All Blog
ตอนที่ 08 +++ ศัตรูหัวใจของนายหัวเกรียน +++



+++ ต่อเรื่อง +++





พยายามอยู่หลายครั้ง แต่โต้งและเอิร์ธก็ไม่สามารถติดต่อกับหญิงได้ ถึงจะโทรออกไปยังหมายเลขเดิมอีกหลายหน ผลลัพธ์ที่ได้ก็ยังเป็นเช่นเดิม

“เลขหมายที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้” เสียงผู้หญิงคนเดิม ดังลอดผ่านลำโพงโทรศัพท์ให้ทุกคนได้ยิน สีหน้าเจ้าของโทรศัพท์ซีดลงอย่างเห็นได้ชัด ความวิตกกังวลปรากฏให้เห็น ทำเอาโดนัทที่นั่งอยู่ข้างๆเป็นกังวลไปด้วย

“ใจเย็นๆนะเอิร์ธ ไม่มีอะไรร้ายๆหรอกน่า” โดนัทให้กำลังใจเพื่อน ทั้งๆที่รู้ว่าอาจจะไม่เกิดประโยชน์เท่าไหร่ เพราะเท่าที่ฟังจากโต้งเล่า เหมือนว่าหญิงจะกรี๊ดตกใจอะไรซักอย่าง แล้วนิสัยโต้งก็ไม่ใช่คนขี้เล่นหรือขี้อำแต่อย่างใด

“ขอบใจนะ” เอิร์ธรู้ว่าโดนัทห่วงใย จึงได้แต่ขอบใจเพื่อน แต่ความกังวลก็ใช่ว่าจะลดลงไปซักเท่าไหร่

“งั้นเดี๋ยวเราไปหาอะไรมาให้ทานกันนะ” โดนัทเดินออกมาให้ห่างจากเอิร์ธท่ามกลางความสับสนของตนเองว่าจะเอายังไงดีกับความรักที่ชายหนุ่มอีกคนพยายามจะหยิบยื่นให้กับคนที่พึ่งจะอกหักอย่างเธอ พลางนึกถึงหญิง คนที่เอิร์ธเอ่ยถึง ‘ถ้าเราเข้มแข็งได้อย่างผู้หญิงคนนั้นก็ดีสิเนอะ’ พยายามจดจำใบหน้าที่เห็นรูปในโทรศัพท์มือถือของเอิร์ธเมื่อครู่นี้ ก่อนจะมาถึงลิฟท์แล้วเลือกกดลงไปด้านล่าง เธอจำได้ว่าเห็นร้านเซเว่นอีเลฟเว่นตั้งอยู่ใกล้ๆกับแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาล







หญิงสาวมองชายหนุ่มที่ยังคงไม่ได้สติอยู่ข้างๆ เลือดหยุดไหลจากสีข้างของนักกีตาร์หน้าทะเล้นแล้ว แต่ดวงตาที่อยู่ด้านล่างของคิ้วหนานั้นยังคงปิดสนิท ความรู้สึกดีๆเริ่มก่อตัวขึ้น เธอหวนนึกถึงความรู้สึกแรกที่เห็นเอ๊กซ์เสี่ยงตายช่วยเธอจากการถูกกรีดใบหน้า ใบหน้านั้นช่างดูงดงามเหลือเกิน นึกไม่ออกว่าเคยเห็นผู้ชายคนไหนรูปงามแบบนั้นมาก่อน ใช่สิ ถ้ามองโดยทั่วไป คนที่หล่อกว่าเอ๊กซ์ ก็ถือว่ามีอยู่ไม่น้อย โต้งยังหล่อกว่าซะอีก แต่ความรู้สึกประหลาดนั้นมันคืออะไรกันล่ะ การที่ผู้หญิงคนนึง มองผู้ชายหน้าตาธรรมดาคนนึงให้หล่อเป็นพิเศษได้ขนาดนั้น มันแปลว่าอะไรกันแน่นะ คล้ายกับตอนนั้นเลย ตอนที่เราทะเลาะกับเพื่อน เพราะถูกล้อเรื่องอะไรซักอย่าง ตอนนั้นเดินร้องไห้กลับบ้าน มิวเป็นคนแรกที่เข้ามาปลอบใจ แล้วก็เล่นเปียโนให้ฟัง ความรู้สึกในตอนนั้นก็คล้ายกับตอนนี้ เรามองว่ามิวหล่อเป็นพิเศษ เหมือนกับว่ามีเทพบุตรรูปงามมาบรรเลงเปียโนให้ฟัง ความโกรธความเสียใจหายไปหมดสิ้นในทันที นั่นทำให้เรารู้สึกดีกับมิวมากกว่าคนอื่นๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม เกิดขึ้นได้ยังไง รู้ตัวอีกที ก็พบว่าตนเองหลงรักมิวได้สามปีแล้ว ก่อนจะมารู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ แล้วกับครั้งนี้ล่ะ นี่แปลว่าเรากำลังจะชอบเอ๊กซ์เข้าให้แล้วใช่มั้ย หญิงเริ่มสับสนในใจขึ้นมา ทั้งกลัวจะผิดหวังอีกครั้ง กลัวว่ารักครั้งนี้จะทำร้ายตนเองอีกรึเปล่า แต่ลึกๆแล้วกลับพบว่า ตนเองมีความสุขมากกว่า ที่จะได้มีความรักอีกครั้ง ได้ทุ่มเททำอะไรเพื่อความรัก ได้บ้า ได้งี่เง่า ได้หัวเราะและลุ้นไปกับความรักอีกครั้ง ถึงจะกลัวสิ่งที่อยู่ตรงหน้าว่าอาจจะทำร้ายเราอยู่บ้าง แต่ความมีชีวิตชีวาที่ได้ก้าวไปบนเส้นทางรักนั้นหอมหวานเสมอ ตราบใดมีรัก ก็ย่อมมีความหวัง



“กำอะไรของเค้านะ” หญิงรำพึงเบาๆเมื่อสังเกตเห็นว่าในมือขวาของเอ๊กซ์กำอะไรบางอย่างอยู่ ค่อยๆเอื้อมไปแกะดู ผ้าเช็ดหน้าสีเขียวอ่อนที่ปักอักษรจีนว่า”รักมิว” โผล่ออกมาให้เห็น หญิงมองไปที่ใบหน้าของชายหนุ่มที่กำลังหลับอยู่ รู้สึกตื้นตันในความพยายามที่คนๆนี้มีให้เธอ หญิงสาวยิ้มให้กับเจ้าของคิ้วหนาที่ยังไม่ได้สติ ก่อนจะพูดเบาๆว่า



“ขอบคุณนะ”









รถแท็กซี่วิ่งเข้ามาจอดเทียบหน้าทางเข้าของแผนกฉุกเฉิน หญิงสาวเปิดประตูรถพร้อมกับตะโกนบอกเจ้าหน้าที่ที่ประจำอยู่ฝ่ายหน้าว่ามีคนถูกแทง บุรุษพยาบาลหลายคนรีบเข็นเตียงผู้ป่วยเข้ามาเทียบใกล้กับรถแท็กซี่ ก่อนจะช่วยกันยกร่างที่ยังไม่ได้สติของเอ๊กซ์ขึ้นนอนบนเตียง และเข็นเข้าห้องฉุกเฉินทันที หญองวิ่งตามไปไม่ห่าง แต่ก็ถูกกันไว้ที่หน้าประตูทางเข้า ได้แต่ยืนรออย่างเป็นกังวล ต่อที่จ่ายค่ารถเรียบร้อยแล้วมายืนคอยเป็นเพื่อน ก่อนจะตามนางพยาบาลอีกคนไปทำประวัติผู้ป่วย ซักพัก ปิงปอง แวน และเอ็มก็ตามมาสมทบ





“จริงดิ พวกนายรู้ได้ยังไงล่ะ ว่าเราอยู่สยามกับเอ๊กซ์” หญิงเอ่ยปากถามต่อที่พึ่งเดินกลับมาจากการไปทำประวัติผู้ป่วย จะว่าไป ในบรรดาสมาชิกวงออกัสต์สี่คนที่อยู่ตรงนี้ ดูเหมือนว่า ต่อจะเป็นคนเดียวที่หญิงคุ้นหน้ามากที่สุด เพราะเคยเจอที่บ้านมิวมาก่อนแล้ว

“ไอ้เอ๊กซ์มันโทรหาพวกเรา บอกว่าไอ้มิวมันหายไป ติดต่อไม่ได้ กลัวจะเกิดเรื่อง ก็เลยตามพวกเรามาช่วยกันหาดู ทีแรกก็นึกว่าจะเข้าอีหรอบเดิม เก็บตัวอยู่คนเดียว แต่ก็ไม่น่าใช่ เพราะเห็นยังหวานกับโต้งอยู่เลย ก็เลยคิดว่าไหนๆพวกเราก็ยังไม่ได้กลับเข้าบ้าน ช่วยแวะมาดูหน่อยดีกว่าน่ะ เผื่อจะมีเรื่องขึ้นมาจริงๆ” มือเบสของวงที่ปรกติจะไม่ค่อยพูดนัก ตอบออกไป

“ก็กะว่าจะมาแอบดูพี่เอ๊กซ์จีบพี่สาวเหมือนกันนั่นแหละ เห็นพี่เอ๊กซ์บอกว่า ระหว่างตามหาพี่มิว จะจีบพี่สาวไปด้วย” ปิงปองทำหน้าทะเล้นแล้วพูดออกมาบ้าง

“เงียบเหอะน่าปิงปอง ห่วงอาการไอ้เอ๊กซ์ก่อนดีกว่า ไอ้ห่านี่ดวงตกล่ะมั้ง พึ่งจะได้ออกจากอีกโรงพยาบาลนึงเมื่อเช้า ตกมืด ดันกลับเข้าไปนอนอีกที่นึงซะแระ นี่ดีนะว่าคนละโรงพยาบาลกัน ไม่งั้นแมร่งได้รางวัลคนไข้ดีเด่นแหงๆ ในฐานะที่มานอนเจ็บที่โรงพยาบาลด้วยสาเหตุที่แตกต่างกันสิ้นเชิงในเวลาอันรวดเร็ว” มือคีย์บอร์ดเสริมมุขตลกเข้ามาบ้าง ทำให้บรรยากาศการเฝ้ารอที่หน้าห้องฉุกเฉินไม่หดหู่อย่างที่คิด

“แผลมันใหญ่เสียเลือดมากเลยเหรอวะ กรูเห็นไม่ชัด ถึงขนาดสลบไปเลย” เอ็มมือกลองถามเพื่อนๆด้วยความฉงนสงสัย

“ไม่นะ ไม่ถึงสองนิ้วเลย เลือดก็ไม่เห็นจะโชกเท่าไหร่ ไอ้ห่านี่สงสัยกลัวเลือด หรือไม่ก็เสรือกมาสำออยกะทันหัน เลยสลบซะงั้น” แวนเป็นคนตอบออกมา

“ว่าแต่ เรื่องมันเป็นไงมาไงล่ะพี่สาว เล่าให้ฟังหน่อยดิครับ” ปิงปองหันมาให้ความสนใจกับหญิงที่นั่งฟังพวกนักดนตรีคุยกันได้ซักพัก หญิงจ้องมองผ้าเช็ดหน้าสีเขียวในมือของเธอ ผ้าเช็ดหน้าที่สันนิษฐานว่าเป็นของมิว ก่อนจะเล่าเรื่องให้เหล่านักดนตรีออกัสต์ฟัง









หลังจากเล่าจบ หญิงขอตัวไปล้างหน้าล้างตาแล้วก็ไปหาอะไรมาเลี้ยงเพื่อนใหม่ทั้งสี่คน ร่างบางนั้นเสร็จธุระจากห้องน้ำก็เดินเข้าไปยังเซเว่นอีเลฟเว่นที่อยู่ใกล้แผนกฉุกเฉิน ก่อนจะเดินสวนกับหญิงสาวคุ้นหน้าที่ถือของกินเดินก้มหน้าออกมา

“โดนัท” หญิงเปรยเบาๆ แต่เจ้าของชื่อนั้นได้ยินชัดเจน ร่างระหงเงยหน้าขึ้นมองผู้ที่เรียกชื่อตน จดจำได้ทันที ว่าคือคนที่เอิร์ธและโต้งกำลังเป็นห่วงอยู่ในขณะนี้

“หญิง ใช่มั้ย” โดนัทถามกลับ ทำเอาหญิงถึงกับงงเพราะไม่คิดว่าโดนัทจะรู้จักตน ทำเอาหญิงสาวอึ้งไปเลยทีเดียว

“ค่ะ......... เอ่อ.............เธอจำเราได้ด้วยเหรอ” หญิงถามไปทันทีเพื่อขจัดความสงสัยนั้น

“เราเป็นเพื่อนกับโต้งและเอิร์ธ พวกเค้าพยายามติดต่อเธอแน่ะ” โดนัทตอบออกมา จากนั้นสองสาวก็ช่วยกันเลือกซื้อของกิน แล้วไปรวมกลุ่มกับออกัสต์ทั้งสี่




.....




.....




.....




.....




.....










ป้าอรวางหูโทรศัพท์อย่างเป็นกังวลเมื่อรู้จากหญิงว่ามิวนอนเจ็บอยู่โรงพยาบาล อย่างน้อยตอนนี้ก็ปลอดภัยแล้ว ป้าอรค่อยเบาใจขึ้น แต่เรื่องใหญ่แบบนี้ ยังไงก็ควรจะบอกให้ป๊ากับม๊าของมิวรู้ก่อนดีกว่า คิดอย่างนั้นแล้ว หญิงชราก็กดโทรศัพท์ไประยองทันที







สี่ทุ่มกว่าแล้ว แม่ของโดนัทโทรศัพท์มาเช็คถึงสองหน ถึงเวลาที่โดนัทจะต้องกลับบ้านซักที เอิร์ธจึงอาสาไปส่ง

“เดี๋ยวกรูไปส่งโดนัทก่อนนะ แล้วจะกลับมาอยู่เป็นเพื่อนมรึง” เอิร์ธบอกกับโต้ง

“ไม่เป็นไร กรูอยู่เฝ้ามิวคนเดียวได้ มรึงพาโดนัทไปส่งบ้านเหอะ แม่เค้าคงห่วงแย่แล้ว” เอิร์ธจึงตัดสินใจกลับไปก่อน แล้วว่าจะรับโดนัทมาเยี่ยมมิวแต่เช้า





“เป็นไงบ้างมิว โชคดีนะเนี่ยที่ไม่เป็นไร ทำเป็นเก่ง เสี่ยงตายช่วยคนอื่น นี่ถ้าเป็นหญิงนะ ไม่รู้จะกล้าทำแบบมิวรึเปล่า” หญิงพูดกับมิวที่นอนอยู่บนเตียง

“ไว้ถ้าหญิงรักใครซักคนมากๆ หญิงก็คงจะทำแบบเราได้เองแหละ”

“อย่างที่หญิงเคยรักมิว” หญิงตอบไปแต่สีหน้ากลับสลดลง

“มันไม่ใช่หรอกหญิง เชื่อเรานะ นั่นไม่ใช่ความรักหรอก แล้ววันนึง หญิงจะเข้าใจ”

“แล้วถ้า.......ถ้าหญิงจะรู้สึกชอบใครซักคนขึ้นมาจริงๆล่ะ” สีหน้าของหญิงสาวกระตือรือร้นขึ้นมาทันที

“ใครหรอหญิง เรารู้จักรึเปล่า”

“ไม่เอาแล้ว ไม่พูดดีกว่า เอาไว้ให้ชัวร์ก่อน ไม่งั้นมิวล้อหญิงแย่เลย”

“อือ.......ก็ได้ ว่าแต่ ไอ้เอ๊กซ์มันเป็นไงบ้างล่ะ”

“ก็ดีนะ แมนดี ยอมเสี่ยงตายช่วยหญิงได้”

“เราหมายถึงอาการของมันต่างหาก เป็นยังไงบ้าง หญิงนี่ก็แปลก นึกว่าเราถามถึงอะไรหรอ”

“อ๋อ.......เปล่าหรอก ไม่มีอะไร ก็แค่.....” ใบหน้าเริ่มมีสีแดงเรื่อ มิวหันไปมองโต้งที่เดินเข้ามาพอดี เลยไม่ทันสังเกต

“ก็ฟื้นแล้วแหละ ตื่นขึ้นมาปุ๊บ ก็เที่ยวโม้ให้คนอื่นๆฟังไม่ยอมหยุดเลย เห็นว่าจะแวะขึ้นมาห้องมิวด้วย แต่เห็นว่าเจ็บแผล ก็เย็บไปตั้งแปดเข็ม ไว้จะขึ้นมาพรุ่งนี้เช้ามั้ง แต่คนอื่นๆเดี๋ยวคงจะขึ้นมาแหละนะ”

“ขนาดเจ็บตัว ไอ้เอ๊กซ์ยังเหมือนเดิม หญิงโชคดีนะ ที่ไอ้เอ๊กซ์มันไปช่วยทัน ไม่งั้นเราคงเสียใจแน่ๆ เพราะหญิงออกมาตามหาเราแท้ๆเลย ถึงได้เกิดเรื่อง”

“อย่าโทษตัวเองสิมิว ไม่มีใครอยากให้เรื่องมันเกิดหรอก แต่ถ้าเรื่องพวกนี้ไม่เกิดขึ้น หญิงก็คงไม่รู้ว่ามิวรักโต้งแค่ไหน เรื่องของโดนัทก็คงไม่จบลงด้วยดีกันทุกฝ่ายแบบนี้ แล้วหญิงก็คงไม่รู้ว่าเพื่อนปากหมาของมิวก็เป็นสุภาพบุรุษเหมือนกัน” หญิงปลอบใจมิว

“ท่าทางหญิงจะสนใจเอ๊กซ์เหมือนกันนะ” โต้งที่เดินเข้ามาพอดีแซวหยิงออกไป

“บ้าเหรอโต้ง ก็แค่รู้สึกขอบคุณก็เท่านั้นแหละ ไปดีกว่า ป่านนี้พวกนั้นโทรศัพท์เสร็จแล้วมั้ง”

“โทรศัพท์หาใครเหรอหญิง” มิวถามไปด้วยความสงสัย

“ก็โทรหารุ่นน้องคนอื่นๆในวงออกัสต์ไง แล้วก็โทรหาพี่.......เออชื่อพี่อ๊อดด้วยมั้ง”

“งั้นป่านนี้คงหูชากันหมดแล้วล่ะหญิง” สีหน้ามิวสลดเล็กน้อย แต่ก็ออกยิ้มปนอยู่บ้าง

“ทำไมล่ะมิว พี่อ๊อดแกดุมากเลยเหรอ” โต้งถามคนป่วยที่นอนอยู่บนเตียง

“ไว้โต้งถามพวกนั้นเองเหอะ ว่าโดนอะไรกันบ้าง” คนตอบยังยิ้มได้แปลว่าคงไม่ร้ายแรงมาก

“เหอออออออออออ...............”เสียงโต้งหาวออกมาดังลั่นห้อง

“งั้นหญิงลงไปก่อนนะมิว แล้วจะเรียกพวกนั้นขึ้นมานะ”

“อืมมม” คนป่วยยิ้มให้คนที่กำลังเดินออกไปจากห้อง ส่วนชายหนุ่มร่างสูงอีกคนก็เข้ามาที่เตียงผู้ป่วย

“ทำอะไรอะโต้ง” สีหน้าของมิวสงสัยอย่างแรง

“ก็เราจะนอนเฝ้ามิวไง” เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลตอบอย่างยิ้มเจ้าเล่ห์

“ก็ไปนอนที่โซฟาดิ ไหงมาเบียดกับเราล่ะโต้ง”

“ไม่เอาอะ ตรงนั้นมันหนาว นอนเบียดกับมิวนี่แหละอุ่นดี เหอะนะมิว นะ” โต้งอ้อนมิว แต่ร่างสูงไม่รอคำตอบ เข้าไปนอนอยู่ทางด้านขวาของร่างโปร่งทันที ด้วยขนาดเตียงที่ไม่ใหญ่เท่าเตียงนอนของมิว ถ้าใครเผลอนอนดิ้นคงต้องตกเตียงแน่ๆ มิวมีทีท่าขัดขืนอยู่บ้าง แต่ก็เขยิบที่ให้โต้งเข้ามานอนใกล้ๆ โดยลืมไปว่าประตูไม่ได้ล็อก







เสียงประตูเปิดเข้ามาเสียงดัง สองหนุ่มบนเตียงหันไปมองด้วยความตกใจ สีหน้าแดงเรื่อด้วยความเขินเมื่อเห็นว่าผู้ที่เข้ามาคือสี่หนุ่มนักดนตรีวงออกัสต์ ซึ่งสีหน้าเขินของผู้มาใหม่ก็ไม่แพ้คนป่วยที่นอนอยู่ก่อน แต่ดูท่าจะเป็นสีหน้าอึ้งปนตกใจอยู่บ้าง ผสมกับสีหน้าเสียดายที่ตนทะเล่อทะล่าเข้ามาเป็นก้างขวางคอของคู่รักคู่นี้ น่าจะเข้ามาเงียบๆและแอบดูดีกว่า แบบนี้ไก่ตื่นกันพอดี อดเห็นช็อตเด็ดกันแน่ๆ หลังจากพูดคุยกับมิวแล้วก็เล่าเรื่องที่โทรหาพี่อ๊อดให้มิวกับโต้งฟัง

“จะว่าไงล่ะพี่มิว พี่อ๊อดก็ด่าเปิงเลยอะดิ บอกว่าพวกเรานี่เก่งแต่หาเรื่อง” ปิงปองบ่นให้มิวฟัง

“อีกอย่างนะ มีรุ่นพี่สามคน แต่ไม่กล้าโทร ยัดเยียดให้ปิงปองเป็นคนโทร ทำยังกับว่าเราไม่กลัวถูกพี่อ๊อดด่างั้นแหละ หูงี้ ชาเลย ป่านนี้ขี้หูร่วงกราวหมดหูแล้วมั้ง” ถึงจ่ะบ่น แต่ปิงปองก็ยังยิ้มได้ดับมุขของตัวเอง

“เออน่าไอ้ปิง เอ็งเป็นรุ่นน้อง ก็ต้องทำหน้าที่สนองนี๊ดรุ่นพี่ดิวะ ลองคิดสิวะ ถ้าพวกพี่โทรไปเองมีหวัง พี่อ๊อดแกเล่นงานหนักกว่านี้แน่ เป็นเอ็งอะดีแล้ว” แวนอธิบายให้ปิงปองฟังอย่างหน้าตาเฉย

“เวรกรรมของปิงปองใช่มั้ยเนี่ย เอาเหอะ นี่พี่อ๊อดเค้าฝากมาบอกพี่มิวด้วยนะ ว่าพรุ่งนี้พี่เค้าจะมาเยี่ยม อย่าพึ่งรีบออกจากโรงพยาบาลล่ะ เห็นพี่แกว่า คุณเอกับคุณบีจะมาด้วย”

“อิ๊บอ๋าย หมอนั่นจะมาด้วยหรอ เซ็งว่ะ ไม่อยากเจอหน้า ท่าทางยังไงก็ไม่รู้ กลัวๆชอบกล” มิวบ่นออกมา ทำเอาโต้งที่นอนฟังอยู่ข้างๆสนใจขึ้นมาทันที



“ใครหรอมิว คุณบีน่ะ” โต้งถามออกมาด้วยสีหน้ากังวลและห่วงใยคนรัก

“พวกนายทุนเจ้าของค่ายครับพี่โต้ง ท่าทางน่ากลัวชะมัด จ้องพี่มิวตาเป็นมันเลย” ปิงปองตอบแทนมิว โดยไม่ทันดูสีหน้าของรุ่นพี่คนอื่นๆ แวนที่อยู่ใกล้ๆก็อุดปากไม่ทัน

“จริงเหรอมิว” น้ำเสียงของโต้งมีน้ำหึงปนออกมา ทำเอามิวและเพื่อนๆตกใจเล็กน้อย หันไปมองทางปิงปองที่ไม่ดูกาลเทศะ ทำเอานักทรัมเป็ตหนุ่มรู้สึกผิดขึ้นมา

“ไม่มีอะไรหรอกโต้ง เค้าก็อาจจะ..........ไม่รู้ดิ อย่ากลัวไปเลยน่า เราดูแลตัวเองได้” มิวพูดให้กำลังใจตัวเองและพยายามให้โต้งสงบลง

“แต่เราห่วงมิวนี่นา น้ำเสียงมิวเมื่อกี้ ตอนที่รู้ว่าหมอนั่นจะมา มันฟังแล้ว.......”

“เรารู้ว่าโต้งเชื่อใจเรา” มิวพูดสั้นๆ ทำให้โต้งคิดได้ นัยน์ตาสีน้ำตาลเปลี่ยนจากความบึ้งด้วยอาการโมโห เป็นสงบลงและเปล่งประกายสดใสออกมาอีกครั้ง

“ขอโทษนะมิว เราเชื่อใจมิวสิ เหมือนที่มิวเชื่อใจเราไง เราก็แค่......แค่.....”

“แค่โมโหหึงไปหน่อยเท่านั้น” ปิงปองช่วยต่อประโยคให้โต้ง ทำเอาทุกคนหันมาจ้องปิงปองอีกครั้ง รุ่นน้องในกลุ่มยิ้มแหยๆ

“ขอโทษคร้าบบบบบบ ปิงปองพูดไม่ถูกเวลาอีกแล้ว พวกพี่ๆอย่ามองปิงปองอย่างงั้นดิ”

ซักพัก เสียงหัวเราะก็เกิดขึ้น จนเวลาผ่านไป มิวหาวออกมา ทำให้เพื่อนๆลากลับลงไปห้องของเอ๊กซ์ข้างล่าง



มิวนอนอยู่ข้างกายโต้ง ท่าทางกังวลเรื่องคุณบีอยู่บ้าง ถึงจะดูเข้มแข็ง แต่แววตาหมอนั่นที่จ้องมิว ก็ไม่น่าไว้ใจ แล้วถ้านายนั่นรู้เรื่องของมิวกับโต้ง จะส่งผลถึงวงและการออกอัลบั้มรึเปล่านะ มิวเก็บความรู้สึกนี้ไว้ในใจไม่บอกใคร โต้งที่แอบหันมามองมิว รู้ว่ามิวไม่สบายใจแน่ๆ แต่ถ้ามิวไม่พร้อมจะพูด โต้งก็จะไม่ถาม ทำได้แค่

“มิว” เสียงของโต้งเรียกมิวจากทางด้านขวา แขนซ้ายของโต้งกางออกขึ้นมาอยู่เหนือศีรษะของมิว นักร้องหนุ่มหันศีรษะของตนไปซบตรงอกซ้ายที่อบอุ่นของคนข้างๆ แขนซ้ายของโต้งโอบไหล่ของมิวไว้ ความรู้สึกเชื่อมั่นว่าจะผ่านอุปสรรคต่างๆไปได้ผุดขึ้นในใจของมิว ก่อนที่ทั้งคู่จะหลับลง โดยครั้งนี้ โต้งไปล้อกประตูกับปิดม่านไว้แล้ว กันใครพรวดพราดเข้ามาอีก







หญิงสาวนั่งอยู่ข้างเตียงของชายหนุ่มคิ้วหนาที่พึ่งจะช่วยชีวิตเธอ หนุ่มๆออกัสต์ยังคงนั่งคอยอยู่หน้าห้องพัก ไม่มีใครยอมกลับ ขนาดเอ็มที่ปกติจะขี้บ่นก็ยังเป็นห่วงเพื่อน นั่งสัปหงกรออยู่บนม้านั่ง ปิงปองเองก็โทรศัพท์หาใครซักคนอยู่ แต่น้ำเสียงนั้น บอกให้ต่อที่แอบฟังอยู่รู้ว่า คุยกันกระหนุงกระหนิงหวานมาก ส่วนแวนก็ขยับนิ้วไปมา เหมือนกับจะคิดโน้ตแต่งเพลงใหม่ๆ หรือไม่ก็ซ้อมเพลงใหม่ที่มิวแต่งขึ้น แต่ทั้งสี่คนต่างก็รู้ว่าทุกคนเป็นห่วงเพื่อนที่อยู่ในห้อง ในขณะที่ก่อนหน้านี้ ทั้งสี่คนขึ้นไปเยี่ยมมิวที่ห้องชั้นบน กลายเป็นว่าไปเป็นก้างขวางคอของชายหนุ่มสองคนที่นอนคุยกันหวานอยู่นเตียงผู้ป่วย ที่ถึงแม้ว่าจะไม่ใหญ่นัก แต่ก็พอที่จะให้คนหนุ่มสองคนนอนเบียดคุยกันได้







เจ้าของคิ้วหนาค่อยๆลืมตาตื่นหลังจากที่งีบไปพักนึงแล้ว ดีใจที่เห็นหญิงนอนเฝ้าอยู่ข้างๆ รู้สึกภูมิใจในความกล้าหาญของตนเอง คิดในใจว่า ตนจะกล้าขอจีบหญิงซึ่งๆหน้ารึเปล่า เอ๊กซ์มองหญิงที่กำลังหลับอยู่ด้วยความอ่อนเพลีย อดเป็นห่วงไม่ได้ว่านี่ก็ห้าทุ่มแล้ว หญิงควรจะกลับบ้านตั้งนานแล้ว มาเฝ้าตนอยู่แบบนี้คงไม่ดี ขณะที่กำลังจะปลุกหญิงนั้น พลันได้ยินเสียงหญิงละเมอออกมาเบาๆ

“ขอบคุณนะเอีกซ์” มือกีตาร์หนุ่มที่นอนฟังอยู่ยิ้มแก้มแทบปริทันที ซักพักประตูห้องก็ถูกเคาะ มีคนสองคนเดินเข้ามาในห้องพักของตน

“พี่หลิวหวัดดีครับ เฮียหวัดดีครับ” เอ๊กซ์นอนยกมือไหว้ ก่อนที่เฮียจะมาปลุกหญิง พลางกล่าวขอบใจเอ๊กซ์ที่ช่วยชีวิตน้องสาวของตน เฮียชูนิ้วโป้งให้เอ๊กซ์เพื่อชื่นชม พร้อมกับส่งยิ้มให้เปรบเบาๆว่า

“ถ้านายจะจีบอาหญิงบอกเฮียนะ เดี๋ยวเป็นพ่อสื่อให้” เอ๊กซ์ยิ้มขอบคุณในโอกาสที่ตนได้รับจากเฮีย จากนั้นพี่หลิวก็พาคนอื่นๆกลับบ้าน เหลือแต่ต่อที่อาสาอยู่เฝ้าเอ๊กซ์อีกเช่นเคย



................................

................................

................................




Create Date : 04 กุมภาพันธ์ 2553
Last Update : 5 มีนาคม 2553 15:01:43 น.
Counter : 541 Pageviews.

8 comments
  
+++ ต่อเรื่อง +++




หกโมงเช้า ร่างโปร่งในชุดโรงพยาบาลลุกขึ้นจากเตียงนอนผู้ป่วย หันไปมองร่างสูงที่นอนอยู่ข้างๆ อมยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปล้างหน้าที่ห้องน้ำ ห้องพักผู้ป่วยของมิวเป็นห้องพิเศษที่เอิร์ธควักกระเป๋าจ่ายค่าห้องให้ ที่หน้ากระจก นักร้องหนุ่มสำรวจบาดแผลที่ศีรษะของตัวเอง เย็บไปห้าเข็ม ตอนนี้แผลดูปกติดี อาการปวดก็ไม่มีแล้ว คนป่วยไม่อยากให้คนที่บ้านต้องห่วงกังวล แต่เพราะโทรศัพท์มือถือของตนพัง เหลือแต่ซิมกับเม็มการ์ดที่ยังใช้การได้ เครื่องของโต้งก็แบตหมด ร่างโปร่งจึงเดินไปที่โทรศัพท์บ้านที่อยู่ใกล้หัวเตียง ฝั่งที่โต้งกำลังหลับสนิท มิวมองดวงหน้าขาวผ่องของร่างสูงที่หลับนิ่งเพราะความอ่อนล้า

“คงลำบากแย่เลยโต้ง ให้เราซบอกอยู่ได้ตั้งหลายชั่วโมง คงพึ่งจะหลับสนิทได้ไม่นานนี้แน่ๆเลย ขอบคุณนะ” มิวพูดเบาๆ ก่อนจะคว้าโทรศัพท์แล้วโทรกลับไปหาป้าอรที่บ้าน





ครอกกกกกกกกกฟี้ฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ

เสียงกรนดังออกมาจากร่างหนาเจ้าของคิ้วเข้มที่นอนพักอยู่ในห้องผู้ป่วยชั้นล่าง บนโซฟา นั่งอยู่ด้วยผู้ชายวัยรุ่นตาตี่เล็กน้อยที่ดูภายนอกคล้ายหนุ่มเกาหลีที่หน้าอวบไปหน่อย มือเบสของวงออกัสต์ตื่นเช้าเป็นกิจวัตร มือข้างขวาถือหนังสือการ์ตูนที่แวะไปซื้อมาจากร้านมินิมาร์ทด้านล่างตึก นั่งอ่านอย่างเพลิดเพลิน ในขณะที่มือข้างซ้ายถือแซนด์วิตช์และเอาเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย สายตามองมายังเพื่อนสนิทที่นอนอยู่บนเตียงเป็นระยะๆ





มิวออกมานั่งที่ระเบียงด้านหลังห้องพัก มองออกไปนอกตึกผู้ป่วยใน เห็นสวนสาธารณะขนาดเล็กอยู่ใกล้ๆ นกหลายชนิดบินว่อนไปมา ออกจากรังเพื่อแสวงหาอาหาร เช้าวันใหม่เริ่มต้นขึ้น ชีวิตดำเนินต่อไป นักร้องหนุ่มหันมามองยังร่างสูงที่หลับอยู่ ผมเกรียนของโต้งช่วยให้ใบหน้าดูเด่นชัดและงดงาม กำลังใจจากโต้งเมื่อคืนนี้ทำให้มิวรู้สึกอบอุ่นและเพิ่มพลังชีวิตแก่หัวใจของนักร้องหนุ่ม ความกลัวและกังวลที่เกิดขึ้นต่อเรื่องราวในวันข้างหน้า แม้ยังคงอยู่ แต่แรงใจที่พร้อมจะเผชิญปัญหาของมิวกล้าแข็งขึ้น เพราะมีคนๆนั้นอยู่ด้วย หัวใจที่เข้มแข็งที่ซ่อนอยู่ในร่างที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงนั้น เป็นแรงขับเคลื่อนให้กับหัวใจอ่อนแอที่โหยหาความรักและซ่อนอยู่ในร่างโปร่งที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ริมระเบียงนี้ มิวหยิบปากกาที่อยู่ใกล้มือขึ้นมา โลโก้โรงพยาบาลอยู่บนด้าม สมุดฉีกตราโรงพยาบาลวางอยู่ใกล้กัน นักร้องหนุ่มจรดปากกาลงไปที่กระดาษพร้อมกับขีดเขียนความรู้สึกที่ผ่านเข้ามาในสมองเมื่อครู่นี้ลงไป





หนึ่งชั่วโมงผ่านไป ร่างโปร่งนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวเดิม วางปากกาลงเรียบร้อยแล้ว ฉีกกระดาษหน้านั้นพับใส่กระเป๋าเสื้อแจ๊กเก็ตสีขียวตัวเมื่อวาน ที่ถูกวางไว้ที่ชั้นวางของใช้ส่วนตัวผู้ป่วย เดินกลับมาที่โต้ง ซึ่งยังหลับใหลอยู่ น้อมศีรษะลงไป ก้มเข้าไปใกล้ แล้วบรรจงดุนจมูกของตนลงไปยังแก้มสีขาวเจือชมพูของร่างสูง ที่สนองตอบรสสัมผัสนั้นด้วยการค่อยๆขยับเปลือกตาขึ้นช้าๆ เผยให้เห็นนัยน์ตาสีน้ำตาลที่สะท้อนความรักความห่วงใย ความมีกันและกันของชายหนุ่มทั้งสองอยู่ข้างในนั้น



“ตื่นแล้วหรอโต้ง นอนต่ออีกหน่อยก็ได้นี่”

“อย่าดีกว่ามิว นี่โรงพยาบาลนะ ไม่ใช่ที่บ้าน ให้มานอนเตียงผู้ป่วยแทนคนเจ็บแบบนี้ มันรู้สึกยังไงไม่รู้ เกิดหมอพยาบาลโผล่เข้ามาล่ะ ไหนจะบรรดาคนที่จะมาเยี่ยมมิวอีก ไม่เอาอะมิว ไม่อยากเสี่ยง เดี๋ยวเราไปล้างหน้าก่อนนะ”

“อืมมมม” นักร้องหนุ่มตอบรับสั้นๆ ก่อนจะเดินมาปลดล็อกประตู พร้อมกับเดินออกไปสำรวจด้านนอกห้องพัก





เดินลงบันไดมาที่ชั้นล่าง ต้องการจะมาทิ่ห้องของเอ๊กซ์ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าห้องไหนแน่ ขณะที่กำลังสำรวจป้ายชื่อห้องอยู่นั้น มิวก็สังเกตเห็นหญิงที่เดินมาพร้อมกับป้าอร เฮีย และพี่หลิว นักร้องหนุ่มส่งยิ้มหวานๆให้แต่ไกลตามปกติ ก่อนจะยกมือไหว้พวกผู้ใหญ่เมื่อเดินมาถึง



“ดีขึ้นแล้วเหรอหนูมิว ป้าเป็นห่วงแทบแย่แน่ะ เมื่อคืนป้าโทรไปบอกป๊าให้แล้วนะ” ป้าอรทักทายมิวอย่างห่วงใย ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่า ไม่น่าพูดถึงป๊าเลย

“แล้วป๊าว่าไงบ้างครับป้าอร” มิวถามป้าอรทันทีเมื่อป้าอรพูดถึงป๊า คงจะตั้งความหวังว่าป๊าจะมาเยี่ยมแน่ๆ

“คือ.........ป๊าเค้าบอกว่าวันนี้ไม่ว่างน่ะลูก แต่เค้าก็เป็นห่วงมิวมากเลยนะ”

“แต่ก็ไม่มาอยู่ดี” สีหน้านักร้องหนุ่มสลดลง พร้อมกับนัยน์ตาสีน้ำเงินที่เริ่มปริ่มน้ำเพราะความโหยหา มิวได้แต่คิดในใจ ‘ ทำไมนะอาม่า ป๊าเค้าไม่ต้องการมิวจริงๆหรอ กี่ปีแล้ว ที่ไม่ได้เจอกัน กี่เดือนแล้ว ที่ไม่ได้คุยกัน ขนาดว่ามิวเจ็บเกือบตายนะอาม่า‘ น้ำตาแห่งความโหยหาความรักจากผู้เป็นพ่อกำลังจะหลั่งออกมา หญิงพยายามจะเดินเข้าไปปลอบมิว ก่อนที่มือนุ่มๆของหญิงจะยกมือของมิวขึ้นมาประคองนั้นเอง มือหนาที่อบอุ่นกว่า ของคนที่มาจากด้านหลัง ก็เข้ามาตบบ่าบางๆของมิว ส่งความห่วงใยและกำลังใจผ่านฝ่ามือข้างนั้นอกไปถึงคนที่เป็นที่รัก



“ขอบใจนะโต้ง” มิวกล่าวขอบคุณออกไปได้โดยทันทีโดยไม่ต้องหันไปมองว่าความอบอุ่นที่ผ่านฝ่ามือเข้ามานั้นเป็นของใคร น้ำตาหยุดไหล พร้อมกับหายใจเข้าและยิ้มออกมา สังเกตโถเซรามิคส์สีขาวที่อยู่ในมือป้าอร สูดดมกลิ่นที่สัมผัสได้ ก่อนจะบอกกับป้าอรว่า

“มิวหิวแล้วครับป้าอร อยากทานข้าวต้มกุ้งจะแย่แล้วครับ” ป้าอรยิ้มให้กับเด็กหนุ่มตรงหน้า ก่อนจะพากันไปที่ห้องพักของเอ๊กซ์





“ไฮเพื่อนมิว เป็นไงบ้าง ตายยากเหมือนกันนะเนี่ย” มือกีตาร์คิ้วหนาที่ตื่นแล้ว ยังไม่ทิ้งลีลากวนประสาทของตน ยกมือทักทายเพื่อนรักออกไป

“พอกันกับมรึงนั่นแหละ ทำตัวเป็นฮีโร่ตายยากเหมือนกันนะ” มิวสวนกับให้บ้าง

“พอกันทั้งคู่เลยพวกมรึง เจ็บตัวแค่นี้คงน้อยไปมั้ง เตรียมหูไว้รอพี่อ๊อดด่าเถอะมรึง” มือเบสหน้าตี๋เอาชื่อพี่อ๊อดมาอ้าง ทำทั้งสองหนุ่มนิ่งเงียบไป



หลังจากนั้น ป้าอรก็เตรียมข้าวต้มกุ้งให้ทุกคนได้ทานกัน จากนั้นพยาบาลก็มาทำแผลให้ทั้งมิวและเอ๊กซ์ ก่อนที่เอิร์ธจะพาโดนัทมาเคลียร์ค่าใช้จ่ายในส่วนของมิว ทั้งโดนัทกับเอิร์ธดูสนิทกันยิ่งขึ้นหลังจากเหตุการณ์เมื่อวาน ดูเหมือนว่าโดนัทจะตัดใจเรื่องโต้งได้อย่างเด็ดขาดแล้ว หลังจากที่ได้คุยกับหญิงเมื่อคืนนี้ เอิร์ธรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของมิวทั้งหมด รวมทั้งค่าเอ๊กซเรย์สมองด้วย ในส่วนของเอ๊กซ์ก็เป็นความรับผิดชอบของเฮียเพราะนักกีตาร์คิ้วหนาต้องเจ็บตัวเพราะช่วยน้องสาวตน ที่ออกจะมีทีท่าชอบใจเอ๊กซ์เป็นพิเศษ ยิ่งเห็นน้องสาวของตนออกอาการเป็นห่วงนายคิ้วหนาคนนี้ด้วยแล้ว ยิ่งพอใจที่หญิงสามารถลืมความรักที่มีต่อมิวในแบบเก่าได้ซักที



มิวและเอ๊กซ์ต่างก็เล่าประสบการณ์ของตนให้คนอื่นๆฟัง เพื่อนๆร่วมวงตามมาเยี่ยมทั้งมิวและเอ๊กซ์จนครบทั้งวง เอ๊กซ์กลับบ้านได้ทันที แต่มิวต้องอยู่ต่ออีกคืนตามคำสั่งของหมอ เพราะต้องรอเอ๊กซเรย์สมองช่วงบ่ายซะก่อน ทำให้มิวหนักใจว่าอาจจะเจอคุณบีที่โรงพยาบาล แล้วตนก็หนีไปไหนไม่ได้ซะด้วย



ก่อนเที่ยง ทุกคนก็พากันลากลับ พวกออกัสต์ตั้งใจจะพาเอ๊กซ์ไปส่งที่บ้าน ขณะที่หญิงยังอยากอยู่เป็นเพื่อนมิว แต่อาม๊าของหญิงอยากให้รีบกลับบ้าน ในที่สุด ทุกคนก็กลับกันไปหมด เหลือแต่มิว ที่อยากกลับไปพักต่อที่ห้อง ขณะที่โต้งก็ขอไปเยี่ยมดูอาการของกรก่อน มิวจึงเดินกลับเข้าห้องพักเพียงลำพังคนเดียว

“เราเดินไปส่งมิวที่ห้องนะ” โต้งถามอย่างห่วงใย

“ไม่เป็นไรโต้ง โต้งไปหาน้านีย์กับน้ากรถอะ เราสบายดีน่า” มิวตอบออกไปแบบนั้น แต่เมื่อพ้นสายตาของโต้ง ก็แอบจับที่แผลบริเวณศีรษะของตน พร้อมกับมีสีหน้าเจ็บปวดไม่น้อย



นักร้องหนุ่มเดินขึ้นมาถึงห้องพักของตน มือขวาจับที่เปิดประตู กดลงและผลักประตูเข้าไปเบาๆ ด้วยความที่ปวดศีรษะมาก จึงแวะขอยาจากพยาบาลที่เคาเตอร์มาแล้ว ร่างโปร่งเดินไปที่หัวเตียง หยิบแก้วน้ำขึ้นมา ขณะจะกำลังทานยาอยู่นั้น พลันได้ยินเสียงคุ้นหูของใครคนหนึ่งดังขึ้น



“เป็นยังไงบ้างครับมิว” ชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบปียืนอยู่ตรงระเบียงที่มิวนั่งเขียนเพลงอยู่เมื่อเช้า สูตรสีดำที่สวมทับบนเชิ้ตสีเทาอ่อน ตุ้มหูเพชรเม็ดเล็กๆประดับอยู่ที่หูซ้าย ผิวพรรณและเครื่องแต่งกายสะอาดสะอ้านในแบบผู้ชายเมโทรเซ็กช่วล ใบหน้าหวานๆแฝงความเจ้าเล่ห์ของคุณบีปรากฏให้มิวเห็น

...........................

...........................

...........................






โดย: Niramitr วันที่: 4 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:17:24:37 น.
  
“เป็นยังไงบ้างครับมิว” ชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบปียืนอยู่ตรงระเบียงที่มิวนั่งเขียนเพลงอยู่เมื่อเช้า สูตรสีดำที่สวมทับบนเชิ้ตสีเทาอ่อน ตุ้มหูเพชรเม็ดเล็กๆประดับอยู่ที่หูซ้าย ผิวพรรณและเครื่องแต่งกายสะอาดสะอ้านในแบบผู้ชายเมโทรเซ็กช่วล ใบหน้าหวานๆแฝงความเจ้าเล่ห์ของคุณบีปรากฏให้มิวเห็น

“สวัสดีครับคุณบี” มิวพยักหน้าทักทาย แต่สีหน้าคล้ายกับไม่ยินดีแม้แต่น้อยที่เจอกับคนๆนี้ ยังคงเอายาเข้าปาก ดื่มน้ำตามลงไป และเดินกลับไปที่เตียงผู้ป่วย

“ไม่คิดจะพูดอะไรมากกว่านี้เหรอมิว อุตส่าห์รีบมานะเนี่ย ถ้าพี่อ๊อดไม่โทรหาพี่เอ ป่านนี้เราก็คงไม่รู้หรอก” ผู้มาเยือนยังคงลอยหน้าพูดอย่างหน้าตาเฉย ไม่แคร์เลยซักนิดว่าเจ้าของห้องผู้ป่วยจะอึดอัดแค่ไหน รอยยิ้มละมุนเจ้าเล่ห์นั้นแฝงนัยยะบางอย่างซ่อนเร้นไว้ สองเท้าของคุณบีพาร่างระหงนั้นมายังเตียงที่มิวพึ่งจะล้มตัวลงนอน นัยน์ตาสีม่วงของคอนแท็กเลนส์คู่นั้นจ้องมองไปยังร่างโปร่งที่นอนอยู่



มิวพยายามไม่สนองตอบปฏิกิริยาของคุณบี แสร้งทำเป็นนอนหลับไม่สนใจคุณที่ยืนอยู่ข้างเตียง แต่ร่างระหงนั้นก็ไม่ได้สนใจท่าทางไม่แยแสของนักร้องหนุ่มแม้แต่น้อย เดินเข้าไปทางด้านหลังของร่างโปร่งที่นอนตะแคงนิ่ง มือขวาลูบไปตามลำตัวของมิว ทำคล้ายกับว่าตรวจดูร่างกายของผู้ป่วย มิวที่แกล้งนอนหลับอยู่ รู้สึกอึดอัดมาก แต่ก็ไม่ยอมตอบโต้ ยังแกล้งทำเป็นนอนหลับต่อไปอีก ทว่า มือขวาของคุณบีก็ยังไม่ยอมหยุด ยังคงลูบไล้ไปตามร่างโปร่งที่แสนงดงามนั้น นักร้องนำแห่งวงออกัสต์ฝืนความรู้สึกไว้อย่างเต็มที่ เพราะความที่ไม่อยากมีปัญหา ยิ่งกับคุณบีที่เป็นทั้งโคโปรดิวเซอร์ และนายทุน มิวเข้าใจดีว่าคุณบีเป็นอย่างไร คิดอย่างไรกับตนเอง แต่ก็เชื่อว่า คนอย่างหมอนั่นคงไม่บ้าทำอะไรประเจิดประเจ้อแน่ๆ แต่นั่นอาจจะเป็นความคิดที่ผิดก็ได้ คุณบียังคงลูบไล้ต่อไปจนมาถึงส่วนบั้นท้าย แรงมือของโคโปรดิวเซอร์หนุ่มสำอาง ทำเอานักร้องหนุ่มในสังกัดขนลุกชัน และกลัวอยู่ไม่น้อย ในที่สุดอาการสั่นเทิ้มของมิวก็แสดงให้เห็น คุณบีเริ่มยิ้มในโอกาสแห่งชัยชนะของตน ก่อนจะยกมือขึ้นจากร่างที่แสร้งนอนหลับอย่างไม่เนียนนั้น





พวกรุ่นน้องนั่งรถแท็กซี่กลับกันไปก่อน เหลือแต่ออกัสต์รุ่น ม.หกอีกสี่คนในวง นักกีตาร์หนุ่มคิ้วหนาล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกงของตนเอง ดึงเอาของสิ่งหนึ่งออกมา ผ้าเช็ดหน้าสีเขียวอ่อน ปักภาษาจีนที่มุมผ้าที่เอ๊กซ์อ่านไม่ออก แต่จำได้ว่าเมื่อคืนนี้หญิงบอกไว้ว่าอ่านว่า”รักมิว”

“ผ้าเช็ดหน้าของไอ้เชี่ยมิว เดี๋ยวกรูกลับไปที่ห้องไอ้มิวก่อน จะเอาของบางอย่างไปคืนมัน ของสำคัญซะด้วย กว่าจะหาคืนมาได้ เกือบตายเลยนะมรึง” เอ๊กซ์พูดจบก็ทำท่าจะเดินกลับไปยังตึกผู้ป่วยในของโรงพยาบาล

“ผ้าเช็ดหน้าอะไรของมันวะ สำคัญขนาดนั้นเลยหรอ” เอ็มบ่นเบาๆอย่างเคย

“กรูจะรู้มั้ยล่ะ อยู่ห้องเดียวกับไอ้มิวมาหลายปี ไม่เคยเห็นมันใช้ผ้าเช็ดหน้ามาก่อนเลย แต่ถ้าไอ้เอ๊กซ์มันว่าสำคัญ เราก็ตามมันไปเหอะ” มือเบสหนุ่มรีบตามมือกีตาร์เพื่อนซี้ไปทันทีหลังพูดจบ ส่งผลให้มือกลองกับมือเบสต้องรีบตามเพื่อนทั้งสองไป





มิวสะดุ้งเฮีอกจากการสัมผัสของคุณบี ด้วยความไม่พอใจ ร่างโปร่งจึงพลิกตัวกลับ แล้วหันไปจ้องมองหน้าคนที่ลูบไล้ร่างกายของตน สีหน้าแสดงความโกรธอย่างเห็นได้ชัด แต่เพราะยังเจ็บแผลและปวดศีรษะ จึงไม่สามารถลุกเดินหนีคุณบีได้ทัน ร่างระหงของผู้บริหารค่ายหนุ่มเข้าไปใกล้นักร้องหนุ่มยิ่งขึ้น มือขวาเชยคางของมิวขึ้นมา ก่อนจะจ้องหน้าตอบ และเริ่มพูด



“ทำไมล่ะมิว เราไม่ใช่นายคนผมเกรียนนั่นเหรอ มิวถึงไม่ชอบใจที่เราเข้ามาอยู่ใกล้ๆ ทีเมื่อเช้ายังเห็นคุยกันหนุงหนิงเชียว”

“คุณบีพูดเรื่องอะไร ผมไม่เห็นรู้เรื่อง” นักร้องหนุ่มปฏิเสธทันควัน

“อย่าคิดว่าเราโง่สิมิว เรามาถึงที่นี่แต่เช้าแล้ว ความใกล้ชิดของนายสองคนน่ะ เรามองออกนะ ว่ามันหมายถึงอะไร” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏบนใบหน้าของคุณบีหลังจากที่พูดจบ ทำให้มิวรู้สึกตื่นกลัว ปากสั่น ใจสั่น ตอบโต้ไม่ออก

“เราเป็นแค่เพื่อนกัน” มิวตอบออกไป เสียงสั่นๆ ไม่เชื่อมั่นในคำตอบของตัว

“อย่าพยายามเลยมิว มันไม่เวิร์กหรอก เชื่อดิ” คุณบียิ้มเยาะมิว

“นายต้องการอะไร” น้ำเสียงของมิวแสดงน้ำโหอย่างชัดเจน

“เราเห็นนายมาตั้งแต่คริสต์มาสแล้ว เห็นนายทั้งสองคนคุยกันหลังคอนเสิร์ตด้วย แค่นั้นเราก็รู้แล้ว ว่านายคือคนที่เราต้องการ อะไรน่ะหรอ หึ... ใจเย็นน่า ไม่ต้องรีบก็ได้ แต่นายจำไว้แล้วกัน ว่านายต้องเลิกยุ่งกับหมอนั่น ไม่งั้น นายทั้งคู่อาจจะต้องเสียใจ “ พูดจบ คุณบีก็ลูบแก้มของมิวเบาๆ ก่อนจะยิ้มเจ้าเล่ห์และเดินออกไปจากห้อง ทิ้งให้คนป่วยกำมือตนเองและบีบแน่นอยู่อย่างงั้นด้วยความเจ็บใจ





ทันทีที่ร่างของคุณบีพ้นไปจากสายตา สี่หนุ่มออกัสต์ที่ยืนแอบอยู่ข้างเสา ก็รีบออกมาและผลักประตูเดินเข้าไปในห้องของมิวทันที

“เป็นบ้างวะไอ้มิว แมร่งน่ากลัวชะมัด คนอะไรก็ไม่รู้” เอ๊กซ์รีบเข้าไปสอบถามเพื่อน ที่เปลี่ยนเป็นสีหน้าตกใจและแปลกใจเมื่อเห็นเพื่อนๆเดินกลับมาอีก

“กรูว่าแล้ว เมื่อวานแมร่งทำเป็นเก็บอาการ เอาเข้าจริงๆ ตัวมารชัดๆ ที่แน่ๆ มรึงงานเข้าแล้วล่ะเพื่อน ท่าทางจะนี้ดมรึงมาก” แวนรีบเสริมเพื่อน และหันมามองมิวอย่างห่วงใย

“ช่างเถอะ ตอนนี้เค้ายังไม่ทำอะไรกรู กรูจะคอยระวังตัวแล้วกัน ว่าแต่พวกมรึงกลับมาทำอะไรกันเนี่ย ลงไปแล้วไม่ใช่เหรอวะ” นักร้องหนุ่มถามเพื่อนๆ

“ก็ไอ้ห่าเอ๊กซ์อะดิ บอกว่าจะเอาของสำคัญมาคืนมรึง” มือเบสส่งเสียงออกมาบ้าง ทำให้นัยน์ตาสีน้ำเงินของผู้ป่วย หันไปมองที่มือกีตาร์คิ้วหนา



“อะ ของๆมรึงใช่ปะ” เอ๊กซ์ส่งผ้าเช็ดหน้าสีเขียวอ่อนที่อยู่ในมือให้กับมิว หัวหน้าวงออกัสต์มองด้วยความประหลาดใจ ตื้นตันใจ เพราะของที่คิดว่าคงจะหายไปแล้วและยากที่จะได้คืน กลับมาอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง คิดถึงคำพูดของโต้งก่อนจะแยกกันที่บันไดเมื่อครู่ใหญ่ก่อนหน้านี้



“มิว เราขอโทษ”

“เรื่องอะไรหรอโต้ง”

“เรา........เราทำผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นหายไปแล้วอะมิว มันคงหล่นหายที่สยามเมื่อวานนี้ตอนเกิดเรื่อง เราขอโทษจริงๆนะ” คำพูดของโต้งแทรกเข้าจิตใจของนักร้องหนุ่ม สิ่งที่เป็นเสมือนตัวแทนร่วมของความรักที่มิวโหยหา อาม่าและโต้ง ผ้าเช็ดหน้าลายปักของอาม่า ที่ครั้งหนึ่งเคยเปื้อนคราบเลือดแห่งความกล้าหาญของโต้ง บัดนี้ หลุดลอยไปตามกระแสลมเสียแล้ว แล้วความรักของเราล่ะ จะหลุดลอยไปอีกรึเปล่า ร่างโปร่งมองหน้าร่างสูงที่ทำหน้าเศร้าแล้วฝืนยิ้มตอบออกไป

“ไม่เป็นไรโต้ง ตอนนี้เรามีโต้ง มีอาม่าที่อยู่ในใจเสมอ โต้งอย่ากังวลไปเลยนะ” มิวยิ้มตอบโต้ง ทำให้ร่างสูงผมเกรียนยิ้มกลับมาได้บ้าง ก่อนจะแยกไปเยี่ยมพ่อกร แต่คนป่วยกลับเริ่มกังวล หวั่นใจ ความเครียดมาเยือน ทำให้มิวปวดศีรษะและเจ็บแผลมากขึ้น จนต้องแวะขอยาจากนางพยาบาล





ตื่นจากพวังค์ น้ำตาของมิวปริ่มออกมาอีกแล้ว น้ำตาแห่งความหวัง บอกให้มิวรู้ว่า ตราบใดมีรัก ก็ย่อมมีความหวังเสมอ ความโกรธความกลัวที่เกิดขึ้นจากการกระทำของคุณบีเมื่อครู่จางหายไป นักร้องหนุ่มคิดในใจ ‘เพราะเราไม่ได้อยู่คนเดียว โต้งคือกำลังใจที่สำคัญของเราเสมอ เพื่อนๆทุกคนอยู่เคียงข้างเราไม่จากไปไหน สิ่งที่หายไปยังสามารถได้กลับคืนมาได้ อุปสรรคต่างๆที่เกิดขึ้น ถ้ามันจะทำให้เราสูญเสียอะไรก็ตาม เราเชื่อว่า เราจะสามารถนำมันกลับมาได้อีกครั้ง เข้มแข็งไว้นายมิว อย่าไปกลัวอะไรกับคำขู่ของคนใจร้ายนั่น’



“ขอบคุณนะ” มิวยิ้มตอบให้เพื่อน ทั้งๆที่น้ำตายังปริ่มหน้าอยู่ เอ๊กซ์จึงดึงผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ในมือมิวผืนนั้นมาซับน้ำตาให้เพื่อน

“มรึงนี่ขี้แยชะมัด พักหลังนี่ต่อมแตกอยู่เรื่อยนะมรึง ยิ้มไว้สิวะ สู้ๆหน่อยเว้ย” นายคิ้วหนาปลอบเพื่อนเสร็จก็ส่งผ้าเช็ดหน้าคืนให้กับเพื่อนรัก มิวยิ้มอีกครั้ง ก่อนจะได้ยินเสียงท้องร้องของใครคนหนึ่ง ทุกคนต่างหันไปทางแวน เพราะแวนเป็นคนเดียวในกลุ่มที่ท้องร้องบ่อยที่สุด มือคีย์บอร์ดทำหน้างง ก่อนจะโบกมือปฏิเสธ สายตาคู่อื่นๆจึงเปลี่ยนเป้าไปจับจ้องที่มือกีตาร์ ซึ่งเป็นมือสวาปามไม่แพ้กัน แต่เอ๊กซ์ก็ทำท่าให้รู้ว่าไม่ใช่ตน ทันใดนั้น สำเนียงแผ่วของใครคนหนึ่งก็ดังมาจากด้านนอกประตู

“พี่ๆคร้าบบบบบ ปิงปองหิวข้าวแล้ว เมื่อเช้าลืมหยิบกระเป๋าตังค์มาอะ จะมีใครสงเคราะห์น้องเลิฟคนนี้มั้ยครับ” จู่ๆมือเป่าแซกรุ่นน้องก็โผล่มาที่หน้าประตู ทำให้ทุกคนเข้าใจแล้วว่าเสียงท้องร้องเมื่อกี้นี้มาจากใคร

“ไป ไปกินข้าวกัน มรึงอยู่คนเดียวก็ดูแลตัวเองนะมิว คืนนี้กรูคงต้องกลับไปนอนบ้านนะเว้ย มาเฝ้ามรึงไม่ได้ ไม่ได้นอนบ้านหลายวัน แม่กรูห่วงแย่แล้วแน่ๆ” เอ๊กซ์หันไปพูดกับมิว ซึ่งมิวก็พยักหน้าเข้าใจ

“กรูก็เหมือนกันนะเว้ย เฝ้าไอ้เชี่ยเอ๊กซ์อยู่หลายวัน เตี่ยกรูจะให้พ่อแม่ไอ้เอ๊กซ์มาสู่ขอกรูไปเป็นสะใภ้บ้านมันอยู่แล้วเนี่ย ไว้พรุ่งนี้ ถ้ามรึงไปโรงเรียนไม่ไหว เดี๋ยวกรูลาให้นะ” ต่อหันไปบอกมิวอีกคน ซึ่งมิวก็เข้าใจเพื่อนเป็นอย่างดี

“อย่าห่วงพี่มิวกันนักเลยครับ เค้ามีคนรู้ใจดูแลอยู่แล้ว กลัวแต่เตียงจะเล็กไปอะดิ ผมว่า เราแวะบอกให้เค้าเปลี่ยนเตียงให้ใหญ่ขึ้นก่อนดีมั้ยเนี่ย ฮ่าฮ่าฮ่า “ ปิงปองพูดติดตลกโดยที่มารู้ว่าเมื่อครู่นี้ นักร้องหนุ่มเจออะไรมา มือกลองหนุ่มขี้บ่นที่อยู่ใกล้ที่สุด จึงพัดโบกกะโหลกของปิงปองไปเบาๆหนึ่งที

“ โอ๊ย!! อะไรเนี่ยพี่เอ็ม เจ็บนะ”

“ก็ของว่างสำหรับคนปากดีไง ไปได้แล้ว บ่นหิวไม่ใช่หรอ แล้วเจอกันนะมิว” หลังจากที่เอ็มพูดจบ เพื่อนๆก็พากันเดินออกไป ทิ้งให้มิวอยู่คนเดียวอีกครั้ง

........................

........................

........................



โดย: Niramitr วันที่: 4 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:17:26:10 น.
  

+++++ต่อเรื่อง+++++





บ่ายนั้น มิวอยู่ตามลำพังคนเดียว เหงาเล็กน้อย แต่ก็รู้สึกดีเมื่อได้หยิบผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นขึ้นมาดู ผ้าเช็ดหน้าแห่งความรักและความทรงจำ อยากจะโทรบอกโต้งใจแทบขาด แต่โทรศัพท์มือถือของตนเองดันพังไปแล้ว ต้องรอเอ๊กซ์เอาเครื่องใหม่มาให้พรุ่งนี้ ส่วนเครื่องของโต้ง ก็ดันแบตหมด ป่านนี้ได้ชาร์ตรึยังก็ไม่รู้ พยาบาลมาพาไปเข้าเครื่องสแกนสมอง หมอบอกว่าปกติดีกลับบ้านได้เย็นนี้เลย ‘ก็ดีเหมือนกัน จะได้ขึ้นไปเยี่ยมน้ากร’ นักร้องหนุ่มอมยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะหยิบเนื้อเพลงที่แต่งไว้เมื่อตอนเช้าขึ้นมาดู มิวฮัมเพลงเบาๆ ก่อนจะนอนหลับตาลงอีกรอบ



เจ้าของร่างสูงในเสื้อเชิ้ตสีฟ้า สวมทับด้วยเสื้อแจ๊กเก็ตสีน้ำเงินเข้ม ปกและขอบชายด้านล่างของแจ๊กเก็ตเป็นสีน้ำตาล ด้านหลังมีตัวอักษรภาษาอังกฤษว่า Nordland Wildlife Series นั่งอยู่ตามลำพังบนม้านั่งยาวหน้าห้องพักผู้ป่วยแผนกโรคทางเดินอาหาร เมื่อครู่นี้ ชายหนุ่มพึ่งออกมาจากห้องทำงานส่วนตัวของลุงหมอ ญาติผู้พี่ของพ่อที่เป็นอาจารย์แพทย์ประจำอยู่โรงพยาบาลนี้ แม่ของชายหนุ่มกำลังอยู่ในห้องผู้ป่วยเฝ้าสามีที่ยังนอนหลับไม่ได้สติ โต้งหวนนึกถึงคำพูดของลุงหมอที่ผ่านมาเมื่อครู่


“อาการของกรหนักจนยากเยียวยาแล้ว ตับเสียหายกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์ นอกจากปลูกถ่ายตับให้ใหม่ก็คงไม่มีวิธีอื่น ขืนทิ้งไว้อย่างนี้ พี่ว่าคงไม่เกินครึ่งปี ยังไงก็คุยกันให้ดีๆล่ะ ตกลงได้แล้วก็มาบอกพี่ ช่วงนี้ก็รับยาไปก่อนแล้วกัน แต่คงช่วยได้ไม่มาก” คำพูดของลุงหมอวนเวียนอยู่ในห้วงสมองของชายหนุ่ม ความกลัวที่จะสูญเสียคนที่รักเข้ามาแทรกอยู่ในหัวใจ ถึงแม้ว่าตลอดหกปีผ่านมา โต้งจะไม่เคยได้รับความรักจากผู้เป็นพ่ออย่างที่ควรจะเป็น แต่พ่อของเขาก็ยังอยู่ ยังได้เห็นทุกเช้าเย็น แต่ในตอนนี้ ข่าวร้ายที่ได้รับมันช่างบั่นทอนกำลังใจของชายหนุ่มเสียเหลือเกิน อย่างที่มิวเคยว่าไว้ เวลาความเหงามันเชี่ยใส่ เจ็บปวดแบบนี้นี่เอง ขนาดว่าพ่อของตนยังอยู่ แต่ความกลัวก็ทำร้ายโต้งถึงเพียงนี้ ชายหนุ่มยกสันมือข้างขวากดขมับตัวเอง ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปหาบุหรี่สูบ อย่างที่เคยทำประจำทุกครั้งเวลาเครียด แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าในโรงพยาบาลไม่มีบุหรี่ขายแน่ๆ ด้วยดวงตาที่เหม่อลอย สองเท้าของโต้งพาร่างสูงที่สติไหลไปกับความกลัวนั้นออกมานอกตึกของโรงพยาบาล ข้ามสะพานลอย มุ่งหน้าเข้าร้านสะดวกซื้อที่อยู่ฝั่งตรงข้าม


“อายุไม่ถึงนี่ ไม่ขายน้อง เดี๋ยวโดนจับ” พนักงานขายบอกโต้งหลังจากดูบัตรประชาชนของโต้ง


“น่าพี่ ผมไม่บอกใครหรอก” โต้งยังคงง้อพนักงานขายต่อไป แต่ท่าทางพี่พนักงานขายก็ไม่ยอมง่ายๆ


“แอลเอ็มเขียวซองนึงฮะพี่” เสียงชายหนุ่มคนคุ้นเคยดังอยู่ข้างหูของโต้ง


“ไอ้เจ๋ง” ร่างสูงอุทานออกมา


“เออ ก็กรูสิวะ แล้วมาจ้องหน้ากรูอยู่ได้ ไปได้แล้วโว้ย” เจ๋งเดินนำโต้งออกมาหน้าโรงพยาบาล ก่อนจะพากันไปที่สวนสาธารณะใกล้ๆ


“อะ กรูแบ่งให้ อายุยังไม่ถึง เสรือกริไปซื้อบุหรี่” เจ๋งส่งบุหรี่ให้เพื่อน


“มรึงมาได้ไงวะ กรูก็นึกว่าวันหยุด พวกมรึงจะไปเที่ยวกันซะอีก” โต้งตั้งคำถาม


“ก็ไอ้เอิร์ทมันขับรถชนเด็กมรึง กรูเสรือกอยากรู้อยากเห็นก็เลยตามมาดู เห็นว่าพ่อมรึงก็อยู่ที่นี่ด้วย เป็นไงบ้างวะ” เจ๋งตอบติดตลกแต่คนฟังก็รับรู้ได้ว่าเพื่อนห่วงใยจริงๆ แต่อย่างไ รเสีย คนถูกถามก็ได้แต่ส่ายหน้า สีหน้าเซ็งอย่างที่เคยทำ


“ไม่รู้ดิ ลุงหมอบอกว่าต้องผ่าตัดเปลี่ยนตับอะไรประมาณนี้นั่นแหละ กรูก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงเหมือนกัน ไม่แน่ กรูอาจจะสละตับกรูให้พ่อก็ได้”


“จริงดิ ให้ตายเถอะ กรูเอาใจช่วยมรึงแล้วกัน เออ.....เมื่อกี้กรูแวะไปห้องพักเด็กมรึงมา เห็นใครก้ไม่รู้ ท่าทางเหมือนพวกเมโทรเลยว่ะ ออกจากห้องเด็กเซ้นต์นิโคลัสมานะเว้ย ท่าทางยิ้มกริ่มแต่น่ากลัวชิบหายเลยว่ะ” เจ๋งบอกโต้งออกไป


“ใครวะ” โต้งกระชากเสียงถามแรงขึ้นจนเจ๋งตกใจ


“แล้วกรูจะรู้รึเปล่าล่ะ มรึงไปถามแฟนมรึงเอาเองแล้วกัน ไปดีกว่า กรูนัดพวกไอ้แหวไว้ที่สยาม กรูไปล่ะนะ พรุ่งนี้เจอกันที่โรงเรียนนะเว้ย” เจ๋งพูดจบก็เดินจากไป ทิ้งให้โต้งเก็บความสงสัยคาใจอยู่อย่างนั้น


“หรือจะเป็นนายคนชื่อบีนั่นรึเปล่าวะ” โต้งบ่นเบาๆก่อนจะเร่งฝีเท้ากลับไปยังโรงพยาบาลทันที


...................



...................


โดย: Niramitr วันที่: 4 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:17:36:11 น.
  

+++++ต่อเรื่อง+++++



สองเท้านำร่างสูงข้ามสะพานลอยกลับมายังโรงพยาบาล โต้งเดินด้วยความพะว้าพะวง
‘นายคนนั้นคือใครกันแน่นะ แล้วมายุ่งอะไรกับมิวด้วย ไม่น่าเป็นพวกออกัสต์แน่ๆ ต้องไปถามมิวให้รู้เรื่องให้ได้’


ใครคนหนึ่งยืนขวางอยู่ตรงทางลงบันไดฝั่งตรงข้าม ชายหนุ่มอายุราวยี่สิบปี ดูหล่อแบบสำอางค์ไม่น้อย เสื้อสูทสีดำที่สวมทับเสื้อเชิ้ตสีเทา ต่างหูเพชรที่หูข้างซ้าย บอกให้โต้งรู้ว่า หมอนี่ไม่ธรรมดา บุคลิกเมโทรแบบที่เจ๋งพูดไว้ รอยยิ้มเจ้าเล่ห์แย้มออกมาก่อนจะเริ่มเอ่ยวาจา


“นายชื่อโต้งใช่มั้ย” ชายแปลกหน้าเริ่มตั้งคำถามก่อน


“นายคือคุณบี” เสียงของชายหนุ่มผมเกรียนตอบเสียงหวั่นๆอยู่บ้าง

“รู้ดีเหมือนกันนี่ ...... ตามมาทางนี้” น้ำเสียงออกคำสั่งอยู่บ้าง


“ทำไมเราต้องเชื่อฟังนายด้วย” โต้งแข็งขืนตอบออกไป


“ก็ไม่รู้สินะ ถ้าไม่อยากให้คนที่นายรักเดือดร้อนก็ตามมา” ผู้พูดส่งรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาอีกครั้ง


“หมายความว่าไง” โต้งเริ่มมีน้ำโหเล็กน้อย แต่ก็ยังเก็บอาการไว้ได้บ้าง


“ถ้านายรู้ชื่อเรา ก็ควรจะรู้สิ ว่าเราเป็นใคร อย่าลืมนะ อนาคตบนเส้นทางดนตรีที่มิวรัก อยู่ในกำมือของเรา ถ้าไม่อยากทำลายความฝันของมิวก็ตามมาซะดีๆ” พูดจบก็เดินนำไปโดยไม่ใยดีว่าโต้งจะตามมาหรือไม่ แต่ท้ายที่สุด โต้งก็ต้องตามไปอย่างเสียไม่ได้ ความรู้สึกวิตกกังวลบางอย่างบอกให้เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลรู้ว่า คนๆนี้จะเป็นอุปสรรคสำคัญของชีวิตรักตนกับมิวแน่ๆ




นักร้องนำวงออกัสต์ตื่นขึ้นมาพูดคุยกับพี่อ๊อดและคุณเอที่แวะมาเยี่ยมช่วงบ่าย มีพี่หลิวกับเฮียสมเกียรติตามมาเยี่ยมอีกรอบ เจ้าของแววตาสีฟ้าเข้มแสนงามส่งเนื้อเพลงและโน้ตเพลงที่แต่งขึ้นใหม่เมื่อเช้าให้ทุกคนได้อ่าน แต่ยังไม่ยอมร้องออกมาให้ใครฟัง เมื่อใครๆถามมิวก็ตอบออกไปว่า

“เอาไว้ให้ผมร้องให้ใครคนนึงฟังก่อนนะครับ กะว่าจะเอาไว้ร้องตอนเช้าที่อากาศดีๆซักวัน” คุณเอยิ้มรับและส่งเนื้อเพลงคืนให้กับมิว ก่อนที่นักร้องหนุ่มจะเรียกพยาบาลเพื่อที่จะได้เตรียมตัวกลับ ร่างโปร่งเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าที่ป้าอรเตรียมไว้ให้ เสื้อเชิ้ตสีเขียวอ่อน กางเกงสแล็กสีน้ำตาลเข้ม พร้อมแจ๊กเก็ตสีน้ำตาลอ่อนตัวประจำที่ชอบใส่ไปโรงเรียนเสมอ


“ผมขออนุญาตไปเยี่ยมพ่อเพื่อนที่อยู่ชั้นบนนะครับพี่ๆ ทุกคนกลับก่อนได้เลยนะฮะ ไม่ต้องห่วง คราวนี้ผมจะดูแลตัวเองให้ดี ไม่ให้เกิดเรื่องอีกหรอกครับ” มิวบอกลาเหล่าผู้ใหญ่ ยกมือไหว้ และเดินไปที่ตึกผู้ป่วยทางเดินอาหารทันที








“นายมีอะไรก็ว่ามา” โต้งบอกกับคุณบี


“ใจเย็นๆสิ........................................ นายรู้ใช่มั้ยว่าอีกหน่อยเราจะปลุกปั้นให้มิวเค้าเป็นนักร้องดัง เค้าจะต้องมีชื่อเสียง คนจะชื่นชอบในเสียงร้องของมิว มิวจะได้เล่นหนัง เล่นละคร มีคอนเสิร์ตใหญ่ แต่เกิดสมมติมีคนรู้เรื่องของพวกนายเข้า แล้วเอาไปโพทะนา ลองคิดซิ ว่ามิวจะทำยังไง การเป็นนักร้องนักดนตรีเป็นความฝันของเค้า นายจะทำลายอนาคตที่มิวฝันงั้นหรอ นายจะทนเห็นผู้คนจับจ้องมิวด้วยสายตารังเกียจได้หรอ อย่าลืมนะ ว่ามิวเค้าเริ่มจะดังบ้างแล้ว ไม่ใช่นักเรียนธรรมดาอีกต่อไป” คำพูดของคุณบีทำให้โต้งสะอึก หวนนึกถึงความคำนึงที่ตนเคยคาดคะเนเอาไว้


“แต่ท่าทางนายไม่ใช่แค่คิดแค่นั้นหรอกนะ นายต้องการอะไรกันแน่”


“ก็แค่ให้นายเลิกยุ่งกับมิว ก็เท่านั้น ไม่อย่างนั้น ทั้งนายและมิวจะเดือดร้อน”


“ไม่ใช่เพราะนายเองสนใจมิวด้วยหรอกเหรอ เราไม่โง่นะ ที่จะได้ดูไม่ออกว่านายเป็นแบบไหน นายมากีดกันเราโดยอ้างเรื่องชื่อเสียงของมิว จะบอกให้รู้ไว้นะ ว่าเรารักมิว รักจากหัวใจจริงแท้ของเรา ถึงแม้ว่าความรักที่เรากับมิวมีให้กันและกัน จะเป็นอุปสรรคในภายภาคหน้ามากน้อยแค่ไหนก็ตาม เราก็จะไม่เลิกรักมิว และเราก็เชื่อว่า มิวก็จะไม่เลิกรักเรา เพราะฉะนั้น ต่อให้นายพยายามแค่ไหน นายก็ทำลายความรักแห่งกันและกันของเรากับมิวได้หรอก สมมติเมื่อถึงวันนั้นอย่างนายว่าจริงๆล่ะก็ เราจะยืนหยัดเคียงข้างมิว ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราเชื่อว่า มิวจะเลือกและพร้อมที่จะสู้ไปด้วยกันกับเรา ................... ถ้านายมีเรื่องจะบอกแค่นี้ งั้นเราขอตัวก่อนนะ” ร่างสูงพูดจบก็เดินผ่านคุณบีไปโดยเอาไหล่ซ้ายของตนกระแทกกับไหล่ของคนตรงหน้าเบาๆเล็กน้อย เป็นทำนองให้รู้ว่าไม่ยอมแพ้กันอย่างเด็ดขาดแน่นอน ทำเอาคุณบีรู้สึกเคืองและมองตามด้วยสายตาไม่เป็นมิตร รอยยิ้มเจ้าเล่ห์หายไป ก่อนจะเดินกลับไปที่ลานจอดรถแล้วสตาร์ตรถสปอร์ตสีบรอนซ์เงินออกไปด้วยความเร็ว




ดูเหมือนจะมีชัยชนะเล็กๆ ระหว่างการเชือดเฉือนทางคารมของโต้งกับคุณบี ปรกติโต้งไม่ใช่คนพูดเก่งหรือมั่นใจในตนเองมาก่อนเลย มักจะติดปากด้วยคำพูดว่า ”ไม่รู้” อยู่เสมอด้วยซ้ำ แต่ตั้งแต่ที่ชายหนุ่มเชื่อมั่นในตนเอง มั่นใจในความรักของตนเอง และได้รับการยอมรับและความเข้าใจจากพ่อและแม่ รวมทั้งกันและกันที่มิวถ่ายทอดให้เสมอเมื่ออยู่ใกล้กัน ทำให้โต้งกล้าหาญเพื่อจะยืนหยัดในความรักของตนเอง โดยเฉพาะเมื่อศัตรูรักคนใหม่เป็นอีกคนที่มีความปรารถนาในตัวมิว ถึงจะมั่นใจในตัวมิว แต่จะให้มั่นใจในตัวนายบีได้อย่างไร ต่างกันกับตอนที่ต้องบอกเลิกกับโดนัท เพราะนั่นคือการทำร้ายคนอื่น แต่กับนายบี โด้งค่อนข้างมั่นใจว่าความรู้สึกของนายบีที่มีกับมิวไม่ใช่ความรักแน่นอน แต่กระนั้น ก็ใช่ว่าโต้งจะไม่หวั่นไหวหรือสั่นคลอนในคำพูดของบี เพราะอย่างไรเสีย โต้งก็อยากให้มิวประสบความสำเร็จในเส้นทางฝันที่มิวเลือก ถ้าเกิดซักวัน ดันเป็นจริงอย่างที่นายบีพูด โต้งก็ยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรได้ มิวเสี่ยงตายช่วยชีวิตโดนัทเพราะไม่อยากให้โต้งเสียใจ โต้งเองก็เช่นกัน เค้าก็ไม่อยากให้มิวเสียใจ ถ้าวันนึง ความฝันของมิวต้องถูกทำลายเพราะความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ล่ะก็ ถึงแม้จะรักกันมาก แต่ความผิดหวังเสียใจย่อมต้องมีแน่นอน ยิ่งคิดยิ่งเครียด หาทางออกกับปัญหาที่ตนกลัวจะเกิดขึ้นไม่ได้ ไหนจะเรื่องอาการป่วยของพ่ออีก โต้งค่อยๆหยิบบุหรี่มาหนึ่งมวนจากซองบุหรี่สีเขียว พลันคิดอะไรบางอย่าง‘จริงสินะ สีเขียว สีที่มิวชอบ นี่แม้แต่บุหรี่ที่เราสูบ ยังทำให้เรานึกถึงมิวได้’ โต้งแอบยิ้มขำกับความคิดของตนเองแต่ก็อดคิดต่อไม่ได้ว่า ’แต่ก็เป็นสิ่งที่ใครต่อใครไม่ยอมรับอยู่ดี เราเลือกสูบบุหรี่ซองสีเขียว เลือกมิว แต่ก็ยากที่ใครจะยอมรับ ...................................... ไม่ใช่สินายโต้ง มันไม่เกี่ยวกัน มิวไม่ใช่บุหรี่นะ มิวคือสิ่งเติมเต็มหัวใจของนายต่างหาก ความรักที่มีให้กันและกัน นำมาซึ่งพลังใจที่เข้มแข็ง’ คิดอย่างนั้นแล้วโต้งจึงเก็บบุหรี่ลงใส่กระเป๋า ตั้งใจว่าจะเลิกสูบอย่างเด็ดขาด เลิกสูบบุหรี่ แต่ไม่มีวันเลิกรักมิวแน่นอน สองเท้านำพาร่างสูงของตนก้าวต่อไป เห็นตึกผู้ป่วยที่พ่อนอนพักอยู่ตรงหน้า ตึกสูงไม่ใช่น้อย แต่หัวใจของโต้งกลับดิ่งลงเรื่อยๆ เหมือนร่างไร้วิญญาณ ร่างสูงก้าวไปที่ตึกช้าๆคล้ายกับคนไม่มีแรง




ร่างโปร่งเดินเข้าตึกผู้ป่วยทางเดินอาหารของโรงพยาบาลเดียวกันกับที่ตนเข้าพัก เลือกที่จะไม่ใช้ลิฟท์ เพราะความที่นอนมาพักใหญ่ จึงอยากจะเดินซะบ้าง นักร้องหนุ่มหน้าหวานก้าวขึ้นบันไดอย่างช้าๆ เกือบจะเย็นแล้ว ไม่รู้โต้งเป็นยังไงบ้าง ยิ่งอาการของน้ากรที่ไม่ดีขึ้นเลย มิวห่วงคนในบ้านนั้นเหมือนกับเป็นญาติสนิทของตนเอง การที่น้านีย์และน้ากรเข้าใจและยอมรับความรักของคนทั้งคู่ ทำให้ชีวิตที่เต็มไปด้วยความเหงาและโหยหาของทั้งมิวและโต้งเปิดขึ้น ความมืดมนในใจกลับสว่างขึ้นมาได้ เพราะความรักที่ท่านทั้งสองมีให้ มิวจึงไม่อยากจะสูญเสียใครไปอีก เท่าที่สูญเสียอาม่าไปก็เจ็บปวดมากพอแล้ว



นักร้องหนุ่มลืมคิดไปว่าตนยังไม่รู้ว่าน้ากรพักอยู่ห้องไหนกันแน่ ขณะกำลังจะเดินดูป้ายชื่อที่ติดไว้ พลันเหลือบมองเห็นร่างสูงที่คุ้นเคยเดินออกมาจากลิฟท์พอดี มิวยิ้มดีใจ กำลังจะเรียกหา แต่พอเหลือบมองดูแววตาที่หม่นหมองของผู้ที่พึ่งจะเดินมาทางตน ใจของมิวก็หล่นวูบลงบ้างเหมือนกัน


โดยไม่ตั้งคำถาม มิวจูงมือชายหนุ่มผมเกรียน แล้วเดินพาร่างสูงที่บรรจุวิญญาณอ่อนแรงของโต้งไปนั่งตรงเก้าอี้ยาวหน้าห้องพักของกรพอดี กุมมือให้กำลังใจกันและกัน ความอบอุ่นบางอย่างไหลเข้าสู่หัวใจของโต้งอย่างประหลาด ความรู้สึกดีที่มีมิวอยู่เคียงข้าง เหมือนอะไรบอกอย่างกำลังคุยกับโต้งข้างใน ข้างในก้อนเนื้อที่อยู่ตรงทรวงอกข้างซ้ายนี้ แขนยาวของชายหนุ่มที่ผิวขาวกว่าเล็กน้อย ดึงร่างของหนุ่มนัยน์ตาหวานที่ผิวคล้ำกว่าเล็กน้อยมาสวมกอดไว้ คางของชายหนุ่มร่างสูง เกยอยู่บนบ่าซ้ายของร่างโปร่ง ที่กระชับแขนกอดร่างสูงไว้อย่างห่วงใย ปลอบโยน โดยไม่สนใจสายตาของผู้ป่วยบางคน รวมทั้งหมอกับพยาบาลอีกหลายคนที่เดินผ่านไปมาแม้แต่น้อย


“ไม่เป็นไรนะโต้ง ไม่เป็นไรนะ” มิวรู้โดยอัตโนมัติว่า อาการของน้ากรอยู่ในภาวะวิกฤติแน่ๆ เสียใจ และกังวล แต่ก็ไม่มีน้ำตา เพราะมิวรู้ดีว่าตนจะต้องเข้มแข็งเพื่อคนตรงหน้า ตอนนี้ โต้งกำลังต้องการกำลังใจจากตนอย่างมาก


“เรากลัวมิว เรากลัว” น้ำตาของโต้งคลอรื้นๆอยู่บนนัยน์ตาสีน้ำตาล ไหลผ่านแก้มของตนเบาๆช้าๆ หยดใส่เสื้อแจ๊กเก็ตสีน้ำตาลของมิว โต้งสามารถเข้มแข็งและแอบซ่อนความอ่อนแอในใจตนต่อหน้าเพื่อนๆหรือคนอื่นๆได้ทั้งหมด มีแต่อยู่ต่อหน้ามิวเท่านั้น ที่โต้งอยากให้ปลอบใจ คนเดียวที่โต้งต้องการกำลังใจ หนึ่งเดียวที่มีกันและกัน กันและกันจากมิวเท่านั้น ที่ช่วยพยุงหัวใจและให้ความอบอุ่นแก่โต้งได้ ร่างโปร่งยังคงปลอบใจร่างสูงต่อไปโดยไม่แคร์สายตาคนอื่น แต่ก็แอบสังเกตผู้คนรอบข้างที่ไม่ได้ว่าอะไร ก็แน่แหละ ในโรงพยาบาลคงมีเรื่องหรือภาพแบบนี้ออกบ่อยๆ เวลาที่ญาติของใครอาการหนัก ก็มักจะโผเข้าหาใครซักคนมาปลอบใจเสมอ คนที่มองมาจึงได้แต่เห็นใจและสงสารมากกว่า



....................




....................




โดย: Niramitr วันที่: 4 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:17:47:15 น.
  

+++++ต่อเรื่อง+++++




แท็กซี่สีเขียวอ่อนแล่นมาจอดหน้าอาคารพานิชกลางซอยแห่งหนึ่ง ชายหนุ่มสองคนเดินลงมาจากรถ ร่างที่สูงน้อยกว่าจ่ายค่าโดยสาร ก่อนจะจูงมือร่างสูงของชายหนุ่มอีกคนเดินเข้าไปในบ้าน ที่จริงโต้งตั้งใจจะนอนค้างเพื่อเฝ้ากรที่โรงพยาบาล แต่สุนีย์เห็นอาการของลูกชายแล้วอดเป็นห่วงไม่ได้ จึงขอให้มิวพาโต้งกลับมาพักที่บ้านก่อน พรุ่งนี้ค่อยไปที่โรงพยาบาลใหม่ นักร้องหนุ่มโทรศัพท์บอกป้าอรว่าคืนนี้จะพาโต้งมานอนค้างที่บ้าน จากนั้นก็ให้รถแท็กซี่แวะไปที่บ้านโต้งเพื่อเตรียมกระเป๋าเรียนและเสื้อผ้าไปที่บ้านของมิวเลย กว่าจะมาถึงบ้านของมิวก็เริ่มค่ำแล้ว เจ้าของบ้านจัดแจงเก็บกระเป๋าของโต้งไว้บนห้อง ก่อนจะลงมาทานอาหารเย็นที่ป้าอรเตรียมไว้ให้ ตลอดเวลาที่อยู่บนรถแท็กซี่ ชายหนุ่มทั้งสองไม่ได้คุยกันเลย มิวรู้ว่าโต้งคงทุกข์ใจเรื่องอาการของกรมาก จากที่ถามมาจากน้านีย์ ก็ทำให้มิวรู้เรื่องอาการของกรมากขึ้น แต่ก็นึกคำพูดมาปลอบใจโต้งไม่ออก จึงได้แต่ให้โต้งกำมือไว้อย่างนั้นจนถึงบ้าน



หลังอาหารค่ำแห่งความเงียบผ่านไป โต้งเดินขึ้นบันไดมาชั้นบน เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น

“ตื๊ดๆๆๆๆ” ร่างสูงหันไปมอง โทรศัพท์มือถือของตนเสียบสายไฟชาร์ตแบตไว้แล้ว ชายหนุ่มหยิบเครื่องของตนขึ้นดู ชื่อของเอิร์ธปรากฎอยู่บนหน้าจอ โต้งรับสายและคุยอยู่ไม่กี่คำก่อนจะวางหู ล้มตัวลงนอนบนที่นอนฝั่งเดิม ที่ตนนอนจนคุ้นชิน มือซ้ายยกขึ้นมาก่ายหน้าผาก ทบทวนเรื่องราวที่ตนคุยกับนายบี ตลอดถึงเรื่องอาการของกรที่น่าเป็นห่วงจนอดใจหายไม่ได้ ยิ่งคิดยิ่งกลุ้ม ร่างสูงล้วงมือลงไปในกระเป๋าแจ๊กเก็ต ตั้งใจจะหยิบบุหรี่ซองสีเขียวขึ้นมา นิ้วมือหนีบบุหรี่คาบไว้ในปาก นอนคิดซักพัก ก่อนจะคายบุหรี่ออก โยนทิ้งลงในกระเป๋าเสื้อแจ๊กเก็ตเหมือนเดิม มือขวาเอื้อมไปหลังลำโพงที่อยู่ใกล้มือ คว้าหัวของตัวต่อไม้ขึ้นมาดู แววตาสีน้ำตาลจ้องไปยังจมูกไม้ที่ตนอุตส่าห์ทุ่มเททำให้มิว ตรึกตรองในใจ

‘กว่าลมหายใจของเจ้าจะสมบูรณ์ ไม่ง่ายเลยนะรู้มั้ย เราจะไม่ยอมเสียมันไปเด็ดขาด’ พลันมีเสียบางอย่างไหลผ่านห้วงความทรงจำ เสียงของสตรีวัยห้าสิบกว่าๆ ที่ร่ำไห้ต่อหน้าพี่ชายของสามีที่เป็นหมอ



“นี่นีย์ไปทำอะไรมาคะพี่หมอ ที่ผ่านมา นีย์ยังทำดีไม่พออีกรึไง ทำไมเรื่องร้ายๆต้องเกิดกับครอบครัวของเราซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งเรื่องแตงที่ทำใจได้แล้ว เรื่องโต้งที่นีย์ก็ยอมรับได้แล้ว ถึงจะลำบากใจอยู่บ้างก็ตาม แล้วนี่ยังจะมาเรื่องกรอีก ถ้านีย์ต้องเสียกรไปอีกคนจริงๆ นีย์ไม่รู้ว่านีย์จะฝืนใจเข้มแข็งได้อีกนานแค่ไหนสิคะพี่หมอ ที่ผ่านมานีย์ก็อดทนและประคับประคองครอบครัวของนีย์อย่างกล้ำกลืนเต็มที่แล้วนะคะ แต่ตอนนั้น นีย์ยังมีกรอยู่ดวย ถ้าสมมติไม่มีกรขึ้นมา นีย์คงทนไม่ได้แน่ๆ นีย์ก็ไม่อยากสูญเสียคนที่นีย์รักที่สุดไปอีกคนนะคะ” อาจารย์หญิงสุดแกร่งร่ำไห้และฟุบหน้าลงกับโต๊ะทำงานของลุงหมอในห้องส่วนตัวที่ประตูเปิดแง้มโดยไม่รู้ว่าลูกชายของตนแอบยืนฟังอยู่หน้าประตูด้วยหัวใจที่เหนื่อยล้าและไร้เรี่ยวแรง ลำพังเรื่องอาการของพ่อก็หนักใจยิ่งอยู่แล้ว ยังเรื่องความอ่อนล้าความเสียใจของแม่อีก ชายหนุ่มทั้งเหมือนและต่างจากแม่ของตน ที่เหมือนกันก็คือ ต่อหน้าคนอื่นๆ ทั้งคู่มักจะทำตนเองให้เข้มแข็ง ปิดซ่อนปมปัญหาในใจของตนไว้ ที่ต่างกันก็คือ สุนีย์จะร่ำไห้และระบายความทุกข์ในใจกับคนที่เธอไว้ใจแต่ก็ยังเป็นคนอื่นสำหรับเธอ แตกต่างจากโต้ง ที่เก็บความรู้สึกของตนไว้เพื่อปลดปล่อยต่อหน้าคนที่ตนรักเท่านั้น



หลังจากคุยกับเพื่อนสาวคนสนิทบ้านตรงข้ามที่เคยแอบหลงรักตนเอง นักร้องนำวงออกัสต์ ก็เดินกลับเข้าบ้าน ร่างโปร่งก้าวเท้าขึ้นบันไดไปสู่ห้องนอนของตน สถานที่ที่อบอวลไปด้วยความรักความหวังของตน หนึ่งในไม่กี่สถานที่ ที่นักร้องหนุ่มมั่นใจว่าปลอดภัยที่สุด ห้องที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึก เปิดประตูเข้าไปอย่างเบามือ มิวเห็นร่างสูงของโต้งนอนตะแคงหันหน้าไปทางหน้าต่าง อย่างที่เคยทำทุกครั้งที่มีปัญหาในใจ ตั้งแต่ที่พบกันในรอบหกปี มิวไม่เคยได้ยินเสียงโต้งสวดสรรเสริญพระเจ้าก่อนนอนอีกเลย คืนนี้ก็เช่นกัน เสียงที่มิวได้ยินมีแต่เสียงสะอื้นเล็กๆของชายหนุ่มที่ตนรัก ร่างโปร่งล้มตัวลงนอนข้างๆ ตะแคงหาร่างสูง มือซ้ายของตนเกาะไหล่ซ้ายของโต้งไว้อย่างที่เคยทำในอดีต


“โต้ง ....................... โต้ง...........................ไม่เป็นไรนะ” มิวร้องทักด้วยคำพูดเดิมๆเหมือนตอนนั้น รอซักพัก ชายหนุ่มที่นอนตะแคงอยู่ก่อน ก็พลิกตัวกลับมาหาอีกร่างที่เข้ามาปลอบโยนตน มือขวาข้างที่ว่างอยู่โอบไหล่ซ้ายของมิวไว้ แม้ยังคงสะอื้น ใบหน้าซุกอยู่ใต้คางของมิว แต่โต้งก็รู้สึกอุ่นใจขึ้น เพราะที่ตรงนี้ ที่แห่งนี้ ที่เล็กๆที่หัวใจสองดวงมีกันและกันเสมอมา เสียงสะอื้นยังคงดังเบาๆต่อไปอีกสักครู่ ก่อนจะเงียบหายไป พร้อมกับการหลับใหลของโต้ง




เกือบจะตีสามแล้ว มิวลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความงัวเงียเล็กน้อย เพราะความที่ได้นอนมามากแล้วตอนอยู่โรงพยาบาล นักร้องหนุ่มจึงลุกขึ้นจากที่นอน เหลือบมองร่างที่นอนหลับสนิทอยู่ข้างๆ ก้าวเดินออกจากห้องนอนไปยังห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตา ก่อนจะกลับเข้ามาในห้องของตนเอง อมยิ้มเล็กๆ ที่เห็นร่างสูงของโต้งนอนหลับได้ซักที หลังจากที่ผ่านเรื่องยุ่งๆที่ทำให้ไม่สบายใจมาตลอดสองวัน ร่างโปร่งพยุงตัวเองมานั่งที่หน้าคอมพิวเตอร์ ฮัมเพลงเบาๆ ที่จริงแล้ว มิวเองก็ใช่ว่าจะไม่มีเรื่องที่ไม่สบายใจ ไหนจะเรื่องคุณบี ที่ตามมาสร้างปัญหา และอีกเรื่องที่มิวกังวลไม่น้อยกว่ากันก็คือเรื่องของป๊า ป๊ากับม๊าอยู่ระยอง ทั้งๆที่รู้ว่ามิวเจ็บจนต้องเข้าโรงพยาบาล แต่ก็ไม่ยอมมาเยี่ยม โทรศัพท์มาถามซักคำก็ไม่มี ความเหงาความน้อยอกน้อยใจเริ่มจับจ้องทำร้ายมิวอีกครั้ง เหลือบมองดูรูปที่เคยถ่ายคู่อาม่าเมื่อตอนงานคริสต์มาสที่โรงเรียนเมื่อหกปีก่อน ยิ่งทำให้มิวกลับคิดถึงอาม่าขึ้นมาอีก แต่พอเหลียวหน้าไปมองตัวต่อไม้ซึ่งตั้งอยู่บนลำโพง ตัวต่อไม้ที่บัดนี้มีจมูกที่สวมเข้ากันพอดีอีกครั้งในรอบหกปี ทำให้หัวใจของนักร้องหนุ่มอบอุ่นยิ่งขึ้นมาอีกเล็กน้อย แต่ก็ใช่ว่าจะคลายความโหยหาในใจได้ทั้งหมด แขนเรียวยาวสวยงามของมิวเอื้อมไปเปิดสวิตซ์ไฟของคอมพิวเตอร์และคีย์บอร์ดที่ปิดไว้ เมื่อเครื่องพร้อมใช้งานแล้ว มิวเปิดคอมพิวเตอร์เพื่อเช็คเมลล์ของตน แอบตกใจที่เห็นจดหมายเข้าจากเมลล์แปลกๆที่มิวไม่รู้จักว่ามาจากใคร เพราะนอกจากเพื่อนๆออกัสต์ พี่อ๊อด และเพื่อนที่โรงเรียนอีกแค่ไม่กี่คน ก็ไม่มีใครรู้ที่อยู่อี-เมลล์ของมิวเลย ด้วยความประหลาดใจบวกกับความอยากรู่ว่าใครส่งมากันแน่ มิวจึงตัดสินใจเปิดอ่านข้อความนั้นดูว่ามีอะไร แล้วก็อดครุ่นคิดหนักใจกับข้อความนั้นไม่ได้ ความกังวลปรากฏอยู่บ้าง แต่ก็ยังเข้มแข็ง ข้อความไม่กี่บรรทัดจากคุณบี ทำให้มิวอดที่จะเหลือบไปมองโต้งไม่ได้ เริ่มคิดถึงอาม่าขึ้นมาอีกพร้อมกับคิดในใจ ‘ทำไมนะอาม่า ทำไมนะ เมื่อไหร่ มิวจึงจะมีชีวิตที่เป็นสุขโดยไม่ต้องกลัวสูญเสียซักที’ นักดนตรีหนุ่มเจ้าของบ้านค่อยๆบรรเลงเพลงเบาๆ เพลงที่อากงชอบ เพลงที่อาม่าเล่นให้มิวฟังตั้งแต่เด็ก เพลงที่บ่งบอกให้รู้ว่า หัวใจของใครคนหนึ่ง กำลังคิดถึงใครอีกคนหนึ่ง แต่เพราะความที่กลัวว่าโต้งจะตื่นมาซะก่อน จึงลดระดับเสียงให้เบาลงอีก ให้ดังเพียงแค่ตนได้ยินเท่านั้น



แขนยาวๆของร่างสูงที่นอนออยู่ลำพังบนที่นอนค่อยๆกวาดไปข้างตัว ไขว่คว้าหาอีกร่างที่นอนอยู่เคียงกัน เมื่อไม่พบใคร เปลือกตาของโต้งจึงขยับเปิดออกเบาๆ มองไปยังตำแหน่งที่มิวนอนเป็นประจำ อย่างที่สัมผัสได้ก่อนลืมตา นั่นคือไม่มีใครอยู่ตรงนั้น โชคดีที่ประสาทหูยังทำงานได้ดี เสียงคีย์บอร์ดของมิวแม้จะเบา แต่ก็ทำให้โต้งรับรู้ความรู้สึกคิดถึงไปพร้อมๆกันได้ เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลค่อยๆพลิกตัวมาตะแคงอีกด้าน แววตาที่ซ่อนอะไรบางอย่างไว้คู่นั้น มองไปที่นักดนตรีหนุ่มที่กำลังบรรเลงเพลงอยู่ในความมืด มีแต่แสงสว่างเล็กน้อยที่ออกมาจากโคมไฟเหนือหัวเตียงและไฟจากจอคอมพิวเตอร์เท่านั้น โต้งมองมาที่มิวอยู่พักนึง ก่อนจะเหลือบไปเห็นข้อความที่ถูกล่งมาทางเมลล์ที่มิวพึ่งจะเปิดอ่านเมื่อครู่


เราไม่ยอมแพ้หรอกนะมิว ไม่ว่ามิวกับโต้งจะรักกันมากแค่ไหนก็ตาม เราจะทำลายมัน

เราชอบมิวมากนะ ถ้าอยากมีความรุ่งโรจน์ในเส้นทางฝันสายคนตรีของมิวล่ะก็

จงเลิกคบกับโต้งซะ เราเตือนเพราะหวังดี ไม่เช่นนั้น มิวและมัน อาจจะสูญเสียทุกอย่าง

ไม่ว่าจะเป็นความฝันที่จะสร้างชื่อวงออกัสต์ให้โด่งดัง รวมทั้ง”กันและกัน”ของพวกนายด้วย

BBBBBBBBBBBBB

แล้วอย่าหาว่าไม่เตือน


...........................


...........................
โดย: Niramitr วันที่: 4 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:18:05:37 น.
  
whenever you felt that your heart is going to breakdown
feel it with the love of God ask for his and then you will
find out what is the truth love in Your life as he does for me!
โดย: da IP: 203.144.144.165 วันที่: 4 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:23:04:52 น.
  
ทำไมไม่จบซักทีฮะ
คุณบี จะทำลายไปถึงใหน
โดย: minmin IP: 180.180.7.46 วันที่: 24 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:16:34:44 น.
  
สงสารมิวกับโต้ง อ่ะ

เมื่อไหร่จะมีความสุขกันซะที
โดย: Minnymint IP: 125.24.40.48 วันที่: 9 มีนาคม 2555 เวลา:16:47:13 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Niramitr
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]



สาวก"รักแห่งสยาม"

New Comments