All Blog
ตอนที่ 32 +++ ความหวังสุดท้าย +++
“คุณบี......” นักกีตาร์วงออกัสอุทานอย่างแปลกใจ เมื่อเห็นผู้บริหารค่ายโผล่ออกมาจากรถตู้ของหัวหน้าชายฉกรรจ์ที่ทำร้ายพวกของตน


“นี่คุณ........ คุณมาได้ไงเนี่ย...” โต้งที่เงยหน้าขึ้นมามองหันมาถามบ้าง


“ขอโทษทุกคนด้วยนะครับ ที่ลูกน้องผมทำอะไรรุนแรงไป มิว.... คุณคงไม่โกรธผมใช่มั้ย..” คุณบีเอ่ยถามมิวต่อหน้าโต้งที่หันไปมองหน้ามิว รอคำตอบเช่นกัน


“ก็... ไม่รู้สิ ไม่รู้เหมือนกัน มัน... แบบ... แบบ... แค่ตั้งตัวไม่ทันน่ะ” มิวตอบ พลางประคองโต้งให้ลุกขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ที่หนึ่งในชายฉกรรจ์ที่ทำร้ายโต้งยกมาให้


“แล้วตกลง... เรื่องมันเป็นยังไงกันแน่เนี่ย” เอ๊กซ์เอ่ยถามคุณบี แล้วหันไปมองหน้ามิวอย่างคนอยากรู้คำตอบ เหลือบไปมองหน้าเถ้าแก่หลิวแว่บนึง แล้วก็ไปนั่งที่เก้าอี้อีกตัว


“ผมว่า.... พวกคุณขึ้นรถไปโรงพยาบาล ให้หมอตรวจอาการก่อนดีกว่า แล้วเดี๋ยวผมจะเล่ารายละเอียดให้ฟัง” คุณบีบอก แล้วสั่งลูกน้องประคองเถ้าแก่หลิวและพวกของมิวไปที่รถตู้เพื่อไปหาหมอ


...


...






“ห๊า.... ว่าไงนะคะม๊า... ทั้งหมดนั่น เป็นแผนของป๊าหรอกเหรอคะ” หญิงเอ่ยถามอย่างตกใจ หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวที่ม๊าเล่าให้ฟัง


“แต่ว่าพวกที่..... ผมว่ามันน่ากลัวเหมือนจริงเลยนะครับ” ปิงปองเสริมทัพอีกคน เพราะประสบการณ์ที่ตนถูกทำร้าย ทำให้ตนเองยังตกใจอยู่ไม่น้อย


“ม๊าไม่รู้หรอกนะ ว่าคนพวกนั้นรุนแรงสมจริงแค่ไหน แต่ที่ม๊ารู้ก็คือ ป๊าเค้าอยากจะทดสอบโต้ง ว่าปกป้องมิวได้มั้ย แล้วรักมิวจริงรึเปล่า ป๊าเค้าเชื่อว่า โต้งจะต้องวิ่งหนีเอาตัวรอดโดยไม่สนใจมิวน่ะสิ แต่ถ้าโต้งพิสูจน์ได้ ว่ารักมิวมากและไม่ยอมทิ้งมิวหนีเอาตัวรอดล่ะก็ ป๊าเค้าก็คงจะยอมใจอ่อนล่ะมั้ง”


“ยังไงเหรอคะม๊า ทำไม ป๊าเค้าถึงนึกจะใจอ่อนขึ้นมาล่ะคะ” หญิงเอ่ยถาม แต่ม๊าของมิวไม่ยอมตอบ เพียงแต่หยิบแหวนหยกสีเขียววงนึงขึ้นมาถือไว้ในมือ พร้อมคิดถึงคำพูดของใครคนหนึ่งขึ้นมา



.....



.....







“อาเล่าตี๋.... ลื้อฟังคำอาม่าให้ดีนะ แหวนของอาม่าสองวงนี้ อาม่ายกให้อามิว หลังจากอาม่าจากไปแล้ว หากมีวันนึง อามิวอีเอาแหวนของอาม่ามาให้ลื้อ แล้วอีขออะไรลื้อก็ตาม อาม่าขอให้ลื้อทำตามที่อีขอ ให้ถือว่าคำขอของอามิว.. ก็คือ คำขอของอาม่าเหมือนกัน ลื้อรับปากอั๊วะได้มั้ย....” หญิงชราสั่งเสียกับลูกชายถึงแหวนประจำตัวของตนสองวง เป็นแหวนหยกสีเขียวเข้มที่สวมที่นิ้วนางข้างขวา และแหวนหยกสีเขียวอ่อนที่สวมที่นิ้วกลางข้างซ้ายของตน ก่อนจะจากไป


“อาม่า... อั๊วะรับปาก อั๊วะรับปาก” เถ้าแก่หลิว รับคำตามที่อาม่าขอ ก่อนจะถอยออกไปนั่งข้างๆน้องมาย และทิ้งให้ภรรยาของตนนั่งข้างๆอาม่าบนเตียง จากนั้นไม่นาน ป้าอรก็พามิวกลับมาจากโรงเรียน มิวในชุดนักเรียนเดินเข้ามาหาอาม่าที่เตียงอย่างเศร้าสร้อย


“ไงเพื่อน... ได้ข่าวว่าอาม่าไม่อยู่ เพื่อนเกเรเหรอ” อาม่าพูดกับมิว หลานชายที่เข้ามานอนข้างๆ สองย่าหลานต่างจับมือของกันและกัน พยายามเกาะเกี่ยวไว้ไม่อยากจากกันไปไหน


“ป๊าพาอาม่าไปไหนมา....” หลานชายเป็นฝ่ายถาม


“ไปเตรียมตัว... เพื่อที่จะเดินทางไกล ................. อีกไม่นานแล้วนะเพื่อน”


“มิวกลัว ............. มิวไม่อยากอยู่คนเดียวอะ” น้ำเสียงของมิว สะท้อนให้เห็นความกลัวที่จะสูญเสียคนรักอย่างชัดเจน จนผู้เป็นอาม่าสังเกตเห็น และสงสารหลานชายจับใจ


“ไม่เอา... อย่าทำแบบนี้ อาม่าไม่สบายใจ...” หญิงชราพยายามปลอบใจหลานรัก
“เพื่อนไปเล่นเปียโนให้อาม่าฟังหน่อยสิ.............”


“เพลงอะไรอะ...” น้ำเสียงมิวแฝงรอยสะอื้นอยู่ไม่น้อย


“เพลงอะไรก็ได้... ที่เพื่อนชอบ..” หลังจากอาม่าพูดจบไม่นาน มิวก็ลุกจากเตียง เดินไปที่เปียโนอย่างเศร้าสร้อย นั่งลง แล้วเริ่มบรรเลงอินโทรเพลงที่อากงชอบเล่นให้อาม่าฟัง พลางหันมามองที่อาม่าเป็นระยะด้วยแววตาที่รื้นน้ำตาอย่างเศร้าสร้อย อาม่าเอง แม้จะเสียใจที่ต้องจากหลานรักไป แต่ก็ยังพยายามที่จะฝืนยิ้มออกมาขณะที่มิวกำลังเล่นเปียโน และถึงแม้จะยังห่วงหลานรักที่ตนใช้สรรพนามเรียกว่าเพื่อนอยู่บ้าง แต่อาม่า ก็คงจะจากไปอย่างเป็นสุข



...



...






เถ้าแก่หลิวนั่งอยู่ในห้องพักที่โรงพยาบาลเพียงลำพัง แอบปวดใจลึกๆที่เห็นลูกชายเฝ้าดูอาการของไอ้หนุ่มร่างสูงไม่ยอมห่าง นักธุรกิจรุ่นใหญ่หวนทบทวนนึกถึงภาพที่โต้งเอาร่างกายปกป้องตนไม่ให้ได้รับบาดเจ็บ นึกถึงภาพที่หนุ่มผมเกรียนต่อสู้เพื่อมิวสุดชีวิตโดยไม่ห่วงตัวเองแล้วก็อดใจหายไม่ได้ ออกจะผิดหวังอยู่บ้างที่ผู้ชายคนนี้ดันรักลูกชายของตนอย่างสุดใจและจริงใจ แต่ก็ต้องยอมรับความเป็นจริงนั้นให้ได้


“ทำไมนะอาม่า... ทำไมนะ” เถ้าแก่หลิวนึกถึงมารดาของตนเอง จังหวะพอดีกับที่มิวเคาะประตูแล้วเข้ามาในห้องพอดี นักร้องหนุ่มยืนมองพ่อที่นั่งอยู่บนเตียงสักครู่ ก่อนจะเข้าไปนั่งที่โซฟาข้างเตียง


“ที่แท้ก็เป็นแผนของป๊านี่เอง....” นักร้องนำออกัสเอ่ยกับบิดา


“ไม่ใช่แผนอั๊วะ... แผนของอาคุณบีนั่นตะหาก”


“แล้วป๊าไปรู้จักคุณบีตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอครับ”


“เมื่ออาทิตย์ก่อน อีว่าอีจะทำธุรกิจร่วมกับอั๊วะ ก็ฝ่ายการตลาดของบริษัทเราดันไปซื้อโฆษณากับอี ก็เลยรู้จักกัน แล้วเมื่อวานนี้ อีก็โทรมา บอกว่าจะช่วยอั๊วะพิสูจน์ ว่าอาโต้งอีรักลื้อจริงรึเปล่าอะสิอามิว”


“ป๊าก็เลยร่วมมือกับคุณบี มาทดสอบมิวกับโต้ง”


“ใช่...”


“แล้ว....”


“อั๊วะยอมรับ ว่าไอ้หนุ่มนั่นมันรักลื้อจริง แต่อั๊วะก็ยัง..... อามิว.... ลื้อรักผู้หญิงแบบที่ผู้ชายคนอื่นเค้าเป็นกันไม่ได้หรอ ลื้อเป็นลูกชายของอั๊วะนะ”


“ป๊า... มิวขอโทษ ที่มิว... มิวทำให้ป๊าผิดหวัง ทำให้ป๊าเสียใจ แต่มิว.. มิวเป็นแบบที่ป๊าต้องการไม่ได้ มิวรักโต้ง รักโต้งคนเดียว และคงจะไม่สามารถรักใครได้อีก” พูดจบ นักร้องหนุ่มผู้นำวงออกัสก็คุกเข่าอยู่ข้างเตียงที่ผู้เป็นพ่อของตนนั่งอยู่ พร้อมจ้องมองด้วยแววตาอ้อนวอน
“ป๊า... มิวขอร้องนะครับ...”


“มิว... ลื้อเป็นคนเอาแหวนของอาม่าใส่ไว้ในชามโจ๊กกุ้งให้อั๊วะเห็นใช่มั้ย” ป๊ากำลังหมายถึงแหวนหยกสีเขียวอ่อนที่ตนเจออยู่ในชามโจ๊กกุ้งกุลา หลังจากที่กินจนหมดชาม


“ครับ...”


“มิว..... ลื้อรู้ใช่มั้ย ว่ามันหมายความว่ายังไง”


“รู้ครับ.... เพราะมิวรู้ ว่าอาม่าสั่งเสียอะไรไว้กับป๊า มิวก็เลย.......”


“มันไม่ง่ายหรอกนะอามิว ... ที่จะให้อั๊วะยอมรับเรื่องแบบนี้ ตอนนี้ ลื้อมีแหวนวงเดียว อั๊วะก็จะรับปากลื้อแค่ข้อเดียว อั๊วะจะให้ลื้อเลือก.. ถ้าลื้อ เลือกจะคบหากับหมอนั่น ก็ต้องเลิกร้องเพลง แล้วมาช่วยอั๊วะดูแลกิจการต่อ แต่ถ้าลื้อเลือกจะร้องเพลง ก็ต้องเลิกคบกับนายคนนั้น”


“แต่โต้งก็พิสูจน์ให้ป๊าเห็นแล้วว่า.....”


“อั๊วะรู้.... ว่าหมอนั่นมันรักลื้อมาก และลื้อก็รักมันมาก ..... มากกว่าอั๊วะ แต่ในเมื่อตอนผ่าตัด ลื้อสัญญาไว้แล้ว ลื้อก็ต้องรักษาสัญญา เพราะอั๊วะก็เป็นคนรักษาสัญญาเช่นกัน ทางเลือกมีเพียงหนึ่งเดียว คิดดูดีๆแล้วกัน ลื้อออกไปได้แล้ว ฝากไปบอกพยาบาลด้วยว่า เดี๋ยวอั๊วะจะกลับไปงานเปิดโรงงานใหม่” เถ้าแก่หลิวพูดจบก็เบือนหน้าหันไปทางอื่น ทิ้งให้มิวเดินคอตกออกไปจากห้องพยาบาล


“มิว... เป็นไงบ้างวะ พ่อมรึงว่าไงบ้าง” เสียงนักกีตาร์คิ้วหนาเอ่ยถาม นักร้องหนุ่มหันมามอง ก็เห็นสมาชิกวงออกัสเพื่อนร่วมรุ่นม.หกและนักเป่ารุ่นน้องรออยู่หน้าห้อง รวมทั้งแม่กับน้องสาวของตนด้วยที่ตามมาจากโรงงาน


“ป๊าบอกว่า... กรูควรจะรักษาสัญญาว่ะ....”


“หมายความว่า.... พ่อมรึงเค้ายังใจแข็งอยู่หรอวะเนี่ย” ต่อพูดขึ้นบ้าง


“ก็ไม่เชิงหรอก ป๊าเค้าก็ยอมรับ ว่าอาจจะพอรับได้ แต่เค้าไม่อยากให้กรูผิดคำพูดเท่านั้นเอง”


“แล้วเรื่องแหวนล่ะลูก ป๊าเค้าจะไม่ยอมทำตามที่รับปากอาม่าหรือมิว” ม๊าถามบ้าง


“ม๊าก็รู้ ว่ามิวเจอแหวนแค่วงเดียว ก่อนจะมาที่นี่ มิวพยายามหาแล้ว แต่หาอีกวงสีเขียวเข้มที่อาม่าชอบใส่ที่นิ้วนางข้างขวาไม่เจอ ต้องรอถามป้าอรว่าเห็นบ้างรึเปล่า”


“แล้วป๊าเค้าว่ายังไงล่ะ” ม๊าถามต่อ


“ป๊าเค้าให้มิวเลือก” จากนั้น นักร้องนำวงออกัสก็เล่ารายละเอียดทางเลือกให้ทุกคนฟัง


“เดี๋ยวม๊าเข้าไปคุยกับป๊าก่อนนะลูก” หลังจากแม่เดินเข้าไปในห้องแล้ว นักร้องหนุ่มก็ถามหาคนอื่นๆ


“คุณบีไปไหนแล้วล่ะเอ๊กซ์”


“แกไปขอโทษโต้งอยู่ในห้องน่ะ บอกว่าแกผิดเองที่บอกลูกน้องไม่ละเอียด พวกนั้นก็เลยทำแรงไปหน่อย ตอนนี้หมอเข้าเฝือกที่แขนให้โต้งเสร็จแล้วนะมิว หญิงก็อยู่ที่ห้องด้วย มรึงจะตามไปดูโต้งปะ”


“อือ... ก็ดี เราจะได้ถามโต้งด้วย ว่าเห็นแหวนของอาม่ารึเปล่า... พวกมรึงไม่ต้องตามไปหรอก กรูอยากไปคุยกับโต้งตามลำพัง ขอบใจนะเว้ย ที่ตามมาถึงนี่ ขอโทษด้วยนะไอ้เอ๊กซ์ ที่กรูทำมรึงเดือดร้อน เอ็งด้วยนะปิงปอง พี่ขอโทษ” แล้วร่างโปร่งก็เดินไปทางห้องพักของชายคนรักตามลำพัง ทิ้งให้คนอื่นๆมองตามอย่างห่วงใย


......



......






“ว่าไง..โต้ง” นักร้องหนุ่มเอ่ยถามคนรัก หลังจากได้อยู่กันตามลำพังในห้องพักผู้ป่วย เพราะหญิงกับคุณบีออกไปแล้ว


“ก็..... ... ไม่เป็นไรแล้วแหละ.... ใส่เฝือกไม่กี่วันเอง เดี๋ยวก็หาย แต่มิวอย่าเพิ่งโทรบอกแม่เรานะ ขี้เกียจฟังเสียงบ่น ว่าแต่มิวล่ะ เป็นไงบ้าง เถ้าแก่เค้า ว่าไงบ้างหรอ”


“ก็.... ไม่รู้จะเริ่มยังไงดี ....” นักร้องนำออกัส ค่อยๆเล่าเรื่องที่ตนได้คุยกับป๊าให้โต้งฟัง




“แหวนสีเขียวเข้มเหรอมิว เราก็จำได้นะ ว่าอาม่าเคยใส่อยู่บ่อยๆ แต่ตอนที่เราไปบ้านมิว เราก็ไม่เคยเห็นหรอก ว่ามันอยู่ที่ไหน แต่มิวอย่าเพิ่งถอดใจล่ะ

เราว่า ... อาม่าจะต้องเก็บแหวนนั่นไว้ในที่ที่อาม่ารักและผูกพันที่สุดก็ได้ ที่... ที่อาม่ารู้ว่า มิวจะต้องหาเจอ”


“แล้วโต้งว่า จะเป็นที่ไหนได้ล่ะ ทีแรกเราก็คิดอย่างโต้ง และเชื่อว่าแหวนต้องอยู่ที่เปียโนแน่ๆ ขนาดสั่งช่างมารื้อแล้วนะ แต่ยังหาไม่เจอเลย”


“ไม่เป็นไรมิว เดี๋ยวเราจะกลับไปช่วยมิวหาเอง เถ้าแก่เค้ายังให้เวลามิวตัดสินใจอยู่ไม่ใช่หรอ”


“อือ..... แต่ว่า...... เรามีเวลาตัดสินใจแค่สัปดาห์เดียว เรา.....” สีหน้าของนักร้องนำวงออกัสสลดลงไปเล็กน้อย

ในใจก็แอบหวังให้ผู้เป็นพ่อใจอ่อน ยอมรับและเข้าใจในสิ่งที่ตนเป็น ในสิ่งที่ตนเลือก แต่คนเป็นพ่อก็มีความหวัง ในสิ่งที่คนเป็นพ่อต้องการเช่นกัน

ถ้ามิวเลือกคนที่มิวรักไปพร้อมๆกับการเลือกเส้นทางชีวิตที่ตนฝันไว้ นั่นก็อาจทำให้พ่อผิดหวัง เสียใจ ผิดสัญญาที่ได้รับปากไว้ ผิดคำพูดต่อผู้เป็นพ่อ

และที่สุด มิวก็อาจจะต้องสูญเสียครอบครัวที่มิวโหยหามานานหลายปี จะเป็นโต้ง หรือเถ้าแก่หลิวผู้เป็นพ่อ ก็ล้วนแต่เป็นคนที่มิวรักและคิดถึงทั้งสิ้น

เพียงคิดแค่นี้ ความเหงาก็เริ่มจะเชี่ยใส่มิวอีกแล้ว...... มันจะเป็นไปได้เหรอ ที่จะรักใครโดยไม่กลัวการสูญเสีย.......




“มิว......มิวเป็นอะไรรึเปล่า.....” ร่างสูงที่นอนเจ็บอยู่บนเตียงร้องเรียก เมื่อเห็นร่างโปร่งยืนนิ่งเหมือนคนไร้ชีวิตจิตใจกระนั้น


“เปล่าโต้ง..... เราไม่เป็นไร โต้งพักผ่อนก่อนนะ คืนนี้คงต้องนอนที่นี่ซักคืน ไว้เรากลับจากงานเลี้ยงที่โรงงานป๊าแล้ว จะมาเยี่ยมนะ....” นักร้องหนุ่มหันหลังนี้ พร้อมกับแอบปาดคราบน้ำตาที่รื้นอยู่ที่ปลายหางตา แต่คนที่นอนเจ็บอยู่ก็ยังสังเกตเห็น


“อีกแล้วนะมิว..... ทำไมมิวต้องแอบเก็บเรื่องเศร้าๆไว้คนเดียวตลอดเลยล่ะ มิวลืมไปแล้วหรอ ว่ามิวยังมีเราเคียงข้างเสมอนะ” ชายหนุ่มผมเกรียนตัดพ้อคนที่แอบร้องไห้


“ก็..... โต้ง..... เราแค่.... เราแค่รู้สึกผิด เรามันไม่ดี เป็นลูกที่ไม่ดี เราทำให้ป๊าต้องผิดหวัง เรามัน.... เรามันเห็นแก่ตัวโต้ง เรามันเห็นแก่ตัว...” นักร้องหนุ่มเอ่ยไปพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมากขึ้น พลางกลับมานั่งข้างคนเจ็บเหมือนเดิม และเริ่มซบหน้าไปที่เตียง


เพราะไหล่ซ้ายที่เจ็บและแขนซ้ายที่กำลังเข้าเฝือกอยู่ ชายหนุ่มร่างสูงจึงพยายามใช้แขนข้างขวาของตน เอื้อมผ่านลำตัวมาที่ศีรษะของชายหนุ่มผู้กำลังร้องไห้ โต้งค่อยๆลูบเส้นผมของมิวเบาๆเป็นการปลอบโยน

“ไม่เป็นไรนะมิว เดี๋ยวมันก็ดีขึ้น ไม่เป็นไรนะ...... วันนึงป๊ามิวจะเข้าใจ”


“ขอบคุณนะ.....” มิวเงยหน้าขึ้นมา แล้วยิ้มให้กับคนรัก ถึงจะเจื่อนๆไปนิด แต่ก็แสดงถึงความรู้สึกดีๆ ที่ตนได้รับจากคนรักที่นอนเจ็บอยู่


“คืนนี้ เราไม่นอนนี่นะมิว เห็นโรงพยาบาลแล้วหดหู่ เราขอไปนอนบ้านมิวนะ” พูดไปก็ส่งแววตาอ้อนวอนให้คนรักตอบตกลง


“อือ.... งั้นถ้าโต้งค่อยยังชั่วแล้ว เราจะเรียกพยาบาลนะ ทำเรื่องออกจากโรง’บาลกัน”



....



...




“ว่าไงนะ วงดนตรีที่เราจ้างไว้ ไม่ยอมมาอีกหรอ....” เถ้าแก่หลิวกำลังคุยกับผู้จัดการโรงงานที่ด้านหน้าเวทีการแสดง เรื่องที่วงดนตรีที่จ้างไม่ยอมมาเพราะปัญหาการปิดถนนเนื่องจากมีการชุมนุมประทัวงอะไรบางอย่าง


“ผมพยายามแล้วครับเถ้าแก่... แต่เราติดต่อใครไม่ได้เลยครับ”


“แล้วลื้อจะให้อั๊วะทำยังไง ไปขอโทษแขกหรอ ว่างานของเรา จัดซะใหญ่โต แต่ไม่มีการแสดงอะไรเลย”


“ก็..... วงดนตรีของนายน้อยไงครับ.... คุณมิวเธอเป็นนักร้องนี่ครับ แถมกำลังดังด้วย ทำไมเถ้าแก่ ไม่ให้คุณมิวช่วยล่ะครับ เห็นว่า เพื่อนๆร่วมวง ก็มาเป็นแขกพักที่บ้านเถ้าแก่ไม่ใช่เหรอครับ”


“อั๊วะไม่อยากให้อามิวอีมาช่วยอั๊วะ ลื้อลองพยายามติดต่อวงอื่นๆไปก่อน ได้ย”งไงแล้วมารายงานอั๊วะ” เถ้าแก่หลิวสั่งความเสร็จ ก็เดินหัวเสียเข้าไปในโรงงาน พลางมองนาฬิกาข้อมือ หกโมงเย็นแล้ว แขกเหรื่อกำลังเริ่มทยอยมาร่วมงาน ไม่มีเวลาเหลือมากนัก สุดท้ายก็กดโทรศัพท์หาผู้จัดการอีกครั้ง


“ลื้อตามลูกชายอั๊วะมาหาอั๊วะที่ห้องหน่อย ด่วนเลย...”



...



…..




“เอาจริงเหรอพี่มิว” มือเป่าแซ็กประธานชมรมดนตรีคนใหม่ของโรงเรียนเซ้นต์นิโคลัส เอ่ยถามรุ่นพี่อดีตประธานชมรม ผู้เป็นทั้งหัวหน้าวงและนักร้องนำวงออกัส


“อือ.... พี่ไม่มีทางเลือกน่ะปิง ป๊าเค้าขอร้อง”


“ทั้งๆที่ป๊ามรึง ไม่อยากให้มรึงเป็นนักร้องเนี่ยนะ แต่เสรือกมาขอร้องให้มรึงและวงพวกเรา ช่วยเล่นดนตรีในงานเนี่ย หลิวแมร่งอย่างโหด เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินปลาช่อนนี่หว่า” นักดนตรีคิ้วหนาบ่นว่าป๊าของมิวชนิดไม่กลัวใครได้ยิน เพราะความโมโหแทนเพื่อนรัก


“เกลียดปลาไหลกินน้ำแกงเว้ยไอ้เอ๊กซ์” มือเบสประจำวงที่ไม่ค่อยพูดเท่าไหร่ช่วยแก้ให้


“เชี่ยเอ๊กซ์.... ป๊ามิวนะโว้ย..... ไม่ใช่เพื่อนมรึง ไอ้ห่า จะพูดอะไร แคร์ความรู้สึกไอ้มิวมันบ้าง” มือคีย์บอร์ดในวงอีกคนปรามเพื่อน


“กรูเอากับมรึงด้วย เผื่อป๊ามรึงได้เห็นฝีมือพวกเรา ได้ยินเสียงร้องเพลงของมรึง แล้วขะใจอ่อนขึ้นมาบ้าง”


“ขอบใจมรึงมากนะเอ็ม แล้วพวกนายที่เหลือล่ะ เอาไง กรูไม่บังคับนะ”


“ไอ้เชี่ยมิวนี่.... มรึงก็รู้ ว่าพวกกรูจะไม่ปฏิเสธมรึง ก็เราถ่อมาถึงนี่ เพื่อช่วยมรึงนี่หว่า ถ้าใครไม่ยองช่วยนะ กรูไล่เตะแมร่งเลย” เอ๊กซ์เสริมความเชื่อมั่นให้เพื่อน


“ผมโทรหาคนอื่นๆแล้วพี่มิว พี่จูนบอกว่าอีกซักพักก็จะมาถึง เราสามารถขึ้นเวทีเล่นเต็มวงได้เลยพี่”


“ดีเหมือนกัน.... ทุกคน.... กรูไม่รู้นะ ว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้าย ที่กรูจะได้เล่นดนตรี ได้ร้องเพลงกับพวกมรึง กับออกัสรึเปล่า แต่กรูจะทำให้ดีที่สุด

เผื่อว่า...... เผิ่อว่า.......” มิวหยุดคำพูดไว้แค่นั้น ไม่ยอมเอ่ยต่อ ทำเอาทุกคนหันมามองที่มิวเป็นจุดเดียว




“เผื่อว่าความหวังของมิวจะกลายเป็นจริง....” เสียงของวัยรุ่นชายดังมาจากที่ใกล้ๆ

“ตราบใดมีรัก ก็ย่อมมีความหวัง” เสียงของหญิงสาวดังมาจากที่เดียวกัน โต้งและหญิงที่เดินมาพร้อมกันช่วยต่อประโยคสุดท้ายของมิวจนจบ



...



….




“เสียงใจฉันเอง ร้องเพลงให้เธอ ฟังอยู่คือเสียง ดังจากใจ ร้องเพลงที่ใคร ไม่อาจฟัง
เสียง ใจฉันเอง ร้องเพลงให้เธอ ฟังอยู่คือ เสียง ดังจากใจ ร้องเพลงที่ฟัง เข้าใจเพียงเรา.....”


เกือบชั่วโมง ที่วงออกัสนำพาความสุขผ่านเสียงดนตรีและเสียงเพลง มอบให้แด่แขกผู้ใหญ่ทั้งหลายที่มาร่วมงานในเปิดโรงงานแห่งใหม่ของเถ้าแก่หลิว ไม่เพียงจะมีแต่คนรุ่นผู้ใหญ่เท่านั้น แม้แต่วัยรุ่นลูกหลานนักธุรกิจในจังหวัดระยองหลายคน รวมทั้งเพื่อนๆของน้องมายก็มาดูคอนเสิร์ตของออกัสด้วย สำหรับเพื่อนๆของเถ้าแก่หลิว เมื่อทุกๆคนรู้ว่า นักร้องนำหนุ่มรูปหล่อของวงออกัส เป็นลูกชายคนเดียวของเจ้าของงาน ต่างก็อดชื่นชมในความสามารถไม่ได้ หลายๆเสียงต่างบอกกับเถ้าแก่หลิวว่า มิวเป็นนักร้องที่ดี มีคุณภาพ ถ้าเอาดีด้านนี้ น่าจะไปได้ไกล ทำเอาผู้เป็นพ่ออดกระอักกระอ่วนไม่ได้ เพราะตนเพิ่งบอกให้ลูกชายเลิกร้องเพลงไปหยกๆ


“อีเป็นลูกชายอั๊วะ อีก็ต้องสืบทอดกิจการต่อจากอั๊วะสิ จะมัวไปเป็นนักร้องอยู่ได้ยังไง”


“แต่มิวมันร้องเพลงเพราะมากนา เถ้าแก่หลิว อั๊วะว่าลื้อน่ะ ให้ลูกมันร้องเพลงแบบนี้น่ะแหละ ดีแล้ว เดี๋ยวนี้นา เป็นดารา รวยจะตาย เผลอๆ ถ้าลูกมันดังมากๆนา มันอาจจะรวยกว่าลื้อ ก็ได้” เถ้าแก่ยงยุทธ เพื่อนสนิทของเถ้าแก่หลิวออกความเห็นขัดแย้งกับเพื่อนสนิทของตน


“แต่ว่า......”


“น่า.... ลื้อไม่ต้องกลัวจะไม่มีใครมารับช่วงกิจกางต่อจากลื้อหรอก ลื้อยังแข็งแรงอยู่ ยังทำงานได้อีกหลายปี แล้วลื้อก็มีหลานชายอีกคนไม่ใช่หรอ ก็ให้อีช่วยลื้อไปก่อนสิ พออามิวซักสามสิบสี่สิบ อีค่อยมารับช่วงต่อจากลื้อ ก็ไม่สาย” เพื่อนคนสนิทของเถ้าแก่พยายามเชียร์มิวให้เป็นนักร้องต่อไปอีก


“แต่ว่า.....”


“อาเตี่ยลื้อ อีก็ชอบเล่นดนตรีไม่ใช่หรอ อีเป็นนักเปียโนมีชื่อนี่.... ลื้อเองยังเคยบอกกับอั๊วะเลย ว่าอยากเป็นนักดงตรีแบบอีน่ะ”


“แต่ว่า.......”


“ลื้อจะแต่หาอาราย... เมียลื้อ อีเล่าให้อั๊วะฟัง เรื่องที่ลื้อจะให้อามิวอีเลิกร้องเพลง อาเถ้าแก่หลิวนา ลื้อเชื่ออั๊วะ อย่าไปขวางทางฝัน ขวางทางชีวิตที่อีเลือกเองเลย อามิวมันอยากเป็นนักร้อง ลื้อก็ต้องสนับสนุนลูกสิ ดีกว่าจะปล่อยให้มันเตลิดไปไหนต่อไหน อั๊วะรู้.... ว่าลื้อน่ะรักลูก แต่ลื้อฟังคำอั๊วนะ ลูกน่ะ ถึงเรารักเค้าแค่ไหน เราก็อยู่กับเค้าไปได้ไม่นานนักหรอก แต่สิ่งที่เค้ารักสิ จะอยู่กับเค้าไปจนตาย เพราะฉะนั้น ลูกมันจะรักอะไร ลื้อก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามนั้น”


“ลื้อพูดคำคมแบบนี้เป็นด้วยเหรอวะ ยงยุทธ"


“อั๊วะจำมาจากเพื่อนอั๊วะอีกคน หมอประเสริฐไง ลื้อก็เคยเจอนี่หว่า ทั้งเจ้าป้อมลูกชายอั๊วะ และหนูอ้อมลูกสาวมัน รุ่นราวคราวเดียวกับอามิวนี่แหละ รักดนตรี และเรียนดนตรีด้วยกันทั้งคู่ ตอนแรกอั๊วะก็ไม่เห็นด้วยกับมันนะ สุดท้าย อั๊วะก็เข้าใจ ถ้ามันเป็นสิ่งที่ลูกรัก เราก็ต้องรัก และมีความสุขไปกับลูกของเรา คนเป็นพ่อเป็นแม่นะเว้ย อะไรจะมีความสุขไปกว่าการเห็นลูกมีความสุขวะ และยิ่งลื้อนะ อาเถ้าแก่หลิว ลื้อไม่ได้เลี้ยงเค้ามา ดนตรีต่างหาก ที่เค้าผูกพันมาตลอดชีวิต ถ้าลื้อบังคับให้ลูกของลื้อเลิกร้องเพลง ก็เหมือนกับลื้อฆ่าเค้าทางอ้อม”


“แต่ว่า......”


“แต่..... จะแต่ไปไหนวะ”


“เออ..... ไม่แต่ก็ได้ จะว่าไป เวลาที่อามิวอีร้องเพลงเนี่ย ดูมีความสุข มีชีวิตชีวายิ่งกว่าตอนที่อั๊วะพาเดินดูโรงงานโขเลย อย่างที่ลื้อว่าแหละอายงยุทธ อั๊วะอาจจะเริ่มใจอ่อนก็ได้ เพราะถึงยังไง อามิวอีก็รักอั๊วะ อั๊วะไม่อยากเป็นพ่อใจร้าย”


“ดีแล้ว.. ไปเหอะ ไปฟังลูกชายลื้อ ร้องเพลงสุดท้ายกัน” เถ้าแก่ยงยุทธกอดคอเพื่อนรักไปดูมิวร้องเพลงด้วยกัน ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มของเพื่อนสนิท



....



…..







“ครับ.... นี่ก้เป็นเพลงสุดท้ายที่พวกเราจะร้องในค่ำคืนนี้ เป็นเพลงที่ผมแต่งเองเพื่อใครบางคน และเชื่อว่า หลายท่านก็คงจะเคยได้ฟังกันมาบ้าง ก็หวังว่า ทุกๆคนคงจะชอบเพลงนี้กันนะครับ”


เสียงดนตรีบรรเลงดังขึ้น มิวยังไม่ทันได้ประกาศว่าเป็นเพลงอะไร เสียงกรี๊ดแสดงความตื่นเต้นดีใจก็ดังขึ้นมาเสียก่อน เสียงตะโกนข้างล่างว่า .... กันและกัน....กันและกัน... ลั่นเข้าไปในโสตประสาทของนักร้องหนุ่ม ยังความปลาบปลื้มดีใจให้กับเจ้าของบทเพลงเป็นยิ่งนัก



“ถ้าบอกว่าเพลงนี้ แต่งให้เธอ เธอจะเชื่อไหม มันอาจไม่เพราะ ไม่ซึ้งไม่สวยงามเหมือนเพลงทั่วไป
อยากให้รู้ ว่าเพลงรัก ถ้าไม่รัก ก็เขียนไม่ได้ แต่กับเธอคนดีรู้ไหม ฉันเขียนอย่างง่าย...ดาย ......”



ระหว่างที่มิวเริ่มร้องเพลงอยู่นั้น ชายหนุ่มผมเกรียนที่ใส่เฝือกยืนฟังและยืนมองอยู่ข้างล่าง ก็ยิ้มตามไปกับเสียงร้องของนักร้องหนุ่มด้วยความเขิน ถึงจะเจ็บตัว แต่ความหล่อของโต้งก็ยังคงอยู่ วัยรุ่นสาวบางคนจำได้ว่าโต้งเป็นพระเอกเอ็มวี ต่างก็เข้ามาขอถ่ายรูปอยู่หลายคนทีเดียว แต่นั่นก็ไม่สามารถทำลายสมาธิของโต้งที่จดจ่ออยู่กับบทเพลงแห่งความรักของตนกับนักร้องหนุ่มบนเวทีไปได้



“เธอคงเคยได้ยินเพลงรักมานับร้อยพัน มันอาจจะโดนใจ แต่ก็มีความหมายเหมือนๆกัน
แต่ถ้าเธอฟังเพลงนี้ เพลงที่เขียนเพื่อเธอเท่านั้น เพื่อเธอเข้าใจความหมายแล้วใจจะได้มี ...กันและกัน ....”




เถ้าแก่หลิวเหลือบมองไปที่ลูกชายที่กำลังร้องเพลง และเหลียวมองที่ชายหนุ่มที่กำลังมองขึ้นไปบนเวทีด้วยแววตายิ้มแย้ม แววตาที่ชายหนุ่มทั้งคู่สะท้อนความรักให้กันและกัน เด่นชัดมากพอให้ผู้เป็นพ่อสัมผัสได้ แอบเจ็บปวดในใจลึกๆ แต่ก็เก็บอาการไว้



“เฮียฟังเพลงนี้ของอามิวสิ แล้วเฮียจะเข้าใจ ว่าทำไม ชั้นถึงไม่ขัดขวางลูก ทั้งเรื่องที่เค้าอยากจะเป็นนักร้อง แค่ได้ฟังเสียงร้องของมิว ในทุกๆเพลง และยิ่งเพลงนี้ด้วยแล้ว ชั้นก็มั่นใจ ว่าอามิวอีถ่ายทอดความรู้สึกที่มีต่อใครคนนึง ผ่านเสียงเพลงและดยตรีของเค้าได้จริงๆ เหมือนที่อาเตี่ยของเฮีย ชอบเล่นเปียโนให้อาม่าฟังยังไงล่ะ และเฮียดูแววตาที่มิวมีต่อโต้งสิ เด็กทั้งสองจริงใจต่อกันนะ มิวร้องเพลงรักให้โต้งฟัง โต้งฟังแล้วก็รับรู้ได้ถึงความรักของมิว เด็กทั้งคู่มีกันและกันแล้ว ต่อให้เฮียห้ามยังไง ขัดขวางยังไง พวกเค้าก็คงจะมีกันและกันตลอดไป เหมือนอย่างเราไงเฮีย เหมือนเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ที่เฮียเล่นเปียโนบอกรักชั้น เฮียลืมมันไปหมดแล้วหรอ”



“อั๊วะไม่เคยลืม ..... และไม่เคยลืมด้วยว่า เพราะการเป็นนักดนตรีนี่แหละ ที่เพื่อนรักวัยเด็กของอั๊วะคนนึง ต้องตายจากอั๊วะไป”



“มันเป็นอุบัติเหตุนะเฮีย... มันไม่ใช่ความผิดของใครหรือของอะไรทั้งนั้น เฮียมาโทษว่าดนตรีทำให้เพื่อนรักของเฮียตายน่ะ มันไม่ยุติธรรมนะ”



“แต่ถ้ามันไม่ไปเป็นนักดนตรีนั่น มันก็คงไม่ถูกพวกผู้ดีนั่นดูถูกเอา ไม่ต้องไปทำงานในผับนั่นให้เกิดเรื่องจนต้องมาตายอย่างไร้เกียรติ อั๊วะถึงได้เลิกคิดเป็นนักดนตรีไง อั๊วะต้องรวย รวยมากๆ แล้วก็จะมีแต่คนยกย่อง” เถ้าแก่หลิวเหมือนจะรำลึกความหลังบางอย่างที่เป็นปมให้ตนไม่อยากให้ลูกเป็นนักดนตรี



“มันเป็นอดีตไปแล้วนะเฮีย เดี๋ยวนี้มันไม่เหมือนตอนนั้น เฮียดูเด็กๆวัยรุ่นข้างล่างสิ พวกเค้าฟังเพลงของมิวอย่างมีความสุข มีแต่ความรัก ความชื่นชม ไม่มีใครเค้ามาดูถูกอาชีพนักดนตรีเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ดนตรีคือสิ่งที่ให้ความสุขนะเฮีย เฮียลืมไปแล้วหรอ ว่าเฮียมีความสุขแค่ไหนตอนที่เล่นเปียโนให้ชั้นฟัง”



“อาจู.......อั๊วะ...... อั๊วะขอโทษ......ลื้อพูดถูก ....... อั๊วะแค่ทุ่มเทชีวิตให้กับธุรกิจมากเกินไป จนละเลยความรู้สึกของลื้อ จนหลงลืมความทรงจำเก่าๆ ลื้อรู้มั้ยอาจู บางที่ อั๊วะคงจะยอมใจอ่อนเรื่องอามิวอีแล้วแหละ” เถ้าแก่หลิวบอกกับภรรยาสุดที่รักเรื่องการตัดสินใจของตน ผู้เป็นภรรยาสวมกอดอย่างมีความสุข นักร้องหนุ่มที่แอบมองอยู่ก็มีความสุขไปด้วย






“ให้มันเป็นเพลง ....... บนทางเดินเคียง ..... ที่จะมีเพียงเสียงเธอกับฉัน ..... อยู่ด้วยกันตราบนานๆ
ดั่งในใจความบอกในกวี........... ว่าตราบใดที่มีรักย่อมมีหวัง .........คือทุกครั้งที่รักของเธอส่องใจ ......
............ฉันมีปลายทาง”



เพลง “กันและกัน” จบลงไป เรียกเสียงกรี๊ดชื่นชมและเสียงเชียร์ได้มากมายทีเดียว หลายคนเอาดอกไม้มามอบให้กับนักร้องนำวงออกัส รวมทั้งโต้ง ชายหนุ่มพระเอกเอ็มวีก็เช่นเดียวกัน ที่แม้ว่าจะไม่มีดอกไม้ แต่ก็เอาน้ำไปยื่นให้ดื่มถึงขอบเวทีกันเลยทีเดียว เรียกเสียงฮือฮาได้ไม่ธรรมดา




ทางด้านเถ้าแก่หลิวที่กำลังชื่นชมลูกชายอยู่นั้น ตั้งใจจะขึ้นไปบนเวทีเพื่อกอดและกล่าวขอบคุณลูกชายก่อนจะปิดท้ายด้วยการพูดขอบคุณแขกผู้มีเกียรติบนเวที ขณะนั้นเอง ลูกน้องคนหนึ่งก็ส่งหนังสือพิมพ์บันเทิงซุบซิบฉบับหนึ่งให้อ่าน เป็นฉบับวันรุ่งขึ้นที่วางแผงแล้ว ไม่เพียงแต่เถ้าแก่หลิวเท่านั้นที่ได้อ่าน แขกในงานหลายคนก็ได้อ่านเช่นเดียวกัน เพราะว่ามีอยู่หลายฉบับ นักธุรกิจพวกนี้ คงไม่สนใจข่าวบันเทิงนัก ถ้าไม่เป็นเพราะว่า มีรูปของลูกชายนักธุรกิจคนดังของจังหวัดระยอง คนที่เป็นนักร้อง คนที่เพิ่งจะร้องเพลงจบ และยังไม่ทันได้ลงจากเวที หลาอยู่บนปกพอดี





....แฉ.....นักร้องหนุ่มดาวรุ่งเป็น ”เกย์” คว้าพระเอกเอ็มวีของตนเป็นคู่ขา มั่วสวาทม่านรูดกลางดึก....
ภาพของมิวกับโต้งขณะเดินออกจากโรงแรมม่านรูดด้วยกันกลางดึก โชว์เต็มพาดหัวอยู่บนปก







หลายๆคนหันไปมองที่มิว มองที่โต้งสลับกันไปมา ยิ่งพวกวัยรุ่นต่างมองอย่างสงสัย การแสดงออกของโต้งเมื่อครู่นี้ ชวนให้เชื่อเอามากๆ โดยยังไม่ทันได้อ่านรายละเอียดของเนื้อข่าว ทุกคนก็ทำสีหน้าไม่ปลื้มเอาซะแล้ว ยิ่งแขกผู้ใหญ่ในพื้นที่หลายคน ต่างจ้องมองไปที่นักธุรกิจใหญ่ผู้เป็นพ่อ ด้วยแววตาแห่งคำถามว่า สอนลูกยังไง ให้ลูกเป็นเกย์ เสียงกระซิบแปลกๆเป็นภาษาจีนด้วยท่าทางดูหมิ่น ยิ่งทำให้เถ้าแก่หลิวเกิดความอายและโกรธขึ้นมา



โดยไม่ทันรู้ตัว เถ้าแก่ใหญ่เจ้าของงาน เดินไปเบื้องหน้าลูกชาย ที่มองแววตาของผู้เป็นพ่ออย่างสงสัย เพราะว่ามิวอยู่บนเวที ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะความที่ตนคิดไปแล้วว่า ลูกชายของตนไปมีอะไรกับชู้รักที่โรงแรมม่านรูดไปแล้ว ผู้เป็นพ่อจึงยั้งอารมณ์ไม่อยู่ ชูหนังสือพิมพ์ที่มีรูปคู่หน้าโรงแรมให้นักร้องหนุ่มได้เห็น ยังไม่ทันจะเอ่ยปากแก้ตัวอะไรก็พลัน




“เปรี้ยงงงงงงงงงงง.......” เสียงฟ้าร้องของฝนหลงฤดู ดังกระหึ่มจนสร้างความประหวั่นให้แก่ผู้คน





“เผี่ยะ!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!” เสียงตบหน้าฉาดใหญ่ที่ดังลั่นผ่านไมโครโฟน ท่ามกลางแววตาตกใจของทุกๆคน สมาชิกออกัสที่ยังไม่เห็นข่าวต่างอึ้งจนไม่กล้าขยับตัว ชายหนุ่มผมเกรียนที่มองดูอยู่ข้างล่างก็งงตาค้าง กำลังจะวิ่งขึ้นเวทีไปประคองมิวที่มีสีหน้าตกใจระคนความเศร้า พลันมีแขนของหญิงสาวที่สูงวัยกว่าตนมาคว้าเอาไว้เสียก่อน



จูนส่งหนังสือให้โต้งดู สีหน้าชายหนุ่มสลดตกใจ อยากจะแก้ตัวให้คนนอกได้รับรู้ แต่แววตาของใครต่อใครหลายคนที่มองมาที่โต้ง ก็สะท้อนความรู้สึกบางอย่าง ที่ทำให้โต้งนึกกลัว จึงได้แต่ยืนนิ่ง รอดูสถานการณ์



“ป๊า......คือ..........”



“ลื้อไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น อั๊วะเสียใจและผิดหวังในตัวลื้อมากนะอามิว อั๊วะเกือบจะทำใจยอมรับได้แล้วเชียวว่า..... แต่สิ่งที่ลื้อกับหมอนั่นทำไว้..... ลื้อ.... ลื้อไม่คิดถึงความรู้สึกของอั๊วะเลยใช่มั้ย ถึงได้ไปเรื่องทุเรศแบบนั้นให้ใครต่อใครเห็น ให้ใครต่อใครมาด่าอั๊วะ ว่าอั๊วะ...” เถ้าแก่พูดทั้งคราบน้ำตาแล้วลงจากเวทีอย่างรวดเร็ว



น้ำตาไหลรื้นอาบใบหน้าของนักร้องหนุ่ม หันไปมองแขกในงานที่มองมาที่ตนอย่างประหลาดใจ ความเสียใจที่ถูกพ่อทำร้าย บวกกับความเสียใจ ที่ตนเป็นต้นเหตุให้พ่อร้องไห้ ความเสียใจที่เป็นสาเหตุให้งานล่มและอาจทำให้ธุรกิจของพ่อเสียหาย มิวไม่กล้าสู้หน้าพ่อ ถึงจะเสียใจที่พ่อไม่เข้าใจ และไม่ให้โอกาสตนได้อธิบาย แต่ความรู้สึกเสียใจนั้นก็ถาโถม กลายเป็นว่า นักร้องนำโทษตัวเองถึงเรื่องราวทั้งหมด ไม่คิดแม้แต่จะหยิบหนังสือมาอ่านรายละเอียด ไม่แม้แต่จะมองหน้าเพื่อนๆและน้องๆร่วมวงที่พยายามเรียก ไม่แม้แต่จะลงไปหาคนรักที่พยายามจะขึ้นไปหาบนเวทีเหลือเกิน........



มิวก้าวลงจากเวที โดยไม่ฟังเสียงเรียกจากใครๆ ร่างโปร่งเดินออกจากงานไปพร้อมกับสายฝนที่เพิ่งเริ่มกระหน่ำลงมาพอดี ฝนตกหนักทำเอาผู้คนแตกตื่นวิ่งหลบฝนกันจนชุลมุนไปหมด สมาชิกออกัสทุกคน รวมทั้งโต้ง หญิง และพี่จูน ต่างก็พากันจะเรียกหามิว แต่ฝูงชนที่วุ่นวายหนีฝน ทำให้ไม่ทมีใครเห็นเลยว่า นักร้องหนุ่มร่างโปร่งเดินไปทางไหนกันแน่




...............






...................





Create Date : 10 กรกฎาคม 2554
Last Update : 10 กรกฎาคม 2554 8:23:09 น.
Counter : 521 Pageviews.

4 comments
  
ใจร้ายยยยกับมิว จริงๆคุณบอล ทำคนน่ารักได้ลงคอ
แวะมาเยี่ยม และอ่านฟิค ค่ะเมื่อไหร่จะมาต่ออีกน้าา
อยากรู้มิวจะเป็น ยังไงต่อไป
กำลังคิดจะรวบรวมฟิคหลายเรื่อง
มาเก็บใว้ในบล๊อกจะเก็บใว้อ่าน
ตอนนี้ยังไม่ขยันเลย เดี๋ยวมันจะหายไปหมดเสียดาย


โดย: kennyjung วันที่: 8 กันยายน 2554 เวลา:9:38:41 น.
  
ชอบๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ รออ่านตอนต่อไปใจจะขาดดดด
โดย: ชอบมากๆๆๆ IP: 192.168.1.131, 110.77.160.115 วันที่: 30 ตุลาคม 2554 เวลา:2:06:56 น.
  
ได้กลับไปย้อนดูรักแห่งสยามอีกครั้ง ก็เลยคิดอยากจะอ่านฟิคขึ้นมาอีกจังเลย อ่านซ้ำๆเรือ่งเก่าเรื่องใหม่ แต่น่าแปลกที่มาจบลงที่เรื่องนี้
ทั้งวันนี้นั่งอ่านฟิคของคุณนิรมิตรคนเดียวเลยนะคะ อ่านรวดเดียวจนถึงตอนนี้เลย อยากให้มาต่อเร็วๆจัง ทิ้งไว้แบบนี้มันปวดใจมากๆ

ชอบฟิคของคุณมากๆเลยค่ะ ทั้งพลอตเรื่อง ภาษาที่ใช้ การวางตัวละคร
และก็การเก็บรายละเอียดต่างๆจากหนังมาใช้ในฟิคนี้ สุดยอดมากๆค่ะ

ถ้าไม่มาต่อฟิคจนจบ ก็คงรู้สึกว่าเหมือนฝันค้างเอาไว้นะคะ
ได้โปรดสานฝันของคนอ่านต่อด้วยนะคะ ขอร้องงง
โดย: ploy@tatchi IP: 124.120.96.223 วันที่: 9 พฤศจิกายน 2554 เวลา:2:27:32 น.
  


ต่อให้แล้วนะครับ ขอบคุณที่ติดตามอ่านนะ

https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=niramitr&month=10-11-2011&group=1&gblog=33



โดย: นิรมิตร (Niramitr ) วันที่: 10 พฤศจิกายน 2554 เวลา:21:09:10 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Niramitr
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]



สาวก"รักแห่งสยาม"

New Comments