Fly to nanaspace... , Welcome to my place...

おいしいコーヒーのいれ方IV / 村山由佳



おいしいコーヒーのいれ方IV / 村山由佳
(วิธีชงกาแฟให้อร่อย โดย ยูกะ มูระยามะ)

หลังจากได้ยินชื่อนิยายเรื่องนี้ถึงความสนุกของมันมานาน (ชื่อภาษาไทยคือ รักข้ามวัย...หัวใจรสกาแฟ) ทนไม่ไหวต้องรีบหามาอ่าน แต่น่าเสียดายที่หามาอ่านได้แค่สามเล่มเท่านั้น ไม่รู้เล่มอื่นๆจะหาซื้อได้ที่ไหนอีก (ใครรู้ช่วยบอกด้วยนะคะ) เล่มที่สี่เลยต้องคว้าที่เป็นภาษาญี่ปุ่นมาอ่าน ช่วงแรกๆก็ใช้เวลาพอสมควรเพราะไม่เคยอ่านนิยายภาษาญี่ปุ่นทั้งเล่มมาก่อน (นอกจากการ์ตูน -_-") อ่านไปเปิดดิคไป แต่หลังๆเลิกเปิดละเพราะขี้เกียจ

หากดูจากความหมายของชื่อนิยาย "วิธีชงกาแฟให้อร่อย..." ใครไม่รู้นึกว่าหนังสือสอนทำกาแฟ -_-" แต่ในความหมายที่แท้จริงของมันคือ การทำอะไรให้บรรลุจุดหมายปลายทางด้วยดีนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เหมือนการชงกาแฟสักแก้วให้อร่อย การเล่าเรื่องความรักระหว่างพระเอกนางเอกในเรื่องก็เช่นกัน ความรักของคนสองคนที่ค่อยเป็นค่อยไป ไม่โลดโผน ให้คนอ่านสามารถซึมซับกับเรื่องราวได้ทุกบททุกตอน แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นนิยายที่วางไม่วาง

สำหรับคนที่ไม่เคยอ่านเล่มหนึ่งถึงสาม เรื่องย่อๆคือ คาสึโทชิ (พระเอกของเรื่อง อายุสิบเก้าปี) จำเป็นต้องย้ายไปอยู่บ้านเดียวกับคาเรน (นางเอก อายุยี่สิบสี่ปี) และโจ (น้องชายนางเอก) ทั้งสามคนเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน โดยแม่ของพระเอกเป็นพี่สาวของแม่นางเอก เนื่องจากแม่ของพระเอกเสียชีวิตไปบ้านพระเอกจึงเหลือเพียงผู้ชายสองคน (พ่อและตัวพระเอก) น้าซาเอะโกะ (น้องสาวแม่พระเอก) จึงต้องคอยมาดูแลอยู่เรื่อย

สาเหตุที่คาสึโทชิ ต้องย้ายไปอยู่บ้านคาเรนและโจ เพราะพ่อพระเอกมีเหตุต้องย้ายไปทำงานที่ฟุคุโอกะ ขณะเดียวกับที่พ่อนางเอกย้ายไปทำงานที่ลอนดอน (ซึ่งสามารถพาแม่บ้านไปด้วยได้) พ่อพระเอกกับพ่อนางเอกเลยตกลงกันว่าให้เด็กสามคนมาอยู่ด้วยกัน พระเอกต่อให้เป็นผู้ชายก็ยังเป็นแค่เด็กม.ปลาย ส่วนนางเอกแม้จะอยู่ในวัยทำงานแล้วแต่ก็เป็นผู้หญิง ส่วนเจ้าโจ ยังเป็นเด็กม.ต้นอยู่เลย

พระเอกมาเจอนางเอกอีกทีก็เกิดชอบนางเอกขึ้นมา และต่อมาก็รู้ว่านางเอกไม่ใช่ลูกสาวที่แท้จริงของบ้านนี้ เขาจึงกล้ารักเธอ แต่ในขณะเดียวกันหากความรักของคนทั้งคู่ถูกเปิดเผยก็อาจทำให้ทุกคนรอบข้างเจ็บปวด พ่อแม่ที่เลี้ยงนางเอกมา และไหนจะยายที่แท้จริงของนางเอกอีก ความรักของคนทั้งคู่จึงต้องปิดบังคนรอบด้านหลายต่อหลายคนต่อไป

สำหรับบทที่สี่ ...เสียงของหิมะตก

(ทดลองแปล)

‘น็อก ๆ ๆ’ เสียงเคาะที่หน้าประตูห้องปลูกผมซึ่งกำลังนอนตะแคงอยู่ให้กลายเป็นครึ่งหลับครึ่งตื่น

“เชิญครับ”

บานประตูถูกผลักเปิด ใบหน้าขาว ๆ ของคาเรนชะโงกเข้ามา เราสบตากันพอดี ผมยิ้มน้อย ๆ ให้เธอ

“โชลี่ อาหารเช้าได้แล้ว” ยังคงเป็นโทนเสียงเดิม ๆ ของเธอที่ผมคุ้นเคย

“เมื่อกี้แม่เรียกแน่ะ ไม่ได้ยินเหรอ”

“อ้ะ โทษที ไม่ได้ยิน” ผมตอบไปเช่นนั้น

ที่จริงแล้วเสียงเรียกของน้าซาเอโกะน่ะได้ยินชัดเจนเชียวล่ะ แต่ที่แกล้งไม่ได้ยินและนอนคอยอยู่ที่ห้องแบบนี้ เพราะรู้ว่าเดี๋ยวคาเรนก็ต้องเข้ามาเรียก ซึ่งก็เป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ

“คาเรน”

“หือ”

“...”

ผมไม่ได้ตอบอะไรแต่กวักมือเรียกให้เธอเดินเข้ามาหา เธอเลิกหน้าผากมองผมก่อนจะทำปากขมุบขมิบบอกว่า ‘ไม่ได้’ จากนั้นก็เดินกลับออกจากห้องไปทางห้องครัว เสียงเดินจากรองเท้าแตะใส่ในบ้านค่อย ๆ เงียบหายไป

“ชิ้!”

พอเหลืออยู่ตัวคนเดียวในห้องอีกครั้งผมก็พยายามลุกขึ้นตื่น



ยามนี้โอกาสที่จะได้อยู่เพียงลำพังกับเธอในห้องครัวก็น้อยเต็มที่แล้วยังมีเรื่องที่คุยกับพ่อทางโทรศัพท์เมื่อค่ำวานอีกผมเลยรู้สึกโหยหาเธอแปลก ๆ แล้วทำไมเธอต้อง ‘ไม่ได้’ ด้วยนะ มันก็ดีไม่ใช่เหรอ ได้จูบกันบ้างเป็นบางครั้งบางคราว ไม่ได้ชวนทำเรื่องอย่างว่าซะหน่อย

เมื่อทำอะไรไม่ได้ ผมก็ออกจากห้องตรงไปยังห้องครัว อาหารค่ำกำลังขึ้นโต๊ะ เจ้าโจตักข้าวเข้าปากกินก่อนไปแล้วโดยไม่รอคนอื่นในบ้าน ผมพอเข้าใจความรู้สึกตอนท้องว่างอยู่หรอก อย่างเมื่อสมัยอยู่ม.สามวันหนึ่ง ๆ กินข้าวตั้งห้ามื้อยังรู้สึกไม่อิ่มเลย

เสียง ‘ฉับ ฉับ’ ดังอยู่ทางข้างหลัง น้าซาเอโกะคงกำลังหั่นอะไรบางอย่างอยู่ พลางคิดเช่นนั้นก็จะหันไปมอง แต่กลับตกใจเมื่อเห็นคนที่กำลังต่อสู้กับพวกของทอดที่วางเรียงอยู่บนเขียงคือคาเรน ผมยาว ๆ ถูกรวบไว้ทางด้านหลัง ท่าทางหั่นอย่างเอาจริงเอาจังดู ๆ แล้วเหมือนแพทย์ที่กำลังทำการผ่าตัดอยู่ซะมากกว่า

ไอ้ที่หั่นอยู่น่ะหัวไช้เท้า แต่มีแนวโน้มว่าจะกลายเป็นนิ้วเธอเข้าไปถูกที คิดแล้วก็เป็นห่วงอยากเข้าไปช่วยทำแทนเธอซะจริง ๆ ประการแรก ผมหั่นเร็วกว่าเธอประมาณร้อยเท่า แต่ทว่าก่อนที่ปากจะพูดอะไรและมือจะยื่นออกไปก็นึกอะไรได้ คนที่บอกให้คาเรนทำคงเป็นน้าซาเอโกะ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นก็คงต้องปล่อยให้เธอทำต่อไป

ช่วงเวลาที่ลุงฮานะมูระอยู่เพียงลำพังที่อังกฤษ และน้าซาเอโกะกลับมาที่บ้านก็ผ่านมาเดือนครึ่งแล้ว เหลือเวลาช่วงปิดภาคฤดูร้อนอีกแค่หนึ่งอาทิตย์เท่านั้น ที่ผ่านมาคาเรนพอจะรู้วิธีหุงข้าว ทำซุปมิโซะ ต้มผักโขมบ้างแล้ว แต่น่าเสียดายที่ดูเหมือนเธอจะไม่มีเซ้นส์ด้านการทำอาหารเอาซะเลย ต่อไปถ้าเป็นแม่คน (แม้จะคิดไกลไปสักหน่อย) จะสอนลูกสาวต่อได้ยังไง ปล่อยให้เธอทำบ้างล่ะดีแล้ว เพื่อวันหนึ่งที่เธอจะต้องเป็นแม่บ้านจริง ๆ

แม้ว่าเรื่องที่เธอทำงานเก่งหรือไม่เก่ง ผมไม่ได้ใส่ใจเท่าไรนัก แต่นี่เธอก็อายุยี่สิบสี่ เป็นคนทำงานแล้ว ขณะที่ผมยังอายุสิบเก้า ไม่พ้นวัยเรียนด้วยซ้ำ ...

“นี่ คาสึโทชิ” โจพูด ทั้ง ๆ ที่ยังเคี้ยวโคโรเกะอยู่เต็มปาก “%--#$--$@*--&”

“อะไรน่ะ ทำกิริยาให้ดี ๆ หน่อย” น้าซาเอะโกะบอกเตือน

โจกลืนอาหารที่เต็มปากลงคอ จากนั้นก็ยกซุปมิโซะสดแล้วพูดใหม่

“อาทิตย์หน้าต้องไปหาพ่อที่คิวชูใช่ไหม”

“อื้อ”

“ทำไมกระทันหันนักล่ะ”

“เอ... เห็นว่าช่วงนี้เป็นช่วงหยุดยาวเลยถามว่าจะไม่ไปหาให้เห็นหน้าสักนิดหน่อยหรือเปล่า ผมเลยว่าจะไปหาให้พ่อมีกำลังใจซะหน่อย” โกหกไปเช่นนั้น

แม้แต่โจเรื่องนี้ผมยังไม่เล่าเลย คงยังไม่บอกน้าซาเอโกะตอนนี้แน่ เพราะถ้าน้ารู้เรื่องนี้เข้ามีหวังได้โวยวายยกใหญ่

“ไปคนเดียวเหรอ” โจถาม

“ก็ตั้งใจว่าอย่างนั้น”

“ที่จริงแล้วถ้าน้าไปด้วยก็คงได้ช่วยทำความสะอาดห้องครั้งใหญ่ให้เลยนะ” น้าซึ่งไม่รู้เรื่องอะไรพูดไปพลางขณะกำลังเติมข้าวให้เจ้าโจ “พ่อหม้ายที่ใช้ชีวิตอยู่คนเดียวแบบนั้น ไม่ว่ายังไงห้องหับก็ต้องสกปรกมากแน่ ๆ แต่ว่าฟุคุโอกะมันก็ไกลอยู่ ตอนกลับน้าก็ตั้งใจจะบินออกจากที่นี่ด้วย นี่ คาสึโทชิ ยังไงก็ฝากทักทายคุณมาซาโทชิด้วยนะ

ผมตอบตกลง รู้สึกโล่งอกที่น้าซาเอโกะไม่ได้บอกว่าจะไปด้วย

“ลืมคิดเรื่องทำความสะอาดไปสนิทเลย นั่นก็สำคัญจริง ๆ ด้วย” โจว่า “บอกให้พ่อหาผู้หญิงที่โน่นสักคนสิ”

“โจ! อย่าพูดเรื่องไร้สาระน่า!”

“อะไรกัน ก็แค่ล้อเล่นเอง”

เจ้าโจโดนน้าซาเอโกะว่าซะ ผมซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ ได้แต่ปั้นหน้าเสแสร้งไม่รับรู้อะไร ไอ้โจนี่ ทำไมมันมีเซ้นส์ดีอย่างนี้นักนะ

ความจริงที่ว่ามันตอกย้ำลงในหัวผม ปีนี้คงเป็นปีที่ดีของพ่อ ตอนที่คุยโทรศัพท์กัน พ่อก็ว่าถ้าผมมีน้องชายและน้องสาวจะกลายเป็นยังไง ตอนแรกที่ได้ยินก็คิดว่าคงได้ยินอะไรผิด แต่พ่อก็บอกว่าไม่ได้ล้อเล่นทั้งยังพูดด้วยน้ำเสียงเป็นจริงเป็นจัง

ผมกับพ่อ นับตั้งแต่แม่เสียชีวิตจากโรคเส้นเลือดในสมองแตกก็สิบปีมาแล้ว (นับจนถึงฤดูใบไม้ผลิปีที่แล้ว) ตลอดเวลาพวกเราก็อยู่กันสองคนมาตลอด โดยมีน้องสาวของแม่หรือน้าซาเอโกะเป็นธุระให้ บางทีก็รวมถึงป้าข้างบ้านและก็น้าข้างบ้านด้วย แต่ว่าตั้งแต่ผมขึ้นม.ปลายมา เรื่องงานบ้านแทบทั้งหมดก็กลายเป็นธุระของผม ในทุก ๆ วันผมต้องทำอาหารสำหรับคนสองคน รวมถึงซักเสื้อผ้าในส่วนของพ่อด้วย

และเพราะงั้นเองที่ตอนนี้พ่ออายุห้าสิบก็แล้วถึงยังทำอะไรเองไม่เป็นสักอย่าง ไปอยู่ฟุคุโอกะคนเดียวแบบนี้ สงสัยตู้เสื้อผ้าคงเต็มไปด้วยเสื้อผ้าที่ใช้แล้วและยังไม่ได้ซัก ในซิงค์ก็คงเต็มไปด้วยจานชามที่กินแล้วและยังไม่ได้ล้างกองเท่าภูเขา ที่มุมห้องก็คงมีขยะสดกองอยู่ เชื้อราประมาณเจ็ดสีคงเติบโตกันยกใหญ่ และอะไรอีกสารพัดอย่าง แต่ว่าเรื่องที่มีน้องนี่ผมคิดไม่ถึงเลยจริง ๆ ผู้หญิงคนนั้นคงเข้ามาช่วยพ่อดูแลอะไรหลาย ๆ อย่างเป็นแน่

ส่วนตัวผมแล้ว ตอนที่แม่ยังมีชีวิตอยู่ก็เคยคิดอยากได้น้องชายอยู่หรอก เมื่อครั้งที่ซานตาครอสถามว่าอยากได้อะไรเป็นของขวัญ ผมยังตอบเลยว่า ‘น้องชาย!’ ตอนนั้นพวกผู้ใหญ่ยังหัวเราะกันคิก แต่ถ้าถามตอนนี้ ตอนที่ใช้ชีวิตอย่างลูกคนเดียวมาสิบเก้าปีแล้ว จะมาถามถึงเรื่องน้องชายน้องสาว คงตอบยาก

รู้สึกเป็นห่วง? รู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าขบขัน? ผมรู้สึกเหมือนทำอะไรไม่ถูกมากกว่า ตอนนี้ก็ไม่ใช่วัยที่จะมารู้สึกอิจฉาอะไรแล้ว ดังนั้นเรื่องที่พ่อจะแต่งงานใหม่ผมก็ไม่คิดจะขัดขวางหรือไม่เห็นด้วยแต่อย่างใด เพียงแต่รู้สึกว่าถ้าบอกให้รู้เร็วกว่านี้สักหน่อยคงจะดีกว่านี้

กระทั่งคาเรนหั่นหัวไช้เท้าเสร็จเรียบร้อยก็นำมาวางในชามตรงกลางโต๊ะกินข้าว น้าซาเอโกะทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้

“แต่ก็พอดีเลยนะ” น้าเริ่มพูด “ของที่ส่งมาจากลอนดอนเพิ่งมาถึงเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นี่ก็กำลังจะเตรียมแพ็คของฝากเอย อะไรเอยส่งไปให้คุณมาซาโทชิอยู่พอดี นี่ คาสึโทชิ ฝากเอาไปให้หน่อยนะ แต่จะหนักมากหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ”

ผมกำลังจะตอบว่า ‘ไม่เป็นไร’ แต่เจ้าโจก็พูดแทรกขึ้นมา

“ให้พี่ไปด้วยก็น่าจะดีไม่ใช่เหรอ”

“เอ๊ะ?” คาเรนอุทาน

ผมกำลังตกใจ เอ่ยอะไรออกมาไม่ถูก

“คาสึโทชิ ไม่คิดอย่างนั้นเหรอ” โจพูดทั้ง ๆ ที่กินข้าวเต็มปาก ขอบชามข้าวที่ยกจรดปากทำให้เห็นเพียงสายตาเจ้าเล่ห์ของเจ้านั่นว่ากำลังหัวเราะนิด ๆ และเอ่ยต่อ “@#%@!%”

“นี่!”

“ทำไมล่ะ โรงเรียนก็ปิดเทอมอยู่นี่นา” โจพูดเมื่อยกชามข้าวลงวาง ปั้นสีหน้าเป็นจริงเป็นจัง “อ้ะ แต่ฉันไปไม่ได้นะ ตอนนี้เป็นนักเรียนช่วงเตรียมสอบอยู่ แต่พี่ไม่ได้บอกว่าจะไม่ไปด้วยนี่ ไม่มีวิชาเรียนที่ต้องรับผิดชอบด้วย ไม่มีอะไรต้องตระเตรียมซะหน่อย น่าสนุกออก ถ้าอย่างนั้นพี่ก็ไปฟุคุโอกะกับคาสึโทชิสิ ไปช่วยถือของ ช่วยทำความสะอาด ไม่ดีเหรอ ทำแทนแม่หน่อยสิ”

“นั่นสินะ...” น้าซาเอะโกะว่า “นาน ๆ ทีเราก็พูดอะไรดี ๆ เป็นเหมือนกันเหรอ”

“นาน ๆ ทีที่ไหนกันล่ะ” โจย้อน

“ว่าไงล่ะ คาเรน อาทิตย์หน้ามีธุระต้องทำที่ไหนหรือเปล่า”

“เอ๋.. ฉันเหรอ ไม่นะ ก็ว่างอยู่หรอก....”

เธอตอบด้วยน้ำเสียงเป็นปกติ โดยไม่ได้มองมาทางผม

“อาทิตย์หน้าว่างเหรอ งี้ก็เหงาแย่น่ะสิ”

“หุบปากน่า” คาเรนทุบกำปั้นไปที่เจ้าโจ หมอนั่นหัวเราะร่า

“ลุงอิสึมิน่ะ แต่ไหนแต่ไรก็บอกว่าคาเรนน่ารักไม่ใช่เหรอ ไปให้เห็นหน้าหน่อยสิ ลุงต้องดีใจมากแน่ ๆ” ไอ้โจว่า



พอผ่านกรุงโตเกียวที่เต็มไปด้วยความขยะสกปรกเลยย่านชินโยโกฮามะลงไปอีกหน่อย วิวทิวทัศน์นอกหน้าต่างเริ่มมองออกไปได้ไกลขึ้น เห็นภูเขาลูกสีเขียว ๆ แต่ไกลเรียงต่อ ๆ กัน สีเขียวของทุ่งหญ้าที่ไกลสุดลูกหูลูกตาเหล่านี้สะท้อนถึงความเป็นฤดูร้อนได้เป็นอย่างดี ความร้อนของแสงอาทิตย์ เงาที่ส่งทอด

หากเปรียบเทียบกับด้านนอกแล้ว ภายในรถไฟนั้นกลับเย็นช่ำจากแอร์คอนดิชั่น แทนที่จะนั่งเครื่องบินทั้งผมและคาเรนต่างเลือกนั่งชินคันเซน ตอนนี้เราทั้งคู่กำลังนั่งเคียงกันในตู้ขบวนห้ามสูบบุหรี่ จากโตเกียวไปฮากะตะใช้เวลาประมาณหกชั่วโมง หากต้องนั่งมาคนเดียวคงเหนื่อยไม่น้อย แต่นี่มากับเธอแม้แต่บ่นผมยังไม่คิดจะทำเลย

“ฮัดชิ้ว!” คาเรนซึ่งนั่งริมหน้าต่างจามออกมา

“หนาวเหรอ”

“ไม่หรอก ไม่มีอะไร”

“โกหก ทั้ง ๆ ที่ตัวเริ่มแดง ๆ แล้วเนี่ย ไม่มีอะไรสวมทับอีกสักชั้นเหรอ”

“ก็มีอยู่หรอก...”

“อะไร”

“มันอยู่ในกระเป๋าข้างบนน่ะ”

ผมลุกขึ้น ยกกระเป๋าสะพายของคาเรนลงมา เธอเปิดกระเป๋าหยิบเสื้อคลุมคาดิแกนแบบวันพีชสีน้ำเงินอ่อน ๆ ออกมาสวมทับ ดูเธอหายใจคล่องจมูกมากขึ้น

“ถ้าอยากให้หยิบลงมาให้ก็น่าจะบอกตั้งแต่แรก” ผมบอกเธอ “ทำไมทำอย่างนี้ เกรงใจอะไรผม”

นึกย้อนกลับไปเรื่องที่ไปค้างคืนกันที่คาโมะกาว่าด้วยกันหนึ่งคืนอีกครั้ง หากเป็นช่วงก่อนหน้านั้นเธอต้องการอะไรก็จะบอกทันที แต่หลังกลับจากที่นั่นเป็นต้นมาแล้ว ผมสังเกตเห็นว่าเธอมักจะทำอะไรด้วยตัวเองทั้ง ๆ ที่บางครั้งมันก็ฝืนตัวเองด้วยซ้ำไป

“ไม่นี่ ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย” เธอตอบ “โชลี่คิดมากไปเอง” เธอมองผมและหัวเราะนิด ๆ เหมือนเช่นทุกครั้ง ทุกครั้งที่มองใบหน้าเช่นนั้นของเธอ ผมจะพาลคิดว่าเธอพยายามสร้างมันขึ้นมาหรือเปล่าอยู่เรื่อย

หนึ่งคืนที่อยู่ที่คาโมะกาว่าด้วยกัน นอนกอดกันบนเตียง ๆ เดียวกัน แต่ก็ไม่สามารถพาเธอไปยังจุดหมายปลายทางได้ เพียงคิดว่าโอกาสครั้งต่อไปจะต้องรออีกนานแค่ไหนในวันข้างหน้าก็ไม่รู้จิตใจผมก็เริ่มห่อเหี่ยวแล้ว เมื่อไรจะโชคดีอย่างนั้นอีก

คืนนี้เราสองคนจะพักที่บ้านพักบริษัทของพ่อ ถึงอย่างไรก็ต้องนอนคนละห้องแน่ แต่ว่าการที่ได้เดินทางไปไหนด้วยกันไกล ๆ แบบนี้ผมก็อดตื่นเต้นดีใจไม่ได้

ที่นั่งแถวเดียวกันฝั่งซ้ายมือ มีชายวัยกลางคนนั่งอยู่ริมหน้าต่างคนเดียว หมอนั่นก้มหน้าก้มตาอ่านนิตยสารแทบไม่เงยหน้ามาสักพักแล้ว ผมกระตุกแขนเสื้อฝั่งซ้ายของคาเรนเบา ๆ เพื่อเรียกเธอ

“หือ อะไรเหรอ”

เธอหันมามองตาผมอย่างไม่ได้คิดอะไร ผมดึงแขนเสื้อของเธออีกครั้ง คาเรนทำสีหน้าอาย ๆ หัวเราะนิด ๆ และแสร้งจามออกมา ระหว่างพวกเราตอนนี้ยังมีที่วางแขนกั้นกลางอยู่ คาเรนแสร้งหันไปมองวิวทิวทัศน์นอกหน้าต่างอีกครั้ง

ผมหันไปมองชายพนักงานคนนั้นที่เปลี่ยนอิริยาบทเป็นเงยหน้ามองตรงไปด้านหน้าแล้วอย่างกรุ่นโกรธ จ้องนายนั่นขณะที่มือขวายกที่กั้นแขนขึ้นและควานหามือคาเรนมากุมไว้ ทั้ง ๆ ที่เคยคิดไว้อยู่แล้วแต่ก็ยังแปลกใจไม่ได้ที่มือเธอนุ่มนิ่มอย่างคาดไม่ถึง แต่ว่าตอนนี้มันเย็นชืดด้วย

ผมค่อย ๆ ขยับไปกอบกุมนิ้วเธอให้อยู่ในฝ่ามือผมทั้งหมด เธอขยับตัวเล็กน้อยทำให้ผมคิดว่าเธออาจเจ็บเลยบีบจับให้เบาลง แต่แล้วเธอเองก็ขยับมือเลื่อนมือกระทั่งเราสองคนสอดนิ้วมือประสานกัน

ผมรู้สึกเลือดลมภายในอุ่นร้อนขึ้นมาทั่วทุกสรรพางค์กาย (ศัพท์ที่ชาตินี้คงไม่มีวันได้ใช้ในนิยายตัวเอง)

พอผมบีบมือเธอแน่นขึ้น คาเรนเองก็บีบกระชับตอบสนอง ช่างเหมือนกับคืนวันที่สวนสาธารณะฮิโยโกะจริง ๆ ...

“...เป็นเพราะเจ้าโจเลยนะ” ผมว่า เธอหันมาทางผมนิด ๆ

“อือ”

(จบทดลองแปล)


จากนี้เป็นเรื่องย่อของเล่มที่สี่ค่ะ

หลังจากพระเอกลงไปฟุคุโอกะกับนางเอก เจอพ่อ เจอแฟนใหม่ของพ่อที่กำลังตั้งท้อง นอนที่นั่นคืนหนึ่งก็กลับขึ้นมาที่โตเกียว ไม่นานน้าซาเอะโกะก็กลับลอนดอนไป ที่บ้านเลยอยู่กันสามคนอีกครั้ง มีเช้าอยู่วัน พระเอกทำขนมปังปิ้งให้กิน คาเรนบ่นว่าแปลก ไม่เหมือนขนมปังของร้านขนมปังแถวโรงเรียน และเธอก็เล่าว่าที่ร้านนั้นมันมีขนมปังหน้าแพนด้าด้วย (น้ำเสียงตื่นเต้นมาก) เจ้าโจแซวว่าเด็ก คาเรนว่าไม่ตื่นเต้นเหรอ นอกจากแพนด้าแล้วยังมีสนู้ปปี้ด้วย (อ่านถึงตรงนี้แล้วนุชฮากลิ้ง)โจเลยบอกว่าถ้าอยากกินไอ้ขนมปังหน้าแพนด้าก็รีบๆออกไปอยู่กับพระเอกสองคนสิ เผลอๆจะมีขนมปังหน้าคิตตี้ให้กินอีกต่างหาก

พอเปิดเทอมฤดูใบไม้ร่วง มีงานเทศกาลโรงเรียนที่โรงเรียนเก่า พระเอกก็กลับไป นัดเจอเพื่อน เจอรุ่นน้องชมรม และก็แวะไปที่ห้องชมรมศิลปะซึ่งคาเรนเป็นอาจารย์ที่ปรึกษา ไปดูผลงานศิลปะที่เธอทำ และมันมีไอ้ภาพอุลตร้าแมนที่นักเรียนทั้งชมรมกับเธอทำร่วมกัน คาเรนพูดอธิบายอย่างภาคภูมิใจแต่กลับเจออาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนเดินเข้ามาต่อว่า ว่าไม่รู้จักวางตัวให้ดี พระเอกได้ยินก็โกรธแทน อยากต่อว่า แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ จนอาจารย์นาคาซาว่า (คู่แข่งพระเอก) เข้ามาช่วยพูดให้ พอในค่ำวันงานที่มีการเลือกมิสเตอร์มิสซิสฮิการิกะโอกะนิชิ(ชื่อโรงเรียน) ปกติจะเป็นนักเรียนได้ แต่คราวนี้เป็นอาจารย์ที่ได้ทั้งคู่ ซึ่งก็คือคาเรนกับอาจารย์นาคาซาว่า ใครที่มองอยู่รอบๆเวทีก็บอกแต่ว่าสองคนนี้เหมาะสมกัน พระเอกเลยยิ่งรู้สึกแย่

ใกล้สิ้นปี พระเอกตั้งใจจะซื้อแหวนให้คาเรนเป็นขวัญวันคริสต์มาส เหมือนเป็นของขวัญชิ้นแรกที่ให้เธอ เพราะอย่างวันเกิดที่ผ่านมาคาเรนบอกว่าอยากได้แค่ดอกไม้ช่อเดียว พระเอกก็เลยซื้อแต่ดอกไม้ แต่เขาตั้งใจว่าในปีถัดๆไปก็จะซื้อให้เธออีกแต่จะเพิ่มจำนวนดอกไม้ปีละดอกๆๆไปเรื่อยๆ พอวันหนึ่งเธออายุมากเข้า ถึงวันเกิดสองมือเธอจะได้โอบกอดดอกไม้ช่อโตๆเป็นของขวัญ เรื่องแหวนพระเอกให้ยูริโกะ (แฟนมาสเตอร์) ช่วยติดต่อเอาแบบมาให้ดู ปัญหาคือจะรู้ไซส์นิ้วนางเอกได้ไง ยูริโกะแนะนำให้แอบไปขโมยแหวน แต่พระเอกไม่กล้า เพราะตั้งแต่มาอยู่บ้านนี้ เขาเข้าห้องเธอนับครั้งได้ และถ้าขโมยไปวัด ตอนเธอได้แล้วถามว่ารู้ได้ยังไงก็ตอบไม่ได้อยู่ดี แต่ทีนี้บังเอิญคาเรนได้ขวดทดลองวิทยาศาสตร์มา (อาจารย์วิทย์ที่โรงเรียนจะทิ้ง เธอเสียดายเลยขอไว้) )แถวๆนี้นุชอ่านแล้วไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร แต่น่าจะประมาณว่า..) พระเอกเอานิ้วแหย่ๆในหลอดทดลอง เพราะจะวัดไซส์ของนิ้ว และคงเห็นเธอทำเหมือนกันเลยรู้ไซส์ของนิ้วเธอด้วย ตอนเลือกพลอยที่จะเอามาใส่ในตัวแหวน ยูริโกะก็แนะนำหลายๆอย่าง พระเอกก็ตกลงใจเอาอควอมารีน (สีน้ำทะเล) เพราะเห็นว่าเรื่องราวระหว่างเขากับเธอเกิดขึ้นริมทะเล พอยูริโกะถามว่าจะให้แกะคำว่า k to k ด้วยไหม (มาจาก คาสึโทชิ และคาเรน )พระเอกบอกว่าให้แกะ s to k (คาเรนเรียกพระเอกว่าอะไรก็ชื่อนั้นล่ะค่ะ อิอิ)

แต่พอถึงวันจะให้กลับเกิดเรื่อง ก่อนโรงเรียนจะปิดฤดูหนาว ในวันคริสต์มาสอีฟ (24ธ.ค.) อาจารย์เลยมีนัดกินเลี้ยงสิ้นปี คาเรนก็ต้องไป ที่บ้าน (พระเอก คาเรน โจ) เลยนัดกันว่าสี่ทุ่มจะจัดปาร์ตี้สิ้นปีที่บ้าน พระเอกวางแผนอย่างดีว่า หลังกินเสร็จ ตอนเจ้าโจอาบน้ำ เขาจะขึ้นเอาไปให้เธอที่ห้อง แต่เรื่องกลับไม่ได้เป็นอย่างที่คิดไว้ คืนวันนั้นพระเอกออกไปตามนัดกับเพื่อนข้างนอก ระหว่างเดินกลับบ้านเห็นคาเรนอยู่กับอาจารย์นาคาซาว่า พี่แกก็โมโหๆกลับไปรอที่บ้าน คาเรนกลับมาก็ลองถาม แต่คาเรนโกหกว่ากลับมาคนเดียว พระเอกเลยโมโห คาเรนยอมรับว่าโกหก เพราะไม่อยากให้เขาคิดมาก เธอกับอาจารย์นาคาซาว่าเป็นแค่เพื่อนร่วมงานกันเท่านั้น มันก็ต้องมีเรื่องปรึกษาหารือกันบ้าง แต่พระเอกก็ไม่เข้าใจเลยเถียงกันยกใหญ่ คาเรนว่าว่าไม่ใช่เขาไม่ไว้ใจเธอ แต่เขาไม่ไว้ใจไม่เชื่อมั่นในตัวเองต่างหาก แถมบอกให้ทำตัวดีๆด้วย (อย่างกับผู้ใหญ่สอนเด็ก) พอผิดใจกันพระเอกเลยอดให้แหวนคาเรน

ช่วงปิดฤดูหนาว พวกเขานัดกันไปสกี (26ธ.ค.) มีไปกันสิบคน มีมาสเตอร์ ยูริโกะ พระเอก คาเรน โจ เคียวโกะ รุ่นพี่พระเอก ริสุโกะ นาคาซาว่า ตอนเล่นๆคาเรนก็เล่นไม่เป็น ได้นาคาซาช่วยว่าสอน พระเอกก็ได้แต่แอบมอง พอตกค่ำ คาเรนยังชมอีกว่านาคาซาว่าสอนดี น่าจะเป็นที่ปรึกษาชมรมสกีด้วย พระเอกหงุดหงิดใจ หลบหน้าหลบตาหนีไปอาบน้ำ เตรียมจะนอน แต่ออกมาเดินเล่นก่อน บังเอิญเจอกับริสึโกะ ริสึโกะถามเรื่องคาเรนว่าให้ตัดใจไม่ได้เหรอ เพราะคาเรนก็มีคนรักอยู่แล้ว (ริสึโกะยังไม่รู้ว่าเป็นพระเอก) พระเอกว่ายังไงก็ไม่ได้ ยัยนี่เลยจัดการคว้าคอพระเอกมาจูบ แต่พอประตูลิฟท์บริเวณนั้นเปิด คาเรนออกมาเห็นเข้าพอดีอีก (พระเอกซวยจัด) เรื่องเลยยิ่งยุ่งเข้าไปใหญ่ พระเอกจำได้ว่าเคยสัญญากับคาเรนว่าจะไม่จูบกับผู้หญิงคนอื่นคนไหนอีกเป็นครั้งที่สองแล้ว...

เมื่อกลับมาที่โตเกียว ตลอดเวลาทั้งคู่ไม่คุยกันเลย พอพระเอกออกไปซื้ออาหารสุดที่ซูเปอร์แถวบ้านแป๊บเดียว กลับบ้านมาคาเรนหายไปแล้ว (คาดว่าคงไปหาคุณยาย) เธอหายตัวไปสามวัน กลับมาอีกทีพอดีวันสิ้นปี พระเอกอารมณ์ดีขึ้นลงมือทำโซบะข้ามปี (คนญี่ปุ่นนิยมกินค่ะ) สำหรับสามที่ พอกินเสร็จ เจ้าโจก็รู้หน้าที่บอกว่าจะออกไปข้างนอก นัดกับเพื่อนๆ จะไปขอพรให้สอบผ่านที่วัด แถมยังกระซิบบอกพระเอกด้วยว่าอาจกลับมาอีกทีตอนเช้าไม่ได้ แต่ก็จะช่วยอยู่ข้างนอกให้ถึงตีสองตีสามให้ และแซวอีกว่าถ้ากลับมาแล้วไม่เห็นพระเอกที่เตียงในห้องก็ไม่ว่าอะไร

ตอนนี้พระเอกเลยได้อยู่กับคาเรนสองคนในบ้าน ทั้งคู่เลยได้ปรับความเข้าใจกัน คาเรนเองก็เสียใจที่ว่าพระเอก พอเห็นไปจูบกับริสึโกะอีก ก็นึกว่าไม่ต้องการเธอแล้ว พอกลับมาบ้านเลยทนไม่ได้หนีหน้าไปซะเอง สำหรับเธอแล้วถ้าไม่ใช่เขาก็ไม่มีทางเป็นใครอื่นได้ ระหว่างการพูดคุยก็มีจูบๆหอมๆกอดๆไปตามเรื่อง อิอิ พอเข้าใจกันดีแล้ว พระเอกเลยวิ่งไปที่ห้องเปิดกระเป๋าหยิบกล่องแหวนที่เคยสั่งทำให้เธอ ระหว่างนั้นเขาสังเกตเห็นอะไรบางอย่างเมื่อมองออกไปด้านนอก...หิมะกำลังตก

คนเขียนบอกไว้ท้ายเล่มว่า สาเหตุที่ตอนที่สี่ชื่อว่า"เสียงของหิมะตก" เพราะว่านับจากจุดนี้ไปจะเป็นจุดหักเหของเรื่อง ของความสัมพันธ์ของพระ-นาง ...ทำให้รู้เรื่องนิยายเรื่องนี้ยังอีกยาวไกล


Create Date : 15 เมษายน 2552
Last Update : 15 เมษายน 2552 1:59:43 น. 14 comments
Counter : 1231 Pageviews.  

 
หนังสือน่าอ่านมากๆ เลยค่ะ
แต่จะมีแปลไทยออกมาขายมั้ยเนี่ย เพราะอ่านญี่ปุ่นไม่ออก T__T


โดย: summer IP: 124.120.236.193 วันที่: 19 เมษายน 2552 เวลา:14:36:28 น.  

 
เล่มสามซื้อที่ไหนคะ รบกวนด้วยค่ะ ซื้อได้ถึงแค่เล่มสอง จากนั้นก็วนเวียนหามาตลอดไม่เจอเลยT T


โดย: butachan IP: 180.183.68.153 วันที่: 25 กันยายน 2554 เวลา:22:03:27 น.  

 
คุณ butachan -- ตอนนั้นเราซื้อทั้งสามเล่มมาจากเจเจค่ะ เกือบสามปีแล้ว T_T


โดย: nanaspace วันที่: 27 กันยายน 2554 เวลา:18:57:23 น.  

 
มีเล่ม 1-3 เล่ม4-7 ไม่มีค่ะ อยากได้มาก หาที่ไหนได้บ้างค่ะ


โดย: น้ำจิ้ม IP: 192.168.42.139, 110.164.93.106 วันที่: 23 มีนาคม 2555 เวลา:13:53:01 น.  

 
เท่าที่ทราบ นิยายเรื่องนี้แปลและตีพิมพ์เป็นภาษาไทยแค่ 3 เล่มเองค่ะ นอกนั้นต้องหาซื้ออ่านเป็นภาษาญี่ปุ่นค่า


โดย: nanaspace วันที่: 19 เมษายน 2555 เวลา:0:03:05 น.  

 
เศร้าใจอ่าาา TT เราซื้อเรื่องนี้เมื่อสองปีก่อน ตอนมีบูทหนังสือมาเซลล์
ทำไมคนแปลใจร้ายจัง ไม่ยอมแปลต่อ TT แทบร้องไห้ มันค้างนะ


โดย: TT IP: 110.168.207.32 วันที่: 15 ตุลาคม 2555 เวลา:23:41:13 น.  

 
พอจะมีชื่อคนแต่ง และ ชื่อหนังสือเป็นภาษาอังกฤษไหมค่ะ คือ เผือจะ หาebook อ่านต่อนะค่ะ ขอบคุณค่ะ


โดย: Jirin IP: 61.90.66.167 วันที่: 15 มกราคม 2556 เวลา:18:25:07 น.  

 
ชื่อคนแต่งคือ ยูกะ มูระยามะ ค่ะ

ต้นฉบับเป็นภาษาญี่ปุ่น เข้าใจว่ามีแปลเป็นไทย 4 เล่ม (เพราะเจอแค่นี้) ไม่ทราบเหมือนกันว่ามีแปลเป็นภาษาอังกฤษ หรือทำเป็น e-book หรือเปล่าค่ะ

เราซื้อที่เป็นภาษาญี่ปุ่นมาเก็บไว้ แต่ก็ยังอ่านไม่จบเลย


โดย: nanaspace วันที่: 20 มกราคม 2556 เวลา:13:00:40 น.  

 
@คุณNanaspace เราก็อยากอ่านต่อ อ่านที่แปลแล้วถึง เล่ม 3 แต่เลิกแปลต่อ เฉยเลย เคยโทรไปถามเมื่อหลายปีก่อนที่สนพ บอกว่าเป็นปัญหาเรื่องลิขสิทธิ นะค่ะ หากมีเป็น อีบุค หรือ แปลไว้เป็น ภาษาอังกฤษจะดีมากเลย อยากอ่านต่อ คนแต่ง แต่งดีมากจริงๆ


โดย: chu IP: 27.145.7.254 วันที่: 31 กรกฎาคม 2556 เวลา:13:10:32 น.  

 
เราพร้อมจะรอฟังค่ะ หากอ่านภาษาญี่ปุ่นออกจะไปอ่านแล้ว คุณนานา ช่วยมาแปลต่อก็ดีค่ะ ขอบคุณค่ะ เราจะรอมาอัปเพิ่มนะค่ะ


โดย: chu IP: 27.145.7.254 วันที่: 31 กรกฎาคม 2556 เวลา:13:13:57 น.  

 
คุณนุ้ย ไม่แปลต่อแล้วหรือค่ะ เราอ่านนิยายที่คุณแต่งทุกเล่มแล้วต้องวนกลับมาเรื่องนี้ ทุกที มันค้างๆ ทำไม ไม่มีสนพ ไหนแปลนะ เนื้อเรื่องออกจะน่ารัก


โดย: Ying Maa วันที่: 8 ธันวาคม 2556 เวลา:10:22:15 น.  

 
ขอโทษทีค่ะ ที่เรียกชื่อผิด คุณนุช ไม่ใช่นุ้ย ขออภัยจริงๆนะคะ


โดย: Ying Maa วันที่: 8 ธันวาคม 2556 เวลา:10:26:11 น.  

 
มีแค่3เล่มเหมือนกัน ค่ะ อยากอ่านต่อมาก น้องนานาช่วยแปลต่อให้จะเป็นพระคุณมาก ฝากด้วยนะคะ มีหลายคนรอคอยอยู่ค่ะ


โดย: may IP: 1.20.207.25 วันที่: 15 มิถุนายน 2557 เวลา:9:20:18 น.  

 
อ่านแค่ 3 เล่นเหมือนกันค่ะ เศร้า ชอบมาก


โดย: I am MoMo IP: 115.87.204.49 วันที่: 1 กรกฎาคม 2557 เวลา:14:23:34 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

nanaspace
Location :
Tokyo Japan

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]




A novelist,
Wanna be, not Born to be, though
nanaspace | Promote Your Page Too
New Comments
[Add nanaspace's blog to your web]