All Blog
ตอนที่ 11 +++ หัวใจบรรเลง บทเพลงแห่งความรู้สึก +++


+++++ต่อเรื่อง+++++






สมาชิกทั้งสิบของวงออกัสต์ต่างรู้สึกกระวนกระวายที่นักร้องนำไม่ปรากฏตัวซักที พี่อ๊อดอารมณ์เสียมากขึ้นเรื่อยๆ เฮียสมเกียรติกับพี่หลิวยังคงใจเย็นอยู่ ส่วนคุณเอก็วางมาดขรึมสงบนิ่งอย่างเคย นอกจากมิวแล้ว คุณบีเองก็ยังมาไม่ถึงห้องบันทึกเสียง ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อคืนนี้เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นหลังจากที่ทุกคนแยกทางกัน นอกจากตัวมิวเอง คุณบี โต้งกับเพื่อนๆ รวมทั้งเฮียกับพี่หลิว แล้วก็หญิงอีกคน นักร้องหนุ่มไม่อยากให้เพื่อนๆในวงเป็นกังวล ยิ่งถ้ามีคนรู้เรื่องที่คุณบีทำกับมิว เพื่อนๆก็จะโกรธและโมโหคุณบีอย่างมาก ไหนๆมิวก็ยกโทษให้กับคุณบีแล้ว จึงไม่ได้บอกเรื่องนี้แก่ใครและขอร้องให้คนอื่นๆเก็บเรื่องนี้ไว้ด้วย


บ่ายสองโมงตรง อย่างกระหืดกระหอบ นักร้องหนุ่มวิ่งมาด้วยความรีบร้อนจนเหงื่อท่วมตัว เปิดประตูโผงเข้ามาพบพี่อ๊อดที่ใบหน้าบึ้งตึงด้วยความหงุดหงิด มิวจึงต้องรีบเข้าไปขอโทษตามระเบียบ


“ขอโทษครับพี่อ๊อด คือผม เอ่อ........................” นักร้องหนุ่มนึกคำแก้ตัวไม่ออก


“พี่เคยบอกแล้วใช่มั้ยมิว มืออาชีพน่ะ เค้าต้องมีความรับผิดชอบ ตรงต่อเวลา เราไม่ใช่วัยรุ่นธรรมดาที่จะมัวแต่สนุกแบบเดิมแล้วนะ ตอนนี้มิวเป็นนักร้องอาชีพแล้ว เข้าใจใช่มั้ยมิว การที่เราไม่เคารพเวลางานของคนอื่น มันจะส่งผลกระทบหลายอย่าง ไหนจะค่าเช่าห้องอัดที่เพิ่มขึ้น เสียเวลาทำงานมากขึ้น ยิ่งเสียเวลา การทำงานก็จะเครียด งานอาจจะออกมาไม่ดี พี่หวังว่ามิวจะเข้าใจนะ” พี่อ๊อดใส่เป็นชุดจนนักร้องหนุ่มสลด ได้แต่ก้มหน้า นี่เป็นอีกครั้งแล้วที่มิวถูกพี่อ๊อดดุ


“ผมผิดเองครับพี่อีอด อย่าว่ามิวเลยนะครับ” เสียงชายหนุ่มเมโทรโคโปรดิวเวอร์หนุ่มสำอางดังขึ้น


“คุณบี หมายความว่ายังไงเหรอครับ” พี่อ๊อดหันมาถามผู้ที่พึ่งเดินเข้ามาใหม่


“เรื่องมันยาวน่ะครับ เอาเป็นว่า ผมขอแรงมิวเค้าไปช่วยเลือกเพลงให้อีกวงนึง อยากฟังความเห็นนักแต่งเพลงหลายๆคน ก้เลยเสียเวลานานไปหน่อยอะครับ” คุณบียกเรื่องขึ้นมา ทำให้พี่อ๊อดไม่ซักไซ้ต่ออีก ส่วนนักร้องนำวงออกัสต์ก็ได้แต่ทำหน้างงๆ ตกใจที่คุณบียอมโกหกเพื่อช่วยให้ตนไม่ถูกพี่อ๊อดดุอีก แต่ก็นึกขอบใจอยู่เหมือนกัน หน้าเอ๋อรับประทานของมิวเปลี่ยนเป็นอมยิ้มสบายใจขึ้น


“เอ้า....................ยิ้มอยู่นั่นแหละ โน่น ไปเช็กเสียงได้แล้ว ซ้อมซะ จะได้เริ่มกันซักที” พี่อ๊อดหันกลับมาว่ามิ วที่มัวแต่ยิ้มเพลินอีกครั้ง


“คร้าบบบบบบบบบ” นักร้องนำรีบเข้าไปประจำที่ไมค์แล้วทดสอบเสียงทันที เพื่อนๆในวงยิ้มต้อนรับ แล้วเริ่มทำงานอย่างมีความสุข


เพลงทั้งสิบถูกคัดเลือกเป็นอย่างดี เพลงที่เคยทำวิงเกิ้ลแล้ว ไม่ต้องบันทึกเสียงอีก อย่างเพลง ticket , รู้สึกบ้างไหม , คืนอันเป็นนิรันดร์ และกันและกัน ส่วนเพลงใหม่อีกหกเพลงที่มิวแต่งขึ้นในเวลาไม่นานหลังปีใหม่ ถูกนำมาใส่ในอัลบั้มเต็มทั้งหมด ทั้ง คนธรรมดา ยังอยู่ในใจ ขอบคุณกันและกัน กับอีกสามเพลงล่าสุดที่มิวไม่ยอมร้องซักที


“ทำไมป่านนี้ พี่มิวยังไม่ยอมร้องเพลงพวกนั้นล่ะครับ” ปิงปองเอ่ยถามในตอนค่ำ หลังจากพึ่งอัดเสียงเสร็จไปจนครบทุกเพลง


“นั่นดิวะ อัดเสียงเครื่องดนตรีเสร็จหมดแล้วนะโว้ย เพลงอื่นก็เสร็จครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว เหลือแต่เพลงใหม่ของมรึงนี่แหละ ไม่ยอมร้องซักที” เอ๊กซ์ก็เอ่ยถามขึ้นบ้าง เพราะคงสงสัยไม่แพ้กัน


“ใจเย็นดิวะ กรูกำลังคิดไลน์เสียงอยู่ ว่าจะเอายังไงดี ยังออกแบบวิธีการร้องไม่เสร็จอะ ไม่รู้ว่าจะร้องยังไง ให้อารมณ์เพลงมันเกิด เหมือนตอนที่แต่งใหม่ๆ” นักร้องหนุ่มบอกเพื่อนๆ


“สงสัยต้องร้องให้ใครฟังรึเปล่า” ปิงปองถามพลางยิ้มพลาง เพื่อนๆในวงต่างร่วมด้วยช่วยกันเฮ


“อออออออา “ ออกัสต์ทุกคนชี้มือชี้นิ้วและยิ้มใส่นักร้องนำที่เริ่มเขินหน้าแดง


“จะบ้าเหรอ ไม่เอา ไม่พูดดีกว่า” พยายามเก็บอาการเขินสุดแรงเกิด แต่ก็ทำได้ไม่เนียนเอาซะเลย บรรยากาศครึกครื้นในช่วงเวลาพัก ทำให้นักร้องหนุ่มสลัดเรื่องกลุ้มที่เกาะกุมใจไปได้ไม่น้อย คุณบียืนมองอยู่ห่างๆ รู้สึกมีความสุขกว่าก่อน ที่ได้มองมิวในอีกแบบ ไม่ใช่ความใครสิเน่หาอย่างเดิมที่เคยทำร้ายใจตนเอง และเกือบทำร้ายคนอื่นด้วย


“กรูว่านายนั่นมาแปลกว่ะ ไม่เห็นเหมือนตอนที่อยู่โรงพยาบาลเลย ตอนนั้นแมร่งโรคจิตชะมัด ไหงวันนี้มันเปลี่ยนไปวะเนี่ย” มือคีย์บอร์ดร่างท้วมทักขึ้นมา ทำให้คนอื่นๆหันไปมอง


“นั่นดิ แปลกจริงๆด้วยเว้ย เฮ้ยมิว มรึงรู้ปะวะ” มือเบสตาตี่ที่สงสัยเช่นกัน หันมาถามนักร้องนำเพื่อนร่วมห้อง


“เรื่องมันยาว ไว้กรูจะเล่าให้ฟังวันหลัง กรูว่ารีบกินข้าวเหอะ เดี๋ยวพวกพี่อ๊อดประชุมเสร็จ เข้ามาเห็นเราโอ้เอ้ จะโดนดุเอา” มิวทิ้งคำตอบที่ทำให้เพื่อนยังไม่หายคาใจ แต่ก็ไม่มีใครถามอีก แล้วพากันกินข้าวเย็นต่อไป จากนั้นก็ซ้อมกันต่ออีกพักใหญ่ ก่อนที่พี่อ๊อดจะอนุญาตให้กลับบ้านได้ตอนสามทุ่มกว่าๆ นักร้องนำคิดจะโทรหาโต้ง แต่เพราะไม่ได้เที่ยวกับเพื่อนร่วมวงยายมากแล้ว จึงแค่ส่งข้อความหาเท่านั้น


“เลิกงานแล้ว จะไปดูหนังรอบดึกกับเพื่อนๆในวง เที่ยงคืนถึงบ้าน “ ร่างสูงนอนอ่านข้อความในโทรศัพท์มือถือที่ส่งมาจากคนใกล้ชิดอยู่บนเตียงนอนของตน แอบบ่นน้อยๆ

“โห มิวอะ ไปเที่ยวกับเพื่อน น่าจะโทรมาชวน อะนะ ให้มิวพักผ่อนบ้างดีกว่า เหนื่อยมาหลายวันแล้วนี่เนอะ” โต้งส่งข้อความกลับไป ก่อนจะหยิบหนังสือการ์ตูนเล่มโปรดชื่อ”BECK ปุปะจังหวะฮา” มาอ่านต่ออย่างสนุกสนาน


“ดูหนังเผื่อด้วยนะ เดี๋ยวโทรหาก่อนนอน” นักร้องหนุ่มร่างโปร่งหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาอ่านข้อความ ก่อนจะเดินเข้าไปในโรงหนังกับเพื่อน แล้วปิดเครื่อง




“ตื๊ดดดดดด ตื๊ดดดดดดด” โทรศัพท์มือถือของนักร้องหนุ่มดังขึ้น หลังจากกลับมาถึงบ้านตอนเกือบเที่ยงคืน


“ว่าไงโต้ง” มิวพูดผ่านโทรศัพท์ลงไปทันทีโดยไม่ได้ดูชื่อผู้โทรเข้า


“กลับถึงบ้านรึยัง” คนโทรเข้ามาเอ่ยปากถาม


“พึ่งมาถึงเนี่ย แล้วโต้งล่ะ จะเที่ยงคืนแล้ว ไม่นอนอีกหรอ” น้ำเสียงนักร้องหนุ่มเหนื่อยล้าอยู่บ้าง แต่ก็ถามกลับอย่างห่วงใย


“นอนไม่หลับอะ อยากฟังเสียงมิวก่อนนอน” น้ำเสียงออดอ้อนเล็กน้อยตามประสาคนเหงาที่คิดถึงคนรัก


“ทำมาเป็นอ้อน ยังกับเด็กอะ โตแล้วนะ” มิวแกล้งว่าเล็กๆ แต่ก้แอบยิ้มผ่านหูโทรศัพท์มือถือของตนเอง


“ไม่ค้องมาแกล้งว่าเราเลยนะ รู้ว่ามิวแอบยิ้มอยู่แน่ๆ ใช่ปะ นะ นะ ร้องเพลงให้ฟังหน่อยดิ” ยังคงใช้น้ำเสียงอ้อนที่ทำเอานักร้องหนุ่มใจอ่อนเสมอ


“หลับตาลงนะ นะคนดี ขอให้เวลานี้ เธอหลับแล้วพักผ่อน กล่อมด้วยเพลงแห่งรัก ให้เธอนอน แค่เพียงก่อนที่ฟ้าจะสาง.............................พอแล้ว แค่นี้แหละ เดี๋ยวได้ใจ นอนหลับฝันดีนะ” เสียงร้องอ่อนโยนกับคำพูดอ่อนหวานของนักร้องหนุ่มทำเอาปลายสายเคลิบเคลิ้ม


“ขอบคุณนะ ฝันดีเช่นกันนะมิว” โต้งทิ้งประโยคสุดท้ายก่อนจะวางหู





....





....







แสงแดดยามสายของวันอาทิตย์สาดเข้ามาในห้องนอนของชายหนุ่ม ร่างโปร่งกำลังพลิกตัวอยู่บนที่นอนสีขาวภายใต้ผ้าห่มสีเขียวใบไม้ สองแขนยังคงโอบกอดหมอนใบเดิม ที่ใครบางคนเคยหนุนนอนหลายครั้ง นักร้องหนุ่มนอนยิ้มเพลินๆเหมือนคนฝันดี ดูท่าคงจะนอนฝันดีไปอีกนาน ถ้าเสียงโทรศัพท์มือถือไม่ดังขึ้นซะก่อน


“ตื๊ดดดดดด ๆ ๆ ๆ” มิวเอื้อมแขนไปหยิบโทรศัพท์บนโต๊ะข้างเตียง ก่อนจะงัวเงียรับสาย


“โหล ใครอะ” คนรับสายยังคงไม่ตื่นดีเท่าไหร่


“กรูเอง อยู่หน้าประตูบ้านมรึงแล้วเนี่ย มาเปิดเร็วเข้า” เสียงคุ้นเคยของเพื่อนสนิททำเอานักร้องหนุ่มหงุดหงิดเล็กน้อย ที่ต้องมาถูกปลุกจากความฝัน


“เออ.................เดี๋ยวกรูลงไป” ตอบแบบขอไปทีตามประสาคนพึ่งจะตื่นนอน ร่างโปร่งพยุงร่างตนเองขึ้นจากที่นอน เดินลงบันไดไปเปิดประตูหน้าบ้านทันทีโดยไม่แวะล้างหน้า


“กว่าจะเปิดประตูได้นะมรึง ยืนคอยจนรากจะงอกแล้วเนี่ย” นักกีตาร์คิ้วหนาเริ่มบ่นเพื่อนสนิทนักร้องนำที่งัวเงียมาเปิดประตูให้ช้า ไม่ทันใจ


“เก้าอี้มี เสรือกไม่นั่งล่ะ ยืนอยู่ได้ แล้วทำมาบ่นกรู” มิวสวนกลับไปบ้าง


“ก็ใช่ว่าไม่อยากนั่ง มรึงแหกตาดูซะก่อนดิ” เอ๊กซืว่ากลับแล้วชี้ให้มิวหันไปดูเก้าอี้ยาวสีขาวหน้าบ้าน


“เฮ้ย!!! มาไงวะเนี่ย” เจ้าของบ้านร้องอุทานด้วยความตกใจเมื่อเห็นอีกสามร่างที่คุ้นตากึ่งนั่งกึ่งนอนเบียดกันอยู่บนเก้าอี้ ที่สำคัญ เหมือนจะหลับกันอยู่เลย โดยเฉพาะมือเบสเพื่อนร่วมห้องที่มิวสังเกตเห็นคราบน้ำลายตรงมุมปาก


“ตื่นได้แล้วเว้ย” เอ๊กซ์ตะโกนใส่หูของปิงปองที่อยู่ใกล้ที่สุด ทำเอามือแซ็กรุ่นน้องสะดุ้งโหยง ก่อนจะค่อยๆปลุกคนอื่นๆให้ตื่นขึ้นแล้วพากันเดินเข้าบ้านของนักร้องนำ


“มีธุระอะไรกับกรูแต่เช้าวะเนี่ย พึ่งจะแปดโมงเองนะเว้ย” มิวถามเสียงฉุนสำเนียงบ่นเล็กน้อย


“ก็พี่อ๊อดอะดิ โทรสั่งเด็ดขาด ว่าวันนี้ให้มาลากมรึงไปให้ถึงห้องอัดก่อนเที่ยงให้ได้ เค้ากลัวมรึงสายเหมือนเมื่อวานมั้ง” เอ๊กซ์เริ่มสาธยาย


“ทำไมวะ มีอะไรปะ ก็ไหนว่านัดบ่ายโมงไง” น้ำเสียงของมิวเบาลง ถามอย่างสงสัย


“ไอ้ปิง สาธยายซิ กรูขี้เกียจเล่า” นักกีตาร์คิ้วหนาสั่งรุ่นน้องให้เล่าแทน ส่วนตัวเองเดินไปที่โซฟาตัวเก่าแล้วล้มลงนอนโดยไม่สนใจนักร้องหนุ่มเพื่อนซี้ ที่ทำหน้าสงสัยอยู่


“คืองี้พี่มิว พี่อ๊อดแกบอกว่า เที่ยงวันนี้จะมีคนมาสัมภาษณ์วงเรา โดยเฉพาะนักร้องนำ เค้าอยากสัมภาษณ์มาก เห็นว่ามาจากนิตยสารเล่มไหนซักเล่มนี่แหละ จำไม่ได้แล้ว” ปิงปองเริ่มเล่าให้มิวฟัง


“แล้วแห่กันมาหมดเลยเนี่ยนะ เวอร์ไปรึเปล่าวะ” นักร้องหนุ่มเจ้าของบ้านขยี้ตาเล็กน้อยเพื่อดึงให้ขี้ตาหลุด แล้วรอคำตอบ


“ก็ไอ้ปิงกับไอ้เชี่ยเอ๊กซ์สิวะ รับคำสั่งมาจากพี่อ๊อดแ ค่สองคน เสรือกลากพวกกรูสองคนมาด้วย บอกว่ามากันหลายคน แล้วมรึงจะเกรงใจเพื่อน ไม่มัวโอ้เอ้อยู่กับแฟนเหมือนเมื่อวาน” มือเบสเพื่อนร่วมห้องที่ตื่นแล้วได้โอกาสสาธยายกับเค้าบ้าง


“อย่ามองปิงปองอย่างงั้นดิพี่มิว ปิงไม่ได้พูดนะ ประโยคที่พี่ต่อว่าเมื่อกี๊เนี่ย พี่เอ๊กซ์คนเดียวเลย ผมไม่เกี่ยว” ปิงปองรีบแก้ตัวทันทีหลังจากสังเกตเห็นแววตาพิฆาตส่องออกมาจากดวงเนตรสีน้ำเงินอ่อนของมิว


“อือ...............พี่รู้แล้วน่า ปากไอ้เอ๊กซ์ก็เงี้ย ชินแล้ว แต่พวกมรึงไม่มากันเร็วไปหน่อยเหรอวะ แล้วไอ้แวนอีกคน มรึงไปลากมันมาได้ไงวะเนี่ย บ้านมันไกลจากที่นี้ตั้งเยอะ นี่ไม่ต้องไปปลุกแต่เช้ามืดเลยหรอวะ” มิวถามอย่างสงสัย


“ใครว่ามันมาจากบ้านล่ะ เมื่อคืนมันไปนอนบ้านกรูเว้ย ลืมแล้วรึไง เตี่ยกับม๊ามันไปเมืองนอกเมื่อวาน เหลือแต่เจ๊ของมันกับพวกคนงาน ไอ้นี่ก็เลยขอไปเล่นเกมบ้านกรู ให้ตายเหอะ พึ่งได้นอนแค่สามชั่วโมง ไอ้เชี่ยเอ๊กซ์ก็ไปปลุกแต่เช้า กรูสองคนก็เลยต้องลากสังขารมากับมันเนี่ย” ต่อค่อยๆเล่าให้มิวฟัง ในขณะที่มือคีย์บอร์ดของวงออกัสต์เดินไปที่โซฟาอีกคนเพื่อเบียดแย่งที่นอนกับมือกีตาร์คิ้วหนา


“ทีแรกก็จะโทรชวนพี่เอ็มอีกคนแล้วล่ะพี่มิว แต่พี่เอ็มปิดเครื่อง ก็เลยเปลี่ยนใจไม่โทร เพราะถ้าโทรไป พี่เอ็มเค้าก็ต้องมาอยู่ดี แล้วก็ต้องมาบ่นให้ฟังกันอีกอย่างเคยแน่นอน” ปิงปองพูดไปก็อมยิ้มเล็กๆ นึกถึงใบหน้าขี้บ่นของมือกลองรุ่นพี่


“เออ...................กรูรู้เรื่องแล้ว เดี๋ยวกรูไปอาบน้ำก่อน พวกมรึงหิวปะ ถ้าหิวก็หาอะไรในครัวทำกินแล้วกันนะ เผื่อกรูด้วยก็ดี อาทิตย์นี้ป้าอรไม่อยู่ แต่ถ้าจะไปซื้อก็เผื่อกรูด้วยนะเว้ย ชักจะเริ่มหิวเหมือนกัน กรูขึ้นไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน” ร่างโปร่งสะบัดตัวเดินขึ้นบันไดไปทันทีหลังจากพูดจบ

.........
.........
.........

สิบเอ็ดโมงครึ่ง ทั้งห้าคนมาถึงห้องบันทึกเสียงก่อนเวลานัดเล็กน้อย คุณเอกับคุณบีมาคอยอยู่ก่อนแล้ว รวมทั้งสมาชิกคนอื่นๆ น้องไมค์กับน้องอาร์มกำลังเช็กเสียงเครื่องเป่าอยู่ที่มุมห้องด้านใน ที่โซฟายาว มิวสังเกตเห็นว่าพี่อ๊อดก็มารอนานแล้วเช่นกัน พี่หลิวที่วันนี้ฉายเดี่ยวกำลังช่วยน้องอ่อง น้องแมค และน้องอ้วนซ้อมไลน์เสียงประสานเพลง”ยังอยู่ในใจ”กับ”ขอบคุณกันและกัน”ให้คมขึ้น วันนี้ไม่มีเฮียตามติดเหมือนเช่นเคย เพราะว่าวันนี้ม๊าพาเฮียกับหญิงไปเยี่ยมญาติ กว่าจะกลับคงช่วงเย็นพอดี


“มากันแล้วหรอ ดีเลย พี่นัดเพื่อนที่จะสัมภาษณ์ไว้เที่ยงตรง ยังพอเหลือเวลา จะได้นัดแนะกัน ว่าควรจะพูดเรื่องอะไรบ้าง เข้าไปข้างในสิ จะบรีฟให้ฟัง” พี่อ๊อดเรียกให้พวกมิวเข้าไปด้านในห้องเล้กอีกห้องนึง


“แล้วพวกเอ็มกับน้องๆล่ะครับพี่อ๊อด ไม่เข้าไปพร้อมกันเหรอครับ” นักร้องนำเอ่ยปากถาม


“ไม่ต้องหรอก ตอนสัมภาษณ์น่ะ เข้าพร้อมกัน แต่พวกนั้นเค้าพูดไม่เก่ง พวกเราห้าคนนี่แหละ เหมาะแล้ว ช่วยกันพูดโปรโมตวงกับอัลบั้มใหม่ สัมภาษณ์หนังสือนะ ไม่ได้ออกทีวี พูดไม่กี่คนก็พอแล้วแหละ” พี่อีอดพาพวกมิวเข้าไปในห้องแล้วเริ่มบรี๊ฟทันที

...........
...........
...........

บ่ายโมงแล้ว การสัมภาษณ์ผ่านไปได้ด้วยดี มิวและเพื่อนๆรวมทั้งปิงปองตอบคำถามของผู้สัมภาษณ์ได้น่าประทับใจ ท่าทางพี่คนนั้นสนใจออกัสต์อย่างมาก หลังจากสัมภาษณ์กลุ่มเสร็จ มิวก็ถูกขอให้อยู่คนเดียวเพื่อสัมภาษณ์เดี่ยว การสัมภาษณ์ตัวต่อตัวระหว่างมิวกับนักข่าวคนนั้นผ่านไปสิบนาที ก่อนที่คนๆนั้นจะยิ้มร่าออกจากห้องแล้วลากลับไป มีเพียงนักร้องหนุ่มที่หน้าซีดไม่สบายใจอยู่ในห้อง นั่งนิ่งเพียงลำพัง คำถามสามข้อสุดท้ายที่ถูกถามทำเอามิววิตกไม่หาย ร่างโปร่งนั่งใคร่ครวญคำตอบของตนเองว่าตอบดีรึเปล่า ความกังวลแสดงออกบนใบหน้าเป็นเม็ดเหงื่อที่ไหลซึมบนใบหน้า ทั้งๆที่ห้องนั้นเปิดแอร์เย็นเฉียบ มิวหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ตั้งใจจะโทรหาโต้ง แต่ก็ลังเลอยู่อย่างนั้น ไม่กล้าตัดสินใจ จนพี่อ๊อดแวะเข้ามาบอกว่าพักครึ่งชั่วโมง นักร้องหนุ่มก็ยังไม่ตื่นจากภวังค์ ยังคงนั่งคิดอะไรต่อไปเงียบๆคนเดียว




“ให้มันเป็นเพลง บนทางเดินเคียง ที่จะมีเพียงเสียงเธอกับฉัน” เสียงโทรศัพท์มือถือของโต้งดังขึ้น ชายหนุ่มกำลังอ่านหนังสือเรียนอยู่ที่โต๊ะหินอ่อนหน้าบ้าน ยิ้มหน้าบานก่อนจะหยิบโทรศัพท์มาพูด


“ว่าไงมิว” โต้งพูดผ่านหูโทรศัพท์ลงไป แต่เสียงเงียบ คนโทรมาไม่มีปฏิกิริยาตอบ นั่นยิ่งทำให้ชายหนุ่มเป็นกังวลว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนรักของตน




........




........




........






“ให้มันเป็นเพลง บนทางเดินเคียง ที่จะมีเพียงเสียงเธอกับฉัน” เสียงโทรศัพท์มือถือของโต้งดังขึ้น ชายหนุ่มกำลังอ่านหนังสือเรียนอยู่ที่โต๊ะหินอ่อนหน้าบ้าน ยิ้มหน้าบานก่อนจะหยิบโทรศัพท์มาพูด


“ว่าไงมิว” โต้งพูดผ่านหูโทรศัพท์ลงไป แต่เสียงเงียบ คนโทรมาไม่มีปฏิกิริยาตอบ นั่นยิ่งทำให้ชายหนุ่มเป็นกังวลว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนรักของตน


“เปล่าโต้ง ไม่มีอะไร” เสียงตอบจากนักร้องหนุ่มที่เริ่มพูดหลังจากเงียบไปพักหนึ่ง


“ไม่มีอะไรได้ไงอะมิว ปกติมิวไม่เป็นแบบนี้นี่นา มีอะไรในใจกันแน่ล่ะ บอกมาเหอะนะ” โต้งเอ่ยปากถามด้วยความเป็นห่วง


“เปล่า ไม่มีอะไรจริงๆ” มิวยังคงปฏิเสธ


“อือ........ไม่มีก็ไม่มี แล้วมิวโทรมาตอนนี้ แปลว่าเสร็จงานแล้วใช่ปะ” โต้งถามด้วยความกระตือรือร้น หวังใจว่าถ้ามิวเสร็จงานแล้วจะได้ไปเที่ยวด้วยกัน


“ยังหรอก แค่อยากได้ยินเสียงโต้งเท่านั้นแหละ งั้นแค่นี้ก่อนนะ พี่อ๊อดเรียกแล้ว” มิวรีบวางสายทันที ยิ่งทำให้โต้งไม่สบายใจมากขึ้น ชายหนุ่มจึงกดวางสายโทรศัพท์ของตนแล้วขออนุญาตสุนีย์ออกไปข้างนอกทันที

.........
.........

“วันนี้มิวต้องร้องเพลงที่แต่งใหม่ได้แล้วนะ จะได้บันทึกเสียงให้เสร็จกันซักที ขืนรั้งเวลาต่อไป จะไม่ทันเวลา พี่อยากให้เอาเพลงของพวกเราไปโปรโมตตามคลื่นวิทยุก่อนสิ้นเดือน นี่ก็ล่วงมากลางเดือนแล้วด้วย หวังว่ามิวจะเข้าใจนะ” พี่อีอดกึ่งขอร้องกึ่งออกคำสั่งกับนักร้องนำวงออกัสต์


“ครับพี่ เริ่มจากเพลงสุดท้ายที่แต่งไว้ เพลงดาราก่อนแล้วกันครับ” น้ำเสียงของมิวแผ่วเบา ร่างโปร่งพูดจบก็เดินไปที่ห้องอัด คว้าไมโครโฟนขึ้นมา น้องๆคอรัสอีกสามคนตามเข้าไปในห้อง เสียงดนตรีบรรเลงเพลงดาราที่บันทึกไว้ก่อนแล้วดังขึ้น ทำนองเนิ่นช้าชวนให้เศร้าซึม และเหงาอย่างประหลาด ฟังแล้วช่างว้าเหว่เดียวดายเหมือนดวงดาวที่ลอยอย่างเงียบงันบนท้องฟ้าเสียนี่กระไร มิวค่อยๆทบทวนอารมณ์ความรู้สึกที่แต่งเพลงนี้ หลังจากช่วงที่โต้งทอดอาลัยและถอดสร้อยเขวี้ยงลงไปในคลองเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา นักร้องหนุ่มยกมือขึ้นมาที่ทรวงอกของตนเอง กระชับสร้อยพร้อมจี้รูปกางเขนเส้นนั้นไว้แน่น พลางหวนนึกถึงความรู้สึกกดดันที่ได้รับจากนักข่าวที่มาสัมภาษณ์เมื่อครู่ จดจำความรู้สึกและอารมณ์ในขณะนั้นอย่างแม่นยำแล้วจึงค่อยๆเปล่งเสียงออกมา



“งามโอ้งามดวงจันทรา โอ้งามโอ้งามเดือนดารา ดาวเดือนลอยส่องฟ้าดูสวยงาม
มองจนใจหลุดลอยไป ขึ้นไปข้างบนกับลมหนาว มองหมู่ดาวจนมองไม่เห็นใคร

มีดาวบนฟ้าตั้งมากตั้งมายเป็นล้านดวง ฉันมองตรงนี้ทุกครั้ง ที่ฟ้าค่อยมืดลงไป
จนมีแสงระยิบระยับประดับประดาบนฟ้าไกล แต่บางทีก็นึกหวั่นไหว ว่าแสงรำไรจะลวงตา

โอ้ไกล ( โอ้ไกล) อยู่ตรงไหนไม่รู้หรอก โอ้ใจ ใครจะรู้ว่าจริงหลอก
โอ้ใคร (โอ้ใคร) ใครที่รู้มาช่วยบอก ว่าที่เห็นนั้น จริงหรือหลอกตา ที่บนฟ้านั้นหรือคือ
ปลายทางที่...

งามโอ้งามดวงจันทรา โอ้งามโอ้งามเดือนดารา ดาวเดือนลอยส่องฟ้าดูสวยงาม
มองจนใจหลุดลอยไป ขึ้นไปข้างบนกับลมหนาว มองดูดาวอยู่ อย่างสงสัยว่าดาวบนฟ้าไกล นั้นมีจริงหรือเปล่า

โอ้ไกล ( โอ้ไกล) อยู่ตรงไหนไม่รู้หรอก โอ้ใจ ใครจะรู้ว่าจริงหลอก
โอ้ใคร (โอ้ใคร) ใครที่รู้มาช่วยบอก ว่าที่เห็นนั้น จริงหรือหลอกตา ที่บนฟ้านั้นหรือคือ
ปลายทางที่...

ดาวเดือนจะเลือนลา เดือนดาราจะลาเลือน ราวจะเตือนให้เราได้ลืมตา
มองสิ มองดูดาวโรย ที่โปรยร่วงราวจากเวหา จนเวลาผ่านไป ใครจำได้ไหมว่าบนฟ้าไกล
นั้นเคยมีดารา.......... ดารา............ฮือ...........”


การถ่ายทอดความรู้สึกของมิวผ่านบทเพลงเมื่อครู่ นอกจากเสียงร้องที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแล้ว อารมณ์เพลงและความรู้สึกที่ถ่ายทอดออกมาก็ชวนให้คนฟังขนลุก เคว้งคว้าง และว้าเหว่ตามไปด้วย น้องๆคอรัสอย่างน้องอ้วน น้องอ๋อง น้องแมค ก็สอดคล้องได้จังหวะอารมณ์ตรงกับที่นักร้องนำต้องการสื่อ คงเพราะร้องเพลงด้วยกันมานาน ทำให้ความรู้สึกจากรุ่นพี่นักร้องนำสามารถส่งต่อสู่รุ่นน้องคอรัสได้อย่างลงตัวและกลมกลืนเสมือนอารมณ์จากคนคนเดียวกัน


“เพราะ เพราะมากๆ อารมณ์เพลงสุดยอดเลยมิว ไม่น่าเชื่อว่าเพลงที่มีอารมณ์ลึกขนาดนี้ เรายังสามารถแสดงออกถึงความรู้สึกได้ลึกและโดนขนาดนั้น มืออาชีพจริงๆ” พี่อ๊อดกล่าวชมนักร้องนำอย่างมิวและคอรัสทุกคนที่ช่วยกันขับขานเพลงนี้ได้ถูกใจแกเหลือเกิน ขนาดคุณบีที่นั่งฟังอยู่ห่างๆยังถึงกับต้องปาดน้ำตา เพราะหวนคิดถึงเรื่องราวของตนเอง


หลังจากเพลงดาราจบลง มิวก็ขอพี่อ๊อดเพื่อพักเสียงและทำอารมณ์กับเพลงต่อไปก่อน พี่อ๊อดจึงตัดสินใจให้พักสิบห้านาที นักร้องหนุ่มจึงเดินเข้าไปล้างหน้าในห้องน้ำตามลำพัง


“มรึงมีอะไรปะวะ เห็นแปลกๆตั้งแต่ที่ถูกสัมภาษณ์เดี่ยวแล้ว บอกกรูได้นะเว้ย” เอ๊กซ์ที่สังเกตเห็นความผิดปกติของเพื่อนแอบเดินตามเข้ามาไต่ถามเรื่องราว


“มรึงไม่เข้าใจหรอก” มิวตอบสั้นๆ


“อีกแล้ว ตอบแบบนี้ทุกที ถึงกรูจะไม่เข้าใจมรึง แต่กรูก็เป็นเพื่อนมรึงนะเว้ย ทำไมมรึงถึงคิดว่าไม่มีใครห่วงใยมรึงวะ อย่างน้อยมรึงก็มีพวกกรูไง มีหญิง แล้วก็มีโต้งอีกคน แต่ตอนนี้ เวลานี้ พวกกรูอยู่เคียงข้างมรึง มรึงมีอะไรก็อย่าเก็บไว้คนเดียวสิวะ เล่าให้พวกกรุฟัง ถึงกรูช่วยมรึงไม่ได้ แต่พวกกรูทุกคนก็พร้อมจะยืนหยัดกับมรึงนะโว้ย” มือกีตาร์หนุ่มคิ้วหนาปลอบใจเพื่อน พร้อมกับที่เพื่อนคนอื่นๆพากันเดินเข้ามาหานักร้องนำที่กำลังทุกข์ใจอะไรบางอย่าง แต่เก็บไว้คนเดียว


“นั่นดิพี่มิว เสียงร้องเพลงของพี่เมื่อกี้มันฟ้องอยู่ชัดๆว่าพี่กำลังมีอะไรในใจ ถึงปิงปองช่วยอะไรไม่ได้ แบ่งเบาไม่ได้ แต่ก็ใช่ว่าจะช่วยรับฟังไม่ได้ซักหน่อย นักข่าวเมื่อกี้เค้าถามอะไรพี่หรอ พี่ถึงได้ดูแย่ปานนี้ มีอะไรพี่ก็เล่าให้พวกเราฟังได้นะ ไม่แน่ว่าเราอาจจะช่วยกันแก้ไขปัญหานั้นด้วยกันก็ได้” มือแซ็กหนุ่มรุ่นน้องเริ่มพูดจาปลอบนักร้องนำรุ่นพี่อีกคน


แทนคำตอบ มิวล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง หยิบเอารูปมาใบหนึ่ง แล้วส่งให้ทุกคนได้ดู มันเป็นรูปที่นักข่าวคนนั้นมอบให้กับมิวก่อนจะจบสัมภาษณ์แล้วเดินออกไป ทุกคนดูรูปใบนั้นแล้วถึงกับอึ้ง พูดไม่ออก สายตาทั้งสิบคู่ของออกัสต์ทุกคนหันจ้องไปที่ใบหน้าของผู้นำวงที่กำลังยืนจ้องแววตาสีน้ำเงินของตนเองที่สะท้อนมาจากกระจกบานใหญ่เหนืออ่างล้างหน้าสีขาว


“นี่มรึงกับไอ้โต้ง ไปแอบมีอะไรกันแล้วเหรอวะ ให้ตายสิเพื่อนกรู อะไรกันวะเนี่ย” มือกลองหนุ่มหลุดปากออกมาอย่างตกใจและสงสัย


“กรูเปล่านะเว้ย กรูยังไม่เคยแม้แต่จะคิด กรูกับโต้งแค่อยู่ผิดที่ผืดเวลาก็เท่านั้น” นักร้องหนุ่มแก้ตัวทันที น้ำเสียงสั่นกลัวอยู่บ้าง แต่เพื่อนๆก็ฟังรู้ว่าไม่ได้โกหก


“หน้าโรงแรมเนี่ยนะ เอาเหอะ กรูเชื่อมรึง แต่นี่มันไม่ใช่เรื่องเล็กนะเว้ย กรูว่ามรึงต้องรีบปรึกษาพี่อ๊อดกับคุณเอโดยด่วน ให้ตายดิวะ เสรือกมาดันงานเข้าก่อนวางแผงอัลบั้ม ช่างแมร่งมันปะไร ยังไงพวกกรูก็เคียงข้างกับมรึงเสมอ กรูเชื่อว่า แล้วมันจะผ่านไปได้ด้วยดี” ชายหนุ่มคิ้วหนาพูดจบก็ตบที่บ่าซ้ายของเพื่อนรักเบาๆ ก่อนจะพาสมาชิกออกัสต์ทั้งวงออกไปจากห้องน้ำที่เริ่มจะแน่นและหายใจไม่ค่อยสะดวก






หลังจากเวลาพักผ่านพ้นไป นักร้องหนุ่มกลับเข้าห้องอัดเสียงอีกครั้ง เพื่อที่จะบันทึกเพลงต่อไป คราวนี้มิวเลือกเพลงที่ตนแต่งไว้ตอนอยู่โรงพยาบาล ใช้ชื่อเพลงว่า”เช้าวันใหม่” เพราะอยากเปลี่ยนบรรยากาศและอารมณ์เพลงให้สดใสขึ้น แต่เวลาผ่านไปเรื่อยๆ หลายรอบก็แล้ว มิวก็ยังไม่สามารถขับขานเพลงที่ตนเองแต่งนี้ได้ซักที ถึงเนื้อเสียงของนักร้องนำวงออกัสต์จะไพเราะมาก แต่อารมณ์ที่เกิดขึ้นขณะร้อง ความรู้สึกที่มิวถ่ายทอดออกมานั้น คุณเอและพี่อ๊อดล้วนบอกว่าฟังแล้วมันยังไม่สดใส ไม่สว่างอย่างที่ควรจะเป็นตามความหมายของเพลง ฟังแล้ว ความสุขมันเปล่งประกายมาจากตัวนักร้อง มิวพยายามอยู่หลายครั้ง ลองเปลี่ยนให้น้องคนอื่นๆร้องดูบ้าง ถึงเสียงจะดีไม่แพ้กันเท่าไหร่ แต่ก็ยังขาดอัตตลักษณ์ที่โดดเด่น อีกอย่างนึง เพลงเหล่านี้ มิวเป็นคนแต่งขึ้นทั้งหมด น้องๆคอรัสทั้งสามคนจึงอยากให้พี่มิวที่เป็นเหมือนแรงบันดาลใจ เป็นผู้นำที่ให้โอกาสพวกตนทั้งสามได้เดินสู่ถนนสายนี้ได้ร้องและถ่ายทอดเองมากที่สุด มิวฟังน้องๆร้อง สังเกตจากแววตาของน้องๆทั้งสามก็เข้าใจ อดรู้สึกขอบใจไม่ได้ นักร้องนักแต่งเพลงหนุ่มตั้งใจว่าจะหาโอกาสแต่งเพลงเพื่อให้น้องๆเหล่านี้ได้ร้องเป็นเพลงของตนเองบ้าง อย่างน้องเพชรหรือที่คนในวงชอบเรียกว่าน้องอ้วน ก็มีเพลงคืนอันเป็นนิรันดร์เป็นของตัวเองแล้ว ถึงแม้ว่ามิวจะไม่ได้แต่งเพลงนี้เอง แต่เท่าที่ได้ฟังมา ก็ไม่มีใครที่ร้องเพราะไปกว่าน้องอ้วนอีก ปกติแล้ว นักร้องหนุ่มจะไม่ค่อยสนิทกับน้องๆคอรัสเท่ากับเพื่อนนักดนตรีร่วมสายชั้น แต่ก็รู้ดีว่าน้องๆทุกคนรักตน เหมือนที่เพื่อนๆรักตนเช่นกัน นักร้องหนุ่มแอบยิ้มให้กับตนเองที่โชคดีว่ามีเพื่อนและน้องๆที่เข้าใจ เห็นใจ แต่อย่างไรก็ตาม............................................................................


“ยิ้มอะไรอยู่ได้มิว ไม่เอาแล้ว ขืนร้องแบบนี้มีหวัง ไม่เสร็จทันกำหนดพอดี พักอีกซักรอบแล้วกัน เฮ้อ......เหนื่อย ทำไมอารมณ์ยังค้างจากเพลงแรกล่ะมิว มืออาชีพนะมิว นักร้องมืออาชีพต้องตัดอารมณ์ทุกอย่างออกได้หมดสิ เหลือไว้แต่อารมณ์ในบทเพลงที่เราจะต้องถ่ายทอดให้คนฟัง นึกถึงเนื้อเพลงไว้สิมิว เพลงนี้มิวแต่งขึ้นมาเองไม่ใช่เหรอไง นึกถึงความรู้สึกตอนที่แต่งเพลงนั้นไว้สิ พักครึ่งชั่วโมงแล้วกัน พี่จะไปงีบซักหน่อย” พี่อ๊อดบ่น บ่น บ่น แล้วก็เดินเข้าไปงีบในห้องเล็กอีกห้อง ออกัสต์ทุกคนเ ข้ามาปลอบใจและให้กำลังใจนักร้องนำอีกครั้ง คุณเอก็เช่นกัน เข้ามาให้กำลังใจมิวเหมือนที่คนอื่นๆทำ


“เสียงเราเพราะดีนะมิว แต่อย่างที่พี่อ๊อดว่านั่นแหละ มันยังขาดอะไรบางอย่างไป พี่ว่ามิวไปนอนซักพักดีกว่านะ ท่าทางจะเริ่มอิดโรยแล้ว เผื่อตื่นขึ้นมาแล้วจะดีขึ้น” คุณเอปลอบใจนักร้องในสังกัดของตน ก่อนจะเดินออกไปคุยโทรศัพท์ด้านนอก

...................

..............

......

..

ในความมืดมิด เคว้งคว้าง นักร้องหนุ่มมองเห็นหมู่ดาวพากันร่วงลงจากท้องฟ้า อากาศเย็นพาให้เหน็บหนาว มองไปทางไหนก็ไม่เห็นใครซักคน มิวมองซ้ายมองขวา แต่สิ่งที่ดวงจักษุสีน้ำเงินของตนสัมผัสได้ก็เป็นเพียงอากาศธาตุที่ไร้แสง มืดมิด ไร้ความหวัง “เหงาจนน่ากลัว” เสียงของตนเองดังก้องอยู่ในหัวสมอง ............. หัวสมอง..................... แต่ไม่ใช่หัวใจ มือนุ่มนวลข้างนั้นของนักร้องหนุ่มยกกระชับแนบกับหน้าอกข้างซ้ายของตน จี้เงินรูปไม้กางเขน ของรักของหวงของใครคนหนึ่งที่อยู่บนคนตน มือซ้ายข้างนั้นกำแน่น ตรงกับตำแหน่งหัวใจพอดี พลันเบื้องหน้าของตนกลับปรากฏแสงรำไรสีทอง ค่อยๆโผล่ขึ้นมาจากขอบฟ้า สว่างขึ้นเรื่อยๆ อบอุ่นขึ้นเรื่อยๆ เงาของใครบางคนที่ตนน่าจะรู้จัก นักร้องหนุ่มค่อยๆเพ่งพินิจ เงาของร่างสูงที่คุ้นเคยเริ่มปรากฏให้เห็นได้ชัด ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ใกล้ขึ้น ใกล้ขึ้น จนในที่สุด ร่างสูงนั้นก็มาประชิดติดกับร่างโปร่งที่เริ่มมีความหวัง รอยยิ้มเริ่มแย้มออกมาจากใบหน้าที่งดงามชวนจุมพิต ริมฝีปากของร่างสูงค่อยๆเขยิบใกล้เรือนโอษฐ์สีชมพูอ่อนของร่างโปร่งที่ยืนนิ่งหลับตา..............รอคอย....................... ขยับขึ้นลงช้าๆอย่างโหยหากันและกัน ขณะที่ริมฝีปากของร่างสูงเริ่มขยับ ริมฝีปากของร่างโปร่งก็กระชับและรับได้อย่างลงตัว นานจนเป็นที่พอใจ ริมฝีปากนั้นก็ถอนห่างจากกัน แต่แขนทั้งสี่ข้างยังคงสวมกอดกันและกันอยู่อีกครู่หนึ่ง เมื่อคลายแขนจากกันแล้ว ร่างโปร่งก็ค่อยๆขยับเปลือกตาเปิดขึ้น






แสงนีออนของหลอดตะเกียบประหยัดไฟสะท้อนเข้าใส่ดวงตาสีน้ำเงินของนักร้องหนุ่มจนรู้สึกแสบตา นี่ไม่ใช่ที่กว้างที่มืดมิดเมื่อครู่ นี่คือห้องนอนพักในสตูดิโอบันทึกเสียงย่านสยามฯ นักร้องหนุ่มลำดับความคิดแล้วจึงเข้าใจว่าเมื่อครู่นี้ ตนคงจะฝันไปแน่ๆ แต่ช่างรู้สึกดี อบอุ่น และมีความสุขเหลือเกิน พลังแห่งความสุขเริ่มซึมไปทั่วร่าง แม้จะเป็นเพียงความฝันอย่างที่มิวคิดเอาเองว่าคงใช่ แต่ความฝันนั้น กลับช่วยไล่ความรู้สึกหดหู่เมื่อตอนเที่ยงออกไป และช่วยปลุกความทรงจำตอนที่แต่งเพลง”เช้าวันใหม่” ขึ้นมาแทนที่ เมื่อได้ความรู้สึกนั้นกลับมา นักร้องหนุ่มก็พร้อมที่จะเข้าห้องอัดเพื่อถ่ายทอดอารมณ์เพลงนี้อีกครั้ง คิดในใจ “นี่ถ้าโต้งมายืนยิ้มตรงหน้าล่ะก็ ให้ร้องเพลงเช้าวันใหม่กี่รอบก็ไม่ถอยเลย”


“จริงดิมิว” เสียงที่คุ้นหูดังขึ้น ทำเอานักร้องหนุ่มต้องหันไปมอง


“โต้ง................มาได้ไงเนี่ย” มิวทำหน้างงงงถามออกไป


“อยากรู้จริงรึเปล่า เรื่องยาวนะ” โต้งแกล้งยียวนกลับบ้าง


“ไม่อยากรู้แล้วล่ะ ว่าแต่ ............... โต้งมาตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ” มิวถามเขินๆหน้าแดง เพราะกำลังคิดว่าที่ฝันเมื่อครู่นี้มัน.......................


“ก็มาได้พักนึงแล้ว ตั้งแต่ตอนที่มิวนอนหลับนั่นแหละ เห็นหน้ามิวตอนนอนหลับแล้วน่ารักดี เราก็เลย...................” โต้งค้างคำพูดไว้แค่นั้น ก่อนจะจ้องหน้ามิว แววตาสีน้ำตาลของโต้งและแววตาสีน้ำเงินของมิวต่างสะท้อนซึ่งกันและกัน โต้งทำตาปริบๆ คล้ายคนสำนึกผิด อยากจะขอโทษ แต่มองอีกมุมนึงก็คล้ายกับแววตาออดอ้อนของเด็กซน ที่สำคัญ มุมปากของโต้งยังเผยอยิ้มเล็กๆจนสามารถสังเกตเห็นได้ไม่ยาก


“งั้นเมื่อกี้นี้โต้งก็..........................................” นักร้องหนุ่มหน้าแดงเป็นลูกตำลึง ไม่ใช่เพราะความโกรธ แต่เป็นความเขินอายมากกว่า ก็มิวอุตส่าห์คิดว่าตนเองฝันดี ที่ไหนได้ ดันเป็นจริง จูบจริงๆจากโต้ง ในยามที่ความมืดเข้ามากรายใกล้ อณูแห่งความสุขที่อาบไล้ผิวกายนักร้องหนุ่มเมื่อครู่นี้กลับยิ่งทวีความอบอุ่นมากยิ่งขึ้น หลายครั้งที่รอยจุมพิตของโต้งช่วยเติมพลังใจให้กับมิว แต่ครั้งนี้ อย่างกับว่า มิวได้มาถูกที่ถูกเวลา ความกลัดกลุ้มที่ยังคงค้างคาอยู่บ้างพลันหายไปหมด ณ เวลานี้ ไม่เพียงแต่อณูความสุขที่อาบทั่วผิวกาย แม้แต่ละอองแห่งความหวังก็ลอยฟุ้งกระจายทั่วห้องอัดเสียงไปด้วย ตราบใดที่มีโต้งอยู่เคียงข้าง มิวไม่กลัวปัญหาใดๆทั้งนั้น นักร้องหนุ่มกำลังอิ่มเอมใจที่ได้เห็นหน้าคนรัก แค่น้ำเสียงที่ผิดปกติเพียงเล็กน้อยของตน ก็ทำให้โต้งเป็นห่วง รีบมาหาตนถึงที่นี่ รอยยิ้มอย่างมีความสุขฉายออกมาจากใบหน้าของหัวหน้าวงออกัสต์ รอยยิ้มแห่งความสุขที่สะท้อนบนใบหน้าของอีกหนึ่งหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าเช่นเดียวกัน


“ขอบคุณนะ” นักร้องหนุ่มพูดเบาๆ แต่ไม่เบาเกินกว่าโต้งจะได้ยิน


“อือ............” โต้งตอบรับ ก่อนจะยิ้มเขินๆอีกคน
“มิวหน้าแดงจังนะ เป็นไข้รึเปล่า” โต้งแกล้งถาม ทั้งๆที่รู้เหตุผลอยู่แล้ว


“คนบ้า รู้อยู่แล้วยังมาถามคนอื่นอยู่ได้ คิดว่าคนเค้าอายไม่เป็นรึไง” นักร้องหนุ่มค้อนตอบออกไป ทำให้คนตรงหน้ายิ่งได้ใจ


“ก็เวลาที่มิวเขินอะ น่ารักจะตาย แก้มเงี้ยสีชมพูน่าหอมชะมัด” โต้งพูดขำๆพลางเหลือบมองไปทางประตูห้อง ที่มีช่องกระจกพอให้มองเห็นได้


“ยังจะเอาเปรียบคนอื่นอีก เมื่อกี้ก็แอบจูบไปทีนึงแล้วนะ” คนพูดยังคงเขินหน้าแดง


“อย่าว่ากันดิ มิวออกจะชอบไม่ใช่หรอ” โต้งยังคงแซวมิวให้เขินยิ่งขึ้น


“ไม่เอาแล้ว ไม่พูดด้วยแล้ว ออกไปดีกว่า เพื่อนรอ”


“มิว..................................ใครแอบมองที่ประตูไม่รู้”


“ฮึ.....” นักร้องหนุ่มรีบหันกลับไปมอง แอบตกใจที่เห็นหน้าของคนคิ้วหนาลอยอยู่ตรงช่องกระจก ก่อนจะยิ่งตกใจมากขึ้น เมื่อรู้สึกตึงที่แก้ม เพราะมีจมูกโด่งของอีกคนที่อยู่ด้วยกันมาดันที่แก้มซ้ายของตน ทำให้แก้มที่แดงเรื่ออยู่แล้วกลับแดงยิ่งขึ้น มิวสังเกตเห็นตาโตของเอ๊กซ์เบิกกว้างยิ่งขึ้น ก่อนที่ศีรษะของมือกีตาร์จะถูกมือของใครคนหนึ่งกดลงไป หายไปจากช่องกระจก แล้วหน้ายุ้ยๆของมือคีย์บอร์ดก็ปรากฏขึ้นมาแทน เสียงเบียดเสียดโวยวายดังอยู่ด้านนอกประตูห้อง เหมือนกับว่าคนหลายคนกำลังแย่งอะไรกันอยู่ นักร้องนำออกัสต์สันนิษฐานเอาว่าพวกเพื่อนๆคงจะแย่งกันแอบดูตนกับโต้งเป็นแน่ เสียงครึกโครมด้านหน้าหยุดลง เมื่อมีอีกสองเสียงตวาดแทรกเข้ามา คือเสียงของพี่อ๊อดและพี่หลิว มิวรีบผลักร่างสูงออกให้พ้นตัว แต่ไม่ได้แรงมากนัก


“หลอกเราอีกแล้วอะโต้ง” นักร้องหนุ่มทำหน้างอนๆ หน้าบึ้งของชายร่างโปร่งหันไปทางอื่น คราวนี้ใบหน้าออกจะแดงกล่ำด้วยความโกรธจริงๆ


“มิว....................เราขอโทษ...............เราจะไม่ทำอย่างนั้นอีกแล้ว” น้ำเสียงสลดลงจริงๆ จนน่าใจหาย โต้งพยายามมองหน้ามิว หวังในใจว่าจะรีบหันมามองตน


“ขอโทษทำไมล่ะ ไม่ได้โกรธซักหน่อย แค่จะบอกว่า คราวหลังก็บอกก่อนก็ได้” นักร้องหนุ่มหันมายิ้มให้โต้ง ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ๆ
“เราดีใจมากนะ ที่โต้งมาหาเราถึงนี่ มีเรื่องอยากพูดด้วยตั้งเยอะแน่ะ แต่เอาไว้เสร็จงานก่อนนะ”


“อือ......................” โต้งตอบสั้นๆ


“เชี่ยมิว เลิกหวานได้แล้วโว้ย พี่อ๊อดเรียกแล้ว” เสียงเอ๊กซ์ดังมาจากหน้าประตู


“สู้ ๆ นะมิว”


“ขอบคุณนะ งั้นเดี๋ยวเราไปก่อนนะ เพื่อนรอ” พูดจบมิวก็พลิกตัวเดินออกจากห้องไป



......





......







“เพียงลืมตามาพบกับวันใหม่ ที่ดูสดใสและสวยงามกว่า
ได้ยินเสียงนกน้อยร้องทักทาย ถามว่าวันนี้ทำไม ถึงดูดีแปลกตา
จึงบอกว่าเช้าทุกเช้าของวันหนึ่งวัน ถ้าเราตั้งความหวัง ให้ใจมีพลัง ทุกอย่างจะดีขึ้นมากมาย
(โอ้) ในยามเช้าเริ่มวันให้ดีแล้วใจกาย ทุกทางที่เราไปจะพบสิ่งไหนก็สวยงาม

ไม่ว่าจะท้องฟ้า ต้นไม้ สายลมบางเบา แดดยามเช้าอันแสนอุ่น โลกที่หมุนให้เราไปพบได้เจอ
กับวันนี้ที่สดใสอะไรก็สวยงาม ชาดาดา ดา ดาดา ออกมาพบเรื่องราวสุขสันต์ด้วยกันในวันใหม่

เธอรู้ไหมเช้าทุกเช้าในวันหนึ่งวันที่ฉันมีความหวัง เพราะเธอคือพลัง ให้ฉันนั้นได้ก้าวไป
เพียงเธอยิ้ม (เพียงเธอยิ้ม)โลกก็งามขึ้นทันใด เมื่อเห็นก็เข้าใจ ว่าความสุขนั้นก็คือ

ทุกครั้ง ที่เธอยิ้ม เธอหัวเราะหรือว่าร้องเพลง แค่ตรงนี้มีเธออยู่ โลกจะหมุนจะเวียนเปลี่ยนถึงเมื่อไร
ไม่ว่าจะทุกข์สุขสันต์กันอีกเท่าไร แค่ตรงนี้มีเธอใกล้ อยู่ในเช้าวันใหม่ของเธอกับฉันเท่านั้นพอ

ทุกครั้ง ที่เธอยิ้ม เธอหัวเราะหรือว่าร้องเพลง แค่ตรงนี้มีเธออยู่ โลกจะหมุนจะเวียนเปลี่ยนถึงเมื่อไร
ไม่ว่าจะทุกข์สุขสันต์กันอีกเท่าไร ขอตรงนี้มีเธอใกล้ อยู่ในเช้าวันใหม่แค่เธอกับฉัน

ที่ยามเช้าช่างสดใส ชา ดา ดาดา แค่ตรงนี้มีเธออยู่ แค่ตรงนี้มีเธอกับฉันด้วยกัน
ในยามเช้าที่สดใส ชา ดา ดาดา ขอตรงนี้มีเธอใกล้ อยู่ในเช้าวันใหม่ของเธอกับฉัน เท่านั้นพอ”


ในที่สุด มิวก็สามารถถ่ายทอดบทเพลงนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบชนิดเท้คเดียวผ่าน ขณะที่กำลังร้องเพลง”เช้าวันใหม่”อยู่นั้น นักร้องหนุ่มคิดถึงใบหน้าขาวสะอาด ดั้งโด่ง หล่อเหลาชนิดหล่อขั้นเทพของโต้ง แต่นั่นเป็นแค่ความรู้สึกผิวเผิน สิ่งที่อยู่ในใจของนักร้องนำแห่งออกัสต์ตลอดเวลาที่บันทึกเสียงเพลงนี้ คือความรัก ความห่วงใย กันและกัน ที่โต้งมีให้มิวตลอดมา ยิ่งช่วงเวลาเมื่อครู่ ยามที่มิวกึ่งฝันกึ่งจริง รอยยิ้มและกำลังใจของโต้ง นั่นคือ แสงตะวันที่ส่องนำทางในเช้าวันใหม่สำหรับมิวจริงๆ ดังนั้นการถ่ายทอดอารมณ์และความรู้สึกของมิวในครั้งนี้ จึงเป็นการแสดงออกอย่างสมบูรณ์แบบ ทำเอาทั้งพี่อ๊อดที่เอาแต่บ่นก่อนหน้านี้ รวมถึงคุณเอที่คงกดดันเหมือนกันอึ้งไปเลย


คุณบีที่ยืนสังเกตการณ์อยู่ใกล้ๆประตู ได้ยินเสียงมิวร้องและถ่ายทอดอารมณ์ของเพลงนี้แล้ว ในใจลึกๆก็อดอิจฉาโต้งไม่ได้ ก่อนหน้าที่โต้งจะมา มิวยังไม่สามารถทำได้ขนาดนี้ ในหัวใจของมิวมีชายหนุ่มที่เคยชกตนเป็นแสงสว่างจริงๆ เมโทรหนุ่มลูกชายคนเล็กของเจ้าของค่ายรู้สึกยอมแพ้อย่างหมดใจ ร่างระหงยิ้มให้กับความราบรื่นของงานและความรักของนักร้องในค่าย ก่อนจะปลีกตัวออกไปจากห้องนั้น


“ขอโทษนะ” จู่ๆคุณบีก็เข้ามาคุยกับโต้งในห้องพัก


“นายจะมาไม้ไหนอีกเนี่ย” โต้งยังไม่เชื่อใจคุณบี


“เปล่า เราก็แค่จะเข้ามาขอโทษเรื่องที่วันก่อนเรา.........เอ่อ............ที่เราทำร้ายมิวน่ะ”


“ช่างเหอะ มิวเค้ายกโทษให้นายแล้วนี่ ไม่เกี่ยวกับเราซะหน่อย” โต้งยังคงไม่ไว้ใจ


“แต่เราว่านายยังคงไม่พอใจเราอยู่ ใช่ปะ” คุณบีหยั่งเชิงถาม


“อือ................................ใครมันจะไว้ใจได้ลงคอ คนอย่างนายมัน .................... เราไม่ใช่คนดีอย่างมิวหรอกนะ ขอเตือนไว้ซะก่อน เอาเหอะ ขอโทษนายด้วยแล้วกัน” โต้งพูดจบก็ทำท่ากำหมัด แล้วต่อยแขนตัวเองเบาๆ บอกเป็นนัยให้รู้ว่าขอโทษเรื่องที่ชกคุณบีซะน่วมเมื่อคืนวันก่อน


“อือ....................เราอิจฉานายมากนะ ยิ่งตอนที่มิวร้องเพลงกันและกันเพื่อนาย แต่พอผ่านไปเรื่อยๆ เราก็รู้สึกดีใจ ที่เราข้ามมันมาได้ซักที ต้องขอบคุณมิวนะ ที่เตือนสติเรา ยินดีด้วย หวังว่านายทั้งสองจะประคองความรักครั้งนี้ไปได้ อย่างน้อย ก็ตัดอุปสรรคไปได้อีกหนึ่ง “


“นายแปลว่าอะไร อีกหนึ่ง นี่แปลว่า มิวเจอเรื่องอะไรมาอีกจริงๆใช่ปะ” โต้งมีน้ำเสียงกังวล ท่าทางร้อนรน


“ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่วันนี้มีนักข่าวมาสัมภาษณ์ เราสังเกตสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องของยายนั่นแล้วรู้สึกไม่สบายใจยังไงไม่รู้ ระวังไว้หน่อยก็ดี”


“ไม่เห็นมิวเล่าให้ฟัง”


“ใจเย็นน่า ยังไม่เสร็จงาน เดี๋ยวเค้าคงจะบอกกับนายเองล่ะ”


“ขอบใจนะ นายทำงานอยู่วงการนี้ ยังไงก็ฝากด้วยแล้วกัน .........เอ่อ....................สรุปว่า นายเลิกคิดอย่างว่ากับมิวแล้วแน่นะ ไม่งั้น................”


“อือ........เข้าใจแล้ว เลิกกังวลได้แล้วน่า” คุณบียื่นมือไปเช็กแฮนด์กับโต้ง ซึ่งชายหนุ่มก็ยื่นมือมาจับมือด้วยเช่นกัน






“คุยอะไรกันอยู่หรอ” มิวเปิดประตูเข้ามาพอดีกับจังหวะที่โต้งและคุณบีจับมือกัน


“อ๋อ...................ไม่มีอะไรหรอก คุยกันดีๆล่ะ ไปแล้ว ไม่อยากเป็นกอขอคอ” คุณบีเดินออกไปจากห้อง ทิ้งให้สองหนุ่มอยู่ตามลำพังอีกครั้ง มิวจึงหันมาทางโต้งเพื่อรอฟังคำตอบที่ถามค้างไว้


“เปล่ามิว แค่เคลียร์กันนิดๆหน่อยๆน่ะ เสร็จงานแล้วหรอ” โต้งตอบ และตั้งอีกคำถาม


“ยังอะ พี่อ๊อดใจดี ให้พักอีกสิบห้านาที เดี๋ยวต้องอัดอีกเพลงนึง”


“เพลงเมื่อกี้เนี้ย เพราะดีเนาะ แต่งได้ไงอะ” โต้งตั้งคำถามเดิมๆ หลังจากฟังเพลงผ่านลำโพงเสียงที่พ่วงเข้าห้องนี้ด้วย


“โหยโต้ง คำถามเดิมอีกแระ เปลี่ยนบ้างก็ได้ แต่ก็............................ถ้าไม่มีโต้ง ก็คงไม่มีเพลงนี้หรอก ฟังแล้วโต้งว่าไง” คนตอบยิ้มเขินๆ


“อะ คำตอบยังเหมือนเดิมนี่นา แต่เราชอบนะมิว ชอบคำตอบแบบนั้นจัง แล้วเพลงที่เหลืออีกเพลงอะ เพลงอะไรหรอ”


“เพลงที่ร้องให้ฟังท่อนเดียวเมื่อคืนนั่นแหละ ชอบปะล่ะ”


“จริงดิ ขอฟังเต็มๆก่อนได้ปะ แบบว่า เริ่มง่วงนอนแล้วอะ” พูดจบ โต้งก็เริ่มหาว


“อ้าว.......................ไปอดนอนมาจากไหนอะโต้ง เมื่อคืนอุตส่าห์ร้องเพลงกล่อมก่อนนอน”


“มิวรู้แล้วอย่าโกรธล่ะ แบบว่า เมื่อวานนี้ นอนกลางวันมากไปหน่อย ตอนดึกๆก็เลยตื่นมาอีก แล้วก็อ่านหนังสือเรียนนานไปนิด อ่านยันเช้าเลยอะ อย่าตาขวางงั้นดิมิว ขอโทษนะ” โต้งรีบอ้อนกลัวมิวงอน


“คนเค้าไม่ได้โกรธซักหน่อย แค่เป็นห่วงที่โต้งไม่ยอมดูแลตัวเอง แล้วนึกไงเนี่ย อ่านหนังสือดึกๆดื่นๆ ไม่ใช่อ่านหนังสือว่าไม่ดีนะ แต่ต้องดูเวลากันบ้าง” นักร้องหนุ่มบ่นเล็กน้อย


“มิวจำที่เราคุยกันเมื่อเช้าวานได้ปะ เรื่องที่เรียนน่ะ เราตัดสินใจแล้ว ถ้ามิวจะสอบโควตาเข้าที่นั่น เราก็ต้องสอบแอดมิดให้ผ่านให้ได้ในที่เดียวกัน เราก็เลย..................” น้ำเสียงอ้อนอย่างเคย


“พยายามเข้านะโต้ง” เสียงนุ่มๆพร้อมรอยยิ้ม ให้กำลังใจคนรัก ทำให้โต้งยิ้มอย่างมีความสุขเช่นกัน


“งั้นโต้งแอบงีบแป๊บนึงก็ได้ ไปแระ จะได้เสร็จไวๆ” มิวเดินออกไปจากห้องพัก โต้งล้มตัวนอนที่โซฟาสีเขียวอ่อน หนุนศีรษะบนพนักแขน แล้วเอาหมอนสีเขียวเข้มมานอนกอด รอฟังเพลงของมิว



นักร้องหนุ่มกลับเข้ามาในห้องอัดเพลง เพลงสุดท้ายที่จะร้องนี้เป็นเพลงที่มิวต้องร้องเดี่ยว ไม่มีคอรัส ดนตรีบรรเลงเริ่มต้นขึ้น นักร้องนำออกัสต์หลับตาของตนลง นึกถึงคืนที่โต้งไปนอนค้างที่บ้าน ตั้งแต่สมัยยังเด็ก จนกระทั่งถึงวัยหนุ่ม หลายครั้งที่โต้งมาอาศัยนอนค้างบ้านมิวเพราะมีปัญหาในใจ มิวนึกถึงยามที่ร่างสูงอย่างโต้งนอนร้องไห้ แล้วคว้าร่างโปร่งของตนไปนอนกอดเพื่อปลอบใจ ความรู้สึกอิ่มเอมที่ตนสามารถเป็นที่พักใจให้กับคนรักได้ ทำเอาหัวใจของนักร้องหนุ่มพองโต


“ฮือออออออ...........................................................................

หลับตาลงนะ นะคนดี ขอให้เวลานี้ เธอหลับและพักผ่อน
กล่อมด้วยเพลงแห่งรัก ให้เธอนอน แค่เพียงก่อนที่ฟ้าจะสาง

หลับตาลงนะ นะคนดี ไม่มีอะไรที่ ต้องห่วง แม้ซักอย่าง
สิ่งที่เคยแบกไว้ ให้เธอวาง ให้โลกผ่านดั่งเพียงฝันไป

หากเพียงเธอได้รู้ ว่าเธอนั้นสำคัญแค่ไหน หากเพียงเธอได้รู้ ว่ามีคนรักเธอมากมาย
หากเพียงเธอได้รู้ ว่าเขานั้นยอมทำสิ่งใด เพื่อให้เธอ ได้พบกับความสุขใจ

เธอคงไม่ต้องดิ้นรน ไม่ต้องกังวลอะไรให้วุ่นวาย
คงไม่ต้องเหนื่อยใจ หาใครต่อใครช่วยทำให้ทุกข์คลาย
เพียงแค่คนหนึ่งคน ที่ยอมหมดจนแม้ลมสุดท้าย แค่ให้เธอได้รู้

หากเพียงเธอได้รู้ ว่าเธอนั้นสำคัญแค่ไหน หากเพียงเธอได้รู้ ว่ามีคนรักเธอมากมาย
หากเพียงเธอได้รู้ ว่าเขานั้นยอมทำสิ่งใด เพื่อให้เธอ ได้พบกับความสุขใจ

เธอคงไม่ต้องดิ้นรน ไม่ต้องกังวลอะไรให้วุ่นวาย
คงไม่ต้องเหนื่อยใจ หาใครต่อใครช่วยทำให้ทุกข์คลาย
เพียงแค่คนหนึ่งคน ที่ยอมหมดจนแม้ลมสุดท้าย แค่ให้เธอได้รู้

หลับตาลงนะ นะคนดี สิ้นสุดลงตรงนี้ หนทางที่แสนไกล
แค่เธอจับมือฉัน และเชื่อใจ รักยิ่งใหญ่จะไปถึงเธอ “





.....




.....






เย็นวันนั้น มิวและโต้งไปทานข้าวด้วยกันสองคนที่ร้านปากซอยเข้าบ้านมิว
แต่มิวลืมหยิบกระเป๋าสตางค์ออกจากบ้านเมื่อตอนเช้าเพราะเจ้าคิ้วหนาเพื่อนซี้เร่งแล้วเร่งอีก
เหลือแค่เงินติดกระเป๋ากางเกงยีนส์ไม่กี่บาท และขี้เกียจแวะเข้าไปเอาในบ้าน
โต้งจึงตัดสินใจเลี้ยงข้าวมิวเป็นการฉลองที่อัดเพลงเสร็จไปในตัว
ที่จริงคุณเอก็ชวนทุกคนไปเลี้ยงข้าวที่ภัตตาคารใกล้ๆ เพื่อฉลองการเสร็จงานเช่นกัน
แต่วันนี้ไม่รู้เพราะอะไร นักร้องนำออกัสต์จึงทิ้งลูกวงไปกับชายหนุ่มอีกคนกันเพียงสองคน
นักร้องหนุ่มมีเรื่องในใจมากมายที่อยากพูดกับโต้งเพียงลำพังสองคน
สุดท้าย จึงขอปลีกตัวจากคนอื่นๆมากันแค่สองคนเท่านั้น


“เส้นใหญ่แห้งต้มยำกุ้งสองชามครับพี่ ขอกุ้งพิเศษชามโตๆนะครับ”
นักร้องหนุ่มเริ่มสั่งอาหารทันทีหลังจากที่ได้นั่งเก้าอี้พลาสติกสีเขียวในร้านก๋วยเตี๋ยวต้มยำที่เปิดใหม่


“ท่าทางมิวจะหิวมากเลยนะเนี่ย สั่งด่วนสองชามเลยหรอ” โต้งแซวที่มิวสั่งทีเดียวสองชามพิเศษ


“ก็ตั้งแต่เช้าได้กินมาม่าฝีมือไอ้ปิงแค่ถ้วยเดียว เหอะน่าโต้ง จะเลี้ยงเราทั้งที
แค่สองชามคงไม่ถึงกับขนหน้าแข็งร่วงหรอกนะ ใช่ปะ” มิวยิ้มขำๆ




“แล้วน้องคนหล่อๆล่ะจ๊ะ อยากทานอะไรเอ่ย สั่งมาเลยสิจ๊ะ เดี๋ยวเจ๊จัดให้”
สาวประเภทสองเจ้าของร้านที่ออกมาบริการลูกค้าถึงโต๊ะเอ่ยปากถามโต้ง แถมมือยังอยู่ไม่สุข เกาะไหล่โต้งไต่นิ้วไปมา
ร่างสูงสะดุ้งด้วยความเขิน หันไปมองร่างโปร่งที่นั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม คาดหวังว่ามิวจะหึง แต่นักร้องหนุ่มกลับทำแค่ยิ้มขำอยู่อย่างนั้น


“สั่งเหมือนกันอีกชามนึงครับพี่ ขอเป๊ปซี่สองขวดด้วยนะครับ” โต้งรีบสั่งแล้วทำทีท่าเป็นขยับเก้าอี้
จนเจ้าของร้านถอยออกห่างไปทำก๋วยเตี๋ยวตามออเดอร์ลูกค้า






“โต้งนี่ เสน่ห์แรงไม่เบานะ ขนาดเจ๊เจ้าของร้านยังมาเกาะแกะถึงโต๊ะเลย”
คนพูดยังยิ้มขำกึ่งหัวเราะต่อไป โดยไม่สนใจแววตาแสนงอนของอีกคน


“โห........มิวอะ แซวกันอยู่ได้ ขำนักรึไง ไม่โดนบ้างก็แล้วไป เราก็อุตส่าห์นึกว่า.....”


“นึกว่าอะไรหรอ”


“ก็นึกว่าจะหวงคนอื่นบ้างอะดิ อะไรก็ไม่รู้ ไม่มีซักนิด”
น้ำเสียงงอนอยู่บ้าง แต่โต้งไม่ได้พูดดังมาก เพราะอยู่ในที่สาธารณะ


“หวงโต้งจากพี่เจ้าของร้านเนี่ยนะ ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่มีซะล่ะ เราว่าน่ารักดีออก หรือว่าไง”
มิวยิ้มขำน้อยลง เมื่อยังเห็นโต้งหน้าตึงอยู่


“ไม่เอาด้วยหรอก ไม่ไหว น่ากลัวออกจะตาย มิวนะมิว ที่ตอนคุณบี เรายังหวงเลย”



“มันคนละเรื่องกันนี่นา ตอนนั้นคุณบีเค้าก็....................นั่นแหละ
อีกอย่างเจ๊แกแค่มาหาเศษหาเลยตามประสาของแกแค่นั้นแหละ
ไม่ได้จริงจังอะไรซักหน่อย น่านะ เดี๋ยวกลับถึงบ้านแล้วเล่นเปียโนให้ฟังเป็นการไถ่โทษก็ได้”


“อือ..........สัญญาแล้วนะ” มิวพยักหน้าหลังจากโต้งพูดจบ ก่อนที่โต้งจะพูดต่อ
“แล้วมิวไม่อยากไปกับเพื่อนๆเหรอ ป่านนี้คงฉลองกันสนุกแล้วมั้ง ยิ่งถ้าหิวๆแบบมิวด้วยล่ะก็”


“พวกนั้นจะไปหิวอะไรล่ะโต้ง ก็วันนี้เราร้องมากกว่าใคร พวกเจ้าเอ๊กซ์ก็แค่นั่งๆนอนๆ กินของขบเคี้ยวที่พี่หลิวซื้อมานั่นแหละ
ก็แค่ออร์เดิ๊ฟก่อนมื้อใหญ่ของเจ้าพวกนั้น ถ้าคุณเอไม่บอกก่อนว่าจะเลี้ยงมื้อใหญ่ล่ะก็ ................
ช่างเหอะ ปล่อยพวกนั้นสนุกไปเหอะนะ สำหรับเรา แค่มีโต้งอยู่ก็พอแล้วล่ะ ที่จริง........................
วันนี้มีเรื่องมากมายอยากจะคุยด้วย ไว้กลับถึงบ้านก่อน ตอนนี้กินก่อนดีกว่านะ
............ เจ๊ หิวแล้ว เสร็จรึยังคร้าบบบ” มิวเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นเสียงดังขึ้นเพื่อเร่งเจ๊เจ้าของร้านด้วยความหิว








หลังจากมื้อเย็นเต็มคราบ นักร้องหนุ่มกับเพื่อนชายคนสนิทก็พากันเดินกลับเข้าบ้าน
สี่เท้าของทั้งสองคนมุ่งหน้ากลับบ้าน เพราะว่าอยู่ในย่านสาธารณะ ทั้งคู่จึงไม่กล้าจูงมือกัน
ถึงแม้ว่าจะมีเสียงกระซิบนินทาแว่วเข้ามาให้ได้ยินอยู่บ้าง ว่ามิวควงแฟนเข้าบ้านอีกแล้ว
โต้งอึ้งไปบ้างตอนที่ได้ยิน หันไปมองมิวที่มีแต่สีหน้าเรียบเฉย ทั้งคู่พยายามไม่ใส่ใจกับเสียงที่ได้ยิน และเดินต่อไป


“มิวทนได้ไงอะ มีแต่เสียงแบบว่า.....................” โต้งเริ่มถามเมื่อเดินถึงหน้าบ้าน


“ชินแล้วล่ะ ตั้งแต่เมื่อก่อน เราก็ถูกนินทาเรื่องที่เป็น........แบบ...... ทีนี้โต้งเข้าใจรึยังล่ะ
ว่าทำไมเราถึงปิดตัวเองอยู่หลายปี” นักร้องหนุ่มตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย


“อือ.......................... “ แทนคำพูด โต้งเดินมากุมมือของมิวไว้
ความอบอุ่นถูกถ่ายทอดจากร่างสูงผ่านเข้าสู่ร่างโปร่ง ชายหนุ่มทั้งคู่ยิ้มให้กันและกัน ก่อนจะเดินเข้าไปในบ้าน


“โต้งดูรูปนี่ดิ” มิวส่งรูปถ่ายคู่หน้าโรงแรมของทั้งสองหนุ่มให้โต้งดู หลังจากที่เข้ามาในบ้านแล้ว
จากนั้นก็เดินไปนั่งที่เปียโน ปล่อยให้โต้งนั่งที่เก้าอี้ตรงโต๊ะกลม ดื่มน้ำในขวดที่วางทิ้งไว้แต่เช้า


“เฮ้ย!!! นี่มัน..............................งานเข้าแล้วมิว รูปนี้มาได้ไงเนี่ย” โต้งมีทีท่าตกใจไม่น้อย


“พี่นักข่าวเค้าเอาให้ดูตอนที่สัมภาษณ์เดี่ยวเราน่ะ แต่ละคำถามนะ น่ากลัวชะมัด ไม่รู้ว่าที่ตอบไปจะใช้ได้รึเปล่าอะดิ”


“แล้วนักข่าวนั่นเค้าถามอะไรมิวบ้างล่ะ” โต้งเอ่ยปากถาม
ในขณะที่นักร้องหนุ่มหลับตาทบทวนความทรงจำเมื่อช่วงเที่ยงในห้องสัมภาษณ์ ก่อนจะเริ่มเล่าให้โต้งฟัง




Create Date : 08 กุมภาพันธ์ 2553
Last Update : 5 มีนาคม 2553 14:59:42 น.
Counter : 433 Pageviews.

3 comments
  
ได้ลิ้งค์บล้อกของคุณนิรมิตรและตามมาอ่าน จากfluke-societyค่ะ
จะคอยอ่านฟิคก้องพีร์ที่คุณเขียนนะคะ ^_^
โดย: plang IP: 76.243.138.202 วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:16:43:12 น.
  
มาให้กำลังใจครับ..

เข้ามาดูทุกวัน วันละหลาย ๆ รอบ อิ อิ
โดย: หนุ่ม IP: 158.108.86.92 วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:17:16:25 น.
  
K'นิรมิตร ลง fic. เร็วจังเลยนะคับ
อีกนิดเดียวก็จะทันของเดิมแล้ว
ผมเองก็อกลุ้นตามไม่ได้ว่าเรื่องราวของมิวกับโต้งมันจะเป็นยังไงต่อไป
โดย: Milk kap วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:20:49:14 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Niramitr
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]



สาวก"รักแห่งสยาม"

New Comments