Group Blog
 
All blogs
 

The Housemaid (2010): ผู้หญิงเลี้ยวซ้าย ผู้ชายเลี้ยวขวา(เข้าห้องสาวใช้)


เกาหลีใต้


The Housemaid (2010) :
ดูเหมือนว่าเทรนด์ที่คุณผู้ชาย(บางท่าน)ชอบไปเจ๊าะแจ๊ะกับสาวใช้เนี่ยจะไม่ได้เป็นที่นิยมแค่ในหมู่ชายไทยใจชีกอของเราเท่านั้น เพราะอันที่จริงแล้วเทรนด์นี้เขาก็เป็นกันทั่วโลกมาช้านานไม่มีวันเอ้าท์ซะที ซึ่งก็จะมีเรื่องแบบนี้ให้ได้พบเห็นไปอีกนานเท่านานตราบเท่าที่คุณผู้ชายทั้งหลายยังคงชอบปล่อยงูให้มาทำรังบนหัวอยู่ ว่าแล้ววันดีคืนดีเราก็เลยได้ดูหนังเกาหลีที่พูดถึงเรื่องนี้ ซึ่งก็เป็นการรีเมคหนังเกาหลีคลาสสิคปี 1960 ที่มีชื่อเดียวกันมาอีกทีหนึ่งนั่นเอง


ก็คุณผู้ชายเขาหล่อล่ำรวยจนเกินห้ามใจนี่
เมื่อ อึนยี (จองโดยอน จาก Secret Sunshine [2007]) ได้เข้ามาทำงานเป็นสาวใช้ให้กับครอบครัวเศรษฐีสุดไฮโซอันประกอบด้วยสามพ่อแม่ลูก ซึ่งด้วยความหล่อรวยล่ำ(แถมเล่นเปียโนเก่งอีกต่างหาก)ของคุณผู้ชาย(ลีจองแจ จาก Il Mare [2000])ทำให้เธอปิ๊งเขาให้อย่างจังจนเผลอใจมีอะไรกันและก็เป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาจนได้เมื่อเธอเกิดตั้งท้องขึ้นมา ซึ่งมันเป็นอะไรที่จะส่งผลให้ชีวิตของเธอชีช้ำสุดๆ ไปเลยทีเดียวเชียว


พี่เขาต้องเสียวสันหลังเมื่อรู้สึกว่าเมียกำลังมองแบบนี้อยู่
ผกก. อิม แซง-ซู ที่เคยทำหนังดราม่าออกแนววาบหวิว(แต่ก็ในแบบคุณภาพ)มาแล้วอย่าง A Good Lawyer''s Wife (2003) เปลี่ยนเรื่องราวจากหนังต้นฉบับจากเรื่องราวฉาวที่เกิดขึ้นในครอบครัวชนชั้นกลางมาเป็นครอบครัวเศรษฐี หนังเปิดเรื่องมาอย่างน่าสนใจด้วยภาพของบรรดาผู้หญิงบ้านๆ หลายคนที่ต้องทำงานหาเลี้ยงตนเองและครอบครัวแบบปากกัดตีนถีบในสังคมทุกวันนี้ แล้วปิดท้ายช่วงแรกด้วยฉากชวนช็อคก่อนจะวกเข้าเรื่องราวหลักของหนังในเวลาต่อมา


ดูเหมือนว่าป้าเขาจะเจอะอะไรดีๆ เข้าให้ซะแล้ว
ถึงหน้าหนังจะชวนคิดไปว่าคงจะสยิวกันเถิดเทิงล่ะงานนี้ แต่ที่จริงแล้วหนังไม่ได้เน้นฉากอีโรติกวาบหวิวกันสักเท่าไหร่หรอก(ผิดหวังล่ะเซ่) เพราะมุ่งเสนอถึงผลที่ตามมาของเรื่องอื้อฉาวนี้ต่างหาก ซึ่งก็มีพล็อตออกแนวละครไทยนิดๆ และใช้นักแสดงเพียงไม่กี่คน สถานที่ไม่กี่ฉาก แต่ก็เอาอยู่ด้วยการแสดงเด็ดๆ ของนักแสดงในเรื่องทั้งหลาย โดยเฉพาะคุณ จองโดยอน ที่เล่นได้ดีมีคุณภาพอีกแล้วครับทั่น เธอสามารถทำให้คนดูรู้สึกสงสารเห็นใจในชะตากรรมของเธอได้ (ทั้งๆ ที่เธอก็เป็นฝ่ายผิดด้วยน่ะนะ) ส่วนคุณ ลีจองแจ เราก็มามาดเดิมๆ แต่คราวนี้มีได้โชว์กล้ามโชว์ตูด(ขาวๆ)ให้ดูกันนิดหน่อยเพิ่มขึ้นมาด้วยเท่านั้นแหล่ะ เหอๆ


ตัวร้ายของเกาหลีชอบมองค้อนคล้ายในละครไทยเปี๊ยบเลย
สำหรับคุณผู้ชายแล้วเธอเป็นแค่คู่นอนยามอารมณ์เปลี่ยว ซึ่งเขาก็ตอบแทนเธอด้วยเงินก้อนโต แต่เธอไม่ได้นอนกับเขาเพื่อแลกกับเงิน ทว่าเธอต้องการเพียงความรักจากเขาเท่านั้น ส่วนที่น่าชีช้ำที่สุดคือฉากจบที่ช่างเย้ยหยันยิ่งนัก เพราะสุดท้ายแล้วเธอก็เป็นได้เพียงแค่ปัญหาสิวๆ กวนใจที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปสำหรับครอบครัวนี้เท่านั้น ซึ่งบ่อยครั้งในชีวิตจริงคนเราก็เป็นแบบนั้น ที่พวกผู้ชายตัวดีทั้งหลายมักจะลอยนวลลั้นลาได้ต่อไป ในขณะที่ฝ่ายหญิงก็มีแต่ต้องชีช้ำใจไปฝ่ายเดียวอยู่ร่ำไป


หนังเวอร์ชั่นต้นฉบับเมื่อปี 1960
  • น่าดูเพราะ: เป็นหนังดราม่าที่พูดถึงเรื่องเจ้านาย-สาวใช้ ผู้ชาย-ผู้หญิง คนรวย-คนจน ได้อย่างน่าสนใจ การแสดงเด่น แง่คิดมี(ตูดขาวๆ ก็มีให้ยลนะจ้ะ อิอิ)
  • ไม่น่าดูเพราะ: ออกแนวละครไทยอยู่พอสมควร(เน่านิดๆ) และหลายฉากดูแล้วงงว่าไปไงมาไงเนี่ย โดยเฉพาะที่ว่าไฟลุกได้ไง อุ๊บส์!(แต่ใครรู้วานบอกทีเถ้อะ อิอิ)





 

Create Date : 05 ตุลาคม 2553    
Last Update : 5 ตุลาคม 2553 8:17:18 น.
Counter : 5381 Pageviews.  

Woochi (2009): ศึกจอมขมังเวทย์ทะลุภพ


เกาหลีใต้

Woochi (2009) :
เรื่องการเผยแพร่วัฒนธรรมของชาติตนเข้าไปกับหนังแบบเนียนๆ เนี่ยต้องยกให้เกาหลีเขาเลยล่ะ ไม่ว่าจะเป็น แดจังกึม ที่เล่นเอาพี่ไทยเราเห่ออาหารเกาหลีไปด้วย หรือบรรดาหนังทีวีที่เกี่ยวกับเหล่าคนสำคัญของชาติเขาทั้งหลายที่ทำเอาคนไทยได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ของเขาไปในตัว แบบที่ใครๆ ก็ต้องรู้จัก จูมง(แต่ของเราเองกลับนึกกันไม่ค่อยออก) และอีกหลายสิ่งที่ทำให้เกิดกระแส'เกาหลีฟีเว่อร์'มาจนทุกวันนี้ ซึ่งอันนี้ก็ต้องยกเครดิตให้พวกเขาที่มีความภูมิใจในความเป็นชาติของตนและสามารถนำมาผสมผสานเข้ากับความบันเทิงได้อย่างเหมาะเจาะยิ่งนัก

ดูเหมือน แฮร์รี่ พ็อตเตอร์ จะเจอคู่แข่งซะแล้ว
มาคราวนี้ก็ถึงคิวของวีรบุรุษจากตำนานพื้นบ้านของชาวเกาหลีเรื่อง"Tale of Jeon Woo Chi" กันบ้างล่ะ ซึ่งถูกหยิบนำมาสร้างเป็นหนังแฟนตาซีบู๊ปนตลกโดย ผกก.ชอยดองฮุน ที่ได้หนุ่มโย่ง คังดองวอน (Maundy Thursday [2006]) มารับบทพ่อมดหนุ่มมาดทะเล้น จอนวูชิ ที่ถูกขังไว้ในรูปภาพกว่า 500 ปีเพราะถูกใส่ร้ายป้ายสี จนในที่สุดก็ถูกปลดปล่อยออกมาในยุคปัจจุบัน เพราะเขาอาจเป็นเพียงผู้เดียวที่สามารถปราบปรามเหล่าปีศาจร้ายที่กำลังออกอาละวาดเพื่อต้องการจะครอบครองเกาหลีหรืออาจจะทั้งโลกเลยก็ได้(ป๊าด!)

ดูมาดก็รู้ว่าเป็นตัวโกง
ด้วยความที่เป็นหนังแฟนตาซีที่มีเรื่องราวโลดแล่นกันสองยุคสองสมัยเช่นนี้ เราจึงจะได้เห็นเหล่าปีศาจ การใช้คาถาอาคม การเหาะเหินเดินอากาศกันจุใจเชียวล่ะ ซึ่งงานด้านสเปเชี่ยลเอฟเฟกต์ก็ทำออกมารองรับจุดนี้ได้ดีมิใช่น้อยเลยทีเดียว(ก็น้องๆ ฮอลลีวู้ดล่ะนะ) สิ่งที่น่าชื่นชมอีกอย่างคือหนังให้เวลาในทั้งสองยุคเท่าเทียมกัน ซึ่งนอกจากจะทำให้ปูเรื่องราวได้หนักแน่นแล้วยังทำออกมาดูสนุกทั้งสองยุคด้วย (นี่ถ้าเป็นหนังฮอลลีวู้ดอาจจะให้เวลายุคอดีตแค่ไม่ถึงครึ่งชม.แล้วก็รีบกระโจนเข้าสู่ยุคปัจจุบันเป็นแน่เชียว) รวมถึงโทนหนังโดยรวมที่ไม่ซีเรียสเท่าใดนัก เลยเป็นความบันเทิงที่ดูได้เพลินๆ ดีแท้

เทคนิคงานสร้างดูดีมิใช่น้อยเลยทีเดียว
แต่ด้วยความที่หนังยาวซะกว่าสองชั่วโมง เลยรู้สึกว่าหนังยาวไปหน่อย นี่ถ้าหนังสั้นกว่านี้สัก 15-20 นาที แล้วก็ตัดตัวละครที่ไม่จำเป็นออกไปบ้าง จะกระชับและดูสนุกกว่านี้เป็นแน่ ส่วนอีกอย่างที่เป็นปัญหาคือความโม้ให้น่าเชื่อถือ(ซึ่งฮอลลีวู้ดถนัดนัก) ยกตัวอย่างเช่นพระเอกกับโจรบู๊กันเถิดเทิงอยู่กลางเมือง แต่ไม่เห็นหัวตำรวจหรือแม้กระทั่งชาวบ้านในบริเวณข้างเคียงแม้แต่น้อย (หรือเขาอาจจะเลือกทำเลเปลี่ยวก่อนซัดกันมาแล้ว?) รวมทั้งการที่ติดตลกแบบนี้เลยทำให้เรื่องราวอาจไม่เข้มข้นเท่าที่ควรนัก

โผล่มายุคปัจจุบันไม่ทันไรก็ซดเบียร์กันซะแล้วนะพ่อคุ๊ณณ
ยังไงซะก็ถือว่าหนังประสบความสำเร็จในการนำเรื่องราววีรบุรุษในตำนานของชาติเขามาขึ้นจอเผยแพร่ให้โลกได้รู้จัก(คนในชาติก็ชอบดูด้วย) โดยได้เทคนิคงานสร้างที่ได้มาตรฐานทำให้หนังดูมีเกรด และใส่ความทันสมัยเข้าไปทำให้เรื่องราวไม่เชยและน่าสนใจขึ้นมาแยะ แบบนี้เห็นทีหนังเกาหลีคงจะเสื่อมความนิยมยากหน่อยซะแล้วมั้ง ในเมื่อรู้จักประยุกต์ความเป็นชาติของตนเข้าความทันสมัยได้เช่นนี้ ในขณะที่บางประเทศแถวนี้กลับหนีความเป็นตัวของตัวเองเพื่อพยายามกลายเป็นเหมือนชาติอื่นไปซะงั้น เฮ้อ อยากจะร้องออกมาดังๆ ว่า กรูมึนโฮ...(ยืมชื่อมาแซวเท่านั้น ไม่ได้ว่าตัวหนังเน้อ อิอิ)

  • น่าดูเพราะ: เป็นหนังแฟนตาซีเกาหลีที่เด่นทางด้านเทคนิคที่ดูดีมาก แถมเล่าเรื่องได้เข้าท่าดูเพลินๆ ดีจ้า
  • ไม่น่าดูเพราะ: หนังยืดยาวไปนิดและถ้าจริงจังมากกว่านี้หน่อยก็จะแหล่มไปเลยจ้า





 

Create Date : 29 สิงหาคม 2553    
Last Update : 13 มกราคม 2554 7:28:56 น.
Counter : 3697 Pageviews.  

The Legend Is Born: Ip Man (2010): ก่อนจะมาเป็นปรมาจารย์ยิปมัน


ฮ่องกง


The Legend Is Born: Ip Man (2010) :
เป็นเพราะว่าเฮียดอนนี่ เยน สวมวิญญาณท่านอาจารย์ยิปมัน วาดลวดลายมวยหย่งชุนอย่างเมาแม้วจนคอหนังพากันติดอกติดใจกันเป็นแถว เล่นเอาชื่อเสียงของท่านอาจารย์และมวยหย่งชุนโด่งดังขึ้นมาในวงกว้าง ทำให้หลายคนถึงขนาดลงทุนแห่ไปเรียนมวยนี้กันเลยก็มี และทำให้ผู้สร้างหนังหลายรายหันมาสนใจที่จะสร้างหนังที่เกี่ยวกับท่านอาจารย์ ดังนั้นเห็นทีเราคงจะได้ดูหนังเกี่ยวกับอาจารย์เขาอีกเยอะ เหมือนที่ยุคหนึ่งเคยนิยมสร้างหนังเกี่ยวกับ หวงเฟยหง ออกมานั่นแหล่ะ


โฉมหน้าท่านอาจารย์ตอนหนุ่มฟ้อ
ถ้าติดตามข่าวสารในวงการหนังมาบ้างก็จะพอทราบว่าตอนนี้นอกจากเวอร์ชั่นของเฮียเยนแล้ว ยังมีสร้างออกมาอีกสองเจ้า(เป็นอย่างน้อย)คือเวอร์ชั่นของ หว่องกาไว ที่ได้ เหลียงเฉาเหว่ย มาสวมบทเป็นท่านอาจารย์(เอิ่ม...) และเวอร์ชั่นนี้ที่ขอย้อนไปเล่าเรื่องราวของท่านในช่วงตั้งแต่ยังเด็กยันเริ่มมีครอบครัวบ้าง (คือระหว่างปี ค.ศ.1905-1929) ว่าไปยังไงมายังไงท่านถึงได้เก่งและเก๊กมาดนิ่มอย่างที่เราเห็นในหนังเวอร์ชั่นเฮียเยนนั่นเอง


สาวๆ สุดน่ารักก็มีมาให้ดูกัน
เวอร์ชั่นนี้ได้ โตหยูฮัง (ที่มองเผินๆ หน้าก็คล้ายๆ เฮียเยนอยู่นะ)ที่เคยคลุกคลีตีโมงกับหนังยิปมันมาตั้งแต่ภาคแรกแล้ว มารับบท อ.ในช่วงหนุ่มแน่น และยังพ่วงมาด้วยนักแสดงหน้าเดิมจากยิปมันเวอร์ชั่นก่อนมาตั้งหลายคนแหน่ะ(แต่มาเล่นคนละบทกับเวอร์ชั่นเดิมเน้อ) ทั้งยังมีนักบู๊รุ่นเดอะอย่าง หยวนเปียว ที่ขอมาบู๊กับเขาด้วย ทว่าจุดขายเด็ดที่สำคัญที่สุดคงจะไม่พ้นการที่หนังได้ลูกชายคนโตของท่านอาจารย์อย่างท่านปู่ ยิปชุน มารับบทอาจารย์คนที่สองของ อ.ยิปมันในหนังด้วย(เป็นอาจารย์ของพ่อตนเองซะงั้น อิอิ)


ลูกชายของท่านอาจารย์ที่ยังเตะปี๊บดังก็มาเล่นหนังเรื่องนี้ด้วย
ก่อนอื่นเลยคงต้องพูดถึงพระเอก โตหยูฮัง ที่ถึงจะไม่ค่อยเป็นที่คุ้นหน้าจากคอหนังนัก(เพราะเล่นเป็นตัวประกอบประเภทลูกน้องโจรมาโดยตลอด)แต่ก็รับบทท่านอาจารย์ได้อย่างทะมัดทะแมงดูเข้าท่าดีทีเดียว ทว่าคงจะไม่ถึงขั้นเป็นที่ถูกอกถูกใจใช่เลยและช่วยให้หน้าหนังดูมีราศีขึ้นแบบในรายของเฮียเยนหรอกนะ หนังเล่าเรื่องไปแบบเรื่อยๆ คิวบู๊ก็ดีพอสมควร แต่ก็ไม่ถึงขนาดดูเจ๋งและสดเท่าเวอร์ชั่นก่อน (หลีกเลี่ยงที่จะนำไปเปรียบเทียบกับเวอร์ชั่นเฮียเขาไม่ได้จริงๆ) แฟนเก่าๆ ของ หงจินเป่าและหยวนเปียวคงจะดีใจที่ได้เห็นทั้งสองคนมาปะมือกันบนจออีกครั้ง ในขณะที่แฟนๆ ของหนังเวอร์ชั่นเฮียเยนก็สามารถดูเวอร์ชั่นนี้เพื่อเติมเต็มรายละเอียดเรื่องราวชีวิตของท่านอาจารย์ให้สมบรูณ์มากขึ้นไปอีกได้ด้วย
  • น่าดูเพราะ: แฟนๆ หนังอาจารย์ยิปมัน ยังคงดูสนุกได้อยู่ แถมได้รู้เรื่องราวของท่านมากขึ้นด้วย
  • ไม่น่าดูเพราะ: คิวบู๊ไม่สด ไม่แหล่ม เท่าเวอร์ชั่นเฮียเยน และเนื้อเรื่องธรรมดาออกแนวหนังทีวีไปนิดล่ะมั้งเนี่ย





 

Create Date : 22 กรกฎาคม 2553    
Last Update : 22 กรกฎาคม 2553 16:59:17 น.
Counter : 4148 Pageviews.  

Villon's Wife (2009): หัวอกคนเป็นเมีย


ญี่ปุ่น


Villon's Wife (2009) :
ผลงานล่าสุดของ ทาคาโกะ มัตสึ (April Story [1998]) นักร้อง/นักแสดงสาว เรื่องนี้ทำให้เธอได้เดินสายไปคว้ารางวัลนำหญิงจากเวทีแจกรางวัลต่างๆ ในญี่ปุ่นกันให้ควั่ก ซึ่งนอกจากเธอแล้วหนังยังมี ทาดาโนบุ อาซาโน่ (Last Life in the Universe [2003])และดาราที่คุ้นหน้าคุ้นตาอีกเพียบเลย แบบนี้บรรดาแฟนหนังของเธอและคอหนังญี่ปุ่นคงจะพลาดกันไม่ได้ซะแล้วสิเนอะ


เจ๊เขาดูดีมีชาติการ์ตูนเสมอในหนังย้อนยุคแบบนี้
เรื่องนี้เธอรับบท ซาจิ ภรรยาแสนสวยของ โอตานิ (อาซาโน่)นักเขียนขี้เมา ที่ทั้งคู่มีพยายานรักเป็นลูกชายวัย 2 ขวบ แต่ในขณะที่เธอทำตัวเป็นภรรยาที่ดี รักสามีอย่างเทิดทูน สามีของเธอกลับเอาแต่เมา ไม่ค่อยสนใจเธอและมักจะปล่อยให้เป็นยายเพิ้งเลี้ยงลูกอยู่บ้านตามลำพัง(แต่ก็ยังดูสวยอยู่ดีแหล่ะ) แล้วไปเจ๊าะแจ๊ะกับผู้หญิงอีกหลายคน แถมยังขยันก่อเรื่องให้ภรรยาได้เครียดอยู่บ่อยๆ ถึงกระนั้นเธอก็ไม่เคยว่าอะไรเขา ยังคงยิ้มและรับฟัง ให้อภัยเสมอและรักเขาอย่างหมดใจ แม้จะมีหนุ่มๆ หลายคนมาชอบเธอก็ตาม เธอก็ไม่สน อืม ภรรยาแบบนี้มีจริงๆ หรอเนี่ย...


ดูเหมือนเฮียอาซาโน่เขาจะมีเรื่องหนักอกอยู่นะ
ผกก.คิจิทาโร่ เนกิชิ เล่าเรื่องดราม่าย้อนยุคในช่วงที่ญี่ปุ่นเพิ่งแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง ออกมาแบบนิ่งๆ เรื่อยๆ ไม่มีฉากเร้าอารมณ์ แต่โดดเด่นในเรื่องฉาก เสื้อผ้าหน้าผม ในขณะที่ศูนย์กลางของหนังอย่างคุณ มัตสึ นั้นก็ยังคงสวยดูดีและแสดงได้อย่างยอดเยี่ยมในบทภรรยาแสนประเสริฐที่ ผู้ชายที่ไหนก็คงอยากจะขอให้มาใช้นามสกุลด้วยแน่ๆ ส่วนคุณ อาซาโน่ ก็ไม่มีอะไรให้ติกันอยู่แล้วในบทนักเขียนขี้เมาที่หมกมุ่นอยู่กับความคิดที่จะฆ่าตัวตายและกลัวเมียจะมีชู้ แต่ด้วยความที่หนังนิ่งๆ เรื่อยๆ แบบนี้ ก็เลยอาจจะชวนง่วงได้ง่ายๆ และสาระที่แนบมากับหนังก็ไม่ได้มาแบบสำเร็จรูปเช่นหนังฮอลลีวู้ด แต่ต้องอาศัยการไตร่ตรองตีความกันพอสมควรเลยล่ะ


เมียดีๆ แบบนี้คงจะหายากไม่ใช่เล่น
หนังไม่ได้แสดงให้เห็นว่าทำไมเธอถึงได้รักเทิดทูนสามีขนาดนั้น และทำไมถึงไม่เคยคิดจะตำหนิอะไรเขาแม้แต่น้อย ไม่ว่าเขาจะก่อเรื่องให้ขนาดไหน ซึ่งตรงนี้หลายคนคงจะดูแล้วไม่เข้าใจว่าถ้ามีผัวแย่ๆ แบบนี้ทำไมไม่ทิ้งไปหาผู้ชายดีๆ ซะละ แต่ก็นะ นอกจากจะเป็นเพราะวัฒนธรรมของคนญี่ปุ่นสมัยนั้นที่ผู้หญิงห้ามมีปากมีเสียงแล้ว เรื่องของความรักเนี่ย บางทีมันก็อยู่เหนือเหตุผลและความเข้าใจของเรา เอาแค่ประโยคสุดท้ายของหนังที่ฝ่ายภรรยาเอ่ยกับสามีที่เพิ่งขอลาออกจากการเป็นผัวว่า "ใครจะเห็นว่าเราน่ารังเกียจแค่ไหนก็ช่างเถอะ ตราบใดที่อย่างน้อยเรายังคงมีชีวิตอยู่ ยังคงมีกันและกันอยู่ก็ดีแล้วนะคะ" ฟังแล้ว เราก็ขอยกตำแหน่งสุดยอดภรรเมียแสนประเสริฐอีกคนแห่งโลกภาพยนตร์ไปครองเลยจ้า แม่คุ๊ณณณ

  • น่าดูเพราะ: เต็มไปด้วยดาราคุณภาพ เนื้อหาน่าคิด ทั้งแฟนของคุณ มัตสึ และคุณ อาซาโน่ อย่าพลาดเชียวนา
  • ไม่น่าดูเพราะ: หนังนิ่งๆ เรื่อยๆ จนอาจทำให้ท่านหลับหงายเงิบเอาได้ง่ายๆ






 

Create Date : 09 กรกฎาคม 2553    
Last Update : 9 กรกฎาคม 2553 19:22:59 น.
Counter : 2939 Pageviews.  

Kamogawa Horumo: Battle League in Kyoto (2009): ประลองพลิ้ว ชมรมเพี้ยน


ญี่ปุ่น

Kamogawa Horumo: Battle League in Kyoto (2009):
เห็นหน้าหนังของหนู ชิเอกิ คุริยาม่า (Kill Bill: Vol. 1 [2003])เรื่องนี้แล้วชวนให้คิดว่าคงจะตลกอึแตกอึแตนบ้าบอคอแตกกันเต็มที่แน่นอนเชียว แต่พอได้ดูแล้วก็ออกแนวขำๆ น่ารักๆ ตลกแบบเจียมเนื้อเจียมตัวซะมากกว่า ที่น่าสนใจกว่านั้นก็คือนี่เป็นหนังตลกญี่ปุ่นที่ใช้ซีจีเยอะมากๆ เรื่องหนึ่งเลยทีเดียวเลยมั้ง(นะ)


เห็นสภาพแต่ละคนแล้วงานนี้คงไม่มีซีเรียสแน่นอน
ส่วนเรื่องราวก็เกี่ยวกับหนุ่มสาวในรั้วมหาวิทยาลัยเกียวโต เมื่อนาย อากิระ อาเบะ (ทาคายูกิ ยามาดะ จาก Ikigami [2008]) น้องใหม่ใจซื่อเกิดไปปิ๊งสาวดั้งสวยเข้า จนตัดสินใจสมัครเข้าเป็นสมาชิกชมรมสุดพิลึกอย่างชมรม "มังกรฟ้า" ตามสาวเจ้าเพราะอยากอยู่ใกล้ชิด (ประธานชมรมดันหน้าเหมือน เฮียสรยุทธ เรื่องเล่าเช้านี้ เวอร์ชั่นหัวเกรียนอย่างกับแกะอีกด้วย) โดยหารู้ไม่ว่าชมรมอันเก่าแก่นี้เขาสอนวิชาบังคับ 'โอนิ' ปีศาจตัวจิ๋วที่มากันเป็นกองทัพ เพื่อให้เข้าประลองกันในเกมการแข่งขันลึกลับที่มีมากว่าพันปีแล้ว (ป๊าด)


หนังมีการใช้ซีจีเยอะไม่ใช่เล่นเลยล่ะ
หนังเริ่มต้นมาแบบหนังรักวัยรุ่นในรั้วมหาวิทยาลัยทั่วๆ ไป ที่ชวนขำจากการฝึกออกท่าทางแสนพิลึกของสมาชิกชมรม จนเกือบจะชั่วโมงนั่นแหล่ะถึงได้กลายสภาพเป็นหนังแฟนตาซี บังคับปิศาจจิ๋วให้สู้กันสไตล์การ์ตูนโปเกม่อนไปในที่สุด ซึ่งจะว่าไปแล้วจุดขายในส่วนนี้ของหนังกลับดูงั้นๆ ไปซะได้ เพราะไม่ได้ทำออกมาดูสนุกอะไรนักหนา อันที่จริงเสน่ห์ของหนังก็ล้วนมาจากเหล่าคาแร็คเตอร์นำและสมทบทั้งหลายซะมากกว่านะ


คู่พระนางของเรื่อง
ถึงหนังจะดูเหมือนไร้สาระ เล่นๆ เพ้อฝัน สนุกน้อย แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ถือว่ายังสอบผ่าน ด้วยการสามารถนำเสนอ ชีวิตวัยรุ่นญี่ปุ่นในรั้วมหาวิทยาลัย วิวอันงดงามของเกียวโต ประเพณีท้องถิ่น ขนบธรรมเนียมประเพณีอันเก่าแก่ของคนญี่ปุ่นเขาได้เป็นอย่างดี รวมทั้งยังมีความน่ารักมีเสน่ห์ของตัวละครนำ และอารมณ์ขันแบบกำลังดีไม่บ้าบอคอแตกเหมือนหนังตลกญี่ปุ่นหลายๆ เรื่อง อ่อ พระเอกเราเนี่ยโรคจิตใช้ได้เลยนะเนี่ย คนอะไรหลงใหลได้ปลื้มดั้งจมูกสาวซะปานนี้ (แหม่ ทำ ไป ได้ อิอิ)

'เกียวโต โร้ด' นะไม่ใช่ 'แอ้บบี้ โร้ด' เหอๆ

  • น่าดูเพราะ: เป็นหนังตลกแฟนตาซีที่ขำกำลังพอเหมาะ นักแสดงมีเสน่ห์ และเหมาะสำหรับผู้ที่สนใจความเป็นอยู่ในแบบญี่ปุ่น
  • ไม่น่าดูเพราะ: ในส่วนของเรื่องราวแฟนตาซีกลับทำออกมาไม่ค่อยสนุกซะงั้น ซึ่งนั่นคือจุดขายของหนังเลยนะนั่น





 

Create Date : 07 กรกฎาคม 2553    
Last Update : 7 กรกฎาคม 2553 18:30:39 น.
Counter : 3581 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  

Nanatakara
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 43 คน [?]




  • Friends' blogs
    [Add Nanatakara's blog to your web]
    Links
     

     Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.