 |
|
The Reader / Bernhard Schlink

The Reader ของ Bernhard Schlink
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่หามาอ่านด้วยความบังเอิญค่ะ เริ่มจากพี่สาวที่ไม่ได้ชอบอ่านนิยายเท่าไรหลังจากดูหนังเรื่องนี้แล้วก็ฝากเราหาซื้อที่เป็นนิยายในงานหนังสือที่ผ่านมา ไอ้เราก็ถามหาอยู่หลายร้านปรากฏว่าหมดทุกร้าน ก็แปลกใจว่ามันจะสนุกแค่ไหนกันเชียว พออีกทีมาเห็นเรื่องนี้ในแผงหนังสือก็เลยคว้ามาซะเลย
คนเขียนเป็นชาวเยอรมันค่ะ ผู้ชายด้วย เนื้อเรื่องก็ดำเนินด้วยตัวพระเอก (พออ่านจบยังจำไม่ได้เลยว่าตัวพระเอกชื่อว่าอะไรซะงั้น -_-") ก่อนอื่นต้องบอกว่านิยายเรื่องนี้จบเศร้าในความรู้สึกของเราค่ะ แต่ระหว่างอ่านนั้นสนุกและคอยลุ้นดี (ก็ก่อนจะรู้ว่าจบเศร้านั่นล่ะ) ซึ่งหลังจากอ่านจบก็โทร.ไปต่อว่าพี่สาวเรียบร้อยแล้ว จบเศร้าทำไมไม่บอก!! บังเอิญว่าเรามันพวกสุขนิยมน่ะค่ะ เลยแอบเซ็งเล็กน้อย
เหตุการณ์ในนิยายเกิดขึ้นในประเทศเยอรมันค่ะ ตอนที่พระนางเจอกันครั้งแรก พระเอกอายุแค่สิบห้า ส่วนนางเอก (ชื่อฮันน่า) ล่อไปอายุสามสิบ กินเด็กโดยแท้ เริ่มจากระหว่างทางที่พระเอกกำลังกลับจากโรงเรียนนั้น อาการไม่สบายเกิดกำเริบ (พี่แกไม่ค่อยแข็งแรง) และฮันน่าได้เข้ามาช่วยเหลือ พอพระเอกหายดีก็ตามไปขอบคุณ ในวันที่ได้มาเจอกันอีกครั้ง ภาพที่พี่แกแอบไปเห็นฮันน่าวางเท้าบนเก้าอี้กำลังสวมใส่ถุงหน่องอยู่เกิดติดตาและคงติดใจด้วย (มาคิดๆมันก็แอบเซ็กซี่ดีนะท่านั้น) ก็เลยไปหาอีก จากนั้นทั้งคู่ก็เริ่มมีความสัมพันธ์กัน
เนื้อหาที่เขียนแอบอิโรติกเล็กน้อย แต่ไม่น่าเกลียด หลายครั้งที่ฮันน่าจะอาบน้ำเช็ดตัวให้พระเอกเหมือนเด็กๆ อย่างที่เธอใช้ศัพท์เรียกพระเอกว่า kid! (เราถึงจำชื่อพระเอกไม่ได้) ดูเหมือนนางเอกจะไม่ค่อยสนใจอยากรู้เรื่องส่วนตัวของพระเอกเท่าไรด้วย สิ่งที่เธอสนใจกลับเป็นเรื่องเรียนของเขา เราคิดว่าพระเอกนั้นค่อนข้างลุ่มหลงในตัวฮันน่าไม่น้อย กลัวเธอจะโกรธ กลัวเธอจะไม่พอใจ อย่างตอนที่นางเอกรู้ว่าเขาโดดเรียนมาหา ก็โกรธ พระเอกก็ไม่ทำอีก แถมยังเคยขนาดขโมยเสื้อผ้าในห้างสรรพสินค้าไปให้เธอด้วย บ่อยครั้งที่ฮันน่าชอบให้เขาอ่านหนังสือให้ฟังก่อนมีอะไรกันเสมอ (หนังสือพวกนั้นดูเหมือนจะเป็นพวกปรัชญาน่ะ เราก็ไม่รู้จักเท่าไร)
แต่จะว่าไปทั้งคู่ก็มีปากเสียงกันเรื่อย อารมณ์ของฮันน่าค่อนข้างแปลกๆ เหมือนขึ้นๆลงๆ พอพระเอกขึ้นม.ปลาย (ถ้าจำไม่ผิด) ในห้องเรียนเริ่มมีนักเรียนหญิง เหมือนพี่แกเริ่มออกห่าง แอบไปกุ๊กกิ๊กกับเพื่อนผู้หญิงอีกคน แล้วอยู่มาวันนึง ฮันน่าก็หายตัวไป เขาออกตามหา ไปหาที่พัก ไปหาที่ที่ทำงานก็ไม่พบ ท่าทางจะหัวเสียอยู่พักใหญ่เหมือนกันแต่แล้วชื่อฮันน่าก็เหมือนจะถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลา
ทั้งคู่มาเจอกันอีกครั้งสมัยที่พระเอกกลายเป็นนักศึกษากฏหมายในมหาวิทยาลัย และมาเข้าฟังการสืบสวนคดีในศาล คดีในเหตุการณ์ช่วงสงครามนาซีกวาดล้างพวกยิว ซึ่งเมื่อตอนเกิดเพลิงไหม้ในโบสถ์ที่ขังนักโทษชาวยิว ไม่มีใครปล่อยพวกเขาออกมา ทำให้ต้องหาตัวคนกระทำผิด และจำเลยก็คือผู้คุมนักโทษในสมัยนั้น และฮันน่าก็คือหนึ่งในจำเลย (ช่วงสงครามนาซีนั้นเป็นเหตุการณ์ก่อนที่พระนางจะเจอกันด้วย)
ช่วงสืบคดีในศาลหลายเดือนนั้นพระเอกจะเข้าฟังทุกครั้ง การตอบคำถามของฮันน่าม้กจะวกไปวนมา เหมือนสับสนอะไรหลายอย่าง หลายครั้งเธอก็พยายามต่อสู้ให้กับตัวเอง แต่หลายครั้งก็เหมือนยอมแพ้ ไม่ช่วยเหลือตัวเองเท่าไร ตอบอะไรตรงไปตรงมาอย่างซื่อๆ อย่างพอศาลถามว่าทุกครั้งที่มีขนถ่ายนักโทษคนเก่าออก คนใหม่มา รู้หรือเปล่าว่าพวกคนเก่าที่ผู้คุมเลือกออกไปน่ะจะถูกนำไปฆ่าทั้งหมด เธอก็ตอบตามตรงว่ารู้ ซึ่งไม่เป็นประโยชน์กับจำเลยคนอื่นๆไปด้วย บางคนก็บอกว่าเธอประสาท ตอนกลางคืนชอบเรียกนักโทษผู้หญิงเด็กๆเข้าไปในห้อง พอถามนักโทษก็บอกแค่ว่าให้ไปนั่งอ่านหนังสือให้ฟัง (ประมาณว่าไม่เชื่อหรอกว่าเป็นเช่นนั้น เธอน่าจะเป็นเลสเบี้ยนไรงี้)
ต่อมาเมื่อศาลเอ่ยถึงรายงานฉบับหนึ่งซึ่งมันขัดกับความจริงและถามหาว่าใครเป็นคนเขียน ฮันน่าก็บอกว่าเธอไม่ได้เขียน จำเลยคนอื่นๆก็บอกว่าไม่ได้เขียน ศาลเลยบอกว่าจะใช้วิธีตรวจสอบลายมือ ซึ่งพระเอกคิดว่ามันตลก เปรียบเทียบลายมือเมื่อสมัยโน้นกับตอนนี้มันจะไปทำอะไรได้ แต่แล้วจู่ๆฮันน่าก็กลับยอมรับว่าเธอเป็นคนเขียนรายงานฉบับนั้นซะเอง จำเลยคนอื่นๆเลยได้ทีเห็นว่ายัยนี่โง่รับไปแล้วก็ใส่ไฟกันใหญ่ บอกอีกว่าเธอเป็นหัวหน้านักโทษด้วย โทษที่ฮันน่าได้รับเลยกลายเป็นจำคุกตลอดชีวิต ในขณะที่ของคนอื่นๆคือจำคุกแค่ไม่กี่ปี (จำตัวเลขไม่ได้อีกนั่นแหละ)
อันที่จริงตลอดเวลาในการสืบคดีชั้นศาลนั้น หลายครั้งพระเอกก็พยายามจะไม่ใส่ใจ แต่ก็ตัดเรื่องของนางเอกออกไปไม่ได้ เรื่องในอดีตผลุบขึ้นมาเรื่อย พอมาคิดๆย้อนหลังเขาก็ได้ข้อสรุปกับตัวเองว่าฮันน่าไม่ใช่คนเขียนรายงานฉบับนั้นแน่ ในอดีต ฮันน่าชอบให้เขานั่งอ่านหนังสือให้ฟัง หรือมีอยู่ครั้งที่เขาเคยเขียนโน้ตใส่กระดาษทิ้งไว้ให้ แต่ฮันน่ากลับโกรธยกใหญ่และบอกว่าไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น และยังเรื่องที่ได้ยินในศาลอีก ที่เธอตอบคำถามแต่ละอย่างไม่เอื้อประโยชน์ให้ตัวเองเลย พระเอกคิดว่าเพราะเธออ่านรายละเอียดที่ทนายความบอกวิธีการตอบคำถามอะไรต่างๆไม่ออกจึงไม่รู้ และก็ที่มีคนบอกว่าเธอก็ชอบให้นักโทษมาอ่านหนังสือให้ นั่นหมายความว่าแท้ที่จริงแล้วฮันน่าเขียนและอ่านหนังสือไม่ได้! และเธอจึงไม่ใช่คนเขียนรายงานฉบับนั้นแน่นอน! แม้ว่าการที่เธอไม่ใช่คนเขียนรายงานจะไม่ทำให้เธอหลุดพ้นจากคดี แต่ว่าโทษที่เธอได้รับไม่ควรจะถึงขนาดจำคุกตลอดชีวิต
พระเอกเริ่มคิดหนักอีกว่าควรทำอย่างไร บอกความจริงนี้ออกไปหรือปล่อยให้มันเป็นไปตามทางที่เธอเลือก เพราะเขาไม่เข้าใจว่าการปกปิดว่าอ่านเขียนหนังสือไม่ออกมันจะมีค่ามากกว่าการต้องใช้ชีวิตในคุกตลอดไปได้อย่างไร เขาปรึกษาพ่อ ปรึกษาผู้พิพากษาคดี ก็ได้ข้อคิดอะไรมาหลายอย่าง คนเรานั้นให้ความสำคัญกับเรื่องบางอย่างไม่เหมือนกัน เราอาจมองว่ามันเป็นเรื่องเล็ก แต่คนอื่นอาจคิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ก็ได้ สุดท้ายเขาก็ไม่ได้พูดเรื่องนี้ออกไป เขาพยายามตัดใจลืมเธอ ไม่สนใจเรื่องของเธออีก แต่งงานมีลูกก็แล้ว แต่มันก็ยังทำไม่ได้ สุดท้ายก็หย่าเพราะไปกันกับภรรยาไม่ได้ (ตลอดเวลาที่พระเอกพยายามไม่สนใจฮันน่า เราอ่านแล้วแอบสงสารนางเอกมากมาย T_T)
เมื่อหย่าขาดกับภรรยา เขาก็กลับมาที่บ้านเก่า มาเห็นหนังสือที่เคยอ่านให้ฮันน่าฟังก็ตัดสินใจ ตั้งต้นอ่านหนังสือดีๆอัดใส่เทปแล้วส่งไปให้เธอในคุกได้ฟัง อยู่มาวันนึงเขาก็ได้จดหมายเป็นลายมือแบบเด็กๆหัดเขียนจากฮันน่า เขารู้ว่าเธอเริ่มต้นหัดคัดลายมือแล้ว และเหตุการณ์ก็เป็นเช่นนั้นอยู่หลายปี คือเขาก็อ่านหนังสือและอัดใส่เทปส่งไปให้ ฮันน่าก็เขียนจดหมายมาหาสั้นๆ ลายมือก็พัฒนาเป็นผู้เป็นคนขึ้นเรื่อยๆ (พระเอกมารู้ตอนหลังว่า ฮันน่าใช้วิธีไปยืมหนังสือเล่มเดียวกันจากห้องสมุดมาเปิดเทียบกับเสียงของพระเอก และฝึกเขียนด้วยตัวเอง)
กระทั่งมาวันนึงพระเอกได้รับการติดต่อจากผู้คุมนักโทษว่าฮันน่ากำลังจะได้ออกจากคุก ที่ต้องบอกเขาเพราะเห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายที่คนๆหนึ่งใช้ชีวิตในคุกมาหลายสิบปีจะออกมาใช้ชีวิตนอกรั้วเรือนจำได้ และเห็นว่าพระเอกเป็นคนเดียวที่ติดต่อกับนางเอกอยู่ และในจดหมายนางเอกคงไม่เคยบอกถึงเรื่องที่เธอจะได้ออกมา ผู้คุมเลยต้องเป็นคนบอกเขา พระเอกก็เริ่มกลุ้มใจอีก อ่านแล้วรู้สึกเหมือนพระเอกไม่อยากให้นางเอกออกมายังไงไม่รู้ (เศร้าอีกตรู T_T) เหมือนกับพระเอกไม่อยากเจอ ไม่อยากเผชิญหน้ากับฮันน่า เพราะเขาคิดว่าตัวเองเคยทำผิดกับเธอเมื่อครั้งที่พยายามจะตีตัวออกห่างไปกิ๊กๆกับเพื่อนใหม่ หรือเมื่อวันที่เธอมาหาเขาที่สระว่ายน้ำที่โรงเรียน (ทั้งๆที่ไม่เคยมาหา) เขาเห็นเธอแล้วแต่ไม่คิดจะลุกไปหา และวันนั้นเป็นวันสุดท้ายก่อนเธอจากไป พระเอกรู้สึกเหมือนติดค้างเธอ ตลอดเวลาที่เธออยู่ในคุก พี่แกก็ไม่เคยไปเยี่ยม ไม่เคยเขียนจดหมายไปหา คอยส่งแต่เทปที่อัดเสียงอ่านหนังสือไปให้ แต่เมื่อเธอจะออกจากคุก เขาก็เลยต้องเตรียมหาที่พัก หางานให้นางเอก แต่ก็ไม่คิดจะให้เธอมาอยู่ด้วยกัน (เหมือนผลักเธอออกไปไม่ได้ แต่ก็ให้เธอมาใช้ชีวิตร่วมกันไม่ได้อีก)
พอผู้คุมถามว่าเขาจะมาเยี่ยมเธอไหม พี่แกก็พยายามบ่ายเบี่ยงเลี่ยงๆออกไป แต่สุดท้ายก็ต้องมาหา เพียงไม่กี่วันก่อนเธอจะได้ออกจากคุก พี่แกก็ยังทำเย็นชาใส่นางเอก ทั้งคู่ได้มีการเล่าชีวิตให้ฟัง ฮันน่าจึงรู้ว่าเขาแต่งงานมีลูกแล้ว แต่ก็หย่ากันแล้ว แต่เมื่อพอมาถึงวันที่เธอจะได้ออกจากคุก ปรากฏว่านางเอกผูกคอฆ่าตัวตายในห้องพัก (โอ้....... อ่านแล้วอึ้งอย่างแรง) เกือบคิดว่าจะจบดีแล้วเชียว นี่มันอะไรกันเนี่ย
เราคิดว่าที่นางเอกฆ่าตัวตาย (ต้องใช้คำว่า"คิด" เพราะพระเอกเป็นตัวดำเนินเรื่องจึงไม่รุ้ความคิดของนางเอก) เพราะเธอน้อยใจในตัวพระเอกที่เย็นชา ไม่สนใจเธอเท่าไร จึงไม่อยากออกมาใช้ชีวิตข้างนอกอีกต่อไป เพราะเรารู้สึกว่ามันไม่มีเหตุผลอื่นที่เธอจะฆ่าตัวตายแล้วนี่ หรือไม่ก็อาจคิดว่าได้พูดคุยกับพระเอกสักครั้งก็เพียงพอแล้วในชีวิตนี้ ยังไงก็ไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้เลยตายดีกว่า (เศร้าอย่างแรงค่ะ)
ในเรื่องยังไม่จบดี ยังมีเล่าเหตุการณ์หลังจากนั้นอีกนิดหน่อยว่า ผู้คุมนักโทษฝากกระป๋องชาเล็กๆของฮันน่าให้กับเขา (เหมือนเป็นสมบัติชิ้นเดียวของเธอ) กระป๋องพวกนี้เด็กๆมักจะเก็บของมีค่าไว้ และในนั้นเป็นเงินเจ็ดพันมาร์ค เธอฝากเขาไปให้กับนักโทษชาวยิวที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์เพลิงไหม้ในตอนนั้น ซึ่งเขาก็เอาไปให้ แต่ผู้หญิงคนนั้น (นักโทษน่ะ) กลับไม่รับ และพูดทำนองว่ากระป๋องนี้เป็นของเธอเอง แต่ฮันน่าเอาไป เธอไม่กล้ารับเงิน เพราะของที่ใส่ในกระป๋องพวกนี้มักเป็นของมีค่าที่สุด ซึ่งถ้าเป็นเด็กๆอาจเป็นแค่ตั๋วดูหนัง หรือขนลูกหมาลูกแมวสักตัวก็ได้ แต่เธอขอแค่กระป๋องคืนเท่านั้น พี่แกเลยเอาเงินไปบริจาคให้กับองค์กรเด็กที่อ่านเขียนหนังสือไม่ออกในชื่อฮันน่า (เราแอบคิดว่าตรงประเด็นเรื่องกระป๋อง มันยังสื่อในเรื่องของความลับ สิ่งที่มีค่าของคนแต่ละคนอีกด้วย)
สุดท้ายเรื่องนี้ เศร้าค่ะ (อย่างที่บอก) แต่หลังจากหายเศร้าก็รู้สึกว่าเป็นนิยายที่น่าอ่านและน่าคิดตามมากๆ ตัวพระเอกมักจะมีความขัดแย้งตลอดเวลาจนน่าลุ้นว่าพี่แกจะเอายังไง (ฮะๆๆ) อย่างตั้งแต่รู้ว่าจะบอกความจริงเรื่องนางเอกเขียนหนังสือไม่ได้ดีไหม สิ่งที่นางเอกปกปิดเขาสมควรเปิดเผยออกมาเหรอ หรือหลายครั้งที่เขาพยายามจะผลักนางเอกออกจากชีวิต แต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้ ช่วงที่นางเอกอยู่ในคุกเขาไม่เคยไปเยี่ยมไม่เคยเขียนจดหมายหา แต่กลับส่งเทปที่อ่านหนังสือออกเสียงแล้วอัดไว้ไปให้ และยังให้ข้อคิดเกี่ยวกับความถูกต้องความยุติธรรมของกฏหมายกับศีลธรรมในความเป็นจริง โดยเฉพาะทางเลือกของนางเอกในเหตุการณ์ช่วงสงครามนั้น อย่างตอนที่ศาลถามว่าทำไมถึงไม่มีใครคิดถึงนักโทษในคุก ทำไมไม่มีใครเอากุญแจไปปลดล็อกให้พวกเขาออกมา คนอื่นๆตอบว่าเพราะตกใจกัน แต่เธอกลับย้อนถามว่า แล้วถ้าเป็นคุณคุณจะทำยังไง (ทุกคนอึ้งกันถ้วนหน้า) ประมาณว่ามันเป็นหน้าที่ของเธอที่ต้องคุมนักโทษ ถ้านักโทษหลุดออกมาแล้วใครจะรับผิดชอบ (ซึ่งเราคิดว่าสงครามแบบนี้ถ้าจะโทษมันก็ต้องโทษชาวเยอรมันกันทุกคน ไม่ใช่มาให้ผู้คุมนักโทษหญิงไม่กี่คนแบบนี้)
สรุปอ่านแล้วแอบเศร้า แต่ก็เป็นนิยายที่น่าอ่านมากค่ะ อ่านจบแล้วแอบอยากไปหาซื้อดีวีดีมาดู เพราะได้ยินมาว่าเคท วินสเลทแสดงดีด้วย
Create Date : 22 พฤษภาคม 2552 |
| |
|
Last Update : 22 พฤษภาคม 2552 15:19:19 น. |
| |
Counter : 2017 Pageviews. |
| |
 |
|
|
In a Class by Itself / Sandra Brown

In a Class by Itself โดย Sandra Brown
เป็นนิยายโรมานซ์อีกเรื่องที่ซื้อมาและอ่านจบอย่างรวดเร็ว (เพราะมันบางอ่ะ) ซื้อเพราะว่าอ่านคำโปรยแล้วชอบ ประมาณว่าพระนางเคยเป็นคนรักกันมาก่อนแต่มีเหตุทำให้ต้องจากกัน เมื่อมาพบกันอีกครั้งถ่านไฟเก่าก็เกิดขึ้น แต่จะเรียกว่าเป็นถ่านไฟเก่าหรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะพระเอกยังรักนางเอกมาตลอด อิอิ
เหตุการณ์ในอดีตคือ แดนนี่ ควิน (นางเอกนะคะ) และโลแกน เวบสเตอร์ (คุณพระเอก) ทั้งคู่เคยคบหากันสองปีในช่วงมัธยมปลาย นางเอกเพิ่งย้ายมาใหม่ ทั้งคู่เป็นคู่รักที่ดังที่สุดในรุ่นเลย บ้านนางเอกจะฐานะดีหน่อย ส่วนพระเอกท่าทางปากกัดตีนถีบน่าดู พอทั้งคู่จบม.ปลายก็ตกลงใจแต่งงานกัน แต่ที่บ้านของนางเอกไม่ยอม ในวันแต่งงานพ่อนางเอกเรียกตำรวจมาจับพระเอกเข้าคุกแจ้งข้อหาขโมยรถยนต์ซะงั้น และก็พานางเอกย้ายหนีจากเท็กซัสไปอยู่ต่างเมือง ไม่ให้ทั้งคู่ติดต่อกันได้อีกเลย
เปิดเรื่องมา เป็นเหตุการณ์คืนสู่เหย้าสิบปีของเพื่อนๆสมัยม.ปลาย และงานนี้จัดขึ้นที่บ้านของโลแกน เแดนนี่กับโลแกนได้มาพบกันอีกครั้ง แดนนี่ไม่อยากเจอเขาเป็นที่สุด เธอรู้สึกผิดกับเขา และในงานนั้นโลแกนพาคู่ควงคนล่าสุดมาด้วย แต่พี่แกก็ยังตามมาพูดจารังควานนางเอกโดยเฉพาะเรื่องงานการกุศลที่เธอทำว่าทำเพื่อชื่อเสียงในสังคมไฮโซของเธอ ไม่ใช่เพราะคุณธรรมจริงๆ แดนนี่ก็พยายามไม่ตอบโต้ หลีกเลี่ยงจากเขา แต่ทั้งคู่กลับถูกให้เป็นคู่เปิดฟลอร์เต้นรำ เพราะในตอนม.ปลายนั้นทั้งคู่มักเป็นดาวเด่นในงานเช่นนี้เสมอ โลแกนก็เริ่มพูดรื้อฟื้นความหลังถึงความรักของพวกเขาในอดีต แดนนี่พยายามเอ่ยชื่อคู่ควงที่เขาพามาด้วยแต่โลแกนไม่สนใจเท่าไร
เมื่อทั้งคู่มีโอกาสได้อยู่กันสองคน คำพูดถากถางตลอดเวลาของโลแกนทำให้แดนนี่หมดความอดทน ถามเขาไปตรงๆว่าทำไมเขาถึงได้สุภาพและดีกับทุกคนยกเว้นเธอ คราวนี้โลแกนเลยได้เลยย้อนถามถึงเหตุการณ์วันแต่งงานของพวกเขาที่เธอหนีไป ว่าทำไมเธอไม่พยายามเพื่อความรักของพวกเขาและยอมเชื่อแต่พ่อแม่ แดนนี่พยายามบอกว่าในวันนั้นเธอกำลังตกใจ ทำอะไรไม่ถูก และเธอเป็นแค่เด็ก เธอขัดคำสั่งพ่อแม่ไม่ได้ โลแกนก็ว่าสิบแปดน่ะไม่เด็กแล้ว และเขาก็บอกว่าเธอเป็นหนี้เขา เป็นหนี้คืนแต่งงานเขา!
เรื่องนี้พระเอกแสดงออกตั้งแต่ต้นเลยว่าต้องการนอนกับนางเอก ชดเชยที่เธอทิ้งเขาไป ซึ่งแน่นอนว่าแดนนี่ไม่มีทางยอม เธอบอกเขาไปตามตรงว่าไม่ได้อยากมางานนี้เลย แต่ที่ต้องมาเพราะได้รับมอบหมายงานให้มาทำด้วย งานการกุศลของเธอกำลังมีโปรเจคสำคัญในการสร้างบ้านพักฤดุร้อนให้กับเด็กพิการ ซึ่งที่ดินที่อยากให้สร้างนั้นเป็นที่ของโลแกน (ตอนนี้พระเอกรวยแล้ว) หัวหน้างานให้เธอมาคุยกับเขา ซึ่งโปรเจคนี้แดนนี่วางแผนมานานและตั้งใจกับมันมาก เธอต้องการทำให้สำเร็จ เมื่อโลแกนบอกว่าเขาไม่ขายและยอมให้ฟรีๆ (ยอกย้อนดีเนอะ) แต่แดนนี่ต้องนอนกับเขาคืนหนึ่ง ...และแดนนี่ก็ตกลง (เอาเข้าไป ....แต่อ่านต่อจะรู้ว่าทำไมนางเอกถึงยอมตกลงเพื่องานนี้)
แดนนี่คิดว่าโลแกนจะนอนกับเธอเลย แต่ก็เปล่า เขาถ่วงเวลาออกไป และบังคับให้เธออยู่ที่บ้านของเขาต่อ (เพื่อนๆคนอื่นกลับกันไปแล้ว) โลแกนพยายามทำดีกับแดนนี่ แต่หลายครั้งก็ยังกัดจิกว่าเธอเป็นพวกไฮโซ และอันที่จริงเขารู้ด้วยว่าเธอแต่งงานแล้วกับคนที่พ่อแม่เลือกให้ ไม่ใช่ชาวนาบ้านนอกอย่างเขา แต่แดนนี่ก็หย่าแล้วเพราะมันไม่ใช่แต่งงานเพราะความรัก โลแกนยังมักพูดเสมอว่าเธอเป็นภรรยาของเขา ภรรยาที่ยังไม่ได้เข้าหอด้วย
ตลอดเวลาที่อยู่บ้านโลแกน เขามักจะเข้าหาแดนนี่เรื่อย ทั้งๆที่แดนนี่ก็เต็มใจ (เพราะลึกๆแล้วเธอยังรักเขา) แต่สุดท้ายโลแกนก็จะผละจากไปก่อนทุกอย่างเสร็จสิ้นเสมอ ที่เป็นเช่นนั้นเพราะเขากลัวว่าถ้าเขาได้นอนกับเธอแล้ว เธอจะหนีไปเพราะหมดหนี้สินกันตามข้อตกลง ส่วนแดนนี่มักคิดว่าเขาต้องการแก้แค้นเธอเท่านั้น สุดท้ายเมื่อโลแกนตั้งใจว่าเขาจะรักกับเธอจริงๆแล้ว เตรียมทุกอย่างเพื่อให้เธอประทับใจ แต่แดนนี่คิดว่าเขาจะแกล้งเธออีก คราวนี้จึงตั้งใจจะไปจากเขา ไม่สนใจเรื่องที่ดินอะไรแล้ว โลแกนมาเห็นภาพที่เธอหอบหิ้วกระเป๋าเดินทางขึ้นรถและขับรถออกไป เขาโกรธและเสียใจมาก ถ้าเธอบอกว่าเมื่อสิบปีก่อนเป็นเพราะพ่อแม่บังคับ แต่มาตอนนี้เธอโตแล้วแต่เธอก็ยังจะไปจากเขา ระหว่างที่แดนนี่ขับรถหนีกลับที่พักในเมืองนั้น หัวหน้างานโทรมาถามเรื่องที่ดินว่าคุยกับโลแกนไปถึงไหนแล้ว แดนนี่ไม่กล้าเล่าข้อตกลงที่เขายื่นมาให้ เธอจึงเลี่ยงๆตอบไปว่าโลแกนไม่ได้บอกปฏิเสธ และตั้งใจว่ากลับไปถึงที่ดัลลาสแล้วจะพยายามหาทางออกอื่นอีกที
เช้าถัดมา แดนนี่ตกในที่จู่ๆโลแกนก็บุกมาหาที่ห้องพักในโรงแรม (นางเอกยังพักอยู่โรงแรมแถวเท็กซัส) สีหน้าของพระเอกโกรธจัด เมื่อเห็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ว่า ตัวเขาตอบตกลงแล้วว่าจะยกที่ดินให้กับโครงการงานการกุศลเพื่อสร้างบ้านพักสำหรับเด็กพิการ และมีชื่อแดนนี่ ควินเป็นตัวตั้งตัวตี (นางเอกก็ดังอยู่แล้วมีชื่อตามนิตยสารเรื่อย พระเอกก็เริ่มมีชื่อเสียงเหมือนกัน ข่าวเลยดัง) แดนนี่บอกว่าเธอไม่เคยบอกหัวหน้าเช่นนั้น หัวหน้าเข้าใจผิด โลแกนไม่สนใจเขาถือว่าถ้าเป็นอย่างนี้ เขาก็ควรจะได้นอนกับเธอ พี่แกเลยจะจัดการกับนางเอกให้ได้ แต่สุดท้ายก็ทำไม่ลง เขาข่มขืนคนที่เขารักไม่ลง เขาสารภาพหมดว่าเขายังตัดใจจากเธอไม่ได้ เขายังคงรักเธอมาตลอด
วันนั้นทั้งคู่ต้องแถลงข่าวด้วยกัน เพราะมีกระแสว่าแดนนี่อาจยอมนอนกับโลแกนเพื่อที่ดินผืนนั้น และประวัติการทำงานที่ผ่านมาทั้งหมดของเธอจะถูกมองในแง่ลบด้วย โลแกนจึงบอกนักข่าวว่าตัวเขาเองก็พอใจกับโครงการนี้ด้วยเช่นกัน หลังจากนั้นทั้งคู่เริ่มเข้าใจกัน ชายหนุ่มขอเธอแต่งงานอีกครั้งและคิดว่าเธอจะตกลง แต่แดนนี่เห็นว่าคบกันไปแบบนี้ก็ได้ เพราะเขาต้องทำงานที่เท็กซัส ขณะที่เธออยากทำงานการกุศลของเธอต่อในดัลลาส เธอจะมาหาเขาเรื่อยๆ หรือเขาอยากไปหาเธอก็ได้ แต่โลแกนบอกว่าเขาต้องการภรรยาไม่ใช่คู่นอน! ที่เจอกันอาทิตย์ละครั้งสองครั้งแบบนั้น
แดนนี่กลับมาที่ดัลลาสแล้ว ตั้งอกตั้งใจทำงานของเธอ งานใดที่เกี่ยวข้องกับบ้านพักฤดูร้อนของเด็กพิการเธอจะให้คนอื่นทำ เธอไม่กล้าเผชิญหน้ากับโลแกน แต่เมื่อถึงวันเปิดบ้านพัก เธอจำเป็นต้องไป วันนั้นหัวหน้างานเชิญพ่อกับแม่ของเธอไปด้วย ทั้งคู่รู้จักแดนนี่เจอกับโลแกนแล้วและยังคงไม่ยอมรับในตัวโลแกนอยู่ ในวันเปิดบ้านโลแกนเห็นแดนนี่พูดคุย หัวเราะเล่นกับเด็กพิการอย่างมีความสุข
โลแกนเลยถามเรื่องลูกของแดนนี่กับสามีเก่า เธอช็อคทันทีที่ได้ยิน โลแกนรู้เลยว่าต้องมีอะไรเกิดขึ้นกับเธอเกี่ยวกับลูกแน่จึงเค้นถาม แดนนี่ตัดสินใจเล่าว่าเธอเคยมีลูกสาว..แมนดี้ แต่แมนดี้นั้นพิการแต่กำเนิด สามีของเธอเกลียดลูกคนนี้ พ่อแม่ของเธอก็ไม่ชอบ คิดว่าเป็นความอับอายของบ้าน แต่แดนนี่รักแมนดี้มาก เธอยอมออกจากงานดีๆ ขายเครื่องเพชร ของแบรนด์เนมทุกอย่าง ขายบ้านเพื่อหาเงินมารักษาแมนดี้ แต่สุดท้ายก็รักษาชีวิตแมนดี้ไว้ไม่ได้ หลังจากนั้นเธอจึงตัดสินใจมาทำงานการกุศลเพื่อเด็กพิการไม่ว่าจะทางสมองหรือทางร่างกาย เธอสัญญากับตัวเองว่าจะอุทิศตัวเองเพื่องานนี้ไปตลอดชีวิต โลแกนได้ยินแล้วจึงรู้สึกเสียใจที่เข้าใจเธอผิดมาตลอดว่าทำงานการกุศลอะไรแบบนี้เพื่อชื่อเสียง เขาให้กำลังใจเธอ และนึกอยากฆ่าอดีตสามีของเธอจริงๆ โลแกนยอมรับงานที่แดนนี่รัก ทั้งคู่จึงตกลงใจว่าจะแต่งงานกันอีกครั้ง
เป็นนิยายเรื่องแรกของคุณแซนดร้า บราวน์ที่ได้อ่านค่ะ อยากบอกว่าเป็นโรมานซ์ที่แอบหวาน เพราะตัวพระเอกแสดงออกตั้งแต่ต้นว่ายังอาลัยอาวรณ์นางเอกอยู่ คำพูดห่ามๆห้วนๆที่บ่งบอกว่าต้องการนอนกับนางเอก หรือเวลาที่เขาพูดถึงเรื่องในอดีต บอกให้รู้ว่าเขาไม่เคยลืมผู้หญิงคนนี้เลย อ่านแล้วอยากได้ผู้ชายแบบนายโลแกนสักคน เมื่อตอนที่โลแกนบอกว่าอยากมีลูกกับแดนนี่ แดนนี่ก็ถามว่าเขาไม่กลัวเหรอว่าลูกออกมาจะไม่สมประกอบ พี่แกก็ยังยืนยันว่าต้องการมีลูก และไม่ว่าลูกของเขากับเธอจะเป็นอย่างไร เขาก็จะรัก แอบชอบคำตอบของแดนนี่ เธอบอกว่า ถ้าเธอไม่ได้รักเขามากมายอยู่แล้วในตอนนี้ เธอจะหลงรักเขาในทันทีที่ได้ยินคำพูดเช่นนั้น
Create Date : 19 พฤษภาคม 2552 |
| |
|
Last Update : 19 พฤษภาคม 2552 14:31:09 น. |
| |
Counter : 1115 Pageviews. |
| |
|
|
|
おいしいコーヒーのいれ方IV / 村山由佳

おいしいコーヒーのいれ方IV / 村山由佳 (วิธีชงกาแฟให้อร่อย โดย ยูกะ มูระยามะ)
หลังจากได้ยินชื่อนิยายเรื่องนี้ถึงความสนุกของมันมานาน (ชื่อภาษาไทยคือ รักข้ามวัย...หัวใจรสกาแฟ) ทนไม่ไหวต้องรีบหามาอ่าน แต่น่าเสียดายที่หามาอ่านได้แค่สามเล่มเท่านั้น ไม่รู้เล่มอื่นๆจะหาซื้อได้ที่ไหนอีก (ใครรู้ช่วยบอกด้วยนะคะ) เล่มที่สี่เลยต้องคว้าที่เป็นภาษาญี่ปุ่นมาอ่าน ช่วงแรกๆก็ใช้เวลาพอสมควรเพราะไม่เคยอ่านนิยายภาษาญี่ปุ่นทั้งเล่มมาก่อน (นอกจากการ์ตูน -_-") อ่านไปเปิดดิคไป แต่หลังๆเลิกเปิดละเพราะขี้เกียจ
หากดูจากความหมายของชื่อนิยาย "วิธีชงกาแฟให้อร่อย..." ใครไม่รู้นึกว่าหนังสือสอนทำกาแฟ -_-" แต่ในความหมายที่แท้จริงของมันคือ การทำอะไรให้บรรลุจุดหมายปลายทางด้วยดีนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เหมือนการชงกาแฟสักแก้วให้อร่อย การเล่าเรื่องความรักระหว่างพระเอกนางเอกในเรื่องก็เช่นกัน ความรักของคนสองคนที่ค่อยเป็นค่อยไป ไม่โลดโผน ให้คนอ่านสามารถซึมซับกับเรื่องราวได้ทุกบททุกตอน แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นนิยายที่วางไม่วาง
สำหรับคนที่ไม่เคยอ่านเล่มหนึ่งถึงสาม เรื่องย่อๆคือ คาสึโทชิ (พระเอกของเรื่อง อายุสิบเก้าปี) จำเป็นต้องย้ายไปอยู่บ้านเดียวกับคาเรน (นางเอก อายุยี่สิบสี่ปี) และโจ (น้องชายนางเอก) ทั้งสามคนเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน โดยแม่ของพระเอกเป็นพี่สาวของแม่นางเอก เนื่องจากแม่ของพระเอกเสียชีวิตไปบ้านพระเอกจึงเหลือเพียงผู้ชายสองคน (พ่อและตัวพระเอก) น้าซาเอะโกะ (น้องสาวแม่พระเอก) จึงต้องคอยมาดูแลอยู่เรื่อย
สาเหตุที่คาสึโทชิ ต้องย้ายไปอยู่บ้านคาเรนและโจ เพราะพ่อพระเอกมีเหตุต้องย้ายไปทำงานที่ฟุคุโอกะ ขณะเดียวกับที่พ่อนางเอกย้ายไปทำงานที่ลอนดอน (ซึ่งสามารถพาแม่บ้านไปด้วยได้) พ่อพระเอกกับพ่อนางเอกเลยตกลงกันว่าให้เด็กสามคนมาอยู่ด้วยกัน พระเอกต่อให้เป็นผู้ชายก็ยังเป็นแค่เด็กม.ปลาย ส่วนนางเอกแม้จะอยู่ในวัยทำงานแล้วแต่ก็เป็นผู้หญิง ส่วนเจ้าโจ ยังเป็นเด็กม.ต้นอยู่เลย
พระเอกมาเจอนางเอกอีกทีก็เกิดชอบนางเอกขึ้นมา และต่อมาก็รู้ว่านางเอกไม่ใช่ลูกสาวที่แท้จริงของบ้านนี้ เขาจึงกล้ารักเธอ แต่ในขณะเดียวกันหากความรักของคนทั้งคู่ถูกเปิดเผยก็อาจทำให้ทุกคนรอบข้างเจ็บปวด พ่อแม่ที่เลี้ยงนางเอกมา และไหนจะยายที่แท้จริงของนางเอกอีก ความรักของคนทั้งคู่จึงต้องปิดบังคนรอบด้านหลายต่อหลายคนต่อไป
สำหรับบทที่สี่ ...เสียงของหิมะตก
(ทดลองแปล)
น็อก ๆ ๆ เสียงเคาะที่หน้าประตูห้องปลูกผมซึ่งกำลังนอนตะแคงอยู่ให้กลายเป็นครึ่งหลับครึ่งตื่น
เชิญครับ
บานประตูถูกผลักเปิด ใบหน้าขาว ๆ ของคาเรนชะโงกเข้ามา เราสบตากันพอดี ผมยิ้มน้อย ๆ ให้เธอ
โชลี่ อาหารเช้าได้แล้ว ยังคงเป็นโทนเสียงเดิม ๆ ของเธอที่ผมคุ้นเคย
เมื่อกี้แม่เรียกแน่ะ ไม่ได้ยินเหรอ
อ้ะ โทษที ไม่ได้ยิน ผมตอบไปเช่นนั้น
ที่จริงแล้วเสียงเรียกของน้าซาเอโกะน่ะได้ยินชัดเจนเชียวล่ะ แต่ที่แกล้งไม่ได้ยินและนอนคอยอยู่ที่ห้องแบบนี้ เพราะรู้ว่าเดี๋ยวคาเรนก็ต้องเข้ามาเรียก ซึ่งก็เป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ
คาเรน
หือ
...
ผมไม่ได้ตอบอะไรแต่กวักมือเรียกให้เธอเดินเข้ามาหา เธอเลิกหน้าผากมองผมก่อนจะทำปากขมุบขมิบบอกว่า ไม่ได้ จากนั้นก็เดินกลับออกจากห้องไปทางห้องครัว เสียงเดินจากรองเท้าแตะใส่ในบ้านค่อย ๆ เงียบหายไป
ชิ้!
พอเหลืออยู่ตัวคนเดียวในห้องอีกครั้งผมก็พยายามลุกขึ้นตื่น
ยามนี้โอกาสที่จะได้อยู่เพียงลำพังกับเธอในห้องครัวก็น้อยเต็มที่แล้วยังมีเรื่องที่คุยกับพ่อทางโทรศัพท์เมื่อค่ำวานอีกผมเลยรู้สึกโหยหาเธอแปลก ๆ แล้วทำไมเธอต้อง ไม่ได้ ด้วยนะ มันก็ดีไม่ใช่เหรอ ได้จูบกันบ้างเป็นบางครั้งบางคราว ไม่ได้ชวนทำเรื่องอย่างว่าซะหน่อย
เมื่อทำอะไรไม่ได้ ผมก็ออกจากห้องตรงไปยังห้องครัว อาหารค่ำกำลังขึ้นโต๊ะ เจ้าโจตักข้าวเข้าปากกินก่อนไปแล้วโดยไม่รอคนอื่นในบ้าน ผมพอเข้าใจความรู้สึกตอนท้องว่างอยู่หรอก อย่างเมื่อสมัยอยู่ม.สามวันหนึ่ง ๆ กินข้าวตั้งห้ามื้อยังรู้สึกไม่อิ่มเลย
เสียง ฉับ ฉับ ดังอยู่ทางข้างหลัง น้าซาเอโกะคงกำลังหั่นอะไรบางอย่างอยู่ พลางคิดเช่นนั้นก็จะหันไปมอง แต่กลับตกใจเมื่อเห็นคนที่กำลังต่อสู้กับพวกของทอดที่วางเรียงอยู่บนเขียงคือคาเรน ผมยาว ๆ ถูกรวบไว้ทางด้านหลัง ท่าทางหั่นอย่างเอาจริงเอาจังดู ๆ แล้วเหมือนแพทย์ที่กำลังทำการผ่าตัดอยู่ซะมากกว่า
ไอ้ที่หั่นอยู่น่ะหัวไช้เท้า แต่มีแนวโน้มว่าจะกลายเป็นนิ้วเธอเข้าไปถูกที คิดแล้วก็เป็นห่วงอยากเข้าไปช่วยทำแทนเธอซะจริง ๆ ประการแรก ผมหั่นเร็วกว่าเธอประมาณร้อยเท่า แต่ทว่าก่อนที่ปากจะพูดอะไรและมือจะยื่นออกไปก็นึกอะไรได้ คนที่บอกให้คาเรนทำคงเป็นน้าซาเอโกะ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นก็คงต้องปล่อยให้เธอทำต่อไป
ช่วงเวลาที่ลุงฮานะมูระอยู่เพียงลำพังที่อังกฤษ และน้าซาเอโกะกลับมาที่บ้านก็ผ่านมาเดือนครึ่งแล้ว เหลือเวลาช่วงปิดภาคฤดูร้อนอีกแค่หนึ่งอาทิตย์เท่านั้น ที่ผ่านมาคาเรนพอจะรู้วิธีหุงข้าว ทำซุปมิโซะ ต้มผักโขมบ้างแล้ว แต่น่าเสียดายที่ดูเหมือนเธอจะไม่มีเซ้นส์ด้านการทำอาหารเอาซะเลย ต่อไปถ้าเป็นแม่คน (แม้จะคิดไกลไปสักหน่อย) จะสอนลูกสาวต่อได้ยังไง ปล่อยให้เธอทำบ้างล่ะดีแล้ว เพื่อวันหนึ่งที่เธอจะต้องเป็นแม่บ้านจริง ๆ
แม้ว่าเรื่องที่เธอทำงานเก่งหรือไม่เก่ง ผมไม่ได้ใส่ใจเท่าไรนัก แต่นี่เธอก็อายุยี่สิบสี่ เป็นคนทำงานแล้ว ขณะที่ผมยังอายุสิบเก้า ไม่พ้นวัยเรียนด้วยซ้ำ ...
นี่ คาสึโทชิ โจพูด ทั้ง ๆ ที่ยังเคี้ยวโคโรเกะอยู่เต็มปาก %--#$--$@*--&
อะไรน่ะ ทำกิริยาให้ดี ๆ หน่อย น้าซาเอะโกะบอกเตือน
โจกลืนอาหารที่เต็มปากลงคอ จากนั้นก็ยกซุปมิโซะสดแล้วพูดใหม่
อาทิตย์หน้าต้องไปหาพ่อที่คิวชูใช่ไหม
อื้อ
ทำไมกระทันหันนักล่ะ
เอ... เห็นว่าช่วงนี้เป็นช่วงหยุดยาวเลยถามว่าจะไม่ไปหาให้เห็นหน้าสักนิดหน่อยหรือเปล่า ผมเลยว่าจะไปหาให้พ่อมีกำลังใจซะหน่อย โกหกไปเช่นนั้น
แม้แต่โจเรื่องนี้ผมยังไม่เล่าเลย คงยังไม่บอกน้าซาเอโกะตอนนี้แน่ เพราะถ้าน้ารู้เรื่องนี้เข้ามีหวังได้โวยวายยกใหญ่
ไปคนเดียวเหรอ โจถาม
ก็ตั้งใจว่าอย่างนั้น
ที่จริงแล้วถ้าน้าไปด้วยก็คงได้ช่วยทำความสะอาดห้องครั้งใหญ่ให้เลยนะ น้าซึ่งไม่รู้เรื่องอะไรพูดไปพลางขณะกำลังเติมข้าวให้เจ้าโจ พ่อหม้ายที่ใช้ชีวิตอยู่คนเดียวแบบนั้น ไม่ว่ายังไงห้องหับก็ต้องสกปรกมากแน่ ๆ แต่ว่าฟุคุโอกะมันก็ไกลอยู่ ตอนกลับน้าก็ตั้งใจจะบินออกจากที่นี่ด้วย นี่ คาสึโทชิ ยังไงก็ฝากทักทายคุณมาซาโทชิด้วยนะ
ผมตอบตกลง รู้สึกโล่งอกที่น้าซาเอโกะไม่ได้บอกว่าจะไปด้วย
ลืมคิดเรื่องทำความสะอาดไปสนิทเลย นั่นก็สำคัญจริง ๆ ด้วย โจว่า บอกให้พ่อหาผู้หญิงที่โน่นสักคนสิ
โจ! อย่าพูดเรื่องไร้สาระน่า!
อะไรกัน ก็แค่ล้อเล่นเอง
เจ้าโจโดนน้าซาเอโกะว่าซะ ผมซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ ได้แต่ปั้นหน้าเสแสร้งไม่รับรู้อะไร ไอ้โจนี่ ทำไมมันมีเซ้นส์ดีอย่างนี้นักนะ
ความจริงที่ว่ามันตอกย้ำลงในหัวผม ปีนี้คงเป็นปีที่ดีของพ่อ ตอนที่คุยโทรศัพท์กัน พ่อก็ว่าถ้าผมมีน้องชายและน้องสาวจะกลายเป็นยังไง ตอนแรกที่ได้ยินก็คิดว่าคงได้ยินอะไรผิด แต่พ่อก็บอกว่าไม่ได้ล้อเล่นทั้งยังพูดด้วยน้ำเสียงเป็นจริงเป็นจัง
ผมกับพ่อ นับตั้งแต่แม่เสียชีวิตจากโรคเส้นเลือดในสมองแตกก็สิบปีมาแล้ว (นับจนถึงฤดูใบไม้ผลิปีที่แล้ว) ตลอดเวลาพวกเราก็อยู่กันสองคนมาตลอด โดยมีน้องสาวของแม่หรือน้าซาเอโกะเป็นธุระให้ บางทีก็รวมถึงป้าข้างบ้านและก็น้าข้างบ้านด้วย แต่ว่าตั้งแต่ผมขึ้นม.ปลายมา เรื่องงานบ้านแทบทั้งหมดก็กลายเป็นธุระของผม ในทุก ๆ วันผมต้องทำอาหารสำหรับคนสองคน รวมถึงซักเสื้อผ้าในส่วนของพ่อด้วย
และเพราะงั้นเองที่ตอนนี้พ่ออายุห้าสิบก็แล้วถึงยังทำอะไรเองไม่เป็นสักอย่าง ไปอยู่ฟุคุโอกะคนเดียวแบบนี้ สงสัยตู้เสื้อผ้าคงเต็มไปด้วยเสื้อผ้าที่ใช้แล้วและยังไม่ได้ซัก ในซิงค์ก็คงเต็มไปด้วยจานชามที่กินแล้วและยังไม่ได้ล้างกองเท่าภูเขา ที่มุมห้องก็คงมีขยะสดกองอยู่ เชื้อราประมาณเจ็ดสีคงเติบโตกันยกใหญ่ และอะไรอีกสารพัดอย่าง แต่ว่าเรื่องที่มีน้องนี่ผมคิดไม่ถึงเลยจริง ๆ ผู้หญิงคนนั้นคงเข้ามาช่วยพ่อดูแลอะไรหลาย ๆ อย่างเป็นแน่
ส่วนตัวผมแล้ว ตอนที่แม่ยังมีชีวิตอยู่ก็เคยคิดอยากได้น้องชายอยู่หรอก เมื่อครั้งที่ซานตาครอสถามว่าอยากได้อะไรเป็นของขวัญ ผมยังตอบเลยว่า น้องชาย! ตอนนั้นพวกผู้ใหญ่ยังหัวเราะกันคิก แต่ถ้าถามตอนนี้ ตอนที่ใช้ชีวิตอย่างลูกคนเดียวมาสิบเก้าปีแล้ว จะมาถามถึงเรื่องน้องชายน้องสาว คงตอบยาก
รู้สึกเป็นห่วง? รู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าขบขัน? ผมรู้สึกเหมือนทำอะไรไม่ถูกมากกว่า ตอนนี้ก็ไม่ใช่วัยที่จะมารู้สึกอิจฉาอะไรแล้ว ดังนั้นเรื่องที่พ่อจะแต่งงานใหม่ผมก็ไม่คิดจะขัดขวางหรือไม่เห็นด้วยแต่อย่างใด เพียงแต่รู้สึกว่าถ้าบอกให้รู้เร็วกว่านี้สักหน่อยคงจะดีกว่านี้
กระทั่งคาเรนหั่นหัวไช้เท้าเสร็จเรียบร้อยก็นำมาวางในชามตรงกลางโต๊ะกินข้าว น้าซาเอโกะทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้
แต่ก็พอดีเลยนะ น้าเริ่มพูด ของที่ส่งมาจากลอนดอนเพิ่งมาถึงเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นี่ก็กำลังจะเตรียมแพ็คของฝากเอย อะไรเอยส่งไปให้คุณมาซาโทชิอยู่พอดี นี่ คาสึโทชิ ฝากเอาไปให้หน่อยนะ แต่จะหนักมากหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ
ผมกำลังจะตอบว่า ไม่เป็นไร แต่เจ้าโจก็พูดแทรกขึ้นมา
ให้พี่ไปด้วยก็น่าจะดีไม่ใช่เหรอ
เอ๊ะ? คาเรนอุทาน
ผมกำลังตกใจ เอ่ยอะไรออกมาไม่ถูก
คาสึโทชิ ไม่คิดอย่างนั้นเหรอ โจพูดทั้ง ๆ ที่กินข้าวเต็มปาก ขอบชามข้าวที่ยกจรดปากทำให้เห็นเพียงสายตาเจ้าเล่ห์ของเจ้านั่นว่ากำลังหัวเราะนิด ๆ และเอ่ยต่อ @#%@!%
นี่!
ทำไมล่ะ โรงเรียนก็ปิดเทอมอยู่นี่นา โจพูดเมื่อยกชามข้าวลงวาง ปั้นสีหน้าเป็นจริงเป็นจัง อ้ะ แต่ฉันไปไม่ได้นะ ตอนนี้เป็นนักเรียนช่วงเตรียมสอบอยู่ แต่พี่ไม่ได้บอกว่าจะไม่ไปด้วยนี่ ไม่มีวิชาเรียนที่ต้องรับผิดชอบด้วย ไม่มีอะไรต้องตระเตรียมซะหน่อย น่าสนุกออก ถ้าอย่างนั้นพี่ก็ไปฟุคุโอกะกับคาสึโทชิสิ ไปช่วยถือของ ช่วยทำความสะอาด ไม่ดีเหรอ ทำแทนแม่หน่อยสิ
นั่นสินะ... น้าซาเอะโกะว่า นาน ๆ ทีเราก็พูดอะไรดี ๆ เป็นเหมือนกันเหรอ
นาน ๆ ทีที่ไหนกันล่ะ โจย้อน
ว่าไงล่ะ คาเรน อาทิตย์หน้ามีธุระต้องทำที่ไหนหรือเปล่า
เอ๋.. ฉันเหรอ ไม่นะ ก็ว่างอยู่หรอก....
เธอตอบด้วยน้ำเสียงเป็นปกติ โดยไม่ได้มองมาทางผม
อาทิตย์หน้าว่างเหรอ งี้ก็เหงาแย่น่ะสิ
หุบปากน่า คาเรนทุบกำปั้นไปที่เจ้าโจ หมอนั่นหัวเราะร่า
ลุงอิสึมิน่ะ แต่ไหนแต่ไรก็บอกว่าคาเรนน่ารักไม่ใช่เหรอ ไปให้เห็นหน้าหน่อยสิ ลุงต้องดีใจมากแน่ ๆ ไอ้โจว่า
พอผ่านกรุงโตเกียวที่เต็มไปด้วยความขยะสกปรกเลยย่านชินโยโกฮามะลงไปอีกหน่อย วิวทิวทัศน์นอกหน้าต่างเริ่มมองออกไปได้ไกลขึ้น เห็นภูเขาลูกสีเขียว ๆ แต่ไกลเรียงต่อ ๆ กัน สีเขียวของทุ่งหญ้าที่ไกลสุดลูกหูลูกตาเหล่านี้สะท้อนถึงความเป็นฤดูร้อนได้เป็นอย่างดี ความร้อนของแสงอาทิตย์ เงาที่ส่งทอด
หากเปรียบเทียบกับด้านนอกแล้ว ภายในรถไฟนั้นกลับเย็นช่ำจากแอร์คอนดิชั่น แทนที่จะนั่งเครื่องบินทั้งผมและคาเรนต่างเลือกนั่งชินคันเซน ตอนนี้เราทั้งคู่กำลังนั่งเคียงกันในตู้ขบวนห้ามสูบบุหรี่ จากโตเกียวไปฮากะตะใช้เวลาประมาณหกชั่วโมง หากต้องนั่งมาคนเดียวคงเหนื่อยไม่น้อย แต่นี่มากับเธอแม้แต่บ่นผมยังไม่คิดจะทำเลย
ฮัดชิ้ว! คาเรนซึ่งนั่งริมหน้าต่างจามออกมา
หนาวเหรอ
ไม่หรอก ไม่มีอะไร
โกหก ทั้ง ๆ ที่ตัวเริ่มแดง ๆ แล้วเนี่ย ไม่มีอะไรสวมทับอีกสักชั้นเหรอ
ก็มีอยู่หรอก...
อะไร
มันอยู่ในกระเป๋าข้างบนน่ะ
ผมลุกขึ้น ยกกระเป๋าสะพายของคาเรนลงมา เธอเปิดกระเป๋าหยิบเสื้อคลุมคาดิแกนแบบวันพีชสีน้ำเงินอ่อน ๆ ออกมาสวมทับ ดูเธอหายใจคล่องจมูกมากขึ้น
ถ้าอยากให้หยิบลงมาให้ก็น่าจะบอกตั้งแต่แรก ผมบอกเธอ ทำไมทำอย่างนี้ เกรงใจอะไรผม
นึกย้อนกลับไปเรื่องที่ไปค้างคืนกันที่คาโมะกาว่าด้วยกันหนึ่งคืนอีกครั้ง หากเป็นช่วงก่อนหน้านั้นเธอต้องการอะไรก็จะบอกทันที แต่หลังกลับจากที่นั่นเป็นต้นมาแล้ว ผมสังเกตเห็นว่าเธอมักจะทำอะไรด้วยตัวเองทั้ง ๆ ที่บางครั้งมันก็ฝืนตัวเองด้วยซ้ำไป
ไม่นี่ ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย เธอตอบ โชลี่คิดมากไปเอง เธอมองผมและหัวเราะนิด ๆ เหมือนเช่นทุกครั้ง ทุกครั้งที่มองใบหน้าเช่นนั้นของเธอ ผมจะพาลคิดว่าเธอพยายามสร้างมันขึ้นมาหรือเปล่าอยู่เรื่อย
หนึ่งคืนที่อยู่ที่คาโมะกาว่าด้วยกัน นอนกอดกันบนเตียง ๆ เดียวกัน แต่ก็ไม่สามารถพาเธอไปยังจุดหมายปลายทางได้ เพียงคิดว่าโอกาสครั้งต่อไปจะต้องรออีกนานแค่ไหนในวันข้างหน้าก็ไม่รู้จิตใจผมก็เริ่มห่อเหี่ยวแล้ว เมื่อไรจะโชคดีอย่างนั้นอีก
คืนนี้เราสองคนจะพักที่บ้านพักบริษัทของพ่อ ถึงอย่างไรก็ต้องนอนคนละห้องแน่ แต่ว่าการที่ได้เดินทางไปไหนด้วยกันไกล ๆ แบบนี้ผมก็อดตื่นเต้นดีใจไม่ได้
ที่นั่งแถวเดียวกันฝั่งซ้ายมือ มีชายวัยกลางคนนั่งอยู่ริมหน้าต่างคนเดียว หมอนั่นก้มหน้าก้มตาอ่านนิตยสารแทบไม่เงยหน้ามาสักพักแล้ว ผมกระตุกแขนเสื้อฝั่งซ้ายของคาเรนเบา ๆ เพื่อเรียกเธอ
หือ อะไรเหรอ
เธอหันมามองตาผมอย่างไม่ได้คิดอะไร ผมดึงแขนเสื้อของเธออีกครั้ง คาเรนทำสีหน้าอาย ๆ หัวเราะนิด ๆ และแสร้งจามออกมา ระหว่างพวกเราตอนนี้ยังมีที่วางแขนกั้นกลางอยู่ คาเรนแสร้งหันไปมองวิวทิวทัศน์นอกหน้าต่างอีกครั้ง
ผมหันไปมองชายพนักงานคนนั้นที่เปลี่ยนอิริยาบทเป็นเงยหน้ามองตรงไปด้านหน้าแล้วอย่างกรุ่นโกรธ จ้องนายนั่นขณะที่มือขวายกที่กั้นแขนขึ้นและควานหามือคาเรนมากุมไว้ ทั้ง ๆ ที่เคยคิดไว้อยู่แล้วแต่ก็ยังแปลกใจไม่ได้ที่มือเธอนุ่มนิ่มอย่างคาดไม่ถึง แต่ว่าตอนนี้มันเย็นชืดด้วย
ผมค่อย ๆ ขยับไปกอบกุมนิ้วเธอให้อยู่ในฝ่ามือผมทั้งหมด เธอขยับตัวเล็กน้อยทำให้ผมคิดว่าเธออาจเจ็บเลยบีบจับให้เบาลง แต่แล้วเธอเองก็ขยับมือเลื่อนมือกระทั่งเราสองคนสอดนิ้วมือประสานกัน
ผมรู้สึกเลือดลมภายในอุ่นร้อนขึ้นมาทั่วทุกสรรพางค์กาย (ศัพท์ที่ชาตินี้คงไม่มีวันได้ใช้ในนิยายตัวเอง)
พอผมบีบมือเธอแน่นขึ้น คาเรนเองก็บีบกระชับตอบสนอง ช่างเหมือนกับคืนวันที่สวนสาธารณะฮิโยโกะจริง ๆ ...
...เป็นเพราะเจ้าโจเลยนะ ผมว่า เธอหันมาทางผมนิด ๆ
อือ
(จบทดลองแปล)
จากนี้เป็นเรื่องย่อของเล่มที่สี่ค่ะ
หลังจากพระเอกลงไปฟุคุโอกะกับนางเอก เจอพ่อ เจอแฟนใหม่ของพ่อที่กำลังตั้งท้อง นอนที่นั่นคืนหนึ่งก็กลับขึ้นมาที่โตเกียว ไม่นานน้าซาเอะโกะก็กลับลอนดอนไป ที่บ้านเลยอยู่กันสามคนอีกครั้ง มีเช้าอยู่วัน พระเอกทำขนมปังปิ้งให้กิน คาเรนบ่นว่าแปลก ไม่เหมือนขนมปังของร้านขนมปังแถวโรงเรียน และเธอก็เล่าว่าที่ร้านนั้นมันมีขนมปังหน้าแพนด้าด้วย (น้ำเสียงตื่นเต้นมาก) เจ้าโจแซวว่าเด็ก คาเรนว่าไม่ตื่นเต้นเหรอ นอกจากแพนด้าแล้วยังมีสนู้ปปี้ด้วย (อ่านถึงตรงนี้แล้วนุชฮากลิ้ง)โจเลยบอกว่าถ้าอยากกินไอ้ขนมปังหน้าแพนด้าก็รีบๆออกไปอยู่กับพระเอกสองคนสิ เผลอๆจะมีขนมปังหน้าคิตตี้ให้กินอีกต่างหาก
พอเปิดเทอมฤดูใบไม้ร่วง มีงานเทศกาลโรงเรียนที่โรงเรียนเก่า พระเอกก็กลับไป นัดเจอเพื่อน เจอรุ่นน้องชมรม และก็แวะไปที่ห้องชมรมศิลปะซึ่งคาเรนเป็นอาจารย์ที่ปรึกษา ไปดูผลงานศิลปะที่เธอทำ และมันมีไอ้ภาพอุลตร้าแมนที่นักเรียนทั้งชมรมกับเธอทำร่วมกัน คาเรนพูดอธิบายอย่างภาคภูมิใจแต่กลับเจออาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนเดินเข้ามาต่อว่า ว่าไม่รู้จักวางตัวให้ดี พระเอกได้ยินก็โกรธแทน อยากต่อว่า แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ จนอาจารย์นาคาซาว่า (คู่แข่งพระเอก) เข้ามาช่วยพูดให้ พอในค่ำวันงานที่มีการเลือกมิสเตอร์มิสซิสฮิการิกะโอกะนิชิ(ชื่อโรงเรียน) ปกติจะเป็นนักเรียนได้ แต่คราวนี้เป็นอาจารย์ที่ได้ทั้งคู่ ซึ่งก็คือคาเรนกับอาจารย์นาคาซาว่า ใครที่มองอยู่รอบๆเวทีก็บอกแต่ว่าสองคนนี้เหมาะสมกัน พระเอกเลยยิ่งรู้สึกแย่
ใกล้สิ้นปี พระเอกตั้งใจจะซื้อแหวนให้คาเรนเป็นขวัญวันคริสต์มาส เหมือนเป็นของขวัญชิ้นแรกที่ให้เธอ เพราะอย่างวันเกิดที่ผ่านมาคาเรนบอกว่าอยากได้แค่ดอกไม้ช่อเดียว พระเอกก็เลยซื้อแต่ดอกไม้ แต่เขาตั้งใจว่าในปีถัดๆไปก็จะซื้อให้เธออีกแต่จะเพิ่มจำนวนดอกไม้ปีละดอกๆๆไปเรื่อยๆ พอวันหนึ่งเธออายุมากเข้า ถึงวันเกิดสองมือเธอจะได้โอบกอดดอกไม้ช่อโตๆเป็นของขวัญ เรื่องแหวนพระเอกให้ยูริโกะ (แฟนมาสเตอร์) ช่วยติดต่อเอาแบบมาให้ดู ปัญหาคือจะรู้ไซส์นิ้วนางเอกได้ไง ยูริโกะแนะนำให้แอบไปขโมยแหวน แต่พระเอกไม่กล้า เพราะตั้งแต่มาอยู่บ้านนี้ เขาเข้าห้องเธอนับครั้งได้ และถ้าขโมยไปวัด ตอนเธอได้แล้วถามว่ารู้ได้ยังไงก็ตอบไม่ได้อยู่ดี แต่ทีนี้บังเอิญคาเรนได้ขวดทดลองวิทยาศาสตร์มา (อาจารย์วิทย์ที่โรงเรียนจะทิ้ง เธอเสียดายเลยขอไว้) )แถวๆนี้นุชอ่านแล้วไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร แต่น่าจะประมาณว่า..) พระเอกเอานิ้วแหย่ๆในหลอดทดลอง เพราะจะวัดไซส์ของนิ้ว และคงเห็นเธอทำเหมือนกันเลยรู้ไซส์ของนิ้วเธอด้วย ตอนเลือกพลอยที่จะเอามาใส่ในตัวแหวน ยูริโกะก็แนะนำหลายๆอย่าง พระเอกก็ตกลงใจเอาอควอมารีน (สีน้ำทะเล) เพราะเห็นว่าเรื่องราวระหว่างเขากับเธอเกิดขึ้นริมทะเล พอยูริโกะถามว่าจะให้แกะคำว่า k to k ด้วยไหม (มาจาก คาสึโทชิ และคาเรน )พระเอกบอกว่าให้แกะ s to k (คาเรนเรียกพระเอกว่าอะไรก็ชื่อนั้นล่ะค่ะ อิอิ)
แต่พอถึงวันจะให้กลับเกิดเรื่อง ก่อนโรงเรียนจะปิดฤดูหนาว ในวันคริสต์มาสอีฟ (24ธ.ค.) อาจารย์เลยมีนัดกินเลี้ยงสิ้นปี คาเรนก็ต้องไป ที่บ้าน (พระเอก คาเรน โจ) เลยนัดกันว่าสี่ทุ่มจะจัดปาร์ตี้สิ้นปีที่บ้าน พระเอกวางแผนอย่างดีว่า หลังกินเสร็จ ตอนเจ้าโจอาบน้ำ เขาจะขึ้นเอาไปให้เธอที่ห้อง แต่เรื่องกลับไม่ได้เป็นอย่างที่คิดไว้ คืนวันนั้นพระเอกออกไปตามนัดกับเพื่อนข้างนอก ระหว่างเดินกลับบ้านเห็นคาเรนอยู่กับอาจารย์นาคาซาว่า พี่แกก็โมโหๆกลับไปรอที่บ้าน คาเรนกลับมาก็ลองถาม แต่คาเรนโกหกว่ากลับมาคนเดียว พระเอกเลยโมโห คาเรนยอมรับว่าโกหก เพราะไม่อยากให้เขาคิดมาก เธอกับอาจารย์นาคาซาว่าเป็นแค่เพื่อนร่วมงานกันเท่านั้น มันก็ต้องมีเรื่องปรึกษาหารือกันบ้าง แต่พระเอกก็ไม่เข้าใจเลยเถียงกันยกใหญ่ คาเรนว่าว่าไม่ใช่เขาไม่ไว้ใจเธอ แต่เขาไม่ไว้ใจไม่เชื่อมั่นในตัวเองต่างหาก แถมบอกให้ทำตัวดีๆด้วย (อย่างกับผู้ใหญ่สอนเด็ก) พอผิดใจกันพระเอกเลยอดให้แหวนคาเรน
ช่วงปิดฤดูหนาว พวกเขานัดกันไปสกี (26ธ.ค.) มีไปกันสิบคน มีมาสเตอร์ ยูริโกะ พระเอก คาเรน โจ เคียวโกะ รุ่นพี่พระเอก ริสุโกะ นาคาซาว่า ตอนเล่นๆคาเรนก็เล่นไม่เป็น ได้นาคาซาช่วยว่าสอน พระเอกก็ได้แต่แอบมอง พอตกค่ำ คาเรนยังชมอีกว่านาคาซาว่าสอนดี น่าจะเป็นที่ปรึกษาชมรมสกีด้วย พระเอกหงุดหงิดใจ หลบหน้าหลบตาหนีไปอาบน้ำ เตรียมจะนอน แต่ออกมาเดินเล่นก่อน บังเอิญเจอกับริสึโกะ ริสึโกะถามเรื่องคาเรนว่าให้ตัดใจไม่ได้เหรอ เพราะคาเรนก็มีคนรักอยู่แล้ว (ริสึโกะยังไม่รู้ว่าเป็นพระเอก) พระเอกว่ายังไงก็ไม่ได้ ยัยนี่เลยจัดการคว้าคอพระเอกมาจูบ แต่พอประตูลิฟท์บริเวณนั้นเปิด คาเรนออกมาเห็นเข้าพอดีอีก (พระเอกซวยจัด) เรื่องเลยยิ่งยุ่งเข้าไปใหญ่ พระเอกจำได้ว่าเคยสัญญากับคาเรนว่าจะไม่จูบกับผู้หญิงคนอื่นคนไหนอีกเป็นครั้งที่สองแล้ว...
เมื่อกลับมาที่โตเกียว ตลอดเวลาทั้งคู่ไม่คุยกันเลย พอพระเอกออกไปซื้ออาหารสุดที่ซูเปอร์แถวบ้านแป๊บเดียว กลับบ้านมาคาเรนหายไปแล้ว (คาดว่าคงไปหาคุณยาย) เธอหายตัวไปสามวัน กลับมาอีกทีพอดีวันสิ้นปี พระเอกอารมณ์ดีขึ้นลงมือทำโซบะข้ามปี (คนญี่ปุ่นนิยมกินค่ะ) สำหรับสามที่ พอกินเสร็จ เจ้าโจก็รู้หน้าที่บอกว่าจะออกไปข้างนอก นัดกับเพื่อนๆ จะไปขอพรให้สอบผ่านที่วัด แถมยังกระซิบบอกพระเอกด้วยว่าอาจกลับมาอีกทีตอนเช้าไม่ได้ แต่ก็จะช่วยอยู่ข้างนอกให้ถึงตีสองตีสามให้ และแซวอีกว่าถ้ากลับมาแล้วไม่เห็นพระเอกที่เตียงในห้องก็ไม่ว่าอะไร
ตอนนี้พระเอกเลยได้อยู่กับคาเรนสองคนในบ้าน ทั้งคู่เลยได้ปรับความเข้าใจกัน คาเรนเองก็เสียใจที่ว่าพระเอก พอเห็นไปจูบกับริสึโกะอีก ก็นึกว่าไม่ต้องการเธอแล้ว พอกลับมาบ้านเลยทนไม่ได้หนีหน้าไปซะเอง สำหรับเธอแล้วถ้าไม่ใช่เขาก็ไม่มีทางเป็นใครอื่นได้ ระหว่างการพูดคุยก็มีจูบๆหอมๆกอดๆไปตามเรื่อง อิอิ พอเข้าใจกันดีแล้ว พระเอกเลยวิ่งไปที่ห้องเปิดกระเป๋าหยิบกล่องแหวนที่เคยสั่งทำให้เธอ ระหว่างนั้นเขาสังเกตเห็นอะไรบางอย่างเมื่อมองออกไปด้านนอก...หิมะกำลังตก
คนเขียนบอกไว้ท้ายเล่มว่า สาเหตุที่ตอนที่สี่ชื่อว่า"เสียงของหิมะตก" เพราะว่านับจากจุดนี้ไปจะเป็นจุดหักเหของเรื่อง ของความสัมพันธ์ของพระ-นาง ...ทำให้รู้เรื่องนิยายเรื่องนี้ยังอีกยาวไกล 
Create Date : 15 เมษายน 2552 |
| |
|
Last Update : 15 เมษายน 2552 1:59:43 น. |
| |
Counter : 1278 Pageviews. |
| |
|
|
|
ดวงใจปฏิพัทธ์ / สะมะเรีย

ดวงใจปฏิพัทธ์ ของ คุณสะมะเรีย
นิยายเรื่องนี้เห็นแวบๆในเวบเด็กดีนานแล้ว ว่าจะอ่านๆอยู่หลายครั้งเพราะแอบชอบอิมเมจพระเอก ฮะๆๆ แบบว่าเท่ห์ดีค่ะ (เมื่อกี้เข้าไปในเวบเด็กดี จะไปเอารูปพระเอกมาให้ดู แต่คุณสะมะเรีย เอาออกไปแล้วง่ะ) แต่ว่าก็ไม่ได้อ่าน (ไม่รู้ยุ่งไรนักหนา เอิ๊ก) สุดท้ายเลยซื้อเป็นเล่มซะเลย หน้าปกสวยด้วยค่ะ เว้นแต่อิมเมจพระเอกในเรื่องมันผมยาวไม่ใช่เหรอ ทำไมกร้อนผมพระเอกซะสั้นเลยนั่น
องค์ชายภานรินทร์ลอดชีวิตจากการล้มล้างบัลลังก์ของราชวงศ์พีรทัตได้ด้วยความช่วยเหลือของเสนาบดีวรัชญ์ เด็กหนุ่มในอายุสิบห้าปีถูกเลี้ยงดูในชื่อนรินทร์ในฐานะหลานของเขา เป็นเพื่อนเล่นกับมารุตหลานแท้ๆ กบฏอชิระสถาปนาตัวเองขึ้นเป็นกษัตริย์และปกครองบ้านเมืองอย่างบ้าอำนาจ เก็บภาษีเลือด (ขูดรีดนั่นล่ะ) ใครทำอะไรไม่พอใจเป็นฆ่าทิ้ง
สิบเจ็ดปีต่อมา เจ้าหญิงครีษมา ธิดาองค์เดียวของพระราชาอชิระเติบโตเป็นสาวสวย ความงามเป็นที่เรื่องลือ เสนาบดีวรัชญ์เสนอให้นรินทร์และมารุต หลานทั้งสองมาเป็นองครักษ์ของเจ้าหญิงครีษมา เจ้าหญิงครีษมาแอบต้องตาต้องใจนรินทร์ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอเมื่อครั้งหนีออกจากวังไปเที่ยวเล่นในตลาด เมื่อมาเป็นองค์รักษ์ให้ก็แอบแกล้งเขา และความใกล้ชิดสนิทสนมยิ่งทำให้องค์หญิงรักนรินทร์เข้าจริงๆ ส่วนนรินทร์นั้นตั้งใจทำให้องค์หญิงหลงรักเพื่อเป็นไปตามแผนยึดราชบัลลังก์คืนอยู่แล้ว
พระราชาอชิระต้องการให้เจ้าหญิงครีษมาแต่งงานหลังจากงานเฉลิมฉลองครบรอบสิบเจ็ดพรรษา แต่องค์หญิงไม่ยอม เมื่อนรินทร์ลอบเข้ามาที่ห้องบรรทมบอกว่าจะพาหนี เธอจึงยอมไปกับเขาง่ายๆ นรินทร์พาองค์หญิงไปพักอยู่ที่บ้านบนเขา และในวันนั้นพรรคพวกสีน้ำเงินซึ่งพร้อมใจกันทวงบัลลังก์คืนให้แก่องค์ชายภานรินทร์ก็ทำสำเร็จ พระราชาอชิระถูกจับคุกคุมขัง ส่วนพระนางมนสิการ (พระมารดาของเจ้าหญิงครีษมา) ถูกเสนาบดีเจ้าคุณกลาโหมวรัชญ์พาตัวไป (สองคนนี้เคยเป็นคนรักกันมาก่อนง่ะ)
พอเจ้าหญิงครีษมารู้เข้าก็โกรธแค้นนรินทร์ที่หลอกลวงเธอมาตลอด ชายหนุ่มยิ้มเยาะแก่ใจเพราะรู้ว่าครีษมารักเขา แถมยังให้เธอเป็นนางบำเรอซะอีก (แอบเน่าอย่างแรง) ผ่านพ้นคืนแรกไปครีษมาทนไม่ไหว เสียใจอย่างนักคิดฆ่าตัวตาย แต่เจ้าชายภานรินทร์ตามหมอหลวงมาช่วยชีวิตไว้ทันและบอกว่าถ้ายังคิดฆ่าตัวตายหรือคิดหนีอีก ชายหนุ่มจะทรมานแม่ของเธอ ครีษมาจึงต้องทนโดนกลั่นแกล้งตลอดเวลาที่อยู่ในวัง (ตรงนี้อ่านแล้วแอบจี๊ดแทนนางเอกมากๆ อินจัด เหอๆ)
หลังจากเจ้าชายภานรินทร์ขึ้นครองบัลลังก์เป็นพระราชาภานรินทร์ ก็อภิเษกสมรสกับปาลิไลย์ หลานสาวคนหนึ่งของเสนาบดีวรัชญ์ที่เติบโตมาด้วยกัน เปรียบเสมือนน้องสาวคนหนึ่งของเขาซึ่งมีสุขภาพร่างกายอ่อนแอ ชายหนุ่มรู้มาตลอดว่าปาลิไลย์รักเขา และไม่มีวันทรยศหักหลังเขา เมื่อปาลิไลย์ขึ้นเป็นพระราชินี และรู้เรื่องระหว่างเขากับครีษมาก็สงสารครีษมา จึงขอเธอไปเป็นนางกำนัล พระราชาภานรินทร์ต้องยอมเมื่อให้เหตุผลไม่ได้ว่าทำไมถึงจะไม่ยกครีษมาให้
เมื่อครีษมากลายเป็นนางกำนัลของพระราชินีปาลิไลย์ เธอก็เป็นอิสระมากขึ้น ไม่ต้องทำงานหนักอีก เมื่อได้ข่าวว่ามนสิการ มารดาของเธอไม่ได้ถูกคุมขังก็สบายใจขึ้น ถึงเวลาอดีตพระราชาอชิระถูกตัดหัว และรู้ว่าตัวเธอเองกำลังตั้งครรภ์ด้วย จึงหลบหนีออกมาจากพระราชวัง ตั้งใจไปใช้ชีวิตบนเขา ขณะเดียวกันนั้นเองที่พระราชินีปาลิไลย์ถูกลอบปลงพระชนม์ ครีษมาซึ่งหายตัวไปจึงถูกกล่าวหาเป็นผู้ลงมือ แต่ก็หลุดพ้นจากข้อกล่าวหาได้โดยความช่วยเหลือของมารุตและนางกำนัลที่บังเอิญไปได้ยินแผนร้ายนั้น
เมื่อมนสิการรู้ความจริงว่าครีษมาท้องและยังหายตัวไปก็เสียใจ ต่อว่าวรัชญ์ต่างๆนานา และหลุดปากบอกความจริงที่ปกปิดมาตลอดว่าแท้จริงแล้วครีษมาเป็นลูกของเขากับเธอ ไม่ใช่กับอชิระ วรัชญ์ซึ่งเข้าใจผิดคิดว่ามนสิการเป็นผู้หญิงหิวเงินพออชิระขึ้นครองราชก็ทิ้งเขาไป แต่แท้จริงแล้วมนสิการโดนขืนใจต่างหาก เขาได้แต่เสียใจที่รู้ว่ามีส่วนสนับสนุนให้ครีษมาลูกสาวแท้ๆของตัวเองโดนพระราชาภานรินทร์กลั่นแกล้งและข่มเหงน้ำใจมาตลอด
หกปีต่อมา ครีษมาหายตัวไปโดยไม่มีใครพบเห็น วันหนึ่งพระราชาภานรินทร์ขึ้นเขาไปยังหมู่บ้านที่เคยไปกับครีษมา พบกรินทร์..เด็กชายตาสีน้ำเงินก็มั่นใจว่าต้องเป็นลูกชายของตัวเอง เพราะเป็นเสมือนสัญลักษณ์ว่ามีเลือดเนื้อเชื้อไขของราชวงค์พีรทัต และยิ่งรู้ว่าเด็กชายอายุหกขวบก็ไม่ผิดตัวแน่ เขาไปพบกับแม่ของเด็กชายที่ชื่อว่ากลอยใจ พระราชาภานรินทร์ถามหาครีษมา ครีษมาในชื่อกลอยใจทั้งยังปลอมตัวให้มีหน้าตาอัปลักษณ์บอกว่าครีษมาตายไปแล้ว ทั้งยังพาไปหลุมศพ พระราชาภานรินทร์บอกรักครีษมาตรงหน้าหลุมศพ กลอยใจแอบร้องใจ พระราชาภานรินทร์บอกความประสงค์ว่าต้องการนำกรินทร์ไปเลี้ยงดู กลอยใจตกลงเพราะเชื่อว่าเด็กชายจะสุขสบายกว่านี้ แต่กรินทร์ไม่ยอมไปถ้ากลอยใจไม่ไป กลอยใจจึงเข้าวังด้วยในฐานะพี่เลี้ยง
กลอยใจเจอกับมารดาอีกครั้ง แอบบอกความจริงว่าเธอคือครีษมา ตอนนี้เธอเชื่อแล้วว่าพระราชาภานรินทร์รักเธอ แต่ยังขอเวลาอีกนิด ขณะเดียวกันพระราชาภานรินทร์อยากอภิเษกสมรสเพื่อให้ตำแหน่งราชินีไม่ปล่อยว่าง สุดท้ายจึงตกลงใจอภิเษกสมรสกับกลอยใจ พระพี่เลี้ยง แม้หลายฝ่ายจะไม่เห็นด้วยเพราะกลอยใจเป็นคนธรรมดาทั้งยังมีหน้าตาอัปลักษณ์อีก ในพิธีงานแต่งครีษมาแกะยางไม้ที่ช่วยปลอมตัวให้หน้าตาน่าเกลียดออก และใช้ผ้าคลุมหน้าปกปิดใบหน้างดงามที่แท้จริงไว้ เมื่อพระราชาภานรินทร์เปิดผ้าคลุมออกก็ตกใจเมื่อเห็นว่าเป็นครีษมาหญิงสาวในดวงใจที่เข้าใจว่าเสียชีวิตไปแล้ว เขาเอ่ยขอโทษกับทุกเรื่องที่เคยทำกับนางไว้ สุดท้ายทั้งคู่ก็เข้าใจกัน พระราชาภานรินทร์ขอครีษมาแต่งงานอีกครั้ง และบอกว่าพิธีแต่งงานที่เพิ่งผ่านพ้นไปนั้นเป็นการแต่งเพื่อหาแม่ของลูก แต่ตอนนี้แต่งกับนางในดวงใจ อิอิ
เรื่องนี้อ่านไปก็แอบคิดว่าน้ำเน่าใช้ได้ พระเอกแค้นพ่อนางเอก เลยจับนางเอกมาล้างแค้น เป็นนางบำเรอซะ สุดท้ายนางเอกทนไม่ไหว หนีไปพร้อมกับลูกในท้อง ระหว่างนั้นพระเอกก็ค้นพบว่านางเอกไม่มีความผิดใดๆเลย วันดีคืนดีพระเอกตามไปพบและพาตัวกลับมาครองรักกัน แต่ด้วยภาษาที่ใช้ อ่านแล้วไม่มีสะดุดอะไร ยิ่งอ่านยิ่งเพลิน อ่านแล้วจิ๊ดๆ บีบคั้นอารมณ์อย่างแรง ทำให้อินไม่น้อย สนุกทีเดียวค่ะ ไม่เสียดายที่ซื้อ
Create Date : 03 เมษายน 2552 |
| |
|
Last Update : 3 เมษายน 2552 18:19:10 น. |
| |
Counter : 2517 Pageviews. |
| |
|
|
|
ปริศนา / ว. ณ ประมวญมารค

ปริศนา โดยคุณว. ณ ประมวญมารค
หลังจาก (พยายาม) อ่านเจ้าสาวของอานนท์มาพักใหญ่ สุดท้ายก็อ่านไม่จบ ชื่อตัวละครโผล่มาเยอะมาก ยิ่งอ่านไปยิ่งโผล่มา จะเป็นลม ใครญาติใครบ้างสารพัดหยุมหยิม อ่านไปก็ไม่แน่ใจว่าคนไหนสำคัญไม่สำคัญ จะให้จำชื่อทุกคนก็ขี้เกียจ สุดท้ายเริ่มรู้สึกว่าไม่หนุกก็เลยวางซะ ไม่อ่านต่อละ คว้าปริศนามาอ่านแทน แหะๆ สุดท้ายเซ็ตนี้เลยได้อ่านแค่รัตนาวดีและก็ปริศนา
ปริศนา (หนา ๆ ๆ ๆ มีเสียงเอฟเฟ็กต์ประกอบตามความหนา) ใช้เวลาอ่านเกือบห้าวันแน่ะ แต่ก็ไม่ได้อ่านทั้งวัน ต้องทำนู่นนี่สารพัดไปด้วย แต่โชคดีที่ก็อ่านจบและคืนเพื่อนทันเวลา ก่อนที่ต้องหอบกลับไทยมาคืนทีหลัง ได้แบกหลังอาน เอ๊ย หลังแอ่นแน่
เท่าที่จำได้ ปริศนาเป็นนิยายเรื่องแรกเลยค่ะที่อ่านแล้วรู้สึกหลงรักนางเอกมากๆ ปริศนาเป็นลูกสาวคนสุดท้องในบรรดาพี่น้องหญิงล้วนสี่คน ในขณะที่พี่สาวทั้งสามโตที่เมืองไทย เธอแปลกกว่าพี่ๆหน่อยที่คุณอา (ญาติฝ่ายพ่อ) ขอรับไปเลี้ยงตั้งแต่เจ็ดขวบ ปริศนาเลยเติบโตที่อเมริกา พออายุครบสิบแปดปีคุณอาก็ต้องส่งปริศนากลับมาคืนคุณแม่ของเธอตามสัญญา
พี่ๆทั้งสามก็ต่างคาดกันไปต่างๆนานาว่าน้องสาวคนเล็กจะมีนิสัยหน้าตาเป็นยังไงไม่ได้เจอกันเป็นสิบปี จะเปรี้ยวจี๊ดเป็นสาวอเมริกันจ๋า พูดอังกฤษคำไทยคำหรือเปล่า แต่เพราะคุณอาที่รับเลี้ยงบังคับให้ปริศนาใช้ภาษาไทยกับเขาเสมอ ทำให้เธอพูดไทยได้ปร๋อ (แต่ยังแอบมีศัพท์ภาษาอังกฤษแทรกเป็นพักๆในบทพูด กำลังน่ารักเชียวค่ะ) คงเพราะเป็นคนชอบเล่นกีฬาด้วย (ทั้งตีเทนนิส ว่ายน้ำ) ทำให้ปริศนาตัวสูงกว่าใครในบ้าน คนเขียนย้ำเสมอๆในเรื่องว่าเธอหุ่นดีสุดๆ (ขาก็สวย อิอิ) ผมยังหยิกต่างจากพี่น้องคนอื่นๆ ดวงตากลมแป๋ว แถมมีลักยิ้มด้วยแน่ะ
คนเขียนว่า สิริ (พี่สาวคนที่สอง) อาจสวยผาด อนงค์ (พี่สาวคนที่สาม) อาจสวยพิศ แต่ปริศนาน้องสาวคนเล็ก ทั้งสวยพิศและสวยผาด เวลาไปไหนๆจึงเตะตาหนุ่มๆอยู่เสมอ ความที่ปริศนาไปเติบโตที่เมืองนอก เธอจึงออกเป็นตัวของตัวเองมากๆ มีความมั่นใจอยู่ตลอดเวลา (ท่านชายพจน์เคยว่าผู้หญิงคนนี้อวดดี แต่ปริศนาก็มีดีให้อวดล่ะว้า) บ่อยครั้งเธอยังชอบใส่กางเกงขาสั้น (โชว์เรียวขาสวยๆนั่นล่ะ) ไปนู้นมานี่อยู่เสมอ เหมือนที่เคยทำเป็นประจำเมื่อครั้งอยู่อเมริกา ((หากใครเคยดูปริศนาเว่อร์ชั่นที่เทย่า โรเจอร์แสดง ขอบอกว่าเราอ่านเรื่องนี้ไปแล้วนึกถึงเทย่า ไม่ผิดหวังเลยค่ะ หมายถึงลุคนะคะ การแสดงจำไม่ได้ละว่าเป็นไง เคยดูผ่านๆตอนนั้น ส่วนพระเอก... แหะๆ ลืมๆไปซะ)) อยากบอกว่าเพียงบทต้นๆที่เริ่มเปิดตัวปริศนา เราอ่านแล้วหลงรักผู้หญิงคนนี้ทันที บางครั้งก็ทำตัวเป็นเด็ก เป็นน้องคนเล็ก และยังเป็นคนที่น่าค้นหาอีกด้วย เชื่อว่าถ้าปริศนามีตัวตนจริงๆ เธอต้องเป็นคนที่มีเสน่ห์มากๆ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยนั้น)
ปริศนาเริ่มรู้จักกับประวิช (เด็กในปกครองของท่านชายพจน์) เมื่อครั้งที่เธอไปตีเทนนิสกับคุณสมศักดิ์ (สามีของอุบล พี่สาวคนโตของปริศนา) ปริศนายังเล่นเทนนิสเก่งเกินผู้หญิงทั่วๆไป ประวิชกลับบ้านไปแล้วเกิดอาการคลั่งไคล้ในตัวปริศนาทันที นำไปเล่าให้กับท่านชายฟัง ต่อมาปริศนามีโอกาสได้ไปเป็นครูสอนภาษาอังกฤษให้กับท่านหญิงรัตน์ (น้องสาวท่านชายพจน์) ซึ่งก็เฮี้ยวแก่นซะเหลือเกิน แต่ก็ยังโดนครูปริศนาปราบซะอยู่หมัด ชื่อปริศนาก็เข้าหูท่านชายพจน์อีก
พระนางเรื่องนี้เจอกันอย่างเป็นทางการในงานปาร์ตี้เต้นรำที่จัดขึ้นที่วังของท่านชาย เป็นงานเล็กๆ มีชายสี่คนหญิงสี่คน ในงานนี้ปริศนาได้เต้นรำกับท่านชายเป็นคนแรกและคนสุดท้ายด้วย คนเขียนบอกว่าท่านชายชอบมองปริศนาด้วยนัย"ตาเหยี่ยว" (มันเป็นไงหว่า? ฮะๆๆ) อยู่เรื่อยด้วย จากงานนี้ท่านชายรู้สึกชื่นชมสาวๆบ้านนี้ขึ้นมา บอกว่าคุณสมร (แม่ของปริศนาซึ่งเป็นหม้าย) เลี้ยงลูกสาวออกมาดีทุกคน เมื่อครั้งที่ท่านพจน์มีแขกต่างเมืองมาหาจึงให้ประวิชชวนสาวๆบ้านนี้มาช่วยรับแขก พาเพื่อนๆท่านเที่ยวด้วย ความที่ปริศนาพูดภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่ว แถมยังเป็นคนเข้าสังคมเก่ง สนุกสนาน ทำเอาเพื่อนท่านชายขยายเวลาจากที่จะอยู่เมืองไทยแค่สามวันเป็นอาทิตย์เชียว คาดว่างานนี้ท่านชายคงพอใจในตัวปริศนามากยิ่งขึ้น ขนาดช่วงปิดเทอมจากเดิมตั้งใจจะไปเชียงใหม่ น้องหญิงรัตน์ไปหัวหินได้เจอกับปริศนาที่นั่น เขียนจดหมายไปหาพี่ชายบอกว่าพวกเธอคิดถึง ท่านชายก็มาหัวหินทันที งานนี้พระนางเริ่มชอบกันแล้ว
แต่เพราะประวิชยังคลั่งไคล้ปริศนาไม่เลิก แถมช่วงที่เพื่อนท่านชายมา ปริศนายังสนิทสนมกับหนุ่มฝรั่ง น้องชายภรรยาเพื่อนท่านชายอีก ประวิชเลยทนไม่ไว้ บอกรักปริศนา แต่โดนปริศนาปฏิเสธ แถมบอกอีกว่าถ้ายังไม่คิดเป็นเพื่อนกัน ก็ไม่ต้องมาหาอีก ประวิชเลยไปวานท่านชายให้ช่วยพูดกับปริศนา จากเดิมที่ท่านชายตั้งใจจะบอกความในใจกับปริศนา กลับต้องเป็นตัวแทนประวิชพูดให้ปริศนารักตอบประวิช ปริศนาเลยโกรธท่านชายอีก เธอบอกเหตุผลสารพัดที่คิดว่าเธอกับประวิชไม่เหมาะสมกับด้วยประการทั้งปวง ซึ่งท่านชายก็เถียงไม่ได้เลย เพราะเป็นความจริงทุกอย่าง ท่านคิดว่าปริศนาที่ดูเหมือนเด็ก ทำอะไรแผลงๆ อวดดีอวดเก่งในหลายๆเรื่อง แต่กลับมีความคิดเป็นผู้ใหญ่อย่างลึกซึ้ง
หลังจากประวิชอกหักจากปริศนา วันดีคืนดีประวิชก็กลับมาชอบอนงค์ อันที่จริงประวิชเคยชอบอนงค์อยู่ก่อนแล้ว แต่เพราะเห็นว่าปริศนาสวย แถมเก่ง บดบังอนงค์ซึ่งเป็นผู้หญิงเรียบร้อยไปสนิท ในงานหมั้นของประวิชซึ่งจัดขึ้นที่วังท่านชาย ความสวยงามภายในสถานที่ทำให้ปริศนาบอกว่าไม่อยากกลับบ้านเลย ท่านชายเลยว่าก็ไม่ต้องกลับสิ อยู่กับท่าน แต่งงานกับท่าน และท่านชายก็ขอปริศนาแต่งงาน (ฮิ้วววว เขิลล) ปริศนาคงกำลังอึ้งๆอยู่ ท่านชายก็พูดต่อว่าถ้าปริศนาอยากได้อะไรท่านจะหามาให้ทุกอย่าง มีเงินใช้สอยไรงี้ ปริศนาเลยโกรธจัด หาว่าปริศนาเป็นผู้หญิงหิวเงิน มาขอแต่งงานโดยไม่บอกว่ารักสักคำ เลยทะเลาะกันอีกรอบ เห็นว่าทะเลาะกันขนาดโต๊ะบาร์คว่ำเชียว งานนี้ท่านชายเองก็โกรธปริศนาไม่น้อย คิดว่าผู้หญิงคนนี้อวดดีเกินเหตุเหมือนกัน ก็ทั้งเกลียดทั้งรักล่ะ
มาวันหนึ่งขณะที่คุณสมรไปเยี่ยมอุบล (ลูกสาวคนโต) ซึ่งได้รับอุบัติเหตุตอนจะคลอดลูกที่ต่างจังหวัดและพาหมอที่รู้จักไปด้วย ที่บ้านจึงเหลือเพียงอนงค์กับปริศนา (สิริก็ไปอยู่กับอุบล) กลางดึกคุณยายเกิดอาการชักประหลาด ปริศนาไม่รู้จักหมอที่ไหนนอกจากท่านชาย (พระเอกเป็นหมอด้วยแน่ะ) จึงขับรถห่อตะบึงไปหา ท่านชายซึ่งกำลังคิดถึงปริศนาอยู่ ตั้งใจว่าจะไปพูดกันให้เข้าใจซะที พอปริศนามาหาจะลากตัวไปที่บ้าน ตอนอยู่ในรถท่านชายเห็นว่าปริศนาหนีไปไหนไม่ได้แน่เลยถือโอกาสได้บอกรักซะเลย (แอบรู้สึกว่าบอกผิดเวลาจริงจริ๊งงง) ท่านชายบอกอีกด้วยว่าจะไม่เป็นฝ่ายเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีก พอมาถึงบ้านปรากฏว่ายายสิ้นใจไปก่อนแล้ว ทั้งปริศนาทั้งอนงค์ต่างทำอะไรไม่ถูกก็ได้ท่านชายช่วยเหลือเรื่องจัดงานศพให้เสร็จ
ปริศนาเริ่มรู้สึกผิดต่อท่านชายว่าท่านดีสารพัด ตอนที่ขับรถชนลูกหมาเธอตาย ก็หาประทานหมาฝรั่งพันธุ์ดีมาให้ชดเชยเป็นของขวัญวันเกิด งานคุณยายก็ช่วยเหลือทุกอย่าง แต่เธอกลับทำอวดดี ล้อเลียนท่านเสมอๆ จึงเริ่มรู้สึกผิด ตอนนี้ท่านชายก็รู้ว่าปริศนาเองก็พึงพอใจท่าน แต่เพราะเคยบอกไว้แล้วว่าจะไม่พูดจึงอยากเอาคืนปริศนาบ้าง ท่านชายแกล้งไปไหนมาไหนกับรตี (หญิงสาวที่หลายคนเข้าใจว่าท่านจะแต่งงานด้วย) ปริศนาก็เอาคืนด้วยการไปไหนมากับอานนท์ แถมยังทำให้ทุกคนลือกันด้วยว่าจะแต่งงานกันด้วย (เป็นไง รู้จักฉัน เอ้ย ปริศนาน้อยไปละ) พระเอกของเราก็เลยเศร้าสลดหดหู่หัวใจ หนีลงปักษ์ใต้ กลับขึ้นกรุงเทพมาเป็นไข้เกือบตาย -_-" ปริศนาเป็นห่วงจัด รีบไปเฝ้าไข้ เริ่มยอมรับความรู้สึกตัวเองแล้วว่าก็รักท่าน ปริศนายังเขียนจดหมายเล่าเรื่องต่างๆให้คุณอาที่เลี้ยงดูเธอฟังมาโดยตลอด คุณอาก็รู้ว่าปริศนารักท่านชาย
พอท่านชายหายไข้ดี วันหนึ่งท่านชายมีโอกาสขับรถนั่งเที่ยวกับปริศนา ท่านชายประทานแหวนสวมให้ที่นิ้วนางซ้าย และขอเธอหมั้น ปริศนาตอบตกลง ท่านเลยจับตัวมาจูบดูดดื่มซะทีหนึ่งโทษฐานน่ารัก ฮะๆๆ น่าร้ากกก (อิจฉาง่ะ)
เหตุการณ์หลังจากนั้นเป็นอุปสรรคเล็กๆน้อยๆระหว่างท่านชายกับปริศนาที่หลายๆคนเห็นว่าทั้งคู่แตกต่างกันเหลือเกิน บางคนก็ว่าปริศนาเป็นลูกชู้ด้วยแน่ะ เพราะเกิดหลังจากที่พ่อเสียชีวิต ถึงได้ชื่อว่าปริศนาด้วย ญาติฝ่ายพ่อจึงไม่ชอบคุณสมร แม่ของปริศนา และก็ไม่ชอบครอบครัวนี้ แต่สุดท้ายก็ยอมรับทุกคน (อันที่จริงท่านชายว่าไม่ยอมรับก็ไม่สนใจ ท่านชายโตแล้ว ฮะๆๆ เท่ห์มะ)
รายละเอียดหลายๆอย่างแอบข้ามไปเพราะมันแยะมาก (หนาสุดๆ) แต่อ่านเรื่องนี้แล้วไม่หลงรักปริศนาก็ให้มันรู้ไปสิ ชอบจริงๆเลยคำอุทานของเธอ "Oh! boy" บ้างล่ะ ไม่ก็ "เปิ่น!" บ้างล่ะ มันแปลกแต่ก็น่ารักมากๆค่ะ ส่วนท่านชายพจน์ก็เป็นพระเอกที่อบอุ่นมากๆ พระนางคู่นี้ต่างเป็นรักแรกของกันและกันค่ะ เพราะท่านชายพจน์ไม่เคยรักใคร หากรักใครแล้วจะขอแต่งงานทันที (และก็ขอจริงๆ แถมโดนปฏิเสธทันทีด้วย ฮะๆๆ) ส่วนปริศนาคงเพิ่งได้รู้จักความรักเป็นครั้งแรกกับท่านชายนี่ล่ะคะ โอ๊ยย น่ารักๆ ใครไม่ได้อ่านเรื่องนี้ ขอบอกว่าน่าเสียใจมากๆ i warn you guys not to ignore this novel. it's the must!! อิอิ ส่วนเราคงไปตามหาซื้อมาเก็บเช่นเคย เพราะเล่มนี้ยืมเพื่อนมาอ่าน เหอๆ
Create Date : 30 มีนาคม 2552 |
| |
|
Last Update : 30 มีนาคม 2552 14:48:06 น. |
| |
Counter : 9956 Pageviews. |
| |
|
|
|
| |
|
 |
nanaspace |
|
 |
|
|