Group Blog
 
All blogs
 

RoboGeisha (2009): เกอิชาเหล็ก 2 0 0 9


ญี่ปุ่น



RoboGeisha (2009) :
หลังจากทำเอาคอหนังคัลต์เว่อร์กระหน่ำทรวงได้ติดอกติดใจจาก The Machine Girl (2008) มาแล้ว ผกก.โนบุโร่ อิกุชิ ก็กลับมาอีกครั้งพร้อมผลงานเรื่องนี้ ซึ่งยังคงอัดแน่นไปด้วย ความเว่อร์เหวอหลุดโลก ความบ้าบอคอแตก ฮาสิ้นดี แถมยังมีเหล่าสาวๆ น่ารักๆ มานุ่งน้อยห่มน้อยให้ยลกันจนจุใจไปเลยทีเดียว


สาวๆ น่ารักๆ ทั้งนั้นเชียว
ถ้าจะดูหนังแอ็คชั่นเกรดบีแนวนี้ ก็คงต้องหยุดใช้หลักการและเหตุผลทั้งสิ้นในขณะดู เพราะหนังไม่มีมาให้เลยสักติ๊ด เพราะเว่อร์สุดๆ แถมยังออกแนวการ์ตูนซะเต็มเหนี่ยว คือมีทั้งบรรดานักฆ่าสาวเกอิชา หุ่นเหล็กเกอิชา เทนงูสุดเซ็กซี่ ปราสาทที่กลายร่างเป็นหุ่นยักษ์ อีกทั้งยังแผนการยึดครองโลกแบบคิดได้ไงฟะเนี่ยของเหล่าร้าย ส่วนนักแสดงก็เต็มไปด้วยสาวๆ วัยทีนสุดน่ารัก โชว์อึ๋มกันเต็มที่(แต่ไม่โป๊) และเล่นแบบโอเว่อร์แอ็คติ้งกันแบบได้ใจกันไปข้างเลยล่ะ


เห็นเจ๊รูปซ้ายก็รู้แล้วว่าหนังเรื่องนี้เว่อร์ได้ใจแน่นอน
ส่วนทีเด็ดก็คงจะไม่พ้นบรรดาฉากแอ็คชั่นที่รั่วและเว่อร์กันเต็มที่ เราจึงจะได้เห็นทั้งบรรดาตัวละครที่มีเต้าเป็นปืนกล จั๊กแร้และก้นมีมีดยื่นออกมาฟาดฟันกัน ก้นที่ปล่อยดาวกระจายออกมา เต้าที่ปล่อยนมกรดออกมาละลายศัตรู การใช้กุ้งเทมปุระจิ้มตาศัตรู ฯลฯ เรียกได้ว่าทีมสร้างคิดมุกอะไรที่เว่อร์ๆ ได้เท่าไหร่ก็ไม่รั้งรอที่จะยัดเข้ามาให้ดูกันจนจุใจแน่ (ดูเทรลเล่อร์ข้างล่างแล้วจะรู้ว่าหนังเว่อร์ได้ใจขนาดไหน)

ในเรื่องนี้เทมปุระเป็นได้มากกว่าที่คุณคิดจริงๆ
แต่หนังเรื่องนี้ก็ไม่ได้เน้นแหว่ะหรือเลือดสาดมากมายเหมือนเรื่องอื่นๆ เพราะจะเน้นไปทางหุ่นยนต์กลไก กับไอเดียฮาๆ แปลกๆ ซะมากกว่า ส่วนความตลกก็มีกันมาตลอดซึ่งอันนั้นก็แล้วแต่ละรสนิยมของคนดูแต่ละคน(คนที่ชอบดูการ์ตูนญี่ปุ่นคงจะเก็ตมุกกันได้ง่ายหน่อย) ในขณะที่เทคนิคต่างๆ ก็เป็นไปตามมาตรฐานของหนังแนวนี้ที่ไม่ดูกระจอกแต่ก็ไม่ถึงกับสมจริงเช่นกัน

เอาใจเหล่าโอตาคุเต็มที่ด้วยสาวๆ ในชุดเครื่องแบบนักเรียน
  • น่าดูเพราะ: เว่อร์ บ้าบอ ตลกโปกฮา สาวๆ ก็น่ารักตรึม คอหนังคัลต์สุดเว่อร์คงไม่ผิดหวังแน่เชียว
  • ไม่น่าดูเพราะ: ไร้สาระ ไร้เหตุผล บ้าบอคอแตกเสียจริงหนอ







 

Create Date : 01 กรกฎาคม 2553    
Last Update : 4 พฤศจิกายน 2553 10:07:06 น.
Counter : 4561 Pageviews.  

Ip Man 2 (2010): จอมยุทธ์ตั้งหลักสู้


ฮ่องกง


Ip Man 2 (2010) :
ภาคแรกที่ออกฉายในปี 2008 นั้นทำออกมาได้บู๊โดนใจคอหนังกำลังภายในเสียจริง (กับฉากเด็ดที่ทหารญี่ปุ่นนับสิบรุมกินโต๊ะพระเอกเรา) หนังเลยฮิตซะระเบิดระเบ้อ แถมยังคว้ารางวัลหนังยอดเยี่ยมของ Hong Kong Film Awards ไปครองด้วย ได้ทั้งเงินได้ทั้งกล่องแบบนี้ ว่าแล้วก็เลยมีภาคต่อออกมาให้ดูกัน ซึ่งก็เชื่อว่าต้องเป็นที่ตั้งตารอคอยจากบรรดาคอหนังที่เคยชื่นชอบภาคแรกอย่างแน่นอน


อาจารย์ยิปมันกลับมาพร้อมกับมาดนิ่มๆ แต่ฝีมือเด็ดขาดอีกครั้ง
เฮีย ดอนนี่ เยน (Hero [2002]) กลับมาอีกครั้งด้วยมาดนิ่มๆ ในบททั่นอาจารย์ ยิปมัน ยอดปรมาจารย์มวยหย่งชุน ที่เพิ่งอพยพหนีภัยสงครามมาอยู่เกาะฮ่องกง ซึ่งแกก็ตั้งใจจะเปิดสำนักมวยขึ้นมาอีกครั้ง แต่ก็ไม่ยักมีใครมาสมัครเป็นศิษย์ของแกสักคน รายได้เลยไม่มีมาจ่ายค่าเช่าห้อง (ต้องคอยหลบเจ้าหนี้ อนาถมาก)และเลี้ยงดูลูกเมีย(ซึ่งกำลังท้องแก่เต็มที) แถมสำนักมวยเจ้าถิ่นก็พากันมาหาเรื่อง(นำขบวนโดนเจ้าหมูหิน(แก่) หงจินเป่า) ไหนจะต้องมีเหตุให้ไปฟาดปากกับนักมวยฝรั่งที่เข้ามาย่ำยีศักดิ์ศรีของคนจีนอีก บอกได้เลยว่างานนี้ทั่นอาจารย์เราน่วมมิใช่น้อยเลยทีเดียว เหอๆ


ภาคนี้อาจารย์เขาต้องฟัดกะฝรั่งด้วย
ผกก.วิลสัน ยิป กลับมารับหน้าที่อีกครั้งได้อย่างถึงคุณภาพเช่นเดิม งานด้านต่างๆ อยู่ในขั้นดีเท่าเทียมกับภาคแรก แต่อาจจะขาดฉากบู๊เด็ดๆ แบบที่คนดูแล้วถึงกับอุทาน 'เจ๋งฟ่ะ' แบบตอนฟัดกับทหารญี่ปุ่นเช่นในภาคแรกไป ถึงกระนั้นคิวบู๊ที่มีมาเสนอก็ยังแจ่มมากอยู่ดี โดยเฉพาะการได้เห็นลุง หงจินเป่า มาฟัดกับเฮีย เยน บนจอ ก็ถือว่าซี้ดไม่ใช่เล่นแล้ว โดยรวมแล้วถึงจะไม่น่าตื่นตาตื่นใจเท่าภาคแรก แต่ก็ยังเปี่ยมด้วยคุณภาพ แฟนๆ ภาคแรกคงจะไม่ผิดหวังกันแน่นอนจ้า


ตัวละครหน้าใหม่หน้าเก่ามากันเพียบ
และก็เช่นเดิมกับภาคแรกในประเด็นเรื่องการปลุกเลือดรักชาติ(จีน) ที่คราวนี้พระเอกเราต้องมาต่อกรกับฝรั่งบ้าง จากช่วงแรกของหนังจะเห็นได้ว่าเหล่าลูกศิษย์ของพระเอกเที่ยวทะเลาะกับศิษย์สำนักอื่นๆ ไปทั่ว จนทั่นอาจารย์ก็ไม่ไหวจะเคลียร์ ซึ่งก็ทำให้เห็นว่าธรรมชาติของคนเรานั้น มักจะฝักใฝ่ในการแบ่งพรรคแบ่งพวก แบ่งสี แบ่งโรงเรียน แบ่งสถาบัน แบ่งพวกเอ็งพวกข้าอยู่แล้ว แต่ควรแล้วหรือที่คนในชาติเดียวกันจะมาแตกแยกกันเอง ว่าแล้วก็เลยต้องมีศัตรูร่วมกันซะ(ในที่นี้คือชาวตะวันตก) เท่านี้คนในชาติก็จะรักสามัคคีกันขึ้นแล้ว (แต่มุกนี้พี่ไทยเคยเอามาใช้แต่ไม่ได้ผลนิ อิอิ)


บรู๊ซลี ในขณะกำลังฝึกวิทยายุทธ์กับ อ.ยิปมัน
สำหรับคนที่สงสัยอยู่ว่าภาคนี้จะได้เห็น บรู๊ซ ลี หรือไม่นั้น ก็ขอบอกว่า'ได้เห็น' แต่จะได้เห็นแบบแป๊บๆ นะ ซึ่งแต่เริ่มเดิมทีผู้สร้างก็กะจะให้มี บรู๊ซ ลี เป็นตัวละครเด่นอยู่หรอก แต่ตกลงกับทางญาติของ บรู๊ซ ลี ไม่ลงตัว ก็เลยต้องไปจับประเด็นอื่นแทน ยังไงซะก็อุตส่าห์มีฉากสั้นๆ ที่มี บรู๊ซ ลี โผล่มาให้เห็นกันแก้เก้อ จึงเรียนมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน
  • น่าดูเพราะ: เป็นหนังกังฟูภาคต่อที่ทำได้ดี คิวบู๊แจ่ม แฟนๆ ภาคแรกไม่ผิดหวังแน่นอน
  • ไม่น่าดูเพราะ: ก็ยังมีขาดตกบกพร่องไปบ้าง และขาดฉากบู๊เด็ดๆ แบบภาคแรกไป คนที่ชอบกังฟูแบบเว่อร์ คงจะเห็นว่ามันธรรมดาไปนิด





 

Create Date : 10 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 28 มกราคม 2554 23:22:51 น.
Counter : 2910 Pageviews.  

Vampire Girl vs. Frankenstein Girl (2009): 2 ผีสาวดวลแย่งหนุ่ม


ญี่ปุ่น

Vampire Girl vs. Frankenstein Girl (2009) :
ช่วงนี้อะไรๆ ก็ต้องแวมไพร์ไว้ก่อน และเพื่อไม่ให้ตกเทรนด์ ว่าแล้วพี่ยุ่นก็ขอทำหนังแวมไพร์กับเขาบ้างซะหน่อยเหอะ แต่จะให้มาแบบธรรมดาๆ ก็กระไรอยู่ ผกก.คู่หูที่ถนัดทำหนังคัลต์เลือดสาดอย่าง ผกก.โยชิฮิโร่ นิชิมูระ (Tokyo Gore Police [2008]) และ นาโอยูกิ โทโมมัตสึ (Stacy [2001]) ขอรับอาสาทำหนังคัลต์แวมไพร์สไตล์แดนปลาดิบ ที่รับรองได้เลยว่าหนังเป็นอะไรที่เว่อร์ได้ใจ เลือดพุ่งเป็นแกลลอนๆ สาวๆ น่ารักเพียบ แบบที่คอหนังคัลต์คงได้พอใจกันเป็นแน่เชียว


มีแต่สาวๆ น่ารักเต็มเรื่อง
หาก Twilight เป็นเรื่องราวรักสามเส้า ระหว่าง แวมไพร์/คน/มนุษย์หมาป่า หนังเรื่องนี้ก็มีมาเหมือนกัน หากแต่เป็นรักสามเส้าระหว่าง แวมไพร์สาวสวย/ไอ้หนุ่มผมยาว/แฟรงเก้นสไตน์สาวแสนน่ารัก(?!) (รู้ว่าที่จริงชื่อนี้เป็นชื่อคนสร้าง แต่เราขอเรียกว่างี้ก็แล้วกัน) แล้วก็ไม่ได้มาสามเส้ากันแบบจืดๆ เลี่ยนๆ ด้วยนะ เพราะ ทั้งสองผีสาวในเรื่อง ท้าดวลท้าตบแย่งผู้ชายกันชนิดถึงพริกถึงขิง โหด มัน ฮา เลือดพุ่ง อวัยวะปลิวว่อน อาทิตย์อุทัยไชโยกันเลยทีเดียว

ลูกโหดเลือดกระฉุดสุดเว่อร์มีมาให้
หนังมาแบบไม่ต้องมีเหตุผลอะไรทั้งสิ้น แต่มาแบบการ์ตูนกันเต็มเหนี่ยว (ก็สร้างจากการ์ตูนนิ) แม้จะมีฉากโหดๆ เลือดพุ่งเป็นสายฝน ร่างกายขาดวิ่น อวัยวะปลิวว่อน แต่ก็เว่อร์ซะจนรู้สึกไม่สยอง เมื่อผนวกความบ้าบอคอแตก เข้าไปอีก ก็เลยกลายเป็นความมันส์เถิดเทิงไปในที่สุด

ลูกบ้าฮาป่วงเว่อร์สุดๆ ก็มีมาให้
แต่ที่น่าสนใจขึ้นไปอีกคือหนังมีการแขวะไลฟ์สไตล์ของวัยรุ่นญี่ปุ่นเช่นพวกชอบกรีดแขนตนเอง, พวกโลลิค่อน, พวก Ganguro (พวกที่นิยมทำผิวสีแทนให้เหมือนคนผิวสี) ที่ถูกนำมาล้อจนเป็นที่ขบขันไปซะได้ แต่ที่แจ่มที่สุดคงไม่พ้นสาวๆ ในเรื่องที่แต่ละคนน่ารักกันซะจริง โดยเฉพาะสองผีสาวเราอย่างน้อง ยูกิเอะ คาวามูระ และ เอริ โอโตกูโระ ที่น่ารักชนิดกินกันไม่ลงจริงๆ (เหอๆ)
  • น่าดูเพราะ: ใครชอบหนังคัลต์เลือดสาด บ้าบอ คอแตก ไม่ต้องคิดอะไรมากสไตล์ญี่ปุ่นคงจะชอบใจกัน ที่สำคัญสาวๆ น่ารักมาก (อิอิ)
  • ไม่น่าดูเพราะ: แต่สำหรับคนทั่วๆ ไปจะพบว่าหนังอะไรฟะ รุนแรง ไร้สาระ ไร้รสนิยม โหลยโท่ยเสียจริงๆ

ดูกันจะๆ ว่าแวมไพร์สาวกับแฟรงเก้นสไตน์สาวใครจะน่ารักกว่ากัน





*รีวิวหนังของ ผกก.โยชิฮิโร่ นิชิมูระ เรื่องอื่นๆ ภายในบล็อก*




 

Create Date : 04 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 24 พฤศจิกายน 2554 20:23:37 น.
Counter : 4688 Pageviews.  

True Legend (2010): เปิดตำนานจอมยุทธ์หมัดเมาสาด


จีน


True Legend (2010):
โกฮอลลีวู้ดไปเป็น ผกก.คิวบู๊ให้หนังฝรั่งจนโด่งดังไปทั่วซะหลายปีดีดัก ในที่สุด ผกก.หยวนหวู่ปิง(ผู้เคยรับผิดชอบคิวบู๊ในหนังดังๆ อย่าง The Matrix, Kill Bill 1&2 และ Crouching Tiger Hidden Dragon) ก็ขอกลับมารับหน้าที่กำกับหนังอีกครั้ง หลังจากที่ทิ้งช่วงจากผลงานเรื่องก่อนอย่าง Iron Monkey 2 (1996) กว่า 14 ปีด้วยกันแน่ะ


คิวบู๊คือสิ่งที่ดีที่สุดในหนังเรื่องนี้
แถมการกลับมาครั้งนี้ไม่ธรรมดาซะด้วย เพราะนอกจากจะเป็นการจับเอาเรื่องราวของจอมยุทธ์ในตำนานอย่าง ยาจกซู มาขึ้นจอเงิน(อีกครั้ง?)แล้ว ยังชูจุดขายของหนังอันแสนดึงดูดความสนใจว่านี่คือหนังกำลังภายในสามมิติเรื่องแรกของโลกซะด้วย(ป๊าด!) ซึ่งก็ได้ผลดีเพราะคอหนังหลายคนรีบไปพิสูจน์ให้เห็นกับตาตนเองในทันใด แต่ผลปรากฏออกมาว่ามีหลายคนพากันบ่นไปตามๆ กันว่าโดนยาจกซูต้มเอาซะแล้ว เพราะหนังมีฉากสามมิติเพียงหยิบมือ แถมไอ้ที่มีก็ดูงั้นๆ ไม่น่าตื่นตาตื่นใจเอาเสียเลย(ฮ่วย)


ดูแต่รูปแล้วอย่าเพิ่งคิดว่าเป็นหวงเฟยหงภาคใหม่ล่ะ
ทางเราได้ดูฉบับสองมิติธรรมดาๆ จึงไม่ขอพูดถึงเรื่องนั้น(แต่คิดว่าฉบับไหนก็คงไม่ค่อยต่างกันนักหรอกมั้ง เหอๆ) จึงขอว่ากันถึงภาพรวมโดยทั่วไปของหนังก็แล้วกัน ซึ่งก็ปรากฏว่า เป็นหนังกำลังภายในที่ออกแบบคิวบู๊ออกมาได้ดูดี ไม่เสียชื่อ ผกก.เขาเลย ส่วนทุนสร้างก็ไม่ใช่จิ๊บๆ ทั้งเสื้อผ้า หน้าผม โลเกชั่น ดูดีทีเดียว (งานซีจีก็พอใช้) เหล่าดาราก็ยกกันมาเพียบ ทั้ง มิเชล โหยว, เจย์ โชว์, เลา เกาเฟย (หรือนักพรตคิ้วขาวใน Kill Bill) หรือแม้แต่ David Carradine ผู้ที่มาตายแปลกในบ้านเราก็ยังอุตส่าห์มาแสดงกับเขาด้วย


พ่อหนุ่ม เจย์ โชว์ มาทำอะไรกับเขาในเรื่องนี้ด้วยเนี่ย?
แต่หนังก็ประสบปัญหาเดิมๆ แบบหนังจีนทั่วๆ ไป คือมีเรื่องที่จะเล่าแยะ แต่เวลาจำกัดจำเขี่ย จึงมักต้องตัดทอนเล่าเรื่องราวอย่างรวบรัด เดินเรื่องเร็ว ฉับๆๆ คนดูจึงขาดความผูกพันธ์กันตัวละครหลัก แถมการมีฉากการต่อสู้อันสุดแจ่มไปตั้งแต่กลางเรื่องแล้ว พอมาถึงฉากบู๊ช่วงท้ายๆ เลยดูกร่อยไปถนัดใจ(น่าจะจบซะตั้งแต่กลางเรื่องละ) ส่วนนักแสดงถึงจะมีเยอะ แต่ก็ไม่ค่อยได้ทำอะไรกันมากนัก ยกเว้นนางเอก โจวซุน ที่สามารถพาความอบอุ่นใจมาสู่หนังได้อยู่


ตัวโกงหน้าขาวว่อกเป็นผีจูออนเชียว
หนังมาในแบบพิมพ์นิยมของหนังจีนที่เน้นในเรื่องการแก้แค้น ครอบครัว และมีแอบปลุกเลือดรักชาติ(จีน)แบบหอมปากหอมคอ นี่ถ้าไม่ได้คิวบู๊แจ่มๆ คงแย่เลย ถ้าดูแบบไม่คิดอะไรมากนี่ก็เป็นหนังกำลังภายในที่ดูได้เพลินๆ เรื่องหนึ่ง แต่ว่าก็ว่าเหอะ ในหนังขณะที่พระเอกเราเอาแต่มุ่งมั่นในการฟื้นกำลังภายในทั้งวันเพื่อไปกู้ลูกคืน ฝ่ายภรรยาต้องคอยทำงานหนักเพื่อหาเลี้ยงตลอด เห็นแล้วก็แปลกๆ ดีนะ นี่ถ้าไม่มีเมียทำงานหาเลี้ยง พระเอกเราคงไม่มีแรงไปฝึกวิทยายุทธ์แน่เลยสิเนี่ย(เหอๆ) หรือหนังเรื่องนี้ต้องการจะบอกเราว่า เบื้องหลังจอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่ ก็คือภรรยาแสนประเสิรฐนั่นเอง(?)
  • น่าดูเพราะ: งานสร้างดูดี คิวบู๊แจ่มมั่กๆ โลเกชั่นก็งดงาม ดารามากมี ดูได้เพลินๆ นะจ้ะ
  • ไม่น่าดูเพราะ: อย่าคาดหวังว่าจะตอบสนองด้านสามมิติได้อย่างน่าพอใจ และนอกจากฉากบู๊แล้วหนังยังทำได้ไม่ดีในการเล่าเรื่องนัก





 

Create Date : 29 เมษายน 2553    
Last Update : 13 มกราคม 2554 7:33:41 น.
Counter : 4789 Pageviews.  

The Sword with No Name (2009): องครักษ์พิทักษ์เธอ


เกาหลีใต้

The Sword with No Name (2009) :
ต้องยอมรับว่าที่หนังเกาหลีมาไกลถึงขนาดนี้ได้ ไม่ได้เพราะมีดีแค่เหล่าดาราหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มหรือความโรแมนติคเต็มล้นมามอบให้เท่านั้น แต่เพราะหนังเกาหลีส่วนใหญ่มีบทที่แข็งแรงและสร้างสรรค์ด้วย ว่าก็ว่าเหอะ ตั้งแต่ดูหนังเกาหลีมาหลายปี ยังไม่เคยเจอเรื่องไหนที่ห่วยเลย (อาจจะมีแต่เรายังไม่เคยดูมั้ง) หนังของพวกเขาอย่างน้อยๆ ก็อยู่ในระดับที่พอใช้ขึ้นไปทั้งนั้น แม้ระยะหลังๆ จะมาในรูปแบบซ้ำๆ จนเริ่มจะจับทางกันได้บ้างแล้วก็ตาม


รักต่างชนชั้นมาอีกแล้วครับพี่น้อง
มาถึงหนังเรื่องล่าสุดของ ผกก.คิม ยอง-จุน (Wanee & Junah [2001]) นี้ ก็ทำออกมาได้น่าสนใจ งานสร้างดูดีมีราคา ถึงหน้าหนังจะดูเหมือนหนังบู๊ฟันดาบย้อนยุคทั่วๆ ไป แต่จริงๆ แล้วเป็นเรื่องราวความรักต้องห้ามระหว่างหนุ่มสาวซะมากกว่า โดยมีเรื่องราวประวัติศาสตร์ การเมือง แม้แต่การปลุกเลือดรักชาติ(เกาหลี) มาผสมผสานได้อย่างค่อนข้างน่าพอใจเลยทีเดียว

ฉากบู๊ก็ใช้ได้เลยทีเดียว
ด้วยเรื่องราวความรักระหว่าง มูเมียว(โช ซังวู) ชายหนุ่มกำพร้าคนรับจ้างแจวเรือที่รับจ๊อบเป็นนักล่าหัวเงินรางวัล กับ แจยัง(ซู-เอ) หญิงสาวผู้สูงศักดิ์ที่กำลังจะเข้าพิธีวิวาห์กลายเป็นราชินีแห่งเกาหลีอยู่รอมร่อ ซึ่งแน่นอนรักนี้ย่อมมีอุปสรรค แต่เขายอมทำทุกอย่างเพื่อได้อยู่ใกล้ๆ เธอ รวมถึงการหาทางเข้ามาเป็นองค์รักษ์หลวงด้วย ในขณะที่ผู้ที่เป็นราชินีเยี่ยงเธอนั้น มีภาระหน้าที่รับผิดชอบอันใหญ่หลวง จนอาจต้องยอมละทิ้งความปรารถนาแห่งหัวใจของตนไป ยิ่งในยามที่สถานการณ์บ้านเมืองครุกรุ่นเช่นนี้ ที่แม้แต่ชีวิตของพระราชินียังแขวนอยู่บนเส้นด้าย เขาอาจจะเป็นเพียงคนเดียวที่ยืนหยัดอยู่ข้างเธอจนถึงที่สุด

นางเอกเราแสดงดีทีเดียว
หนังเริ่มต้นมาในคราบของหนังรักเกาหลีหวานๆ ทั่วๆ ไป(เพียงแต่มาในชุดโบราณ) แต่ในทันทีที่ตัวนางเอกได้เป็นราชินีแล้ว และมีเรื่องการเมือง การช่วงชิงอำนาจ จากทั้งในวังเอง และจากประเทศเพื่อนบ้านที่พยายามครอบงำ(ญี่ปุ่นยังคงเป็นตัวร้ายตลอดกาลสำหรับคนเกาหลี)เข้ามาเกี่ยว ก็ทำให้มีอะไรที่น่าสนใจขึ้นมาเยอะ ในขณะที่ฉากบู๊ ถึงจะไม่ค่อยมีเยอะ แต่ที่มีก็ทำออกมาในระดับที่น่าพอใจ ส่วนแกนหลักของเรื่องในเรื่องราวของความรัก ก็พอจะประทับใจได้อยู่ แม้จะมีฉากที่พยายามเค้นอารมณ์คนดูตามฟอร์มหนังเกาหลีพิมพ์นิยมอยู่ก็ตาม(แต่ถ้าทำได้ถึงก็ทำไปเถอะจ่ะ ไม่ว่าอะไร)

นักแสดงที่โดดเด่นก็คงไม่พ้นคุณนางเอกอย่างคุณ ซู-เอ ที่หน้าตาถึงจะสวยน้อยกว่าดาราไทยหลายๆ คน แต่การแสดงของเธอนั้นไม่เลวเลยทีเดียวกับบทบาทที่ต้องเก็บอารมณ์ตลอด แต่เมื่อถึงเวลาก็ฉายเสน่ห์ได้เต็มที่ บทจะสะเทือนอารมณ์ก็ทำหน้าที่ได้เจ๋ง หนังเกือบจะอยู่ในระดับพอใช้อยู่แล้ว แต่เพราะช่วงท้ายของหนังที่ทำได้น่าติดตามเลยทำให้หนังโดดเด่นขึ้นมาในที่สุด น่าดูครับเรื่องนี้

  • น่าดูเพราะ: เป็นหนังรัก ในคราบหนังโบราณฟันดาบ ที่มีงานสร้างดูดี และสามารถเพิ่มแง่มุมอื่นๆ เข้ามาได้อย่างน่าสนใจทีเดียว
  • ไม่น่าดูเพราะ: ใครเอียนหนังรักเกาหลี ที่มักมีฉากเค้นน้ำตา ก็พึงหลีกเลี่ยง




*ช่วงของแถม*

เพลงประกอบหนังแสนไพเราะที่ร้องโดย Lee Sun Hee
สิ่งที่น่าพอใจอีกอย่างหนึ่งในหนังเรื่องนี้คือดนตรีประกอบที่ไพะเราะมาก สามารถช่วยเสริมสร้างอารมณ์ให้กับตัวหนังได้แยะทีเดียว โดยเฉพาะเพลงช่วง End Title ที่ถึงเราจะฟังไม่ออกว่าเขาร้องอะไรกัน แต่ก็เพราะได้ใจชะมัด เราเลยนำ MV เพลงนี้มาให้ชม และหากท่านชื่นชอบ เราก็ได้เตรียม MP3 ของสองเพลงเด่นจากหนังมากำนัลแก่ท่านด้วย




 

Create Date : 23 เมษายน 2553    
Last Update : 6 มิถุนายน 2553 11:15:22 น.
Counter : 8015 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  

Nanatakara
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 43 คน [?]




  • Friends' blogs
    [Add Nanatakara's blog to your web]
    Links
     

     Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.