All Blog
ตอนที่ 28 +++ เวลากับความหวัง +++





+++ ต่อเรื่อง +++




“วันทามารีอาเปี่ยมด้วยหรรษาทาน พระเจ้าสถิตกับท่าน ผู้มีบุญยิ่งกว่าหญิงใดๆ
และพระเยซูโอรสของท่าน ทรงบุญนักหนา สันตะมารีอา มารดาพระเจ้า
โปรดภาวนาเพื่อเราคนบาป บัดนี้ และเมื่อจะตาย..... อาเมน
เดชะพระนาม พระบิดา และพระบุตร และพระจิต.... อาเมน”


เสียงสวดมนต์ก่อนนอนของโต้งที่มิวไม่ได้ยินมานานดังอยู่ภายในห้องนอนของชายหนุ่มลูกชายเจ้าของบ้าน นักร้องหนุ่มฟังแล้วก็รู้สึกดี เพราะคนรักของตนกลับไปเป็นอย่างเดิม เด็กชายที่เคยศรัทธาในศาสนา และเชื่อมั่นว่าพระเจ้าประทานพรและความรักมาให้


“แบบนี้ ... โต้งคงจะไม่เอาเปรียบเราสินะ” มิวพูดกับตัวเองเบาๆ แล้วเดินอมยิ้มเข้าห้องน้ำ





หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้ว มิวกลับเข้ามาในห้องนอนของโต้ง ร่างโปร่งหยิบกางเกงบ๊อกเซอร์สีฟ้าหม่นมาสวมทับท่อนล่างเปลือยเปล่าของตน ก่อนจะหยิบเสื้อยืดแขนสั้นคอวีสีขาวบางๆลายหัวใจมีตาสีเขียวที่เอาติดกระเป๋ามาด้วย สวมคอลงไป นักร้องหนุ่มหันไปมองร่างสูงที่นอนอยู่บนที่นอนสีฟ้า โต้งใส่ชุดนอนสีฟ้าหม่นลายทางสีเขียว สีคล้ายๆกับกางเกงบ๊อกเซอร์ของมิว ร่างสูงนอนหลับตาไปแล้ว มิวไม่มั่นใจว่าโต้งหลับสนิทรึยัง ร่างสูงนั้นนอนอยู่ทางด้านขวาของเตียง ตำแหน่งเดียวกับที่โต้งชอบนอนเป็นประจำ


“โต้ง... โต้ง...” นักร้องนำวงออกัสแกล้งกระซิบเรียกเจ้าของเตียงให้ตื่นขึ้น แต่ร่างสูงนั้นหลับสนิท ชายหนุ่มผู้เป็นแขกมาอาศัยที่นอน จึงล้มตัวลงนอนลงข้างๆร่างสูงที่หลับไปก่อน


ร่างโปร่งเบียดเข้าไปใกล้ร่างสูงนั้น เพราะความไม่เคยชินกับเตียงตัวนี้ และเพราะที่นอนของโต้ง เล็กกว่าของมิวเล็กน้อย ร่างทั้งสองจึงจำเป็นต้องมาอยู่ใกล้กัน นักร้องหนุ่มคว้าส่วนที่เหลือผ้าห่มสีฟ้าที่เจ้าของห่มไว้ครึ่งตัวมาคลุมบนร่างของตน แววตาสีน้ำเงิน แอบชำเลืองมองร่างของคนข้างๆที่หลับอยู่ ในใจก็นึกสั่นน้อยๆ


แขนข้างขวาของคนข้างๆพลิกเข้ามาวางพาดบนร่างของมิว จากที่นอนหงาย โต้งพลิกตัวมาด้านซ้ายเปลี่ยนเป็นนอนตะแคง มือขวากอดหลวมๆบนตัวมิวที่สั่นกลัว แต่ในใจลึกๆก็ยังแอบยิ้มสู้อยู่บ้าง


“คืนนี้เราขอนะมิว...” เสียงของคนข้างๆนักร้องหนุ่มดังขึ้น ทำเอาใจมิวเต้นร่ำ


“ขออะไรล่ะโต้ง....” เสียงสั่นเล็กๆ แต่มิวก็ยังทำใจกล้าถามออกไป


“แล้วมิวอยากให้เราขออะไรล่ะ” คนถามยังไม่ได้ลืมตา แต่ริมฝีปากกลับมีรอยยิ้ม


“ก็..... แล้วแต่โต้งสิ” มิวตอบเบาๆ ในใจก็คิดไปต่างๆนานา


“ดีจัง” โต้งตอบสั้นๆแล้วเปิดเปลือกตามามองมิว นักร้องหนุ่มเอี้ยวหน้าไปทางขวา แววตาสีน้ำเงินของมิว สะท้อนกันและกันอยู่บนแววตาใสซื่อปนเจ้าเล่ห์สีน้ำตาลของโต้ง สักพัก เจ้าของห้องก็หลับตาลงและนอนต่อ ทิ้งความระแวงไว้ให้กับคนที่นอนข้างๆ


“แล้วโต้งจะขออะไรเราล่ะ”


“ก็ขอนอนกอดมิวไปทั้งคืนไง” โต้งตอบกลับมาทั้งๆที่ยังหลับตาอยู่ คำตอบของโต้งทำให้มิวยิ้มอย่างสบายใจ จากนั้นก็ดึงแขนโต้งข้างที่กอดตนอยู่มาชิดกับตนเองมากขึ้น มือซ้ายของมิวก็ยกขึ้นมาพาดทับบนแขนขวาของโต้งที่กำลังกอดตนอยู่ มือซ้ายของนักร้องหนุ่มค่อยๆดึงมือขวาของคนรักเ ข้ามาใกล้ๆใบหน้าตน หอมเบาๆไปหนึ่งครั้ง ก่อนจะปล่อยลงที่เดิม โต้งเผยอยิ้มให้เห็นทั้งๆที่ไม่ได้ลืมตา มิวเองก็ยิ้มตอบแล้วหลับตาลงเข้าสู่ห้วงนิทรา




...




...





หลังจากคืนนั้นเป็นต้นมา มิวและโต้งมีโอกาสได้คุยกันน้อยมาก โต้งต้องขะมักเขม้นกับการเตรียมสอบปลายภาค ภาคเรียนสุดท้ายของชีวิตมัธยม สายวิทย์ – คณิต เป็นอะไรที่หนักหนาสาหัสเอาการสำหรับนักเรียนที่ไม่ค่อยทุ่มเทอย่างโต้ง อีกทั้งยังต้องเรียนพิเศษเพิ่มเติมเพื่อปรับพื้นฐานให้ดีขึ้นอีก สุนีย์บอกกับโต้งว่า ถึงโต้งจะโชคดีสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ แต่การเรียนจริงๆ มันแสนเข็ญกว่าที่เห็นมาก ด้วยพื้นฐานครึ่งๆกลางๆอย่างที่โต้งเป็นนี้ คงไม่เพียงพอแน่ๆ สุดท้าย โต้งจึงยอมรับและเชื่อฟังผู้เป็นแม่ ด้วยการเรียนพิเศษอย่างจริงจังเสียที


“น้านีย์พูดถูกนะโต้ง โต้งต้องขยันมากกว่านี้ จะได้เป็นวิศวกรที่ดีในอนาคต น้านีย์น้ากรเค้าหวังในตัวโต้งมาก พวกท่านให้โอกาสเราได้คบกันแล้ว โต้งก็ต้องตั้งใจทำในสิ่งที่ท่านปรารถนาบ้าง สู้ๆนะ เราเป็นกำลังใจให้ จะอยู่เคียงข้างโต้งเสมอล่ะ” โต้งนึกถึงคำพูดของมิวที่เคยพูดไว้ในวันที่โต้งมาปรึกษามิวเรื่องที่สุนีย์จะให้โต้งเรียนพิเศษ และจดจำมาเป็นกำลังใจให้ตนเองได้มุ่งมั่นเพื่อจะทำสิ่งดีๆเพื่อพ่อกับแม่และตัวเองด้วย


ทางด้านมิว แม้จะไม่ต้องทุ่มเทกับการเรียนหนักแบบโต้ง เพราะมิวเรียนมาทางสายศิลป์ และคะแนนก็ดีมาโดยตลอด ที่สำคัญ มิวได้เลือกและวางเส้นทางข้างหน้าของตนเองไว้แล้ว ดนตรี คือสิ่งที่มิวถนัดที่สุด มิวจึงมีพื้นฐานที่แน่นดีแล้ว ในการพร้อมต่อสู้กับชีวิตมหาวิทยาลัย แต่งานหนักของมิวในช่วงนี้ คือการตระเวนประชาสัมพันธ์อัลบั้มใหม่ อัลบั้มแรกของวงออกัสตามสื่อต่างๆ ทั้งวิทยุ โทรทัศน์ และสื่อสิ่งพิมพ์ ช่วงโปรโมตอัลบั้มเป็นอะไรที่ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับการทำงาน เพราะต้องใช้เวลาค่อนข้างมาก มิวต้องให้สัมภาษณ์หลายรายการ และคำถามก็มักจะวนเวียนอยู่ไม่กี่คำถาม ต้องตอบซ้ำไปซ้ำมาอยู่เรื่อยๆ จะดีหน่อยก็ช่วงที่นักร้องหนุ่มได้ร้องเพลงโชว์ให้พิธีกรและผู้ฟังผู้ชมได้สัมผัสเสียงร้องเพราะๆของตน เพราะรได้ร้องเพลงคือความสุขของมิว มิวจะมีความสุขเสมอที่ได้บอกความรู้สึกต่างๆผ่านเสียงร้องและบทเพลงแก่ผู้ฟัง


สองสัปดาห์ผ่านไปอย่างรวดเร็ว มิวแทบไม่มีโอกาสได้พบหน้าโต้งเลย ได้โทรศัพท์คุยกันทุกวัน วันละแค่ไม่กี่นาที เพราะกว่ามิวจะกลับมาถึงบ้านก็ดึกแล้ว เวลาทำงานก็ต้องปิดโทรศัพท์ หลายครั้งที่นักร้องหนุ่มรู้สึกเหงา แต่พอโต้งส่งข้อความให้กำลังใจมาหา มิวก็ยิ้มและมีแรงใจสู้งานได้เสมอ ถึงจะเหนื่อยกาย แต่เมื่อมีกันและกันอยู่เคียงข้าง มิวก็พร้อมลุยได้อย่างเต็มที่ ทางด้านโต้งเองก็เช่นกัน ทุกๆครั้งที่รู้สึกเหนื่อยกับบทเรียน ข้อความสั้นๆของมิว ก็ทำให้ชายหนุ่มฮึดสู้เช่นกัน


เดือนกุมภาพันธ์ผ่านไป ล่วงเข้าเดือนใหม่มาได้สามวันแล้ว โรงเรียนกำลังจะปิดเทอม งานโปรโมตอัลบั้มใหม่ใกล้เสร็จสิ้น ตารางงานช่วงนี้ไม่แน่นเหมือนตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ออกัสมีคิวสัมภาษณ์และออกสื่อต่างๆแค่สัปดาห์ละไม่เกินสองครั้ง พอๆกับงานโชว์ตัวร้องเพลงของวงที่เริ่มเข้ามาทุกวันหยุดสุดสัปดาห์


สิ่งที่นักร้องนำวงออกัสเป็นกังวลก็ใกล้เข้ามาทุกขณะ สัญญาที่มิวเคยให้กับป๊า เงื่อนไขการยอมให้มิวผ่าตัดเพื่อช่วยชีวิตน้ากรกำลังใกล้จะมาถึง มิวต้องลาออกจากวงออกัส เลิกเป็นนักร้อง แล้วไปอยู่กับป๊าที่ระยอง เรียนหนังสือที่นั่นและเตรียมสานต่อกิจการที่ไปได้สวยของป๊า แย่ยิ่งกว่านั้นคือ มิวต้องเลิกติดต่อกับโต้ง และตัดขาดความสัมพันธ์แบบนี้


เย็นของวันพุธ วันสุดท้ายของการสอบปิดภาคการศึกษา วันสุดท้ายที่มิวจะได้สวมเสื้อนักเรียนปักอักษรย่อ ซ.น.ค. เซ้นต์นิโคลัส หมายเลขนักเรียนที่อกเป็นเลขไทย ๔๖๓๖๔ นักร้องหนุ่มเดินไปห้องซ้อมดนตรีเป็นครั้งสุดท้าย เพราะหลังจากวันนี้ วงออกัสคงจะไม่มีโอกาสมาใช้ห้องซ้อมดนตรีของโรงเรียนห้องนี้ชนิดเต็มวงอีก ผู้ก่อตั้งวงออกัสเดินหาสมาชิกวงเสียทั่วตึก ตั้งใจจะจัดงานอาลัยห้องซ้อมด้วยกัน แต่ก็ไม่พบใครสักคน ในที่สุด มิวก็เดินเข้าห้องเพียงลำพัง แต่ทันทีที่มิวเลื่อนประตูเปิด


เสียงดนตรีดังกระหึ่มลั่นห้องเหมือนงานฉลองอะไรสักอย่าง มือกลองรัวกลองอย่างเมามัน มือกีตาร์และเบสก็ดีดเครื่องดนตรีจนนิ้วเป็นระวิง มือคีย์บอร์ดก็กดแป้นจนไล่นิ้วแทบไม่ทัน ยิ่งฝ่ายเครื่องเป่า ก็ทุ่มกำลังเป่าจนลืมหายใจกันทีเดียว น้องๆคอรัสทั้งสามคนต่างร่วมด้วยช่วยกันประสานเสียงจนกังวานไปทั่ว นักร้องนำไม่สามารถระบุได้ว่าตนกำลังฟังเพลงอะไรอยู่ แต่ความรู้สึกที่สะท้อนผ่านเสียงร้องและเสียงดนตรีนี้ กลับไพเราะล้นเหลือจนมิวต้องใช้มือปาดน้ำตาที่แอบไหลออกมา พลางยิ้มไปด้วยอย่างตื้นตัน


ทันทีที่เสียงดนตรีสิ้นสุดลง มือกีตาร์หนุ่มคิ้วหนารองหัวหน้าวง ก็ให้สัญญาณกับสมาชิกโดยพร้อมเพรียงกัน


“ขอบคุณนะไอ้มิว .... ขอบคุณครับพี่มิว” เสียงดังขึ้นพร้อมกัน แต่สามารถแยกได้เป็นสองมาตรฐาน เพราะมีการใช้สรรพนามต่างกันระหว่างเพื่อนร่วมสายชั้นและรุ่นน้อง


“อะไรกันวะ ตกใจหมดเลย”


“ก็งานเลี้ยงอำลาห้องซ้อมของพวกเราไง วันนี้ พวกไอ้ปิงมันจัดให้ ทั้งอาหารเครื่องดื่ม พร้อมสรรพ” นายคิ้วหนามือกีตาร์ของวงรีบนำเสนอนักร้องนำ


“แล้วอาจารย์เค้าไม่....” มิวยังถามต่อ แต่คราวนี้หันไปทางปิงปอง


“เคลียร์เรียบร้อยแล้วพี่มิว ไม่ต้องห่วง ขอแค่เก็บกวาดให้เรียบร้อยก็พอ”


“แล้วพวกมรึงมาของคุณกรูทำไมวะไอ้เอ๊กซ์” มิวถามเพื่อนสนิท


“ก็... ถ้าไม่มีมรึง ก็ไม่มีชมรมนี้ ไม่มีออกัส แล้วพวกเราก็ไม่มีวันนี้หรอก”


“ไอ้เอ๊กซ์ ... นี่มรึง”


“เขินล่ะสิ... ฟังแล้ว มรึงว่าไงล่ะ”


“ก็.... ไม่รู้ดิ ไม่รู้เหมือนกัน”


“น่า... พี่มิวบอกหน่อยนะ ฟังแล้วรู้สึกยังไง”


“ก็.... ขอบคุณนะ ขอบคุณที่สู้มาด้วยกัน ถ้าไม่มีทุกคน ก็ไม่มีวันนี้หรอก” มิวตอบสั้นๆ แต่คำตอบของมิวก็ทำให้สมาชิกออกัสทั้งสิบเอ็ดคน ยิ้มให้กันและกันอย่างมีความสุข


“ไปเถอะวะ ฉลองอำลาห้องซ้อมกัน” เอ๊กซ์กอดคอมิวแล้วลากเข้าไปกลางห้องซ้อมดนตรี


“หลังจากวันนี้ พวกพี่คงไม่มีโอกาสเข้ามาที่ห้องซ้อมนี้อีกแล้ว” มิวพูดลอยๆ พลางนึกถึงครั้งแรกที่อาจารย์ที่ปรึกษาชมรมอนุญาตให้ตั้งวงออกัสขึ้นมาได้ ในฐานะประธานชมรมและหัวหน้าวง มิวมีความภาคภูมิใจเป็นพิเศษ ที่ทำให้เกิดวงดนตรีขึ้นในโรงเรียนสำเร็จ และนำพาวงจนมีโอกาสก้าวสู่เส้นทางดนตรีอย่างจริงจัง


“มรึงรู้เรื่องประธานชมรมคนใหม่ที่จะมาแทนที่มรึงรึยังวะไอ่มิว” แวนถามเพื่อน


“ใครวะ เมื่อวานกรูไปให้สัมภาษณ์ที่รายการวิทยุมา เลยไม่ได้เข้าประชุม ตกลงเค้าเลือกใครกันล่ะ”


“คนแถวนี้แหละ มรึงลองทายมาดิ ว่าใครได้” เอ๊กซ์แกล้งให้มิวทาย นักร้องหนุ่มใช้สายตาชำเลืองรุ่นน้องม.ห้าทีละคน ปิงปอง ไมค์ อ๋อง แม๊ค คนที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดก็....


“ไอ้ปิง จริงๆเหรอวะ” มิวถามพร้อมรอยยิ้ม ขณะที่ปิงปองเองก็พยักหน้ารับ และยิ้มตอบเช่นกัน
“เจ๋งไปเลยว่ะ พี่ฝากชมรมด้วยนะเว้ย เคยได้ถ้วยอะไรมา ก็ต้องพยายามเอาให้ได้อีกนะ”


“ไม่มีพวกพี่มิว พี่เอ๊กซ์อยู่แล้ว ผมจะทำได้เปล่าก็ไม่รู้”


“อย่ากลัวสิวะปิง ยังไงซะ ทั้งพี่ ทั้งพี่เอ๊กซ์ และรุ่นพี่ออกัสทุกคน ก็ไม่มีทางทิ้งชมรมดนตรีของเซ้นต์นิโคลัสอยู่แล้ว ใช่มั้ยพวกเรา” มิวหันไปหาเสียงสนับสนุนจากเพื่อนๆ


“ช่ายๆ” คำตอบของรุ่นพี่ ทำให้ปิงปอง ในฐานะประธานชมรมคนใหม่ อุ่นใจยิ่งขึ้น


“มาเถอะพี่ ของกินพร้อมแล้ว” แม๊กและอ๋องเข้ามาเรียกพร้อมโชว์อาหารเครื่องดื่มสารพัดที่อยู่ด้านใน สมาชิกออกัสไม่รอช้า มุ่งหน้าสู่การกินทันที


“พี่มิว นี่คงไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่พวกพี่จะได้เข้ามาซ้อมที่นี่หรอก” ปิงปองเอ่ยขึ้น


“ทำไมวะ” เอ็มเอ่ยถามอย่างสงสัย


“ก็มาสเตอร์บอกว่า งานครบรอบโรงเรียนเดือนหน้าน่ะ จะให้ออกัสขึ้นเล่น แล้วแกก็อนุญาตให้พวกเรามาใช้ห้องซ้อมช่วงปิดเทอมได้ด้วย”


“จริงดิ เฮ้.......” ออกัสรุ่นม.หกต่างส่งเสียงร้องยินดีและหัวเราะชอบใจ นักร้องนำเองก็พลอยยิ้มไปกับเค้าด้วย แต่ในใจลึกๆก็กลัวว่า งานโรงเรียนปีนี้ ตนอาจจะไม่มีโอกาสเสียแล้ว ถึงจะเป็นกังวล แต่มิวก็ไม่แสดงสีหน้าให้ใครสังเกตเห็น




...




...




ร่างสูงก้าวเดินออกจากตึกเรียน ของโรงเรียน กรุงเทพวิทยาลัยตามลำพัง ไม่ทันได้พ้นจากรั้วโรงเรียน ก็เจอกลุ่มเพื่อนสนิทร้องทักขึ้นมาพอดี


“เฮ้ย...โต้ง จะรีบไปไหนวะ” เอิร์ธร้องทักเพื่อน


“ก็.... มันเรื่องของกรูน่า พวกมรึงมีอะไรล่ะ”


“เปล่า... ก็ว่าจะชวนมรึงไปบ้านกรูหน่อยน่ะ วันนี้วันอะไร” เอิร์ธหันไปถามเขาทรายที่รอตอบอยู่แล้ว


“วันปิดเทอม”


“ไป ไปแดรกชาบ้านกรูกัน”


“ไม่ว่ะ ว่าจะแวะไป.... แล้วทำไมกรูต้องบอกพวกมรึงด้วยล่ะ”


“ไปหามิวอะดิ งั้นก็ตามใจมรึง แต่ถ้าเบื่อๆยังไงก็ ตามไปบ้านกรูได้นะ”


“อือ... ขอบใจเว้ย” โต้งพูดจบก็ถือกระเป๋าเดินออกไปทันที วันนี้ เสื้อนักเรียนเปอะไปด้วยรอยปากกาของเพื่อน ที่เขียนอำลาลงบนเสื้อแทนสมุดเฟรนด์ชิป เสื้อนักเรียนที่ปักอักษรย่อ ก.ท.ว. และเลขไทย ๔๖๑๕๔ ชายหนุ่มอยากไปหามิวใจจะขาด แต่เพราะไม่ได้โทรนัดกันไว้ก่อนจึงไม่รู้จะทำไง


“ให้มันเป็นเพลง....” เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ของโต้งดังขึ้น


“ว่าไงมิว...” ถามไปแบบนั้น แต่ที่จริงโต้งตื่นเต้นแทบแย่
“นี่อยู่ไหนเนี่ย....” “คืนนี้หรอ...” “หนึ่งทุ่มนะ..”
“ได้.... โอเค.... จ้ะ..... งั้นเดี๋ยวเจอกัน... อื้ม..”
โต้งวางสายแล้วมองไปที่นาฬิกาข้อมือสีดำของตนเอง ยังเหลือเวลาอีกเยอะ เย็นนี้ก้ไม่มีเรียนพิเศษ ในที่สุด ชายหนุ่มก็ตัดสินในเดินทางกลับบ้าน เพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนจะเดินทางไปตามที่นัดกับมิว




...




...







ร่างสูงเดินกลับเข้าบ้านแต่หัววัน ผู้เป็นแม่ยังไม่ได้กลับบ้าน เหลือแต่พ่อที่นั่งอ่านหนังสืออยาเพียงลำพัง เป็นหนังสือเกี่ยวกับการออกแบบบ้านที่โต้งไม่ได้เห็นพ่อเปิดอ่านมานานแล้วตั้งแต่เสียพี่แตงไป



“กลับมาแล้วเหรอโต้ง มาเร็วจัง วันนี้ปิดเทอมไม่ใช่เหรอลูก ไม่ไปเที่ยวกับเพื่อนๆก่อนล่ะ หรือจะโทรนัดมิวก็ได้” กรเอ่ยถามลูกชาย



“กลับมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าน่ะครับ เดี๋ยวตอนเย็นจะไปสยามฯ มิวโทรมานัดอะครับ” โต้งบอกกับกร แล้วขอตัวขึ้นไปชั้นบนเพื่อเก็บกระเป๋าและอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า



เดินเข้ามาในห้องที่นอนเหงาคิดถึงพี่สาวมาหกปี ชายหนุ่มเหลือบมองดูปฏิทิน เดือนมีนาคมแล้ว ครบกำหนดสัญญาที่มิวให้กับป๊าไว้แล้ว อีไม่นาน ป๊าของมิวก็คงจะมาทวงสัญญา และมิวก็ต้องทำตามนั้น ด้วยการไปอยู่ที่ระยอง เรียนและทำธุรกิจต่อที่นั่น ออกจากเส้นทางดนตรีที่มิวใฝ่ฝัน ที่สำคัญ ต้องตัดขาดความสัมพันธ์กับตน



โต้งใช้มือทุบปฏิทินบนผนังด้วยความรู้สึกกลัวและเจ็บปวด แม้จะชกผนังปูนไม่แรงนัก แต่ก็มีความรู้สึกเจ็บมืออยู่บ้าง ชายหนุ่มใช้มือซ้ายข้างที่ไม่เจ็บถูนิ้วมือขวาไปมาเพื่อผ่อนคลายอาการเจ็บ แต่ความเจ็บกายภายนอก มีหรือจะเทียบเท่าความเจ็บปวดภายในใจได้ ทั้งที่ยังอยู่ในชุดนักเรียน ร่างสูงล้มตัวลนอนบนเตียงของตน มือขวาก่ายหน้าผากและครุ่นคิดต่างๆนานา



ทำงานง่วนอยู่ในครัวแทนแม่ที่คงกลับมาช้ากว่าปกติ หลังจากหุงข้าวเรียบร้อยแล้ว โต้งก็จัดการอุ่นกับข้าวที่สุนีย์ทำเตรียมไว้ตั้งแต่เช้า เหลียวมองนาฬิกาบนผนัง หกโมงเย็นพอดี จากนั้น ชายหนุ่มก็เดินเข้าไปหาพ่อของตน



“พ่อ... หกโมงแล้ว เดี๋ยวโต้งออกไปข้างนอกก่อนนะครับ ถ้าพ่อหิวก็ทานก่อนได้เลยนะ เพราะแม่บอกว่าจะกลับช้าหน่อย สงสัยต้องเคลียร์งานให้เรียบร้อยก่อนปิดเทอม”



“ไปเถอะลูก มิวคอยอยู่ เดี๋ยวพ่อจะรอแม่มาทานข้าวด้วยกัน” กรเงยหน้าจากหนังสือและหันมาตอบลูกชายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ตั้งแต่เลิกเหล้า และผ่าตัดสำเร็จ สุขภาพกายและจิตของกรก็ดีขึ้นมาก แต่เพราะป่วยเรื้อรังมานาน ทำให้ต้องอาศัยเวลาพักฟื้นนานหน่อย และเตรียมพร้อมจะกลับไปทำงานเดิมอีกครั้ง



“ครับพ่อ.. งั้น โต้งไปก่อนนะ” ชายหนุ่มบอกลาพ่อแล้วเดินออกไปหน้าบ้านเพื่อเรียกแท็กซี่




...




...






หลังปาร์ตี้ของวงออกัสจบลง รุ่นน้องก็ทำหน้าที่เก็บกวาดตามระเบียบอย่างที่เคยเป็น ทั้งน้องอาร์ม น้องไมค์ น้องเพชร น้องแม็ค และท่านอ๋องน้อย ต่างร่วมไม้ร่วมมือร่วมแรงร่วมใจอย่างไม่เกี่ยงงาน บ้างขนขยะไปทิ้ง บ้างกวาดพื้น บางคนก็เอาผ้ามาถูมาเช็ด บางคนก็ถือสเปรย์ดับกลิ่นฉีดให้ทั่วบริเวณ รุ่นน้องทุกคนช่วยกันอย่างขยันขันแข็ง โดยที่มีประธานชมรมคนใหม่ชี้นิ้วบงการ ต่างจากรุ่นพี่ที่กำลังจะจบม.หก ที่เริ่มเอกเขนกนอนแผ่เกะกะการทำงานของน้องๆ โดยเฉพาะมือกีตาร์คิ้วหนาที่เริ่มกรนแล้ว ทั้งๆที่เพิ่งจะกินอิ่มกันได้ไม่นาน



“เดี๋ยวกรูไปก่อนนะ” นักร้องนำเอ่ยบอกกับคนอื่นๆ หลังจากวางสายโทรศัพท์ได้ครู่เดียว



“อะไรของมรึงวะไอ้มิว เพิ่งกินอิ่มเนี่ย จะรีบไปไหน ห้องชมรมเปิดได้ถึงสองทุ่มนะเว้ย” ต่อมือเบสเอ่ยถามเพื่อนร่วมห้อง ขณะเดียวกันก็ใช้เท้าเขี่ยเพื่อนร่วมห้องอีกคนจนเอ๊กซ์สะดุ้งขึ้นมา



“มีนัดกับโต้งเหรอวะ” แวนมือคีย์บอร์ดเอ่ยถามบ้าง



“อือ... กรูนักโต้งไว้ที่สยามตอนหนึ่งทุ่ม ว่าจะไปหาอะไรกินด้วยกัน แล้วก็ดูหนังซักเรื่อง”



“ออกเดทฉลองปิดเทอมเหรอพี่มิว มิน่าล่ะ เมื่อกี๊ปิงปองเห็น พี่มิวกินนิดเดียวเอง ส่วนใหญ่ถูกพี่เอ๊กซ์แย่งกินหมด” ปิงปองแซวมิว และแขวะมือกีตาร์คิ้วหนาทางอ้อม ทำเอาคนอื่นๆหัวเราะกันบ้าง ยกเว้นหัวหน้าวงที่เอาแต่ยิ้มไปด้วยแบบเจื่อนๆเท่านั้น



“มรึงมีอะไรป่าววะ” เอ๊กซ์ที่เพิ่งจะสำเร็จการเขกหัวปิงปองแอบสังเกตเห็นจึงเอ่ยถาม



“เปล่า... ไม่มีอะไร” มิวปฏิเสธไม่ยอมบอกความในใจออกมา



“กรูเป็นเพื่อนมรึงนะเว้ย นี่ก็เพื่อนมรึง น้องมรึง เราเป็นวงเดียวกัน มรึงจำไม่ได้เหรอ” เอ๊กซ์พยายามว่ามิวที่ชอบเก็บความรู้สึกไว้คนเดียว ไม่แบ่งปันให้เพื่อนร่วมวงรับรู้



“กรูเป็นเพื่อนมรึงมาหกปี ทำไมกรูจะดูไม่ออก ว่ามรึงมีอะไรรึเปล่า ถึงกรูจะไม่เข้าใจมรึง แต่กรูก็เป็นเพื่อนมรึงนะเว้ย ทำไมมรึงชอบคิดว่ามรึงไม่มีใครด้วยวะ” เอ๊กซ์ยังว่ามิวต่อไป



“ก็กรู.....” มิวยังคงไม่ยอมบอก



“พี่มิว....” ปิงปองเข้ามาใกล้ๆมิว แล้วสัมผัสมือรุ่นพี่เบาๆ



“ไอ้มิว.. กรูขอเถอะวะ กรูทนมามากแล้วนะเว้ย กับอาการแบบนี้ของมรึงน่ะ มรึงรู้มั้ย เวลาที่มรึงมีอไรแล้วไม่บอกพวกกรูเนี่ย กรูอึดอัด อึดอัดมาก พวกกรูเป็นห่วงมรึงนะเว้ยยยย....” เอ๊กซ์เริ่มเสียงดังขึ้น



“กรูรู้ว่าพวกมรึงเป็นห่วงกรู แต่พวกมรึงไม่เข้าใจ พวกมรึงช่วยกรูไม่ได้หรอก”



“ก็ถ้ามรึงไม่บอกแล้วพวกกรูจะช่วยมรึงได้ยังไงล่ะ”



“ก็..........”



“ไอ้มิว เมื่อกี๊มรึงโทรศัพท์คุยกับใคร กรูรู้นะ ว่าไม่ใช่โต้ง” เอ็มมือกลองที่ปกติพูดน้อยอยู่แล้ว จู่ๆก็ตั้งข้อสังเกตขึ้นมา ทำเอาคนอื่นๆสนใจเช่นเดียวกัน



“ถ้าไม่ใช่โต้ง... หรือว่า... จาก... ระยองเหรอวะ” ต่อหันไปถามมิวบ้าง นักร้องนำก้มหน้าลงด้วยความกังวล สีหน้าเคร่งเครียดอย่างที่ใครเห็นก็ต้องรู้ว่าป๊าของมิวโทรมาเรื่องข้อตกลงแน่ๆ



“ครบกำหนดแล้วเหรอพี่มิว” เพชรเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย



“อือ......” นักร้องหนุ่มตอบสั้นๆ



“แล้วพี่มิวจะทำยังไงล่ะ” อาร์มนักเป่าทรัมเปตถามบ้าง



“ไม่รู้ดิ ไม่รู้เหมือนกัน” มิวใช้ประโยคคำตอบแบบเดียวกับโต้ง



“พี่มิว...” แม๊คกับอ๋องร้องชื่อพร้อมกัน



“ก็คง..... คงต้องกลับไปอยู่กับป๊าตามสัญญามั้ง....” มิวบอกทุกคน



“แต่ว่า......” มือกีตาร์คิ้วหนาพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็นิ่งแทน



“มรึงจะพูดอะไรวะไอ้เอ๊กซ์” ต่อถามเพื่อน



“กรูรู้... ว่าไอ้เอ๊กซ์จะพูดอะไร” มิวหันไปบอกต่อ



“อะไรวะ....” ทั้งต่อ แวน และเอ็มพูดออกมาพร้อมกัน รวมทั้งน้องๆคนอื่นก็หันมาสนใจ



“เอ๊กซ์มันกำลังจะบอกว่า.. กรูคงจะไปอยู่ที่โน่นไม่ได้นะ เพราะทั้งชีวิต ความหวัง และความฝันทั้งหมดของกรูอยู่ที่นี่ ที่กรุงเทพนี่ ที่วงออกัส ที่อาชีพนักร้องนักดนตรี ที่...................”



“ที่โต้ง..........” เอ๊กซ์ช่วยพูดต่อให้จบ



“ใช่... ที่โต้ง... แล้วกรูจะความสุขได้ยังไง ถ้าต้องทำตามสัญญาที่ให้กับป๊า กรูก็คง เหมือนตายทั้งเป็นแน่ๆ แต่พวกมรึงก็รู้ กรูให้สัญญาไปแล้ว กรูรับปากป๊ากรูไปแล้ว เค้าเป็นพ่อกรูนะเว้ย กรูคงจะผิดสัญญากับเค้าไม่ได้ ถ้าอาม่ารู้ว่ากรูเป็นคนไม่รักษาคำพูดล่ะก็ แกคงโกรธกรูมาก”



“นี่สรุปว่ามรึงแคร์อาม่าหรือป๊ามรึงมากกว่ากันแน่วะ” เอ็มถาม



“กรูก็ไม่รู้ แต่กรูผิดคำพูดกับป๊าไม่ได้ เพราะว่า........”



“นี่เป็นครั้งแรกที่มิวรู้สึกว่าป๊ามิวเค้าแคร์มิวอะดิ” จู่ๆเสียงของหญิงสาวก็ดังขึ้น



“หญิงงงงงง.....” เหล่าสมาชิกออกัสอุทานเรียกชื่อหญิงสาวพร้อมกัน



“ใช่ ... หญิงเอง ไม่ต้องประสานเสียงพร้อมกันทั้งวงแบบนั้นก็ได้”



“ว่าแต่... หญิงมาได้ไงเนี่ย..” มิวเอ่ยถามเพื่อนสาวข้างบ้าน



“กรูนัดับเค้า จะไปสยามฯด้วยกัน เหมือนมรึงกับโต้งไง” เอ๊กซ์ตอบแทน



“แล้วขึ้นมาบนตึกได้ไง โรงเรียนชายล้วนนะ” มิวยังคงสงสัยต่อไป



“ก็เดินยิ้มมาเรื่อยๆนี่แหละ พอถามทาง น้ายามเค้าก็ชี้บอกมา ไม่เห็นมีใครห้ามหรือทำอะไรเลย”



“เฮ้ยยย...จริงดิวะ.. เจ๋งอะ นานๆจะมีนักเรียนหญิงโรงเรียนอื่นมาขึ้นตึกเซ้นต์นิโคลัส” แวนว่า



“ก็กรูบอกกับน้ายามเค้าไว้แล้ว ว่าเพื่อนจะมารับตอนหกโมงเย็น แกก็เลยไม่ว่าอะไร แต่ถ้าหกโมงครึ่งแล้วยังไม่ลงไปล่ะก็ เป็นเรื่องแน่ๆ...” มือกีตาร์บอก



“เค้าคงกลัวเป็นเรื่องมั้ง แต่ไอ้เอ๊กซ์มันสนิทกับน้ายาม ไว้ตอนลงไปค่อยเอาของกินที่เหลือไปฝากแล้วกัน” ต่อบอกกับปิงปองให้เตรียมอาหารไว้ส่วนหนึ่งด้วย



“เอาเรื่องเมื่อกี๊ก่อนหญิง ที่หญิงพูดเมื่อกี๊น่ะ” แวนยังคงอยากรู้สิ่งที่หญิงพูด



“ก็..... ห้าปีมาเนี่ย มิวเค้าต้องทนเหงามาตลอดก็เพราะว่ามิวเสียอาม่าไปใช่ปะ แล้วป๊าก็แทบจะไม่เคยสนใจเลยว่ามิวจะรู้สึกยังไงบ้างที่ต้องอยู่คนเดียว ขนาดนอนเจ็บอยู่โรงพยาบาลก็ยังไม่ยอมมาเยี่ยม แต่พอรู้ว่ามิวเป็นแบบนี้.. หญิงหมายถึง.. เรื่องของมิวกับโต้งอะนะ ป๊ามิวเค้าก็ลุกขึ้นมา.. เอ่อ... เรียกว่าอะไรดี ถ้ามองในฐานะพ่อของลูกชายคนนึง ก็คงเป็นการปกป้องลูกชายตนเองล่ะมั้ง”



“ปกป้องเหรอหญิง เห็นแก่หน้าตัวเอง ปกป้องเกียรติตัวเองสิไม่ว่า กลัวเสียชื่อเสียงอะไรแบบนี้น่ะ” เอ๊กซ์แสดงความคิดเห็นตรงข้ามกับแฟนสาวของตน



“แต่ผมไม่คิดอย่างนั้นนะพี่เอ๊กซ์ ป๊าของพี่มิวอาจจะมองว่า พี่มิวเป็นลูกชายคนเดียวของเค้า เค้าก็คงอยากให้พี่มิวเดินในเส้นทางที่ดีที่สุดในความคิดของเค้าก็ได้” ปิงปองเสนอความเห็นบ้าง



“ด้วยการกีดกันทางเดินและความฝันของลูกชายตนเองน่ะเหรอ ขัดขวางความรักของลูกน่ะเหรอ” เอ๊กซ์ยังคงแสดงความเห็นอคติต่อป๊าของมิว



“มองในมุมของป๊ามรึงนะมิว คนที่ประสบความสำเร็จทางธุรกิจแบบนั้น คงจะไม่คาดหวังความสำเร็จที่ไม่ชัดเจนแบบชีวิตนักดนตรีมั้ง อนาคตมันไม่แน่นอน เป็นนักดนตรี มันก็มีจุดอ่อนและทางเดินที่ยากเย็นจริงๆ กรูว่าจริงอย่างหญิงว่า เค้าเป็นห่วงอนาคตของมรึง เค้าอยากให้มรึงเดินในเส้นทางที่ง่ายกว่า....” ต่อแสดงความคิดเห็นในฐานะลูกคนจีนที่ทำธุรกิจเช่นกัน



“โดยให้มรึงทิ้งความฝันที่มรึงทุ่มเทสร้างมากับมือเนี่ยนะ” นายคิ้วหนายังคงไม่เห็นด้วย



“กรูรู้ ว่ามันเป็นความฝันของกรู แต่กรูก็....................”



“มิว.....” เสียงชายหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้นที่หน้าประตู ทำให้ทุกคนหันไปมอง




....





....











“มิว.....” เสียงชายหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้นที่หน้าประตู ทำให้ทุกคนหันไปมอง



“โต้ง.....” มิวขานชื่อคนรักพร้อมกับความแปลกใจที่โต้งมาถึงที่นี่



“เข้ามาก่อนดิ..” หญิงเดินเข้าไปจูงมือโต้งเข้ามาในห้อง



“คือหญิงมาเจอเราที่หน้าโรงเรียนนี้พอดีน่ะ ก็เลยพามาด้วยกัน” โต้งบอกกับคนอื่นๆที่ทำหน้าสงสัย



“แต่เรานัดเจอโต้งที่สยามฯไม่ใช่หรอ” นักร้องหนุ่มเอ่ยถาม



“ก็.......”



“ดีแล้วล่ะ เราจะได้พาโต้งเดินรอบโรงเรียนด้วย ผ่านไปหกปี ไม่รู้ว่าโต้งยังจะจำโรงเรียนที่เคยเรียนสมัยประถมได้รึเปล่า” มิวบอกกับคนรักของตน



“เรื่องนั้นเอาไว้ทีหลังก็ได้มิว เราอยากรู้เรื่องที่มิวโทรคุยกับป๊ามากกว่า” โต้งเสนอความคิดของตนกับคนรัก ขณะที่เพื่อนๆทุกคนก็อยากรู้เรื่องนี้เช่นเดียวกัน



“ก็............” มิวอยากจะเล่าให้โต้งฟังตามลำพัง แต่ก็เห็นสายตาที่จ้องมองอย่างสนใจของเพื่อนคนอื่นๆด้วย ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ในที่สุด นักร้องนำวงออกัสจึงเริ่มเล่าเรื่องทางโทรศัพท์ให้ทุกคนฟัง



“ป๊ากรูเค้าโทรมาบอกให้กรูรีบเคลียร์งานในกรุงเทพฯให้เสร็จเร็วๆ อีกสองวันจะมารับไปอยู่ด้วยกัน”



“แล้วมิวจะทำยังไงล่ะ” โต้งเอ่ยถาม



“ไม่รู้ดิ ไม่รู้เหมือนกัน” มิวตอบโต้ง ด้วยประโยคที่โต้งชอบใช้ประจำ



“มิว.... ฟังจากหญิงพูด กรูก็พอจะเชื่อว่าป๊ามรึงเค้าห่วงอนาคตมรึง เค้ากลัวว่าอาชีพนักดนตรีมันไม่แน่นอน นั่นกรูรู้ กรูพอจะเข้าใจ แต่เรื่องความรักของมรึงกับโต้งเนี่ย ป๊ามรึงเค้าจะ..... ทำไมถึงไม่......” นักกีตาร์หนุ่มคิ้วหนาพยายามจะบอกว่า ทำไมถึงไม่เข้าใจกันบ้างแต่ก็ไม่พูดออกมา



“เค้ารังเกียจที่มรึงเป็นแบบนี้รึเปล่าวะ” แวนถาม



“ไม่รู้ดิ คงจะมีบ้างมั้ง ก็ตอนที่เค้ารู้ครั้งแรก เค้าโกรธกรูแทบตาย”



“หรืออาจจะเพราะว่ายังรับไม่ได้ ตั้งตัวไม่ทันก็ได้มั้งมิว มิวเคยนั่งคุยปรับความเข้าใจกับป๊าบ้างรึยังล่ะ” หญิงถามมิว แต่ชายหนุ่มได้แต่สายหน้า บอกให้รู้ว่า เรื่องคุยกับพ่อ เป็นเรื่องที่แทบจะไม่เคยเกิดขึ้น



“เรากับป๊าคุยกันน้อยมาก ตั้งแต่อาม่าเสีย แล้วเรายืนกรานจะอยู่กรุงเทพฯ แกก็สนใจเราน้อยลง จนหลายครั้งที่เราแอบรู้สึกว่าเราไม่มีใครรัก” มิวพูดแล้วหันไปมองทางโต้ง ก่อนจะพูดต่อ
“ก็มีหลายครั้งเหมือนกัน ที่เราอยากจะไปหาแกที่ระยอง แล้วเปิดอกคุยกันซักที เผื่ออะไรๆมันจะดีขึ้น”



“จริงสิมิว ไหนๆก็ปิดเทอมกันหมดแล้ว ทำไมเราไม่ไประยองด้วยกันซักครั้งล่ะ” หญิงเสนอความเห็น



“ไปกันหมดนี่เลยเหรอหญิง” เอ๊กซ์เอ่ยถาม



“ก็ใช่น่ะสิ เราก็อ้างว่า มิวจะไปอยู่ที่ระยองกับป๊า แต่พอถึงเวลานั้น เราก็ช่วยกันคุย แล้วโต้งก็ต้องไปด้วย”



“แล้วไงต่อล่ะ” โต้งสนใจถามบ้าง



“ก็.... พวกออกัส ต้องแสดงให้ป๊าของมิวเค้าเห็น ว่าดนตรีให้อะไรกับชีวิต ที่มีค่ามากกว่าเงินทองหรืออนาคตที่ร่ำรวยแบบที่ป๊าเค้าคิดเองเออเอง แสดงให้เค้าเข้าใจว่ามิว มีความสุขมากแค่ไหนที่ได้ร้องเพลงและเล่นดนตรีกับเพื่อนๆ ส่วนโต้ง ถึงป๊ามิวเค้าจะรับไม่ได้เรื่องที่ลูกชายเป็นย์และรักผู้ชายด้วยกัน แต่โต้งก็ต้องพิสูจน์ให้ป๊าเค้าเห็นว่า เรารักลูกชายของเค้าด้วยความบริสุทธิ์ใจ พิสูจน์ให้เห็นว่าโต้งสามารถดูแลและปกป้องมิวได้ ให้เค้ารู้ ว่าความรักของผู้ชายรักกัน ยิ่งใหญ่ไม่แพ้ความรักของชายหญิง แล้วถ้าพวกเราทำสำเร็จ เราก็จะเปลี่ยนใจป๊าของมิวได้ แล้วมิวก็จะได้อยู่กรุงเทพฯเหมือนเดิม เรียน และเล่นดนตรีต่อไปได้ไงล่ะ”



“สุดยอดความคิดไปเลยพี่หญิง ถ้าเราทำได้ พี่มิวก็มีโอกาสได้อยู่กับออกัสต่อไป”



“ใช่ๆ ถ้าเราไม่ยอมแพ้ เราต้องทำได้แน่ๆ ออกัสสู้มาได้หลายสนาม หลายเวที ทำไมกับปัญหาแค่นี้ เราจะฝ่าฟันมันไปพร้อมกันไม่ได้ล่ะ” แวนปลุกกำลังใจทุกๆคน



“มันจะเป็นไปได้แน่เหรอหญิง” มิวพูดเหมือนยังไม่ค่อยมั่นใจ



“มิว .. มรึงพูดเหมือนไม่เชื่อมั่นพวกกรู ไม่เชื่อใจโต้งอย่างงั้นแหละ” เอ๊กซ์ว่ามิว



“ไม่ใช่อย่างนั้น คือกรูหมายถึง... กรูก็แค่กลัว....”



“กลัวอะไรของมรึงวะ” ต่อถามบ้าง



“กลัวว่ากรูจะให้พวกมรึงเดือดร้อน ทำให้โต้งเดือดร้อน กรูไม่อยากเสียใครไปทั้งนั้น แล้วเกิดป๊ากรูเค้าไม่... กรูกลัวว่า ถ้ามันไม่สำเร็จ แม้แต่โอกาสที่จะ........ ช่างเหอะ” มิวพูดแค่นั้น แต่โต้งกลับจับมือมิวมุมไว้ที่หน้าอกของตน แล้วจ้องมองแววตาสีน้ำเงินของมิวที่เงยหน้าขึ้นมองประสานกับนัยน์ตาสีน้ำตาลของโต้งพอดี



“เรารู้ว่ามิวกลัวการสูญเสีย กลัวสูญเสียดนตรี สูญเสียออกัส สูญเสียป๊า สูญเสีย.......”



“โต้ง.....”



“ใช่.. กลัวสูญเสียเราด้วย แต่...... มิว... เราเองก็กลัวไม่แพ้มิวหรอกนะ เราก็กลัวจะสูญเสียมิวไปเหมือนกัน แต่เราจะไม่ยอมแพ้ มิวแต่งไว้ในเพลงของเราเองไม่ใช่หรอ ตราบใดมีรัก ก็ย่อมมีหวัง ดังนั้นมิว .. อย่ายอมแพ้นะ อย่าทอดทิ้งความหวัง ไม่ว่าจะลำบากเพียงไหนก็ตาม เราจะไม่ยอมแพ้ มิวมีเราอยู่เคียงข้าง เราจะไม่พรากจากกัน เราจะเดินเคียงกันไปนะมิว” แววตาแห่งความมุ่งมั่นของตนสะท้อนเข้าไปในดวงตาของมิว น้ำตารื้นเล็กๆออกมาจากแววตาของนักร้องหนุ่ม ร่างบอบบางนั้นพุ่งเข้าหาร่างสูงที่อ้าแขนรอรับการกอด ชายสองคนกอดกันท่ามกลางสายตาให้กำลังใจของเพื่อนๆ รุ่นน้องบางคนแอบซึ้งกับคำพูดของโต้งจนขอบตาแดงกล่ำเพราะต้องกลั้นน้ำตาเอาไว้ ต่างจากขอบนัยน์ตาของหญิงที่มีน้ำตารื้นและหยดลงมาหนึ่งหยดเพราะทั้งรักและสงสารเพื่อนรักที่ตนเคยแอบหลงรักมาก่อน



“ไอ้มิว โต้ง งั้นตกลงตามที่หญิงว่านะ มะรืนนี้ เราจะไประยองกัน เดี๋ยวมรึงให้ป้าอรโทรไปบอกป๊ามรึง ว่ามรึงจะไปเอง ไม่ต้องมารับ แล้วพวกเราก็ไปด้วยกันทั้งหมดเลย” เอ๊กซ์บอกเพื่อนสนิท



“แล้วเราจะไปกันยังไงล่ะพี่เอ๊กซ์” ปิงปองเอ่ยถามรุ่นพี่มือกีตาร์คิ้วหนา



“เออดิ... ไปยังไงวะ”



“ก็ให้มิว โต้ง เอ๊กซ์ไปรถของหญิงไง ส่วนคนอื่นๆก็หารถคันอื่นตามไป”



“เอารถตู้บริษัทไปก็ได้ ไอ้ปิง เดี๋ยวเอ็งโทรหาพี่จูน ให้พี่แกจัดการให้ แล้วพวกเราที่เหลือก็ไปด้วยกันทั้งหมดนี่แหละ” แวนบอกรุ่นน้อง ซึ่งพยักหน้าเห็นด้วย



“งั้นก็ตกลงตามนี้ ปิง เอ็งเก็บห้องให้เรียบร้อยล่ะ เดี๋ยวพวพี่ไปก่อน คุณหญิงแสนสวย เชิญคร้าบบบบ” เอ๊กซ์เดินควงหญิงลงไปจากตึกพร้อมกับหิ้วอาหารส่วนหนึ่งไปฝากพี่ยามด้วย ขณะที่เพื่อนๆม.หกที่เหลือก็ขอตัวกลับไปด้วยกัน แต่ก็ไม่รู้จะแอบไปแวะเที่ยวกันที่ไหนรึเปล่า



“แล้วเราจะไปไหนกันต่อดีล่ะมิว” โต้งเอ่ยถามมิวที่เก็บของเสร็จพอดี



“ก็... ไม่รู้ดิ ไม่รู้เหมือนกัน”



“มิว....”



“งั้นก็... ไหนๆ โต้งก็กลับมาเยี่ยมโรงเรียนเก่าแล้ว ลองไปเดินเล่นกันก่อนดีมั้ย”



“อือ....” โต้งพยักหน้าเห็นดีด้วย จากนั้น ร่างสูงและร่างโปร่งก็เดินลงไปพร้อมกัน




...




...





ร่างโปร่งในเครื่องแบบโรงเรียนเซ้นต์นิโคลัส เดินเคียงคู่ไปกับร่างสูงที่ใส่ชุดเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนสลับขาวกางเกงยีนส์สีเทาเข้ม กำลังเดินสำรวจชมโรงเรียนที่เต็มไปด้วยความหลังและความทรงจำของชายหนุ่มทั้งสอง ความที่มิวเป็นนักร้องและเป็นที่รู้จักดีในโรงเรียน ทำให้มีหลายคนสนใจหันไปมอง บางคนก็ให้ความสนใจโต้งเป็นพิเศษ มีหลายคนกระซิบกระซาบกันเพราะจำได้ว่าชายหนุ่มที่เดินอยู่กับนักร้องนำวงออกัส คือคนเดียวกันกับที่เป็นพระเอกเอ็มวีเพลงกันและกันที่มิวเป็นคนแต่งเอง



“นี่ไงมิว สนามฟุตบอลที่เราเคยมาเตะบ่อยๆ” โต้งชี้ให้มิวดูสนามฟุตบอลเล็กๆ ที่เด็กนักเรียนเซ้นต์นิโคลัสชอบมาเตะเล่นกันทุกเช้า แต่วันปิดเทอมแบบนี้ กลับกลายเป็นสนามร้างไป



“ใช่โต้ง... แล้วเราก็ชอบมาแอบยืนดูโต้งอยู่ตรงทางเดินด้านนั้น” มิวชี้ให้โต้งดูโถงยาวที่เป็นทางเดินประจำของตน ก่อนจะนึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาได้



“แล้วมิวก็ชอบเดินหนีไปทุกที เวลาที่เราหันไปมอง”



“เปล่า...ก็เห็นโต้งำลังสนุกอยู่ เลยกลัวว่าโต้งจะเสียสมาธิไง” มิวพูดไปเรื่อยๆพร้อมกับเดินไปทางลานกว้างที่มีม้าหินหลายตัว แต่ค่ำนี้กลับไร้คนจับจอง



“นี่... โต๊ะตัวนี้ไง ที่มิวเคยมานั่งวาดรูปเป็นประจำ เราจำได้นะ ว่านอกจากมิวจะเล่นเปียโนเก่งแล้ว มิวยังวาดรูปเก่งอีกด้วย” โต้งชี้ให้มิวดูโต๊ะหินตัวเก่าที่มิวเคยนั่งวาดรูปเล่นเป็นประจำ ที่ขาโต๊ะยังมีรอยสีสลักตัวหนังสือเอาไว้อยู่ เป็นตัวทีสีฟ้ากับตัวเอ็มสีเขียวซ้อนทับกัน



“โต้งแอบใช้สีของเราเขียนตัวอักษรเอาไว้ไงล่ะ ผ่านมาหกปีกว่า ยังไม่มีใครลบออกเลย” มิวหวนนึกถึงความทรงจำสีจางๆแล้วอดยิ้มไม่ได้ ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆก็เช่นกัน โต้งนึกถึงเรื่องสมัยเด็กแล้วใช้สายตามองกวาดไปรอบๆ ไปหยุดอยู่ที่ทางขึ้นตึกซึ่งใกล้กับห้องน้ำ ร่างสูงมองห้องน้ำนั้นอยู่พักนึง ทำให้มิวสนใจมองตาม และจำได้ว่า นั่นคือห้องน้ำที่โต้งเคยยอมเสี่ยงเจ็บตัวเพื่อช่วยตนเองจากเด็กเกเร



“ไปห้องน้ำกันมั้ยโต้ง...” มิวแกล้งเอ่ยถาม



“ไม่รู้ป่านนี้ เด็กกลุ่มนั้นที่เคยมีเรื่องกับมิว เป็นไงบ้างไม่รู้เนอะ”



“ก็ ไม่รู้ดิ คงยังเรียนอยู่ที่นี่ล่ะมั้ง ไม่เจอหน้ามาหลายปีแล้ว” มิวพูดจบก็ชวนโต้งไปห้องน้ำเพื่อล้างไม้ล้างมือ ระหว่างที่ชายหนุ่มทั้งสองคนอยู่ในห้องน้ำอยู่นั้น จู่ๆก็มีชายหนุ่มนักเรียนเซ้นต์นิโคลัส อายุราวๆเดียวกับมิวและโต้งสามคน เดินเข้ามาพอดี



“นี่มัน ... มิว... นักร้องดังนี่หว่า ว่าไงจ๊ะ พาแฟนมาเที่ยวเหรอ” เสียงของนักเรียนชายคนนึงเอ่ยขึ้น มิวและโต้งหันไปมองด้วยสีหน้าสงสัยและตกใจ



“อ้าว... จำเราไม่ได้หรอ รู้จักกันมาตั้งแต่ประถม ดันลืมกันซะแล้ว” มิวพยายามจ้องหน้า และคุ้นๆพอจะจำได้ว่า เป็นหนึ่งในกลุ่มเด็กเกเรที่เคยรังแกตนเมื่อก่อนนั่นเอง




...




...







Create Date : 01 กรกฎาคม 2553
Last Update : 1 กรกฎาคม 2553 11:09:07 น.
Counter : 527 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Niramitr
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]



สาวก"รักแห่งสยาม"

New Comments