All Blog
ตอนที่ 09 +++ พลังใจในความสิ้นหวัง +++


+++++ต่อเรื่อง+++++




มิวเอี้ยวตัวหันมามองโต้ง ที่ลุกออกมาจากเตียง สังเกตแววตาสีน้ำตาลที่จ้องไปมองจอมอนิเตอร์ นึกขึ้นได้ว่าตนยังเปิดเมลล์ของคุณบีทิ้งไว้ แขนเรียวของร่างโปร่งรีบปิดเมลล์ฉบับนั้นทันที ก่อนจะหันกลับมามองใบหน้าเรียวได้รูปของโต้งอีกครั้ง ที่บัดนี้ ปั้นหน้าเก็บอาการโกรธจนใครก็สัมผัสได้ ถึงความกรุ่นที่แอบเกาะอยู่ภายในจิตใจของร่างสูงที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง นักร้องหนุ่มได้แต่ยิ้มและพูดปลอบใจแฟนหนุ่ม


“อย่ากังวลไปเลยโต้ง หมอนั่นทำอะไรเราไม่ได้หรอก ตราบเท่าที่คนฟังยังรักและชื่นชมเพลงของเรา เพลงของออกัสต์ เราเชื่อว่าถ้าเรามีคนที่เรารักอยู่เคียงข้าง เราจะผ่านอุปสรรคต่างๆไปได้ โต้งเชื่อใจเรานะ” พูดจบก็ยกมือทั้งคู่ของคนข้างๆมากุมไว้ พร้อมกับยิ้มสร้างความไว้ใจ


“อือ เราจะฟันฝ่ามันไปด้วยกัน ทุกๆเรื่อง ใช่มั้ยมิว” โต้งส่งแววตาหวานๆออกไปอย่างที่เคย แววตาสีน้ำตาลที่เรียกร้องความเชื่อมั่นจากคนรัก


“แน่สิโต้ง ไม่ว่าจะอุปสรรคเรื่องอะไร เราจะต้องผ่านมันไปด้วยกัน” แววตาสีน้ำเงินพร้อมรอยยิ้มที่สดใสของมิว ส่งผ่านความรักไปถึงโต้ง ทำให้ชายหนุ่มมีกำลังใจดีขึ้น


“แล้วเรื่องของน้ากรล่ะ โต้งจะเอายังไง” มิวถามอย่างเป็นห่วง คนถูกถามขยับมานั่งใกล้ๆ มองหน้าคนถาม ก่อนจะตอบออกมา


“เราคิดดีแล้วนะมิว เราจะบริจาคตับของเราให้พ่อ ลุงหมอบอกว่าถ้าปลูกถ่ายตับให้พ่อได้ พ่อก็จะรอดแหละ เรายอมเสียสละเพื่อพ่อของเรา” โต้งพูดอย่างเชื่อมั่น และดูเข้มแข็งขึ้น ต่างจากเมื่อตอนเย็นอย่างเห็นได้ชัด อาจจะเป็นเพราะตอนนี้ โต้งมีกำลังใจที่ยิ่งใหญ่อยู่เคียงข้าง แม้จะอ่อนแออยู่ในใจ แต่ถ้ามิวอยู่เคียงข้าง ชายหนุ่มก็พร้อมจะเข้มแข็งและตัดสินใจแก้ปัญหาได้เสมอ เหมือนกับตอนที่โต้งให้มิวติดต่อกับจูนเพื่อให้มาช่วยดูแลพ่อเมื่อเดือนก่อน


“แล้วโต้งจะไม่เป็นไรหรอ” มิวดีใจที่โต้งเข้มแข็ง แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้


“ลุงหมอว่าจะต้องตัดเอาไปบางส่วน คงไม่มีอันตรายกับเราหรอกนะ แต่ต้องตรวจก่อนว่าจะเข้ากันได้มั้ย หรือตับเรามีปัญหาอะไรรึเปล่า” หนุ่มผมเกรียนยังคงยิ้มให้กับมิว


“งั้นโต้งก็สบายใจบ้างแล้วล่ะสิ ถ้าอย่างงั้น ก็หลับตาลงเถอะนะคนดี คงไม่มีอะไรต้องห่วงแล้วแหละ ตีสามเอง หลับก่อนนะ พรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียนแต่เช้า” มิวมีความสุขและสบายใจที่คนรักมีกำลังใจที่ดี ความเศร้าที่ทับถมหัวใจคลี่คลายไปบ้างแล้ว


“ยังอะ มิวเล่นเพลงนั้นให้เราฟังหน่อยดิ” โต้งทำน้ำเสียงอ้อนที่มักทำให้คนฟังใจอ่อนเสมอ


“เพลงอะไรเหรอโต้ง เพลงเดิมหรอ” มิวยิ้มตอบ แต่ก็ลังเลว่าโต้งอยากฟังเพลงไหนแน่


“เพลงนั้นน่ะ เอาไว้ฟังตอนเหงา หรือคิดถึงใครซักคน เราอยากฟังเพลงที่มิวแต่งให้เราต่างหาก” รอยยิ้มที่ออกมาจากทั้งปากสีชมพูรูปกระจับสวยงาม และแววตาสีน้ำตาลสดใส ทำเอาคนที่จ้องมองเขินไปเหมือนกัน แววตาสีน้ำเงินเปล่งประกายของมิว หลุบลงด้วยความอาย ก่อนจะยิ้มตอบเบาๆให้พอแค่โต้งได้ยิน


“บ้า คนอะไร จ้องอยู่ได้ เขินเป็นเหมือนกันนะ” พูดจบก็ก้มลงไปยังคีย์บอร์ด นิ้วเรียวยาวทั้งสิบก็เริ่มบรรเลงเพลงกันและกัน เพลงรักที่มิวแต่งเพื่อโต้ง เสียงดนตรีดังเบาๆไปกับบรรยากาศที่เริ่มอบอุ่น แม้จะเป็นตีสามในฤดูหนาว ฤดูที่ใครต่อใครมักจะมีความเหงา ที่เคียงคู่กับลมโชยเย็นจับใจไปตามฤดูกาล แต่ในหัวใจของชายหนุ่มสองคน ที่ผ่านเหตุการณ์ที่บั่นทอนหัวใจมาตลอดทั้งวัน กลับอบอุ่น เพราะทั้งคู่ต่างเติมไฟให้แก่หัวใจของกันและกัน ใช้ความรักเป็นพลังหล่อเลี้ยงเพื่อสร้างความหวังของทั้งคู่ ให้ยืนยงคู่กันและกันต่อไป


“เพลงเพราะดีเนาะ แต่งได้ไงอะ” คำถามเดิมดังขึ้น


“ก็ถ้าไม่มีโต้ง ก็คงไม่มีเพลงนี้หรอก ฟังแล้วโต้งว่าไงอะ” คำตอบของคนแต่งยังไม่เปลี่ยนแปลง ทำเอาทั้งคนถามคนตอบยิ้มเขินกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนก่อน จูบแรกที่โต้งมอบให้แก่มิว เป็นสัญลักษณ์ที่โต้งใช้แสดงออกถึงความรักที่ตนมีต่อนักร้องนำวงออกัสต์




ร่างสูงยกตัวเข้ามาใกล้ร่างโปร่งที่กำลังบรรเลงเพลงกันและกันอยู่ โน้มศีราะลงไปใกล้ๆกับใบหน้าของนักดนตรีหนุ่มเจ้าของบ้าน ริมฝีปากสีชมพูบนใบหน้าสีขาวนวล ค่อยๆประทับไปบนแก้มขวาสีชมพูที่กำลังเรื่อแดงด้วยความเขินอายของมิว ก่อนจะกลับลงมานอนหลับตาพริ้มบนที่นอนอีกครั้ง หลับอย่างช้าๆและก็หลับสนิทลงไปเมื่อมิวบรรเลงเพลงจบลงพอดี




ร่างโปร่งวางมือลงข้างตัว หลับตานึกถึงภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ การที่ได้เห็นคนรักหลับตาลงอย่างมีความสุข วางภาระเรื่องกังวลลงไปได้ เพราะได้ฟังเพลงรักที่ตนตั้งใจบรรเลงกล่อมให้ฟัง ทำให้หัวใจของมิวพองโต และด้วยหัวใจที่เบิกบานและอิ่มนั้นเอง ทำให้นักร้องหนุ่มคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ มือซ้ายเอื้อมไปหยิบปากกาด้ามโปรด ที่วางคู่กับสมุดบันทึกเล่มเดิมที่ใช้มาตลอดบนหลังลำโพงอีกตัว ก่อนจะค่อยๆจดความคิดความรู้สึกเมื่อครู่ลงไป พร้อมกับกดแป้นคีย์บอร์ดควบคู่ไปด้วย ระหว่างที่เขียนอยู่นั้น ก็หันไปมองร่างสูงที่นอนหลับตาพริ้มเป็นระยะๆ นักร้องหนุ่มก็มักจะยิ้มเป็นระยะๆบ้าง ทุกครั้งที่สามารถบรรจงจรดปากกาเขียนทั้งเนื้อเพลงและทำนองลงไปได้ แต่เพราะมองร่างที่นอนหลับไปแล้วนานเกินไป ทำให้หัวใจของนักร้องหนุ่มเริ่มบอกเจ้าของร่างว่า อยากลงไปอยู่ใกล้ๆกับหัวใจอีกดวงที่เต้นอยู่ในอีกร่างบนที่นอน มิวเริ่มปิดอุปกรณ์ต่างๆลง ลุกจากเก้าอี้ แล้วเข้าไปนั่งบนที่นอนฝั่งของตน เคียงข้างกับร่างสูงของโต้งที่กำลังหลับอยู่นั้น เลื่อนตัวลงมาเรื่อยๆเพื่อที่จะได้นอนต่ออีกซักสองชั่วโมง แต่ก่อนที่ได้ล้มตัวลงนอนสำเร็จ ร่างโปร่งของมิวค่อยๆยกตัวขึ้นไปอยู่เหนือใบหน้าที่หลับพริ้มอย่างมีความสุขของโต้ง ริมฝีปากสีชมพูของเจ้าของห้อง ค่อยๆประทับลงเบาๆบนริมฝีปากของผู้มาเยือน แค่ชั่วไม่กี่วินาที มิวดึงศีรษะของตนกลับมา แล้วล้มตัวลงนอน ใบหน้างามของเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำเงินที่บัดนี้เปล่งประกายมีสีชมพูเรื่อๆ ก่อนที่ดวงตาสีน้ำเงินงามคู่นั้นจะค่อยๆปิดลงอย่างช้าๆและหลับไปในที่สุด ไม่ทันได้สังเกตเลยว่า ใบหน้าของเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลงามอีกคู่ของคนข้างๆ ก็เรื่อสีชมพูเหมือนกัน แววตาสีน้ำตาลที่เปล่งประกายอยู่ภายใต้เปลือกตาที่ปิดสนิทของโต้ง กำลังมีความสุขและอบอุ่น เพราะพลังใจแห่งกันและกันที่มิวตั้งใจบรรเลงเพื่อโต้งนั่นเอง




เช้าวันรุ่งขึ้น มิวและโต้งต่างแยกย้ายกันไปโรงเรียนของแต่ละคน ก่อนจะนัดเจอกันที่โรงพยาบาลตอนค่ำ เพราะมิวต้องไปซ้อมดนตรีกับเพื่อนๆซะก่อน เฮียบอกไว้ตั้งแต่เช้าว่า สัดาห์หน้าจะเริ่มบันทึกเสียงของเพลงทั้งหมด ทางค่ายต้องการให้ทันออกอัลบั้มในช่วงวาเลนไทน์เดือนหน้า เป็นหน้าที่ที่ทั้งมิวและวงออกัสต์จะต้องตั้งใจซ้อม เพื่อความพร้อมในการออกอัลบั้มแรกอย่างเป็นทางการของพวกตน เป็นธรรมดาที่นักร้องหนุ่มต้องดีใจเป็นพิเศษ และเดินทางไปโรงเรียนอย่างมีความสุข


“อะ เครื่องใหม่ของมรึง กรูซื้อรุ่นเดิมมาเลยนะเว้ย พี่หลิวว่าจะหักจากค่าตัวของมรึงเองเลย” เอ๊กซ์ส่งมือถือเครื่องใหม่ให้กับมิว ก่อนจะนั่งลงข้างๆแล้วหยิบการบ้านของต่อมานั่งลอกกับมิว


“ขอบใจโว้ย” พูดเพียงแค่นั้น ก็หยิบซิมการ์ดและเมโมรี่การ์ดจากเครื่องเดิมมาใส่ลงในเครื่องใหม่ ก่อนจะกดหมายเลขโทรศัพท์หาใครบางคนที่อยู่อีกโรงเรียนนึง





.....




.....





‘ให้มันเป็นเพลง บนทางเดินเคียง ที่จะมีเพียงเสียงเอกับฉัน’ เสียงสัญญาณโทรศัพท์ดังขึ้น บนกระเป๋านักเรียนใบแบนๆสีดำ ที่วางอยู่บนเก้าอี้ยาวริมสนาม มีเจ๋งที่กำลังนั่งคุยโทรศัพท์กับเพื่อนอยู่ข้างๆ ก่อนจะหยิบขึ้นมาดู ว่าเบอร์ของใครโทรเข้ามา


“โต้ง เชี่ยโต้ง โทรศัพท์” เจ๋งตะโกนบอกโต้งที่กำลังเตะบอลอยู่กับเพื่อนๆ อย่างอารมณ์ดีข้ามคืน เมื่อก่อน ถ้าเป็นโดนัทโทรมา หลายครั้งที่โต้งจะปฏิเสธ แต่ครั้งนี้ ชายหนุ่ม พยักหน้าไปทางเจ๋งเป็นเชิงถามว่านี่เป็นโทรศัพท์จากใคร เพื่อนสนิทอย่างเจ๋งก็เหมือนรู้ใจ รีบทำท่าทำไม้ทำมือเป็นรูปคนกำลังร้องเพลง ทำให้โต้งรีบวิ่งออกจากสนามมารับโทรศัพท์ทันที





Create Date : 04 กุมภาพันธ์ 2553
Last Update : 5 มีนาคม 2553 15:01:12 น.
Counter : 515 Pageviews.

5 comments
  
+++++ต่อเรื่อง+++++





“พี่อ๊อดเค้าฝากให้มาบอกพี่มิวว่า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ออกัสต์ต้องซ้อมหนักทุกคืน เพื่อเตรียมตัวออกอัลบั้ม พี่แกสั่งงดเที่ยวเด็ดขาดเลยครับ ต้องซ้อมถึงสามทุ่มแน่ะพี่” ปิงปองบ่นให้มิวฟัง หลังจากที่มิววางสายจากโต้งแล้ว


“หนักขนาดนั้นเลยเหรอวะปิง ให้ตายสิ” มิวที่เพิ่งออกจากโรงพยาบาลเริ่มบ่นเช่นกัน


“มรึงกลัวจะไม่ได้ไปสะหวีวี่วีกับเด็กมรึงอะดิ ไปต้องมาฟอร์มบ่น” เอ๊กซ์แกล้งหยอกเพื่อนสนิทที่ไม่มีทีท่าโกรธแม้แต่น้อย แต่กลับเขินหน้าแดงซะมากกว่า


“หุบปากไปเลยมรึง เรื่องของกรูน่า กรูก็แค่เสียดายว่าคงไม่มีเวลาไปเยี่ยมน้ากรเท่านั้นแหละ” นักร้องนำแก้ตัว แค่ดูเหมือนว่า บรรดานักดนตรีวงออกัสต์ที่อยู่รายล้อมจะไม่เชื่อซักเท่าไหร่




เย็นวันนั้น โต้งเดินทางไปโรงพยาบาลตามลำพังโดยไม่มีมิว เพราะนักร้องหนุ่มคนสนิทโทรมาบอกเรื่องคิวซ้อมที่แน่นเอี้ยดจนปลีกตัวไม่ได้ โต้งดีใจกับมิวที่ได้ทำงานหนัก แต่เป็นสิ่งที่มิวรัก อย่างไรก็ตาม ใจมันก็เหงาๆและว้าเหว่ชอบกล ได้มีโอกาสใกล้ชิดกันมาหลายวัน ไม่ทันไรก็ต้องห่างกันอีกแล้ว แต่นี่ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่โต้งคงต้องทำใจรับให้ได้


“จากสภาพอาการของกรตอนนี้ ทางคณะแพทย์ต่างก็เห็นตรงกันกับพี่ ว่าต้องผ่าตัดเปลี่ยนตับโดยด่วนเลยนะนีย์ ปัญหาอยู่ที่ ยังไม่มีตับที่จะรับบริจาคจากที่ไหนน่ะสิ” ลุงหมอบ่นให้น้องสะใภ้ฟัง ทำเอาคนฟังที่นั่งอยู่กับลูกชายกังวลขึ้นมา


“งั้นก็เอาตับของนีย์สิคะ นีย์ยอมมอบตับของนีย์ให้กร” สุนีย์บอกกับลุงหมออย่างมุ่งมั่น


“ถ้าของแม่ไม่ได้ ใช้ของโต้งก็ได้ครับลุงหมอ” โต้งก็เช่นกัน ยอมเสียสละเพื่อกรได้ไม่ต่างจากแม่ของตน


“นี่ก็อีกปัญหานึง ปกติเราก็สามารถใช้ตับของญาติใกล้ชิดได้ ถ้าหากว่าหมู่เลือดตรงกันอะนะ แต่เลือดของกรน่ะ เค้าเป็นกรุ๊ปเอ แต่ของสุนีย์กับโต้งน่ะเป็นกรุ๊ปบี ดังนั้นจึงไม่สามารถเปลี่ยนตับให้กับกรได้ คงต้องลองปรึกษาญาติคนอื่นๆดูก่อนนะ ว่ามีใครที่พอจะให้ตับกับกรได้บ้าง แล้วพวกเค้าจะยอมกันรึเปล่าก็ไม่รู้” ลุงหมอพูดด้วยสีหน้าจริงจัง เครียดเล็กน้อย


“แล้วถ้าไม่ใช่ญาติล่ะคะพี่หมอ ใช้ได้รึเปล่า” สุนีย์พยายามหาทางออกของปัญหานี้


“ก็ได้ แต่ต้องรอคิวบริจาค แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยนะ ถ้าโชคดีมีคนยอมสละให้ก็แล้วไป แต่ถ้าไม่ใช่ญาติกัน ใครที่ไหนจะมายอม การผ่าตัดระดับนี้มันก็เสี่ยงมากอยู่แล้ว พี่ว่า เราสองคนเตรียมใจไว้บ้างก้ดีนะ”




หลังจากที่ฟังสรุปอาการและขั้นตอนต่างๆจากลุงหมอ โต้งมีสีหน้าเคร่งเครียด ความหวังที่จะเป็นผู้เสียสละตับให้กับผู้เป็นพ่อมีอันพังทลาย อย่างนี้แล้วจะทำอย่างไรต่อไปได้ นอกจากรอปาฏิหาริย์เท่านั้นเอง ร่างสูงสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ก่อนจะหันไปบอกกับผู้เป็นแม่


“คืนนี้ โต้งขอนอนค้างที่บ้านมิวอีกคืนนะแม่ ลืมของเอาไว้น่ะครับ กว่ามิวจะกลับบ้านก็คงดึก โต้งก็เลยอยากจะค้างที่นั่นซะเลย ไว้พรุ่งนี้เช้าแม่เอาชุดนักเรียนตัวใหม่ไปรับโต้งที่บ้านมิวนะ”


“จะเอายังงั้นเหรอ ตามใจแล้วกัน อย่าลืมทำการบ้านซะล่ะ งั้นพรุ่งนี้เช้าแม่ไปรับ”


“ครับ” ชายหนุ่มรับคำผู้เป็นแม่ ก่อนจะเดินไปโบกรถแท็กซี่ ขึ้นนั่ง แล้วมุ่งหน้าไปซอว์เรคคอร์ดทันที




เกือบสามทุ่มแล้ว ออกัสต์ซ้อมเพลงสุดท้ายก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้าน ดนตรีบรรเลงเพลงขอบคุณกันและกันดังขึ้น ก่อนที่เสียงร้องนุ่มๆของมิวจะกังวานขึ้นมา


“ว่าไงโต้ง” เสียงพี่หลิวทักทายอยู่หน้าประตูห้องซ้อม


“สวัสดีครับพี่หลิว ยังซ้อมกันไม่เสร็จอีกหรอครับ” ชายหนุ่มถามผู้จัดการวงสาวสวย


“เพลงสุดท้ายแล้ว จะเข้าไปดูมั้ยล่ะ” หลิวหยั่งเชิงถาม “


ไม่ดีกว่าครับ ผมรออยู่ตรงนี้แหละ” โต้งปฏิเสธเบาๆ


“งั้นก็ตามใจนะ พี่เข้าไปก่อน” พูดจบก็เดินเข้าไปทันที


“นายยังจะมาอีกเหรอโต้ง” เสียงนุ่มๆที่แฝงความเจ้าเล่ห์ดังขึ้น


“นายบี” โต้งอุทานเบาๆ


“แปลว่านายไม่สนคำเตือนของเราสินะ ก็ดี เอาไว้ก่อนแล้วกัน วันนี้เราไม่ว่าง” พูดจบร่างระหงนั้นก็แกล้งเดินชนไหล่โต้งแล้วผ่านไปจากสายตา ทิ้งให้โต้งยืนหงุดหงิดอยู่ตรงนั้น ที่ต้องมาเจอคนไม่พึงประสงค์







โต้งและมิวนั่งแท็กซี่กลับมาที่บ้านมิวพร้อมกัน เกือบสี่ทุ่มแล้ว ชายหนุ่มลงจากแท็กซี่ เอากระเป๋านักเรียนของตนไปวางไว้ที่โซฟาตัวเก่าด้านใน ร่างสูงเดินออกจากบ้านของมิว สวนกับเจ้าของบ้านที่พึ่งจะเสร็จจากการทักทายหญิงแล้วก็กำลังเดินเข้าตัวบ้าน อาการแปลกๆของโต้งทำให้มิวงงเล็กน้อย โต้งไม่พูดเรื่องอาการของกรเลยตั้งแต่บนรถ มิวถามก็ไม่ยอมตอบ ได้แต่นิ่งเงียบ พอลงรถปุ๊บก็เดินออกจากบ้านปั๊บ มีเพียงเสื้อนักเรียนบางๆตัวเดียว แต่ตอนนี้อากาศกลับมาเย็นอีกครั้ง เพราะอย่างไรก็ยังอยู่ในฤดูหนาว ร่างโปร่งเก็บกระเป๋าของตนบ้าง ก่อนจะคว้าแจ๊กเก็ตสีน้ำตาลของตน และสีน้ำเงินของโต้ง แล้วรีบเดินออกจากบ้าน สอดส่องสายตามองหาโต้ง ก่อนจะเหลือบเห็นหญิงโบกมืออยู่ทางท้ายซอย ทิศทางที่มุ่งหน้าไปยังริมคลอง หญิงเองก็คงจะห่วงโต้งเหมือนกัน ร่างเปรียวในเสื้อยืดและแจ๊กเก็ตสีชมพู กวักมือเรียกให้มิวรีบตามโต้งไปโดยเร็ว ไม่รู้ว่ามืดค่ำป่านนี้ โต้งคิดจะทำอะไรกันแน่

โดย: Niramitr วันที่: 4 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:18:30:44 น.
  


+++++ต่อเรื่อง+++++




ร่างสูงเดินลิ่วมาจนถึงริมคลอง กวาดสายตามองไปยังสันเขื่อนที่ทางการทำกั้นไม่ให้น้ำขึ้นท่วมเวลาที่มีน้ำขึ้น ฝั่งตรงข้ามเป็นบ้านไม้หลังเก่าที่ตั้งอยู่มาช้านาน แสงไฟสลัวพอที่จะทำให้แววตาสีน้ำตาลของโต้งมองเห็นสีที่ซีดเก่าคร่ำคร่าของบ้านหลังนั้น สีเทาหม่นหลังน้อยที่ตั้งอยู่เคียงหลังใหญ่กว่าสีฟ้าสองชั้น ที่ซึ่งเมื่อก่อน ตัวเขาและมิว เคยมานั่งเล่นด้วยกันอยู่เสมอ ที่ซึ่งเคยเต็มไปด้วยรอยยิ้มของเด็กชายสองคน ก่อนที่เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันจะเกิดขึ้นเมื่อหกปีก่อน ชายหนุ่มล้วงมือเข้าไปในคอเสื้อ ดึงสร้อยเงินพร้อมจึ้รูปไม้กางเขนออกมา มือกุมจี้นั้นเอาไว้พร้อมกับจ้องมองมันด้วยแววตาเศร้าสร้อย ด้วยใจที่มืดหม่นไม่ต่างจากสีของบ้านไม้ที่ตั้งอยู่ริมคลองฝั่งตรงข้ามแต่อย่างใด


นักร้องหนุ่มเดินถือเสื้อแจ๊กเก็ตสองตัวตามมาใกล้ๆ หญิงสาวที่เดินมาด้วยกัน หยุดเท้าเอาไว้เพื่อเว้นระยะให้เพื่อนสนิทได้เข้าไปปลอบใจคนรัก ถึงแม้ว่าทั้งมิวและหญิงจะยังไม่รู้ว่าโต้งทุกข์ใจเรื่องอะไรกันแน่ แต่ก็เดาได้ไม่ยากว่าคงหนีไม่พ้นเรื่องของกร ร่างบางหยุดคอยอยู่ริมถนน ในขณะที่ร่างโปร่งของมิวเดินเข้าไปประชิดจนสามารถมายืนอยู่ด้านหลังของร่างสูงได้ ลมหนาวโชยพัดมา นักร้องหนุ่มสังเกตเห็นร่างสูงที่นั่งจ้องจี้รูปไม้กางเขนนั้นสั่นเทิ้มเล็กน้อย บอกให้รู้ว่าร่างนั้นกำลังต่อสู้กับความเย็นของสภาพอากาศที่ถาโถมเข้าใส่ร่างกาย แล้วยังจะความเย็นเยือกของปัญหาที่พานพบ ที่กำลังซัดสาดใส่หัวใจดวงนึง ที่กำลังเต้นอยู่ในร่างนั้นเช่นกัน แต่นักร้องหนุ่มเองกลับรู้สึกหนาวยิ่งกว่าเสียอีก ทั้งสภาพร่างกายที่บอบบางกว่าอยู่แล้ว ทั้งพึ่งจะฟื้นจากอาการบาดเจ็บ ร่างโปร่งบางของมิวคงจะทนได้ไม่นานนัก แต่หัวใจที่อยู่ในร่างอันบอบบางของนักร้องหนุ่มนั้นกลับอบอุ่นและเข้มแข็งกว่าของอีกคนที่นั่งอยู่ก่อน


“โต้ง” เสียงของชายหนุ่มที่มาทีหลังเรียกเบาๆ ร่างสูงนั้นละสายตาจากจี้ครู่หนึ่ง เอี้ยวคอหันมาด้านขวา พอให้รู้ว่าตนฟังอยู่ แต่ก็ไม่มีเสียงตอบ ก่อนที่จะหันกลับไปมองที่จี้รูปไม้กางเขนเหมือนเดิม มิวนึกเห็นใจโต้ง แต่ก็อดขำไม่ได้ เมื่อคิดขึ้นมาว่าเมื่อก่อน ตนก็เคยเป็นแบบนี้เวลาที่ทุกข์ใจแล้วไม่รู้จะทำยังไง
นัยน์ตาสีน้ำเงินจ้องมองแผ่นหลังของร่างสูงอยู่ซักพักก่อนจะพูดออกมาเบาๆ ด้วยน้ำเสียงบางๆอย่างที่เคย


“หนาวเนอะ แล้วโต้งไม่หนาวหรอ” น้ำเสียงบางๆแต่ก็มีไออุ่นลอยกรุ่นขึ้นมา


“หนาวกายเหรอจะสู้ความหนาวใจที่มันแล่นอยู่ในอกได้” ประโยคไม่คุ้นเคยทำเอาคนถามประหลาดใจไปบ้าง แต่ก็รับรู้ถึงความรู้สึกอัดอั้นในใจของโต้งได้


“ใส่เสื้อก่อนเถอะ เดี๋ยวจะไม่สบาย” มิวดึงเสื้อแจ๊กเก็ตสีน้ำเงินของโต้งขึ้นมา ตั้งท่าจะสวมให้จากทางด้านหลัง ร่างสูงของโต้งยกคอขึ้นพลางมองขึ้นไปด้านบน มิวหันขึ้นไปมองท้องฟ้าอย่างโต้งบ้าง ตั้งใจจะเอ่ยปากถาม แต่เสียงของชายหนุ่มที่นั่งอยู่ก่อนก็ดังขึ้นมาซะก่อน


“คืนนี้ดาวเต็มฟ้าเลยนะมิว” เสียงของชายหนุ่มที่กำลังแหงนมองท้องฟ้าเอ่ยขึ้น


“อีมมมม ดาวสวย ฟ้าใส ที่มาพร้อมกับลมหนาว หนาวทั้งกายทั้งใจ” นักร้องหนุ่มตอบออกไปเบาๆ แต่หูยังทันได้ยินเสียงแผ่วของน้ำตาที่รื้นอยู่บนดวงตาของโต้งได้


“มิวว่าบนนั้นจะมีพระเจ้าจริงมั้ย”


“ว่าไงนะโต้ง” “มิวว่า ในหมู่ดาวเหล่านั้น จะมีพระเนตรของพระองค์มองลงมามั้ย”


“ไม่รู้สิ ไม่รู้เหมือนกัน คงมีมั้ง คงจะทรงมองอยู่ว่าใครกำลังขอพรจากพระองค์อยู่”


“ก็แล้วทำไมล่ะมิว ทำไมพระองค์ถึงไม่มองครอบครัวของเราบ้าง ทำไมทรงปล่อยให้คนที่เชื่อในพระองค์ต้องเจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีกล่ะ”


“เกิดอะไรขึ้นหรอโต้ง”


“มิวรู้มั้ย ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เราคล้องจี้รูปกางเขนนี่เอาไว้ตลอดไม่ให้ห่างกาย เพราะเราเชื่อ เชื่อมาตลอดอย่างที่พ่อเคยเชื่อ เชื่อในพระเจ้า ว่าทรงอยู่ข้างเรา ทรงปกปักผู้ที่ศรัทธาในพระองค์ จนเมื่อหกปีก่อน วันที่พ่อสูญสิ้นศรัทธา เราก็ยังเชื่อว่า พระองค์จะยังคงอยู่เพื่อดูแลผู้ที่สวดอ้อนวอนพระองค์ เชื่อมั่นว่า ซักวันเราจะกลับไปยิ้มเหมือนเมื่อก่อนได้ แล้วพอมาถึงวันนี้ วันที่อะไรๆกำลังจะดีขึ้น วันที่เราเชื่อว่าพระองค์ประทานพรให้พ่อกลับมาเหมือนเดิม ตั้งแต่คริสต์มาสที่ผ่านมา พ่อกลับมาสวดสรรเสริญพระเจ้าเหมือนเมื่อก่อน บ้านเราเริ่มอบอุ่นอีกครั้ง พ่อเข้าใจเรา ยอมรับเรื่องของเรากับมิว ตอนนั้น เรายังเชื่อว่า เป็นเพราะความรักที่ยิ่งใหญ่ ที่พระเจ้าประทานแก่คนของพระองค์ แต่แล้วทำไมล่ะมิว ทำไมพระองค์ถึงยังจะมาพรากพ่อไปจากพวกเราอีก ผ่านมาหกปี ครอบครัวของเรายังทุกข์ทรมานไม่พออีกหรอ”


“โต้ง” มิวได้แต่กุมมือโต้งเบาๆ สั่นเพราะความหนาวเล็กน้อย ทั้งที่เสื้อก็ยังไม่ได้สวมทั้งคู่ แต่เพราะความหดหู่และหนาวเหน็บในใจของโต้ง ทำให้มิวอยากจะฟันฝ่ามันไปพร้อมๆกันกับคนรัก ถึงแม้ว่าจะต้องทนหนาวเพียงใดก็ตามที


“เราไม่รู้ว่าเพราะความรักของเรารึเปล่า ที่พระองค์ไม่ทรงปรารถนา แต่ถ้าพระเจ้ามีจริง และสอนให้มนุษย์มีความรัก ก็ต้องทรงเข้าใจสิ ว่าความรักของมนุษยืที่พระองค์สร้าง ต้องไม่แบ่งแยกชาติพันธุ์ ฐานะ หรือแม้แต่เพศ ถ้าหากว่า ความรักของเรามันบาป อย่างที่มีคนเค้าว่าจริง ก็ต้องทรงลงโทษเราสิ ไม่ใช่พ่อเรา ไม่ใช่แบบนี้ แบบที่ทำให้แม่ต้องเจ็บปวดร้องไห้อย่างนี้ แม่เรายังคงเชื่อและศรัทธาในพระเจ้าไม่เปลี่ยนเลยนะมิว แล้วทำไมพระองค์ถึงต้องให้แม่ต้องมาเจ็บปวดอีกด้วยเล่า” ชายหนุ่มกระชากสร้อยและจี้ออกจากคอของตัวเอง ก่อนจะเขวี้ยงลงไปในคลองพร้อมทั้งน้ำตาที่อาบหน้า


“ไม่เป็นไรนะโต้ง แล้วมันจะดีขึ้น” มิวพูดเบาๆ ก่อนที่จะไอออกมา พร้อมกัร่างกายที่สั่นเทิ้มอย่างน่ากลัว


“ทำไมมิวไม่ใส่เสื้อล่ะ ยิ่งไม่สบายอยู่” โต้งถามอย่างเป็นห่วง


“ก็โต้งยังไม่ได้ใส่เสื้อเหมือนกันนี่นา ถ้าโต้งต้องหนาวเหน็บเจ็บใจ เราก็พร้อม ที่จะแบกรับมันไปกับโต้งด้วย” ปากสั่น แต่ก็ยังยิ้มได้ มือหนาของโต้งคว้าเสื้อแจ๊กเก็ตสีน้ำเงินมาสวมให้กับตนเอง ก่อนจะเอาเสื้อแจ๊กเก็ตสีน้ำตาลอีกตัวที่อยู่ในอ้อมแขนของมิว มาสวมให้กับเจ้าของอย่างอ่อนโยน แผ่วเบา


“ทำไมต้องลำบากขนาดนั้นล่ะมิว”


“ก็เราคือกันและกันนี่นา เราจะไม่ยอมให้โต้งต้องแบกความทุกข์ไว้คนเดียวหรอก เราจะร่วมรับมันไปกับโต้งด้วย” นัยน์ตาสีน้ำเงินของมิว จ้องไปยังนัยน์ตาสีน้ำตาลของโต้งอย่างมุ่งมั่น


“เด็กโง่” โต้งเปรยเบาๆ ก่อนจะดึงร่างโปร่งของมิวมากอดไว้ เพื่อให้ความอบอุ่นแก่กันและกัน ก่อนที่ทั้งคู่จะเอ่ยวาจาออกมาพร้อมกัน ด้วยคำพูดเดียวกัน โดยไม่มีใครนัดหมายกันก่อน


“ขอบคุณนะ”

โดย: Niramitr วันที่: 4 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:18:37:08 น.
  

+++++ต่อเรื่อง+++++





“แล้วโต้งไม่เสียดายสร้อยกับจี้นั่นหรอ เราเห็นโต้งสวมมันไว้กับตัวตลอดเลยนะ” มิวเอ่ยปากถามเบาๆ

“ก็เสียดายเหมือนกัน แต่ไม่รู้ดิ อารมณ์มันพลุ่งพล่าน ก็เลยขว้างมันทิ้งไปเพราะความสิ้นหวัง ผสมกับความสิ้นศรัทธา แต่ก็....................................ช่างมันเหอะมิว คืนนี้หนาวจัง หิวแล้วด้วย กลับดีกว่า”


ชายหนุ่มทั้งสองเดินกลับมายังถนน เส้นทางที่มุ่งกลับบ้าน มิวแอบสังเกตโต้งที่มีสีหน้ากังวลอะไรชอบกล คอยหันไปมองที่ริมคลองอยู่เป็นระยะๆ ยิ่งทำให้มิวเป็นห่วงมากขึ้น ห่วงทั้งเรื่องอาการของกรที่คงมีอะไรซักอย่าง แล้วยังจะเรื่องสร้อยเส้นนั้นอีก ดูเหมือนว่าโต้งจะเสียดายสร้อยคอเส้นนั้นมาก ไม่รู้เพราะอะไร แต่ถ้าถามไปตอนนี้ โต้งก็อาจจะยังไม่ยอมตอบ และแสร้งทำเป็นเข้มแข็งแน่ๆ นักร้องหนุ่มเข้าใจดีว่า ตอนนี้ คนรักกำลังสับสนและปวดร้าว ถึงในใจจะอยากบอกเล่าให้เรารับรู้ แต่โต้งก็รู้ดีว่า ช่วงนี้เราทำงานหนัก แล้วไหนยังจะต้องคอยรับมือกับคุณบีอีก ก็เลยทำนิ่งเฉยไว้ ขืนฝืนเอาไว้แบบนี้ คงจะยิ่งเจ็บปวดมาขึ้นอีกแน่ ยิ่งคิด นักร้องนำวงออกัสต์ก็ยิ่งสงสารคนรักจับใจ


กลับมาถึงบ้าน หญิงที่เดินมาด้วยกัน ขอแยกตัวเข้าไปในบ้านก่อน มิวและโต้งเดินเข้าไปในบ้านตัว ป้าอรเข้านอนแล้ว เจ้าของบ้านบอกให้โต้งไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนจะลงมาทานอาหารที่ป้าอรเตรียมไว้ให้ ร่างสูงเดินขึ้นไปโดยดี นักร้องหนุ่มเดินเข้าไปในครัว คว้าโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ แล้วกดหาเบอร์โทรศัพท์ที่ตนเซฟไว้ในซิมการ์ด ก่อนจะโทรออกไป

“ฮัลโหล น้านีย์เหรอครับ นี่มิวเองนะครับ” นักร้องหนุ่มเดินเสียงผ่านหุโทรศัพท์มือถือ

“จ๊ะมิว ว่าไงลูก” สุนีย์ตอบกลับมา

“มิวขอถามอะไรได้มั้ยครับ”


หนึ่งอาจารย์สตรีรุ่นแม่กับหนึ่งนักร้องนักเรียนหนุ่มรุ่นลูกสนทนากันอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งฝ่ายที่อ่อนวัยกว่าได้ยินเสียงคนเดินลงบันไดมา จึงของอนุญาตวางสาย


“โต้งทานไปก่อนนะ พอดีเรารู้สึกเหนียวตัวเหมือนกัน เดี๋ยวขอไปอาบน้ำก่อนดีกว่า เสร็จแล้วโต้งเข้านอนเลยก็ได้นะ เรานอนดึกจนชินแล้วล่ะ ว่าจะแต่งเพลงต่อซักพัก” พูดจบนักร้องหนุ่มเจ้าของบ้านก็เดินขึ้นบันไดไปอาบน้ำ ใช้เวลาไม่นานก็เดินลงมาทันเห็นโต้งกำลังเดินขึ้นบันไดพอดี

“แล้วมิวจะนั่งแต่งเพลงตรงไหนล่ะ ให้เรานอนคอยข้างล่างก่อนก็ได้” โต้งเอ่ยปากถาม

“ไม่ลำบากขนาดนั้นหรอกนะ เราใช้เปียโนของอากงก็ได้ โต้งขึ้นไปนอนก่อนเถอะนะ ไม่เป็นไรหรอก อีกชั่วโมงนึงเราค่อยตามขึ้นไป นะ อย่าดื้อ เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าน้านีย์มารับแล้วจะตื่นไม่ทันนะ”

“อือ ก็ได้ งั้น ราตรีสวัสดิ์นะ” โต้งตอบพลางส่งยิ้มมาให้

“จ้ะ” มิวยิ้มตอบก่อนจะเดินไปที่โต๊ะเพื่อทานอาหารมื้อค่ำ

โต้งเหลียวมองไปยังทิศที่หันไปสู่คลอง ก่อนจะกลับตัวเดินขึ้นข้างบน โดยไม่รู้ตัว มือขวาของร่างสูงคลำบริเวณทรวงอกของตนเอง ว่างเปล่า ร่างสูงถอนหายใจเบาๆ แล้วเดินต่อไป แต่ไม่พ้นสายตาของเจ้าบ้านที่มองอยู่ตลอดเวลา


นักร้องหนุ่มเดินมานั่งหน้าเปียโนตัวเก่าของอากง นิ้วเรียวยาวค่อยๆบรรจงบรรเลงทำนองเพลงช้าๆ เอื่อยๆ นึกถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อตอนสี่ทุ่ม เสียงหัวใจ และห้วงความคิดของโต้งที่ตนได้ยินและสัมผัสได้ ความรู้สึกสิ้นหวัง สูญสิ้นศรัทธาที่เกิดขึ้นในหัวใจของโต้ง คิดถึงใบหน้าของคนรักที่มองดูหมู่ดาราบนท้องฟ้า แล้วทอดอาลัยในศรัทธาที่ครอบครัวเคยมีต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบน ยิ่งบรรเลงเพลงที่คิดขึ้นมาใหม่ได้ หัวใจก็ยิ่งว้าเหว่ เงียบเหงา ยิ่งแต่งก็ยิ่งสงสารโต้ง ระหว่างที่บรรเลงไปเรื่อยๆ ก็หยิบสมุดโน้ตมาจดทั้งเนื้อเพลงและทำนองที่ตนคิดขึ้นมาได้ลงไป แต่ก็ยังไม่สมบูรณ์เท่าไหร่ ตั้งใจว่าจะลองให้เฮียกับพี่หลิวช่วยขัดเกลาอีกทีนึงในวันรุ่งขึ้น นักดนตรีหนุ่มกำลังจะปิดสมุดโน้ตพลันเหลือบไปเห็นเพลงที่ตนแต่งค้างไว้ตอนเช้ามืด ยิ้มให้กับตนเอง ความคิดที่จะแบ่งเบาภาระหนักอึ้งในใจของโต้งแล่นเข้าสมอง ปิดไฟชั้นล่าง จากนั้นก็ถือสมุดโน้ตเพลงเดินขึ้นห้องนอน

สองเท้านำร่างโปร่งเข้าไปในห้องนอนของตน ร่างสูงนอนหลับตาอยู่ก่อนแล้ว มิวยิ้มให้กับร่างที่นอนอยู่นั้น พาตัวเองมานั่งเก้าอี้หน้าคอมฯ เปิดไฟสลัวๆ มือขวาถือปากกาเขียนเนื้อเพลงเพิ่มลงไป สองตาจ้องมองหน้ากระดาษสลับกับหน้าเนียนสีขาวที่หลับอยู่ ความรู้สึกที่ต้องการจะถ่ายทอดความรักของตนไปสู่คนตรงหน้า ความคำนึงที่จะร่วมแบกรับทุกข์ของคนตรงนี้ แล่นเข้าสู่หัวใจของนักร้องนักดนตรีหนุ่ม แล้วกลั่นกรองเป็นบทเพลงแทนใจ ที่คนธรรมดาคนนี้ คนที่เปี่ยมด้วยความรักต้องการมอบให้คนที่มีกันและกันกับตน


หกโมงเช้า ฟ้ายังคงมืดอยู่ แต่ก็พอมีแสงของดวงตะวันรำไรให้เห็นบ้างแล้ว ร่างโปร่งเดินออกจากบ้านของตน พร้อมแว่นตากันน้ำและไฟฉายอันหนึ่ง ผ่านบ้านหลายหลังที่ผู้คนเริ่มตื่นกันบ้างแล้ว แต่ส่วนใหญ่ยังคงหลับสบายอยู่ มุ่งหน้าไปยังริมคลอง พร้อมกับเสียงคุยโทรศัพท์เมื่อคืนที่วนเวียนอยู่ในสมอง

“จี้รูปกางเขนอันนั้นเหรอมิว มันเป็นสร้อยที่น้ากับน้ากรแวะซื้อที่เชียงใหม่เมื่อหกปีก่อน ตั้งใจจะให้แตง เป็นของขวัญคริสต์มาส แต่ดันเกิดเรื่องซะก่อน ตอนนั้นน้ากรเค้าเสียใจมากจนติดเหล้าอย่างที่มิวรู้ แล้วพอวันที่พวกน้าจะย้ายบ้าน น้ากรเค้าก็เจอสร้อยเส้นนี้ที่น้าเก็บไว้ในลิ้นชัก เค้าก็เลยขว้างทิ้งไป จนโต้งมาเจอ แล้วก็เลยขอเก็บไว้ใส่เอง นี่ก็นานมาแล้วนะ ขนาดน้ากรยังจำไม่ได้เลยว่าสร้อยที่โต้งใส่ประจำเป็นเส้นเดียวกันกับเส้นนั้น”

มิวใคร่ครวญมาตั้งแต่เมื่อคืน มิน่า โต้งถึงทั้งรักและชิงชังสร้อยเส้นนั้นนัก เพราะมันเป็นสร้อยจี้รูปไม้กางเขน ที่บรรจุทั้งความรัก ความหวัง ความเชื่อเอาไว้นั่นเอง แล้วความหวังก็จะมาพังสูญไปซะก่อน หากเป็นเรา ก็อาจจะทำอย่างโต้งก็ได้ แต่นี่โต้งคงเสียดายสร้อยเส้นนั้นมากแน่ๆ ยังไงนั่นก็เป็นของรักที่ติดตัวมาตลอดหกปี ก้าวเท้าเร็วขึ้น ยังไงก็ต้องพยายามหาสร้อยเส้นนั้นให้เจอให้จงได้


“ป้าอรเห็นมิวรึเปล่าครับ” โต้งเอ่ยปากถามกับป้าอรตอนเจ็ดโมง หลังจากตื่นนอน กับทำธุระส่วนตัวเสร็จแล้ว เมื่อลงมาข้างล่างแล้วพบว่ามิวไม่ได้อยู่ในบ้าน

“ป้ากลับจากตลาดก็อยู่แต่ในครัวนี่แหละลูก หนูมิวไม่ได้อยู่ข้างบนหรอกเหรอ” ป้าอรเริ่มมีสีหน้าเป็นกังวล

“เปล่าครับป้า โต้งตื่นมาก็ไม่เจอมิวแล้ว นึกว่าลงมาแล้วซะอีกครับ อุตส่าห์รีบอาบน้ำรอแม่มารับ”


รถเก๋งโตโยต้า วิช สีบรอนด์งินเข้ามาจอดหน้าบ้าน สุนีย์ก้าวลงจากรถคันนั้น สอดส่องสายตามองหาโต้ง จนพบ แล้วก็เรียกให้เตรียมตัวไปโรงเรียน

“มิวหายไปจากบ้านอะแม่ ไม่เห็นแต่เช้าแล้วครับ” โต้งบอกกับมารดาของตน

“อ้าว แล้วโต้งพอจะรู้มั้ยว่ามิวเค้าไปไหนแต่เช้า” สุนีย์เองก็เป็นห่วงมิวเช่นกัน

“อั๊วะเห็นอามิวอีเดินไปทางริมคลองนะ ตั้งแต่เช้ามืดแล้วล่ะ แต่แปลก อีดันเอาแว่นกันน้ำไปด้วย” เสียงของม๊าหญิงดังมาจากฝั่งตรงข้าม

“แล้วไปทำอะไรแต่เช้าล่ะ” โต้งแปลกใจ “รึว่า...............ไม่มั้ง ให้ตายสิ โง่ซะจริง” โต้งรีบวิ่งไปตามทางที่มุ่งสู่ริมคลองทันที


ทุกคนเดินตามโต้งไป แต่เพราะสังขารที่ร่วงโรย มีหรือที่จะทันร่างสูงวัยหนุ่มที่วิ่งนำลิ่วไปก่อนแล้ว มีแต่หญิง ที่ตามออกมาแล้วเริ่มวิ่งแซงเหล่าสตรีสูงวัยทั้งสามไปได้ แต่ก็ยังห่างจากโต้งอีกมาก ก็หัวใจของโต้งวิ่งแซงร่างกายของตนเองไปก่อน จนถึงริมคลองตั้งนานแล้วนี่นา


“มิว มิว อยู่ไหนมิว” โต้งตะโกนเรียกหามิวทันทีที่มาถึงริมคลอง

เดินหาอยู่พักใหญ่ก็ยังไม่พบร่างโปร่งเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำเงินแต่อย่างใด หญิงที่ตามมาทีหลังช่วยโต้งหาอีกแรง แต่ว่า..................................................................................ยิ่งผ่านไปนานๆ โต้งก็ยิ่งกังวลมากขึ้น ไม่รู้ว่ามิวลงไปในน้ำนานแค่ไหนแล้ว แถมอากาศก็เย็น อยู่ในน้ำคงหนาวมากแน่ๆ

“นี่เราทำอะไรลงไปหญิง ทำไมมิวต้องยอมทำอะไรโง่ๆเพื่อเราอยู่เรื่อย คราวที่แล้วก็โดนรถชนไปหยกๆ ก็เพราะเราเป็นต้นเหตุ คราวนี้ยังจะมาดำน้ำหาสร้อยให้เราอีก ถ้าคราวนี้มิวเป็นอะไรไปอีกนะ เราจะไม่ให้อภัยตัวเองเลย คอยดูสิ” โต้งโมโหที่ตนเองเป็นต้นเหตุให้มิวเดือดร้อนอีกแล้ว มิวคงสังเกตเห็นแน่ๆ ว่าเราเสียดายสร้อยเส้นนั้นมาก ถึงได้ยอมดำลงไปหา

“แม่ก็ผิดเหมือนกันนะโต้ง เมื่อคืนมิวโทรหาแม่ ถามเรื่องสร้อยนั่น แล้วแม่ก็เล่าให้มิวฟัง โดยที่ไม่รู้เลยว่า มีเรื่องที่โต้งขว้างสร้อยลงคลองเกิดขึ้น ไม่งั้นแม่คงไม่เล่าให้มิวฟังหรอก” สุนีย์เล่าจบ ก็โผเข้ากอดลูกชายที่กำลังร่ำไห้อย่างหนัก ทั้งโกรธแค้นตัวเองและเสียใจกับเรื่องโง่ๆที่ตนทำไปเมื่อคืน เป็นเหตุให้มิวเดือดร้อนอีกแล้ว

“ใจเย็นๆนะโต้ง มิวน่ะเป็นคนดวงแข็ง ว่ายน้ำก็เก่ง แค่นี้คงไม่เป็นอะไรหรอกนะ” หญิงปลอบใจเพื่อน แต่ก็ไม่รู้จะช่วยยังไงอีกดี



เฮียโทรศัพท์ตามเจ้าหน้าที่กู้ภัยให้มาช่วยดำน้ำตามหา แต่ก็ไม่เจอทั้งมิว ทั้งสร้อย จนในที่สุด ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ก็มีวิทยุด่วนเข้ามา ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องขอตัวไปช่วยทางอื่นก่อน


หญิงโทรไปหาเอิร์ธ ฝากให้เอิร์ธช่วยลาโรงเรียนให้โต้งด้วย เพราะสภาพโต้งตอนนี้คงไปเรียนไม่รู้เรื่องแน่ แล้วก็โทรหาเอ๊กซ์ บอกว่ามิวขอลาหยุดหนึ่งวัน มีไข้ขึ้น โดยที่ไม่กล้าเล่าเรื่องให้พวกออกัสต์รู้ กลัวจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ ก่อนจะรีบขอตัวไปโรงเรียน โดยมีเฮียขับรถไปส่ง สุนีย์ยังคงนั่งปลอบใจลูกชายอยู่ริมคลอง ตอนนี้โต้งร้องไห้ไม่ยอมหยุด ป้าอรก็เป็นลมไปแล้ว มีม้าของหญิงดูแลอยู่ใกล้ๆ


“เพราะโต้งแม่ เพราะโต้ง โต้งทำร้ายมิว ................... ได้ยินมั้ยแม่ โต้งทำร้ายมิว” ชายหนุ่มพรั่งพรูความเสียใจออกมา ชาวบ้านที่พอจะรู้เรื่องและมาดูเหตุการณ์ต่างเสียอกเสียใจ และเศร้าไปกับชายหนุ่ม ที่เอาแต่โทษว่าตนเองเป็นต้นเหตุของเรื่องพวกนี้

..................

..................

..................

..................

“โต้ง” เสียงของใครคนหนึ่งยืนเรียกอยู่ไม่ไกลนัก ร่างกายเปียกไปทั้งตัว สั่นเทิ้มด้วยความหนาว แต่ใบหน้าและดวงตาสีน้ำเงินนั้น ยังยิ้มให้เห็น มือขวาชูสร้อยเงินและจี้รูปกางเขนขึ้นมา ก่อนจะค่อยๆล้มลงไปกับพื้น

“มิววววววววววว” โต้งตะโกนเรียกชื่อ แล้วรีบวิ่งไปตรงนั้นทันที

โดย: Niramitr วันที่: 4 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:18:41:55 น.
  

+++++ต่อเรื่อง+++++




“โต้ง” เสียงของใครคนหนึ่งยืนเรียกอยู่ไม่ไกลนัก ร่างกายเปียกไปทั้งตัว สั่นเทิ้มด้วยความหนาว แต่ใบหน้าและดวงตาสีน้ำเงินนั้น ยังยิ้มให้เห็น มือขวาชูสร้อยเงินและจี้รูปกางเขนขึ้นมา ก่อนจะค่อยๆล้มลงไปกับพื้น


“มิววววววววววว” โต้งตะโกนเรียกชื่อ แล้วรีบวิ่งไปตรงนั้นทันที



อย่างรวดเร็ว สองเท้าของร่างสูง พาโต้งไปยังร่างโปร่งที่ยินสั่นด้วยความหนาว ร่างกายที่เปียกปอนเป็นสมันตกน้ำนั้นน่าสงสารมาก แต่คนที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็ยังยิ้ม รอยยิ้มที่ทำให้โต้งอุ่นใจได้เสมอ มือขวาของมิวยังคงชูสร้อยเงินและจี้รูปไม้กางเขนของโต้งไว้ โต้งวิ่งไปอย่างเต็มฝีเท้าและก็มาถึงตัวมิวในที่สุด



“เป็นไรรึเปล่ามิว หนาวมั้ย” โต้งสวมกอดมิวไว้ทันทีเพื่อช่วยให้มิวอุ่นขึ้น โดยไม่ถามเรื่องสร้อยซักคำ ร่างโปร่งที่กำลังสั่นอยู่นั้นค่อยๆดีขึ้น ร่างสูงเห็นอย่างนั้นจึงผละออกมาแล้วถอดเสื้อแจ๊กเก็ตของตนสวมทับร่างที่กำลังหนาวนั้นไว้ คว้าสร้อยจากมือขวาของนักร้องหนุ่มที่ยื่นให้ตน น้ำตาไหลนองใบหน้าด้วยความตื้นตันกับน้ำใจที่มิวหยิบยื่นให้ด้วยการเสี่ยงตายไปหาสร้อย และดีใจที่เห็นคนที่เฝ้าคอยและห่วงใยกลับมาได้เสียที น้ำตาที่ไหลเอ่อท่วมใบหน้านั้น กลับทำให้คนที่ยิ้มอยู่เป็นห่วงขึ้นอีก


“โต้ง เป็นอะไรโต้ง ร้องไห้ทำไม” คนที่ร่างกายเปียกปอนถามอีกคนด้วยความห่วงใย หยิบผ้าเช็ดหน้าสีเขียว ปักอักษรจีนว่า”รักมิว”ขึ้นมาจากกระเป๋า ตั้งใจจะเช็ดหน้าให้กับโต้ง แต่ว่า


“ว้า ผ้าเปียก” นักร้องหนุ่มเปลี่ยนใจ ใช้มือของตนเช็ดใบหน้าใสๆของโต้งแทน


“มิวทำเพื่อเราอีกแล้ว โง่ซะจริง เรามีค่าให้มิวยอมเสี่ยงตายขนาดนี้เลยหรอ เรา เรา เราไม่มีค่าขนาดนั้นหรอกนะ เรา.....................................” พูดแค่นั้น มิวก็เอานิ้วชี้ข้างขวาของตนมาจุ๊ที่ริมฝีปากของโต้ง ก่อนจะยิ้มออกมา


“เราคือกันและกันไม่ใช่เหรอโต้ง สำหรับความรัก มันไม่มีคำว่ามากไปหรือน้อยไปหรอก มีแต่กันและกันเท่านั้นแหละ คราวหลังห้ามบอกว่าตนนะไม่มีค่าอีกนะ เพราะสำหรับเรา โต้งมีค่าที่สุดเสมอ”


“มิววว” ชายหนุ่มเปรยเบาๆ แล้วดึงร่างโปร่งของมิวมากอดอีกครั้ง แล้วถามคำถามออกไป


“ว่าแต่ทำไมมิวถึงมาโผล่ตรงนี้ได้ล่ะ ขนาดพวกเจ้าหน้าที่ดำน้ำตามหา ยังไม่เจอเลย”


“อยากรู้จริงรึเปล่า เล่ายาวนะ” มิวแกล้งตอบกวนๆ โต้งยิ้มขำกับมุขบุญชูที่มิวใช้ แล้วกอดมิวแน่นขึ้น มิวเองก็กอดโต้งเช่นกัน ก่อนจะผล็อยหลับไปบนไหล่ของร่างสูงที่กอดตนอยู่



โต้งหันหลัง และแบกมิวขึ้นขี่หลังตน สองมือตระกองร่างมิวให้แน่น และช้อนที่บั้นท้ายกันไม่ให้นักร้องหนุ่มตกลงมา สองมือของนักร้องนำวงออกัสต์กอดร่างสูงของหนุ่มผมเกรียนโดยอัตโนมัติ ถึงจะเพลียหลับไปก็ตาม ศีรษะหนุนอยู่บนไหล่ซ้ายของผู้ที่แบกตนไว้ สุนีย์ช่วยม๊าของหญิงพยุงป้าอรที่ฟื้นจากสลบแล้วกลับไปบ้าน ขณะที่อาม๊าก็โทรบอกข่าวดีให้ลูกชายและลูกสาวได้รู้



กลับมาถึงบ้านของมิว ป้าอรรีบเข้าครัวเตรียมอะไรร้อนๆให้มิวทาน ส่วนสุนีย์เมื่อเห็นว่ามิวปลอดภัยแล้วก็ขอตัวกลับไปสอนหนังสืออย่างเคยตามหน้าที่ของตน ม๊าของหญิงแยกตัวไปขายของต่อที่ร้าน โต้งแบกร่างเปียกของมิวไปที่ห้องน้ำ ถือสร้อยอยู่ในมือ อยากจะขว้างทิ้งเพราะโมโหว่าสร้อยเส้นเดียวเป็นสาเหตุที่ทำให้มิวเกือบจะเอาชีวิตไปทิ้ง แต่ก็นึกขึ้นได้ว่า ตนเองต่างหากที่โง่ขว้างสร้อยนั้นแต่แรก ไม่รอช้า โต้งเอาสร้อยนั้นกลับมาสวมที่คออีกครั้ง แต่ไม่ใช่คอของตน เป็นคอของมิวต่างหาก เพราะความรักความหวังความเชื่อที่ตนเคยมีและเคยบรรจุไว้ในสร้อยและจี้ไม้กางเขน บัดนี้ มันมารวมกันอยู่ในร่างบอบบางน่าทะนุถนอมนี้ต่างหาก ค่อยๆพยุงมิวขึ้นไปบนห้อง บรรจงถอดเสื้อผ้าที่เปียกออกจนเห็นร่างโปร่งที่เปลือยเปล่า นักร้องหนุ่มยังคงไม่ได้สติ โต้งสูดดมกลิ่นความรักจากร่างล่อนจ้อนของมิวชั่วครู่ ก่อนจะยิ้มขำๆ คิดในใจ “มิวก็ซ่อนรูปเหมือนกันแฮะ ไม่ได้ผอมแห้งซักหน่อย แต่ผิวคล้ำกว่าเราเยอะ ขนาดลูกคนจีนนะเนี่ย” จากนั้นก็ลงไปเอาผ้าขนหนูกับน้ำอุ่นมาเช็ดตัวให้มิว ป้องกันไม่ให้เป็นไข้ ก่อนจะเลือกเสื้อผ้าจากตู้มาใส่ให้ แรกๆโต้งก็เขินหน้าแดงอยู่บ้าง แต่พอทำไปซักพัก ก็เฉยๆ เพราะร่างนี้ไม่ใช่ของใครอื่น แต่เป็นร่างของชายหนุ่มที่รักตนที่สุด และตนก็รักไม่ต่างจากกัน



สิบโมงเช้า นักร้องหนุ่มลืมตาตื่นขึ้นมา พบว่าตอนนี้ตนนอนอยู่บนเตียง แต่ศีรษะไม่ได้หนุนหมอน ที่หนุนอยู่ตอนนี้คืออกของชายหนุ่ม ที่กำลังนอนหลับตาพริ้มฟังไอพอดของเจ้าของบ้านอยู่ มือซ้ายของโต้งสวมกอดมิวไว้หลวมๆ ทั้งตื่นเต้น อบอุ่น อิ่มใจ ร่างโปร่งค่อยๆขยับเบาๆ ศีรษะยังคงหนุนอกของโต้งต่อไป ก่อนจะค่อยๆบรรจงปิดเปลือกตาไม่ให้เห็นแววตาสีน้ำเงินที่เต็มไปด้วยความสุข คิดในใจ “หลับอีกซักพักแล้วกัน โต้งอย่าบ่นว่าเมื่อยนะ”



หลังข้าวต้มมื้อเที่ยง ซึ่งที่จริงเป็นมื้อแรกของวันนี้ มิวเห็นว่า ไหนๆก็หยุดเรียนกันแล้ว จึงชวนโต้งไปเยี่ยมกรที่โรงพยาบาล เพราะวันนี้ ตนต้องซ้อมหนักอีก คงไม่มีเวลาไปเยี่ยมกรแน่ๆ โต้งก็เลยเก็บกระเป๋า แล้วว่า คงต้องกลับไปนอนบ้านซักที รบกวนมิวมาหลายวันแล้ว อยากช่วยแม่แบ่งเบางานบ้านบ้าง มิวเห็นด้วย จึงขึ้นไปช่วยโต้งเก็บข้าวของ แล้วก็เปลี่ยนเสื้อผ้าด้วย



กำลังเลือกเสื้อผ้าที่จะใส่ไปเยี่ยมกรอยู่เพลินๆ นักร้องหนุ่มก็นึกขึ้นได้ว่า เมื่อเช้าตอนกระโจนลงไปหาสร้อย ตนไม่ได้ใส่ชุดนี้ ร่างโปร่งเหลียวมองหน้าโต้งที่กำลังอมยิ้ม เลยอดถามไม่ได้


“เสื้อผ้าของเรา เอ่อ คือ” คนถามเริ่มจะหน้าแดง


“เราเปลี่ยนให้มิวเองแหละ รวมทั้งเช็ดตัวให้มิวด้วย” โต้งยังคงยิ้ม


“ถ้างั้น เราก็.......................” มิวหน้าแดงยิ่งขึ้น


“ใช่ ล่อนจ้อน หมดเลย” โต้งตอบเฉยโดยอดยิ้มกับความอายของมิวไม่ได้


“งั้นโต้งก็เห็น........................เอ่อ.....................”


“อืออออ เห็นหมดแล้ว” คำตอบของโต้งทำให้มิวเขินหน้าแดงยิ่งขึ้น


“ไม่ยอมอะ ขาดทุนแย่อะดิ อะไรวะ อุตส่าห์เสี่ยงตาย แล้วยังจะต้องมาแก้ผ้าให้คนอื่นเห็นมิวน้อยอีก......... ไม่ต้องมายิ้มเลยโต้ง ไม่เอาอะ อย่างนี้ต้องเอาคืน” นักร้องหนุ่มกระโดดคว้าโต้ง พยายามจะแกล้งถอดเสื้อผ้าโต้งบ้างแต่ก็สู้แรงไม่ได้ เลยทำใจยอมแพ้ และบ่นเบาๆ


“ไว้คราวหน้าจะเอาคืน” จากนั้นก็เข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วพากันออกจากบ้านไปในตอนบ่ายโมง



“ตกลงมิวไปโผล่ตรงนั้นได้ไงล่ะ” โต้งถามอีกครั้ง เมื่อทั้งสองขึ้นรถแท็กซี่แล้ว


“ก็วันนี้น้ำแรง พัดเราไปซะไกล เกือบจะออกเจ้าพระยาแน่ะ ดีที่ว่ายน้ำแข็ง พอขึ้นฝั่งได้ ก็เดินเลาะแนวเขื่อนมาเนี่ยแหละ ครึ่งกิโลได้มั้ง” คำตอบของมิวทำให้โต้งหายข้องใจ แต่ก็ยิ่งโทษตัวเองมากขึ้นเพราะเป็นต้นเหตุให้มิวต้องลำบาก แต่ลึกๆก็อดภูมิใจไม่ได้ ว่าตนโชคดีมากที่มีคนที่ยอมทำเพื่อตนขนาดนี้ รักตนขนาดนี้ ความรักที่โต้งมีต่อมิวเลยยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีก




ถึงโรงพยาบาลที่กรพักรักษาตัวอยู่ มิวรบเร้าให้โต้งเข้าไปข้างในก่อน ส่วนตนเองบอกกับคนรักว่าจะขอตัวไปห้องน้ำ แต่เมื่อพ้นจากสายตาของโต้ง นักร้องหนุ่มก็ตรงไปห้องพักของลุงหมอทันที


“สวัสดีครับลุงหมอ” มิวทักทายอาจารย์หมอผู้ที่เป็นลุงของโต้ง


“อ้อ......มิวเพื่อนโต้งใช่มั้ย” ฝ่ายู้ใหญ่ทักตอบ


“ครับ.......................คือผมมีเรื่องอยากจะปรึกษาน่ะครับ”




นักร้องหนุ่มและนายแพทย์อาวุโสสนทนากันด้วยความเคร่งเครียดประมาณครึ่งชั่วโมง ก่อนที่มิวจะตัดสินใจขอตัวไปยังห้องพักของกร เพราะโต้งโทรศีพท์มาตามแล้ว จึงสวัสดีและบอกลาลุงหมอ


“เราแน่ใจแล้วเหรอ ว่าอยากทำอย่างงั้น มันเสี่ยงมากนะ” ลุงหมอเอ่ยถาม


“ผมมั่นใจครับลุงหมอ แต่ลุงหมออย่าพึ่งบอกใครนะครับ โดยเฉพาะโต้ง ผมไม่อยากให้เค้ากังวล”


“จะเอางั้นก็ได้ ถ้าอย่างนั้น ช่วงนี้ก็ดูแลสุขภาพด้วยล่ะ แล้วลุงจะนัดมาตรวจร่างกายเราอีกทีนึง”


“ครับ งั้นผมไปก่อนนะครับ สวัสดีครับ” มิวไหว้ลาแล้วเดินออกจากห้องไป


“นึกไม่ถึง ว่าจะมีคนที่ยอมเสียสละเพื่อคนอื่นขนาดนี้อยู่ด้วย โชคดีของบ้านนี้ ที่โต้งมีเพื่อนรักอย่างมิว” ลุงหมอเปรยเบาๆ ก่อนจะถอนหายใจ แล้วกดหมายเลขโทรศัพท์หาเจ้าหน้าที่แผนกอายุรกรรมและศัลยกรรมระบบทางเดินอาหาร




เย็นวันนั้น มิวโผล่เข้ามาในห้องซ้อมตามลำพัง ส่วนโต้งขออยู่รอสุนีย์ที่โรงพยาบาล การโผล่เข้ามาของมิวทำเอาเพื่อนๆทุกคนแปลกใจ เอ๊กซ์รู้เรื่องจากหญิงที่โทรมาบอกแล้ว ทำให้ทุกคนในวงรู้เรื่องเมื่อเช้านี้ด้วย แต่ก็อดแปลกใจไม่ได้ เพราะนึกว่าวันนี้มิวจะลาหยุดพักซะอีก


“นึกว่ามรึงจะลาป่วยนะเนี่ย เชี่ยมิว อุตส่าห์ไปดำน้ำตั้งแต่เช้ามืด หนาวจะตายห่า กรูนึกว่าแมร่ง นอนจับไข้อ้อนโต้งอยู่บ้านซะอีก” มือกีตาร์แซวเพื่อนเสียงดัง


“ไอ้เชี่ยนี่ปากหมา กรูได้ยาดีเว้ย ไม่ต้องมาห่วงแซวกรูเลยมรึง โน่น ไปเลย ตั้งเครื่องเสร็จรึยังวะ จะได้ซ้อมซักที วันนี้กรูมีเพลงใหม่มาอีกสามเพลง แต่พวกมรึงลองเอาโน้ตไปดูก่อน กรูจะยังไม่ร้อง อะ เอาไป” นักร้องนำส่งโน้ตเพลงที่แต่งขึ้นใหม่ ให้เพื่อนๆและน้องๆในวงออกัสต์แบ่งกันดู

.................


.................

โดย: Niramitr วันที่: 4 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:18:43:33 น.
  
+++++ต่อเรื่อง+++++




โต้งยังคงดูแลกรอยู่ที่โรงพยาบาล ถึงจะเตรียมใจยอมรับสิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้บ้างแล้ว แต่ก็ยังอดซึมไม่ได้ ชายหนุ่มรู้สึกว่า ช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา ตนห่างเหินกับพ่อเหลือเกิน แม้ในช่วงคริสต์มาสและปีใหม่จะมีโอกาสใกล้ชิดกันมากขึ้น แต่ก็ยังห่างไกลกับความรักที่เด็กชายคนหนึ่งปรารถนาจะได้รับจากผู้เป็นพ่อ ตอนนี้โต้งมีมิวที่พร้อมจะเป็นกันและกันก็จริง แต่คนเป็นลูกก็ย่อมต้องการพ่อเป็นธรรมดา ไม่รู้ว่าเพราะอยากจะชดเชยให้โต้งรึเปล่า กรถึงได้ยอมรับเรื่องของตนกับมิว แต่โต้งก็คิดเสมอว่า ตนโชคดีมากแล้ว ที่อย่างน้อย ก็ยังได้เห็นพ่อทุกวัน ถึงจะเมาก็ตาม แต่มิวนี่สิ อยู่ลำพังคนเดียวมาหกปี ถึงแม้จะมีป้าอรอยู่ด้วย แต่ก็ไม่ใช่พ่อกับแม่อยู่ดี ปรึกษาอะไรก็ไม่ได้ พลันชายหนุ่มหวนนึกถึงเมื่อวันก่อน ตอนที่มิวรู้ว่าป๊าไม่มาเยี่ยมที่โรงพยาบาล “คงคิดถึงป๊ามากแน่ๆ มิวน่าสงสารกว่าเราซะอีก สูญเสียอาม่าไปแล้ว ป๊าก็ยังไม่ต้องการ ผลักไสให้อยู่กรุงเทพฯคนเดียว ไม่เป็นไรนะมิว มิวทำเพื่อเรามามากแล้ว เราจะทำเพื่อมิวบ้าง”


ดึกแล้ว นักร้องหนุ่มกลับมาบ้านเพียงลำพัง ทำธุระเสร็จก็เตรียมเข้านอน ร่างโปร่งนอนตะแคงแล้วหันไปมองหมอนหนุนอีกใบ คืนนี้ไม่มีคนนั้นเคียงข้างเหมือนหลายๆคืนที่ผ่านมา สองมือเรียวงามคว้าหมอนอีกใบนั้นมากอด แล้วหลับตาลงอย่างสงบ ในใจก็ร้องเพลงที่ตนพึ่งจะแต่งเสร็จ เพลงที่ตั้งใจจะร้องกล่อมคนรักให้หลับอย่างผ่อนคลาย แต่ขอเอามาร้องในใจกล่อมตัวเองซะก่อน แม้กายจะเริ่มหลับ แต่ในใจยังยิ้มอย่างมีความสุข



“โคตรหวานอีกเพลงแล้วพี่มิว แต่งให้คนเดิมใช่ปะเนี่ย” นักเป่าแซ็กรุ่นน้องแซวนักร้องนำรุ่นพี่ หลังจากที่มือคีย์บอร์ดพึ่งจะเริ่มซ้อมเพลงใหม่เพลงที่สามที่แต่งเสร็จหลังสุด คนโดนแซวได้แต่อมยิ้มภูมิใจ ไม่ตอบคำถามของรุ่นน้องแต่อย่างใด

“นั่นดิวะ เพลงแรกที่พวกกรูซ้อมเมื่อวันก่อนนะเว้ย ก็สดใสดีหรอก พอเพลงที่สอง ให้ตายสิ โคตรวังเวงเลย ฟังแล้วเหงาพิลึก พอมาเพลงนี้ เชี่ยเอ๊ย!!!!! หวานได้อีกนะมรึง แมร่งเพื่อนกรู อัจฉริยะ แต่งเพลงได้สุดยอด สามเพลง สามอารมณ์ ในสามวัน อย่างนี้กรูว่ามรึงน่าจะไปนอนโรงพยาบาลบ่อยๆนะ จะได้มีเพลงดีๆมาอีก” นักกีตาร์เพื่อนซี้ก็แซวอีกคน ทำเอาออกัสต์ที่เหลือยิ้มกันหมด

“พวกมรึงก็อย่าแซวมันมาก จำได้มั้ยวะ เดือนที่แล้วที่มันอินเลิฟใหม่ๆ เป็นไง สองเพลงในไม่กี่วัน หวานยิ่งกว่านี้อีก ยิ่งกันและกันนะ หวานโคตร แล้วพอมาหลังปีใหม่ ตอนวันเกิดมรึงนั่นแหละไอ้ปิง เป็นไง ไอ้มิวนี่อารมณ์มันกำลังพลุงพล่าน ตอนไอ้โต้งทิ้งก็ยังเสรือกแต่งเพลงได้นะเว้ย สามเพลงเชียวนะมรึง แล้วพอเลิฟเว่อร์มันกลับมา ไอ้เชี่ยนี่ยิ่งแล้ว แมร่งยังเสรือกแต่งเพลงได้อีก แถมมาแบบสามอารมณ์อีกแน่ะ สองอาทิตย์หลังจากปีใหม่ สองอาทิตย์ หกเพลง กรูว่าจะมีกี่คนล่ะวะที่แมร่งทำได้อย่างมัน แปดเพลงในเวลาเดือนกว่าๆ กรูว่านะ พวกเราเนี่ย ต้องขอบคุณไอ้โต้งให้มากๆ ถ้าไอ้มิวมันไม่เสรือกไปเจอหวานใจมันที่สยามนะโว้ย กรูว่าป่านนี้วงเรา คงยังไม่มีเพลงรักให้ได้ยินหรอก” มือคีย์บอร์ดพักมือจากการซ้อมเพลงใหม่ชั่วครู่ แล้วหันมาเข้าวงสนทนานินทาเพื่อนกับเค้าอีกคน




“นั่นดิ กรูยังจำภาพได้ติดตาเลยนะเว้ย ก่อนหน้าที่มันเจอโต้งน่ะ พี่อ๊อดเค้าสั่งให้มันแต่งเพลงรัก ไอ้เชี่ยนี่ทำหน้าเอ๋อแดรก “เหรอครับ” กรูยังว่ามันจะแต่งได้มั้ยเนี่ย




แล้วไงเล่า ไอ้สาดโคดสุดยอด เกือบทำอัลบั้มเต็มได้เลยนะเว้ย กรูกับไอ้ปิงแอบได้ยินคุณเอเค้าคุยกับพี่อีอดว่า ถ้ารวมซิงเกิ้ลเก่าอีกสองเพลงที่เคยทำไว้ กับที่ไอ้มิวแต่งมาใหม่ ก็ครบสิบเพลงพอดี พี่เค้าว่ากระแสวงเรากำลังดีมาก จะทำอัลบั้มเต็มให้เสร็จช่วงวาเลนไทน์เดือนหน้าแน่นอน ...................คอนเฟิร์ม” เอ๊กซ์ร่วมสำทับเพื่อนสนิทอีกหน ทั้งชื่นชมและล้อเลียนนักร้องนำเพื่อนรักได้อย่างสบายอกสบายใจ ในขณะที่ชายหนุ่มผู้เป็นทั้งนักร้องและนักแต่งเพลงยังนั่งยิ้มเฉย แต่ก็ตั้งใจฟังเพื่อนๆคุยกัน

“อีกเดือนเดียว ตั้งใจกันหน่อยล่ะ เพื่อความฝันของพวกเรา ฝ่าฟันด้วยกันมานาน กว่าจะมีวันนี้ กรูจะไม่ทิ้งโอกาสไปเด็ดขาด โดยเฉพาะมรึง มิว มรึงเคยบอกไม่ใช่หรอ ว่ามรึงจะทำให้อาม่าภูมิใจ” มือเบสหน้าตี๋เอ่ยปากขึ้นมาบ้าง ดูมีสาระ กมายทีเดียว เมื่อเทียบกับเพื่อนร่วมวงคนอื่นๆ

“อืมมมม ขอบใจเว้ย กรูจำได้แน่นอน ตอนที่กรูเล่นเปียโนของอากงให้พวกมรึงฟังครั้งแรกตอนที่พวกมรึงแวะไปที่บ้าน กรูบอกกับรูปของอากงกับอาม่าว่า เปียโนตัวนี้จะทำให้กรูมีชื่อเสียง กรูจะต้องเป็นนักร้องดัง กรูจะแต่งเพลงที่ทำให้ทุกคนยอมรับ วันนี้ใกล้เป็นจริงแล้ว ยังไงกรูและพวกมรึงทุกคน ก็ต้องไล่ล่าความฝันที่เคยมีร่วมกันให้สำเร็จให้ได้” นักร้องหนุ่มแสดงความมุ่งมั่นให้เพื่อนๆเห็น นัยน์ตาสีน้ำเงินคู่นั้น แสดงออกถึงความจริงจังและจริงใจอย่างชัดเจน มิวยื่นมือออกมาด้านหน้าเพื่อนๆที่กำลังยืนล้อมวงกันอยู่ สมาชิกคนอื่นๆในวงออกัสต์ต่างก็ทำเช่นกัน เริ่มจากเอ๊กซ์ที่ยื่นมือขวาของตนมาวางทับหลังมือของมิว จากนั้นก็เป็นสมาชิกออกัสต์รุ่น ม.หก อย่างแวน ต่อ เอ็ม ตามด้วยรุ่นม.ห้า อย่างปิงปอง แม็ค อ๋อง และไมค์ ถัดมาด้วยรุ่น ม.สี่อย่างอาร์ม ปิดท้ายด้วยน้องอ้วน ออกัสต์ม.หนึ่งเพียงคนเดียวในวง ที่ร่วมต่อสู้พ้อมกับรุ่นพี่มาไม่น้อย

“ออกัสต์.............................................................................สู้”



“ตื๊ดดดดด ตื๊ดดดดด “ ไม่ทันไร สัญญาณโทรศัพท์ของนักร้องนำก็ดังขึ้น มิวรีบเดินไปคว้าโทรศัพท์ขึ้นมารับสาย ทุกคนหันมามองอย่างใคร่รู้







“ว่าไงโต้ง .......................... พรุ่งนี้หรอ ...................... ได้ ...................... อยู่ไหนเนี่ย.............อ้อ.............. แล้วเจอกัน .................อื้ม.......................จ้า” น้ำเสียงสดใส ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านักร้องหนุ่มคุยอยู่กับใคร

“ไหงพวกมรึงมองกรูอย่างนั้นล่ะ พรุ่งนี้น้ากรออกจากโรงพยาบาลแล้ว โต้งเค้าชวนกรูไปรับด้วยกัน ก็แค่นั้น อย่าว่ากรูนะเว้ย พรุ่งนี้วันเสาร์ ตอนเช้างดซ้อม เวลาล่างของกรู กรูไม่ได้อู้นะ ไม่เห็นหน้ากันหลายวันแล้วนี่หว่า กรูยังมีสิทธิ์ไปเที่ยวได้ ใช่ปะ” มิวรีบแก้ตัว ทันทีที่เห็นเพื่อนๆหันมามองด้วยสีหน้าซีเรียส

“ใครเค้าว่าอะไรมรึงวะ ก็แค่อิจฉาคนมีแฟนล่ะมั้ง” เอ็มตอบแทนคนอื่นๆ

“ก็ใครมันจะมาเหมือนมรึงล่ะวะ แมร่งไม่เคยแลสาวที่ไหน กรูซะอีก พึ่งจะเริ่มคบกันแท้ๆ ยังไม่เคยไปดูหนังด้วยกันเลย” นักกีตาร์คิ้วหนาบ่นเสียงดัง

“พี่เอ๊กซ์ก็ให้พี่มิวช่วยสิคร้าบบบบบ คนเค้าสนิทกันขนาดนั้นน่ะ” ปิงปองปากดีเสนอทางให้เอ๊กซ์

“นั่นดิวะ มรึงช่วยกรูหน่อยดิ ทำยังไง หญิงเค้าจะยอมไปดูหนังกับกรูวะ” เอ๊กซ์ขอร้องให้มิวช่วย แต่นักร้องหนุ่มมองหน้าเพื่อนแล้วส่ายหน้าเซ็งๆแทน

“ก็มรึงบ้าดูแต่หนังแอ๊กชั่น ชอบนักเรื่องตีกันเนี่ย แต่พอเอาเข้าจริงเสรือกกลัวเลือด แล้วมรึงอะ เคยถามหญิงเค้ารึเปล่า ว่าชอบหนังแนวไหน ผู้หญิงนะเว้ย กรูว่ามรึงลองหัดดูหนังโรแมนติกซะบ้าง เค้าจะได้ไปกับมรึง เชื่อกรู “ มิวแนะนำวิธีการให้เพื่อนรัก

“กรูว่ายากว่ะไอ้มิว วันก่อนนะเว้ย ไอ้เชี่ยเอ๊กซ์ชวนหญิงไปกินข้าวกันสองคน แมร่งขี้เหนียว เสรือกอเมริกันแชร์ กรูล่ะเบื่อ จะจีบสาวเสรือกขี้ตืด “ ต่อรีบบอกให้มิวฟัง ทำเอาเอ๊กซืหน้าเสีย เพราะคำพูดของต่อทำให้พวกเพื่อนๆพากันสมน้ำหน้าเอ๊กซ์ และแซวกันยกใหญ่


การซ้อมดำเนินต่อไปจนถึงห้าทุ่ม วันนี้เป็นวันศุกร์ พี่หลิวจึงให้ซ้อมหนักเป็นพิเศษ หลังจากนั้นก็จะพากันไปกินก๋วยเตี๋ยวเจ้าประจำ แต่เสียดายที่วันนี้ร้านไม่เปิด สุดท้ายจึงต้องพากันกลับบ้าน โดยพี่หลิวขับรถไปส่งรุ่นน้อง ส่วนเพื่อนๆคนอื่นๆก็ขอแยกไปขึ้นรถอีกฟากถนน เหลือแต่มิวที่ต้องมารอรถแท็กซี่กลับบ้านตามลำพังอีกเช่นเคย ลมเย็นโชยผ่านทำให้นักร้องหนุ่มต้องกระชับเสื้อแจ๊กเก็ตกันหนาวเข้าหาตัว กวาดสายตาไปทางขวาเพื่อรอให้แท็กซี่ผ่านมาซักคัน แต่สิ่งที่เห็นกลับเป็นเพียง ไฟหน้าของรถสปอร์ตสีบรอนซ์เงินคุ้นตาที่เข้ามาใกล้เรื่อยๆ และมาหยุดตรงที่นักร้องนำวงออกัสต์ยืนอยู่

“ว่าไงมิว” เสียงที่นักร้องหนุ่มไม่อยากได้ยินดังขึ้น

..........................

..........................

..........................

โดย: Niramitr วันที่: 4 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:18:48:38 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Niramitr
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]



สาวก"รักแห่งสยาม"

New Comments