Group Blog
 
All blogs
 

Just One Love : เพียงรักแท้หนึ่งเดียว ที่พอดีๆ



หากจะพูดถึง Tatta Hitotsu No Koi หรือ Just one love
ต้องขอพูดถึงพระเอกของเรื่องก่อนเป็นอันดับแรก

Kamenashi Kazuya หรือ คาเมะ

รู้จักชื่อและรู้จักหน้าตาของหนุ่มคนนี้มาก่อนตั้งแต่ยังไม่เคยดูผลงานสักเรื่อง
เพราะอ่านเจอ เห็นรูปหน้าผ่านสายตาจากแวดวงอินเตอร์เน็ตนี้แหละค่ะ
แต่ก็แค่มองผ่านเฉยๆ เพราะเข้าข่ายหน้าสวย และยังดูตัวผอมเป็นไม้ซีก
ถึงจะหล่อดีก็ขอผ่านไปก่อนดีกว่า

จนกระทั่งเห็นภาพแบรนด์ ของซีรีย์เรื่อง Kami no Shizuku
อืม.. ผมสั้นก็เหมือนจะดูดีนะ และจากพล็อตเรื่องทำให้อยากดูเรื่องนี้อยู่พอดีเลย



ดูแล้วชอบคาเมะมาก หล่อจังแฮะ

ยังเสียดายที่ไม่ได้ทำบล็อคเก็บไว้เป็นที่ระลึก เพราะถ้าเรื่องไหนดูจบแล้ว
ยังไม่ว่างพอจะทำจริงๆ ก็จำเป็นต้องตัดใจปล่อยให้ผ่านไปอย่างไม่เต็มใจนัก

ตามไปดูต่อ ที่ Sapuri แม้ว่าแนวโคแก่กินหญ้าอ่อน จะเป็นอะไรที่ไม่ถนัด
เอาซะเลย แถมคาเมะทำทรงผมยาวๆ หน้าผอมๆ ซะอีก แต่ถึงจะเป็น
อย่างนั้น ก็ยังเฝ้าจับตา "ตา" ของคาเมะด้วยความอดทน



แต่ต้องขอ ซาโยนาระกันไปชั่วคราว เพราะอ่านพล็อตเรื่องอื่นๆ ที่แสดง
แล้วรู้สึกว่า ไม่มีเรื่องไหนน่าสนใจ แม้กระทั่งเรื่อง One-pound Gospel
ที่เพิ่งเขียนบล็อกไปล่าสุด และ Just one love ที่กำลังจะเขียนถึงอยู่
ณ ตอนนี้ก็เถอะ

พอได้ดูเข้าแล้ว

One-pound Gospel พล็อตเรื่องแสนจะขัดจิต แต่ดันชอบ ผิดคาดแฮะ

------------------------------------

 คำเตือน

ต่อไปนี้ จะสปอยล์มากเลยนะคะ เพราะชอบโครงเรื่องโดยรวม
และประเด็นที่ชอบก็ดันเป็นส่วนสำคัญของเรื่องด้วย

-----------------------------------

Just One Love พล็อตเรื่องเหมือนเป็นแนวสุดจะระทมใจ ซึ่งเป็นเหตุให้
ปฏิเสธเรื่องนี้ของคาเมะอย่างไร้เยื่อใยมาก่อน ก็คิดผิดอีก ไม่ระทมอย่างที่คิด
แม้จะมองเห็นเชื้อรันทด อันเปรียบเสมือนเชื้อโรคที่เป็นพิษต่อความรู้สึก
ในการดูซีรีย์เริ่มก่อหวอดตั้งแต่สองสามตอนแรก จนเกิดอาการไม่สบายใจ
ต้องแชตไปถามคนให้ยืมแผ่น

"พี่คะ บอกกันมาตรงๆ เลยดีกว่า นางเอกเรื่องนี้ตายมั้ยคะ"

สงสัยจะเคยชินกับซีรีย์เกาหลีมาไม่น้อย ประกอบกับเสียงเล่าเรื่องที่ออก
สำเนียงเศร้าสร้อยของพระเอกด้วย ขนาดชื่อเรื่องก็ยังฟังเหมือนรู้เห็นเป็นใจ
ทำให้ปักใจไปว่า "นางเอกตายชัวร์"

แต่ She will survive ไม่ตายแน่นอน

แม้เนื้อเรื่องจะพยายามรวบรวมความรันทดอัดเข้าไปจนแน่นแต่ก็ไม่ทำให้อึดอัดมากนัก

พระเอก คันซากิ ฮิโรโตะ ( คาเมะ ) เป็นคนที่มีคุณสมบัติรันทดล้นปรี่ คือ

"จน"

พ่อฆ่าตัวตายใช้หนี้ หนีความจน
แม่ นอกจากจะทำงานกลางคืนแล้ว สติก็ดูไม่ค่อยจะเต็มนัก
น้องชาย เป็นหอบหืด อวัยวะครบสามสิบสองก็จริง แต่ไม่ค่อยแข็งแรงนัก
ในชีวิตประจำวันจึงต้องผลัดไปใช้รถเข็นนั่งร่วมกับการยืนเดินปกติด้วย

ยัง เท่านั้นยังน่าสงสารไม่พอ ยังต้องมีอาชีพเสริมด้วยการไปลักลอบ
ตกปลากับเพื่อนๆ ในเขตหวงห้ามที่ดันมีปลามาชุมให้ตก ส่วนโรงกลึงเหล็ก
ที่ฮิโรโตะรับช่วงดูแลต่อจากพ่อเป็นอาชีพหลักก็มีแต่ปัญหา ถูกลูกค้า
เลิกจ้าง ไม่ออเดอร์ให้ทำของส่งให้บ้างเอย ลูกน้องคนเก่าแก่ของพ่อที่มีอยู่
แค่สองสามคนไม่พอใจที่ไม่มีโบนัสจ่ายบ้างเอย ถูกยืม ถูกขโมยเงินเอย
อะไรเอิงเอย เท่านี้ รันทดพอไหม

ไม่พอหรอก ซิลเดอเรลล่ายังพบเจ้าชาย
ฮิโรโตะ ก็ต้องพบกับเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์บ้างซิ ...
(ตอกย้ำความน่าสงสารกันเข้าไป)

นาโอะ (แสดงโดย อายาเสะ ฮารุกะ) เจ้าหญิงแห่ง Star Jewery
ลูกสาวของบริษัทจิวเวอร์รี่ยักษ์ใหญ่ที่มีร้านสาขากว่า 36 แห่งทั่วประเทศ
รูปสวย รวยทรัพย์ และเป็น "คุณหนูจ๋า"

ความจริงแล้ว ไม่ชอบละครแนว "ดอกฟ้ากับหมาวัด" แบบนี้เลย ..มันหดหู่ค่ะ

กลับกันคือ ถ้าเป็นแนว "ซิลเดอเรลล่ากับเจ้าชายขี่ม้าขาว" คือ ผู้ชายรวย ผู้หญิงจน
และถูกกลั่นแกล้งรังแกสารพัด โดยมีเจ้าชายคอยช่วยเหลือดูแล นั่นจะเป็น
ความโรแมนติกแบบนิยายช่างฝันของสาว ๆ ที่มันไม่อยู่หรอกในชีวิตจริง
(อย่ามาแสดงความคิดอย่างคนมองโลกในแง่ร้ายแถวนี้นะยะ)

ส่วนดอกฟ้ากับหมาวัดน่ะนะ ต่อให้ผู้ชายลำบากแค่ไหนก็พึ่งพาผู้หญิงไม่ได้
สักนิดก็ไม่ได้ เพราะมันไม่เท่ห์ จะยากเข็ญยังไง ยังไง้ ยังไงก็ต้องยืนหยัด
ด้วยตนเอง ให้ดูน่านับถือ ถึงไม่มีจะกินก็ต้องหยิ่งในศักดิ์ศรีเข้าไว้ เพราะว่า
ศักดิ์ศรีกินไม่ได้ แต่มันเท่ห์

///////// XOXOXO ///////// XOXOXO //////



ในวัย ยี่สิบปี

ฮิโรโตะที่ต้องเป็นหลักของครอบครัวแบกภาระดูแลแม่และน้อง จนทำให้
กลายเป็นผู้ใหญ่เกินตัว ได้บังเอิญมาเจอกับนาโอะ สาวน้อยไฮโซแสนสวย

เป็นการพบกันครั้งแรกที่ไม่โสภาเอาซะเลย ฮิโรโตะถึงกับพึมพำใส่นาโอะว่า

"กระแดะ"

คนแปล แปลได้ใจมาก ใส่คำนี้ลงไปได้อย่างเหมาะเจาะกับสถานการณ์จริงๆ
ถ้าบอกว่า "ดัดจริต" สามพยางค์ยาวไป จะไม่ได้อารมณ์เท่านี้

นาโอะคงเป็นแค่ไฮโซกระแดะ ที่ผ่านมาเจอและผ่านหายไป ถ้าไม่ได้พบกันอีก

แต่ฮิโรโตะก็มีโอกาสได้ถามเธอ

"คนที่บังเอิญเจอกันถึงสองครั้งในวันเดียว มันเป็นพรหมลิขิตใช่มั้ย"

ใช่แล้ว หนุ่มยาจกกับสาวไฮโซ ได้มาพบกันอีก พบกัน เพื่ออนุรักษ์ตำนาน
ความรักของดอกฟ้ากับหมาวัดให้คงอยู่ต่อไปอย่างไม่มีล้าสมัยในโลกของ
บทละคร

เมื่อเป็นการอนุรักษ์ตำนาน ย่อมรักษาไว้ซึ่งความเป็นขนบธรรมเนียมดั้งเดิม
นั่นคือ ...

เมื่อดอกฟ้ารักกับหมาวัด ถ้าหมาไม่พยายามเล่นของสูงโดยป่ายปีนขึ้นไป
ดอกฟ้าก็ต้องพยายามโน้มกิ่งลงมา ซึ่งเรื่องนี้เป็นอย่างหลัง และเป็นธรรมดา
ที่ครอบครัวของดอกฟ้า จะไม่เห็นด้วยกับความรักต่างชนชั้น

เหมือนกันทุกตำนาน คือครอบครัวของดอกฟ้าย่อมกลัวลูกสาวถูกหลอกและ
ถูกปอกลอก แต่ของแบบนี้การเขียนบทมันอยู่ที่ชั้นเชิง ว่าตัวละครจะแสดง
ให้คนดูเห็นแบบไหน ระหว่าง"สมบัติ" กับ "ลูกสาว" หวงแหนอย่างไหนมากกว่ากัน

ละครเรื่องนี้ ครอบครัวของดอกฟ้า จึงมีคำพูดที่ทำให้หมาวัดเจ็บช้ำน้ำใจ
ไม่มากนัก แค่บอกให้สำนึกว่า แตกต่างกันมาก จึงไม่เหมาะ ไม่คู่ควร
แค่พระเอกจนสุดจน นางเอกรวยสุดรวย เรื่องมันก็รันทดพอแล้ว ฉะนั้น
ก็ถูกแล้วล่ะ ที่ไม่ต้องเสกสรรคำพูดก่นด่า ออกมาเหยียบย่ำให้พระเอก
ต่ำต้อยด้อยค่าไปมากกว่านี้ ไม่ต้องเสนอเอาเงินฟาดหัวด้วย แม้ว่าจะมี
ประเด็นเรื่องเงินมาเกี่ยวข้องอยู่ด้วยก็ตาม ...

พ่อแม่ทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าจะฝ่ายมีหรือฝ่ายจน ต่างมีลักษณะที่เหมือนกัน

ฝ่ายแรก คือ กลัวลูกสาวจะถูกหลอกให้เสียใจ เพราะคนรวยมักมีนิสัย
หวาดกลัวคนไม่จริงใจ

ส่วนฝ่ายหลัง กลัวลูกชายจะต้องเจ็บและเสียใจ เพราะความแตกต่าง
ทำให้มองเห็นอนาคตอยู่แล้วว่าเป็นไปไม่ได้

///////// XOXOXO ///////// XOXOXO //////



นอกจากนี้ การที่บทกำหนดให้นางเอกมีโรคประจำตัว ช่วยทำให้รู้สึกว่า
ความแตกต่างของพระเอกนางเอกมันแคบลงมาอีกนิดนึง คือ ไม่ว่ายังไง
ก็ไม่มีใคร เลิศเลอเพอร์เฟ็คต์ มีเงินทองมากมายแต่ไม่ได้เติบโตมาอย่าง
มีความสุขนัก และต่อไปก็ยังไม่รู้ว่าจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน

ต่อให้ความรักของฮิโรโตะ ไม่หวังผลประโยชน์ใด นอกจากจริงใจบริสุทธิ์
และพอจะซื้อใจพ่อนางเอกเรื่องความจริงใจได้ แต่คนเป็นพ่อแม่ย่อมต้อง
เป็นห่วง ความรักของวัยรุ่นหนุ่มสาวอายุแค่เพียงยี่สิบ จะรักกันไปได้ถึงไหนเชียว

หากว่านาโอะเกิดล้มป่วยลงอีกครั้ง มันเป็นภาระที่หนักเกินไป
สำหรับเด็กหนุ่มอายุยี่สิบที่จะคอยอยู่เคียงข้างเธอ

คำพูดลักษณะนี้เหมือนกันเลยกับคุณพ่อของพระเอก "นิชิคิได เรียว"
ในเรื่อง "1 litre of tear" เลย

"มันเป็นภาระที่หนักเกินไป"

ดังนั้น ถอนตัวไปตอนนี้ยังทันนะจ๊ะ ถอนตัวไปซะดีกว่า

จึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ลากดึงประเด็นหวงลูกสาวของครอบครัวนางเอก
อ้อมไปได้ไกลอีกหน่อยจากเรื่องการหวงสมบัติ และความรังเกียจคนจน

///////// XOXOXO ///////// XOXOXO //////



สิ่งที่ชอบอีกอย่างในซีรีย์เรื่องนี้ คือ บทของพระเอก
ฮิโรโตะ ที่มีความคิดอ่าน เป็นผู้ใหญ่ และทำตัวเป็นลูกผู้ชายหัวใจเกินร้อย

อ้างอิงจาก ตอนที่นาโอะ หนีออกจากบ้านมาหาฮิโรโตะ

เห็นแล้ว รู้สึกระแวงกับเรื่องที่จะดำเนินต่อไป จนต้องเริ่มเดาด้วยความคิดตื้นๆ

พระเอกจะทิ้งแม่ทิ้งน้อง และพานางเอกหนีไปด้วยกัน เหรอ ?

จะอยู่ด้วยกันและให้พระเอกหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องนางเอกอีกคน
อยู่อย่างยากจนแต่มีความสุข และเอาชนะใจผู้ใหญ่ให้ทำใจยอมรับได้
ในภายหลัง เหรอ ?

หรือว่า จะขอแค่ได้อยู่ด้วยกันสักสองสามวัน ก่อนที่พ่อแม่จะส่งคนมา
ลากตัวนางเอกกลับไปแล้วพลัดพรากจากกัน เหรอ ? (เฮ่ย นั่นมันเจ้าพ่อกุ๊กแดฮวา
ส่งนักเลงลูกน้องมาลากตัวลูกสาวกุ๊กยองรัน กลับสำนักมาเฟีย ใน East of Eden แล้วล่ะ)

แล้วยังไงล่ะ พระเอกจะขยันทำมาหากินจนรวยขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ
จนสามารถขี่เมฆลอยไปสอยดอกฟ้ามาครองรักกันชั่วนิรันดร เหรอ ?

(รู้สึกในหัวจะคิดออกแต่เรื่องน้ำเน่าทั้งนั้นเลยนะ )

แต่ไม่ต้องคิดเพ้อเจ้อไปอีกหลาย เหรอ ? เพราะทันทีที่พบหน้าพระเอก

..แต่น แต๊น......

ชอบมากเลยนะฉากนี้ สีหน้าที่คาเมะแสดงออกมา คือไม่ต้องเอ่ยปากเป็นคำพูด
ก็รู้แล้วว่ารู้สึกอย่างไร นั่นเป็นสีหน้าที่ตอบคำถามที่มี ได้ทุกเหรอ ...

และพอพระเอกเริ่มพูด สิ่งที่พูดเป็นความจริงแท้แน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย
วัยรุ่นวัยแรกรักที่ไม่คิดไม่ฟังผู้ใหญ่ นอกจากจะเห็นความรักเป็นทุกสิ่ง
ทุกอย่าง ต้องได้รักและอยู่ด้วยกันอย่างเดียวควรดูไว้เป็นตัวอย่าง

เพราะความรักไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่าง

พระเอกจึงได้ใจไปเต็มๆ กับการกระทำในฉากนี้เลย



ความรักของนาโอะกับฮิโรโตะจะว่าไปแล้วก็ไม่ถืงกับเป็นทางตัน
ถ้าต่างคนต่างยอมไหลไปด้วยกันตามอารมณ์ไม่มีใครเป็นหลัก
มันก็มีทางให้ไปต่อได้ หนีไปอยู่ด้วยกันไงล่ะ

แต่อย่างที่บอก เพราะฮิโรโตะไม่ได้เป็นไม้หลักปักขี้เลนที่จะไหวเอนไปตาม
ความรักความต้องการ แต่มีความรู้จักคิด (ให้สมฐานะพระเอกหน่อย)
ถ้าจะต้องพาความรักไปในหนทางที่ไม่ถูกต้อง ก่อนจะอยู่ด้วยกันสองคนได้
ต้องทิ้งใครๆ ไปก่อนหลายคน เป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ และไม่ควรทำ

แม้ว่าผู้หญิงที่ตัวเองรักจะเสียใจและเรียกร้องอยู่ตรงหน้า
ฉันทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเธอได้ แล้วทำไมเธอไม่สละอะไรเพื่อฉันบ้าง

แต่คำตอบยังคงหนักแน่น "ฉันทำไม่ได้"

สำหรับฮิโรโตะการเอ่ยคำนี้ออกไป นั่นหมายถึงมันจบลงแล้ว
ความรักน่ะหรือ ก็ต้องปล่อยมันไป (และทำให้ใจหายเอาเรื่องเลย)

เพราะถ้าเป็นคู่กันแล้ว ย่อมไม่แคล้วกัน

เมื่อหวนกลับมาพบกันใหม่ หลายปีที่พระเอกของเรา ต้องทำงานหนัก
เพื่อหาเลี้ยงตัวเองและครอบครัว ถึงจะทิ้งแหวน แต่ไม่ได้ทิ้งรักลงแม่น้ำ
ตามไปด้วย ยังคงฝังไว้ในใจไม่ลืมเลือน พร้อมกับคำถามคาใจคำถามหนึ่ง

"ที่ผ่านมา ผมรักเธอได้ดีพอหรือเปล่านะ"

เมื่อได้มาพบกันอีกครั้ง นาโอะบอกกับฮิโรโตะว่า "............................"



โห...เขียนบททำร้ายจิตใจพระเอกขนาดนี้ เขียนให้นางเอกตายๆ ไปเลย จะเศร้าน้อยกว่ามั้ย

///////// XOXOXO ///////// XOXOXO //////

อีกฉากหนึ่งคือตอนที่นาโอะตัดพ้อใส่ฮิโรโตะว่า

"คนอย่างฮิโรโตะ รักใครไม่เป็นหรอก"

หืออออ ... โกรธนางเอกเม้งขึ้นสมองทันทีเลย หล่อนพูดออกมาได้ไงเนี่ย

สีหน้าแววตาของคาเมะในฉากนั้นมันสุโค่ยในความรู้สึก ได้อารมณ์มาก

ทำประหนึ่งว่า สวมวิญญาณเป็นฮิโรโตะซะเอง และบรรยายอารมณ์นี้ออกมา
เป็นตัวหนังสือได้ว่า .... มันจุกลิ้นปี่จนแทบกระอักเลือด เหมือนกับคำพูดนี้
ได้ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างจบสิ้นแล้ว ฮิโรโตะจึงพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว
นอกจาก "ขอฉันไปสูบบุหรี่" ก่อนที่จะหันหลังจากไปอย่างคนหัวใจสลาย
(นี่ๆ เบรกตัวเองหน่อย บรรยายเว่อร์ไปแล้ว )

และฉากนี้ก็ชอบสีหน้าของฮารุกะด้วย เพราะคำที่พูดออกไปแล้ว
นึกเสียใจ ก็เอากลับคืนไม่ได้

เป็นฉากนี้เลยค่ะ (อินจัด)




///////// XOXOXO ///////// XOXOXO //////

จึงคิดว่า Just one love เป็นซีรีย์ที่มีทั้งอารมณ์สุขปนเศร้า
และหวานปนขมคละเคล้ากันไปในสัดส่วนที่พอดี ๆ

เศร้ากับความต่ำต้อยของพระเอกและความรักที่ถูกกีดกัน แต่ปัญหา
ทั้งหลายแหล่ที่เข้ามาก็ไมไม่ได้คาราคาซังมากนัก ยังมีหนทางแก้
และรับมือได้เร็ว

ครอบครัวของนางเอกก็ไม่ได้กีดกันซะสุดจิตสุดใจ เพียงแต่กีดกันในเหตุผล
จากมุมมองของผู้ใหญ่ เพราะเป็นผู้ใหญ่จึงมีความเข้าใจและรู้จักยืดหยุ่น
แต่ด้วยเหตุผลของผู้ใหญ่ ถึงจะบอกว่า เข้าใจนะ

แต่ไม่ได้ก็คือไม่ได้

ความสัมพันธ์ของคู่พระนางก็มีช่วงเวลา เข้าใจไม่เข้าใจ ใกล้ชิดและแยกห่าง
ไม่หวานเลี่ยนจนขัดใจ และไม่ขมขื่นซะจนทนดูไม่ได้

จุดที่ขัดใจก็มีบ้าง

เช่น สื่อของความรัก

สัญญาณไฟจากเจ้าตัวสีส้มที่ส่องแสงได้เมื่อบีบไปที่ตัวของมัน กับไฟฉาย
ของฮิโรโตะ ที่ถือเป็นสัญญาณรักของคนทั้งคู่ ซึ่งในเรื่องจะเปรียบกับการ
สื่อภาษาของปลาโลมาที่ถึงแม้จะอยู่ไกลกันมาก แต่เหล่าปลาโลมาจะสื่อ
ถึงกันได้ด้วยคลื่นเสียงที่มีความถี่ต่ำ เป็นคลื่นเสียงที่ไม่มีใครได้ยิน
นอกจากโลมาพวกเดียวกันเอง จึงอาจกล่าวได้ว่าปลาโลมาส่งภาษาถึงกัน
ด้วยกระแสจิต พระเอก-นางเอกจึงให้กำลังใจตัวเองโดยเปรียบกับปลาโลมา
ถึงจะถูกกีดกันและต้องแยกห่าง ก็ยังสื่อภาษาใจถึงกันได้

หวานมั้ยล่ะคะ

แต่ดูนางเอกบีบเจ้าตัวสีส้มให้ส่องแสงทีไร ไม่ทันได้อินเลิฟกับความหวาน
ไปด้วยซักทีเพราะมัวแต่สงสัยว่า ถิ่นโกโรโกโสในย่านทรุดโทรมของ
โรงงานที่เป็นบ้านพระเอกด้วย เวลาแหงนหน้ามองไปจะเห็นตึกคอนโดสูง
ของนางเอก...ก็จริงอยู่

แต่จะมองเห็นแสงไฟของเจ้าตัวสีส้มขนาดนั้นเลยเหรอ ...ดูแล้วสงสัยทุกที
จนกระทั่งดูจบไปแล้ว และมีเวลามากินลมอยู่ริมหน้าต่าง มองไปเห็นแสงไฟ
สีแดงกระพริบเล็กๆ อยู่ที่ตึกสูงไกลออกไปพอสมควร (ไฟอะไรก็ไม่รู้
ไม่ใช่ไฟนีออนนะ นั่นมันชัดโร่อยู่แล้วล่ะ) มันเล็กมาก แต่ก็เห็นอยู่ว่ากระพริบแดงๆ

เลยเพิ่งถึงบางอ้อ... เออแฮะ น่าจะมองเห็นจริงๆ ด้วย รู้อย่างนี้จะได้รู้สึก
โรแมนติกไปกับพระเอกนางเอกเสียแต่แรก ไม่มัวนั่งสงสัยอยู่ว่านั่น
มันเป็นไปได้จริงเหรอ (ฮ่า ๆ ตลกตัวเองจัง)

ที่ขัดใจมีอีกอย่างคือ การมุ่งไปยังจุดจบของเรื่อง ที่ไม่ได้ใส่บทให้นางเอก
กลับไปแก้ไขการกระทำของตัวเอง คิดว่าอย่างน้อยตอนที่นาโอะกลับบ้าน
น่าจะมีฉากสำนึกผิดและเอ่ยปากขอโทษต่อพ่อแม่และพี่ชายสักนิดนะ

เพราะการหนีออกจากบ้าน โดยหันหลังให้กับแม่ที่ร้องไห้ แถมยังเอ่ย
ประโยคทิ้งท้าย "การที่หนูป่วย มันก็เป็นเรื่องของหนูนี่" เป็นคำพูดที่ออกจะ
ใจร้ายไปสักหน่อย เพราะนอกจากแม่ที่คอยประคบประหงมจะเสียใจแล้ว
พี่ชายที่มอบชีวิตใหม่ให้กับเธอด้วยการสละไขกระดูกให้ ก็เข้ามาได้ยินพอดี

"การที่หนูป่วย มันก็เป็นเรื่องของหนูนี่"

อืม พอย้ำอีกที คำว่าใจร้ายนิดหน่อยคงไม่พอ ต้องบอกว่าใจร้ายมาก

แต่ถึงจะขัดใจอยู่บ้าง ก็ยังถือว่าเป็นเรื่องของความรักที่พอดีๆเพราะไม่ได้
รักจ๋าจนเกินไป แต่มีจุดที่เห็นได้ชัดว่าความรักไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่าง

คำพูดของตัวละคร ฟังเป็นคำถามง่ายๆ แต่ตอบยากอย่างเช่น

"ทำอย่างนี้มันยุติธรรมกับฮิโรโตะแล้วหรือ"

เป็นคำถามที่ยูโกะผู้เป็นเพื่อนสนิทถามนาโอะเรื่องที่เธอหนีออกจากบ้าน
เพรายูโกะคิดว่าการที่นาโอะหนีออกมา ก็เท่ากับเป็นการกดดันให้ฮิโรโตะ
ต้องรับเธอไป แล้วยังไงล่ะ ฮิโรโตะต้องยอมทิ้งแม่ ทิ้งน้อง เพื่อพานาโอะ
หนีไปอยู่ด้วยกันง้นหรือ ทำไมต้องเป็นแบบนั้น ในเมื่อความรักไม่ใชสิ่งที่
เกิดขึ้นได้แค่เพียงครั้งเดียว ถ้าครั้งนี้ไม่ได้ ในอนาคตต่อไปก็ยังมีโอกาสพบ
และมีความรักครั้งใหม่กับใครสักคน

ฟังความคิดของยูโกะแล้ว ไม่เป็นผลดีต่อชื่อเรื่อง "Just one love" สักเท่าไร
แต่นั่นก็เป็นความจริงนะ

ปัญหา อุปสรรค และความคลี่คลายของเรื่อง ได้ปูทางไปสู่การจบให้ประทับใจ
ในแบบพอดีๆ เพราะดูแล้วก็มีเปอร์เซ็นต์เป็นไปได้ ไม่เทพนิยายจนเกินไป

จบน่ารักแบบพอดีๆ ตามชื่อ Just one love "เพียงรักครั้งนี้" ที่จะไม่มีครั้งอื่น ครั้งใด กับใครอีก


นักแสดงสมทบ :



Tanaka Koki - แสดงเป็น "โค" เพื่อนของฮิโรโตะ
-เคยดูผลงานที่แสดงเป็น ยากูซ่าที่ชอบงานเย็นปักถักร้อย
ลูกน้องคนสนิทของโทโมยะ นางาเสะ ในเรื่อง my boss my hero

Toda Erika - แสดงเป็น "ยูโกะ" เพื่อนของนาโอะ

- เคยดูผลงานของเอริกะเยอะเหมือนกันคือ Liar game , สายสัมพันธ์ดาวตก ,
Love & Farm , Code Blue และในเรื่องนี้ก็หน้าใสน่ารักมาก

Hiraoka Yuta - แสดงเป็น อายูตะ เพื่อนของฮิโรโตะ - ยูตะ เป็นเพื่อนพระเอกอีกคน
ซึ่งป็นคนดีมากๆ และไม่ว่าอยู่ในบทไหนยูตะก็น่ารักเสมอจ้า

และนักแสดงเด็ก ไม่กล่าวถึงไม่ได้

Saito Ryusei - Kanzaki Ren (น้องชายของฮิโรโตะ) -
คุ้นหน้ากับคุ้นชื่อจังเลย แต่นึกไม่ออกว่าเคยเห็นจากเรื่องไหน





**********

ย้อนกลับมาพูดถึงคาเมะอีกครั้ง

ถ้าสมมติตัวเองมีหน้าที่แคสติ้งนักแสดงมารับบทพระเอกเรื่องนี้
หน้าของ "ยามะพี" จะลอยลำเข้าวินอย่างไร้คู่แข่ง หน้าอย่างนั้น
กับบทอย่างนี้จะเข้ากันมาก

เปรียบดัง พี่เต๋า สมชาย ที่ได้รับบทแสดงเป็น
นายไม้ (โลกทั้งใบให้เธอคนเดียว) เฮียเมษ (ข้าวเปลือก)
ล่องจุ๊น (ขอหมอนใบนั้นที่เธอฝันยามหนุน) นัต (เวลาในขวดแก้ว)

ไม่ได้หมายความว่า หน้าตายามะพี เหมือนพี่เต๋านะคะ (เดี๋ยวพีจังเสียใจแย่)
แค่จะบอกว่า ยามะพีเป็นคนที่เหมาะกับบทซีเรียส เครียดขรึม ลองไปดู
Code blue 2 ตอนนี้สิคะ รู้สึกจะอาการหนักว่า season 1 อีกแน่ะ
หน้าเก๊กเครียดจนกู่ไม่กลับแล้ว

แต่พอเห็นคาเมะที่ดูหน้าตาผิวพรรณดูผู้ดี๊ผู้ดี กับบททายาทไวน์ในเรื่อง
Kami no มาแสดงอยู่ในบุคลิกที่เซอร์ แบบช่างเชื่มโลหะมอมแมม ทั้งยัง
ต้องแสดงความเครียดขรึมกับปัญหาชีวิต และเศร้าซึมกับความรักที่มอง
ไม่เห็นทางสมหวัง และต้องเก๊กแมน "จนแต่เท่ห์" ให้ได้ซะด้วย

และคาเมะก็ทำได้ดีนะ ยิ่งถ้าเอาไปเปรียบความแตกต่างสุดขั้วกับเรื่อง
One-pound Gospel ด้วยแล้วล่ะก็



( หึหึ ทีนี้รู้แล้วสินะว่า ผม...คาเมะนาชิคนนี้ ก็เป็น "หนึ่งในตองอู" กับเค้าเหมือนกัน )

ภาพและข้อมูล :

mylovecd.com
dvd4u.biz
R-U-Indy.com
//topicstock.pantip.com/cha...182.html




 

Create Date : 06 กุมภาพันธ์ 2553    
Last Update : 22 กุมภาพันธ์ 2558 8:46:21 น.
Counter : 3537 Pageviews.  

One-Pound Gospel ศึกรักบนสังเวียน (มวย)



ย้อนเวลากลับไปเมื่อ 1 ปีก่อนที่หลงดีอกดีใจเป็นนักหนา ด้วยคิดว่า
One pound gospel คือละครที่สร้างมาจาการ์ตูนเรื่อง "ก้าวแรกสู่สังเวียน"
ที่เคยอ่านและชอบมากเมื่อครั้งยังเด็ก (ชื่อญี่ปุ่น:Hajime no Ippo
ชื่ออังกฤษ: Fighting Spirit)




ดูไปดูมา อ้าว ไม่ใช่แฮะ เป็นเรื่องที่ไม่เคยอ่านเรื่องนี้ต่างหาก
Ichi-Pound No Fukuin "ฤทธิ์หมัดเสือหิว"



แต่ก็เอาเถอะ ยังไงก็เป็นเรื่องมวยๆ ซึ่งนอกจากเรื่อง "นายขนมต้ม" และหนัง
"แสบสนิทศิษย์ส่ายหน้า" ของไทยเราแล้ว ก็ไม่เคยดูเรื่องมวยๆ จากที่ไหนอีก น่าสนใจเหมือนกันนะ

แต่คนที่รับบทพระเอกนักมวยดันเป็น Kamenashi Kazuya หรือ คาเมะ นี่สิ

ถึงจะเป็นคาเมะที่ทั้งหล่อและน่ารัก แต่ก็ไม่อาจชนะความคิดปรามาส

หุ่นเพรียวบางอย่างคาเมะ แสดงเป็นนักมวยเนี่ยนะ มันจะไม่ดูก๊องแก๊งไปเหรอ

เท่านั้นยังไม่พอ เห็นนางเอกสวมชุดนางชีฝรั่ง ความคิดคือ
คงเป็นละครสู้เพื่อฝันทั่วไป ที่ไม่ได้ถือเอาความรักของพระเอกนางเอกเป็นหลัก
หรือต่อให้พระ-นาง เค้ามีใจให้กัน เป็นนางชีแบบนี้ คงรันทดแย่เลย
เผลอ ๆ มีความเป็นไปได้สูงจะ unhappy ending

ต่อให้วนเวียนพิจารณา อยู่หลายหนพราะอยากจะดูคาเมะ แต่นางเอกเป็นชี มันทำใจไม่ได้

ดังนั้น จึงตัดใจ อย่าดูเลยดีกว่า

แต่ด้วยอานิสงค์ที่ให้เพื่อนๆ หยิบยืมซีรีย์ไปดูอยู่เสมอ บางครั้งคราวก็นัด "แลกของ"
ดั่งคนลอบซื้อขายยาบ้ากันก็ไม่ปาน หลังๆ มานี้ จึงได้พบคอซีรีย์คนใหม่
และได้รับการแบ่งปัน ให้มีโอกาสได้ดูฟรีแบบมิต้องเสียตังค์บ้าง ซาบซึ้งจริงๆ
(พูดกันตรงๆ เลยคือ งกของฟรี )

ดูแล้วก็ผิดคาดอีก เพราะเห็นเป็นละครแนว sport man
ยังไงๆ ก็ต้องออกแนวสู้เพื่อฝัน ที่ไหนได้ เรื่องนี้ความฝันเป็นรอง
เพราะหลักชัยของพระเอก คือ สู้เพื่อรักเธอ (และจะรักเสมอเรื่อยๆ ไป)



เรื่องมวยๆ

ฮาทานะกะ โคซากุ ( รับบทโดย Kamenashi Kazuya / คาเมะ) เป็นนักมวยรุ่นฟลายเวท (Flyweight) ซึ่งนักมวยในรุ่นนี้พิกัดขึ้นชกจะต้องไม่เกิน 112 ปอนด์ หรือ 50.8 กิโลกรัม

โคซากุ เป็นนักมวยมีพรสวรรค์และเป็นความหวังอันเรืองรอง (และริบหรี่ในเวลาเดียวกัน)
ของค่ายมวยคุโมดะซึ่งเป็นชมรมมวยเล็กๆ และหวังจะปั้น แชมป์เปี้ยนแห่งประเทศญี่ปุ่น
และความฝันอันสูงสุดคือนำนักมวยของโมคุดะไปสู่สังเวียนโลก
และเป็นแชมป์โลก (เอ่อ ฝันสูงไปนิดหรือเปล่า)

แต่ปัญหาคือ โคซากุเป็นสุดยอดจอมตะกละ รักการกินและกินทุกอย่างที่ขวางหน้า

5 โล 8 โล 11 โล หรือมากกระทั่ง 12 โล คือปริมาณน้ำหนักเกินพิกัดรุ่นฟลายเวทอยู่เสมอ
งานหลักของโคซากุที่ดูเหมือนจะเป็น theme ของค่ายมวย
คือมีผลกระทบต่ออารมณ์และความเป็นอยู่ของทุกคนในค่าย
ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้า ครูฝึก หรือเพื่อนนักมวยด้วยกัน ก็คือ การลดน้ำหนัก

ลูกผู้หญิงที่เป็นกังวลกับรูปร่างทุกคน คงจะรู้ดีว่า คำว่าลดน้ำหนักนั้นมันเป็นความทรมานอย่างไร
ดังนั้น เห็นโคซากุแล้ว สุดสงสาร เพราะการลดน้ำหนักของนักมวยมันโหดร้ายกว่าหลายเท่า
แต่ว่ามันสร้างความฮาตลอดทั้งเรื่อง ก็เพราะการลดน้ำหนักนี่แหละ

ลดสุดกำลัง แต่วันชั่ง น้ำหนักดันเกินอยู่ 2 ปอนด์
เพิ่งรู้นี้แหละว่าการชั่งพิกัดมวยก่อนวันขึ้นชกนั้น มีการให้โอกาสชั่งใหม่
ภายในเวลาสองชั่วโมงหลังจากนั้น โคซากุจึงต้องทำทุกวิถีทาง
ออกแรงหลั่งเหงื่อ สุดชีวิต แต่ชั่งใหม่ก็ยังเกินอยู่อีก 1 ปอนด์

แค่ 1 ปอนด์เองนะ แต่เมื่อเกินก็คือเกิน การชกต้องถูกยกเลิก
สร้างความเสียหายกับผู้จัด สร้างความเสียอารมณ์กับทางด้านคู่แข่ง
และสร้างความเสียชื่อให้กับค่าย เพราะการที่นักมวยชั่งพิกัดไม่ผ่าน
นั่นแสดงถึงความไม่รับผิดชอบ

บทเรียนนี้ โคซากุเรียนรู้และสำนึกผิด แต่ว่านะ การกินมันเป็นเรื่องห้ามใจไม่ได้
และทุกครั้งที่เข้าสู่โหมดการลดน้ำหนัก มันเป็นความทุกข์ทรมานแสนสาหัสเพราะ

ต้องกินข้าวเปล่าๆ ถ้วยกระจิ๋ว
ต้องออกกำลังอย่างหนักให้เสียเหงื่อ
และต้องถูกงดน้ำภายใต้การควบคุมอย่างเคร่งครัดด้วย

ความหิวจัดอาจทำให้ถึงขั้นเสียสติ และเมื่อพบอาหาร
หากหัวหน้าเผลอให้โคซากุหลุดสายตาไปจากการควบคุม
หากเพื่อนๆ เผลอไม่คอยห้ามปรามเมื่อไหร่ โคซากุจะต้องกระโจนใส่ของกิน
และเมื่อนั้นหายนะก็มาเยือนเพราะน้ำหนักจะพุ่งกระฉูดเพียงชั่วข้ามคืน

เป็นนักมวยมันทรมาน แต่โคซากุก็ยังคงชกมวย
เพราะไม่อยากทรมาน โคซากุจึงอยากจะเปลี่ยนไปชกรุ่นเฮฟวีเวท

เฮฟวี่เวทซะเลยดีมั้ย (200 ปอนด์หรือ 91 กิโลกรัม )



กินอย่างบ้าบอ และลดน้ำหนักอย่างบ้าคลั่ง
โคซากุจึงเป็นทั้ง "จอมตะกละ" และ "เจ้าแห่งการลดน้ำหนัก"
เรียกว่าเป็นคนสุดโต่งมันทั้งสองอย่าง

เพราะการลดน้ำหนักนี่แหละ วันหนึ่งขณะที่กำลังวิ่งออกกำลัง
โคซากุผู้หิวโหยจนหน้ามืดตาลายก็เป็นลมล้มฟุบไป

เมื่อลืมตาขึ้น ก็เห็นพระแม่มารีมาโปรด
"น้ำ ขอน้ำ" โคซากุพึมพำปานจะขาดใจ

จากความลางเลือน ใบหน้าของพระแม่มารี ชัดขึ้น ชัดขึ้น

เธอผู้นั้นคือ ซิสเตอร์แองเจล่า ผู้เมตตาให้หัวของซากุได้หนุนตัก
และหยอดน้ำช่วยชีวิตให้รอด

เพราะรักไร้พรมแดน ไร้สถานะ และขีดจำกัด
ชุดนางชีจึงมิเป็นอุปสรรค โคซากุตกหลุมรักซิสเตอร์แองเจล่าแสนสวยทันที

และการต่อสู้บนสังเวียน เพื่อความรักของโคซากุจึงเริ่มต้นขึ้น

****//////***********//////************

5555 ขอฮาก่อนนะ

ทั้งที่เป็นเรื่อง "รักต้องห้าม" แต่ไม่ได้ทำให้เครียดเลยสักนิด
ขำตลอด ไม่ได้ขำถึงขั้นฮาแตกแตน เสียงหัวเราะอย่างเดียวดังไม่พอ
ต้องนั่งตบเข่าฉาดๆ ไปด้วยเพราะมันขำได้ใจ เรื่องนี้ไม่ถึงขั้นนั้น
แต่การได้ดูละครที่ทำให้ต้องยิ้มกว้าง และไม่ขาดเสียงหัวเราะเบาๆ
คิกคักอยู่ตลอด มันมีความสุขดีนะ

ความเห็นส่วนตัวที่มีต่อคาเมะ คือ เป็นนักแสดงที่มีหน้าตาแปลกดี
เห็นหน้าแล้ว ทำไมนึกถึงนกแก้วก็ไม่รู้ บอกเหตุผลไม่ได้เหมือนกัน
ที่ว่าแปลก คือ เค้าเป็นคนหน้าสวย คิ้วโก่งบางกว่าผู้หญิงซะอีก ปากก็สวย
ปกติน่าจะดูหน่อมแน้ม และทำให้ไม่ค่อยชอบพระเอกสไตล์หน้าสวยสักเท่าไหร่
แต่กับคาเมะไม่เป็นอย่างนั้น เพราะเค้าดูแมนๆ ยิ่งถ้าแต่งตัวเซอร์ๆ
จะดูเป็นเด็กร้าย หุ่นขี้ยามาก

เวลาดูหน้า เหมือนไม่เห็นหน้าค่ะ

เหตุผลคือ คาเมะเป็นคนตาสวย ดวงตามันโดดเข้าตา
เวลาดูเค้าเล่นละคร เลยรู้สึกเหมือนเห็นหน้าแค่ลอยๆ
เพราะมองเห็นแต่ลูกตา

ทวงท่าชกมวยก็ออกมาดีกว่าที่คิด ดูแข็งแรง ว่องไว
เวลาซ้อมหมัด ออกหมัดรัว หรือฟุตเวิร์ค เท่ห์มาก และจะเป็นช่วงแป๊บๆ
ที่คาเมะมีสีหน้าจริงจัง เพราะหลังจากนั้นอาจจะกระโดดตัวปลิว
เอาแขนขาเข้าหนีบกระสอบทราย หายเท่ห์เป็นปลิดทิ้ง
แต่ก็ยังเป็นไอ้บ้าผู้น่ารักอยู่ดีนั่นแหละนะ

ลองนึกภาพทาคุยะ หรือยามะพี มาทำหน้าปัญญาอ่อน
ทำตาปลิ้นตาเหลือก ลิ้นห้อยดูสิคะ นึกภาพไม่ออกเลย
แต่หน้าคาเมะทำแล้วน่ารักดี โดยเฉพาะการแอ๊บแบ๊ว
ที่มิควรทำกันโดยทั่วไป เพราะการแบ๊วจะเหมาะเฉพาะกับหน้าของคนบางคนเท่านั้น

เพื่อนเคยบอกว่า ละครที่โทโมยะ นางาเสะเล่น ตลกดี สุดจะฮา
แต่ดูได้ไม่เคยจบ เพราะทนดูคนหน้าแก่อย่างโทโมยะ แอ๊บแบ๊วไม่ได้
คงต้องลองเอาคาเมะเรื่องนี้ไปให้ดู คราวนี้คงได้ฮาจากคนหน้าอ่อน (และหล่อ) สมใจ

One pound gospel เป็นละครแนว sport และ love comedy ฮาๆ ที่ไม่ได้มีสาระอะไรนัก

จึงไม่แนะนำสำหรับคนที่ต้องการสาระ
แต่สำหรับคนที่ต้องการความเบาสมอง เรื่องนี้ถือว่าโอเค



พระเอก - โคซากุ
เป็นนักมวยที่ไม่ค่อยมีความคิดอะไรดีๆ เท่าไหร่ เพราะเป็นคนไม่ค่อยคิด
นิสัยร่าเริงเปิดเผย แบ๊วได้ใสซื่อบริสุทธิ์ และเพราะไม่รู้จักคิด จึงหลงรัก
ซิสเตอร์แบบไม่มียั้งใจ ทำตัวแบบคนถือคติ ตื๊อเท่านั้นที่ครองโลก

รักเอง พูดเอง เออเอง

นางเอก - ซิสเตอร์แองเจล่า (รับบทโดย Kuroki Meisa )
เด็กกำพร้าที่ถูกทิ้งไว้ริมรั้วหน้าคอนแวนต์ตั้งแต่ตอนเป็นเด็กทารก
จึงเป็นคนที่ไม่รู้วันเกิดของตัวเอง ความฝันของเธอคือ "เชื่อมั่นในพระเจ้า
และนำสันติสุขมาสู่โลก" ซิสเตอร์อยู่อาศัยและเติบโตมาในคอนแวนต์
หรือพูดง่ายๆ คือ "สำนักนางชี" ย่อมเป็นคนที่ซื่อบริสุทธิ์อย่างไม่ต้องสงสัย
ไม่เคยข้องแวะผู้ชาย ไม่เคยมีความรัก แต่เพราะลูกตื๊อของโคซากุ
ที่มีความสุขเริงร่าเหลือเกินกับการพูดเองเออเองและทำตัวเป็นตุ๊กแกหนัง(เท้า)เหนียว

คือสลัดเท่าไรก็ไม่ออก

ซิสเตอร์สาวสวย ก็ชักจะหวั่นไหว และสับสนในตัวเอง
เป็นทุกข์กับความขัดแย้งภายในใจ ระหว่าง ความรู้สึกที่มีต่อผู้ชาย
และความศรัทธาที่จะรับใช้ในพระเจ้า

ย้ำอีกครั้งว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องราว รักต้องห้าม ที่ไม่เศร้า
นอกจากไม่เศร้าแล้วยังฮาด้วยค่ะ

เพราะในสำนักนางชี หรือ เซนต์อลิเซ่คอนแวนต์
มี ซิสเตอร์มิลลี่ ผู้เคร่งครัดในกฏระเบียบคอยควบคุมซิสเตอร์แองเจล่าอยู่
และคอยขัดขวางการปรากฏตัวของโคซากุด้วย โชคดีที่แม่ชีผู้เป็นท่านอธิการเป็นคนที่ใจดี
และเข้าอกเข้าใจ (เข้าใจโลกว่างั้นเถอะ) ไม่เห็นว่าเป็นเรื่องผิด
แต่เป็นเรื่องที่ซิสเตอร์แองเจล่าต้องชั่งใจและตัดสินใจเอง

ทางด้าน ค่ายมวยมุโคดะ
ก็มีเพื่อนนักมวยทั้งสี่คือ ที่มีบุคลิกนิสัยไปคนละแบบทำให้บรรยากาศ
ในค่ายมวยมีความสนุกสนาน คำพูดขำๆ และเหตุการณ์ตลกๆ


โอริกุชิ (Ishiguro Hideo)



โคชิมะ (Namioka Kazuki)




อุเอดะ (Okada Yoshinori) นักมวยรุ่นพี่ผู้อาวุโสสุด
เป็นคนคอยไกล่เกลี่ยสถานการณ์ของเพื่อนรุ่นน้องในค่ายมวย
แต่ก็ไม่ค่อยได้ผลสักเท่าไร


อิชิซากะ (Takahashi Issei) เพื่อนนักมวยรุ่นพี่ผู้มีบุคลิกเย็นชา
และมักพูดจาแง่ลบๆ ออกมาซะตรงเผง พูดทีไรเหมือนชักใบให้เรือเสียน่ะค่ะ
แต่ความจริงเป็นคนใส่ใจเพื่อนๆ กว่าใคร คนนี้เล่นอยู่หลายเรื่องนะ
ที่ชอบเค้ามากคือการแสดงเป็นคุณหมอเจ้าปัญหาในเรื่อง IRYU 2



หัวหน้าค่ายมวยเซย์โกะ (รับบทโดย Kobayashi Satomi)
ถึงจะเป็นผู้หญิงแก่วัยกลางคน แต่เธอก็เป็นสาวสุดห้าว
และเป็นหัวหน้าค่ายมวยจอมบงการ ที่จัดการกับนักมวยในสังกัดได้อยู่หมัด

ครูฝึกมิทากะ (รับบทโดย Mitsuishi Ken)
เป็นทั้งครูฝึกและเป็นเหมือนผู้ช่วยฯ ของหัวหน้าค่าย แอบรักเธออยู่ด้วยอีกต่างหาก
แต่ว่าหัวหน้าเป็นสาวสุดห้าว ครูฝึกจอมหงอ มีหรือจะกล้าเปิดเผยความรู้สึก
รักนี้ของครูฝึกจึงเป็นรักหลบใน

คาซึมิ (Yamada Ryosuke)
เด็กนักเรียนมัธยม ลูกชายหัวหน้าค่าย อยู่ในค่ายมวย
แต่พยายามต่อต้านการชกมวย อยู่โรงเรียนก็ยอมเป็นเด็กถูกแกล้ง
ไม่เคยกำมือเป็นกำปั้นขึ้นชกใคร แม่ที่ไม่ได้เป็นเหมือนแม่โดยทั่วไป
เพราะสนใจแต่เรื่องมวย และยุ่งอยู่แต่กับการฝึกนักมวย
จึงไม่ได้ใส่ใจ กับลูกชายมากพอ และไม่รู้ปัญหาที่โรงเรียนของคาซึมิ



เป็นเรื่องง่ายที่จะตอบว่า ทำไมจึงชอบดูซีรีย์ญี่ปุ่นเป็นพิเศษกว่าซีรีย์ชาติไหนๆ
ก็เพราะซีรีย์ญี่ปุ่นมีสาระ

ถ้างั้น เรื่องที่ไม่ค่อยมีสาระอย่างเรื่องนี้ล่ะ ทำไมยังชอบอีก
เคยสงสัยประเด็นนี้อยู่เหมือนกัน

จึงพยายามหาคำตอบว่าเป็นเพราะอะไร
กลิ่นไอของซีรีย์ญี่ปุ่นจึงหอมหวน และชวนติดใจ

คำตอบ คงเป็นเพราะมิตรภาพและความมุ่งมั่นนะคะ
ซีรีย์ญี่ปุ่นจะไม่ค่อยขาดเรื่องราวความสัมพันธ์ในครอบครัว
หรือมิตรภาพระหว่างเพื่อนและการอยู่ร่วมกัน ซึ่งในเรื่องนี้
ค่ายมวยโมคุดะ ก็อยู่กันเหมือนเป็นครอบครัว ความรักความเข้าใจ
ไม่ได้ส่งออกมาเป็นคำพูดดีๆ สวยหรู แต่ก็เห็นๆ ความสัมพันธ์กันอยู่
ในพฤติกรรมของตัวละคร

และความมุ่งมั่นที่จะทำในสิ่งใดสิ่งหนึ่งของตัวละครก็จะมีให้เห็นอยู่เสมอ
เมื่อตัวละครมีหน้าที่การงานอะไร เราจะเห็นเค้าทำสิ่งนั้นอยู่ตลอดในขณะที่
เรื่องก็ดำเนินไป ความจริงเรื่องนี้ไม่เคยนึกว่ามันสำคัญอะไร จนกระทั่งเคย
ถูกท่านบิดาซึ่งนั่งดูละครหลังข่าวเรื่องหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว หันมาถามว่า

"พระเอกเรื่องนี้ไม่ทำงานทำการเหรอ
พ่อดูมาตั้งนานพ่อยังไม่รู้เลยว่าพระเอกทำอาชีพอะไร"

จำได้ ตอนนั้นคิดนิดหนึ่งก่อนตอบไปว่า พระเอกเป็นเจ้าของบริษัทไง
แต่ไม่แน่ใจนะว่าบริษัทเค้าทำอะไรนะ (เพราะไม่ได้ดูทุกวัน) เป็นเจ้าของ
ก็รวยไง ไม่ต้องเข้าออฟฟิศทำงานก็ได้ มีเวลาตามนางเอกได้ทุกเวลา

อ้อ เพิ่งรู้ ดูละครเนี่ย พระเอกนางเอกทำงานอะไร
มันก็เป็นเรื่องที่คนให้ความสนใจเหมือนกันแฮะ

เรื่องนี้ พระเอกเป็นนักมวยค่ะ จะได้เห็นวิถีชีวิตของนักมวยอยู่พอสมควร
และเข้าใจเลยว่า เป็นอาชีพที่ไม่ง่ายอีกเหมือนกัน เหนื่อย หนัก และมี
ความกดดันพอสมควร ก็ไม่ต่างกับการงานในทุกอาชีพ คือต้องรับผิดชอบ

ชอบแนวคิดที่ว่า นักมวยต้องพร้อมจะแบกรับความฝันของคนอื่นๆไว้บนบ่า
เพราะแชมป์เปี้ยน ไม่ได้เป็นกันง่ายๆ และไม่ใช่เรื่องที่เป็นได้พร้อมกัน
หลายๆ คน แต่ถึงจะต้องแบกความฝันและสู้เพื่อคนอื่นยังไงก็ตามแต่
สำคัญที่สุดนักมวยต้องมีจุดหมายในการต่อสู้เพื่อตัวเอง

โคซากุ เป็นคนที่ไม่ค่อยคิดอะไรลึกซึ้ง คำถามที่ว่า
ทำไมถึงมาเป็นนักมวย และทำไมยังชกมวย เป็นเรื่องที่ตอบไม่ได้ในทันที

แต่เมื่อตกหลุมรัก ความรักเป็นหลักชัย เป็นเงื่อนไขการต่อรองเพื่อต่อสู้

สู้เพื่อความรัก เพื่อซิสเตอร์แองเจล่า (เป็นการต่อสู้แบบ คิดเอง เออเอง
เงื่อนไขก็ตั้งเอง พยายามเอง ฝันหวานกับผลลัพธ์ในอนาคตเอาเอง
ไม่ได้มีการตอบรับหรือเออออรับปากจากซิสเตอร์ด้วยสักนิด)

เช่นว่า

"ถ้าผมชนะ ออกเดทกับผมนะ"
แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาพยายามทั้งที่ซิสเตอร์ก็บอกแล้วว่าเป็นซิสเตอร์
ออกเดทไม่ได้ โคซากุ เข้าใจไปเองว่าชนะแล้วจะได้เดทกับซิสเตอร์

"ถ้าผมชนะ เป็นแฟนผมนะ"
คิดเอง เออเอง ว่าชนะแล้วซิสเตอร์จะตกลงเป็นแฟนด้วย

"ถ้าผมชนะ แต่งงานกับผมนะ"
คิดเอง เออเองอีก ว่าชนะแล้วซิสเตอร์จะออกจากคอนแวนต์มาอยู่ด้วยกัน

เฮ้อ ... ฝันเฟื่อง และติงต๊องสุดๆ

"เพราะผมชอบซิสเตอร์"
"ผมชอบซิสเตอร์มากๆ"
"ผมรักซิสเตอร์"

โคซากุเป็นคนประเภทสุขใจที่ได้รัก ไม่คิดอะไรอีก ไม่สนพระเจ้าองค์ไหน
ความคิด เหตุผล หรือสายตาใครไม่แคร์ (เพราะหมอนี่ไม่ได้ใช้ความคิดอยู่แล้ว)

ในขณะที่ซิสเตอร์แองเจล่า กังวลกับความผิดบาปที่มีต่อความศรัทธาในพระเจ้า
และต่อต้านความรู้สึกที่มีต่อโคซากุ

ภาพซิสเตอปั่นจักรยานหนี และภาพโคซากุปั่นฝีเท้าวิ่งตาม
ต่างคนต่างปั่นกันหน้าตั้ง เพื่อหลบหนีและติดตาม
จึงเป็นความฮาสุดน่ารักที่ต้องขอกรอดู

การปั่นหนีและวิ่งตามนี่แหละ
ถือเป็นฉากกุ๊กกิ๊กของพระเอกนางเอกในเรื่องนี้เค้าเลยค่ะ

บุคลิกของคาเมะในเรื่องเป็นเหมือนจังหวะดนตรีคีย์สูงต่ำ
สลับขึ้นลงอยู่ตลอดเวลา บางจังหวะลีลาก็เริงร่าเป็นปลากระดี่ได้น้ำ
ฟุตเวิร์คแทบจะกลายเป็นแดนซ์ปลิวลม บางจังหวะก็สโลว์ซบแน่นิ่ง
ไร้จิตวิญญาณ มีความสุขหน้าตาสว่างโร่อยู่ดีๆ สามารถพลิกผลันกลายเป็น
ความมืดมนได้ชั่วอึดใจ ซึ่งมันตลก! หรือเราจะเส้นตื้นจนเกินไป 555

แนวความรักของเรื่องก็ชอบนะ



มันเหมือนเป็นจังหวะของความรักไง โคซากุที่ตื๊อสุดชีวิต เพราะไม่คิดอะไร
นอกจากขอแค่ได้รักก็พอแล้ว แต่เมื่อ ณ จุดหนึ่งที่คิดได้ ว่าความรักของตัวเอง
ทำให้อีกฝ่ายลำบากใจและเป็นทุกข์ยังไง

คนที่คอยตื๊อรักและนำความทุ่มเทขึ้นสู่สังเวียนเพื่อรักมาตลอด
แต่เมื่อรับรู้ เข้าใจถึง ความทุกข์ใจของอีกฝ่าย ก็ตัดสินใจเอ่ยลา

มันซึ้ง

หรือการเป็นคนที่ดูเหมือนเด็กไม่รู้จักโต และรักซิสเตอร์แองเจล่าด้วยความ
นอบน้อมมาตลอด ครั้งเดียวที่โคซากุตะโกนใส่ซิสเตอร์แองเจล่า ทำเอา
อึ้งไปเลย เป็นซีน "ซื้อใจ" ที่แมนมาก

เช่นเดียวกับตอนท้ายเรื่อง โคซากุที่ดูเหลาะแหละ เพราะความมุ่งมั่นกับ
ความท้อแท้กวดฝีเท้าตีคู่กันมา ผลัดแซงหน้าขึ้นลงอยู่ในลู่อารมณ์เสมอ
ลุกขึ้นมาทำเรื่องจริงจังอย่างจริงใจ

คำพูดที่บอกว่า

"ผม จะอยู่ข้างๆ ซิสเตอร์ และปกป้องซิสเตอร์ตลอดไป"

ซึ้งจังเลย แต่ที่ซึ้งกว่า คือการหักมุมด้วยคำพูดต่อมา

"แต่ ผมทำแบบนั้นไม่ได้"

โคซากุในเรื่อง ก็เหมือนกับพระเอกทั่วไปในซีรีย์ญี่ปุ่น
คือ ยอมวางความรักเพื่อความฝัน เลิกคิดถึงแต่ตัวเอง
และลุกขึ้นมารับผิดชอบต่อความหวังของคนส่วนใหญ่

"ผมต้องแบกความฝันของทุกคนเอาไว้ นั่นคือเหตุผลที่ผมต้องอยู่ที่นั่น"
"ดังนั้น ผมจะรอ ผมจะรออยู่ที่นั่น ผมจะรอต่อไป"

เมื่อคนเคยสู้สุดใจเพื่อความรักมา หันทำในสิ่งผิดวิสัยที่เคยเป็นมาตลอด
ยอมวางมือจากความรักด้วยตัวเอง ตัดสินใจหยุดเพราะมันสุดทาง

คนที่เคยตามตื๊อ จะไม่เป็นฝ่ายคอยตามอีกต่อไป ตัดสินใจหยุดแล้ว
ขึ้นอยู่กับว่า คนที่เป็นฝ่ายหนีอยู่ตลอด จะตัดสินใจก้าวมาหาหรือไม่
เพราะทำอะไรไม่ได้อีก นอกจากรอ

มันซึ้ง(อีกแล้วท่าน) เท่ห์สุดๆ ไปเลยค่ะ

พระเอกในซีรีย์ญี่ปุ่นเค้าเท่ห์กันแบบนี้นี่เอง

แต่อย่าหลงเข้าใจผิดว่ากำลังพูดถึงละครรักซึ้งๆ นะคะ ไม่ใช่ค่ะไม่ใช่
ยังยืนยันคำเดิมว่านี่เป็นละครรักต้องห้ามแบบฮาๆ ฟันธง!

แต่ละครความรัก ก็ต้องมีซีนอารมณ์ซึ้งๆ อยู่แล้ว ช่วงเวลาที่โคซากุ
ตัดใจจากความรัก
มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ตอนโคซากุอยู่ในโหมดลดน้ำหนัก
และต้องงดน้ำ กำลังนั่งมองน้ำไหลจากก๊อกตรงหน้า อย่างคนวัดใจ
คนที่ไม่เคยอดใจได้เมื่อมีโอกาส กลับนั่งมองน้ำเฉยๆ โดยไม่ดื่ม
อารมณ์ที่ดูซีนนี้ ทำให้นึกถึงตอนดูเรื่อง Nodame In Europe
ท่านจิอากิกลับมาเจอห้องที่คิดว่าจะรกรุงรังตามปกติวิสัยของโนดาเมะ
แต่พอเปิดประตูเข้ามา ห้องที่เห็นคือเรียบร้อยสนิท

อารมณ์ประมาณนั้นเลย

แต่ Happy แน่นอน เหมือนตัวละครในเรื่องรำพันถึงความ Happy Ending ว่า

"โห....เรื่องอย่างนี้ก็มีด้วย"


ชื่อหนัง (เกาหลี/จีน/ญี่ปุ่น) : 1ポンドの福音 / 1 Pound no Fukuin
ชื่อหนังอื่นๆ : One-Pound Gospel
กำกับโดย : Sato Toya, Otsuka Kyoji (大塚恭司)
จำนวนตอน : 9 ประเภท : Romance and Comedy
ผลิตโดย : Kono Hidehiro
ปี : 2008Written By : Takahashi Rumiko,
1 Pound no Fukuin (manga), Fukuda Yuichi (福田雄一)



ภาพและข้อมูล : Blike.net
: //www.me2dvd.com




 

Create Date : 31 มกราคม 2553    
Last Update : 22 กุมภาพันธ์ 2558 8:45:55 น.
Counter : 3357 Pageviews.  

Kekkon Dekinai Otoko - โสดสนิท มันผิดตรงไหน




ชื่อญี่ปุ่น Kekkon Dekinai Otoko
ชื่อไทย โสดสนิท สาวส่ายหน้า
ชื่ออังกฤษ The man who can't get married.

Kekkon เป็นละครที่แสนจะเรียบง่ายแต่เนื้อหาโดนใจไม่ธรรมดา

ชอบละครญี่ปุ่นเพราะแบบนี้ แบบที่สามารถหยิบจับเอาแง่มุมธรรมดาออกมาสร้างสรรค์เป็นละคร
ที่ 'ฉีกแนว' ออกไปและทำให้น่าสนใจขึ้นมาได้

คุณต่อพงษ์ผู้เขียนวิจารณ์ละครใน //www.manager.co.th ตั้งชื่อบทความของเรื่อง Kekkon
ไว้ว่า "ผิดด้วยหรือ ที่ผมกวน teen"

จึงคิดว่าจะเป็นเรื่องราว ฮาเรี่ยราด ขำขันกระจายซะอีก

ผิดคาด! ไม่ยักฮาอย่างที่คิด

แต่ตลกนะ

เป็น "ตลกร้าย" ที่แฝงอยู่โดยไม่ต้องส่งเสียงหัวเราะออกมาดังๆ แต่ก็ได้อารมณ์ตลกดี

Kekon เรื่องของคนโสด ที่มีนิสัย "แปลกๆ" แต่ก็ไม่ได้ผิดแผกเกินความจริงไปซะทีเดียว
เพราะในสังคมเราทุกวันนี้ ก็อาจจะมีคนแปลกๆ เช่นนี้อยู่ไม่มากก็น้อย
บางคนถึงกับถูกกล่าวหาว่า ก็เพราะเป็นคนแปลกๆ นี่แหละถึงได้ขึ้นคาน เป็นงั้นไป

เอาเป็นว่า ใครขึ้นคานยกมือขึ้น ? .............. เงียบ........................


ทำไมยังไม่แต่งงาน ? อายุป่านนี้ยังไม่มีแฟนอีกเหรอ ?
พ่อแม่ก็แก่มากแล้ว เมื่อไหร่จะมีหลานให้อุ้ม ?
คิดจะอยู่คนเดียวไปจนตายหรือไง ?

คนโสดทั้งหลาย เคยเจอคำถามเหล่านี้กันบ้างไหมคะ

ถ้าอายุคุณเข้าข่ายวัยแต่งงาน แต่ยังไม่ได้แต่งงาน รับรองต้องเจอแน่ๆ
เจอแบบ ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย และบางทีก็เบื่อจะตอบ

ดังนั้น ถ้าได้ดู Kekkon อาจจะแอบเห็นด้วย กับพระเอก คุวาโนะ ชินสุเกะ
เออว่ะ เป็นโสด มันผิดตรงไหน (วะ)

So what ? แล้วไงล่ะ

12 คำถาม จากคนโสด (เป็น Episode Title ค่ะ)

So what if I like to be alone?
ก็ผมชอบอยู่คนเดียวนี่ ผิดตรงไหน

So what if I eat the food I like to eat?
ผิดเหรอ ถ้าผมจะกินของที่ผมชอบ

So what if I spend my money the way I want to?
ผิดเหรอ ถ้าผมจะใช้เงินของผม

So what if I spend my days off alone?
ผิดเหรอ ที่วันหยุดจะอยู่คนเดียว

So what if I don't let people into my home?
ผิดเหรอ ที่ไม่ให้ใครมาเที่ยวที่บ้าน

So what if I'm inflexible?
ผิดเหรอ ที่ไม่รู้จักยืดหยุ่นเลย

So what if I don't like to mix with the relatives?
ผิดเหรอ ที่ไม่อยากญาติดีกับใคร

So what if I hate dogs?
ผิดเหรอ ที่ผมไม่ชอบหมา

So what if I have no a girlfriend?
ผิดเหรอ ถ้าผมจะไม่มีแฟน

So what if I don't understand a woman's heart?
ผิดเหรอ ที่ผมไม่เข้าใจความรู้สึกผู้หญิง

So what if I hate floral patterns?
ผิดเหรอ ที่ผมไม่ชอบลายดอก

Ep 12: So what if I've become happy?
ผิดเหรอ ที่ผมจะมีความสุข

นั่นสิ มันผิดเหรอ ?

หากคำถามเหล่านี้ โดนใจคนโสด โดยเฉพาะคนโสดหลายๆ คนที่ชอบอยู่คนเดียว และมีนิสัย
I don't care ไม่แยแสใครหรือสิ่งใดๆ ในโลก การดูละครเรื่องนี้ อาจจะทำให้ได้อะไรดี ๆ
ที่สามารถเปลี่ยนมุมมองและทัศนคติในการดำเนินชีวิตแบบ "สันโดษจัด" ขึ้นมาก็ได้ ใครจะรู้

มารู้จักคนโสดกันดีกว่า


โสดขวางโลก

คุวาโนะ ชินสุเกะ แสดงโดย อาเบะ ฮิโรชิ สถาปนิกหนุ่มใหญ่วัย 40 ปี
(ความจริง ต้องเรียกว่าวัยกลางคนแล้วล่ะลุง) ซึ่งถ้าหากไม่มีฝีมือเยี่ยมยอด การงานคงไปไม่รอด
เพราะอุปนิสัย โลกนี้มีข้าคนเดียว

ชอบอยู่คนเดียว ชอบเอาความคิดของตัวเองคนเดียว ลูกค้าไม่เกี่ยว เมื่อให้ข้าออกแบบ
ก็ต้องเป็นแบบของข้า ตามใจข้า

เลิกงานกลับบ้านมาอยู่คนเดียว เช่าหนังดูคนเดียว เปิดเพลงคลาสสิคฟังและนั่งทำท่าคอนดัคท์เอง
ฟังเองใส่อารมณ์เมามันอยู่คนเดียว กินข้าวตามร้านอาหารนอกบ้านน่ะเหรอ เฮอะ! เรื่องจิ๊บ ๆ
เปรียบได้กับการเข้าไปนั่งในร้านสุกี้เอ็มเคแล้วสั่งหม้อไฟมากินคนเดียวนั่นแหละ
ถ้าอยากดื่มก็ไม่ยากอะไรนี่เข้าไปนั่งดื่มที่บาร์คนเดียวออกบ่อยไป

เรื่องการพูดจาน่ะเหรอ หึ สามารถมาก ทั้งตรงไปตรงมาขวานผ่าซาก หรือจะต้องการแบบกระทบกระเทียบ กระแทกกระเทือนหัวใจคนน่ะ งานถนัดเค้าเลย ดูเหมือนคุวาโนะจะไม่ชอบอะไรที่ยุ่งยาก ซื้อของร้านสะดวกซื้อจะปฏิเสธแสตมป์สะสมตลอด และไม่เคยใช้บัตรสะสมแต้มสักครั้ง
เป็นคนชอบดูหนังฟังเพลง ส่วนหนังอย่างว่า.... ก็อยากดูใจจะขาดเหมือนกันนะ แต่ไม่กล้าหยิบขึ้นมาต่อหน้าคนอื่น มองไปยังชั้นวางเมื่อไหร่ ..ทางสะดวก ทางสะดวก จะหยิบ จะหยิบทีไร
ต้องมีมารคอหอย ออกมาขัดจังหวะทุกทีสิน่า เป็นอันว่า ไม่ได้ดูหนังอย่างว่า ซักกะที

เป็นผู้ชายที่หยิบจับอะไรก็ดูจะเก่งไปซะทุกอย่าง สามารถอธิบายสิ่งต่างๆ ออกมาได้เป็นฉากๆ
จัดลำดับเป็นขั้นเป็นตอน ประหนึ่งว่าเป็นเจ้าแห่งทฤษฏี เสียทีแต่ว่า
ไม่มีใครยินดีจะรับฟัง เพราะฟังยังไงก็ไม่ค่อยเข้าหู

อยู่คนเดียวมานาน อายุสังขารก็ไม่น้อย ปาเข้าไป 40 แล้ว ชีวิตตัวคนเดียวดูสันโดษและเรียบง่าย
(ก็อยู่คนเดียวนี่ จะมีอะไรให้ยุ่งยากนักหนาล่ะ)

แต่มันเริ่มยุ่งยาก ตรงที่มีคนอื่นๆ ให้ต้องเกี่ยวข้อง ดังต่อไปนี้

โสดขึ้นคาน
อายาซากะ นัตสึมิ (แสดงโดย นัตสึคาว่า ยูอิ) คุณหมอสาวโสดวัยสามสิบกว่าๆ ที่บังเอิ๊ญ
ต้องมาเป็นหมอเจ้าประจำให้กับคุวาโนะ เพราะความขวางโลก และไม่รู้จักถนอมน้ำใจใครนี่แหละ
ทำให้คุณหมอทนไม่ได้ ต้องมีอารมณ์ต่อปากต่อคำกันอยู่ร่ำไป

พูดกันดีๆ ก็มีอยู่บ้างหรอก แต่เป็นการพูดดีแบบพูดไปข่มอกข่มใจไป แล้วสุดท้ายก็ตบะแตก
ถ้าคุณหมอสาว (ใหญ่) ไม่ปรี๊ดแตก ก็ต้องร้องไห้น้ำตาเล็ดแล้วเดินหนี เพราะคำพูดจาของคุวาโนะเป็นแบบที่กล่าวมาแล้ว ถ้าคู่สนทนาคือคุณหมอ การกระทุ้งปมด้อยด้วยเรื่องที่ว่า อายุขนาดนี้ ยังโสด และทำท่าจะโสดต่อไป คุณไม่ใช่สาวๆ แล้ว เรื่องแต่งงาน อายุขนาดนี้ คงจะยากหน่อยนะ เรื่องนี้แหละที่มันทิ่มแทงใจอย่างที่สุด (คนพูดก็ไม่ได้ดูตัวเองเลย แก่ก็แก่กว่า คานก็สูงกว่าและนิสัยอย่างว่าคงปีนลงมายาก)

ทำร้ายจิตใจกันขนาดนี้ แต่ทำไมยังคอยใส่ใจคุวาโนะด้วยความห่วงใยและหวังดีอีกล่ะหนอ ?
แค่เพราะหน้าที่ในการเป็นหมอเท่านั้นหรือ ? อ่ะแน่ งานนี้มีลุ้น สาวโสด กับหนุ่มโสด (กว่า)
จะหันหน้ามาปรองดองและจูงมือกันลงจากคานหรือไม่ ... ไม่เฉลย

โสดขึ้นคาน
( อีกคน )
ซาวาซากิ มายะ (แสดงโดย ทากาชิมะ เรอิโกะ) เพื่อนร่วมงานของคุวาโนะ ที่รับผิดชอบงานด้านการตลาด ทำงานร่วมกันมา 8 ปี รู้ซึ้งถึงนิสัยใจคอของคุวาโนะเป็นอย่างดี ถึงระดับที่ว่า เห็นสีหน้าก็อ่านออก มองตาก็เข้าใจ ซาวาซากิเป็นคนใจเย็น สามารถจะรับมือกับนิสัยแปลกๆ ไม่เหมือนใคร
ของคุวาโนะได้เป็นอย่างดี และคอยไกล่เกลี่ยแก้ปัญหาทุกอย่างที่คุวาโนะมักจะก่อขึ้น หากบริษัทรับ
ออกแบบของคุวาโนะไม่มีเธอคนนี้ล่ะก็ รับประกันความเจ๊งได้เลย ก็ลูกค้าคนไหนกันเล่าจะมีความสามารถสูงในการเจรจาต่อรองกับสถาปนิกผู้มีนิสัย "อาร์ตตัวพ่อ" อย่างคุวาโนะได้ ไม่มีหรอก

(หมายเหตุ อาร์ต คือ Art โน๊ตอุดม ได้นิยามความหมายเอาไว้ว่า อาร์ตคือจินตนาการ อยู่เหนือเหตุผล และไม่ต้องการความเข้าใจ)

รับนิสัยกันได้ รู้ใจกันขนาดนี้ ในเมื่อต่างคนต่างก็โสดกันมายาวนาน ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ทำไมไม่คบหาดูใจกันไปซะเลย ?


โสดแฟนทิ้ง

ทามุระ มิจิรุ (แสดงโดย คุนินากะ เรียวโกะ) สาวน้อยหน้ามนคนข้างห้อง ที่คอยมาเจ๊าะแจ๊ะ ถึงจะ
ไม่ตั้งใจ แต่ดูยังไงก็เป็นตัวป่วน ที่นำ "ความไม่สงบ" มาสู่ชีวิตที่เคยสุขสงบขอบคุวาโนะให้มีอันเป็นไป

แม้จะถูกแฟนทิ้ง เพราะรักหมามากเกินไป เมื่อแฟนให้ตัดสินใจจะเลือกคนหรือเลือกหมา มิจิรุก็ต้องเลือกหมาสินะ อย่างน้อยหมามันก็มีหัวใจซื่อสัตย์กว่าคน สาวน้อยช่างฝันจึงต้องตามหาเจ้าชายในฝันต่อไป คุณสมบัติของเจ้าชาย เรื่องหน้าตาก็พอยืดหยุ่น แต่เรื่องความรวย ละเลยไม่ได้

หนุ่มข้างห้องน่ะเหรอ ถึงจะแก่ไปหน่อย แต่ก็หน้าตาดีไม่น้อย ฐานะหรือก็ใช่ย่อย ถามว่าพอจะเข้าข่ายไหม มิจิรุคงส่ายหน้าทันที No way (ก็เรื่องนี้ชื่อ โสดสนิทสาวส่ายหน้า)

ยาใจคนโสด
มุราคามิ เออิจิ (แสดงโดย Tsukamoto Takashi)หนุ่มหล่อน่ารักคนนี้ ถ้าจำไม่ผิดเคยแสดงเรื่อง Tiger & Dragon เป็นนายน้อยยากูซ่าที่มีรุ่นพี่โทโมยะ นางาเสะคอยดูแลในฐานะยากูซ่าพี่เลี้ยง

เออิจิเป็นเพื่อนร่วมงานอีกคนของคุวาโนะ มีหน้าที่สร้างโมเดลแบบบ้านหลังจากที่คุวาโนะ
ออกแบบแปลนเรียบร้อยแล้ว

เงินเดือนก็น้อยนิดแค่จะจ่ายเงินเลี้ยงสาวตอนออกเดท ยังไม่ค่อยมีปัญญา
เจ้านายคุวาโนะซัง ก็สุดแสนจะเอาแต่ใจตัวเองเป็นใหญ่ ต้องคอยลุ้นใจหายใจคว่ำทุกครั้งที่มีการพบปะพูดคุยกับลูกค้า รวมไปถึงหัวหน้าผู้รับเหมาก่อสร้าง นอกจากลุ้นว่าจะได้งานหรือไม่ได้งาน ยังต้องคอยลุ้นอีกว่า ถ้าได้มาแล้วงานจะถูกยกเลิกกลางคันหรือไม่ ถ้าลูกค้าเรียกร้องนู่นนี่เมื่อไหร่เป็นอันได้เรื่อง

จะต้องหน้าสิ่วหน้าขวานทุกครั้งไป ที่คุวาโนะพูดจาหารือกับลูกค้า สถานการณ์ตึงเครียด!
แต่อาการมองตากันแบบหายใจไม่ทั่วท้องของเออิจิและซาวาซากิที่ลุ้นจนตัวโก่งว่าคุวาโนะจะพูด
อะไรออกมาให้งานล่ม(อีก)หรือเปล่า สุดจะตลกเลยค่ะ

ใช่ว่าจะมีปัญหาเฉพาะกับลูกค้าเท่านั้น กับลุงหัวหน้าคนงานรับเหมาก่อสร้างก็ไม่ถูกกันเอาซะเลย
พูดกันแป๊บๆ เป็นมีเรื่องลงไม้ลงมือทุกที ฮาค่ะฮา

เฮ้อ เหนื่อยใจแทนเออิจิคุง

แต่ทำไมยังทนทำงานกับคุวาโนะอยู่ได้ ไม่ลาออกไปซะล่ะ ?

ส่วนที่เรียกเออิจิว่าเป็นยาใจคนโสด ก็เพราะเออิจิเป็นเพื่อนหนุ่ม ที่สาวๆ มักเรียกมาเยียวยาจิตใจ
ยามใดก็ตามที่เกิดความกระหาย ต้องการขาเมาท์มาร่วมตั้งวงนินทา แน่นอน เป้าหมายที่ถูกนินทา
จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก คุวาโนะซัง ดังนั้นคงไม่มีใครจะเป็นขาเมาท์ได้เมามันส์ดีไปกว่า
คนใกล้ชิดอย่างเออิจิ

โสดเพื่อนแท้
แนะนำอีกหนึ่งตัวตนที่บทบาทโดดเด่นไม่แพ้ใคร เคนจัง เจ้าน้องหมาหน้าย่น สัตว์เลี้ยงตัวน้อย
ของมิจิรุ ซึ่งถ้าหากมีรางวัลตัวประกอบยอดเยี่ยมสำหรับนักแสดงที่ไม่ใช่คน คงต้องขอยกให้เคนจัง
เพราะเค้าน่ารักมากๆ (รักนะตัวเอง) ทำหน้าตาเหมือนรู้เรื่องและเข้าใจบทบาทตัวเองงั้นแหละ
สังเกตเวลากล้องโคลสไปที่ตาของเคนจังสิ อารมณ์มันเข้ากันกับเรื่องดีเหลือเกิน เหงา เศร้า กังวล สงสัย ...อะไรเหรอ .. โหย ...สุดยอด

และตอนที่ชอบมากที่สุดในละครเรื่องนี้ ก็หนีไม่พ้นตอนที่ 8 "ผิดเหรอ ที่ผมไม่ชอบหมา"
เป็นตอนที่มีเหตุให้มิจิรุไม่อยู่และต้องทิ้งเคนจังให้ใครสักคนดูแล คนไม่ชอบหมาอย่างคุวาโนะน่ะหรือจะอาสา อย่าแม้แต่จะคิด มิจิรุก็เช่นกัน ต่อให้ "คุวาโนะซัง" เป็นคนสุดท้ายในโลกที่เหลืออยู่
จะยอมฝากชีวิตเคนจังสุดที่รักไว้ด้วยหรือเปล่า ยังคงต้องคิดแล้วคิดอีก

แต่ เกลียดอะไร เค้าว่าจะได้อย่างนั้น คุวาโนะ กับเคนจัง แสดงเก่งจัง ทั้งคนทั้งหมา เนื้อหาก็ซึ้งด้วยนะ และแล้วก็ต้องยอมเสียน้ำตาให้เคนจัง

หลายโสดพัวพัน

คุวาโนะ ชินสุเกะ สถาปนิกมืออาชีพ ที่อยู่ได้ด้วยฝีมือล้วนๆ เพราะไม่ชอบปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น
"มนุษยสัมพันธ์"ยิ่งไม่ต้องถามถึง เพราะ "ไม่มี" แฟนน่ะเหรอ เรื่องอะไรจะหามาเป็นภาระ อยู่คนเดียวสบายใจดี มีหลายร้อยข้อดีของชีวิตโสด ที่คนแต่งงานไม่ค่อยรู้

ดังนั้น คนที่คุวาโนะเกี่ยวข้องด้วย มีจำนวนที่นับได้ง่ายๆ คือ

1. ครอบครัว มีคุณแม่ที่อยู่ตัวคนเดียว และเตรียมตัวจะย้ายไปอยู่บ้านพักคนชรา แม่ผู้มุ่งหวังและพยายามอย่างเหลือเกินที่จะให้คุวาโนะได้มีเหย้ามีเรือนกับใครเค้าซะที ส่วนน้องสาวแต่งงานอยู่กินกับน้องเขยที่เป็นเพื่อนของคุวาโนะเอง มีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคน บ้านของน้องสาวจึงเป็นศูนย์รวมครอบครัว ที่คุณแม่และคุวาโนะ จะมากินข้าวเย็นร่วมกันเป็นประจำ และประเด็นการพูดคุยของครอบครัว
ก็หนีไม่พ้น การเกลี้ยกล่อมให้คุวาโนะหาทางสละโสด

2. เพื่อนร่วมงาน ซาวาซากิ และ เออิจิ เป็นทั้งเพื่อนร่วมงาน เป็นทั้งลูกน้องที่คุวาโนะจ่ายเงินเดือนให้ ทำงานร่วมกันมานาน เรื่องนิสัยใจคอจึงรับกันได้ เหนื่อยหน่อยก็ไม่เป็นไร ในสายตาของเออิจิ คุวาโนะเป็นสถาปนิกสุดเจ๋ง จึงอยากจะทำงานให้เพราะฝักใฝ่อยากเรียนรู้กับคนเก่งๆ ส่วนซาวาซากิ คงเป็นความเคยชินไปแล้วที่ต้องคอยก้มหัวขอโทษลูกค้า คอยแก้ปัญหา ตามล้างตามเช็ดทุกเรื่องอย่างใจเย็น เข้าอก เข้าใจ ไม่บ่น ไม่ว่า ... รับได้ทุกอย่าง

มีความสัมพันธ์ครอบครัวให้ดูเหมือนคนปกติธรรมดาทั่วไป มีการงานเป็นอาชีพเลี้ยงตัวเองได้เป็นอย่างดี มีแค่นี้ คุวาโนะก็เพียงพอแล้วกับชีวิตในสังคมศาสตร์ เวลาที่เหลือทั้งหมดจากนั้น คือความสุขกับการได้อยู่คนเดียวอย่างสงบ มันก็ไม่แปลกในสายตาตัวเองหรอกนะ อยากกินอะไรก็กิน อยากทำอะไรก็ทำ ถ้ามันไม่ไปทำให้ใครเดือดร้อน แต่มันอาจจะแปลกๆ อยู่สักหน่อยในสายตาคนอื่นน่ะนะ

3. เพื่อนบ้าน -ยัยเพื่อนบ้านคนใหม่ที่ย้ายมาอยู่ข้างห้อง หล่อนมาพร้อมกับเสียงจิ๊จ๊ะจี๋จ๋ากับเจ้าเคนจัง (ที่คิดว่าเป็นแฟนหนุ่ม) เสียงดังอยู่ข้างห้อง ได้ยินแล้วหนวกหู น่ารำคาญ ก็บอกแล้วว่าคุวาโนะไม่ชอบมีปฏิสัมพันธ์กับใคร เจอหน้าก็แค่เจอหน้า แต่ยัยมิจิรุสิต้องคอยพยักหน้าทักทาย กล่าวสวัสดี
บางทีก็จำเป็นต้องเปิดปากพูดด้วย (มิจิรุ ก็จำใจเหมือนกัน ไม่อยากจะเจอ ไม่อยากจะทัก เจอแล้วจะไม่ทักก็รู้สึกแปลกๆ พอทักไป ไม่แยแส ไม่ทักตอบอีกแน่ะ ตาคนนี้ นิสัยแย่จริงๆ )

4. คนรู้จัก
มีคำกล่าวไว้ว่า "ปัญหาแรกของชีวิตคือ I do my way" คุวาโนะก็มีปัญหาเหมือนกัน เพราะกินตามใจฉัน ฉันชอบของฉันนี่ ฉันจะกินในสิ่งที่ฉันชอบนี่แหละ คุวาโนะจึงมีปัญหาสุขภาพ โรคภัยมาเยือน และทำให้ต้องพบกับคุณหมอนัตสึมิ อยู่เป็นประจำ คุณหมอสาวแก่ขึ้นคานที่ดีแต่เทศนาฉอดๆ กวนใจจนน่ารำคาญ

แต่คุวาโนะ ก็เป็นศูนย์กลางที่ทำให้ทั้งหมดมีโอกาสได้มาพบเจอกัน และกลายเป็นเพื่อน ไม่ว่าจะเป็น

เพื่อนรักต่างวัย คุณหมออายาซากะกับมิจิรุ
เพื่อนรักต่างเพศ เออิจิ กับมิจิรุ
เพื่อนรักต่างพันธุ์ มิจิรุกับเคนจัง และ เคนจังกับคุวาโนะ
เพื่อนรู้จักต่างอาชีพ คุณหมออายาซากะกับซาวาซากิที่โสดใกล้คานพอกัน

ยกเว้นคนขวางโลกอย่างคุวาโนะแล้ว ที่เหลือก็หนิดหนมกลมเกลียวกันดีทีเดียว น่าสนใจมั้ยละคะ



ข้อคิดจาก Kekkon

มองได้สองมุมนะคะ

มุมแรกคือตัวคุวาโนะ

"มนุษย์เป็นสัตว์สังคม" จึงไม่สามารถใช้ชีวิตอบบคนเดียวหัวโด่ได้ คำว่าโลกนี้ไม่ได้มีแค่เราคนเดียว ถูกต้องที่สุดแล้ว ดูตัวอย่างจากคุวาโนะได้ง่ายๆ ไม่มีทางที่คนเราจะจัดการทุกอย่างในชีวิตด้วยตัวเองลำพัง เพราะชีวิตมันไม่ได้ราบเรียบอยู่ตลอด ถ้าไม่รู้จักญาติดีกับใครเสียบ้าง ยามมีปัญหา จะหันหน้าไปพึ่งใคร

มิจิรุสาวข้างห้องที่ไม่น่ามีอะไรให้พึ่งพิงได้ แต่ก็เป็นมิจิรุที่นำคุวาโนะส่งโรงพยาบาลเมื่ออาการป่วย
เกิดขึ้นเฉียบพลันและช่วยเหลือตัวเองไม่ได้

ซาวาซากิ ไม่ได้เป็นสถาปนิกผู้ออกแบบ เขียนแปลน สร้างโมเดลให้ลูกค้าก็จริง แต่ถ้าไม่มีซาวาซากิ ต่อให้เป็นงานออกแบบสุดเริ่ดก็ไม่มีทางขายออก คนอย่างคุวาโนะจะไปขายงานให้ใครได้ พูดออกมาสามนาทีลูกค้าก็ขอลาแล้ว

เออิจิ ลูกน้องช่วยงานน่ะเหรอ ขอเพียงมีเงินจ่ายเงินเดือน จะหาคนใหม่มาแทนเมื่อไหร่ก็ได้ แต่จะหาใครที่อดทน ยอมเข้าใจนิสัย จนสนิท รู้ใจ และรับคนอย่างคุวาโนะได้คงไม่ง่ายนัก ต่อให้ไม่ง้อใคร
แต่งานของคุวาโนะก็ทำเองทั้งหมดไม่ได้ถ้าไม่มีเออิจิซักคน

คุณแม่ ที่พูดแต่เรื่องเดิมๆ คือเรื่องการแต่งงาน และห่วงกลัวจะไม่มีหลาน ความหวังดีของคนแก่นั้นน่ารำคาญ แต่ทั้งหมดก็เพียงข้ออ้าง แท้จริงที่แม่ห่วง ก็เพราะแม่แก่มากแล้ว ถ้าคุวาโนะไม่ยอมแต่งงาน
มีครอบครัว และยังทำตัวแบบนี้ ถึงเวลาที่แม่จากไป จะเหลือใครที่คอยรักและห่วงใยอย่างแท้จริง

ถ้ามัวแต่หยิ่ง และปฏิเสธความช่วยเหลือ ก็จะมองไม่เห็นน้ำใจของคนอื่น
และตราบใดที่ยังคิดว่าอยู่คนเดียวได้ นอกจากจะทำให้มองคนอื่นๆ เป็นคนน่ารำคาญไปซะหมด
ก็อาจจะเผลอไปทำร้ายจิตใจคนเหล่านั้นด้วย

ดังนั้น การเอาใจเขา มาใส่ใจเรา ถ้าทำได้ ดีที่สุด
ถ้าทำไม่ได้ ก็ต้องพยายามทำต่อไป ก่อนที่จะเสียคนดีๆ รอบตัวไปทีละคน ๆ จนในที่สุดก็ไม่เหลือใคร (มามะ มาพยายามด้วยกัน)

มุมที่สอง มองจากมุมของคนอื่นๆ

ทำ - ก็ขวางโลก พูด - ก็ขวานผ่าซาก แต่ทำไมคุวาโนะ ยังไม่ถูกทิ้งให้โดดเดี่ยว
ตรงกันข้ามเลย คือมีใครๆ คอยรุมล้อมเสมอ

ทำไมล่ะ

ก็เพราะคุวาโนะ ก็มีมุมดีๆ กับเค้าเหมือนกัน .... มุมดีๆ แบบที่

เออิจิแม้จะถูกทำร้ายจิตใจอยู่หลายครั้ง ถึงขั้นพลั้งปากให้เข้าใจว่าไล่ออก
ก็ยังอยู่ทำงานด้วย และคอยเป็นเดือดเป็นร้อนแทนกับปัญหาที่เกิด

ซาวาซากิ ที่จะอยู่หรือไป คุวาโนะทำเหมือนไม่ใส่ใจ ไม่มีคุณอยู่ก็ไม่เป็นไร ผมอยู่ได้
ทั้งที่คอยช่วยเหลือทำงานร่วมกันมากว่า 8 ปี แล้วทำไมซาวาซากิจึงไม่เลือกไปสู่อนาคตที่ดีกว่า

คุณหมออายาซากะที่ถูกทำให้โมโหจนปรี๊ดแตก ถูกทำให้เจ็บใจจนร้องไห้
แต่ยังพยายามตั้งใจที่จะเรียนรู้และทำความเข้าใจกับนิสัยแปลกๆ ของคุวาโนะต่อไป

มิจิรุ ที่เห็นคุวาโนะเป็นหน้าข่าวบันเทิง คอยหยิบยกเอามาเป็นประเด็นเมาท์แตกสนุกสนาน แต่ในยามต้องการความช่วยเหลือ คนข้างห้องก็หนีไม่พ้นคนข้างห้องอยู่นั่นเอง

ถ้าอยากรู้จักมุมดีๆ ของคุวาโนะ ดู Kekkon สิคะ

เนื้อแท้คนดี (อย่างเราๆ ) หากยังติดที่ปัญหา "แสดงออกไม่เป็น"
อาจจะทำให้มองเห็นวิธีตกตะกอนน้ำขุ่นให้กลายเป็นน้ำใสใจจริง

ถ้ายังไม่ได้ดู ลองหามาดูนะคะ แต่ถ้าดูแล้วถ้าไม่ชอบ ก็ตัวใครตัวมัน ... อย่ามาโทษกันนา

ดังนั้น หากพบใครที่นิสัยไม่ถูกใจ ใบหน้าไม่ถูกชะตา เรามาลองมองหามุมดีๆ กันสักมุมนะคะ
ความไม่ชอบอาจจะถูกหักล้างไปบ้างก็ได้

ถ้ามีคำถามอยู่ว่า ในชีวิตเรา มีใครบ้างที่เราไม่ชอบเอาซะเลย

คงจะดีไม่น้อย ... ถ้าเรานึกหาคำตอบไม่ได้ เพราะไม่มี
หรืออย่างน้อย ต้องใช้เวลาอยู่นานกว่าจะตอบออกมาได้สักคน แค่นี้ก็ถือว่าดีมากแล้ว



ขอตอบคำถามของคนโสดอีกนิด

ไม่ผิดหรอก ที่ชอบจะอยู่คนเดียว
ไม่ผิดหรอก ที่วันหยุดจะไม่ออกไปไหน จะอยู่คนเดียว
ไม่ผิดหรอก ที่ไม่อยากญาติดีกับใคร เพราะอยู่คนเดียวได้ไม่ต้องการใคร

มันไม่ผิดหรอก แต่การอยู่คนเดียว ไม่ใช่ที่สุดของชีวิต เกิดมาทั้งทีใช้เวลาทำสิ่งดีๆ สร้างความรู้สึกดีๆ มีความสัมพันธ์ดีๆ กับคนอื่นบ้าง ชีวิตก็คงมีอะไรดีๆ เพิ่มขึ้นมาเหมือนกัน (มึนคำว่า ดีๆ )

ไม่ผิดหรอก ที่จะกินของที่เราชอบ
แต่ถ้ากินแต่ของที่ชอบอย่างเดียว ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ สุขภาพเสื่อมถอย เจ็บป่วยขึ้นมา
จะลำบากตัวเองทีหลังและอาจจะต้องลำบากคนใกล้ชิดให้คอยดูแลด้วยนะ

ไม่ผิดหรอก ที่เงินหามาคนเดียว จะใช้คนเดียว
แต่ถ้ายังมีเหลือกินเหลือใช้ หรือถ้าไม่เหลือ แต่รู้จักงดกินบางสิ่งที่ไม่อดหยาก
งดใช้บางอย่างที่ไม่จำเป็น แล้วเผื่อแผ่ไปช่วยเหลือคนที่ตกทุกข์ได้ยากให้มีโอกาสได้มีความสุขขึ้นมาบ้างสักเล็กน้อย เราก็น่าจะมีความสุขไปด้วยนะ

ไม่ผิดหรอก ที่ไม่ยอมให้ใครมาเที่ยวที่บ้าน เพราะมันเป็นอาณาเขตของข้าคนเดียว แต่ข้าคนเดียวกันนี้ อย่าดันทะลึ่งเจ็บป่วยล้มตายในบ้านตัวเองให้ใครต้องบุกเข้าไปช่วยชีวิตก็แล้วกัน มันหาทางเข้าลำบาก

ไม่ผิดหรอก ที่ไม่รู้จักยืดหยุ่น แต่อะไรที่ตึงไปมักจะขาด

ไม่ผิดหรอก ที่ไม่ชอบหมา เพราะว่าไม่ใช่คนเมตตารักสัตว์
แต่อย่าไประรานสร้างความทุกข์ใจให้มันก็แล้วกัน

ไม่ผิดหรอก ที่ไม่มีแฟน ไม่ผิดแน่นอน

ไม่ผิดหรอก ที่ไม่เข้าใจความรู้สึกผู้หญิง แต่พยายามเข้าใจให้มากอีกสักหน่อยก็ไม่เสียหายอะไรนี่
เนอะ

ไม่ผิดหรอก ที่ไม่ชอบลายดอก แต่ช่วยเคารพความชอบของคนอื่นด้วย

ไม่ผิดหรอก ที่จะมีความสุข แค่อย่าสุขบนความทุกข์ของใครก็แล้วกัน

Awards :

50thTelevision Drama Academy Awards: Best Drama
50thTelevision Drama Academy Awards: Best Directing
50thTelevision Drama Academy Awards: Best Script
50thTelevision Drama Academy Awards: Best Actor: Abe Hiroshi
50thTelevision Drama Academy Awards: Best Supporting Actress: Natsukawa Yui
50thTelevision Drama Academy Awards: Special Award ~ Ken (the dog)
23rd Annual ATP Awards: Award for Excellence (2006)


ละครเรื่องนี้ได้รางวัลการันตีคุณภาพมาไม่น้อย ไม่เว้นแม่แต่ น้องหมาเคนจัง เก่งมาก
ต้องขอบคุณคนตั้งรางวัลที่มองเห็นความสำคัญของเคนจัง เป็นพระเอกเต็มๆ กับเค้าตั้ง 1 episode
เพราะไม่มีใครสามารถขโมยซีนของเคนจังไปได้ ต่อให้เป็นคนไม่รักสัตว์ ยังไงก็ต้องหลงรักเคนจัง

เพราะเรื่องนี้เคนจังน่ารักที่สุด

จบแบบรวบรัดไปนิด เหมือนว่าจำนวนตอนมันต้องจบแล้ว เลยต้องจบ ทั้งที่ดูแล้วน่าจะมีอีกสักตอนเพื่อให้เรื่องราวค่อยๆ ลงตัว แต่เมื่อจบไปอย่างนั้นเลยรู้สึกห้วนๆ แต่ชอบที่การจบเรื่องไม่ได้ทำให้คุวาโนะเปลี่ยนแปลงไปมากนัก แค่รู้จักอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย (เล็กน้อยจริงๆ ) แต่ยังเป็นตัวตนของคุวาโนะที่ไม่ชอบสังคม แสดงความรู้สึกด้วยคำพูดดีๆ ไม่เป็น ยิ่งถ้าเป็นคำพูดซึ้งๆ ล่ะก็ ลืมไปได้เลย แต่รู้จักลดตัวตนลงมาเพื่อนึกถึงใจคนอื่นบ้าง รู้จักขอบคุณ รู้จักขอโทษ บางครั้งการขอบคุณหรือขอโทษก็ไม่ได้ส่งออกมาเป็นคำพูด มันค่อนข้างยากที่คนอย่างคุวาโนะจะพูดคำเหล่านี้ แต่ถ้าคนรอบข้างเปิดใจยอมรับว่านิสัยเค้าก็เป็นแบบนั้นเอง แค่ยอมเข้าใจและรับรู้ความรู้สึกได้ว่าขอบคุณหรือขอโทษ

เท่านั้นก็เพียงพอ และความสัมพันธ์ก็จะถูกรักษาให้คงอยู่ต่อไป

ชอบค่ะ เรื่องนี้ ... เหมือนเป็นละครสอนใจใครแถวนี้ก็ไม่รู้ 5555

ลิงค์บทความของคุณต่อพงษ์สนใจคลิกเข้าไปอ่านได้ค่ะ
ชอบที่เขียนถึง ความกวน กับ เกราะกำบังจิตใจ
และยังมีความประพฤติของคุวาโนะอีกหลายอย่างซึ่งใครเจอก็ต้องส่ายหน้า
อ่านแล้วนึกภาพฮาๆออกเลย

//www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9520000066382

คำถามสุดท้าย จริงหรือ ที่คุวาโนะมีความสุขกับการอยู่คนเดียว โดยไม่เคยคิดโหยหาใคร ?
ไม่ต้องลงทุนดู Kekkon ถึง 12 ตอน เรื่องนี้ถามใจคนโสดดูก็ได้

ข้อมูลเพิ่มเติม

ชื่อหนัง (เกาหลี/จีน/ญี่ปุ่น) : 結婚できない男 / Kekkon Dekinai Otoko
ชื่อหนังอื่นๆ : The Man Who Can't Get Married /
He Who Can't Marry
กำกับโดย : Miyake Yoshishige, Komatsu Takashi, Ueda Hisashi
จำนวนตอน : 12
ประเภท : Comedy
ผลิตโดย : Ando Kazuhisa, Tojo Yuuji, Ito Tatsuya
Written By : Ozaki Masaya
ปี : 2006 ออกอากาศช่อง Fuji TV

ขอบคุณ
ภาพ : //www.studiodrama.com
ข้อมูล : //www.mylovecd.com




 

Create Date : 27 มกราคม 2553    
Last Update : 22 กุมภาพันธ์ 2558 8:45:42 น.
Counter : 3516 Pageviews.  

Koizora / Sky of Love - รักเรานิรันดร



Sky of Love .. รักเรานิรันดร

ชื่อเรื่องเพราะดี เป็นคำเพราะพริ้งราวกับจะบอกว่า เป็นเรื่องราวที่ซาบซึ้งตรึงใจ
จริงๆ นะ ขอบอก ไม่ได้หลอกเล่น และคงเป็นอย่างนั้น เพราะเป็นหนังที่

"ทำให้คนญี่ปุ่นกว่า 20 ล้านคน ต้องเสียน้ำตามาแล้ว"

แต่ก็ทำให้รู้สึกไม่กล้าดู เพราะกลัวการเสียน้ำตานี่แหละ

ถึงแม้ชื่อจะเพราะพริ้ง "รักเรานิรันดร" และเป็นชื่อที่จดจำได้ในทันที
เช่นเดียวกับ "อยากกู่ร้องบอกรักให้ก้องโลก"

แต่พล็อตของทั้งสองเรื่องก็น่ากลัวจะเศร้า พอๆ กัน

4 เหตุผลที่ Sky of love ( Koizora ) ทำให้คนญี่ปุ่นกว่า 20 ล้านคนต้องเสียน้ำตา
(ที่มา : PINGBOOK ENTERTAINMENT - //www.pingbook.com)

1. หนังรักเรียกน้ำตาที่ได้แรงบันดาลใจจาก FWD mail ทางมือถือ จนถูกนำไปเขียนเป็นนิยายที่ทำยอดขายถึง 12 ล้านเล่ม

2. Sky of love หรือ Koizora เปิดตัวอันดับ 2 บนบ็อกซ์ออฟฟิศญี่ปุ่น แล้วยิ่งฉายยิ่งแรงจนสามารถแซงหนังดังอย่าง Resident Evil 3 และ Alway2 ขึ้นมาอยู่บนอันดับ 1 ได้สำเร็จ

3. ยูอิ อารางาคิ สาวน้อยหน้าใสมากความสามารถผู้รับบท มิกะ นางเอกของเรื่อง ร้องเพลงประกอบภาพยนตร์ Sky of love ( Koizora ) ด้วยตัวเองเพลง ๆ นั้นมีชื่อว่า Heavenly day เนื้อร้องพูดถึง ความสุขที่แท้จริงในวันคืนแห่งความหวัง ด้วยเสียงร้องที่สดใสโดนใจ และกระแสความดังของ Sky of love ( Koizora ) ทำให้ Heavenly day ติดอันดับ 1 บน Chart เพลงฮิตในญี่ปุ่นไปในเวลาอันรวดเร็ว

4. มองกันเผิน ๆ Sky of love ( Koizora ) อาจดูเหมือนหนังรักทั่ว ๆไปในญี่ปุ่น แต่พลังมัดใจที่เรียกน้ำตาคนดูได้อย่างอยู่หมัดก็คือ ความเชื่อในความรักของตัวละครพระเอกนางเอกของเรื่อง เขาทั้งคู่เชื่อว่า ไม่ว่าจะร้อนหนาวหรือทุกข์สุขเพียงใด ถ้าหากเพียงได้รู้ว่าคนที่เรารักพร้อมจะเดินเคียงข้างไปด้วยกัน แม้จะเหลือเวลาเพียงแค่ 1 วัน 1 นาที หรือ 1 วินาที มันก็คงคุ้มค่าที่ได้เกิดมาแล้ว ..

เรื่องย่อ ( จากภาพยนตร์ / //www.nungdee.com )

จากหนังที่ทำให้คนญี่ปุ่นกว่า 20 ล้านคนต้องเสียน้ำตามาแล้ว มาเป็น ละคร จะทำให้คุณประใจอีกครั้งภาพยนตร์ที่สร้างจากนิยายรักทางโทรศัพท์มือถือที่สร้างสถิติหนังรักเปิดตัวสูงสุดในญี่ปุ่น เป็นนิยายรักที่เขียนลงบนเว็บไซด์บนมือถือ และได้รับความนิยมมาก จนได้นำมาตีพิมพ์เป็นหนังสือ แล้วก็ขายได้กว่าล้านเล่มในเดือนแรกที่ขาย มิกะเจ้าของเรื่องรักที่ฮิตในหมู่วัยรุ่นเรือ่งนี้ได้แรงบัดาลใจในการเขียนเรือ่งมาจากชีวิตจริงของเธอเอง

เรื่องราวความรักของ มิกะ นักเรียนชั้นมัธยมปลายปีหนึ่งที่แอบหลงรักเพื่อนร่วมชั้นเรียน ฮิโรกิ จากเด็กสาวธรรมดาที่ไม่เคยมีความรัก กลับกลายเป็นความรักที่สุดแสนจะลึกซึ้ง

แต่แล้ว ฮิโรกิ กลับทิ้งเธอไปอย่างไม่มีเหตุผล มิกะ เสียใจมาก
และความรักครั้งนั้น กลายเป็นบาดแผลฝังลึกจนยากที่จะเปิดใจรับความรักครั้งใหม่

แต่เมื่อเธอได้เจอกับ ยู ชายหนุ่มที่เพียรทำทุกอย่างเพื่อที่จะได้เห็นเธอมีความสุข มิกะ ก็เริ่มใจอ่อน จนยอมคบกับเขา

แต่แล้วในคืนวันคริสต์มาสอีฟแรกที่ทั้งคู่ได้อยู่ด้วยกัน
มิกะ ก็ได้รู้ถึงเหตุผลที่ ฮิโรกิ ต้องทิ้งเธอไป.
กับความลับที่ทำให้หัวใจของผู้ชมทั่วญี่ปุ่นต้องร้องไห้ให้หนังเรื่องนี้มาแล้ว

*****


ด้วยเหตุผลอย่างงั้น และหนังก็โด่งดังอย่างงี้
หลังจากที่ชื่อเรื่องถูกดองไว้ในใจซะนมนาม

ในที่สุด ก็ได้ฤกษ์ตัดสินใจยอมดูกับเค้าซะที เมื่อพี่สาวคนนึงบอกว่า
ดาราขวัญใจเค้าคือ มิอุระ ฮารุมะ น่ารักมั่กๆ ชอบมั่กๆ เป็นพระเอกเรื่องนี้
ซึ่งก็ไม่ได้สนใจมิอุระหรอกเพราะไม่รู้จัก

สนใจที่พี่เค้าบอกว่า ร้องไห้มากมาย ซึ้งมากๆ ต่างหาก

แต่จะพลาดไปแล้วหรือเปล่านะ ที่อ่านข้อมูลหนัง แต่ดันตัดสินใจดูเวอร์ชั่นละคร ..
(พี่เค้าอุตส่าห์หนับหนุนให้ดูน้องมิอุระ เรียกว่าเสียแรงพรรณาไปเปล่าๆ ปลี้ๆ ซะจริงเลย)

ดูละคร เพราะมักจะคิดว่าว่า ละครยาวกว่า รายละเอียดก็คงมากกว่า
เช่นเดียวกับที่เลือกดู Tokyo Tower เป็นเวอร์ชั่นละครก่อน



Sky of Love เวอร์ชั่นละคร ดูแล้ว (ความเศร้า) ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด



นี่คือคู่พระเอกนางเอก .. ในเวอร์ชั่นละคร "เซโต โคจิ" รับบท ฮิโรกิ หรือ ฮิโระ
และ "เอเรน่า มิซูซาว่า" รับบท มิกะ

เหตุผลอย่างหนึ่งที่ทำให้ดองเรื่องนี้ไว้ในใจ นั่นก็คือ หัวทองๆ ของพระเอกนี่แหละค่ะ

เห็นแล้วมันหงุดหงิดหัวใจ หน้าตาก็ไม่ได้เข้ากันเลยกับหัวเหลืองอ่อน
(ดูสีแล้วจะเรียกว่าหัวขาวก็ได้นะ)

ไม่ปลื้มอย่างแรง เห็นแล้วไม่สบอารมณ์
เป็นน้องเป็นนุ่งจะจับย้อมด้วยน้ำยาจาเป่า หรือไม่ก็โกร๋นให้หัวเลี่ยนเตี้ยนไปเลย

แต่ตอนหลัง ทำหัวดำแล้ว ค่อยดูดีขึ้นหน่อย ยิ้มน่ารักดี
ก็หน้าตาธรรมดานะคะ ไม่ถึงกลับหล่อ แต่ก็ไม่ใช่ไม่หล่อ

นี่เรียกว่าชมหรือเปล่า ?

ชมสิคะ นักแสดงหล่อๆ ก็เป็นที่ชื่นชอบของทุกคนเป็นเรื่องปกติ
แต่ที่ชอบมากกว่าและจะกลายเป็นคนโปรดได้

มักจะเป็นคนที่ไม่ได้มีหน้าตาหล่อมากมาย
แต่จะมีบุคลิกบางอย่างที่ชอบ และแสดงในบทบาทที่ชอบมากกว่า

ดังนั้นสำหรับ เซโต โคจิ คนนี้ ก็ต้องถือว่าชมแล้ว





สำหรับนางเอก เป็นคนสวยมากๆ หน้ายาว คางยาว แขนขายาว เพรียวบาง และสวยจริงๆ

แถมยังยิ้มได้สวยสุดๆ

ความจริงแล้ว คนเราจะสวยจะหล่อ ก็ขึ้นอยู่กับสายตาคนมอง คนสวยคนหนึ่ง อาจไม่สวยในสายตาของคนอีกคนหนึ่ง แต่เอเรน่าคนนี้ คิดว่าน่าจะเป็นคนสวยในสายตาของทุกๆ คน



ย้อนกลับมาที่เนื้อหา

เป็นละครสั้นๆ แค่เพียง 6 ตอน..ต้องขอบคุณผู้สร้าง ที่สร้างตามความเหมาะสมของเนื้อหา
ไม่ได้ถูไถลากไปเป็น 8 หรือ 11 ตอน ตามแบบฉบับละครญี่ปุ่นทั่วไป ไม่งั้นคงจะน่าเบื่อ

เป็นเรื่องที่ดูได้เรื่อยๆ ค่ะ ก็เศร้านะ

น้ำตาไหล ร้องไห้นิดหน่อย เมื่อความลับ ซึ่งเป็นเหตุผลให้ฮิโระทิ้งมิกะไปถูกเปิดเผย

แต่ก็ไม่ถึงกับซาบซึ้งประทับใจหรือสุดเศร้าอะไรมากมาย

เป็นเรื่องรัก ที่ใช้ถ้อยคำรักบรรยายความรู้สึกนึกคิดด้วยภาษารักสวยงาม ตลอดทั้งเรื่อง

ลักษณะเดียวกับการบรรยายความรู้สึกนึกคิดของตัวละคร มานาโตะ
ในเรื่อง S.O.S. ( Strawberry on the Shortcake ) ที่รับบทโดย ทักกี้
ซึ่งจะบรรยายความรู้สึกรักอยู่ตลอด และมักจะจบด้วยประโยคที่ว่า

"ไม่ว่ายังไง ผมจะไม่ลืมเธอ"

พอมันบ่อยเราก็ชักจะคิดว่า เอ...ความรักของหนุ่มสาววัยมัธยมเองน่า
แถมยังเพิ่งมาเจอะเจอ ใช่ว่าจะรักใครผูกพันยาวนานเป็นสิบกว่าปี มาแต่เด็กเสียหน่อย
จะรักใคร่ใหลหลง ลึกซึ้งอะไรกันนักหนา (เริ่มออกอาการตายด้านอีกแล้วเรา)

เพราะในภาษารักลักษณะนั้น เนื้อความมันให้ความรู้สึกเหมือนว่า
ถ้าขาดอีกคนไปแล้วจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้อีก

ไม่ได้แอนตี้นะคะ เพียงแต่คิดว่า ละครรัก กับกวีรัก ถ้าอยู่ด้วยกันมากไป ..มันเยอะไป



ใน Sky of Love เสียงเย็นๆ ของนางเอกก็จะพรรณาถึงความรู้สึกที่มีต่อฮิโระอยู่เสมอ
ช่วงกลางๆ มักจะจบการบรรยายด้วยประโยคที่ว่า
"ฉันจะไม่จำอีกต่อไปแล้ว"

แต่ก็ชอบแนวคิดนะคะ ท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ (มิกะ ) สายน้ำที่แข็งแรงแต่ไหลรินอย่างนุ่มนวล (ฮิโระ) และทะเลว้างที่ซัดคลื่นกลับไปกลับมาเสมอ (ยู) นั่นหมายถึงจะไม่ทิ้งสิ่งใดไว้เบื้องหลัง ต่างจากสายน้ำที่ไหลไปไม่ไหลย้อนกลับ (ภาษารักของยูบอกกับมิกะ หมายถึงว่า จะไม่มีวันทิ้งเธอไป เหมือนที่ฮิโระทำ)

แต่ถ้าเปรียบความรักระหว่างพฤติกรรมตรงๆ แบบ ฉันทุ่มเทสุดชีวิต และทำได้ทุกอย่างเพื่อเธอ บวกกับภาษารักแสนหวาน ทุกเวลานาที ฉันคิดถึงแต่เธอ

อะไรทำนองนั้น

กับพฤติกรรมอ้อม ๆ และการบอกให้รู้ว่ารักแบบห่าม ๆ ยกตัวอย่างเช่น

พระเอกเรื่อง GTO บอกรักนางเอกด้วยถุงยางอนามัย ไม่ได้พูดคำว่าชอบหรือรัก แต่พูดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับถุงยางอนามัย ฮา และบ้าบอ แต่ซึ้งดี ในความหมายที่คนพูดคำรักไม่เป็นพยายามบอก

หรือป๋าทาคุยะ ใน Good Luck พูดอ้อมๆ ไป ปอกกกล้วยกินไปด้วย เขิน ๆ ฉากนั้นก็น่ารักดี

แต่ก็นั่นแหละ ... มันต่างกันที่อารมณ์ของหนัง และอารมณ์ของตัวละคร
ละคร comedy กับละคร Romance จะเอามาเปรียบกันได้อย่างไร

นึกถึง 1 litre of tears ขึ้นมา ..เรื่องนั้น... ในมุมความรักของพระเอกนางเอก
ทั้งคู่ต่างก็ไม่ค่อยได้พูดอะไรกันมาก แต่ทำให้สุดจะเศร้าและซึ้ง
ด้วยความเป็นไปของตัวละครที่ก่ออารมณ์ความรู้สึกด้วยพฤติกรรม

แต่ละครที่เอาคำพูดมาบรรยายความรู้สึกนำทางเสียแล้ว ... ก็เลยไม่เศร้าหรือซึ้งเท่าที่ควร

จึงคิดว่า Sky of Love ถ้าเป็นการดูหนังน่าจะ กระชับอารมณ์และบีบน้ำตาคนดูได้มากกว่า

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เป็นแค่ความคิด เพราะยังไม่ได้ดูเวอร์ชั่นที่เป็นหนัง
และคงจะไม่ดู เพราะรู้ความรันทดจากละครเสียแล้ว

แต่เอ ...คิดดูอีกที มี อารางาคิ ยูอิ เป็นนางเอก ก็น่าสนใช่ย่อย

//////////////////////////////


และอีกเช่นเคย ถ้าพระเอกนางเอกเป็นนักแสดงทั่วไปที่ไม่ใช่ลูกรัก
สายตาจะเอียงแอบเหล่ไปที่ตัวประกอบ



Miura Shohei รับบทโนโซมุ เพื่อนของพระเอกค่ะ น่ารักดี

ชื่อหนัง : 恋空 Sky of Love

Directed By : Imai Natsuki (ep1-2), Matsuda Ayato (松田礼人)
จำนวนตอน : 6 ประเภท : Romance Year : 2008
ผลิตโดย : Mishiro Shinichi (ep1-2),
Morikawa Masayuki (森川真行) (ep1-2)
Written By : Mika Koizora: Setsunai Monogatari
(mobile phone novel), Watanabe Mutsuki


Credit ภาพและข้อมูล

//hilight.kapook.com/view/20547
//jkdramas.com/forums/bbs/viewthread.php?tid=44
//www.pingbook.com)




 

Create Date : 18 มกราคม 2553    
Last Update : 22 กุมภาพันธ์ 2558 8:45:25 น.
Counter : 6239 Pageviews.  

Aikurushii บ้านแห่งรัก สายใยนิรันดร์

พยายามจะทำ blog ให้สั้นๆ แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จจนถึงทุกวันนี้
ทั้งหมดเป็นเพราะความชอบ ถ้าได้ชอบแล้วล่ะก็ จบไม่ลงซักที

เรื่องนี้ก็อดไม่ได้ต้องร่ายยาวอีกแล้ว


ต้องยาว เพราะเป็นละครสุดประทับใจ
ที่สำคัญกว่าเรื่องไหนๆ คือเรื่องที่จะเล่ายาวๆ ต่อไปนี้ไม่ได้เขียนเอง

เพราะมีเนื้อหาที่อยากจะนำมาเสนออยู่แล้ว ด้วยความเป็นตัวตนของละครเอง
ที่มีทั้งบทในละคร บทบรรยายจากเบื้องหลังเพื่อแนะนำละคร ครอบคลุม ถูกใจ ใช่เลย

การจะเขียนถึงละครดีๆ ก็ต้องเขียนถึงสิ่งดีๆ มีสาระ
และการเขียนอะไรที่เป็นสาระ มันเขียนยาก

จึงดีใจที่ได้เบาแรง โดยไม่ต้องเขียนเอง
และในฐานะที่เป็นคนชอบดูเบื้องหลังละครมาก
ต้องขอขอบคุณคนทำซับไทยจริงๆ ที่อุตส่าห์ทำซับเบื้องหลังไว้ด้วย ขอบคุณจริงๆ




จากเรียงความเรื่อง "ครอบครัวกับความฝันในอนาคต"

ปี 1993 ตอนผมเกิด
ผมไม่ร้องไห้เลยสักแอะ คุณหมอจึงจับผมยกขึ้นตีก้น
ว้าว.. หนึ่งครั้ง สองครั้ง
แต่ไม่ว่าจะพยายามสักเท่าไร ผมก็ไม่ยอมร้องไห้ออกมาเลย

พ่อผมเป็นคนขับรถแท็กซี่
พ่อเป็นห่วงกลัวว่าผมจะลำบาก พ่อจึงเลิกดื่มเหล้าตั้งแต่วันที่ผมเกิด

คุณแม่เป็นคนที่ยิ้มแย้มอยู่เสมอ
ผมถามว่าทำไมถึงยิ้มล่ะ คุณแม่ก็บอกว่า
เพราะแม่มีความสุขยังไงล่ะ คนเราจะหัวเราะในยามที่มีความสุข

แต่แล้วคุณแม่ก็ล้มป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาล
ตอนที่พวกเราไปเยี่ยมคุณแม่ คุณแม่ก็ยังคงยิ้มให้พวกเราอยู่เสมอ

ในระหว่างที่คุณแม่เข้าโรงพยาบาล พี่สาวผมเป็นคนรับผิดชอบงานบ้าน
ถึงจะซุ่มซ่ามไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไร
บางครั้งพี่ก็คิดว่าตัวเองเป็นคนไม่เอาไหน และรู้สึกท้อแท้

พี่ชายของผมเป็นคนเอาจริงเอาจัง
พี่เป็นคนหาเงินค่ารักษาพยาบาลของคุณแม่ หลังเลิกเรียนก็เอาแต่ทำงานหามรุ่งหามค่ำ
ไม่ว่าเรื่องอะไรก็จริงจังไปซะหมด ... เอาจริง เอาจัง

บางครั้ง น้องสาวผมก็นั่งเหม่ออย่างไร้จุดหมาย ดูลึกลับ ... ลึกลับจริงๆ

คุณปู่ผมนอนกลางวันเป็นประจำ
เพราะคุณปู่เป็นคนดูแลหอดูดาวประจำหมู่บ้านของเรา
พอผมถามว่า “คุณปู่ไม่เหงาบ้างเหรอครับ” คุณปู่บอกว่า
“ปู่ได้เจอคุณย่าที่เสียไปแล้วและกลายเป็นดาวอยู่บนท้องฟ้าทุกคืน แล้วปู่จะเหงาได้ยังไงล่ะ”
เพราะคุณปู่เป็นคนที่โรแมนติกแบบนี้ ผมถึงชอบคุณปู่มากๆ ครับ

ผมชื่อโฮโรครับ โฮโรคือผ้าคลุมสีเขียว ใช้คลุมรถบรรทุกหรือรถม้า
เพื่อให้ผมเป็นคนที่คอยปกป้องสิ่งสำคัญจากลมและฝน จึงตั้งชื่อนี้ให้ครับ

<<<<<<<<>>>>>>>>

เด็กชายโฮโรอ่านเรียงความ “ครอบครัวกับความฝันในอนาคต” จบ
คุณครูถามว่า “แล้วความฝันในอนาคตล่ะ”
“โอ๊ะ นั่นสิ” โฮโรเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ารึยงความของตัวเองขาดประเด็นเรื่องความฝันในอนาคตไป
เพื่อนๆ พากันหัวเราะ ขณะที่โฮโรพยายามใช้ความคิด อืม..ความฝันในอนาคตหรือ

"ความฝันของผมคือ ผมอยากปกป้องโลกใบนี้ครับ”

เพื่อนๆ ร่วมชั้นต่างฮาครืน

ปีนี้ปี 2005 แล้ว แต่ก็ไม่น่าเชื่อว่า ผมยังไม่เคยร้องไห้เลยสักครั้ง

<<<<<<<<>>>>>>>>


จากบทบรรยายเบื้องหลังละคร -(ให้เสียงบรรยายโดยเด็กชายโฮโร)

ยามที่คนเรามีความสุขจนเปี่ยมล้น จะต้องหัวเราะออกมา

“บ้านเราครึกครื้นจังเลยน้า”
.......
“น้องชายหน้าหล่อเหมือนฉันแต่ชอบทำหน้าเศร้าๆ น่ะ”
.............
“เงียบๆ กันหน่อยได้มั้ย!”
......................
“ขอโทษนะคะ”
........
“คนเราพอตายไปแล้วจะไปเกิดเป็นดาวบนท้องฟ้าหรือครับ”
“ใช่แล้วล่ะ”
.................
“คุณแม่จะตายมั้ย”
“ พี่ไม่รู้ พี่จะไปรู้ได้ยังไง”
.........


ครอบครัวอยู่ในใจคุณหรือหรือเปล่าครับ
ครอบครัวที่ทำให้เรายิ้มแย้มขึ้นได้อีก 2-3 เท่า
ครอบครัวที่คอยช่วยแบ่งเบาความเศร้าเสียใจ
ครอบครัวที่ถึงแม้จะอยู่ห่างกัน แต่ก็ยังคอยค้ำจุนจิตใจ
พวกคุณอยากจะเห็นความผูกพันที่แสนวิเศษนั่นสักครั้งมั้ยครับ

<<<<<<<<>>>>>>>>

นี่คือเรื่องราวความเป็นอยู่ของครอบครัวในชนบทที่มีให้เห็นอยู่ทั่วไป
แต่ว่าที่นั่น ความผูกพันระหว่างผู้คนไม่เลือนหายไปตามกาลเวลา
นั่นเป็นความผูกพันอย่างหนึ่ง ความผูกพันยิ่งใหญ่ที่เรียกว่า “ครอบครัว”

เรื่องราวความผูกพันระหว่างผู้คน เป็นเรื่องราวที่แสนอบอุ่น
ต่อไปขอแนะนำสมาชิกในบ้านมาชิบะทั้ง 7 คนนะครับ

บทลูกชายคนโต “พี่โค” รับบทโดย "อิชิฮาระ ฮายาโตะ-ซัง" ซึ่งปกติผมจะเรียกว่า “อุเน่จัง” (พี่)

คนที่รับบทพี่มิจิรุ ที่เคยแสดงเรื่อง “อยากกู่ร้องบอกรักให้ก้องโลก”
เล่นเป็นนักแสดงนำ “อายาเสะ ฮารุกะ” ใจดีมากๆ เลยครับ

ลูกชายคนต่อมา โฮโร ก็คือผม "คามิกิ ริวโนสุเกะ"
รู้สึกประหม่าจังเลย

คนที่รับบทเป็นมาชิบะ อุตะ น้องสาวผมคือ "มัตสึโมโตะ รีน่า-จัง"

คุณแม่คือ "ฮาราดะ มิเอโกะ-ซัง"

คุณพ่อซึ่งเป็นเสาเหล็กของบ้าน รับบทโดย “ทาเคนากะ นาโอโตะ-ซัง”

และคนที่รับบทคุณปู่ “สุงิอุระ นาโอกิ-ซัง”


 



ครอบครัวมาชิบะในละครเรื่องนี้ ต่างผูกพันกันด้วยสายสัมพันธ์ของครอบครัวที่เหนียวแน่น

สถานที่ถ่ายทำในเรื่องนี้ ก็คือหมู่บ้านในชนบท ที่ได้ยินเสียงน้ำไหลและเสียงนกร้อง
ในหมู่บ้านที่ยังหลงเหลือธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ พวกเราครอบครัวมาชิบะอยู่ที่นี่

คุณพ่อของผมเป็นคนขับแท็กซี่ (มาชิบะ เท็ตสึโอะ - 46 ปี)
เป็นคนที่เกลียดการโกหก แต่ในความเข้มงวดก็แฝงความรักไว้ด้วย

ต่อมาคุณแม่ที่สดใส และใจดีเหมือนกับดวงอาทิตย์ (มาชิบะ ยูมิ - 46 ปี)
เพียงแค่มีคุณแม่อยู่ บ้านหลังนี้ก็มีความสุขแล้ว แต่คุณแม่กลับล้มป่วย
จนต้องเข้าโรงพยาบาล “คุณแม่ครับ หายป่วยเร็วๆ นะครับ”

ตอนที่คุณแม่ป่วยเข้าโรงพยาบาล งานบ้านในบ้านมาชิบะเป็นหน้าที่ของพี่สาว
ที่เป็นนักเรียนชั้น ม.6 (มาชิบะ มิจิรุ - 18 ปี-พี่สาวคนโต) ถึงจะพยายามทำเต็มที่แล้ว
แต่ก็ซุ่มซ่ามหกล้มอยู่บ่อยๆ

ต่อมาเป็นลูกชายคนโตของบ้าน (มาชิบะ โค - 17 ปี ) "พี่โค" ที่ผมแอบปลื้ม
เป็นนักเรียนชั้น ม.5 นิสัยค่อนข้างแปลก พี่เป็นคนหนุ่มไฟแรงมากๆ

พูดเบาๆ ไม่เป็น

พี่บอกว่าจะหาค่ารักษาพยาบาลของแม่เอง จึงไปทำงานที่ปั๊มน้ำมันทุกวัน



ต่อไปน้องสาวของผม อุตะ (มาชิบะ อุตะ - 7 ปี) เป็นคนขี้อ้อนและขี้แย
มักจะติดแจกับทุกคนในบ้าน ส่วนนิสัยก็ค่อนข้างแปลก

แล้วนี่ก็คุณปู่ที่ผมรัก (มาชิบะ เมจิ ) คุณปู่เป็นคนดูแลหอดูดาวของหมู่บ้าน
ทำงานตอนกลางคืนและกลับมาตอนเช้า จึงมีชีวิตต่างกับพวกผมโดยสิ้นเชิง
เวลาผมถูกดุ คุณปุ่ก็มักจะออกมาช่วยปกป้อง เป็นคุณปู่ที่ใจดีมากๆ เลยครับ

คนสุดท้ายคือผม (มาชิบะ โฮโร- 11 ปี ครับ ) ความหมายของโฮโรก็คือ
ผ้าคลุมรถบรรทุก หรือรถม้าที่ปกป้องสิ่งสำคัญจากลมและฝน ผมจึงได้ชื่อนี้มาครับ
ผมเป็นคนหัวอ่อน แวดล้อมไปด้วยครับครัวและเพื่อนๆ ที่ผมรัก

ทั้ง 7 คนนี้ เป็นครอบครัวที่สำคัญของผม
มันไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษหรอกครับ
เพียงแค่มีความรัก และความรู้สึกดีๆ ให้แก่กัน
คงเป็นเพราะพวกเราเติบโตมาท่ามกลางความงามของธรรมชาติ
ชีวิตประจำวันของบ้านมาชิบะ จึงมีเสียงหัวเราะและปัญหาคละเคล้ากันไป
เป็นครอบครัวที่รู้สึกอบอุ่นจริงๆ



แต่

ความทุกข์ก็ถาโถมเข้าสู่บ้านมาชิบะของพวกเรา
อยู่ๆ คุณแม่ก็ล้มป่วยลง ครอบครัวของผมที่คุณแม่ต้องเข้าโรงพยาบาล

เมื่อไหร่กันนะ รอยยิ้มที่แท้จริงจะกลับคืนมาสู่ครอบครัวของพวกเรา

บ้านมาชิบะของเราไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็มีกัน 7 คน เปี่ยมไปด้วยความรักและความอบอุ่น
เป็นครอบครัวที่มีสายสัมพันธ์เข้มแข็ง ที่ไม่อาจหาอะไรมาทดแทนได้
เนื้อหาหลักของ Aikurushii คือความผูกพันในครอบครัว

ความผูกพันของพ่อแม่ลูก

บ้านมาชิบะที่อยู่กันอย่างมีความสุข ถูกความทุกข์ถาโถมเข้าใส่แบบไม่ทันตั้งตัว
ครอบครัวที่ผมรัก คุณแม่ที่ผมรัก ต้องมาล้มป่วยลง
คุณแม่เป็นห่วงพวกเราที่ยังต้องอยู่ต่อไป
ในขณะที่คุณแม่กำลังต่อสู้กับความเจ็บป่วย ก็ยังเป็นห่วงพวกเราพี่น้อง
เพื่อพวกเราแล้ว คุณพ่อกับคุณแม่ และเพื่อพ่อแม่ พวกเราทั้งสี่
ชีวิตในบ้านมาชิบะของพวกเรา ต่างก็คอยช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน
และเรียงร้อยด้วยสายใยครอบครัวที่เข้มแข็งและมั่นคง






สายสัมพันธ์พี่น้อง

ตั้งแต่คุณแม่เข้าโรงพยาบาลพวกเราสี่คนก็ต้องช่วยเหลือกันและกัน
และพยายามที่จะไม่กังวล เรื่องที่คุณแม่ไม่อยู่อย่างเต็มที่
การช่วยเหลือซึ่งกันและกันนี้ คือสายสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องที่แน่นแฟ้น

ไม่ว่าที่ไหน คงจะมีครอบครัวที่มีความสัมพันธ์อย่างบ้านมาชิบะของเราอยู่
ความสัมพันธ์ของคุณพ่อคุณแม่ กับพวกผมที่เป็นลูกๆ
แล้วก็ความสัมพันธ์ของพี่น้องที่คอยช่วยเหลือกัน



ความสัมพันธ์ของสามีภรรยา

พอคุณแม่ล้มป่วยลง คนที่ช็อคที่สุดกลับไม่ใช่คุณพ่อ
คุณพ่อเข้มแข็งถึงขนาดที่ว่า ไม่มีน้ำตาไหลออกมาให้เห็น
คุณพ่อถึงกับยอมตายแทนคุณแม่ที่ล้มป่วยลงได้
ทั้งสองคนมีสายสัมพันธ์ที่เข้มแข็งกว่าพวกผมเสียอีก

ในครอบครัวของเรา คุณพ่อเป็นคนที่เหนื่อยและท้อแท้มากที่สุด
สิ่งที่พวกเราพี่น้องจะทำให้กับคุณพ่อตอนนี้ได้ คือการทำตัวสดใสยิ้มแย้มกันต่อไป




ความสัมพันธ์ของปู่กับหลาน

คุณปู่ที่ใจดีและคอยดูแลพวกผมอยู่ห่างๆ
คุณปู่เปรียบเสมือนแสงจันทร์ที่ส่องประกายในยามค่ำคืน
เพื่อคอยชี้แนะทางสว่างไม่ให้พวกเราเดินหลงทาง
คุณปู่เป็นคนใจดีมากครับ เป็นคนเดียวที่สามารถปรึกษาหารือเรื่องทุกข์ใจได้
เป็นคนสำคัญที่โฮโรรักมากที่สุดเลยครับ

เมื่อไหร่กันนะที่น้ำตาของผมจะไหลออกมา
ตอนที่น้ำตาไหลออกมา ผมจะรู้สึกยังไงนะ ขอยืมพลังจากครอบครัวที่ผมรัก
เวลาที่ผมน้ำตาไหลออกมาเหมือนกับทุกคน จะต้องมีบางอย่างที่เปลี่ยนไปแน่ๆ

Aikurushii เรื่องราวของหมู่บ้านในบ้านนอกแห่งหนึ่ง ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับ “ความสัมพันธ์”
ทั้งความสัมพันธ์ของพ่อแม่ลูก ความสัมพันธ์ของคุณปู่กับหลานๆ
แล้วก็ความสัมพันธ์ของพี่น้องที่ต่างช่วยเหลือกันและกัน
แต่ว่าเรื่องนี้ ไม่ได้มีแค่ความสัมพันธ์ในครอบครัวเท่านั้น
ยังมีความสัมพันธ์ของผู้คนต่างๆ ที่อาศัยในหมู่บ้านเดียวกันอีก

ความสัมพันธ์ระหว่างผู้คน ที่เติบโตขึ้นในหมู่บ้านเล็กๆ
แต่กับบางคน ที่มาจากในเมือง มาอาศัยอยู่ในบ้านนอกแบบนี้
ก็เกิดความรู้สึกมีปมด้อยขึ้นมา

มีอะไรอีกหลายอย่างที่ตัวเองก็ยังไม่รู้

<<<<<<<< >>>>>>>>





มารู้จักเพื่อนๆ ของผมกันดีกว่า
เพื่อนซี้ของผมตั้งแต่ยังเด็ก ฮาราซาว่า เซโกะ ผมเรียกเธอว่า “เซโกะ”
คนที่ชอบหยอกล้อกับผมอยู่เสมอ เพื่อนตัวร้ายของผม ฮานาอิ โคซาคุ
ผมเรียก “โคจัง” เด็กที่ย้ายมาจากโตเกียว “นางุโมะ ซู”
แล้วที่รู้สึกจะแปลกไปนิดนึง เพื่อนร่วมชั้นที่มักทำตัวเป็นผู้หญ่ “ซาคามากิ นานะ”

พวกเราอยู่เมืองเดียวกัน และเติบโตมาด้วยกัน
พวกเราถูกผูกติดกันอย่างเหนียวแน่น ด้วยสายสัมพันธ์ที่เรียกว่า “มิตรภาพ”

<<<<<<<< >>>>>>>>

เวลาถ่ายทำ Aikurushii ก็ถ่ายทำได้อย่างราบรื่น

วันหนึ่งก็มีสิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้น

ภาพถ่ายภาพหนึ่งที่ใช้ใน Aikurushii มีสายรุ้งทอดยาวเป็นประกาย
ผมเคยได้ยินมาว่าปกติสายรุ้งจะต้องใช้ CG ทำ

สุดยอด สุดยอด สุดยอด

ว้าววว … ท้องฟ้าตอนที่ออกมาถ่ายข้างนอก มีรุ้งของจริงขนาดใหญ่มากให้เห็นด้วย
สุดยอดมาเลย เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกเลยครับ ที่โลเกชั่นนี้มีรุ้งขนาดใหญ่ทอดข้ามท้องผ้า

รุ้งนั้นราวกับจะเป็นสะพานให้พวกผมก้าวไปสู่อนาคตที่สดใส

<<<<<<<< >>>>>>>>




และผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นี่ ก็มีสายสัมพันธ์ที่ไม่อาจหาอะไรมาทดแทนได้
"บ้านฮานาอิ" เป็นร้านตัดผม เป็นครอบครัวที่ครึกครื้น
"คุณซูโกะ" ที่กลับจากโตเกียวมาเปิดบาร์
ผู้ชายปริศนาที่นานะจังอยู่ด้วย "คุณนากาคาว่า ริวอิจิ" (ฮากิวาร่า มาซาโตะ)
"คุณตำรวจโอโทโมะ" ที่มักจะชอบแวะมาที่บ้านผมอยู่บ่อยๆ
รู้สึกว่าจะแอบชอบพี่สาวผมอยู่ด้วย
แต่คนที่พี่เค้าชอบอยู่ เป็นแพทย์ฝึกหัดที่ดูแล อาการป่วยของคุณแม่ คุณยางุจิ (โอกูริ ชุน)
ที่เป็นเพื่อนสนิทกับ แพทย์ฝึกหัดรุ่นพี่ที่ชื่อ เซโตะ มาซากิ (ทานากะ โคทาโร่)

<<<<<<<< >>>>>>>>

วันที่คุณแม่กลับมาที่บ้าน
วันนั้น จะเป็นวันที่รอยยิ้มแท้จริงของทุกคนในครอบครัวกลับคืนมา
ผมเชื่ออย่างนั้น

ซักวันหนึ่ง ซักวันหนึ่ง คงเป็นความจริง

Aikurushii สามสัมพันธ์จากคุณพ่อคุณแม่ที่ไม่อาจหาอะไรมาทดแทนได้
สายสัมพันธ์ของพี่น้องที่ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มีทั้งทุกข์และสุขคละเคล้ากันไป

พวกคุณยังจำความสัมพันธ์ของครอบครัวได้มั้ย

ให้เรื่องนี้เป็นของขวัญที่ยิ่งใหญ่

ให้นึกถึงมิตรภาพของผู้คน ที่อาศัยอยู่ในชนบทที่ห่างไกล ที่ไหนสักแห่ง

และเรื่องราวความสัมพันธ์ในครอบครัวที่ถ่ายทอดมาอย่างยอดเยี่ยม
แต่ทรมานใจเล็กน้อย

เหมาะกับทุกวัยและทุกๆ คน

พวกเราอยากจะมอบความประทับใจนี้ ให้แก่ทุกๆ คนครับ

<<<<<<<< >>>>>>>>

ความคิดเห็นของนักแสดง
บทบาทของตัวละครที่ได้รับ
และแง่คิดจากละคร







คุณแม่ยูมิ (มิเอโกะ) :


* เด็กทั้ง 4 คน พวกเค้าเป็นเด็กๆ ที่แสนวิเศษ สามารถทำงานได้เป็นอย่างดี
ยิ่งกว่านั้น ทั้ง 4 คนยังมีเสน่ห์ในตัวเอง ได้แสดงเป็นแม่ที่พวกเค้ารัก รู้สึกดีใจมากๆ ค่ะ*

*บ้านที่ไม่มีคุณแม่อยู่ ก็คงเป็นห่วงกันมากน่ะค่ะ งานที่แม่รับผิดชอบก็มีเยอะมากด้วย
พอแม่ไม่อยู่แล้วงานทั้งหมด จึงตกไปอยู่ที่พี่สาวคนโต แต่ว่าพี่สาวก็ยังเป็นเด็กอยู่
แค่ทำอาหารก็ลำบากแล้ว มีอะไรหลายอย่างให้ต้องเป็นห่วง จะให้อยู่ที่โรงพยาบาลเฉยๆ ก็ไม่ได้
เพราะรู้ว่าที่บ้านจะเป็นยังไง พอไปอยู่ที่โรงพยาบาลคนเดียวก็รู้สึกคิดถึงครอบครัว
อยู่ๆ ก็นึกอยากจะกลับบ้านขึ้นมา*

*จริงๆ แล้วฉันก็มีลูกอยู่แล้ว 3 คน คงไม่มีใครคิดหรอกนะคะ
ว่าถ้าตัวเองป่วยขึ้นมา จะทำยังไง พอคิดแบบนั้นแล้วน้ำตาก็ไหลออกมา
ถึงแม้ว่าจะพยายามค่อยๆ อ่านบทอย่างใจเย็น
แต่มันก็หยุดไม่ได้ ทุกๆ ครั้งที่อ่านบท น้ำตาก็ไหลออกมา*

*ครอบครัว มันเล็กมาก เป็นกลุ่มสังคมที่เล็กที่สุด แต่ในนั้นมันก็มีกฎว่า
ในสังคมเล็กๆ นั่น เราจะเลี้ยงดูเค้ายังไง เมื่อเวลาที่เด็กโตขึ้น และออกไปสู่สังคม
เราจะให้เค้าเป็นแบบไหน ให้เค้าไปใช้ชีวิตในสังคมได้*



คุณพ่อเท็ตสึโอะ (นาโอโตะ) :

*จริงๆ แล้วเวลาที่ผมมากองถ่าย Aikurushii ผมรู้สึกสนุกมากๆ เลยครับ*

*ตามข้อมูลที่คุณโนชิม่าเขียนเอาไว้ เป็นคนเลือดร้อนและก็พูดจาหยาบๆ
แล้วก็เป็นพ่อที่มีความรู้สึกค่อนข้างละเอียดอ่อน*

*พวกเราเพียงแค่ต่อสู้ กับความขัดแย้งอยู่ทุกวัน ผมว่าพวกเรา
ก็มีความเป็นส่วนตัวอยู่ด้วย ตอนอยู่กับครอบครัวเราก็มีความเป็นส่วนตัว
ก็มีบ้างที่ความรู้สึกแตกต่างจะกระทบกระทั่งกัน แต่เมื่อมองข้ามเรื่องเหล่านี้ไป
มันก็คือความสัมพันธ์ที่เข้มข้น

*ความผูกพันฉันท์สามีภรรยาก็ไม่ใช่ความผูกพันในสายสายเลือด แต่ลูกๆ นั้น
ผูกพันกันทางสายเลือด สำหรับผมแล้ว บ้านคือที่ๆ เราจะกลับไป
การมีใครสักคนรอเราอยู่ มันรู้สึกดีมากเลยนะครับ*


คุณแม่ยูมิ และคุณพ่อเท็ตสึโอะพูดถึงเด็กๆ

คุณแม่ : เด็กๆ ขาวกันทุกคนเลย น่ารักมาก น่าตกใจจังเลย เหมือนกันยังไงก็ไม่รู้ เหมือนใช่มั้ยคะ ( หันไปถามคุณพ่อ ) ทั้งที่ไม่เหมือนกันเลย แต่พอเอาทั้งสี่มายืนเรียงกันกลับดูเหมือนพี่น้องกันจริงๆ แคสติ้งเก่งมากเลยนะคะ
คุณพ่อ : (พยักหน้าเห็นด้วย) ใช่ เยี่ยมจริงๆ
คุณแม่ : เป็นมืออาชีพเลยนะเนี่ย
คุณพ่อ : (พยักหน้าเห็นด้วย) ใช่ มืออาชีพ ขยันจนน่าตกใจทั้ง 4 คนเลย
คุณแม่ : ทั้งที่ยังเด็กอยู่แต่กลับแสดงได้เยี่ยมมากๆ จนน่าตกใจ พอเข้าฉากแล้วเก่งมากๆ





มิจิรุพี่สาวคนโต (ฮารุกะ) :

*(มิจิรุเป็นคนยังไง?) มีส่วนคล้ายกันอยู่บ้างนะคะ เมื่อกี๊เพิ่งหกล้มมา (ฮารุกะยิ้มอายๆ )*

*เธอต้องคิดเรื่องของครอบครัว แล้วก็เป็นคนที่เข้มแข็ง เป็นพี่สาวที่ใจดีมากๆ เลยล่ะค่ะ*

*รู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่มีอะไรมาทดแทนได้ค่ะ แต่ละคนในครอบครัว ก็เหมือนจะมีรูปแบบของตัวเอง แต่ละคนก็ต่างมีความรักที่เจ็บปวด*

*การพูดคุยกันในครอบครัว จะทำให้ครอบครัวนั้นมีสายสัมพันธ์ที่เข้มแข็ง / เป็นครอบครัวที่ดี
และอบอุ่น สนุกมากเลย*








โคพี่ชายคนโต (ฮายาโตะ) :

*โคเป็นคนตรงไปตรงมามากครับ ถ้าอยากพูดอะไรก็จะพูดออกมาตรงๆ
แต่พอมาคิดดูดีๆ ในคำพูดเหล่านี้กลับอัดแน่นไปด้วยความคิด*

*เค้าเป็นคนที่รักครอบครัวมากครับ ถ้าผมเป็นอย่างนั้นได้ก็คงดี*

*เถียงกันเรื่องขี้บ้างล่ะ ตอนที่คุณแม่เข้าโรงพยาบาลก็พูดว่าจะเป็นยังไงต่อไปบ้างล่ะ
บางทีก็พูดอะไรแย่ๆ ออกมาตามอารมณ์ นี่แหละครับ “ครอบครัว” *

*ละครเรื่องนี้เป็นละครครอบครัวที่ดี เด็ก ม.ต้นที่ต่อต้านพ่อแม่ยิ่งควรดู
คนอายุ 30 ที่แยกกันอยู่กับพ่อแม่ก็ควรจะดู เมื่อดูแล้วจะรู้สึกถึงครอบครัวที่อบอุ่น
ก่อนนี้ผมรู้สึกเวลาทะเลาะกับพ่อว่า “อะไรกันน่ะพ่อ!” แต่พอได้มาดูเรื่องนี้แล้ว
รู้สึกว่าครอบครัวก็เป็นเรื่องสำคัญ มาลองคิดดูสักนิด น่าจะลองคุยกับพ่อดูนะ
พอคิดได้อย่างนี้แล้ว มันรู้สึกดีมากๆ เลยครับ*






ความเห็นของฮารุกะและฮายาโตะ


ฮารุกะ : เวลามีอะไรถึงแม้จะไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่ แต่เวลาที่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกคนในครอบครัวก็จะมาล้อมวงกัน
ฮายาโตะ : สมมติว่าพวกเรา 4 คน มีใครคนนึงล้มลง ก็จะมีใครสักคนมาช่วยเหลือ
ฮารุกะ : นี่แหละค่ะ Aikurushii
ฮายาโตะ : มันเป็นกลังใจที่ดีที่สุด ปกติเราจะไม่ค่อยพูดขอบคุณอะไรกันเท่าไหร่
จะไม่พูดเด็ดขาด แต่เวลาแยกกันไปแล้ว บางทีก็จะมีข้อความส่งมาขอบคุณ
ถึงจะไม่ได้ออกมาเป็นคำพูด แต่ก็เป็นการขอบคุณที่รู้สึกดี
ฮารุกะ: มันเชื่อมโยงกันจนถึงส่วนลึกในจิตใจ เป็นสายสัมพันธ์ที่เข้มแข็งค่ะ





อุตะน้องสาวคนเล็ก (รีน่าจัง) :

*เป็นเด็กขี้อ้อน ขี้แย แล้วก็ขี้หลงขี้ลืม เป็นเด็กที่แปลก*
*สนุกค่ะ พี่ๆ ทุกคนใจดีมากเลย อยากมากองถ่ายทุกวันเลยค่ะ*

คุณปู่เมจิ (นาโอกิ) :

*คนที่คอยช่วยเหลือเรามีทั้งพ่อและแม่ พี่ชายพี่สาว แต่ผมคิดว่าบทของผม คือการคอยสนับสนุนเด็กๆ อยู่ห่างๆ ครับ และสอนเด็กๆ ไม่ให้ไปทำให้ใครเดือดร้อน
เพราะเราไม่สามารถตัดสินอะไร ก่อนมันจะเกิดได้ ก็เลยคอยช่วยหนุนหลังพวกเด็กๆ
บทแบบนี้เป็นที่ไม่มีคนเกลียด การที่มีคุณปู่อยู่ด้วย ก็เป็นเรื่องที่ดีเหมือนกันครับ*

*เค้าเป็นคนที่ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ถ้าทุกคนเป็นแบบเค้าได้ สังคมคงจะดีขึ้น
มันคงไม่ได้เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้หรอกนะ แค่เราเริ่มต้นจากที่บ้านของเราเอง
ต้องเริ่มต้นจากที่บ้านของเราเองก่อนครับ*


เกี่ยวกับละครเรื่องนี้ ท่าทางการตอบคำถามของพวกเด็กๆ ที่ไร้เดียงสา และตรงไปตรงมา
ดูเหมือนกับถ้าเป็นผู้ใหญ่พูดเลย บทของผมถึงจะได้ออกมาเพียงแค่บางฉาก
แต่ก็ได้หัวเราะไปกับพวกเค้าด้วย




โฮโรน้องชายคนรอง (ริวโนสุเกะ) :


*จริงๆ แล้ว เวลาที่ผมมากองถ่าย Aikurushii ผมรู้สึกสนุกมากๆ เลยครับ*

*โฮโรเป็นคนที่อ่อนโยน แล้วก็เป็นเด็กที่มีความคิดเหมือนผู้ใหญ่*

*ทุกคนทำเพื่อคุณแม่ ทำหลายสิ่งหลายอย่าง สิ่งที่ทำไปมันวิเศษมากเลยครับ*

*คุณปู่เป็นห่วงเรื่องของผม เหมือนกับเป็นเรื่องของตัวเอง ผมเติบโตท่ามกลางการดูแลของคุณปู่แบบนี้ พวกผมมีจึงสายสัมพันธ์ที่เข้มแข็งจากคุณปู่ที่ผ่านวันเวลาต่างๆ มามากมาย*

*มันเป็นเรื่องน่าเศร้ามากที่น้ำตาของโฮโรไม่ยอมไหลออกมา อยากให้ดูความทุกข์ใจของโฮโรกันครับ*

XOXOXOXOXOXOXOXOXOXOXOXO







เป็นละครที่แปลกดี คือเนื้อหามันธรรมดามาก ก็แค่การดำเนินชีวิตที่ค่อนข้างจะเป็น "ชีวิตประจำวัน" ของครอบครัว ๆ หนึ่ง

เช้ามาล้อมวงกินข้าว พ่อไปทำงาน ลูกไปโรงเรียน เลิกเรียนที่เล่นกับเพื่อนก็เล่นไป
ที่ทำงานบ้านก็ทำไป ที่ทำงานพิเศษก็ทำไป พบปะผู้คนนอกบ้าน แล้วก็กลับมาบ้าน
มาล้อมวงกินข้าวพูดคุยกัน ถึงเวลาไปเยี่ยมคุณแม่ก็พากันไป

แต่เรื่องง่ายๆ เหล่านี้ ดูแล้วกลับรู้สึก "สุดประทับใจ"

ไม่ผิดเลยถ้าจะกล่าวว่า เมื่อคุณแม่ป่วย ครอบครัวก็ป่วยตาม
แต่เพราะเป็นครอบครัวเข้มแข็ง จึงประคับประคองกันไว้ไม่ให้ครอบครัวต้องล้มลง

คุณพ่อ ที่ซ่อนความทุกข์ไว้ลำพัง และยังทำตัวโอเว่อร์บ้าบอเป็นปกติให้ลูกเห็น
ลูกสาวคนโต เด็กสาวแสนดีบริสุทธิ์ และเสียสละ
ลูกชายคนโต เด็กหนุ่มแข็งแรง และรักความยุติธรรม
ลูกชายคนรอง เด็กชายที่ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยร้องไห้ จนใครๆ พากันห่วงว่าจะเป็นเด็กไม่ปกติ
แต่ก็เติบโตมาอย่างปกติ ความอ่อนโยนของโฮโร เปรียบเสมือนความหมายของชื่อ
คือ "ผ้าคลุมสีเขียว" ที่คอยปกป้องสิ่งสำคัญจากลมและฝน
"ความฝันของผม คือผมอยากปกป้องโลกใบนี้ครับ"
เป็นสิ่งที่ไม่เกินความจริงเลย เพราะผู้คนในโลกของเด็กชายโฮโร ต่างก็ได้รับการปกป้อง
ไม่รูปแบบใดก็รูปแบบหนึ่ง ด้วยความพยายามจากจิตใจที่อ่อนโยน
ลูกสาวคนเล็ก ที่เป็นเด็กหญิงขี้แง ดวงใจน้อยๆ ของทุกคนในบ้าน
และ คุณปู่ ที่สุขุม ใจดี เป็นร่มเงาที่ร่มเย็นคอยแผ่ปกคลุมลูกหลาน



ชอบเรื่องนี้มากๆ เลย

เป็นละครเศร้า แต่เพราะมีเด็กๆ จึงมีแต่เรื่องชวนให้ยิ้ม
ยิ้มให้กับ ความซื่อ ความสดใส มิตรภาพความเป็นเพื่อนแบบเด็ก
และความรัก popy love ของเด็กๆ บางเรื่องก็ชวนหัวเราะ

ทั้งที่หลายบทหลายตอนชวนร้องไห้ แต่น้ำตาก็ไม่ได้ไหลออกมา (สงสัยจะเหมือนโฮโร)


โฮโรเป็นเด็กชายที่ไม่เคยร้องไห้
แม้ว่าจะมีสีหน้าเศร้าสร้อย แต่ก็มีรอยยิ้มอยู่เสมอ
เป็นเด็กชายผู้ค้นหา "อัศวินสีรุ้ง"
เมื่อมอบลูกแก้วเจ็ดสี ให้กับอัศวินทั้งเจ็ด
คำอธิษฐานจะเป็นความจริง ... คุณแม่จะหายป่าย

ในขณะที่พี่ ๆ มีมุมแอบร้องไห้ แม้แต่พี่ชายที่เข้มแข็งอย่างโค
โฮโร จึงเฝ้าสงสัยตัวเองด้วยความทุกข์ใจที่น้ำตาของเขาไม่เคยไหลออกมา

จึงถามคุณปู่ว่า "ผมเป็นคนเลือดเย็นหรือครับ"

น่าสนใจที่ว่า ...ในที่สุดแล้วน้ำตาของโฮโรจะหลั่งเพราะสุข ทุกข์ เศร้า แบบไหน
หรือเสียน้ำตาเพื่อใคร ...

และต้องหัวเราะจริงๆ ให้กับความสัมพันธ์ของ พ่อและลูกชายคนโต
ที่ทุกวันจะต้องถกเถียงกันเสียงดัง เถียงกันอยู่ได้แม้แต่เรื่อง ขี้ๆ
บางทีก็โผเข้าหาตะโกนใส่กัน กระชากคอเสื้อ ผลักอก ยื้อยุดกันพัลวัน
ซึ่งไม่ได้ทำเพราะความโกรธเกลียด แต่เป็นเพราะการแสดงออกตรงไปตรงมา (ตรงไปหรือเปล่า)
เพราะความสนิทสนมเกินพิกัด (จึงไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อเป็นลูกกันแน่)
เสียงร้องไห้กระจองอแงของเด็กหญิงอุตะที่ทำให้พี่โฮโรถูกลงโทษ
และ....พี่โค หันไปตะโกนใส่คุณพ่อ "โอเว่อร์!" และเริ่มทะเลาะถกเถียงกัน
โดยมี พี่มิจิรุ พยายามห้ามทัพอยู่ข้างๆ
นั่นสิ คุณพ่อจะต้องโอเวอร์กับการเสียน้ำตาของลูกสาวคนเล็กเสมอ (มันฮาดี )

ฮายาโตะเรื่องนี้ ไม่ต่างกับ Wild life เลยนั่นคือ บ้าพลัง และ "พูดเบาๆ ไม่เป็น"
บุคลิกอย่างหลังนี่เหมาะกับที่รักฮายาโตะมาก.. (he เกิดมาเพื่อสิ่งนี้ )

เป็นบ้านที่ดูวุ่นวาย แต่ก็สนุกสนาน
เป็นบ้านที่ไม่ได้อยู่กันด้วยพฤติกรรมสุภาพ หรือพูดจาภาษาดอกไม้รื่นหู
แต่ก็รักใคร่ กลมเกลียว ต่างคนต่างก็ทำหน้าที่ของตัวเอง
และคอยเหลือบแลคนรอบข้างเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

อบอุ่น

และทำให้นึกถึงซีรีย์ประทับใจแดนฝรั่ง "Brothers & Sisiters" ที่แม้จะต่างด้วยวัฒนธรรม
ต่างการดำเนินชีวิต และต่างด้วยวัยของตัวละครที่ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ใหญ่ มีหน้าที่การงาน
มีชีวิตเป็นของตัวเอง และบ้างก็มีครอบครัวแยกไป
ปัญหาของพี่ๆ น้องๆ แต่ละคน ล้วนหนักหนาสาหัส ความขัดแย้งไม่เข้าใจกันก็ไม่ใช่เรื่องเล็ก ..

แต่ที่สุดแล้ว คนเราจะมีที่ไหนให้กลับไป
จะหันหน้าไปหาใครได้ ถ้าไม่ใช่ "พี่น้อง" และ "ครอบครัว"
จึงอยากจะหยิบยืมชื่อภาษาไทยของ Brothers & Sisters มาใช้กับ Aikurushii ด้วย
เพราะถึงจะต่างสัญชาติ แต่ก็เป็น "บ้านแห่งรักสายใยนิรันดร์" ไม่ต่างกัน







นอกจากนี้ ... ยังอุตส่าห์สร้างสัมพันธ์ความรักของคนหนุ่มสาว เล็กน้อยแต่กรุ่นกลิ่นรักละไม

ยิ่งสาวน้อยที่มาคู่กับฮายาโตะ ไม่ใช่ใครที่ไหนไกล คือคนที่เล่นเป็น อายะ (เอริกะ ซาวาจิริ) นางเอกหน้าตาสุดน่ารักจาก One Litre of Tear ยิ่งปลื้ม

"ฉันชอบผู้หญิงเงียบๆ " เลยเจอเงียบสมใจ เพราะเธอเป็นใบ้







สำหรับนักแสดงที่รู้สึกชอบเหลือเกินกับการเรียกชื่อเค้าอย่างเต็มยศ "อิชิฮาระ ฮายาโตะ"
รับบทเป็น "พี่โค" ทำหน้าที่ช่วยพ่อหาเงินรักษาแม่
ปกป้องพี่สาวมิจิรุ ดูแลน้องชายโฮโร เล่นกับน้องเล็กอุตะ
และมักจะคอยขัดคอถกเถียงกับคุณพ่อเท็ตสึโอะ



คงจะต้องพยายามสุดกำลังที่จะกล้ำกลืนคำพูดไม่ให้พรั่งพรูออกมาเป็นตัวหนังสือไปมากกว่านี้
(เพราะชักจะเพ้อถึงมากไปแล้ว ในหลาย blog ก่อนหน้า) ..
แต่ว่า ลักษณะตาหยี ปากเหยอ ของเค้าก็น่ารักจริงๆ นะ

ส่วน ฮารุกะ ที่เล่นเป็นพี่สาวคนโต เคยเห็นภาพโปสเตอร์ของละครที่เล่นเป็นนางเอกอยู่หลายเรื่อง
แต่พล็อตเรื่องยังไม่โดนให้เลือกหามาดูนัก จึงเคยดูผลงานมาก่อนเรื่องเดียวคือหนังเรื่อง ICHI
พอดูหนังจึงเพิ่งรู้สึกว่า ฮารุกะ สวยจัง การแสดงก็โอเคเลยนะ
จึงชักอยากดูเรื่องที่ชอบชื่อเรื่องเป็นพิเศษ รู้จัก จำได้ติดใจ
ตั้งแต่ยังไม่สนใจหนังหรือละครของญี่ปุ่น "อยากกู่ร้องบอกรักให้ก้องโลก"
..ชื่อเรื่องเหมือนเป็นตำนานเลยนะคะ






รักซีรีย์เรื่องนี้ค่ะ เด็กๆ ก็น่ารักทุกคน โดยเฉพาะ อุตะ โฮโร
เซโกะ โคจัง (เพื่อนของโฮโร) และ "พี่โค"


Aikurushii เยี่ยมมาก





<<<<<<< >>>>>>>>>>>

น่ารักจริงๆ ฮายาโตะจัง






ในบรรดาฉากน่ารักทั้งหลาย ฉากนี้เป็นที่หนึ่งในใจเลย


<<<<<<< >>>>>>>>>



"...ฟังเพลงตั้งแต่แรกๆ แล้วรู้สึกว่าเพลงประกอบละครตอนต้นเรื่องเพราะมากๆ

อาตี้ก็นั่งฟัง นั่งแกะเพลงไปๆ มาๆ แล้วเอามาค้นดู ถึงได้รู้ว่า มันเป็นเพลง Ben ของไมเคิล แจกสัน น่ารักมากๆ

เพลงนี้ไมเคิลแต่งเองให้กับหนูของเขา ด้วยความเหงาที่ขาดเพื่อนเล่นในวัยเดียวกัน จึงมีหนูเป็นเพื่อน

เวลาเขาร้องจึงสัมผัสได้ถึงความรักที่มีต่อ Ben เดี๋ยวอาตี้ดูจบจะเอาไปเม้นท์ไว้ในบล็อกค่ะ........"


...... คุณอาตี้กรุณาส่งเมลเรื่องเพลงของไมเคิลมาให้ ขอบคุณมากค่ะ...


ชื่อหนัง (เกาหลี/จีน/ญี่ปุ่น) : あいくるしい
ชื่อหนังอื่นๆ : Sweet
นักแสดง : N/A
Directed By : Yoshida Ken, Hirakawa Yuichiro, Nasuda Jun
จำนวนตอน : 11
ประเภท : Family, romance
ผลิตโดย : Ishimaru Akihiko
Written By : Nojima Shinji
Year : 2005 ออกอากาศช่อง TBS



Credit : //www.tbs.co.jp/aikuru.htmul
belike.net




 

Create Date : 13 มกราคม 2553    
Last Update : 22 กุมภาพันธ์ 2558 8:44:34 น.
Counter : 4144 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  

prysang
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 98 คน [?]




จำนวนผู้ชม คน : Users Online
New Comments
Friends' blogs
[Add prysang's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.