความรัก เดี๊ยนก็ขอค้าน เพราะดูยังไงๆ โซสุเกะก็รักมิชิรุ

ผมชอบรอยยิ้มของคุณมาก แต่ผมไม่รู้วิธีที่จะสร้างมัน
ผมขอโทษ ที่ผมไม่รู้วิธีที่จะทำให้คุณมีความสุข


เป็นถ้อยคำของโซวสุเกะ ถึงมิชิรุที่ทำให้สะท้านใจไม่น้อย และเสียน้ำตาเพื่อไอ้โรคจิตอย่างโซสุเกะอย่างอดไม่ได้ เพราะตลอดทั้งเรื่องก็ไม่ได้รู้สึกเกลียดโซสุเกะเลยซักขณะจิต

แต่กลัว ว ว

เพราะแกโผล่มาทีไร เป็นอันต้องจิตใจหวั่นไหว จะลงมือลงไม้หรือเกิดอะไรขึ้นกับใครหรือเปล่า

ถึงจะดูน่ากลัว แต่โซสุเกะก็ไม่ทำให้ความคิดของเดี๊ยนผิดเพี้ยนไปให้เสียอารมณ์ เมื่อโซสุเกะได้แสดงถึงความรักที่มีต่อมิชิรุให้เห็นเป็นที่ประจักษ์

ขอบใจนะจ๊ะโซสุเกะ

ฟันธงไม่ได้จริงๆ ว่า เรียวเล่นบทนี้ได้ดีจริงๆ หรือเปล่า เพราะโดยหน้าตาและบุคลิกแล้ว มองว่านั่นคือเรียวเลยค่ะ หน้าตาเครียดๆ คล้ำๆ ของเรียวเหมาะกับบทขรึมๆ เศร้าๆ และมีความโหดนิ่งๆ อันยะเยือกเย็น ทรงผมของเรียวที่ผมหน้าตกลงมาหน้าผากใกล้ขอบตา กล้องจะถ่ายแบบให้เงาคอยตกลงบริเวณดวงตา....ซึ่งเมื่อดวงตาของเรียวลางเลือนประกอบกับหน้าหม่นๆ และปากคล้ำ ..ๆ ของเรียว

ดูจิตมากเลยค่ะเรียวขา...


นอกจากนี้ ยังมีเพื่อนสาวที่พักอาศัยในบ้านเช่าเดียวกัน

เธอคือ ทาคิกาวะ เอริ ที่รับบทโดย มิซึคาว่า อาซามิ หากจะมีบางคนเรียกเธอว่าเป็น “เจ้าแม่ซีรีย์” ก็คงจะไม่เป็นฉายาที่โอเวอร์เกินไปนัก เพราะแสดงอยู่หลายเรื่อง เห็นหน้ากันเป็นอันรู้สึกคุ้นเคย เอริเป็นเพื่อนกันกับทาเคชิ และเป็นเพื่อนโฮมเมทกับรุกะ และเป็นเพื่อนกับโอกุรินรุ่นพี่ในที่ทำงาน เอริเป็นคนชักนำให้เพื่อนแต่ละคนเข้ามาอยู่ร่วมกันในบ้าน ต่อมาเอริก็กลายเป็นเพื่อนกับมิชิรุที่เป็นเพื่อนของรุกะด้วย และมิชิรุก็เข้ามาอาศัยอยู่ในบ้านเช่าหลังเดียวกัน
ปกติก็ชอบอาซามิในทุกบทบาทที่ร่วมแสดง แต่บทของเอิ แต่ในเรื่องนี้ชอบเป็นพิเศษกว่าเรื่องอื่น เพราะเธอสวย ในเครื่องแบบของแอร์โฮสเตส และในยามแต่งกายนอกเครื่องแบบก็สวมชุดกระโปรงในสไตล์ที่สวยคลาสสิกดี และบทของเพื่อนสาวผู้มีนิสัยเปิดเผย สดใสร่าเริงที่อาซามิได้รับก็ยิ่งทำให้ดูน่ารักยิ่งขึ้น

บางฉากบางตอนเธอก็แต่งกายออกมาในแบบชุดไทยเสื้อแขนกระบอกเกล้าผมและห่มสไบเฉียงพาดบ่า คล้ายกับชุดไทยของแอร์โฮสเตสสายการบินหนึ่งของไทย ...กิ๊บเก๋ยูเรก้ามากค่ะอาซามิจัง
ครบแล้วค่ะ นักแสดง 5 คนสำคัญที่ว่ากันว่า

“รวมดาราวัยรุ่นแถวหน้าของญี่ปุ่นไว้ถึง 5 คน”

แต่ในความเป็น Last Friend ยังมีอีก 1 friend เป็นชายหนุ่มอีกคนคือ

โอกุระ โทโมฮิโกะ หรือ โอกุริน แสดงโดย ยามาซากิ ชิเกโนริ เป็นเพื่อนรุ่นพี่ที่ทำงานในสายการบินเดียวกันกับเอริ ถูกภรรยานอกใจ จึงต้องมาอาศัยบ้านเช่าเดียวกันกับเอริ รุกะ ทาเคชิ และมิชิรุ กุ๊กกิ๊กกันอยู่กับเอริ แต่ก็ยังตัดความสัมพันธ์ไม่ขาดกับภรรยา แต่เอริก็ทำตัวเป็นเพื่อนที่ดีและไม่เรียกร้องอะไร โอกุรินเป็นคนต๊องๆ ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง อาจจะบทบาทน้อยกว่าคนอื่นๆ แต่ก็ช่วยเพิ่มบรรยากาศดีๆ ให้กับบ้านที่อยู่ร่วมกัน



ละครสอนคนได้นะคะ ใครที่รังเกียจ ทอม ดี้ เกย์ ตุ๊ด กระเทย ควรจะหา LAST FRIEND มาดูไว้บ้าง

เผื่อจะเข้าใจหัวอกของคนเหล่านี้มากขึ้น

ในฐานะที่มีเพื่อนสนิททั้งเกย์และกระเทย ที่มีความเป็นสุภาพบุรุษ Gentle man มากยิ่งกว่าจะหาได้ในผู้ชายแท้ๆ บางคน ที่รู้จัก ต้องขอบอกว่า ถ้าเลือกได้ไม่มีใครอยากถูกมองเป็นความผิดแผกแปลกออกไปหรอก นึกถึงความรู้สึกของพ่อแม่ ญาติพี่น้อง และสายตาจากผู้คนในสังคมที่ยังมองเป็น “ความผิดปกติ” และปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไม่ปกติดูสิคะ

ทางเลือกมีไม่มากนัก คือ

1. พยายามแอ๊บหญิงหรือเก๊กแมนต่อไปจนกว่าชิวิตจะหาไม่ เพราะแคร์ความรู้สึกของผู้คนใกล้ชิดเหล่านั้น และแคร์สายตาคนอื่นที่ไม่ยอมรับ พวกเขาเหล่านั้นจะได้ไม่เป็นทุกข์

หรือ

2. เป็นตัวของตัวเอง และจงอย่าได้แคร์

เมื่อคนเหล่านี้มีความรัก จะรู้สึกต่อตัวเองว่าไม่มีทางลงเอยด้วยการมีชีวิตคู่ที่สุขสมหวัง
ความรักเป็นเพียงความฝันชั่วครั้งคราว ...มันก็แค่ฝัน ..แค่นั้น
ในบางช่วงเวลาที่มีคนรักและห่วงใย บางทีก็ถูกมองว่าซื้อหามาได้ด้วยเงิน
เวลาคบเพื่อนผู้หญิง ก็ถูกมองว่าพยายามเก๊กแมนกลบเกลื่อน
เวลาคบเพื่อนผู้ชาย ก็ถูกมองว่าคอยเฝ้ามองเพราะจ้องจะงาบ

เท่านี้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว ..สำหรับความรู้สึกที่ชายไม่จริง หญิงไม่แท้อาจจะถูกผูกมัดตัวเองไว้กับใจ

ในฐานะการเป็นคนร่วมสังคมของคนอย่างเราๆ อย่าได้เอาสายตา เอาความคิดใด ไปกระทำซ้ำเติมอีกเลย

จงนับถือในความแตกต่าง และ เคารพในความหลากหลาย



เพลงประกอบละคร ที่ขับร้องโดย Utada

Prisoner of love

ชอบฟังเพลงนี้ตั้งแต่มีคนใช้ ยามะพี และเคียวโกะ จากเรื่อง Buzzer Beat เป็น MV พอมาดู Last Friend ถึงได้รู้ว่าเป็นเพลงประกอบเรื่องนี้
ไม่รู้คำแปล แต่จังหวะท่วงทำนอง เข้ากับอารมณ์เนื้อหาของละครดีมากๆ


ภาพและข้อมูลจาก

//www.r-u-indy.com/colum/Japseries/Last%20Friend.html
//www.oknation.net/blog/print.php?id=281148
//www.theloverss.com
//topicstock.pantip.com/chalermthai/topicstock/2008/06/A6699080/A6699080.html








 

Create Date : 04 ธันวาคม 2552    
Last Update : 7 ตุลาคม 2554 12:00:26 น.
Counter : 10090 Pageviews.  

East of Eden - แด่..พี่ชายที่แสนดี อีดงซอล



เรื่องย่อ East of Eden ตระกูลรักหักเหลี่ยมแค้น
ที่เก็บเอามาจากเพียงแค่ส่วนเล็กน้อยจาก JKdramas คือว่ายังมีย่อไว้ยาวกว่านี้อีก –> ในลิ้งค์นะคะ(//www.jkdramas.com/kdramas/09/EastOfEden/index.htm)

ในปี 1961 เป็นยุคที่ผู้มีอำนาจทางการเงินเป็นใหญ่จนเกิดความไม่เท่าเทียมระหว่างคนรวยและคนจน ชินแทฮวาน เป็นลูกเขยบริษัทแทซุงกรุ๊ปเขาได้รับมอบหมายให้มาดูแลกิจการเหมืองแร่ในเมืองฮวานชิ จังหวัดคังวอนโด เขาคิดว่าตนเองมีอำนาจทางการเงินและมีความทะเยอทะยานที่จะทำให้ตนเองยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ในทางกลับกัน อีกีชอล และ ยางชุนฮี ภรรยาของเขา เป็นครอบครัวยากจนครอบครัวหนึ่ง อีกีชอล เป็นกรรมกรเหมืองแร่ของชินแทฮวาน ด้วยความที่เหล่าคนงานเหมืองแร่มักถูกเอาเปรียบจากนายทุนอย่างชินแทฮวาน ทำให้ อีกีชอลชายที่มีความเป็นผู้นำและได้รับความเคารพจากคนในเหมือง พากันรวมตัวกันกับคนงานหาทางเรียกร้องสิ่งที่ถูกต้องจากนายทุนที่เห็นแก่ตัว

อีกีชอล มีลูกชายชื่อ อีดงชอล วัย 5 ปี ซึ่งเป็นเด็กที่รักพ่อของเขามาก ยางชุนฮี กำลังตั้งครรภ์เตรียมให้กำเนิดลูกให้กับ อีกีชอล แม้ว่าเธอจะกำลังตั้งครรภ์แต่ก็ทำงานด้วยความตรากตรำและมีน้องสาว ยางอ๊อกฮี เคยช่วยเหลือเธอเสมอ ในอีกด้านหนึ่ง จุงจา หญิงสาวผู้เป็นรักแรกของ อีกีชอล เป็นเจ้าของร้านอาหารเล็กๆ แห่งหนึ่ง เธอมักจะคอยดูแล อีกีชอล อยู่เสมอจน ชุนฮี สามารถรับรู้ได้ว่า จุงจา ยังมีใจให้กับ อีกีชอล เสมอมา

ชินแทฮวาน มี โอยุนฮี เป็นภรรยา เธอเป็นลูกสาวประธานโอแห่งแทซุงกรุ๊ปซึ่งกำลังตั้งครรภ์ ด้านมืดของ ชินแทฮวาน อีกด้านคือ เขามีความสัมพันธ์กับ ยูมิเอ นางพยาบาลประจำโรงพยาบาลซึ่งกำลังตั้งครรภ์อยู่ด้วยเช่นกัน เพราะความทะเยอทะยานของตนเองที่เกรงว่าสักวันหนึ่ง ยูมิเอ จะต้องเปิดเผยความสัมพันธ์ลับนี้ทำให้ ชินแทฮวาน ถึงกับจ้างให้สมุนไปลักพาตัว ยูมิเอ แล้วนำเธอไปผ่าท้องเพื่อนำเด็กออกมาและฆ่าทิ้ง ทำให้ ยูมิเอ มีความแค้นฝังใจที่ ชินแทฮวาน ที่พรากลูกของเธอไป ทั้งที่เด็กเป็นสายเลือดแท้ๆ ของชินแทฮวานเองด้วย

ชะตาลิขิตให้ ยางชุนฮี และ โอยุนฮี คลอดลูกเป็นผู้ชายในวันเดียวกัน ยางชุนฮี ตั้งชื่อลูกชายว่า อีดงอุค ในขณะที่ โอยุนฮี ตั้งชื่อลูกว่า ชินมยองฮุน ทางด้าน อีกีชอล และ อีดงชอล ต่างดีใจที่ได้พบกับสมาชิกคนใหม่ในครอบครัว วันนั้นพยาบาล ยูมิเอ เป็นคนดูแลบุตรของทั้งสองคน ยูมิเอ ได้เรียกให้ ชินแทฮวาน ไปพบเพื่อหวังทำร้ายร่างกายเขาแต่ก็ไม่สำเร็จ ความแค้นฝังลึกของ ยูมิเอ ทำให้เธอตัดสินใจคิดฆ่าบีบคอลูกชายของชินแทฮวาน แต่ก็ไม่สามารถตัดใจลงมือได้ เธอจึงแอบสลับลูกชายของ ชินแทฮวาน กับ อีกีชอล แบบไม่มีใครล่วงรู้เลย และต่อมา ยูมิเอ ได้ตัดสินใจเดินทางออกจากเมืองนี้ไปเพราะคำขู่ของ ชินแทฮวาน

ด้วยความที่รู้ว่า จุงจา รัก อีดงชอลมากและเธอมักดูแลและรักใคร่ อีดงชอล เหมือนกับลูกชายของเธอเอง ยางชุนฮี จึงนัดแนะให้ จุงจา และ อีดงชอล ได้มาพบกันและอยู่ด้วยกัน อีกีชอล บอก อีดงชอล ไว้ว่า เขาจะต้องดูแล อีดงอุคน้องชายให้เหมือนกับว่าตัวเองเป็นพ่อ อีดงชอล รักพ่อของเขามากและเชื่อฟังในสิ่งที่เขาบอก อย่างไรก็ตาม ชินแทฮวาน คิดกำจัด อีกีชอล ทิ้งเพราะเขาเป็นผู้นำที่จะทำให้คนงานเหมืองแร่ประท้วง จึงได้ตัดสินใจจ้างคนงานเหมืองอีกคนหนึ่ง ทำการระเบิดเหมืองเพื่อปลิดชีวิต อีกีชอล ในวันนั้นเองเป็นวันเกิดของ อีดงชอล เขาตั้งใจจะไปพบกับพ่อที่เหมืองแร่ แต่กลับต้องมาพบกับเหตุการณ์ที่ ชินแทฮวาน จ้างให้คนกำจัดพ่อของตน อีดงชอล พยายามวิ่งไปที่เหมืองแร่หวังจะบอกกับพ่อของเขาแต่สุดท้ายก็ไม่ทันการณ์ กลับต้องมาพบกับ อีกีชอล ในสภาพที่เป็นศพแทน

ยางชุนฮี จุงจา และชาวบ้านต่างวิ่งมาที่เหมืองแร่ดูครอบครัวของเขา อีดงชอล มีความแค้นฝังใจเพราะรู้ว่า ชินแทฮวาน เป็นคนจัดฉากฆ่าพ่อของเขา จุงจา ที่คิดจะจากเมืองนี้ไปเพื่อตัดใจจากรักแรกและความเศร้าโศกจากการตายของอีดงซอล แต่ก็เปลียนใจขอมาอาศัยอยู่กับ ยางชุนฮี เพื่อดูแลจุนเจือซึ่งกันและกัน ทั้งนี้เธอยังได้ตั้งครรภ์กับ อีกีชอล อีกด้วย

ครอบครัวของดงซอล จึงมีทั้งแม่ยางซุนฮี น้องชายดงอุค แม่เล็ก(จุงจา) และน้องสาวคนเล็กที่เกิดจากจุงจาคือคิซุน


*****
เรื่องย่อยาวๆ อย่างนี้ เพิ่งจะเป็นการเปิดเรื่องราวของ East of Eden ที่เริ่มต้นขึ้นมาจาก “ความแค้น”
อีดงซอล ชายหนุ่มผู้ต้องแบกรับโชคชะตาอันโหดร้าย และต่อสู้อยู่บนหนทางชีวิตอันทารุณเมื่อ

“พ่อของเขา ถูกฆ่าตาย”


และ

“น้องชายของเขา ถูกสับเปลี่ยน”

คุณว่ามันเศร้ามั้ยคะ ที่ลูกชายผู้กำพร้าพ่อ ต้องเติบโตขึ้นมาอย่างลำบากยากจน จมอยู่กับอารมณ์โกรธแค้น เพราะถูกติดตามล้างผลาญเอาชีวิตจากศัตรูที่มีทั้งอำนาจและอิทธิพล ภาระหน้าที่ของลูกชายคนโต ที่ต้องคอยดูแลครอบครัว เป็นลูกที่ดีของแม่ เป็นพี่และเป็น “พ่อ” ให้กับน้องชายของตัวเองตามคำสั่งเสียของพ่อ

การเฝ้าติดตามดูชีวิตของอีดงซอล ซึ่งเป็นชีวิตมีแต่ให้ เสียสละ และทุ่มเท เพื่อจะทำหน้าที่ของพี่และพ่อให้กับลีดงอุค มันเป็นความหดหู่ขนานแท้ เพราะนอกจากดงอุคจะไม่ใช่น้องชายแท้ๆของดงซอลแล้ว ยังเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของศัตรูที่ฆ่าพ่อของตัวเองอีกด้วย
ฮือ...สงสารพระเอกสุดๆ ค่ะเรื่องนี้



“ดงซอล ..ในหัวใจของผู้ชายที่แท้จริง
ต้องปรับตัวให้เข้ากันได้กับทุกๆ สิ่ง
ลูกต้องเป็นผู้ชายที่ยิ่งใหญ่กว่าภูเขาแทแบ็ค
การจะยิ่งใหญ่กว่าภูเขาแทแบ็คได้ ลูกต้องมีหัวใจที่กว้างใหญ่
หัวใจที่จะโอบกอดได้ ทั้งคนดีและคนเลว”


พ่อของเขา อีกีซอล สอนลูกชายไว้ว่าอย่างนั้น
แต่คนเลวอย่างชินแทฮวาน ให้หัวใจของดงซอลใหญ่กว่าภูเขาแทแบ็คสักร้อยเท่า ก็คงไม่กว้างพอจะโอบกอดความเลวนั้นไว้ได้

จากเสาร์อาทิตย์ที่แล้วจรดเสาร์อาทิตย์ถัดมา ที่ปักหลักจับจ้องอยู่หน้าจอทีวีจนไม่เป็นอันทำอะไร แทบไม่กินไม่นอนกับซีรีย์เรื่องนี้ เมื่อดูจบแล้ว ก็ต้องถอนใจ

เฮ้อออ! เฮือกใหญ่ๆ ออกมา ในที่สุดก็ดูจบได้เสียที จะได้มีเวลาไปทำมาหากินอย่างอื่นมั่ง!

หากถามว่า ทำไมซีรีย์เรื่องนี้ ต้องมีความยาวถึง 56 ตอน ซึ่งหากเทียบการดูซีรีย์ญี่ปุ่น นั่นหมายถึงต้องใช้เวลาในการดูซีรีย์ญี่ปุ่นถึง 5 เรื่องติดต่อกัน
ดูจากรายละเอียดเนื้อหาของเรื่องก็คงต้องยาวแหละค่ะ แต่ถ้าจะให้ดีหากกระชับเรื่องราวเข้ามาได้และลดทอนตัวละครที่ไม่สำคัญที่ไม่ได้มีผลกระทบอะไรกับความเป็นไปของเรื่อง ก็น่าจะลดความยาวลงเหมือนเหลือสัก 35-40 ตอนก็ยังดี

แต่ก็ช่างมันเหอะ เพราะยังไงก็ดูจบไปแล้ว ถึงจะยาววววววววววววววววว แต่มันก็สนุก!

พล็อตเรื่องของการสับเปลี่ยนลูก อาจจะเคยเจอมาบ้างในละครไทยบ้านเรา (คมพยาบาท และอื่นๆ ) ละครเกาหลี (Autumn in my heart) หรือแม้แต่ละครจีนฮ่องกงด้วย (100% Senorita) แต่ทั้งหมดที่เคยเจอ จะเป็นการสับเปลี่ยนลูกสาว เพิ่งจะเจอหนแรกนี่แหละค่ะที่สับเปลี่ยนลูกชาย

สับเปลี่ยนลูกกันเหรอ? โห ...พล็อตเชยว่ะ
(เชยในที่นี้แปลว่าน้ำเน่าค่ะ จะใช้ว่าเน่าไปตลอด เดี๋ยวมันแรงไป อิอิ)
เคยปรามาสละครเรื่องนี้ไว้ว่าอย่างนั้น ก็นะ ต้องยอมรับว่ามันเชยจริงๆ นี่นา แต่เมื่อเริ่มหยิบมันขึ้นมาดู อู้วว! มันก็สนุกเหมือนกันเว้ย

แต่ถ้าใครปฏิเสธเรื่องนี้เพราะเหตุผลที่ว่า มันยาวเกินไป นั่นคงเป็นอะไรที่ต้องยอมรับ เพราะมันยาวจริงๆ ให้ตายเหอะ!

หรือถ้าใครที่ดูแล้ว แต่ดูไม่จบเพราะไม่คิดว่ามันให้สาระอะไรกับชีวิต..นั่นก็ต้องยอมรับอีกเหมือนกัน เพราะมันไม่ค่อยมีอะไรเป็นแก่นสารที่ชัดเจนจนพอจะเรียกได้ว่า “ให้ข้อคิด” กับคนดูได้มากนัก นอกจากข้อคิดเชยๆ แต่มันเป็นข้อคิดอมตะนิรันดร์กาลว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว”

East of Eden เป็นเรื่องราวของสองครอบครัวที่ถูกสับเปลี่ยนลูกชายกัน จึงไม่ทันคิดมาก่อนซะด้วยค่ะ ว่าเรื่องแนวเจ้าพ่อมาเฟียที่โปรดปรานซะเหลือเกินจะมาเป็นตัวขับเคลื่อนเรื่องราวของ East of Eden เพราะถ้าเป็นแนวนี้จะต้องมีความเข้มข้นอยู่พอสมควรในเรื่องของการหักเหลี่ยมเฉือนคมที่ต้องขับเคี่ยวกันด้วยอำนาจ อิทธิพล และเงินตรา บุญคุณ ความแค้น การทรยศหักหลัง ซึ่งมันจะสนุก แถมยังมีความรักต้องห้ามระหว่างลูกสาวเจ้าพ่อ(นางเอก)กับนักเลงในสังกัด(พระเอก) เป็นอาหารเสริมให้อีก

พล็อตเรื่องแบบ “บุญคุณต้องทดแทน แค้นนี้ต้องชำระ” หรือแนว
“ชีวิตเพื่อฆ่า หัวใจเพื่อเธอ” มันก็เชยพออยู่แล้ว
เจอเข้ากับความแค้นและการสับเปลี่ยนลูกเข้าไปอีก

เชย + เชย ยกกำลัง 2= เชยๆ ยกกำลังสอง!

แต่มันก็สนุก โดยไม่ต้องพยายามหาเหตุผลมาลบล้างความเชย และต้องยอมรับว่ามันเป็นความเชยที่กอดคอเดินไปด้วยกันได้อย่างกลมกลืน

เป็นความชอบส่วนตัวด้วยแหละที่ชอบดูหนังแนวยากูซ่า มาเฟีย แกงค์นักเลง ที่จะพ่วงความรักเชยๆ มาแบบ ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ ถนนสายนี้หัวใจข้าจอง ฯลฯ อะไรประมาณนั้นมาด้วย ซึ่งดูแล้วไม่น่าจะเข้ากันได้เลยนะกับเนื้อหาชีวิตหดหู่อย่างครอบครัวของพระเอกในเรื่อง

“ดังนรกชังหรือสวรรค์แกล้ง”

เป็นชีวิตที่ไม่ผิดไปจากประโยคนี้ไปเลยสักนิดเดียว

และเพราะมีเรื่องราวในวงการเจ้าพ่อมาเฟียนี่แหละค่ะ จึงทำให้ละครเรื่องนี้สนุก และติดหนึบโดยไม่ต้องรอลุ้นว่าความจริง ใครลูกใคร พ่อใครจะเปิดเผยเมื่อไดให้เมื่อยตุ้ม

เพราะถ้ามัวแต่คอยว่าเมื่อไหร่ความจริงจะเปิดเผยในระหว่างเนื้อเรื่อง 56 ตอน คงยากจะอดทนถึงขึ้นนั้นได้

จะเอ่ยถึงตัวละครที่สำคัญๆ นะคะ


อีดงซอลวัยเด็ก : ลูกชายคนโตของอีกีซอล ที่รักและสนิทกับพ่อแบบแค่มองตาก็เข้าใจ ดงซอลในวัยเด็กจึงมักจะติดตามพ่อเหมือนเงา คอยซึมซับเอาความรู้สึกนึกคิดของพ่อใส่ตัวติดหัวใจมาด้วย ในวัย 5 ขวบ เขาได้เห็นพ่อถูกทำร้ายจากชินแทฮวาน และยังเป็นพยานรู้เห็นในเหตุการณ์ที่ชินแทฮวานสั่งจุดระเบิดเหมืองเพื่อฝังพ่อของเขาให้ตายอยู่ในนั้น

เด็กที่รับบทในวัยเด็กนั้นคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่แล้วในละครเกาหลี (ชินดงอู) และก็เล่นได้ดีชนิดที่ทำเอาน้ำตาทะลักทะลาย เห็นแล้วทนดูไม่ได้ต้องหยุดพักการดูไปครู่ใหญ่


อีดงซอลในวัยรุ่น :
ครอบครัวก็แสนจะยากจนอยู่แล้ว พ่อที่เป็นเสาหลักของครอบครัวยังเสียไปอีก ทั้งศัตรูที่ฆ่าพ่อก็ไม่เคยปล่อยให้ครอบครัวได้ลืมตาอ้าปาก หรือหายใจเอาอากาศเข้าท้องไปได้สะดวก ชีวิตของดงซอล แม่ 2 คน และน้องอีก 2 คน จึงเป็นชีวิตที่สุดจะลำเค็ญ

เพราะความรักที่มีต่อน้องชายบวกกับหัวใจที่เสียสละ ดงซอลต้องระเห็ดชีวิตเข้าไปอยู่ในสถานกักกันเยาวชน

เพราะความรักที่มีต่อแม่ ทำให้ความคิดที่จะเป็นนักโทษที่ดีและพ้นคดีออกมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ต้องเปลี่ยนไป ดงซอลต้องพึ่งพาพวกแก๊งนักเลงและแหกคุกหนีออกมา ... คบคนพาล พาลพาไปหาผิด เพราะเมื่อก้าวออกมาจากคุก เขาก็แหย่ขาเข้าไปในแก๊งค์นักเลงแล้วโดยอัตโนมัติ

เมื่อชินแทฮวานล่วงรู้ว่าดงซอลเป็นพยายานรู้เห็นที่แอบซ่อนตัวอยู่ในเหตุการณ์ที่เขาสั่งฆ่าอีกีซอล ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาได้ในภายหลัง จึงติดตามหมายหัวดงซอลอย่างไม่ลดละ จนในที่สุดดงซอลต้องกลายเป็นนักโทษผิดกฎหมายหลบหนีออกนอกประเทศไปยังมาเก๊า ด้วยความช่วยเหลือของลุงเซ็ง หนึ่งในนักเลงรุ่นเก๋าจากแกงค์นักเลงท่าเรือที่ดงซอลได้รู้จักและเพราะ “นิสัยพระเอก” อันไม่มีขีดจำกัดนั่นเอง ดงซอลจึงได้ใจลุงเซ็ง ซึ่งแน่ใจว่าหากดงซอลยังอยู่ในเกาหลีต่อไป คงต้องจบชีวิตลงแน่ จึงลากคอพาดงซอลจากไป แบบที่เจ้าตัวไม่ได้เต็มใจแม้แต่น้อย เพราะยังคงห่วงใยแม่ๆ และน้องๆ

สำหรับลูกไม่มีพ่อคนนี้ ลุงเซ็งหวังจะเป็นพ่อให้กับเขา

แต่ ลุงเซ็ง ผู้ถูกมอบหมายให้มาทำงานลับบางอย่างก็ถูกอุ้ม หายไป

ต่อหน้าต่อตา!

เด็กหนุ่มดงซอล ซึ่งอยู่ในฐานะผู้ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย จึงต้องดิ้นรนต่อสู้ชีวิตเพียงลำพังบนแผ่นดินมาเก๊า

และคนที่มารับบทนี้ก็คือ คิมบอม หนึ่งใน F4 เกาหลี รูปร่างอ้อนแอ้น หน้าตางามละอ่อน กับเขี้ยวเสน่ห์ที่ส่งให้ใบหน้าดูหวานและดูไม่น่าจะเข้ากันนักกับบทบาทลูกผู้ชายหัวใจเด็ดเดี่ยวอย่างอีดงซอล แต่คิมบอมก็เล่นได้มอมแมม และ “แมน” โดยไม่ขัดหูขัดตาสักนิด ต้องขอชม

อีดงซอลในวัยหนุ่ม : (แสดงโดย ซงซึงฮอน) เป็นช่วงต่อชีวิตที่เอาตัวรอดและเติบโตขึ้นมาบนเกาะมาเก๊า ทำงานสารพัดอย่างแลกเงิน (เป็นงานสุจริตนะคะ) แต่ต่อมาความกดดัน บีบคั้นจากศัตรูที่ตามมาพบ ...ว่าดงซอลยังมีชีวิตอยู่ ทั้งครอบครัวที่อยู่เกาหลีก็คอยถูกรังแกอยู่ไม่ขาด ทำไห้ดงซอลต้องเอาตัวเองไปพึ่งใบบุญมาเฟีย เพื่อหาหนทางกลับคืนบ้านเกิด

อีดงอุค : น้องชายของอีดงซอล
ที่ถูกสับเปลี่ยนมาจากลูกชายของชินแทฮวาน ในวัยเด็ก (พักกอนแท) ช่างหน้าตาไม่เข้าตาดูเป็นเด็กเกเรยังไงก็ไม่รู้บอกไม่ถูก เลือกหน้าตาเหมาะนะนั่น แต่ดงอุคก็กระหน่ำแสดงบทร้องไห้ได้เก่งมากและทำให้ต้องร้องตาม แต่ไม่ได้สงสารดงอุคนะ สงสารดงซอลที่ทำทุกอย่างเพื่อดงอุคต่างหาก

ดงอุคในตอนโต (ยอนจองฮุน) ก็กระหน่ำบทร้องไห้ไม่บันยะบันยังอีกเหมือนกัน แต่อีกเช่นเคย ดงอุคในวัยหนุ่มก็หน้าตาไม่ถูกโฉลก (อีกแล้ว) นี่ตั้งใจเลือกมาเพื่อรับบทเป็นลูกชายของคนเลวอย่างชินแทฮวานหรือยังไงกัน แม้ดงอุคจะเป็นคนดีที่ถูกกระหน่ำทำร้ายแบบไม่เคยว่างเว้น ก็อีกเช่นเคย สงสารดงซอล
ถ้าสงสัยว่า อ้าว! ดงอุคถูกกระทำแล้วมันเกี่ยวอะไรกับดงซอลล่ะ ต้องลองไปหามาดูค่ะ 555
สรุปว่าไม่ชอบดงอุคตลอดเวลาตั้งแต่เด็กยันแก่

ชินมยองฮุน : (แสดงโดย พักแฮจิน)ลูกชายของชินแทฮวาน ที่ถูกสับเปลี่ยนมาจากลูกชายของอีกีซอล (น้องชายดงซอล) มีพ่อสุดเลวที่บ่มเพาะความเลวใส่หัวอยู่ตลอดเวลา เด็กชายมยองฮุนที่จิตใจอ่อนโยนและทำท่าจะเป็นคนดีในวัยเด็ก จึงกลายเป็นคนเลวได้ไม่ยากในวัยหนุ่ม แต่เหมือนคนเขียนบทเค้าจะเชื่อว่า สายเลือดก็มีเอี่ยวในการทำให้คนจะดีจะเลวอยู่เหมือนกัน เพราะ เมื่อเลวถึงขีดสุด มยองฮุนก็เริ่มได้คิดอยู่เงียบๆ แต่เพราะความกดดันบีบคั้นและถูกพ่อสั่งให้ทำแต่เรื่องเลวๆ อยู่ทุกวี่ทุกวัน มันก็ยากจะหลีกเลี่ยง และกลายเป็นความเจ็บปวดของมยองฮุนที่ไม่อาจจะแสดงความรู้สึกนึกคิดจากสามัญสำนึกที่ดีๆ ออกมาได้ ( วอนดุกฮยุน แสดงเป็น มยองฮุนในวัยเด็ก)

ทั้งคนที่รับบทดงอุค และมยองฮุน เรียกได้ว่าเป็นบทที่หนักหนาพอๆ กันเลยค่ะ



เมื่อความจริงเปิดเผย ?

ดงอุค : ที่เคียดแค้นชิงชัง ที่ตัวเองและครอบครัวต้องถูกถูกกระทำเหยียบย่ำจากชินแทฮวานมาตลอดชีวิต แต่เมื่อวันนึงได้รู้ว่า ชินแทฮวานคือพ่อ แม่ที่ระทมทุกข์และต้องเลี้ยงดูดงอุคมาด้วยความลำเค็ญ พี่ชายที่ไม่เคยมีชีวิตเป็นของตัวเอง เพราะทุกอย่างที่ทำล้วนเพื่อดงอุค ครอบครัวที่ถูกบีบให้มีชีวิตอยู่อย่างลำบาก ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นเพราะชินแทฮวาน ความจริงจะเป็นเช่นไรไม่สำคัญเมื่อ แม่ พี่ชาย และคนอื่นๆ ก็ยังคงรักและต้องการดงอุคอยู่เหมือนเดิม แต่ความจริงก็คือความจริง

มยองฮุน : เพราะตั้งแต่เด็กที่เขาชอบพี่ดงซอล มยองฮุนจึงรู้สึกอิจฉาดงอุคมาตลอดเพราะเขาก็อยากจะมีพี่ชายแบบดงซอลบ้างเหมือนกัน มยองฮุนที่เติบโตมากับทัศนคติเลวๆ ภายใต้อารมณ์กดดันที่ต้องคอยทำเรื่องเลวๆ ตามคำสั่งของพ่อ อย่างไม่มีปากไม่มีเสียง เมื่อความจริงเปิดเผย มันมีเหตุผลและเป็นโอกาสแล้วที่มยองฮุนจะจากไป แต่มยองฮุนที่โหยหาความรักจากคนที่เป็นแม่แท้ๆ โหยหาความอบอุ่นจากพี่ชายที่ไม่เคยมีและฝันว่าจะมี แต่ก็ไม่ง่ายเลยที่จะแทรกแซงเข้าไปในครอบครัวที่ลมหายใจเข้าออกมีแต่ลีดงอุค

ระหว่างดงอุคกับมยองฮุน จึงเป็นคนเกิดปีเดียวกัน เดือนเดียวกัน วันเดียวกัน รักผู้หญิงคนเดียวกัน อยากมีครอบครัวอย่างเดียวกันและมีพี่ชายคนเดียวกัน

จึงไม่แปลกถ้าไม่เคยจะถูกกันมาตลอดทั้งชีวิตที่เกิดมา



ในขณะที่ครอบครัวดงซอล พยายามทำทุกอย่างให้เหมือนเดิม คอยถนอมความรู้สึกของดงอุค และเหนี่ยวรั้งเอาไว้กับครอบครัวสุดกำลัง ชินแทฮวานพ่อที่เลี้ยงดูมยองฮุนมากว่าสามสิบปีกลับทำในสิ่งตรงกันข้ามคือเฉดหัวส่งมยองฮุนที่เคยเป็นลูกชายคนเดียวของเขามากว่าสามสิบปีแบบไม่ปราณี ทั้งยังคอยจับจ้องทำร้ายไม่ต่างอะไรกับศัตรูหมายเลข 1 อย่างอีดงซอล

ในทางกลับกัน ชินแทฮวานเต็มใจอย่างยิ่งที่จะแย่งชิงดงอุค มาจากครอบครัวของอีดงซอล ถึงจะเป็นศัตรูกันมาตลอดและชินแทฮวานก็กระทำชั่วช้าต่อดงอุคมาไม่น้อย แต่เพราะดงอุคมีลักษณะนิสัยบางอย่าง ซึ่งชินแทฮวานมักจะรู้สึกว่า ช่างดูเหมือนตัวเขาเองซะเหลือเกิน ถ้าเอามาขัดเกลาเสียใหม่โดยตัวชินแทฮวานเอง นี่คือลูกที่จะส่งเสริมอิทธิพลและอำนาจเครือธุรกิจแทซุงของชินแทฮวานให้ยิ่งใหญ่

สำหรับมยองฮุนที่ชินแทอวานเข็นให้ทำในสิ่งที่ต้องการ(ความเลว) มานานกว่าสามสิบปี แต่เข็นเท่าไรก็ไม่ขึ้น ไม่เคยได้ดั่งใจ เมื่อกลายไปเป็นลูกศัตรูมันก็ดีแล้วนี่ ไม่มีเหลือเยื่อใยให้มยองฮุนแม้แต่น้อยนิด ( ก็คนมันเลวค่ะ เป็นเรื่องของคนจริงๆ ใครจะทำได้ลง แต่อย่างว่า ... นี่คือชีวิตของละครค่ะ 555 อย่าเครียดแทน)

เห็นความแตกต่างไหมคะ คนหนึ่งมีแต่คนต้องการ แต่อีกคนหนึ่งกลับเป็นคนที่ไม่มีใครต้องการ

แล้วใครต้องเสียใจและลำบากใจอย่างที่สุด ----> อีดงซอล

555 ไม่ต้องบอกก็น่าจะรู้นะคะ ว่าเทใจ สงสารใคร มยองฮุนก็น่าสงสารแต่ก็ยังไม่ให้ความสงสารเท่าดงซอล

เรื่องอื่นๆ เขามีแต่ตบตีแย่งชิงคนรักกัน แต่ละครเรื่องนี้จะเปรียบว่าเป็นการเกี่ยงพ่อ (ใครก็ไม่อยากเป็นลูกชินแทฮวาน) แย่งแม่ และแย่ง “พี่ชาย” กันค่ะ
โอย .. มันปวดหัวแทนดงซอล และปวดหัวใจแทนมยองฮุน

แล้วจะหาทางออกกันได้อย่างไรละคะ ?

มาพูดถึงนางเอกกัน


กุ๊กยองรัน หรือ เกรซ หรือ กุ๊กจา แสดงโดย ลียอนฮีนางเอกเรื่องนี้ มีชื่อเรียกถึงสามชื่อ คนทั่วไปจะเรียกเธอว่า ยองรัน พ่อและคนที่สนิทสนมจะเรียกด้วยชื่อเล่นว่า เกรซ
ดงซอลพระเอกของเรื่องหากเอ่ยถึงนางเอกกับคนอื่นๆ จะใช้ชื่อยองรัน แต่ถ้าพูดคุยกับนางเอกเองในยามปกติจะเรียกเกรซ

ส่วน “กุ๊กจา” เป็นชื่อเฉพาะสำหรับดงซอล เป็นดงซอลคนเดียวที่ใช้เรียก
ถามว่า ทำไมต้องพูดถึงเรื่องการเรียกชื่อซะยืดยาวขนาดนั้น

55555 เฉลย
ก็เพราะชอบมากๆ เลย เวลาที่พระเอกเรียกนางเอกว่า "กุ๊กจา"

เพราะชื่อนี้มันมีที่มา และเมื่อไรที่พระเอกเรียกนางเอกว่า กุ๊กจา จะบ่งบอกถึงอารมณ์ความรู้สึกบางอย่างที่ลึกซึ้งเกินกว่าจะเอ่ยออกมาเป็นคำพูด เช่น ปลอบโยน คิดถึง ห่วงใย หรือไม่ก็เหนื่อยใจกับความดื้อรั้น อับจนคำพูดที่จะเอ่ยอะไรออกมาขัดแย้งหรือห้ามปราม จึงได้แต่เอ่ย “กุ๊กจา” ด้วยน้ำเสียงปรามๆ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้

มันน่ารักดีน่ะค่ะ

ไหนๆ ก็พูดถึงเรื่องชื่อ เหมือนกันค่ะ ตลอด 56 ตอน มีน้อยมากที่ยองรันจะเรียกดงซอลด้วยชื่อ ช่วงแรกๆ จะเรียกด้วยอาการแกล้งหยามเหยียด เช่น คุณขอทาน คุณขยะ แต่ถ้าเรียกอย่างนี้แสดงว่ากุ๊กจาอยู่ในอารมณ์ดีๆ นะ ถในช่วงต่อมาเรียก หมาล่าสัตว์ หมาล่าเนื้อ หมารับใช้ นี่บ่งบอกว่าอยู่ในอาการโกรธกรุ่นๆ ไม่สบอารมณ์ ถ้าอารมณ์ปกติหรือเศร้าหมองหรืออารมณ์ลึกซึ้งอื่นจะใช้ ศัพท์เกาหลีอย่างหนึ่งที่ถูกแปลซับไทย ว่า “คุณ” คุณอย่างโน้น คุณอย่างนี้ คุณอย่างเดียวเลย ไม่ได้เอ่ยชื่อออกมา นี่ก็เป็นลักษณะการพูดจาที่ยองรันใช้กับดงซอลโดยเฉพาะ

มีอยู่ฉากนึงที่ดงซอลทำหน้าเหนื่อยใจเต็มแก่และพูดออกมาว่า

“นี่ กุ๊กจา คุณรู้ตัวไหมว่าคำพูดที่ออกมาจากปากของคุณแต่ละคำมันไม่สวยงามเลย”


ชอบประโยคนี้ของพระเอกจัง เพราะวิธีพูดแต่ละคำที่ดูไม่สวยงามฟังไม่รื่นหูของนางเอกนี่แหละ เป็นบุคลิกอย่างหนึ่งของนางเอกเลยที่ชอบมาก



ยองรันเป็นลูกสาวกุ๊กแดฮวาเจ้าของเครือธุรกิจใหญ่ในเกาหลีแต่เป็นที่รู้กันว่า การที่กุ๊กแดฮวามีอำนาจอิทธิพลล้นเหลือก็เพราะเขาเป็นเจ้าพ่อที่ผูกขาดธุรกิจทำเงินอย่าง”คาสิโน”เอาไว้ในมือแต่เพียงผู้เดียว แต่ไม่ต้องห่วงว่ายองรันจะเป็นลูกสาวเอาแต่ใจ เป็นขาวีน วี๊ดๆ เป็นนกหวีดให้ปวดหัวเล่น ตรงกันข้ามนี่คือบทบาทของลูกสาวเจ้าพ่อที่เราชอบมาก .. แม้ยองรันจะโผล่มาด้วยหน้าตาที่ไม่เป็นปลื้มนัก

แต่ด้วยบุคลิก รอยยิ้มและคราบน้ำตาที่ทำให้ความหม่นหมองบนใบหน้านั้น “ดูดี” ก็ทำให้ชอบยองรันได้ไม่ยาก

เราจะเห็นความร่าเริงสดใสของยองรันแค่ช่วงต้นตอนเป็นเด็กสาววัย 19 ปี และได้พบกับดงซอลที่มาเก๊าเท่านั้น จากนั้นจะเห็นพัฒนาการของยองรันที่แม้จะมีใบหน้าละอ่อน(ดูอ่อนเยาว์กว่าพระเอกพอสมควร) แต่บทบาทชีวิตที่เป็นไปในเรื่อง ทำให้ยองรันเป็นคนที่มีทั้งความเป็นเด็กและเป็นผู้ใหญ่อยู่ในตัว บางครั้งก็ดูสุขุมเป็นผู้ใหญ่เกินตัว แต่บางขณะก็มีความเจ้าอารมณ์แบบเด็กๆ ดูเยือกเย็นอยู่บนความทุกข์ และดูเข้มแข็งเอยู่บนความอ่อนแอของตัวเอง ดูนิ่งๆ เย็นๆ

เช่นฉากหนึ่งที่ ดงซอลมองเห็นรอยกรีดบนข้อมือของยองรัน และเธอก็ยิ้มเย็นๆ พูดถึงมันด้วยหน้าตาแบบเย็นๆ เหมือนมันไม่มีอะไรเป็นความหมายสำคัญ นอกจากอยากนึกกรีดมันเล่นๆ เท่านั้น ..(อิอิ เป็นบุคลิกที่อธิบายยากเหมือนกัน นิ่งๆ เย็นๆ บอกไม่ถูก) ยิ่งในช่วงหลังๆ ของละคร ยองรันคนนี้แสดงออกมาเหมือนคนป่วยที่ดูเหน็ดเหนื่อยกับชีวิตที่ผ่านและตรอมตรมจนแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงแต่ก็ยังยืนหยัดต่อสู้เพื่อคนที่ตัวเองรัก อะไรที่จะส่งผลไปถึงดงซอล ยองรันจะตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว ชอบนางเอกมากเลยค่ะ


แต่การต่อสู้ของยองรันไม่ได้สู้เพื่อให้ได้มาซึ่งความรักที่สมหวังนะคะ
บอกแล้วว่ากุ๊กยองรันเป็นคนมีเหตุมีผลและเข้าใจสถานะลูกสาวเจ้าพ่อของตัวเองดี และเพื่อเป้าหมายในชีวิตและคนในชีวิตของดงซอลที่สำคัญกว่า คนดื้อรั้นอย่างยองรัน ก็ทิ้งตัวเองได้เพื่อดงซอล

ส่วนดงซอล คือคนที่เหยียบหัวใจตัวเองไว้แต่แรก ข่มความรักเอาไว้ เพื่อสัญญาลูกผู้ชายที่มีต่อเจ้าพ่อกุ๊กแดฮวา และเพื่อกุ๊กจาจะได้เป็นดอกฟ้าประดับอยู่ในที่ที่ควรจะอยู่

ตำแหน่งแห่งที่ที่กุ๊กแดฮวาวางไว้ให้ลูกสาว โดยจับคู่ให้กับไมค์ทายาทนักธุรกิจที่มีเครือข่ายใหญ่ที่สุดบนเกาะมาเก๊าะ นั่นคือคนที่จะส่งให้ยองรันได้ขึ้นสู่ต่ำแหน่ง “เจ้าหญิงแห่งมาเก๊า” อย่างที่ประธานกุ๊กนึกฝัน และใครจะมาบิดพริ้วมันไปไม่ได้


(ไมค์แสดงโดย Dennis Oh แสดงเป็นคู่หมั้นของยองรัน)

อืมม คิดดูนะคะ พระเอกนั้น ไม่ได้อยากเป็นนักเลง แต่ก็จับพลัดจับผลูเข้าไปเป็น ไม่ได้อยากเกี่ยวข้องกับมาเฟียแต่นั่นก็เป็นหนทางชีวิตที่ต้องเดิน เอาเป็นว่าทุกอย่างที่อีดงซอลไม่อยากทำเป็นต้องทำ อยากจะหลุดพ้นไปจากมาเฟียแต่ก็เกาะติดมาเฟียอย่างเหนียวแน่น ดงซอลไปยอมไหนไปไหนเพราะยองรัน

ส่วนยองรัน ลูกสาวเจ้าพ่อที่ยากจะมีใครมาบังคับควบคุมได้ แต่ยอมทำทุกอย่างที่พ่อต้องการเพื่อหวังให้พ่อปราณีดงซอลและเลี้ยงดูเอาไว้ให้ดีๆ แต่เจ้าพ่อก็คือเจ้าพ่อ ไม่ปราณีใครมากไปกว่าการรักษาผลประโยชน์ อำนาจ และบารมีของตัวเอง และไม่มีใครรู้จักกุ๊กแดฮวาดีไปกว่ากุ๊กยองรัน นางเอกของเราจึงทำทุกวิถีทาง เพื่อจะให้ดงซอลได้เป็นอิสระหลุดพ้นไปจากอิทธิพลของกุ๊กแดฮวา และก้าวพ้นไปจากวงการมาเฟีย

ความรักของละครเกาหลี มันมีด้วยรึที่จะได้รักได้สุขสมหวังกันง่าย ?

นี่ก็ใจหายไปรอบหนึ่ง นึกว่า กุ๊กจาโดนมะเร็งกินไปซะแล้ว เพื่อที่ว่า
คนเขียนบทจะได้ส่ง ลีดาเฮ ขึ้นมาเป็นนางเอก ตามที่ใครๆ ต่างก็มองว่าเธอเป็นนักแสดงหลัก และควรจะได้บทนางเอก

ขอพูดถึงตัวละครที่ประทับใจที่สุด

ประธานกุ๊กแดฮวา แสดงโดย ยู ดอง กัน (Yoo Dong Geun) เจ้าของเครือธุรกิจรายใหญ่ และเจ้าของผูกขาดธุรกิจคาสิโนในเกาหลี ที่เจ้าพ่อ มาเฟีย น้อยใหญ่อยากจะได้ครอบครอง คาสิโนทำให้กุ๊กแดฮวาร่ำรวยและทรงอิทธิพล ลุงคนนี้ คุ้นหน้าจากละครพีเรียดเกาหลี น่าจะใช่คนที่เป็นหัวหน้าเผ่า พ่อของนางเอกในเรื่อง จูมง ที่บทนั้นก็เยี่ยมเหมือนกัน

ในการแสดงเป็น กุ๊กแดฮวาเรื่องนี้ ขอบอกจริงๆ ว่า ลุงเป็นนักแสดงยอดฝีมือมาก เพราะประธานกุ๊กเป็นคนที่มีหลายบุคลิกอารมณ์เหลือเกินเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ตลอดเวลา เป็นทั้งเจ้าพ่อคาสิโน ที่เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว ลิ้นคล่องปรื๋อในการเจรจาต่อรอง เป็นทั้งคุณลุงแก่ๆ ที่พูดพล่ามขี้บ่น บางเวลาก็เป็นเจ้าพ่อสมเจ้าพ่อที่มีทั้งความเมตตาใจกว้าง เลือดเย็นและเหี้ยมเกรียมอยู่ในตัวของคนๆ เดียวกัน เป็นคุณพ่อที่รักลูกสาวยองรันดั่งแก้วตา ขี้เล่นตลก ใจดี แต่เมื่อต้องการเข้มงวดก็บีบบังคับแบบไม่ปราณีแม้ว่าน้ำตาและความทุกข์ของลูกจะทำให้ตัวเองน้ำตาตกไปด้วย

บทอย่างนี้แน่นอนว่ามันยาก แต่ถ้าเป็นนักแสดงก็คงแสดงกันได้ทุกคน แต่คงไม่ใช่ทุกคนที่จะแสดงได้ประทับใจ

แบบว่า ลุงคะ เอาไปเลยสิบนิ้วโป้ง ลุงแน่มาก

ประธานกุ๊กคนนี้ มีบทบาทสำคัญมากในเรื่อง เป็นคนที่ยื่นมือให้ดงซอลได้ยึดไว้เป็นหนทางหวนคืนสู่แผ่นดินเกาหลี คนที่รักในหัวจิตหัวใจลูกผู้ชายชื่ออีดงซอลคอยส่งเสริมจากลูกน้องชั้นปลายแถวขึ้นมาเป็นมือขวาที่ขาดไม่ได้ แต่ถึงจะรักดงซอลยังไง ก็ไม่มากไปกว่าผลประโยชน์ของตัวเอง
เก่ง ฉลาด แค่ไหน ที่ทำได้อย่างมากที่สุด ก็แค่เลี้ยงไว้คอยรับใช้
และไม่มีวันยอมให้ติดปีกโผบินจากไป

รักและนับถือน้ำใจยังไง ก็ไม่ให้อำนาจเป็นใหญ่ไปมากกว่านี้ ที่เดียวที่ดงซอลจะอยู่ได้คือใต้ปีกของกุ๊กแดฮวา นอกเหนือจากนั้นที่ๆ อนุญาตให้ได้ก็คือหลุมฝังศพเท่านั้น ตำแหน่งลูกเขยน่ะเหรอ อย่าได้คิดแม้แต่จะจินตนาการ (เล่าถึงลุงโหดไปมั้ยเนี่ย)

เจ้าพ่อที่เคยชุบเลี้ยงให้ชีวิต เจ้าพ่อที่หลั่งน้ำตาให้หัวใจใสสะอาดของดงซอล (แม้ว่าตัวจะขลุกอยู่กับคนเลวและความเลว) เป็นเจ้าพ่อคนเดียวกันที่จ้องจะกำจัดชีวิตดงซอลถ้ามีโอกาส

ดงซอลในคุ้มเจ้าพ่อ ถึงจะเก่งอย่างไรก็ไม่กล้าลืมตัว เพราะต้องระวังทุกฝีก้าวเพื่อเอาตัวให้รอด

แม้ความเป็นลูกผู้ชายหัวใจเกินร้อย จะทำให้ดงซอลได้ใจนักเลงรุ่นเล็กรุ่นใหญ่ หรือซื้อใจมาเฟียได้มากมาย แต่ก็ไม่พอจะซื้อใจเจ้าพ่อผู้ยิ่งใหญ่อย่างกุ๊กแดฮวา เพราะเจ้าพ่อไม่เคยไว้ใจใครถึงรักษาตำแหน่งเจ้าพ่อเอาไว้ได้ อยู่กับกุ๊กแดฮวาก็เหมือนเอาชีวิตขังไว้ในถ้ำเสือ ไว้ใจไม่ได้และจะกัดตายเมื่อไหร่ไม่รู้

แต่ถึงอย่างไร กุ๊กแดฮวาก็เป็นผู้มีพระคุณ และเพราะความรักที่มีให้กับกุ๊กยองรัน ดงซอลจึงมีกำลังใจพอที่จะอดทนอดกลั้นอยู่กับพฤติกรรมเลี้ยงไก่ขุนเอาไว้ให้อ้วนพีอย่างดีแต่ก็รอนาทีจะเชือดของประธานกุ๊ก



แต่ยองรัน ก็เป็นลูกสาวเจ้าพ่อ ย่อมมีสายตามที่มองการณ์ไกลและว่องไว มีเหลี่ยมมีคูของกุ๊กแดฮวาอยู่ในสายเลือดไม่มากก็น้อย ด้วยฝีมือของกุ๊กยองรัน ดงซอลจึงสามารถกระเด็นออกมาเป็นหลักเป็นฐานของตัวเองได้ แม้ว่าเจ้าตัวจะไม่ได้เต็มใจอย่างนั้น เพราะมันหมายถึงการห่างจากยองรันไปด้วย

ขอแอบซึ้งหน่อยนะ

แต่หลุดออกมาได้แล้ว ก็ใช่ว่าจะหาความสงบสุขได้หรอกนะ เพราะกุ๊กแดฮวา ถือว่า เมื่อหมามันทรยศ ก็ไม่ต้องปล่อยเอาไว้ให้ทำพันธุ์ จ๊าก! อดีตหมาล่าเนื้อ ต้องถูกอดีตเจ้าของของมันตามล่าเอาซะเอง
แต่กุ๊กแดฮวา ทำอะไรไม่ถนัดนัก เพราะมียองรันคอยปักหลักหักเหลี่ยมแบบไม่เกรงอกเกรงใจในความเป็นพ่อลูกกัน

ที่เล่ามาเนี่ย ยังถือว่าเป็นความสัมพันธ์แบบคนที่ชอบพอกันนะคะ
ใครดูก็รู้ได้ ว่าประธานกุ๊กรักไอ้หนุ่มอีดงซอล นับถือในความเป็นชายสมชายจรดปรายเท้า อีดงซอลผู้ยืนหยัดอย่างมั่นคงในท่ามกลางกระแสคลื่นลมของอิทธิพล และอีดงซอลผู้ไม่เคยหักหลังหรือทอดทิ้งใคร เป็นศักดิ์เป็นศรีที่ประธานกุ๊กไม่อาจเอาตัวเองไปเทียบเคียงได้ เป็นความดีงามที่ประธานกุ๊กรู้สึกแบบทั้งรักทั้งเกลียด ทั้งนับถือและหวาดกลัว ว่าความเป็นอีดงซอลนี่แหละ ที่จะโค่นล้มอำนาจของตัวเองลงไปในวันหนึ่ง

ก็เลยเป็นแบบที่เล่ามานั่นแหละค่ะ

นี่คือชีวิตของดงซอลบนความสัมพันธ์แห่งมิตรนะคะ

ฉะนั้น บนความสัมพันธ์กับศัตรู อย่าง ชินแทฮวาน(แสดงโดย โจมินกิ Jo Min Ki) .....มันแบบว่า

อะโห อะโหย พระเจ้าจอร์จ มันอะไรกันนี่!.......ซะยิ่งกว่า

กับกุ๊กแดฮวา นั่นคือมิตร ที่แม้จะคอยจ้องเป็นอมิตร ก็ยังพอมีช่วงเป็นมิตรที่ดีๆ กันอยู่

แต่ศัตรูแบบชินแทฮวาน จะไม่มีวันเวลาใดที่หยุดการเป็นศัตรูจนกว่าจะ ฮึ่มๆ ตายกันไปข้างหนึ่ง

ชินแทฮวานคนนี้ไม่ใช่ศัตรูธรรมดา แต่เป็น “มหาศัตรู” ที่ไม่สามารถเอาอะไรมาบรรยายความเลวร้ายได้

ปกติมันต้องมีจุดที่ชอบมั่งละนะ ตัวละครฝ่ายตัวร้ายน่ะค่ะ แต่ชินแทฮวานนี่...แกเลวแบบหาที่เปรียบไม่ได้จริงๆ

เลวหนังเหนียว จนไม่มีอะไรทำให้จิตใจสะท้านสะเทือนไปถึงความรู้สึกผิดชอบชั่วดีได้

เลวได้โล่ห์ประทับ “จอมมารผู้ยิ่งใหญ่”

แล้วคนดีๆ ที่มีหัวใจอ่อนโยนอย่างอีดงซอล คนที่เกิดมามีชีวิตเพื่อคนอื่น จะเอาอะไรไปสู้รบตบมือกับจอมมารชินแทฮวาน

แฮ่... อย่าเพิ่งถอดใจค่ะ

ดงซอลนี่ เขาอยู่ในบทบาทของพระเอก บทผู้ชายแสนดีที่รับได้ทุกอย่างนั่นคือคุณลักษณะของพระรองเกาหลี

แต่ดงซอลเป็นพระเอกไม่ใช่พระรองค่ะ



พระเอกที่นอกจากสูง เซอร์ หล่อ เท่ห์ และเด่นมันอยู่คนเดียวตั้งแต่ต้นจนจบนั้น

ไหนๆ ก็สร้างมาเด่นแล้ว

ย่อมต้องมีความฉลาดปราดเปรื่องอยู่พอตัว มีพิษสงมากพอที่จะทำให้เจ้าพ่อกุ๊กแดฮวาหวาดหวั่นและจอมมารชินแทฮวานก็หงุดหงิดงุ่นง่านหาความสุขไม่ได้ตลอดทั้งเรื่องเช่นกัน

คือในเรื่องประธานกุ๊ก กับประธานชินแทฮวาน เค้าเป็นคู่แข่งคอยแย่งขชิงโปรเจ็คต์ทำเงินต่างๆ กันอยู่แล้ว พระเอกที่เข้ามาป็นคนของประธานกุ๊กและในฐานะที่มีความแค้นส่วนตัว จึงตั้งใจทำงานให้ประธานกุ๊กด้วยการฟาดฟันกับชินแทฮวานอย่างเต็มที่่

และนี่คือการเอ่ยปากยอมรับนับถือที่ชินแทฮวานมีต่อดงซอล

“ไอ้ลูกไม่มีพ่อ” แปลว่า นี่ขนาดมันไม่มีพ่อนะเนี่ย มันยังโตมาทำพิษให้ได้ขนาดนี้ (แปลเองค่ะ เดาเอาจากอาการคับแค้นใจที่นอกจากจะทำอะไรดงซอลไม่ได้แล้วยังโดนเล่นงานกลับอีกด้วย แบบว่าจุกจนไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาด่า)

“ไอ้คนเจ้าเล่ห์” แปลว่า นายแน่มาก และข้าโดนเล่นงานให้เสียหายอีกแล้ว

“ไอ้จิ้งจอก” แปลว่า ช่างมีปัญญา ฉลาดหลักแหลมอย่างน่ายกย่อง และผลประโยชน์ของข้า ถูกมันกลืนกินไปอีกแล้ว
5555 แปลแบบเข้าข้างพระเอกมากมาย

เอาเป็นว่าไม่ขอเล่าว่าสองคนนี้เขาสู้รบตบตีกันอยู่ได้อย่างไรในตลอด 56 ตอนของเรื่อง

เพราะมันคือ สงคราม!

ขอวกมาพูดถึงพระเอกอีกสักครั้งนะ

หลั่งน้ำตาให้พระเอกไปมากมาย เพราะความเป็น พระเอ๊กพระเอก ....เป็น “พี่ชายที่แสนดี” “พี่คนนี้นั้นมีแต่ให้” และเป็น “เบิร์ดรักทุกคนเลย!” แต่ยกเว้นชินแทฮวานนะ

ขอย้ำอีกครั้ง ต่อให้หัวใจของอีดงซอลกว้างใหญ่กว่าภูเขาแทแบ็คสักร้อยเท่า ก็ไม่พอโอบกอดความเลวของชินแทฮวาน และไม่ขอขยายความอธิบายใดๆ ถึงตัวละครคนนี้ เพราะว่าเกลียดมัน! (เป็นเอามาก เข้าใจอารมณ์แม่ค้าอยากเอาทุเรียนตบหน้านางร้ายสาวสวยขึ้นมาทันทีเลยล่ะ)
แต่ที่ร้องไห้ ไม่ได้ร้องเพราะชีวิตบัดซบ สุดรันทด อะไรนั่นหรอกนะคะ เพราะพระเอกไม่ได้มีบุคลิกที่น่าสงสารอย่างนั้น

ออกจะแมน และเท่ห์ เท่ห์ และแมนอย่างนั้น

แต่เป็นเพราะยางซุนฮีค่ะ (แม่ของดงซอล)

พระเอกคนนี้ เคยดูผลงานเรื่องเดียวคือ Autumn ซึ่งตอนนั้นก็ไม่ได้เข้าตากรรมการเลย เพราะกรรมการคนนี้จับจ้องแต่ วอนบิน พระรองแสนดีผู้น่าสงสารคนเดียวเท่านั้น แถมยังทำให้หมั่นไส้ คำว่า “พี่ชาย” เข้าด้วย โอย เศร้าอะไรอย่างนี้ จะรันทดกันไปถึงไหน ยังจำประโยคนึงได้ถึงทุกวันนี้ ประโยคที่บอกกับพี่ชาย “ เค้าอยากเกิดเป็นต้นไม้” มีคนเคยเอามาตั้งคำถามในรายการโทรทัศน์ด้วย ว่าเป็นคำพูดจากละครเรื่องไหน ไม่แน่ใจว่าเป็นรายการแฟนพันธุ์แท้หรือเปล่า มันเป็นประโยคที่เป็นเอกลักษณ์มากเลยนะ คนที่เคยดู Autumn ต้องตอบได้

พาเรื่องแหกผักบุ้งลงคลองไปอีกละ นั่นแหละค่ะ จากนั้นไม่เคยดูผลงานของซงซึงฮุนคนนี้อีกเลย หน้าตาก็ไม่เท่าไหร่นะคะแต่ชอบท่าเดินของเฮียแกตาะ สง่าผ่าเผยดีจริงๆ เรื่องนี้พออยู่ในวงการมาเฟียจะแต่งตัวแบบว่าสวมสูทหรือไม่ก็ใส่ทับสูทด้วยเสื้อโค้ทตัวใหญ่ๆ ตลอดด้วยแหละ ได้เสื้อผ้าช่วย ยิ่งตัวสูงยิ่งดูดี อย่างว่าแหละ ถ้าให้คนสูงน้อยมาเล่นบทนี้ คงดับไปเลย

และนอกจากท่าทางการเดินเหินที่ว่าแล้ว

บุคลิกที่ชอบอีกอย่างคือการแสดงสีหน้าอารมณ์ โดยเฉพาะ ท่าทีปวดหัว และอาการปวดใจ มันจี๊ด มันอึ้ง มันคาดไม่ถึงและพูดไม่ออก .. ส่วนการยิ้ม เอ.. นึกไม่ออกแฮะ เพราะยิ้มน้อยมาก (และคนที่ทำให้พอมีรอยยิ้มได้บ้าง ก็คือกุ๊กจา แฮ่... ชอบนางเอกค่า)



ขอกลับมาเรื่องน้ำตาที่เสียไป

มันมีจุดที่ทำให้ร้องไห้อย่างน่ารำคาญตัวเองบ่อยครั้งมากในช่วง 30 ตอนแรก

และน้ำตาทั้งหมดนั่นก็หลั่งให้แก่พระเอกโดยเฉพาะ และสาเหตุทั้งหมดเป็นเพราะแม่

ยางซุนฮี แม่ของดงซอล และดงอุค (แสดงโดย ลีมีซก Lee Mi Sook) ขอชมป้าด้วยเช่นกันว่าแสดงได้เยี่ยมมากทีเดียว เป็นแม่ดีๆ ที่รู้สึกรังเกียจ เกือบจะเท่าๆ กับชินแทฮวานเลย (เอ๊ะ นี่ชมเหรอ ? ชมจริงๆ นะ) ถ้าใครดูละครเรื่องนี้น่าจะเข้าใจตรงกันว่า ไม่ใช่แค่ชินแทฮวานอย่างเดียวที่ฝังความแค้นสุดจิตสุดใจให้กับดงซอลและดงอุค แต่เป็นเพราะแม่ด้วย

แม่นี่แหละที่วางภาระการแก้แค้นไว้บนบ่าของดงซอล แบบคอยฝังหัวตลอดเวลา

และการที่ดงซอลแทบไม่เคยมีชีวิตเป็นของตัวเอง ก็เพราะแม่อีกเช่นกันที่ปลูกความคิดฝังใจว่า จะต้องแก้แค้นให้พ่อ ทันทีที่ดงซอลหมดอนาคตไปกับสถานกักกันเยาวชนแม่ก็แสดงอาการผิดหวังออกนอกหน้ามาก

กล่าวหาว่าดงซอลละทิ้งหน้าที่ของลูกชายคนโตและได้นำพาชีวิตตัวเองไปสู่ความมืด จากนั้นแม่ก็พูดอยู่ตลอดว่าจะยึดเอาดงอุคเพียงคนเดียวเป็นประภาคารแสงสว่างของชีวิต เพื่อให้ดงอุคได้เรียนหนังสือ เพื่อต่อไปจะได้เป็นอัยการ เพื่อเอาผิดชินแทฮวานมาลงโทษ ทุกๆ คนในครอบครัวต่างก็ใช้ชิวิตแบบเพื่อดงอุค



คือเค้าคงพยายามเขียนบทเพื่อให้มันขมแบบตัวละครแทบกระอักความขมขื่นตายกันเป็นระนาวเมื่อความจริงเปิดเผยว่าดงอุคเป็นใคร

บทแม่นี้ดูยากอยู่เหมือนกัน เพราะต้องระทมทุกข์ตลอดเวลา ตามที่เคยบอกแล้วว่า ละครเรื่องนี้ไม่มีใครที่มีความสุข แม่ที่พูดจาร้ายๆ ใส่ดงซอลอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะอยู่ในภาวะที่เข้าใจดงซอล หรือไม่เข้าใจดงซอล
แต่นี่ก็เป็นจุดดีของหนังเรื่องนี้

จากแง่มุมของพระเอก ( แน่ล่ะ ก็เขาเป็นพระเอกนี่นา) จะเห็นได้ว่า ตลอดทั้งเรื่อง ไม่ว่าจะถูกแม่ ดุด่า ประณามแค่ไหน ดงซอลไม่เคยโกรธแม่เลย นอกจากก้มหน้ารับ ความจริงคือ ยางซุนฮี เป็นคนที่รักลูกๆ มาก แม้จะแสดงออกความรักไปที่ดงอุคชัดเจนกว่า แต่คนดูจะรู้ว่าแม่รักดงซอลไม่ได้น้อยไปกว่ากัน คือ ในคำพูดร้ายๆ ของแม่ ตัวละครในเรื่องเองก็สามารถแปลออกมาเป็นภาษาแห่งความปรารถนาดีได้ และป้าแกก็มีเหตุผล(ของป้าแกคนเดียว)ที่ต้องทำอย่างนั้น

เวลาที่แม่พูดอะไร ตลกดีนะ ที่แม่เล็กของดงซอล (จุงจา) จะคอยแปลความหมายให้เป็นคำพูดดีๆ อีกอย่างหนึ่ง ..นี่น่าจะเป็นสิ่งที่นำมาใช้ได้ เวลาถูกพ่อแม่ดุด่า


แต่ก็ยังอดเกลียดวาจาร้ายกาจของแม่ที่พ่นใส่ดงซอลแบบไม่รู้จักหยุดหย่อนอยู่ดีนั่นแหละ ป้าแกนะไม่เคยดูหน้าดูตาลูกว่าอยู่ในภาวะไหน ต้องระหกระเหินเผชิญชีวิตมาอย่างไร ด่าๆๆๆ และ ด่าๆๆๆๆ นี่ถ้าเปรียบกับว่าแกพยายามรักษาลูกที่ติดยา คงต้องเรียกว่า ป้าแกใช้วิธีหักดิบเอาตลอดชาติ ไม่ว่าลูกจะอยู่ในภาวะย่ำแย่ขนาดจะสิ้นใจอยู่ต่อหน้าแล้วก็ตาม

เป็นแม่ที่รักลูกอย่างมากมายแต่ก็เลือกที่จะใช้ใช้วิธีอย่างใจร้าย เพื่อให้ดงซอลไม่หลงทิศหลงทางไป

ควรจะยกเป็นคุณแม่ตัวอย่างไหมล่ะเนี่ย เพราะวาจาของแม่แต่ละคำ โหดร้ายมากค่ะ ! ฟังแต่ละคำแล้วเจ็บกระดองใจ

นอกจากตัวละครเหล่านี้ยังมีตัวละครที่มีบทบาทสำคัญไม่น้อยเลยคนอื่นๆ อีกที่ชอบ

เช่น จีฮุน แสดงโดย ฮันจีเฮ รักแรกและรักเดียวของมยองฮุนและลีดงอุค ไม่ว่าจะเป็นคนเลวที่รักเธอ และคนดีที่เธอรัก ก็ยากเย็นเข็ญใจด้วยกันทั้งคู่ เธอจะเลือกใคร ?
แม่ของมยองฮุน และ แม่ของดงอุค ( ยางซุนฮี) ต่างก็รักลูกที่ไม่ใช่ลูกที่เลี้ยงมา แต่ก็ไม่ปรารถนาจะปฏิเสธลูกที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขแท้ๆ ของตัวเอง
เฮ้อ! บอกแล้วว่าตัวละครในเรื่องนี้อยู่ในอาการอิหลักอิเหลื่อ กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทุกข์กายทุกข์ใจกันทุกๆ คน

นอกจากนี้ ก็มีนักแสดงหญิงที่ชอบมากอีก 2 คน คือ พยาบาลยูมิเอหรือรีเบ็คก้า ที่เป็นคู่ปรับอีกคนหนึ่งของชินแทฮวานได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ
และแจฮีหรือเจนนิส ผู้หญิงที่เป็นรักเดียวของชินแทฮวาน ... คนนี้เป็นนักแสดงสาวรุ่นใหญ่ที่หน้าตาสวยมากค่ะ

ชอบคุณพ่อฮัน บาทหลวงที่คอยเป็นที่พึ่งทางใจของแม่ๆ ลูกๆ ทั้งหลาย แต่น่าเสียดาย ทุกคนแค่มาหามาระบายความคับแค้นใจ แต่ไม่เคยเชื่อฟังคำสอนที่คุณพ่อฮันพยายามชี้แนะ

และลีดาเฮ ที่รับบทมินเฮริน ที่ทำท่าจะเป็นนางเอกของดงอุคในช่วงแรก และทำท่าจะเปลี่ยนมาเป็นนางเอกของดงซอลในช่วงหลัง แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็มีบทบาทน้อยและไร้ความสำคัญ จนเทียบกันไม่ได้ๆ เลยกับนักแสดงทั้งหมดที่เอ่ยมา จึงไม่แปลกใจเลยที่เธอตัดสินใจออกจากกลางแสดงกลางคัน

ที่สุดของเรื่องนี้

น่ารักที่สุด : กุ๊กจาบอกอายุ 19 กับดงซอลด้วยทัพพี

หวานที่สุด : ไม่มี

ขมขื่นคับแค้นใจที่สุด : เพียบเลย

บีบหัวใจที่สุด : ที่ปัญหาทุกสิ่งอย่างประเดประดังพุ่งเข้าหาดงซอลในช่วงท้ายของเรื่อง

คำพูดที่ชอบที่สุด : “อย่าแตะต้องยองรัน ฉันให้อภัยได้ทุกอย่าง แต่นั่นคือสิ่งเดียวที่ฉันจะไม่มีวันให้อภัยเลย”

“ฉันขอเตือนแก อย่าแตะต้องยองรัน ถ้ายองรันต้องเจ็บที่ไหน ฉันจะไม่ปล่อยแกไว้แน่นอน ฉันจะฆ่าพวกแกให้หมด”

เชย แต่ชอบค่ะ แนวผู้หญิงข้าใครอย่าแตะเนี่ย 5555

คำพูดที่อารมณ์ฉุนกึกที่สุด : ดงอุคเหยียดหยามความรักของของดงซอลกับยองรันว่าเป็น “ความรักราคาถูกๆ” “ความรักที่น่ารังเกียจ” แน่ล่ะสิ ใครๆ ในเรื่องก็บอกให้ดงซอลทิ้งคาสิโน ถ้าไม่อยากตายและอยากจะพ้นจากมาเฟียไปได้ ดงซอลต้องตัดใจทิ้งยองรัน ก็ตัวละครอื่นๆ ไม่ค่อยรู้จักยองรัน นอกจากว่าเธอเป็นลูกสาวกุ๊กแดฮวา คนอื่นๆ ไม่ได้ค่อยได้ปฏิสัมพันธ์จึงไม่รู้ว่ายองรันเป็นคนอย่างไร แต่ดงซอลย่อมจะรู้ ยองรันคือคนที่ให้เห็นค่าของ "คนที่ไม่มีอะไร"อย่างดงซอลไงคะ (เป็นปลื้มอีกละ)

คำพูดที่เจ็บที่สุด : ดงอุคเรียกดงซอลว่า “หมาชั้นต่ำของคาสิโน” อี๊ดดด มันเจ็บจี๊ดดดด

ไม่เข้าใจที่สุด : ทำไมถึงตั้งชื่อเรื่องว่า East of Eden มันไม่เห็นจะเข้ากันตรงไหน งง!

ที่สุดที่สุดของเรื่องนี้ : ยาวที่สุด ดูด้วยความเหน็ดเหนื่อยจริงๆ


สุดท้าย ท้ายสุด ตั้งใจจะเขียนถึงความแสนดีของ "พี่ชาย"
ไหงเขียนออกมาพูดถึงความรักซะเป็นส่วนใหญ่ หว่า ?


รูปภาพจาก

//www.lydyissue.com , //www.dek-dee.com

เรื่องย่อจาก //www.JKDramars.com




 

Create Date : 24 พฤศจิกายน 2552    
Last Update : 30 พฤศจิกายน 2553 0:40:58 น.
Counter : 14941 Pageviews.  

Tokyo Tower "แม่ครับ ผมรักแม่"

"แม่ครับ ผมรักแม่"
มีใครคนนึงบอกว่า คำพูดนี้มันฟังดูเชยๆ ก็เห็นด้วยนะว่ามันเชยสิ้นดี .. พยายามอยู่เช่นกันที่จะหาคำอื่นๆ มาใช้ แต่สุดท้ายก็กลับมาตายรังกับคำๆ นี้เข้าจนได้

ในการทำ blog ของซีรีย์ญี่ปุ่นแต่ละเรื่อง ขอออกตัวไว้ก่อนว่า เป็นการทำเพื่อวัตถุประสงค์ คือ
1. ระบายอารมณ์ความรู้สึกที่มีต่อละครแต่ละเรื่องที่ได้ดูแล้วเกิดอาการนิยมชมชอบอย่างแรง
2. เป็นที่ระลึก เพราะละครที่ดูแล้วมีความสุข กลับมาอ่านกี่ทีๆ ก็ยังมีความสุข
3. เผื่อคนที่อยากอ่านเพื่ออยากดู หรือคนที่ดูแล้วอยากอ่าน ก็ถือว่าเป็นโอกาสได้พูดถึงซีรีย์ดีๆ ไปด้วยในตัว

แต่ด้วยเหตุผลข้อ 1 และ ข้อ 2 อาจทำให้ ข้อ 3 ไม่เกิด เนื่องจาก ข้อ 1 และ ข้อ 2 ทำให้ไม่สามารถเขียนอะไรที่มันสั้นๆ ได้ จึงมักทำสิ่งที่คนเรียกว่า spoil ซะจนเกือบหมด แต่ด้วยเหตุผล ข้อ 1 และ ข้อ 2 อีกเช่นกัน ที่บอกตัวเองว่า จงอย่าได้แคร์ แต่ก็ต้องขออภัยจริงๆ นะคะ ถ้าไปขัดใจใครก็ตามที่ไม่ชอบการ spoil

และการเขียนถึงซีรีย์แต่ละเรื่อง ก็เขียนไปเรื่อยตามความคิด ความรู้สึกที่มีต่อเรื่องนั้นๆ คำพูดอะไรที่จดจำหยิบยกมา อาจจะตรงบ้างไม่ตรงบ้างกับที่ตัวละครพูดจริงๆ ..ก็เพราะความจำที่ไม่อาจจะจำได้ทุกคำเป๊ะๆ.. แต่ก็ชอบยกมา ด้วยเหตุผลที่ว่ามันเป็นคำพูดดีๆ ..

ออกตัวแรงซะตัวโก่งขนาดนี้ เพราะอยากจะบอกว่า ...ตั้งใจจะบอกเล่าถึงซีรีย์เรื่องนี้อย่างสุดหัวใจกันเลย (เป็นเด็กต่างจังหวัดเหมือนกันกับมาคุง เนื้อหาเรื่องนี้เลย "โดนใจอย่างแรง" )



Tokyo Tower - Mom & Me, and sometimes Dadหนังยอดเยี่ยมแห่งปี คว้าใจนักวิจารณ์และเรียกน้ำตาผู้ชมทั่วประเทศ

เคยถามตัวเองไหมว่า ...ระหว่างความฝัน กับคนที่รักเรา ... อะไรมีค่ามากกว่ากัน?

และเพียงประโยคสั้นๆ ทว่ากินใจดังกล่าวได้ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ เปิดตัวขึ้นอันดับ 1 ทันทีที่ออกฉาย ซึ่งนอกจากจะทำเงินเหนือความคาดหมายแล้ว ภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวยังได้รับเสียงตอบรับอย่างล้นหลามจนทำให้ไปคว้ารางวัล Japan Academy Award ( รางวัลออสการ์ญี่ปุ่น ) : ซึ่งถือเป็นรางวัลที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดในประเทศญี่ปุ่น

โดยคว้ารางวัลไปทั้งหมด 5 รางวัล ในสาขา ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม นักแสดงนำฝ่ายหญิงยอดเยี่ยม บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ผู้กำกับยอดเยี่ยม นักแสดงสนับสนุนชายยอดเยี่ยม ซึ่งถือว่าเป็นภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จบนเวทีนี้มากที่สุดในปีที่ผ่านมา โดยสามารถเอาชนะหนังดังอย่าง ALWAYS 2 ไปได้



Tokyo Tower - Mom & Me, and sometimes Dadถ่ายทอดเรื่องราวจากความทรงจำของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ที่มีให้แก่แม่ของเขา เรื่องราวของ เด็กหนุ่มผู้เปี่ยมความฝัน ที่เดินทางจากบ้านเกิดตัวเอง เพื่อมุ่งหน้าสู่โตเกียว ด้วยความหวังว่าสักวันหนึ่งเขาจะประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียงโด่งดัง "ลูกชาย" รับบทโดย โจ โอดางิริที่เป็นหนึ่งในเด็กหนุ่มเหล่านั้น เขาหลงใหลไล่ตามความฝันของตัวเองอยู่นานปี และใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยไปวันๆ โดยหวังว่าสักวันเจะประสบความสำเร็จ จนวันหนึ่งเขารู้ข่าวว่า แม่กำลังป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย และนั้นคือจุดเริ่มต้นของการที่ผู้ชายคนหนึ่ง ได้เรียนรู้คุณค่าของการมีชีวิตอยู่อีกครั้งหนึ่ง ผ่านความทรงจำแห่งความรักที่แม่มีให้แก่เขา

ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างจากนวนิยายขายดีในญี่ปุ่นที่ทำยอดขายกว่า 2 ล้านเล่มที่ เขียนโดยนักเขียนอัจฉริยะ ลิลลี่ แฟรงกี้ ที่เขียนถึง ความทรงจำที่มีให้แก่มารดาของเขาที่เสียชีวิตไปหนังสือฮิตจนถูกไปสร้างเป็นละคร และต่อมาก็ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ฝีมือการกำกับโดย โจจิ มัตสึโอกะ นำแสดงโดย โจ โอดางิริ, คิคิ คิริน, ทาคาโกะ มัตสึ และ คาโอรุ โคบายาชิ (ข้อมูลจาก //www.kapook.com)

เนื้อเรื่องย่อจาก //www. nungdee.com

พ่อของผม ถูกหักอกโดยมหานครโตเกียว เขาเดินทางกลับบ้านเกิด, ส่วนผม ทิ้งบ้านเกิดเพื่อเดินทางสู่เมืองใหญ่ จนทำให้หลงลืมคนที่อยู่ข้างหลัง แม่ของผมคือผู้หญิง ผู้มั่นคง แต่ภาระทำให้เธอต้องละทิ้งความสุขส่วนตัว ความใฝ่ฝันสูงสุดของเธอคือการที่ได้ไปยืนอยู่บนหอคอยโตเกียวพร้อมกัน พ่อ แม่ ลูก

พวกเขาทั้งคู่ตัดสินใจแต่งงานกันตั้งแต่ตอนวัยรุ่น โดยที่แม่คิดว่านี่ผู้ชายที่เธอรัก และความรักคงจะเปลี่ยนเขาได้ สามารถหยุดอารมณ์รุนแรงเวลาที่เขาเมาได้ แต่แล้ววันหนึ่งความอดทนของแม่ก็ถึงขีดสุด เมื่อพ่อเมากลับบ้านและระเบิดอารมณ์ใส่ผม ผมจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น รู้เพียงแต่ว่า จากนั้นแม่เลี้ยงผมมาโดยลำพัง แม่ไม่เคยบ่นว่าเหนื่อย ไม่เคยบอกว่าไม่ได้ เวลาผมเอ่ยปากขออะไร ทุกครั้งที่ผมกลับมาบ้านจะมีอาหาที่แม่ทำไว้รอผมอยู่ที่บ้านเสมอ

เมื่อผมโตขึ้นผมบอกแม่ว่า ผมจะไปโตเกียว ไปทำความฝันของพ่อที่จะเป็นจิตรกรให้เป็นจริง ผมเชื่อว่าผมจะต้องทำได้ แม่ให้ผมไปโดยไม่เคยทัดทานอะไรเลย แม่ส่งเงินมาให้ผมเสมอ เวลาที่ผมเดือดร้อน เวลาผ่านไปเนิ่นนานหลายปี ผมก็ยังคงหวังเสมอว่าสักวันผมจะประสบความสำเร็จให้แม่ได้ภูมิใจ แต่แล้ววันหนึ่งผมเพิ่งได้ข่าวว่าแม่ไม่สบาย แม่ไม่เคยบอกผมมาก่อนว่าแม่ป่วย .. ด้วยโรคมะเร็งระยะสุดท้าย

"แม่ครับ จากนี้เวลาผมกลับบ้าน จะมีใครคอยทำกับข้าวไว้รอผมไหม .... ผมขอโทษครับแม่และผมอยากให้แม่มาอยู่กับผมที่โตเกียวนะครับ"

ลูกชายผู้ไม่เอาไหน

*******************************

สองบรรทัดสุดท้าย ทำเอาน้ำตาพาลจะไหล เพราะอารมณ์จากที่เคยดูซีรีย์กระเตื้องขึ้นมาอีกครั้ง เป็นหนังอีกเรื่องที่อยากหามาดู แต่ยังไม่ได้หามาดู แต่ไม่ว่ายังไงจะต้องหามาดู

(เอ๊ะยังไง เอาแต่พูดจาวกวน)
ทั้งที่ซีรีย์ก็ดูมาแล้ว ก็ยังอยากจะดูหนังอีก ถ้าเจอหนังสือก็จะหามาอ่านด้วย ดูเหมือนเป็นพวกย้ำคิดย้ำทำนะคะ แต่จะทำไงได้ อะไรที่ทำให้รู้สึกดี ถ้าได้รู้สึกดีอีกซ้ำๆ มันก็ยิ่งดี ใช่มั้ยล่ะคะ ว่าแล้วก็ขอพูดถึง Tokyo Tower : แม่ครับ ผมรักแม่ กันเลยดีกว่า



เป็นอีกหนึ่งเนื้อหาอัน "งดงาม" ของซีรีย์ญี่ปุ่น ที่ลูกๆ ทุกคนไม่ควรพลาด
ดูแล้วคิดถึงแม่ ดูแล้วคิดถึงพ่อ ดูแล้วจะต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรกลับบ้าน
ดูแล้วทำให้คิด และถามตัวเองว่า ที่ผ่านมา..เป็นลูกที่ดีพอของพ่อและแม่แล้วหรือยัง ?

อันที่จริง ตัวเราเองก็ไม่ได้ถือว่าเป็นลูกเลวเกวอะไรหรอกนะคะ คิดว่าก็เป็นลูกที่ดีคนนึงและตอบแทนพระคุณพ่อแม่อยู่แล้ว แต่เมื่อได้ดูซีรีย์เรื่องนี้ ..ก็อดถามตัวเองไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละว่า เท่าที่ทำมามันยังน้อยไปหรือเปล่า ? มันทำให้ต้องคิด และเริ่มมองหา ว่ามีสิ่งอื่นใดอีกไหม ที่จะตอบแทนพระคุณได้มากกว่านี้ ยังมีอะไรอีกไหมที่พอจะทำได้ แล้วทำให้พ่อแม่มีความสุขกับชีวิตในบั้นปลายมากขึ้น

เพราะถ้าหากไม่รีบทำเสียแต่วันนี้ หากเวลาและโอกาสที่เราคิดว่า "ยังมี" มันหดสั้นเข้ามาอย่างไม่ทันคาดคิดล่ะ ?

คุณเคยคิดถึงเรื่องพวกนี้กันไหมคะ โดยเฉพาะเด็ก ตจว. ที่จากบ้านนอกคอกนาเข้ามาสู่เมืองกรุง พ่อแม่ทำงานหนักส่งเสียเงินทองมาให้เรียนหนังสือ เมื่อเรียนจบก็ยังอยู่เมืองกรุงเพื่อทำงานหาเงิน ไม่ต่างอะไรกับมาคุง พระเอกของเรื่องนี้ 3-4 เดือน ได้กลับบ้านที หรือบางคนอาจจะนานกว่านั้น ปีละครั้ง 2 ปีครั้ง เมื่อคุณกลับบ้านไป เคยรู้สึกใจหายไหม เมื่อเห็นพ่อแม่ของคุณแก่เฒ่าลงไป เมื่อคนเราแก่.... วันนึงก็ต้องตาย และเมื่อวันนั้นมาถึง ..แน่นอนว่า เราต้องเสียใจที่พวกเขาไม่อยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไปแล้วแต่วันนั้นมันจะหนักหนาเกินไปไหม ถ้าเราต้องเสียใจทบเท่าทวีคูณ กับความรู้สึกที่ว่า เรายังไม่ได้ทำอะไรที่ "สมควรทำ" ให้พวกเขาเลย

คนอื่นๆ ดูเรื่องนี้แล้วรู้สึกอย่างไรกันบ้างไม่รู้นะคะ แต่นี่แหละค่ะคือสิ่งที่ Tokyo Tower ได้ให้ความหมายดีๆ กับชีวิต ด้วยเนื้อหาที่ไม่ได้หวือหวาอะไร ก็แค่เรื่องราวของแม่ที่รักลูก และลูกที่รักแม่ อาจจะมีเกเร หลงเดินทางผิดไปบ้าง แต่ยังไงก็ยังคงรักแม่ เรื่องราวที่พบเห็นได้ในชีวิตปถุชนคนทั่วไป แต่ในความธรรมดาๆ นั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยสาระดีๆ และแง่คิดอันดีงาม


เรื่องก็มีอยู่ว่า ..

หลังจากพ่อกับแม่ต้องแยกทางกัน มาคุง(แสดงโดย Hayami Mokomichi)ก็ใช้ชีวิตอยู่กับแม่มาโดยตลอด เขาจึงเป็นลูกชายที่เป็น "ลูกแหง่" ของแม่ คือทำอะไรด้วยตัวเองไม่ค่อยได้ หรือไม่ค่อยเป็น จะทำอะไร.. ก็ต้องมีแม่..คอยช่วย คอยดูแล เริ่มต้นจากการลืมตาตื่นขึ้นมาเผชิญโลกในทุกๆ วัน เมื่อมาคุงมีนิสัยถาวรที่แก้ไม่ได้อย่างหนึ่งคือ การตื่นสาย เมื่อตื่นไม่ได้ ก็ต้องมีแม่คอยปลุก แม่เตรียมอาหารเช้า อาหารเย็น เมื่อตอนยังเด็ก แม่จูงมือไปโรงเรียน เมื่อมาคุงร้องไห้ แม่ก็ต้องไปแอบเฝ้าที่โรงเรียน (นึกถึงเพื่อนๆ สมัยอนุบาลแรกเข้า ที่ต้องมีแม่หรือพ่อมานั่งเฝ้า เพราะลูกร้องไห้จะไม่อยู่โรงเรียนท่าเดียว ..แต่นั่นเป็นเรื่องของเพื่อนจริงๆ นะคะ ส่วนตัวเองไม่ร้องไห้ แม่ไม่ต้องเฝ้า ..เด็กเก่งค่ะ อิอิ ) มาคุงที่ย้ายมาเมืองโคคุระใหม่ๆ เมื่อถูกรังแกแม่ก็คอยปกป้อง เมื่อไม่มีเพื่อน แม่ก็หาเพื่อนให้ แม้แต่ตอนกลัวแมลงสาบแม่ก็คอยไล่มันไป..

แม่คือทุกๆ อย่างของมาคุง

ส่วนโอโต้ซัง พ่อของมาคุง ที่วนเวียนมาพบเจอมาคุงกับโอก้าซังเป็นครั้งคราวนั้น ไม่ต้องไปพยายามทำความเข้าใจแกหรอกค่ะ เพราะเราจะไม่เข้าใจ ดูเหมือนรักทั้งมาคุงและโอก้าซังมาก แต่ไหงอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวไม่ได้ก็ไม่รู้

เมื่อเริ่มโตเป็นวัยรุ่น มาคุงก็เริ่มรู้สึกอายกับการเป็นลูกชายแหง่ของตัวเอง เริ่มต่อต้านและปฏิเสธแม่ ( คาดว่าเด็กวัยรุ่นโดยส่วนใหญ่ก็มีอาการของโรคร้ายเล็กๆ นี้ไม่ต่างกันนัก) การช่วยเหลือ ดูแล ห่วงใย กลายเป็นการเข้ามา "ยุ่ง" ให้น่ารำคาญ และน่าอาย .. ก็ผมไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะ อย่างชื่อ "มาคุง" ก็เป็นชื่อที่แม่เรียกลูกชายมาตั้งแต่เด็กๆ พอลูกชายโต ก็หน้างอใส่แม่แล้วบอกว่า

"อย่าเรียกผมว่ามาคุง "
"เรียกอยู่ได้ว่ามาคุงๆ "
"เมื่อไหร่ แม่จะเลิกเรียกผมว่ามาคุงซะที"

(ชื่อเต็มๆ ของพระเอก ถ้าจำไม่ผิด คือ นาคากาว่า มาซายะ แต่ที่แม่เรียก "มาคุง" น่าจะเป็นการเรียกแบบรักและเอ็นดู--คิขุอาโนเนะ ทำให้มาคุงไม่ชอบที่แม่เรียกตัวเอง "มาคุงๆ")



ใครๆ ก็ว่ามาคุงเป็นลูกแหง่ ตัวมาคุงเองก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นลูกแหง่ มันจึงหงุดหงิดหัวใจจริงโว้ย ที่จะอยู่ลำพังโดยขาดแม่ไม่ได้ ...และมันฮึดขึ้นมาแฮะ ลูกผู้ชายนายมาคุงจึงอยากจะอยู่ให้ได้ด้วยตนเอง อยากจะมีชีวิตที่เป็นอิสระ ...เพราะถ้ายังอยู่กับแม่ ก็หนีไม่พ้นต้องเป็นลูกแหง่ที่คอยพึ่งแต่แม่อยู่ดี มาคุงจึงคิดจะไปเรียนต่อทางด้านศิลปะที่มหาวิทยาลัยในโตเกียว

ถ้าคิดกันตื้นๆ ดูเหมือนว่า เจ้ามาคุงนี่โตมา ก็ยโสโอหังซะเหลือเกิน ปีกกล้าขาแข็งเข้าหน่อย ..ก็คิดจะบินเดี่ยวไม่เหลียวแลแม่ แต่ละครได้ถ่ายทอดความคิดของมาคุงออกมา ที่บ่งบอกให้รู้ว่าไม่ใช่อย่างนั้นซะทีเดียว

แต่ผม ไม่สามารถเป็นเด็กได้ตลอดไปนี่
ผมแค่คิดว่าผมควรจะไปตามทางของผม
แม่คงไม่ทำอะไรอย่างอื่น นอกจากเอาแต่ยุ่งเรื่องของผม
มันคงจะดีนะ ถ้าแม่สามารถทำในสิ่งที่ชอบกับชีวิตของแม่เอง

น้ำเสียงอาจจะเจือความไม่ค่อยพออกพอใจกับชีวิตลูกชายแหง่ของตัวเองอยู่บ้าง

แต่ลึกลงไปมาคุงก็สำนึกดีว่าว่าแม่รักและทุ่มเททำทุกสิ่งอย่างเพื่อตัวของมาคุงเอง

ยังไงก็เถอะ...พอกันทีกับการเป็นลูกแหง่..
มาคุงจะติดปีกโบยบินไปที่โตเกียว
แต่มาคุงไม่มีปีก ... จะไปสอบเข้ามหาวิทยาลัยต้องใช้ค่าเดินทาง...
ฮะ ฮะ ฮะ เสียงน้า (หรือป้านี่แหละ) หัวเราะเยาะ จะอยู่ได้ด้วยตัวเองเหรอ ...

เธอมีเงินหรือเปล่า แล้วจะเอาเงินจากไหนเดินทางไปสอบ ถ้าไม่ขอเงินจากโอก้าซังแม่ของเธอ

อ้าว! การสลัดคราบลูกแหง่ของมาคุง ไม่ทันเริ่มต้นก็มีปัญหาซะแล้ว ..ถ้างั้นป้าครับ ผมขอยืมเงินหน่อย
แต่นั่นแหละ สุดท้ายหนุ่มน้อยมาคุงก็ต้องใช้เงินของแม่ เดินทางไปสอบที่โตเกียว
จะมีสักกี่คนที่คุ้นเคยกับความฝันของลูกว่าอยากจะเป็น "นักวาดการ์ตูน"

จะมีใครสักกี่คนที่เชื่อว่าอาชีพนี้มันจะให้อนาคตที่ดีและมีชีวิตที่ประสบความสำเร็จ
แต่เมื่อมันเป็นความฝันของลูก ถ้าคนเป็นพ่อแม่เองยังไม่ยืนหยัดที่จะสนับสนุน แล้วใครเล่า จะทำ...

นั่นแหละคือ สิ่งที่โอก้าซังทำ ..สนับสนุนความฝันของลูก ไม่ว่ามาคุงอยากจะทำ อยากจะเรียนอะไร โอก้าซัง ก็พร้อมสู้เพื่อฝันนั้นด้วยเต็มที่

แล้วมาคุง ก็สอบได้

มาคุงออกจะขัดใจ นึกว่าแม่จะโศกาอาลัยอาวรณ์ ที่ไหนได้ จัดงานเลี้ยงเพื่อนบ้านที่มาเลี้ยงฉลองกันพร้อมหน้าพร้อมตา เฮฮาปาร์ตี้ ใส่หน้ากากตัวตลกร้องรำทำเพลงเป็นที่ตลกโปกฮา .. ซะงั้น!

แต่ก็อีกนั่นแหละ ลึกลงไปในใจ มาคุงก็รู้ แม่คงรู้สึก เช่นเดียวกับมาคุงรู้สึก สองคนเคยอยู่ด้วยกันมาตลอด ..แต่ต่อไปนี้ ต้องจากกันแล้ว

มันใจหาย.. เหงา และเป็นห่วง .. แม้ในละครจะไม่ได้ถ่ายทอดเป็นคำพูด แต่คนดูจะเข้าใจมันอย่างดี

ถึงยังไง มาคุงก็จะไปโตเกียว และจะอยู่ให้ได้ด้วยตัวเอง

****

บอกแล้วไงว่าไม่ต้องมาส่ง ....แต่ที่สถานีรถไฟแม่ก็มา แม่ไม่ได้ร้องไห้ ...
แต่ข้าวกล่องของแม่ เงินของแม่ และจดหมายของแม่ ทำให้มาคุงต้องร้องไห้ซะมากมายเมื่อพ้นสายตาของแม่ที่วิ่งตามรถไฟมาส่ง

*****



ชีวิตอิสระ....อิสระแล้วโว้ย
( อิสระตรงไหนวะ ก็ยังใช้เงินที่แม่ส่งมาให้ทุกเดือน)

เมื่อเข้าเรียนมหาวิทยาลัย อะไรๆ ก็ไม่เป็นอย่างที่คิด แม้มาคุงจะมีพรสวรรค์และฝีมือมาพอตัว แต่เมื่อมาเจอกับคนที่ฝึกฝนมาอย่างดีและมีแต่คนเก่งๆ ก็ทำให้มาคุงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกด้อยกว่า .....เพื่อจะปรับตัวเข้ากับสังคมใหม่ มันต้องใช้เงิน เสื้อผ้าหน้าผม ข้าวของเครื่องใช้ อุปกรณ์การเรียน ...มันต้องดูดีมีราคาและดูมีภูมิ เงินที่แม่ทำงานหนัก อาบเหงื่อตากน้ำ ทำงานทุกอย่างที่ทำได้ งานประจำ งานพาร์ทไทม์ จนมีเวลากินข้าวกลางวันแค่ 15 นาที สูญไปกับการใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายของมาคุง ..เงินหมด การเรียนก็ไม่ดีนัก ในเมื่อการปรับตัวเข้ากับสังคมเมืองใหญ่มันไม่ง่ายอย่างที่คิด ก็แก้ปัญหาด้วยวิธีง่ายๆ คือหนีหน้าจากมันไปซะเลย

มาคุงเริ่มโดดเรียน เริ่มเอาชีวิตของพวกพ้องที่ไม่ค่อยเอาไหนไร้การศึกษา หากินโดยการลักขโมยเอาบ้าง และเป็นพวกที่ถูกมองว่าใช้ชีวิตอยู่อย่างไร้ค่ารอบตัวในหอพักของตัวเองเป็นแบบอย่าง .. ไม่ต้องเรียนมหาวิทาลัย ก็สามารถใช้ชีวิตอยู่ด้วยตนเองได้ในโตเกียว...(แต่มาคุงก็ยังใช้เงินที่แม่ส่งมาทุกเดือน) และคนเหล่านั้นก็คือเพื่อนที่มาคุงคบหาได้อย่างสนิทใจมากกว่าเพื่อนๆ ที่มหาวิทยาลัย

ต่อมาก็คิดเลิกเรียนเข้าจริงๆ แถมยังถูกหลอกให้เอาเงินไปลงทุนจนหมดตัว ไม่มีเงิน ไม่มีข้าวกิน ( แต่เหนือสิ่งอื่นใดที่อดจะซึ้งใจไม่ได้ มาคุงไม่ใช่คนไม่รู้สำนึก...เงินหมดแค่ขอแม่มาเพิ่ม โอก้าซังก็คงจะดิ้นรนหามาให้ แต่มาคุงก็ถือว่าทนสุดๆ กับการอยู่อย่างอดมื้อกินมื้อ เพื่อรอเงินของแม่ในเดือนใหม่ )

ในช่วงวิกฤตของชีวิต ...ใครล่ะจะมาเหลียวแล ถ้าไม่ใช่ผู้หญิงแก่ๆ คนหนึ่ง ที่หอบสังขารอันร่วงโรยจากการทำงานหนักมาไกลถึงโตเกียว

เมื่อได้ข่าวจากเพื่อนของลูกชายว่า "มาคุงป่วย"

แม่ได้พูดอะไรมาก แต่อาหารของแม่ และ .."มือของแม่" เยียวยาได้ทั้งไข้กาย และไข้ใจ

หลังจากแม่กลับไปโคคุระ มาคุงก็สำนึกอะไรได้บางอย่าง

สลัดอาการใจเสาะ สลัดโรค "ลูกผู้ชายใจปลาซิว"...ฮึดสู้และกลับไปเรียน ... จนจบการศึกษา

แต่จบในสาขานักวาดการ์ตูน มันจะรุ่งกันได้ง่ายๆ เหรอ ... เพื่อนๆ ดูเหมือนจะพากันไปได้ดีเมื่อตัดสินใจเลือกทำงานอาชีพอื่นๆ ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขีดๆ วาดๆ โดยตรง

ตรงกันข้ามกับมาคุง ผู้มุ่งมั่นจะเดินตามฝันและทำในสิ่งที่รัก (หรือจะเรียกว่าพวกหยิบโหย่ง เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อก็ไม่รู้นะ) แต่กลับตกต่ำลงไปเรื่อยๆ ไม่มีงาน ไม่มีเงิน ไม่มีที่พัก เพราะถูกไล่ออกจากหอพักที่ไม่ได้จ่ายค่าเช่า ... ตกต่ำถึงกับต้องระเห็ดไปนอนอยู่ตามสวนสาธารณะ

จะโทษใครได้ เมื่อเห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่โชคชะตา แต่เป็นเพราะว่า มาคุง "ทำตัวเอง"

แล้วอะไรล่ะ ที่จะฉุดมาคุงขึ้นมาจากวังวนของความตกต่ำนี้...

ก็ลูกผู้ชาย เมื่อถึงที่สุดแล้ว ... มันก็หมาจนตรอก ถ้าไม่สู้ก็อดตาย ถ้าไม่ตายก็อับอายที่เกิดมาแล้วเสียชาติเกิด แถมยังเกิดมาจากท้องของคนสู้ชีวิตอย่างโอก้าซังซะด้วยแน่ะ โอก้าซัง ที่เป็นยอดหญิงนักสู้ และสมควรได้รับฉายา "สตรีเหล็ก" มาคุงก็ลูกแม่ จะยอมแพ้กับชีวิตเพียงแค่นี้ก็ให้มันรู้ไป

เมื่อชีวิตคนเราดิ่งลงเหว ก็มีแค่สองสิ่งเหลือไว้ให้เลือกทำ นั่นคือ

ถ้าไม่พยายามป่ายปีนกลับขึ้นมา ก็จงตายอยู่ก้นเหวนั่นซะ

และมาคุงก็เลือกที่จะฮึดสู้อีกครั้ง มาคุง สู้โว้ย!

แต่ก็อีกนั่นแหละ ..ชีวิตคนเรา ใช่ว่ามันจะราบรื่นได้ตลอด คนที่เคยตกเหวแล้ว ใช่ว่าจะไม่พลาดตกลงไปอีก ต่อให้ผ่านอุปสรรคมาหนักหนา ก็ไม่ได้หมายความว่าหลังพายุฝนฟ้าจะยังคมแจ่มใจตลอดไป

ชีวิตคนก็คงเหมือนฤดูกาล ผ่านฝนผ่านฟ้า ผ่านร้อนผ่านหนาว วนเวียนอยู่อย่างนั้น คนที่เคยเจอเรื่องแย่ๆ ผ่านมาในชีวิต จึงไม่ต้องแปลกใจ หากจะเจอเรื่องแย่ๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีก

มาคุง ก็เช่นกัน

อะไร ๆ ก็เกือบจะเข้าที่เข้าทาง มีที่พัก มีข้าวกิน มีงานทำ แถมยังเป็นงานวาดที่ตัวเองรักซะด้วย จะมีสักกี่คนที่โชคดีได้ทำในอาชีพที่ตัวเองรักและใฝ่ฝันที่จะทำมันจริงๆ แม้จะเริ่มต้นอย่างขลุกขลักก็เถอะ

แต่แล้ว โอก้าซัง ผู้ตรากตรำทำงานหนัก ก็ล้มป่วยลง

ถึงการรักษาจะผ่านพ้นไปด้วยดี แต่เมื่อมาคุงมีอาชีพอยู่ที่โตเกียว แล้วใครล่ะจะคอยดูแลผู้หญิงแก่ๆ ที่เริ่มไม่ค่อยแข็งแรงคนนี้

วูบหนึ่งของความคิดที่ผ่านมาจากความรู้สึก ... เมื่อมองตามแผ่นหลังของแม่

"แม่ครับ แม่อยากไปอยู่โตเกียวกับผมมั้ย"

มาคุงอาจพูดออกมาแค่เพราะอารมณ์มันพาไป ก็ใครจะคิดว่าโอก้าซัง แม่แก่ๆ ที่ใช้ชีวตอยู่บ้านนอกมาเกือบทั้งชีวิต จะตัดสินใจ ย้ายเข้ามาอยู่โตเกียวกับลูกชายง่ายๆ

คำพูดลูกผู้ชาย พูดแล้วเอาคืนไม่ได้ แม้มาคุงนึกอยากจะเปลี่ยนใจ ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว เพราะท่าทีของโอก้าซังบ่งบอกว่า "ตื้นตัน" กับคำชวนของลูกมากแค่ไหน

การแสดงออกความรักของลูกผู้ชาย บางครั้งมันก็อธิบายยาก ดูอย่างเจ้ามาคุงคนนี้

หมือนจะไม่ค่อยพูดจาหวานๆ ดีๆ กับแม่สักเท่าไหร่ ออกอาการหงุดหงิดรำคาญด้วยซ้ำไป เหมือนจะไม่เต็มใจให้มาอยู่ด้วยจริงๆ เท่าไรนัก

แต่สิ่งที่มาคุงทำ คือหาที่พักแห่งใหม่ ที่ใหญ่โตขึ้น ที่ๆ จะเป็น "บ้าน" ให้แม่ได้อยู่สบายมากขึ้น

เพราะโอก้าซังเป็น "แม่" รักและปรารถนาดีต่อทุกๆ คน และเพราะเพื่อนผู้ไม่เอาถ่านของมาคุงแต่ละคน ล้วนไกลบ้าน ขาดความรักความอบอุ่นจากครอบครัว ทุกคนจึงโหยหาความอบอุ่นของแม่ .....และโอก้าซังก็กลายเป็นแม่ให้พวกเขา

บ้านของมาคุง จึงไม่เคยว่างเว้นจากเพื่อนๆ เปิดประตูรับหน้าใครกี่ครั้ง ก็ถามคำถามเดียวกัน

"แม่อยู่ไหม"

นี่ถ้าโอก้าซังเป็นสาวๆ คงเรียกได้ว่า เป็นบ้านสาวที่หัวกระไดไม่เคยแห้ง

มาคุงจึงออกอาการเซ็งเป็ด! เพราะใครต่อใคร ที่มาบ้าน ไม่ได้พากันมาหามาคุง แต่มาหาแม่...(แม้แต่แฟนของมาคุงเอง ก็ถามหาแม่)

แหงล่ะ ก็แม่หุงข้าว ทำกับข้าวเผื่อทุกคน แม่ยิ้ม หัวเราะ และใส่ใจกับทุกข์สุขของแต่ละคน

แต่การที่แม่รักพวกเขาทุกคน มันไม่ได้ใช้แค่จิตวิญญาณของการเป็นแม่ แต่ใช้เงินของมาคุงด้วย มาคุงเริ่มคิดถึงภาระค่าใช้จ่าย คิดถึงค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำค่าไฟ ค่าอาหาร ที่ต้องใช้จ่ายไป จึงไม่แปลกอะไรถ้ามาคุงจะรู้สึกว่าเงินที่ทำมาหาได้ ต้องมาสิ้นเปลืองหมดไปกับปากท้องของเพื่อนๆ ที่มาฝากท้องกับอาหารของแม่ไม่ได้ขาด

มันทนไม่ไหวแล้วโว้ย! คำ "นี่มันบ้านของผมนะ" จึงหลุดปากออกไปใส่หน้าแม่ ความหมายคือแม่ไม่มีสิทธิ์จะเปิดประตูและรับเลี้ยงดูใครตามใจชอบ และดูเหมือนจะเป็นการขับไล่แม่กลับบ้านนอกไปกรายๆ

แต่อะไรล่ะ จะทำให้มาคุงได้คิด .. ว่าวันนี้ โชคดีแค่ไหนแล้ว ที่ยังมีแม่และยังได้อยู่ด้วยกัน

วันไหนที่ไม่มีแม่ ... แล้วจะรู้สึก บางครั้งปรัชญาชีวิตง่ายๆ คนการศึกษาสูงก็คิดไม่ออก

คนที่หลายต่อหลายครั้ง คอยเตือนสติและฉุดความคิดของมาคุงไม่ให้หลงเอาคนที่ไม่ควรเป็นแบบอย่างมาเป็นแบบอย่าง แต่ให้มองชีวิตอย่างเข้าใจและดูไว้เป็นตัวอย่างชีวิตที่ไม่ควรเดินตาม...ก็คือเพื่อนผู้ไม่เอาไหนของมาคุงนั่นเอง มาคุงโชคดีกว่าพวกเขาแค่ไหนแล้วที่มีแม่คอยดูแลอยู่ใกล้ๆ และเพื่อนเหล่านี้ก็เริ่มมีชีวิตอย่างมีจุดหมายปลายทางมากขึ้น เมื่อมีแม่ของมาคุงคอยเป็นที่พักพิงใจ

ลมแรงแห่งความไม่เข้าใจระหว่างมาคุงกับแม่ปลิวผ่านพ้นไป แต่พายุลูกใหญ่ก็กำลังจะพัดผ่านเข้ามา



แม่ป่วยอีกแล้ว

ด้วยโรคมะเร็ง หนึ่งในตัวแทนความยุติธรรมที่ไม่เคยปราณีใคร ไม่เคยเลือกยากดีมีจน คนดีหรือคนเลว แม้จะเคยรักษาจนอาการดีขึ้นมาครั้งนึงแล้ว แต่มะเร็งเป็นโรคดื้อด้าน มันอาจจะเคยถูกกำจัดตัดไป แต่ไม่มีเสียล่ะที่จะยอมสิ้นลายให้เสียศักดิ์ศรีโรคร้ายที่ฆ่าไม่ตายไปได้ง่ายๆ

ปัญหาเดิม ๆ เกิดขึ้นอีก ไม่ต่างกับครั้งแรก

คือ แม่ไม่ยอมรักษา ตามวิธีที่หมอแนะนำ ... แม่ยอมทนทุกข์กับโรคภัย ดีกว่าจะมีชีวิตยืนยาวต่อไปอย่างเจ็บปวด

เพราะหลังการรักษา มีโอกาสสูงที่แม่จะเปล่งเสียงพูดจาไม่ได้ แล้วแม่จะทนมีชีวิตอยู่ได้ยังไง ถ้าแม่พูดคุยกับมาคุงไม่ได้อีก

"ถ้างั้นผมจะเรียน ผมจะเรียนภาษาใบ้ เราจะเรียนภาษาใบ้ด้วยกัน"
(โถ ..เจ้ามาคุงของเจ้ ถึงจะตัวผอมเกร็น หน้าตาดำๆ น้ำเสียงฟังดูกระโชกโฮกฮากเล็กๆ คล้ายไม่ค่อยสบอารมณ์อยู่เสมอยามพูดกับแม่ แต่ก็พูดในสิ่งที่ทำให้น้ำตาต้องไหลออกมา)

ภาษาใบ้ อาจจะช่วยแก้ปัญหานั้นได้ แต่แม่ก็ยังค้างคาใจกับปัญหาสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง นั่นคือ การรักษามันต้องใช้เงิน ไม่ว่าใครจะเกลี้ยกล่อมอย่างไร โอก้าซังก็ไม่ยินยอม ที่จะให้ตัวเองกลายเป็นปัญหาของมาคุง

"อะไรทำให้แม่คิดแบบนี้
จะเกิดปัญหางั้นเหรอ
เราเป็นครอบครัว
ไม่มีทางที่แม่จะเป็นปัญหา
ถ้าแม่ตายไปสิ
นั่นล่ะ ..ปัญหาใหญ่ของผมเลย"

เออ..จริงว่ะ ... พูดอีกก็ถูกอีก โอก้าซัง ก็น่าจะเห็นว่ามันถูก มาคุงใช้ชีวิตอยู่กับแม่มาตลอด เพิ่งจะเคยแยกกันไปก็ตอนมาคุงเรียนมหาวิทยาลัย แต่นั่นแม่ก็ไม่ได้จากไปไหน แค่ห่างตัวไม่ได้ห่างใจ..แม่ยังอยู่ที่นั่น อยู่เป็นความอุ่นใจของมาคุง หลังเรียนจบก็ยังได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง

มาคุงยังไม่พร้อมที่จะใช้ชีวิตตามลำพังคนเดียว แม่ที่เคยสู้ชีวิตมาตลอด ก็คงไม่พร้อมยอมแพ้ให้แก่โรคภัย และทอดทิ้งมาคุงไปง่ายๆ

เพื่อมาคุง โอก้าซัง จึงได้คิดและตัดสินใจต่อสู้กับโรคภัยให้ถึงที่สุด.... แม้จะรู้ว่า ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้าได้ตลอดไป

Tokyo Tower หอคอยสีแดงขาว สูงใหญ่ระฟ้า สัญลักษณ์แห่งเมืองโตเกียว ที่ตอนกลางวันก็ตระหง่านโดดเด่น ตอนกลางคืนก็ระยิบระยับสวยงามด้วยแสงไฟ ตั้งอยู่ไม่ไกลกันนักจากบ้านที่พักของมาคุง ตอนแม่เข้าๆ ออกๆ อยู่โรงพยาบาล จากหน้าต่างห้องที่แม่นอนรักษาตัว ก็จะมองเห็นTokyo Tower อยู่ตรงนั้นไม่ไกล ยืนหยัดอยู่ตรงใจกลางเมืองโตเกียว .. นั่นคือสถานที่ ที่แม่อยากไปยืนอยู่บนนั้นด้วยกันกับมาคุง

มีเวลาและโอกาสมากมายที่จะพาแม่ขึ้นไปบนนั้น แต่สุดท้ายแม่ก็ไม่มีโอกาสได้ขึ้นไป

ทำไม ?

มาคุงก็ถามคำถามนี้กับตัวเองด้วยเช่นกัน

คำถามที่ไม่มีคำตอบตายตัว ขึ้นอยู่กับว่าเราได้คิดถึงมันอย่างไรเมื่อได้ดูซีรีย์เรื่องนี้ และนี่แหละคือแง่คิดดีๆ ที่Tokyo Tower ได้มอบให้กับคนดู

ที่เสียน้ำตาไปกับซีรีย์เรื่องนี้ มันไม่ได้เศร้าอย่างที่คิดไว้แต่แรก แต่มันซึ้ง ...

รักซีรีย์เรื่องนี้มากค่ะ


เพลงประกอบละครที่ไม่รู้ความหมายแต่ฟังแล้วเพราะมาก




ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประวัติและความเป็นมาของ หอคอย Tokyo Tower ได้ที่นี่ค่ะ


//www.publichot.com/forums/showthread.php?t=6242




 

Create Date : 10 พฤศจิกายน 2552    
Last Update : 22 เมษายน 2556 22:38:06 น.
Counter : 4439 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  

prysang
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 98 คน [?]




จำนวนผู้ชม คน : Users Online
New Comments
Friends' blogs
[Add prysang's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.