All Blog
ตอนที่ 19 +++ ความจริงภายใต้บาดแผล +++



+++++ต่อเรื่อง+++++









“พี่ว่าเราพามิวเข้าคลินิกใกล้แถวนี้ดีกว่านะ” พี่หลิวออกความเห็น

“ก็ดีครับพี่ ท่าทางอาการคงไม่น่าห่วงเท่าไหร่ พาไปใกล้ๆก็ดีครับ” เอ๊กซ์บอก

“โน่นไง ซ้ายมือข้างหน้าโน่น พี่หลิว เลี้ยวเลยๆ” ต่อชี้ให้คนขับดู จากนั้นรถของพี่หลิว
ก็พาสองหนุ่มนักดนตรีออกัสต์และนักร้องที่กำลังเป็นลมไปถึงคลินิกแห่งนึง





“ข้อแรก แกต้องกลับไปอยู่ระยองกับป๊า ทันทีที่สอบเสร็จ”

“ป๊าหมายถึง อยู่ที่โน่น เรียนที่โน่นเลยงั้นหรอ”

“ใช่ จบม.หกแล้ว แกต้องไปเข้ามหา’ลัยที่โน่น เรียนบริหารธุรกิจ ช่วยกิจการป๊า”

“แล้ววงดนตรีของมิวล่ะ ป๊าจะให้มิวทิ้งไปงั้นหรอ มิวสู้สร้างฝันมากับเพื่อนๆแล้วนี่.....”

“นั่นคือเงื่อนไขข้อที่สอง แกต้องเลิกเล่นดนตรี เลิกร้องเพลง แล้วช่วยป๊าดูแลโรงงานแทน”

“แต่การร้องเพลงเล่นดนตรีเป็นความฝันของมิวนะป๊า นี่ก็อุตส่าห์มีอัลบั้มแล้วด้วย
กลางเดือนนี้ก็วางแผงแล้ว ป๊าจะให้มิวทิ้งงาน กลายเป็นคนไม่รับผิดชอบหรอ”

“แกจะสอบเสร็จเมื่อไหร่” น้ำเสียงออกคำสั่ง

“ปลายเดือนครับ” น้ำเสียงซึมสลดลง

“งั้นก็รอจนสิ้นเดือน เสร็จเรื่องอัลบั้มเมื่อไหร่ ก็ไประยองทันที”

“แล้วเงื่อนไขข้อที่สามล่ะครับ” น้ำเสียงมิวเศร้าสร้อย ท้อแท้ สิ้นหวัง

“แกต้องเลิกติดต่อกับนายนั่นอย่างเด็ดขาด”

“แต่...โต้งเป็นเพื่อนมิวนะป๊า เพื่อนที่เข้าใจมิวที่สุดด้วย ป๊าให้มิว..........”

“ไม่มีข้อแม้ ป๊าทนเห็นแกกับไอ้นั่นทำเรื่องบ้าๆนี่ไม่ได้เด็ดขาด เข้าใจมั้ย เลิกยุ่งกับมัน
แล้วทำตัวให้สมเป็นลูกชายป๊าซักที อย่าลืมว่าแกต้องสืบสกุลให้ป๊านะ”




มิวค่อยๆเปิดตาขึ้นบนเตียงเล็กๆ ในห้องเล็กๆ ของคลินิกเล็กๆแห่งหนึ่ง สตรีในชุด
พยาบาลสีฟ้าอ่อนคนนึงกำลังบรรจงปิดผ้ากลอสบริเวณแผลผ่าตัดที่ด้านสีข้าง โดยไม่ได้มอง
หน้าผู้ที่กำลังดูแลแผลให้ตน นักร้องนำวงออกัสต์กลับเลือกมองผ่านช่องกระจกที่ประตู
คุณหมอกำลังยืนคุยกับพี่หลิว เอ๊กซ์ และต่อ ด้วยสีหน้าเรียบปกติ แต่สีหน้าของคนฟังกลับดู
ตื่นเต้นกังวลอย่างชัดเจน นักร้องหนุ่มรับรู้ได้ทันทีว่า การแอบไปผ่าตัดของตนนั้น ย่อมไม่ใช่
ความลับอีกต่อไป แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ต้องกังวลนัก เมื่อเทียบกับสิ่งที่ตนเพิ่งจะฝันถึง ข้อตกลง
ที่สัญญาไว้กับป๊า ยิ่งนึกถึง สีหน้านักร้องหนุ่มก็ซึมลงทันที


“เจ็บแผลรึเปล่า” เสียงพยาบาลสาวเอ่ยถาม

“เปล่าครับ” มิวตอบโดยที่ไม่ได้มองหน้าคนถาม

“มิวนี่อึดดีนะ เจ็บแผลอยู่แท้ๆ ยังฝืนซ้อมเต้นได้ตั้งนาน แต่สุดท้ายก็เป็นลมอยู่ดี”


ด้วยความแปลกใจที่ทำไมเสียงพูดของพยาบาลคนนี้จึงฟังดูคุ้นเคยนัก ทั้งยังเรียกชื่อ
ของตนได้อย่างสนิทปาก ยังกับว่าคุ้นเคยกันมาก่อน มิวรีบหันหน้ามาดูพยาบาลที่อยู่ข้างๆ
ทว่า..............................คนๆนี้ไม่ใช่พยาบาล


“พี่จูน” นักร้องหนุ่มอุทานตกใจ แล้วพยายามลุกขึ้นนั่ง

“อย่าเพิ่งลุกเลย ...... ว่าไง พี่เองแหละ แปลกใจหรอ” สาวสวยยิ้มตอบ

“แล้วพี่จูนมาอยู่นี่ได้ไงเนี่ย” สีหน้านักร้องหนุ่มสงสัย แต่ก็เริ่มสังเกตว่าชุดที่จูนสวมอยู่
ไม่ใช่ชุดพยาบาลอย่างที่คิดไว้ตอนแรก แต่เป็นเสื้อเชิ้ตสีฟ้าเท่านั้น

“พี่แวะลงมาเยี่ยมเพื่อนที่กรุงเทพฯ แล้วก็หางานใหม่ทำด้วย ตอนนี้ก็เป็นผู้ช่วยอยู่ในกอง
ถ่ายหนังเรื่องนึง งานชั่วคราวน่ะ พอดีแวะมาซื้อยาก็เลยเจอมิวเข้าพอดี”

“ผมนึกว่าพี่จูนกลับเชียงใหม่ไปแล้วซะอีก”

“ก็กลับไปอยู่ได้พักนึงแล้วแหละ” สีหน้าจูนซึมลงบ้าง

“ทำไมเหรอครับ” น้ำเสียงของมิวแสดงความห่วงใย

“เรื่องมันยาวน่ะ ไว้พี่ค่อยเล่าให้ฟังทีหลัง” จูนเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ

“รีบเหรอครับ”

“นิดหน่อยน่ะ”

“พี่จูน”

“ฮึ”

“ผมขอโทษนะครับ”

“ขอโทษเรื่องอะไร”

“ก็....เพราะเรื่องของผมกับโต้งทำให้พี่ถูกพี่อ๊อดเค้า..........”

“มิว....ฟังพี่นะ เรื่องของเรื่องคือ พี่ไม่รับผิดชอบงานของพี่เอง พี่อ๊อดเค้าถึงได้....”

“แต่ถ้าตอนนั้นผมไม่ทำตัวงี่เง่า รู้จักรับผิดชอบวงมากกว่านี้ พี่จูนก็คงไม่เดือดร้อน”

“ไม่ใช่อย่างนั้นซะหน่อย พี่มีหน้าที่ดูแลวงนะ ยังไงตอนนั้นพี่ก็ผิดอยู่ดี”

“อย่างงั้นก็เหอะ แต่...”

“ไม่ต้องแต่แล้ว จะพูดว่าเพราะงานที่บ้านโต้งทำให้พี่เสียงานที่บริษัทพี่อ๊อด เป็นเพราะ
มิวคือต้นเหตุใช่ปะ.... อย่าได้คิดอย่างนั้นเด็ดขาดเชียว”

“ก็....”

“นั่นเพราะพี่ตัดสินใจเอง พี่เลือกที่จะสวมบทเป็นแตงเอง ไม่ใช่ความผิดของเรา อีกอย่าง
การอยู่บ้านนั้น ก็ให้อะไรดีๆกับพี่เหมือนกันนะ พี่ไม่เสียใจเลยกับสิ่งที่พี่เลือกทำ”

“แล้วพี่จูนจะทำไงต่อไปล่ะครับ จะอยู่กรุงเทพฯต่อใช่ปะ”

“ช่วงนี้ก็ไปอยู่ห้องเช่าห้องเดิมน่ะ โชคดีไม่มีใครมาเช่าต่อ เจ๊แกเลยใจดีให้เช่าต่อได้”

“กลับมาทำงานที่เดิมสิครับ เดี๋ยวผมช่วยขอร้องพี่อ๊อดให้”

“อย่าเลยมิว อีกอย่าง วงมิวก็มีผู้จัดการคนใหม่แล้วด้วย ท่าทางจะเก่งอีกต่างหาก”

“ครับ พี่หลิวเธอเก่งจริงๆ เล่นดนตรีได้ตั้งหลายชิ้น ยิ่งเครื่องสายนะ สุดยอดเลย”

“แล้วจะให้พี่ไปทำอะไรล่ะ พี่หลิวของมิวทั้งเก่งทั้งสวยขนาดนั้น”

“เอ่อ...คือ....” ท่าทางมิวจะนอยด์ไปเล็กน้อยเพราะกลัวจูนจะน้อยใจ

“อย่าทำหน้าซีเรียสนักสิ พี่ไม่ได้น้อยใจซักหน่อย” เหลือบดูนาฬิกาอีกครั้ง

“พี่จูน ผมมีเรื่องจะปรึกษา”

“พี่ต้องไปแล้ว อะนี่ เบอร์โทรศัพท์ใหม่ของพี่ ไว้ค่อยคุยกันทีหลังนะ” พูดจบสาวสวย
ก็รีบออกไปจากห้อง แวะทักเอ๊กซ์กับต่อเล็กน้อย แล้วก็หายไปจากคลินิกนั้น

มือคลำที่ผ้ากลอสปิดแผล ร่างโปร่งพยุงตัวลุกขึ้นนั่ง ตั้งใจจะปรึกษาเรื่องของตน
กับพี่จูน แต่เพราะเวลาไม่เอื้อ ทำให้ไม่ทันได้คุย แต่อย่างน้อยนักร้องหนุ่มก็มีอีกคนที่ตนพอ
จะปรึกษาได้


.....


.....









“มิวมีอะไรจะบอกพี่รึเปล่า” พี่หลิวเอ่ยถามมิวที่นั่งอยู่เบาะหลังคู่กับเอ๊กซ์

“ผมไม่สบายครับ” มิวตอบสั้นๆ

“มรึงไม่ต้องมาเลี่ยงตอบเลย พวกกรูอยากรู้เรื่องแผลผ่าตัดของมรึง” เอ๊กซ์ท้วง

“เปล่า ไม่มีอะไร” นักร้องหนุ่มยังคงปากแข็ง

“พวกกรูเป็นเพื่อนมรึงใช่ปะ” ต่อพูดสั้นๆ แต่ทำเอาคนฟังถึงกับจุก

“เอ่อ...กรู.....กรูก็แค่ไม่อยากให้เรื่องของกรูมาทำให้พวกมรึงต้องกังวลไปด้วย”

“แต่พวกกรูเป็นเพื่อนมรึง และมรึงก็เป็นเพื่อนพวกกรู ถ้าร่วมทุกข์กันไม่ได้ แล้วจะมี
เพื่อนไปทำแป๊ะทำไมฟร่ะ” เอ๊กซ์บอก

“เอางี้ เดี๋ยวพี่จะโทรกลับไปบอกพวกพี่อ๊อดว่ามิวเป็นไข้ พี่จะพามิวไปส่งที่บ้าน ให้เจ้า
แวนพาน้องอ้วนไปส่งบ้านด้วย นอกนั้นก็ให้กลับบ้านไปก่อนเลย ส่วนตัวมิวก็ของดซ้อม
ซักสองวัน ให้คนอื่นๆซ้อมกันไปก่อน ว่าไง ตกลงมั้ย”

“ก็ดีครับ ผมยังไม่อยากให้พี่อ๊อดรู้ด้วย” นักร้องนำตอบ พี่หลิวจึงใช้ให้ต่อที่นั่งอยู่ข้างๆ
กดโทรศัพท์หาแวน แล้วบอกตามที่แกสั่ง เพราะขับรถอยู่ คุยโทรศัพท์ไม่สะดวก

“แต่หญิงรู้ใช่มั้ย ว่ามรึงไปทำอะไรมา” มือกีตาร์ถามเพื่อนรัก

“ทำไมมรึงถึงคิดว่าเค้ารู้ล่ะ” มิวมองหน้าเพื่อนแล้วถามกลับ

“กรูมองตาเค้ากรูก็รู้แล้ว เค้าห่วงมรึงมากเลยนะ” น้ำเสียงแอบน้อยใจเล็กๆ

“หญิงเค้าเป็นเพื่อนสนิทกรู เค้าก็ต้องห่วงกรูดิ” มิวพูดยิ้มๆ

“แต่เค้าเคยแอบชอบมรึง ตอนนี้ก็ยังคง....” เอ๊กซ์พูดน้ำเสียงขาดความเชื่อมั่น

“ตอนนี้เค้าเป็นแฟนมรึง แล้วเค้ากับกรูก็เป็นได้แค่เพื่อนกัน มรึงก็รู้”

“แต่เวลามรึงทุกข์ มรึงกลับเล่าให้เค้าฟัง เค้าร่วมทุกข์ไปกับมรึงได้ แล้วกรูล่ะ”

“มรึงก็เพื่อนกรู กรูขอโทษที่ปิดบังพวกมรึง แต่กรูแทบไม่ได้บอกอะไรหญิงเลยนะ
เว้ย เค้ารู้ของเค้าเอง”

“ยังไงวะ” นายคิ้วหนายังคงสงสัย

“ก็เพื่อนเค้าเสรือกไปเจอกรูตอนผ่าตัดอยู่โรงบาลอะดิ”

“แล้วทำไมเค้าไม่เล่าให้กรูฟัง”

“ก็กรูขอร้องเค้าไว้”

“นี่แปลว่า เค้าแคร์มรึงมากกว่ากรู”

“ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกับแคร์ไม่แคร์เลย”

“ก็แล้ว........ เออ....ช่างเหอะ” เอ๊กซ์หยุดพูดซะเฉยๆ

“มรึงหึงกรูด้วยเหรอวะไอ้เอ๊กซ์” มิวสะกิดถาม

“ก็เค้าอาจจะตัดใจจากมรึงไม่ขาดก็ได้”

“แต่มรึงก็รู้ว่ากรูเป็น......”

“กรูเข้าใจ กรูก็แค่.....”

“มรึงน้อยใจเค้าว่างั้น ...... ไอ้ห่านี่ขนคิ้วเยอะแต่เสรือกขี้ใจน้อยกะเค้าด้วย หญิงอะ
ถ้ากรูไม่ขอร้อง เค้าก็คงจะบอกมรึงไปแล้ว”

“เออ....กรูรู้แล้วน่า ว่าแต่มรึงเหอะ จะบอกพวกกรูได้รึยัง”

“ที่จริงกรูก็ตั้งใจว่าอาทิตย์หน้า หลังเปิดอัลบั้ม กรูจะเล่าให้พวกมรึงฟัง แต่ถ้าเรื่องเป็นอย่าง
นี้ล่ะก็...... ไว้ถึงบ้านกรูก่อน แล้วกรูจะเล่าให้พวกมรึงฟังเอง”

“เล่าให้พี่ฟังด้วยนะ” พี่หลิวท้วง

“ครับพี่ แต่ว่า พี่อย่าเพิ่งบอกพวกพี่อ๊อด กับคุณเอ คุณบีนะครับ”

“อือ...ก็ตามใจเราสิ” หลิวพูดสั้นๆ แล้วขับรถต่อไป

...........

...........





รถเก๋งของหลิว แล่นเข้ามาในซอยบ้านมิว เฮียกำลังจัดของอยู่หน้าร้านทันเห็นพอดี
หนุ่มใหญ่ร่างท้วมรีบเดินเข้ามาดู เห็นเอ๊กซ์ค่อยๆพยุงมิวลงมาจากรถ ต่อรับกุญแจจากมิว
ไปไขประตูบ้าน จึงสะกิดถามหลิวว่าเกิดอะไรขึ้น


“อามิวเป็นอะไรอะหลิว” เฮียสมเกียรติถาม

“น้องไม่สบายน่ะเฮีย ซ้อมหนักไปหน่อย แต่ที่แย่กว่าคือ..... แผลปริ” หลิวตอบเบาๆ

“แผลอะไรหรอ”

“ก็ไม่รู้ดิ ไปแอบผ่าตัดช่องท้องมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้”

“ไส้ติ่งมั้ง”

“แต่หมอเค้าว่าไม่ใช่ นี่เจ้าตัวก็ยังไม่ยอมบอก ว่าจะคาดคั้นถามซะหน่อย”

“แต่หลายวันนี้ มิวเค้าไปบ้านป๊าที่ระยองมานี่นา”

“นั่นดิ ก็เลยไม่รู้ว่ามันยังไง แต่ท่าทาง หญิงจะรู้เรื่องนะ ไว้เฮียลองถามเอาสิ”

ไม่ทันสิ้นเสียงของหลิว รถเก๋งของหญิงก็แล่นเข้ามาในซอยพอดี ในรถมีปิงปอง
แวน เอ็มนั่งมาด้วย พอรถจอด เพื่อนๆทุกคนก็กรูเข้าไปบ้านมิวกันหมด

“แล้วใครไปส่งน้องอ้วนล่ะหญิง” หลิวถามก่อนที่หญิงจะวิ่งตามเข้าไปในบ้านมิวอีกคน

“น้องไมค์ค่ะพี่หลิว” ตอบสั้นๆและวิ่งเข้าไปในบ้านมิวทันที

“ไปเหอะ ไปถามให้รู้เรื่อง” เฮียจูงมือหลิวเดินเข้าไป อีกฝ่ายก็ยอมให้จูงโดยดี

..........

..........




การสอบวิชาสุดท้ายในภาคบ่ายไม่ยากอย่างที่โต้งคิด ร่างสูงนั่งทำข้อสอบอย่าง
สบายใจ มือขวาก็ฝนดินสอสองบีลงบนกระดาษคำตอบ แต่มือซ้ายกลับล้วงลงไปในกระเป๋า
กางเกงนักเรียนสีดำตลอดเวลา กำลังใจที่ทำให้ชายหนุ่มมุ่งมั่นอยู่ในนั้น จมูกไม้ที่แลกคืน
มาจากคนรัก จมูกไม้ที่คนรักเขียนรูปหัวใจและลงลายมือชื่อเอาไว้พร้อมกับรอยจุมพิต


“นายคนนั้นน่ะ มือซ้ายเธอล้วงอะไรอยู่ ไหนเอาออกมาดูซิ” เสียงกรรมการดังขึ้น

“เปล่าครับอาจารย์ ก็แค่เครื่องรางน่ะครับ” ชายหนุ่มตอบ

“ไหน เอาออกมาให้ชั้นดูเร็วเข้า เครื่องรางอะไร เห็นล้วงตั้งแต่เช้าแล้ว”

ชายหนุ่มค่อยๆหยิบจมูกไม้ออกมาอย่างไม่เต็มใจนัก แล้วส่งให้อาจารย์ที่เป็นกรรมการ
คุมสอบดู ที่อมยิ้มในพฤติกรรมของวัยรุ่นสมัยนี้ ก่อนจะส่งคืนให้

“ของแฟนหรอ” กรรมการเย้าถาม

“ครับ” ชายหนุ่มตอบกลับ ก่อนจะเตรียมลุกจากโต๊ะเพราะทำข้อสอบเสร็จพอดี
โต้งเก็บจมูกไม้ใส่ในกระเป๋ากางเกงเหมือนเดิม ก่อนจะเดินเอาข้อสอบไปส่งหน้าห้อง




เดินออกมาจากห้องสอบอย่างสบายใจ ชายหนุ่มหยิบจมูกไม้ขึ้นมามองและจูบ
เบาๆ ก่อนจะพูดกับมันว่า

“ขอบคุณนะ”

จากนั้นก็เก็บสัมภาระแล้วเดินลงไปจากตึกสอบ เพื่อไปสมทบกับเพื่อนๆที่คอยอยู่บ้าง
แล้ว เนื่องจากวิชาที่โต้งเลือกสอบมีมากกว่าเพื่อนๆ ทำให้เสียเวลามากกว่า แต่เพื่อนๆ
ก็ยังคอยอยู่ เพื่อให้กำลังใจกันและกัน


“เป็นไงบ้างวะ” เจ๋งเอ่ยถาม

“สบายมาก กรูได้ติวเตอร์ดี ก็เลยทำได้”

“นักคีย์บอร์ดวงออกัสต์น่ะเหรอวะ .... เออ...ก็ดี แล้วนี่มรึงจะไปไหนต่อมั้ยเนี่ย”

“กรูว่าจะแวะไป....นะ...พวกมรึงก็น่าจะรู้”

“ไปดูหนังกับพวกกรูก่อนดิ ไม่ได้ไปดูด้วยกันทั้งกลุ่มตั้งนานแล้ว” เอิร์ธชวน

“ก็ได้ เดี๋ยวกรูโทรบอกมิวก่อนนะ” ชายหนุ่มพูดจบก็หยิบโทรศัพท์มากดหามิว
แต่ไม่มีใครรับสาย

“สงสัยซ้อมเพลงอยู่มั้ง” เปรยเบาๆแล้วโต้งก็เปลี่ยนไปพิมพ์ข้อความแทน

“เสร็จรึยังโต้ง” เอิร์ธเร่ง

“เออ...เสร็จแล้ว เร่งอยู่ได้” จากนั้นชายหนุ่มก็คว้ากระเป๋าเดินตามกลุ่มเพื่อนไป


....


....


....


ที่บ้านของมิว ทุกคนกำลังรวมกลุ่มกันอยู่ในห้องนั่งเล่น ขณะเดียวกัน ในกระเป๋า
ของนักร้องหนุ่มเจ้าของบ้าน เสียงสัญญาณข้อความเข้าของโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น แต่ไม่มี
ใครใส่ใจ เพราะทุกคนกำลังสนใจร่างโปร่งที่นั่งอยู่บนโซฟา รอว่านักร้องนำวงออกัสต์จะ
บอกเรื่องอะไรกับพวกตนบ้าง


“มรึงว่ามา ตกลงว่าหลายวันนี้มรึงได้ไประยองรึเปล่า หรือแอบไปไหนมา แล้สรอยแผล
ผ่าตัดที่เอวของมรึงเนี่ย มันมายังไง มรึงค่อยๆคิดนะเว้ย และเราให้พวกกรูฟังทุกเรื่อง”
มือกีตาร์คิ้วหนาในฐานะรองหัวหน้าวง คาดคั้นหัวหน้าวงให้เล่าให้ฟัง

นักร้องหนุ่มถอนหายใจเบาๆ ค่อยๆมองหน้าเพื่อนทีละคน ช้าๆ เพื่อนสนิท ที่รวมต่อสู้
มาด้วยกันตั้งแต่ออกัสต์ยังไม่เป็นวงด้วยซ้ำ แล้วมาหยุดที่ใบหน้าของหญิง ที่พยักหน้า
ให้รู้ว่าเห็นด้วยที่จะให้มิวเล่าเรื่องทุกอย่างซักที ร่างโปร่งสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วเริ่ม
เปิดใจกับเพื่อนๆที่รักของตน


“กรูอาจจะต้องลาออกจากวงออกัสต์ว่ะ”

....

....








“มรึงพูดอะไรของมรึงเนี่ย” มือกีตาร์คิ้วหนาเอ่ยถามเพื่อน

“กรูพูดว่า กรูอาจจะต้องลาออกจากวง” นักร้องหนุ่มตอบ

“เป็นเชี่ยอะไรของมรึงอีกวะ เกี่ยวกับป๊ามรึงรึเปล่า” เอ๊กซ์ถามต่อ

“ก็.....เอ่อ.......” เจ้าของบ้านอึกอักอยู่บ้าง

“ชัวร์ป้าบบบ ไม่ต้องสงสัย”

“ก็จริง คือ....”

“พ่อมรึงไม่อยากให้มรึงเล่นดนตรีเหรอวะ” ต่อถามบ้าง

“หรืออยากให้มรึงไปทำธุรกิจแทน” แวนถามอีกคน

“พี่มิวก็ค่อยๆคุยกับป๊าพี่สิครับ” ปิงปองส่งเสียงมาอีก

“หยุดพูดก่อนเหอะทุกคน ให้มิวเล่ามาเองดีกว่า” หญิงตัดบท

“ขอบใจนะหญิง” มิวขอบใจหญิง แล้วคลำที่รอยแผลผ่าตัด

“เจ็บแผลเหรอมิว เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับการผ่าตัดของมิวรึเปล่า” พี่หลิวถามบ้าง

“คือว่า.....” นักร้องหนุ่มยังไม่มั่นใจที่จะเล่า แต่ก็สอดสายตาไปทางหญิงที่คอยเป็น
กำลังใจอยู่ห่างๆ และพยักหน้าให้

“คือว่า....ที่ทุกคนว่ามา มันก็.............เกี่ยวกันหมดนั่นแหละครับ”

“รวมทั้งเรื่องของหนูโต้งด้วยใช่มั้ยลูก” เสียงหญิงชราดังมาจากประตูบ้าน

“ป้าอรครับ” เจ้าของบ้านเอ่ยทักผู้ดูแล

“ป้าพอจะเดาเรื่องได้แล้ว มิน่าล่ะ วันก่อนเถ้าแก่ถึงโทรมาบอกให้ป้าช่วยหนูเก็บของ”

“ป๊าเค้าเร่งขนาดนั้นเลยเหรอครับ” น้ำเสียงและสีหน้ามิวซึมลงยิ่งกว่าเก่า

“สรุปแล้ว มันเรื่องอะไรกันเนี่ย ทำไมต้องลาออกจากวงด้วย” เฮียสมเกียรติเอ่ยถาม
อย่างสงสัย แล้วก็หันไปมองน้องสาวตนสลับไปมา

“เฮ้ยมิว ที่ป้าอรพูดเมื่อกี้ มรึงอย่าบอกนะ ว่าป๊ามรึงรู้เรื่องของมรึงกะโต้งแล้ว” เอ๊กซ์ถาม
แต่นักร้องหนุ่มไม่ได้เอ่ยปากตอบ แค่พยักหน้าเท่านั้น

“พี่ว่าทุกคนหยุดตั้งคำถามดีกว่านะ ฟังมิวเล่าดีกว่า” พี่หลิวเอ่ยปาก


นักร้องนำวงออกัสต์ผู้เป็นเจ้าของบ้าน ไม่อยากเล่าไปแล้วต้องสบตาเพื่อนๆไปด้วย
จึงลุกจากโซฟา แล้วเดินไปนั่งที่หน้าเปียโนของอาม่า หันหลังให้กลับเพื่อนๆของตน
นิ้วมือเรียวงามบรรจงกดแป้นเปียโน ด้วยบทเพลงที่คุ้นเคยของอาม่า ช้าๆ เบาๆ


“ปกติ กรูมีอะไร ก็มักจะเก็บไว้คนเดียว มรึงก็รู้ใช่มั้ย เอ๊กซ์” มิวถามเบาๆทั้งที่ยังหันหลัง

“ใช่ นิสัยประจำมรึงเลยล่ะ ชอบคิดว่ามรึงไม่มีใคร ทั้งๆที่มรึงมีพวกเราทุกคนอยู่ตรงนี้”

“ก็กรูยังแก้นิสัยนี้ของกรูไม่ได้นี่หว่า มรึงรู้มั้ย เวลาที่กรูต้องทนกับความเหงาตามลำพัง
น่ะ มันเชี่ยสุดๆเลย แต่กรูก็เริ่มจะชินกับความเจ็บปวดนั้น และไม่อยากให้ใครต้องรู้สึก
อย่างที่กรูเคยรู้สึก”

“แล้วไงวะ” เอ็มมือกลองที่ไม่ค่อยได้พูด เอ่ยขึ้นบ้าง

“จนกรูได้เจอโต้งอีกครั้ง กรูเริ่มรู้สึกว่า โลกของกรูสดใสขึ้นกว่าก่อนมาก กรูแต่งเพลงรักได้
วงของเราก็เริ่มดังขึ้น กรูเห็นความฝันสวยงามรออยู่ข้างหน้า ความเหงาค่อยๆหายไป”

“แต่แล้วมรึงก็กลับไปแย่ยิ่งกว่าเก่า” แวนพูดออกมา

“หลังจากที่น้านีย์มาหากรูที่นี่ วันนั้น กรูก็คิดได้ว่า ความรักที่เริ่มก่อขึ้นในใจกรู ความรักของ
กรูกับโต้ง มันไม่ใช่เรื่องที่จะทำให้ใครต่อใครยอมรับได้ง่ายๆ แต่กรูมีความรัก มีความฝัน ช่วง
นั้น มันเป็นช่วงที่กรูรู้สึกว่าความเหงามันเชี่ยที่สุดในรอบหลายปี กรูร้องเพลงไม่ได้ เล่นเปียโน
ไม่ได้ มันอึดอัด แต่มันหาทางระบายไม่ได้”

“จนกระทั่งมิวรู้ ว่าหญิงแอบหลงรักมิว” หญิงพูดออกมา

“อาหญิง ลื้อเป็นสาวเป็นนาง อย่าไปบอกใครว่าเคยแอบชอบผู้ชายสิ” เฮียว่าหญิง

“เฮียเงียบเถอะน่า ฟังมิวเล่าต่อ” หลิวตีเฮียเบาๆให้หุบปาก

“ใช่ หลังจากนั้น เราก็เริ่มเข้าใจได้ว่า บางครั้ง ความรักก็ไม่จำเป็นต้องเป็นไปอย่างที่เราหวัง
หรอก ตราบใดมีรัก ก็ย่อมมีความหวัง” มิวยิ้มให้กับเปียโน ในขณะที่หญิงก็ยิ้มเช่นกัน

“วันที่มรึงมาหากรูน่ะเอ๊กซ์ ก่อนหน้านั้น กรูเดินเจอโต้ง แต่กรูก็แกล้งเดินหนีผละจากเค้ามา
กรูเจ็บนะ แต่ก็พยายามตัดใจ จนมาเจอมรึงที่บ้าน จำได้มั้ย ว่ามรึงบอกอะไรกรู”

“จำได้สิ ตอนนั้น มรึงร้องเพลงที่มรึงแต่งให้โต้งไม่ได้ กรูถามว่าทำไม มรึงก็บอกว่า กรูไม่
เข้าใจหรอก มรึงรู้มั้ยวะ ในฐานะเพื่อนสนิทกับมรึงมาหกปีเต็ม การที่เพื่อนรักมาบอกว่า
มรึงไม่เข้าใจหรอกเนี่ย มันก็เชี่ยไม่น้อยกว่าการไม่มีเพื่อนหรอกนะ กรูเก็บความเจ็บนั้นเอา
ไว้ แล้วก็บอกมรึงกลับไปว่า ถึงกรูจะไม่เข้าใจมรึง แต่มรึงก็ยังเป็นเพื่อนกรูนะเว้ย ทำไม
มรึงชอบคิดว่า ไม่มีใครสนใจมรึงวะ แล้วกรูก็ยังยืนยันคำเดิมเหมือนตอนนั้น”

“ขอบใจเว้ย” มิวยังคงหันหลังพูดเหมือนเดิม

“แล้วไงต่อล่ะพี่มิว” ปิงปองแทรกถามขึ้นบ้าง

“หลังจากนั้น พี่ก็กลับมาร้องเพลงได้อีกครั้ง ถึงจะต่างไปจากเดิม แต่ก็ยังร้องได้”

“แล้วคืนวันคริสต์มาสล่ะวะ เล่ามาดิ๊” ต่อถาม

“ก็อย่างที่พวกมรึงรู้แล้วนั่นแหละ กรูได้ของขวัญจากโต้ง แล้วเค้าก็บอกว่าเค้าคบกรูเป็น
แฟนไม่ได้ แต่ไม่ได้แปลว่าเค้าไม่ได้รักกรู”

“ผมจำได้ว่าก่อนวันเกิดผม พี่มิวดูซึมเศร้าไปมาก แล้วก็มาแต่งเพลงคนธรรมดาได้อีก”

“มันไม่ใช่ความเศร้าอย่างเดียวหรอก แต่มันคือความพยายามที่จะเข้าใจความรักด้วยอะปิง”

“แล้วมรึงก็ผ่านไปได้ ต่อมาบ้านโน้นเค้าก็ยอมรับเรื่องของมรึงกับลูกชายเค้าได้” เอ๊กซ์พูดต่อ

“หนึ่งเดือนมานี่ กรูว่ามรึงก็ดูแฮปปี้นี่หว่า ไหงมามีเรื่องอะไรอีกวะ” มือเบสถามอีก

“พวกมรึงไม่รู้จักครอบครัวนู้น พวกมรึงก์อาจจะไม่เข้าใจ แต่ว่า......” มิวกลืนน้ำลาย พูด
ไม่ออก ได้แต่หลับตาแล้วกดแป้นเปียโนเบาๆ บทเพลงที่อาม่าชอบฟังประจำ เพลงที่อากง
เคยเล่นให้อาม่าฟัง แล้วใช้สื่อความรู้สึกบอกว่า..................... คิดถึง

“บ้านโน้นทำให้หนูมิวคิดถึงอาม่า และโหยหาความรักจากป๊าใช่มั้ยลูก” ป้าอรที่เมื่อได้ยิน
เพลงนี้แล้วก็เข้าใจความรู้สึกของมิวได้ทันทีพูดขึ้น

“ยังไงเหรอครับป้าอร” เอ๊กซ์ ต่อ แวน เอ็ม ปิงปอง เอ่ยถามขึ้นพร้อมกัน

“พวกหนูก็รู้ใช่มั้ย ว่าตั้งแต่เด็กน่ะ หนูมิวต้องอยู่ลำพังมาตลอดโดยไม่มีป๊ากับแม่อยู่ด้วย”

“ครับป้า” เหล่าสมาชิกออกัสต์ยังคงตอบพร้อมกัน

“อ๋อ...เฮียเข้าใจแล้ว” จู่ๆเฮียก็แทรกขึ้นมา

“ยังไงล่ะเฮีย” หลิวเอ่ยถาม

“ก็บ้านนั้นน่ะ เค้ารักมิว และต้อนรับมิวอย่างดีน่ะสิ มิวก็เลยรู้สึกอบอุ่น เหมือนมีบ้าน
หลังที่สองไง มีพ่อแม่ของโต้ง เหมือนพ่อแม่ตัวเอง”

“แล้วมันเกี่ยวกับป๊ามิวยังไงล่ะ” หลิวถาม

“เออ....นั่นดิ”

“เพราะพ่อของโต้งป่วยหนัก ต้องผ่าตัด” หญิงพูดขึ้นมาให้ทุกคนได้ยิน

“ผ่าตัด” เสียงทุกคนอุทาน พร้อมกับจ้องไปที่แผลผ่าตัดที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อของมิว

“กรูนึกออกแล้ว ตอนนั้นโต้งซึมเศร้า โทษเรื่องพระเจ้าไม่มีจริง ถึงกับขว้างจี้กางเขน
ทิ้งลงคลอง แล้วมรึงก็ไปตามงมมาไง” นายคิ้วหนาพูดขึ้นมา

“จี้เงินที่พี่มิวคล้องคออยู่ตอนนี้น่ะเหรอฮะพี่เอ๊กซ์” นักเป่าแซกเอ่ยถามนักกีตาร์

“อือ...ใช่ โต้งยกสร้อยเส้นโปรดนั่นให้มิวใส่ แล้วมันก็ใส่ไม่ถอดจนถึงตอนนี้ไง”

“มันมีเรื่องที่พวกนายอาจจะยังไม่รู้อีก” นักร้องนำออกัสต์เอ่ยเบาๆ

“อะไรเหรอวะ” มือคีย์บอร์ดถาม

“พวกมรึงรู้มั้ย ทำไมเมื่อก่อนพี่จูนถึงต้องมาทำงานพิเศษบ้านโต้ง”

“ก็มรึงเคยบอกว่าหน้าพี่จูนเค้าเหมือนพี่สาวโต้งที่หายไปไง” แวนตอบ

“แล้วนั่นก็เป็นสาเหตุให้น้ากรติดเหล้ารุนแรง”

“สุดท้ายก็อาการหนัก ถ้าติดเหล้า ก็ต้องผ่าตับอะดิว่ะ” เฮียพูด

“งั้น ที่มรึงไปผ่ามาก็ ...... ปลูกถ่ายตับให้พ่อโต้งเหรอวะ” เอ๊กซ์พูดไปอึ้งไป ในขณะที่
ทุกคนกำลังทึ่งในความเสียสละของมิว

“ทำไมมรึงถึงยอมยกตับมรึงให้คนอื่นวะ” มือกลองเอ่ยถาม

“ก็เพราะว่า.......” มิวนึกถึงน้ากรกับโต้ง สลับกับป๊ากับตนเอง

“ตลอดหลายปีมานี่ โต้งขาดความอบอุ่นจากพ่อ เพราะพ่อติดเหล้า เหมือนอย่างที่มิว
โหยหาป๊า โต้งก็คงจะเหมือนกันใช่ปะ แต่เพราะครอบครัวโต้งเริ่มจะดีขึ้น อบอุ่นขึ้น
อาการของพ่อโต้งก็กลับทรุดหนักลงไปอีก” หญิงพูดแทนมิว

“มรึงรักโต้งมาก แล้วก็คงทนเห็นโต้งต้องเจ็บปวดจากการสูญเสียพ่อไม่ได้ มรึงก็เลย
สละตับของมรึงให้พ่อเค้า” กรูพูดถูกปะวะ

“อือ” มิวยังคงหันหลัง แต่ก็พยักหน้าเบาๆ

“มิว” จู่ๆก็มีเสียงที่คุ้นเคยดังมาจากประตูเลื่อน ทุกคนหันไปมอง ร่างสูงชายหนุ่มใน
ชุดนักเรียนกางเกงสีดำยืนอยู่และกำลังจ้องมองมายังร่างโปร่งที่นั่งอยู่หน้าเปียโน

.......

.......












โต้งตัดสินใจจะไปดูหนังกับกลุ่มเพื่อนของตน จึงพากันออกมาจากตัวตึก แวะนั่งซื้อน้ำ
มากินที่โต๊ะหินอ่อนตัวหนึ่ง หลังจากนั้น เจ๋งและเพื่อนคนอื่นๆขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ทิ้ง
ให้ชายหนุ่มนั่งรออยู่ที่โต๊ะคนเดียว พลันเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น

“ให้มันเป็นเพลง บนทางเดินเคียง............”

“มือถือกรูนี่หว่า มิวโทรมามั้ง” ชายหนุ่มควานหาโทรศัพท์มือถือของตน ปรากฏว่า
เครื่องของตนก็ยังปกติดี ไม่มีใครโทรเข้า สองตาสีน้ำตาลของโต้ง จึงค่อยๆสอดส่อง
อีกครั้งว่าเป็นเสียงจากโทรศัพท์มือถือของใครกันแน่

“เครื่องไอ้เจ๋งนี่หว่า ไอ้ห่านี่ เสรือกใช้เพลงเดียวกันกับกรู กรูรู้ว่าเพลงเค้าดี แต่คนแต่ง
เค้าตั้งใจแต่งให้กรูเว้ย” โต้งตั้งใจจะรับสายแทนแต่สายตัดไปซะก่อน ชายหนุ่มจึงหยิบ
โทรศัพท์ของเพื่อนมา ตั้งใจจะเปลี่ยนเสียงเรียกเข้าเป็นเพลงอื่น

ในระหว่างที่ชายหนุ่มกำลังเลือกว่าจะใช้เพลงไหนอยู่นั้น พลันเหลือบไปเห็นโฟลเดอร์
นึงในเครื่องที่เจ๋งใช้ชื่อว่า “เสียงของมิว” ด้วยความสนใจอยากรู้ ผสมกับความหึงหวง
เล็กๆ โต้งจึงเลือกที่จะเปิดฟัง


“พวกนายมาได้ไงเนี่ย”
“เสียงของมิวนี่หว่า” โต้งเปรย

“ก็เพราะว่าพวกเรารู้อะดิ ว่านายมานอนอยู่ที่นี่ แล้วถ้าเราเดาไม่ผิดล่ะก็ นายสละตับ
ให้พ่อโต้งใช่ปะ แต่ที่ไม่เข้าใจคือ ทำไมต้องปิดบังโต้งด้วย”

“เสียงไอ้เจ๋งบอกว่ามิวสละตับให้พ่อ มันยังไงกันวะ” โต้งเริ่มแปลกใจ

“ก็.....ไม่รู้ดิ ไม่รู้เหมือนกัน”

“ตอบเหมือนกันเด๊ะ ให้ตายเถอะ คู่กันจริงๆด้วย”

“เสียงไอ้แหว มันก็อยู่ด้วบเหรอวะ” โต้งครุ่นคิด

“มีคำตอบที่ดีกว่านี้รึเปล่า”

“ทำไมต้องมีคำตอบด้วยล่ะ การที่เราทำสิ่งดีๆเพื่อใครซักคนที่เรารัก จำเป็นต้องให้เค้า
คนนั้นรับรู้และสำนึกบุญคุณด้วยหรอ เราว่าไม่จำเป็นหรอก แค่ได้ทำก็มีความสุข
แล้ว ขอเพียงให้น้ากรยังอยู่ โต้งก็ไม่ต้องเสียน้ำตาเพราะสูญเสียพ่อไปอีกคน พวกนาย
เคยรู้มั้ย ว่าการที่เรารักใครมากๆ แล้ววันนึงต้องเสียเค้าไป มันเจ็บปวดแค่ไหน ตอนที่
พี่แตงจากไป เราเคยเห็นความบอบช้ำของครอบครัวโต้งมาแล้ว จนทุกวันนี้ โต้งก็ยังลืม
ความทุกข์นั้นไม่ได้ ความสูญเสียพี่แตง ที่เป็นเหตุให้น้ากรติดเหล้าจนเกือบจะจากไปอีก
คน ถ้าเป็นพวกนาย เห็นคนที่ตนรัก กำลังตกอยู่ในความทุกข์ นายจะไม่ทำอะไรเพื่อเค้า
เลยหรอ ขอเพียงได้เห็นโต้งมีความสุขกับครอบครัว ครอบครัวที่โต้งโหยหามาหกปี
แค่นี้ มันก็คุ้มค่าที่จะเสี่ยงแล้วล่ะ”
“มิว..... นี่มิว....” โต้งรู้สึกซาบซึ้งที่มิวรู้สึกกับตนถึงเพียงนี้

“นายนี่มัน...บ้าสิ้นดีเลยว่ะ เสี่ยงตายนะเว้ย”

“จะเรียกว่าอะไรก็ตาม เรามีความสุขที่ได้ทำเพื่อโต้ง”

“มิน่า โต้งมันถึงรักนายมาก เพราะคงมีแต่นาย ที่รักมันได้ขนาดนี้ รักโดยไม่หวังอะไร”
“แต่ก็ต้องมีบ้างแหละน่า สิ่งที่นายอยากได้จากโต้งนะ”

“เสียงไอ้เอิร์ธ นี่พวกมันไปแอบอัดเสียงมิวที่ไหนวะเนี่ย ..... โรงบาล” โต้งสงสัย

“ถ้าหมายถึงของขวัญล่ะก็ เราได้มานานแล้วล่ะ”
“มิวต้องหมายถึงตัวต่อไม้แน่ๆเลย” โต้งคิดในใจ

“ตัวต่อไม้นี่น่ะหรอ คุ้นๆแฮะ เหมือนเคยเห็นวางขายแถวสยามฯ”
“นั่น ... ว่าแล้วเชียว” โต้งพูดเองเออเองอยู่คนเดียว

“แต่ตัวนี้มาจากเชียงใหม่ เป็นของขวัญคริสต์มาสจากโต้งเมื่อหกปีก่อน”
“ใช่...กว่าจะซื้อได้ ลำบากแทบแย่” โต้งยังคนฟังไปบ่นไปอยู่

“ตั้งแต่เด็กเลยเหรอวะ นี่พวกนายรักกันตั้งแต่เด็กเลยหรอ” “ไอ้เจ๋ง นี่ เสรือกไม่เข้าเรื่องนะมรึง”

“ไม่รู้ดิ ไม่รู้เหมือนกันว่าความรู้สึกตอนนั้นเรียกว่าอะไร รู้แต่ว่า มีความสุขที่ได้คิดถึง”

“แต่จมูกมันแปลกๆนะ เหมือนจะไม่ได้มาพร้อมกัน”

“ตอนโน้นเราเล่นเกมหาของกัน แล้วจมูกมันหายไป ที่จริง ตัวต่อไม้ตัวนี้ ขาดจมูกมาหกปี
พอตอนหลัง โต้งก็เลยทำให้ใหม่”

“มิน่าล่ะ ฝีมือถึงได้ไม่ดีเท่าไหร่ แต่ก็สมบูรณ์ขึ้นล่ะนะ ตัวต่อไม้แห่งความทรงจำของพวกนาย”
“แล้วสร้อยที่คอนายล่ะ ได้มายังไง”

“นั่นมันสร้อยที่ไอ้โต้งชอบใส่นี่หว่า กรูว่าจะถามมันหลายหนแล้ว ว่าสร้อยหายไปไหน”

“ไอ้แหวนี่ก็ใช้ได้เว้ย จำสร้อยกรูได้ด้วย”

“ตอนที่โต้งรู้ว่าน้ากรต้องปลูกถ่ายตับ แต่ใช้ตับของโต้งหรือน้านีย์ไม่ได้ ตอนนั้นโต้งสิ้นหวัง
มาก ถึงขั้นขว้างสร้อยทิ้งลงคลอง เราไปตามเก็บมาให้ โต้งก็เลยยกให้เราแทน”

“ทำเอามิวเกือบแย่แน่ะ ยังรู้สึกผิดอยู่เลยเนี่ย” โต้งพูดกับตัวเอง

“จำได้แล้ว หญิงเคยเล่าให้ฟังเหมือนกัน ไม่น่าเชื่อ ว่าพวกนายจะผ่านเรื่องอะไรมาขนาดนี้
มิน่า ถึงได้รักกันนัก ขนาดเราเป็นเพื่อนกับโต้งมันมาหกปี ยังไม่เคยรับรู้และเข้าใจเรื่องของ
มันเท่ากับนายเลย มิน่าล่ะ ถึงได้รักกันนัก”

“ เพราะอย่างงั้น นายจึงตัดสินใจ เสียสละตับของนายให้งั้นดิ นายนี่มัน สุดยอดจริงๆว่ะ”

“ถ้ามิวไม่สุดยอด กรูจะรักเหรอวะ” โต้งพูดคนเดียวอีก

“ว่าแต่ ถ้าพวกนายรู้ว่าเราอยู่นี่ งั้นก็แปลว่า โต้งต้องรู้แล้วอะดิ”

“เปล่า ยังไม่รู้ โต้งมันดูแลพ่ออยู่ ตอนนี้ก็ยังไม่รู้หรอก”

“งั้นเราขอร้องพวกนาย อย่าบอกเรื่องนี้กับโต้งได้ปะ”

“ทำไมมิวต้องไม่อยากให้เรารู้ด้วยวะ” โต้งบ่นเบาๆ

“ก็ตามใจนายดิ เอาเป็นว่า เรารับปากว่าเรื่องที่พวกเรามาคุยกับนายที่นี่ จะไม่มีใครเอาไปพูด
ให้ไอ้โต้งมันฟังแน่นอน”

“ไอ้พวกนี้ ไม่ยอมบอกกรูนะมรึง”

“แต่นายไม่คิดจะบอกมันจริงๆนะเหรอ”

“ไม่หรอก เราไม่อยากให้เรื่องนี้มากลายเป็นเรื่องบุญคุณกับคนที่เรารัก เรื่องของความรัก
กับเรื่องของบุญคุณ ไม่ควรจะเอามาผูกไว้ด้วยกัน”

“สมมตินะ สมมติว่ามีอะไรที่นายอยากจะให้โต้งทำให้น่ะ นายอยากจะให้มันทำอะไรหรอ”

“ไม่รู้ดิ คงอยากเห็นโต้งเล่นดนตรีให้เราฟังบ้างมั้ง”

“แล้วถ้าร้องเพลงให้ฟังล่ะ ไม่ชอบหรอ”

“ก็ชอบ แต่ว่าเสียงโต้งน่ะ แย่เอาการ แต่ก็ไม่แน่หรอก การร้องเพลงไม่ได้ใช้แค่เสียงอย่างเดียว
แต่ต้องส่งผ่านความรู้สึก ของคนร้องไปถึงคนฟังด้วย เพลงถึงจะเพราะ”

“หรอ งั้นพวกเรารบกวนนายแค่นี้นะ รับรอง เราทุกคนปิดปากสนิทแน่นอน”
“มิน่าล่ะ วันนั้น พวกมันถึงยุให้เราร้องเพลงให้มิวฟัง ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง”


“แล้วมรึงรู้อย่างนี้แล้ว จะเอาไงต่อล่ะวะ” เสียงเจ๋งดังมาจากข้างหลัง

“กรูเปลี่ยนใจแล้วว่ะ” โต้งบอกเพื่อนๆ

“เปลี่ยนใจจากมิวเหรอวะ” แหวแซวเล่น

“ไอ้เวน ไม่ใช่เว้ย กรูเปลี่ยนใจไม่ไปดูหนังกับพวกมรึงแล้ว”

“แล้วมรึงจะไปไหน”

“ไปรอพูดกับมิวที่บ้าน”

“เออ... คุยกันดีๆล่ะ” เอิร์ธบอกเพื่อน

“กรูไปล่ะนะ” โต้งเดินแยกออกมา

“เดี๋ยวก่อน” เจ๋งตะโกนเรียกโต้ง

“มรึงไม่ต้องอวยพรอะไรกรูก็ได้” โต้งบอกเจ๋ง

“เปล่า...กรูจะเอาโทรศัพท์กรูคืน ไอ้ห่านี่ ทำเนียนนะมรึง”

“เออ...โทษที กรูลืม” โต้งคืนโทรศัพท์มือถือให้เจ๋ง แล้ววิ่งไปเรียกรถทันที

ชายหนุ่มเดินเข้ามาในซอยบ้านมิว จังหวะเดียวกับที่เห็นคนมากมายอยู่ในบ้าน โต้ง
จึงเดินเข้ามาเงียบๆ ไม่ส่งเสียง และแอบอยู่ที่หน้าประตูเหล็ก ฟังมิวเล่าเรื่องต่างๆให้ออกัส
และคนอื่นๆฟัง ในใจก็แอบน้อยใจอยู่บ้างที่มิวไม่เล่าให้ตนฟังบ้าง จนโต้งทนไม่ไหวต้อง
เปิดเผยตัวให้คนอื่นรู้ว่าตนมาฟังนานแล้ว







Create Date : 08 มีนาคม 2553
Last Update : 8 มีนาคม 2553 22:00:31 น.
Counter : 426 Pageviews.

1 comments
  
โฮกกกกกกกก

ค้าง ค้างสุดยอดเลยค่ะ

ช่วยมาต่อด้วยนะคะ

อ่านไปจะร้องไห้ไป T T

แต่งสนุกมากๆเลย.. ขอบคุณมากๆเลยนะคะ

อยากรู้ว่าตกลงป๊าจะยอมรับมั้ย..
โดย: สาววาย IP: 203.144.144.165 วันที่: 14 มีนาคม 2553 เวลา:21:40:05 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Niramitr
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]



สาวก"รักแห่งสยาม"

New Comments