Fly to nanaspace... , Welcome to my place...

Namastey London



Namastey London

หลังจากหลงเสน่ห์ภาพยนตร์บอลลี่วูดอย่างเรื่อง Slumdog Millionaire มาแล้วเลยต้องดิ้นรนหาหนังบอลลี่วูดมาดูอีก สุดท้ายก็ตกล่องปล่องชิ้นที่เรื่อง Namastey London เพื่อนที่แนะนำมาบอกว่าเป็นหนังโรแมนติก คอมมิดี้ ก็เลยขอดูซะหน่อย กระทั่งดูจบก็รู้สึกอิ่มเอมใจขนาดพาลคิดถึงบ้านเกิด ฮะๆๆ และหยิบขึ้นมารีวิวนี่ล่ะ พล็อตหนังเรื่องนี้นั้นค่อนข้างธรรมดาและเรียบง่ายแต่มันกลับมีอะไรหลายอย่างที่ทำให้เราต้องคอยดูคอยลุ้นไปกับการตัดสินใจของนางเอกกระทั่งจนจบเรื่องด้วยความประทับใจในที่สุดนั่นล่ะ

หนังเรื่องนี้เปิดเรื่องมาก็เป็นฉากแต่งงานแบบคริสต์ของนางเอก (แจสมีทหรือแจ๊ส) โดยพระเอก (อาจัน) เป็นคนส่งตัวเจ้าสาวให้กับเจ้าบ่าวซึ่งเป็นหนุ่มบริทิช (งงล่ะสิทำไมพระเอกไม่ได้เข้าพิธีแต่งงานกับนางเอก อิอิ) จากนั้นก็เล่าย้อนเหตุการณ์กลับไปที่ช่วงหลายเดือนก่อนหน้านั้น

แจสมีทหรือนางเอกของเราเธอเป็นคนฮินดูโดยเชื้อชาติเลยแต่เติบโตที่ลอนดอน ใช้ชีวิตอย่างสาวสมัยใหม่และต้องการแต่งงานกับหนุ่มบริทิช แต่พ่อแม่ของเธอยังหัวสมัยเก่าซะหน่อยอยากให้เธอแต่งงานกับหนุ่มฮินดูด้วยกัน คอยนัดแนะให้เธอไปพบกับชายหนุ่มที่หาให้แต่แจสมีทก็ทำเสียเรื่องโดยตลอด แสดงบุคคลิกเป็นสาวนักดื่มตัวยงบ้าง ทำตัวน่าตลกขบขันให้หนุ่มๆหนีหายอยู่เสมอ ความจริงแล้วเธอกำลังคบหากับชาร์ลี่...เจ้านายของเธอหนุ่มบริทิชที่ตรงสเป็คแจสมีททุกประการด้วย แต่นายนี่เคยแต่งงานแล้วถึงสามครั้งหย่าถึงสามครั้ง (หนักเอาการนะนั่น) และในที่สุดชาร์ลี่เอ่ยปากของแจสมีทแต่งงานบนเรือยอร์ชแสนหรูของเขาทำเอาแจสมีทอึ้งสนิท

ระหว่างนั้นพ่อของแจสมีทวางแผนชักชวนให้เธอไปเที่ยวอินเดีย เอ่ยอ้างสถานที่ท่องเที่ยวอย่างทัชมาฮาลและอะไรสารพัดเพื่อดึงดูดใจ และแจสมีทก็หลงกล เธอตกลง พ่อก็พาไปเที่ยวจริงๆหากตบท้ายด้วยการพาไปบ้านเกิดของตัวเขา คุณพ่อผู้แสนดีก็พาแจสมีทไปพบกับชายหนุ่มชาวฮินดูหลายต่อหลายคน ซึ่งแต่ละคนก็ประหลาดเกินจะรับได้ แต่สุดท้ายระหว่างที่แจสมีทใช้ชีวิตอย่างอึดอัดในบ้านนอกบ้านเกิดของพ่อเธอ เธอก็พบกับอาจันซึ่งเป็นลูกชายของเพื่อนเก่าพ่อนั่นเอง นายนี่หลงรักแจสมีทตั้งแต่แรกพบ (ฉากพบกันของคนทั้งคู่แอบได้อารมณ์นิดๆ อิอิ) แต่แจสมีทไม่ชอบนายบ้านนอกนี่เท่าไร แต่พ่อเธอไม่คิดอย่างนั้น แจสมีทเลยอยากเอาคืนพ่อที่หลอกให้เธอกลับมาที่อินเดียเพื่อมาดูตัวคนนู้นคนนี้ เธอเลยตอบตกลงแต่งงานกับอาจันด้วยความปิติยินดีของทุกคน แต่แจสมีทก็บอกกับอาจันว่าเธออยากให้เขารู้จักตัวตนที่แท้จริงของเธอ อยากให้มีคืนแรกด้วยกันที่ลอนดอน พระเอกก็หลงเชื่อ ครอบครัวนางเอกและอาจันก็กลับมาที่ลอนดอน

เอาล่ะค่ะ คราวนี้หนุ่มบ้านนอกแห่งรัฐปันจาบจะเข้ากรุงลอนดอนแล้ว สมชื่อ Namastey London ล่ะที่นี้

พอกลับมาที่ลอนดอน แจสมีทก็เอาคืนพ่อเธอทันที เธอบอกว่าเธอไม่ได้เป็นอะไรกับอาจัน ไม่เคยแต่งงาน ไม่มีหลักฐานตามกฏหมายอะไรแปลว่าเธอยังโสดสนิทเหมือนเดิม ทั้งยังต่อว่าพ่อเธอที่หลอกพาเธอไปอินเดียด้วย คราวนี้อาจันก็ช็อคสนิท (น่าสงสารมากๆ) นางเอกของเราก็ออกตระเวณราตรีใช้ชีวิตอย่างสาวลอนดอนของเธอต่อไป ทั้งยังตอบตกลงแต่งงานกับชาร์ลี่ด้วย อาจันได้แต่รอแจสมีทกลับบ้านดึกๆดื่นๆ กระทั่งต้องมาเห็นภาพบาดตาบาดใจของภรรยาตามประเพณีของเขากับหนุ่มบริทิชใกล้ชิดสนิทสนมกัน (น่าสงสารอีกละ) จริงๆแล้วแจสมีทก็แอบสงสารอาจันอยู่เหมือนกัน เธอบอกให้เขากลับไปซะและแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่น พระเอกแสนน่าสงสารบอกกับนางเอกว่าเขาไม่สามารถทำได้เพราะเขาแต่งงานแล้ว! (โอ้! อึ้ง พระเอกมั่นคงสุดๆ...รักแรกพบนะเนี่ย)

ระหว่างที่อาจันอยู่ลอนดอน นางเอกก็มีพาเขาไปเที่ยวบ้าง ก็เห็นความน่ารักของเขาในหลายๆอย่าง ในวันที่พ่อแม่ของนางเอกมาพบกับพ่อแม่ของชาร์ลี่ พ่อแม่นางเอกก็แสดงความบ้านนอก เสร่อๆ เปิ่นๆ ออกมาจนนางเอกอายหลายครั้ง ในงานประกาศแต่งงานของคนทั้งคู่ นางเอกก็ถูกเพื่อนชาร์ลี่พูดจาดูถูกประเทศ เธอไม่พอใจ (คราวนี้ล่ะเลือดเชื้อชาติฮินดูขึ้นสมองเชียว) ก็ได้อาจันมาช่วยแก้หน้าให้ เขาก็พูดถึงความยิ่งใหญ่ของประเทศ วิทยาศาสตร์ที่เจริญก้าวหน้าในประเทศไรงี้จนนางเอกสะใจไปด้วย ...แต่ก็ยังคงจะแต่งงานกับชาร์ลี่ต่อไปนั่นล่ะ ซึ่งพ่อแม่ของเธอก็ไม่ค่อยจะเห็นด้วยเท่าไร

แจสมีทยังคงรู้สึกผิดต่ออาจันลึกๆ เธอแอบได้ยินเขาพูดกับพ่อแม่ของเขาทางโทรศัพท์ว่าตัวเขามีความสุขดี ชีวิตแต่งงานราบรื่น แจสมีทก็อยากกลับอินเดียเหมือนกันแต่ตัวเขาต่างหากที่ไม่ได้เร่งรีบให้เธอเก็บของอะไร นางเอกก็เศร้าที่เห็นว่าอาจันแก้ต่างให้เธอ ระหว่างที่อาจันอยู่ที่ลอนดอนแจสมีทก็ยังคงเห็นความน่ารักของอาจันเรื่อยๆ เธอนึกถึงภาพวันแต่งงานของเธอกับเขาที่ปันจาบ สีหน้ายิ้มแย้มของทุกคนที่นั่น

กระทั่งวันแต่งงานพ่อของแจสมีทเมาหนักเพราะกลุ้มใจไม่อยากให้ลูกสาวแต่งงานกับชาร์ลี่ ทำให้พระเอกต้องเป็นคนส่งตัวเจ้าสาว จะว่าไปก็ส่งตัวภรรยาตามประเพณีของเขาให้มาเข้าพิธีแต่งงานกับชาร์ลี่นั่นล่ะ (ถึงตอนนี้ก็ย้อนมาที่จุดเปิดเรื่องอีกครั้ง) พอบาทหลวงถามแจสมีทในชุดแต่งงานสีขาวว่าเธอยอมรับชาร์ลี่เป็นสามีของเธอหรือไม่ แจสมีทกลับลังเล และตอบออกไปว่า...ไม่ จากนั้นเธอก็สวมบทบาทเป็น runaway bride วิ่งหนีออกมาจากโบสถ์ซะงั้น และภาพก็ตัดมาที่บ้านเกิดในรัฐปันจาบ จบแบบลูกทุ่งๆน่ารักอิ่มอุ่นใจทุกคนค่ะ

อย่างที่บอกภาพยนตร์เรื่องนี้พล็อตธรรมดามากๆ แต่เสน่ห์สำหรับหนังเรื่องนี้ที่เราเห็นคือมันสอดแทรกวัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อของคนฮินดูไว้ด้วย ฉากที่ครอบครัวนางเอกกลับมาที่บ้านเกิดของพ่อ ก็เห็นชีวิตบ้านๆของคนในอินเดีย ครอบครัวที่อาศัยกันนับสิบๆชีวิต ความยึดมั่นในศาสนา ตัวตนที่แท้จริงของพวกเขา แต่เรื่องนี้ไม่ได้เป็นการกีดกันแบ่งแยกศาสนาแต่อย่างใด เพราะนอกจากมีคู่พระนางอย่างแจสมีทและอาจันแล้ว เรื่องนี้ยังมีอีกคู่หนึ่งด้วย ผู้ชายเป็นหนุ่มฮินดู (เพื่อนแจสมีท) กับสาวลอนดอน พ่อแม่ของผู้หญิงอยากให้แฟนลูกสาวเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนศาสนามาเป็นคริสต์ ตัวผู้ชายก็ทะเลาะกับพ่อของเขาเหมือนกัน เกือบจะยอมเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนศาสนาตามความต้องการของว่าที่พ่อตาแม่ยายแล้ว แต่ระหว่างนั้นเขาเจอกับอาจัน ทั้งคู่มองดูพ่อลูกชาวฮินดูคู่หนึ่งที่ตัวพ่อกำลังสั่งสอนลูกชายให้ทำนู้นนี่ตามประเพณี และอาจันก็ช่วยพูดเตือนสติไปด้วย ว่าพ่อที่สั่งสอนปลูกฝังความเป็นฮินดูมาถึง 26 ปีแต่แล้วจู่ๆจะมาเปลี่ยนเพราะผู้หญิงที่รู้จักกันแค่ 26 สัปดาห์ไรงี้ สุดท้ายผู้ชายคนนั้นก็ไม่ยอมเปลี่ยน แต่ก็ยังสามารถลงเอยกับสาวลอนดอนคนนั้นได้

เล่ามาตั้งยาวอย่าคิดว่าหนังเรื่องนี้ไม่มีฉากเต้นของพระเอกนางเอกให้เห็นนะคะ มันมีอยู่แล้ว ไม่งั้นเสียชื่อหนังอินเดียหมด เรื่องนี้มีหลายฉากเชียวล่ะค่ะ ตั้งแต่เต้นในผับบาร์กรุงลอนดอน ไปจนถึงทุ่งในรัฐปันจาบเลย ฮะๆๆ แม้พระเอกเรื่องนี้จะไม่หล่อ แต่ก็เข้ม ล่ำ และบึก ที่สำคัญนางเอกเรื่องนี้สวยค่ะ!

จบจากเรื่องนี้แล้ว สงสัยได้กลายเป็นแฟนหนังบอลลี่วูดเต็มตัวแน่ๆ อิอิ




 

Create Date : 21 กุมภาพันธ์ 2552   
Last Update : 21 กุมภาพันธ์ 2552 14:54:19 น.   
Counter : 858 Pageviews.  

Slumdog Millionaire



Slumdog Millionaire

ไม่เคยคิดว่าวันนี้จะต้องมาเขียนบันทึกหลังดูภาพยนตร์อัพขึ้นบล็อก แต่เพราะมันอดไม่ได้จริงๆ (อยากเล่า อยากให้เพื่อนๆได้อ่าน) เรื่อง Slumdog Milionaire เป็นหนังที่เว่อร์ เว่อร์ และเว่อร์มากๆ แต่เพราะความเว่อร์ที่ถูกเรียกใหม่ด้วยคำว่า "Destiny" หรือชะตาฟ้าลิขิต ทำให้มันกลายเป็นหนังที่เว่อร์ที่สร้างความประทับใจให้กับคนดูอย่างเราได้อย่างไม่น่าเชื่อ

Slumdog Millionaire หรือเศรษฐีจากสลัม หนังเรื่องนี้ไม่มีอะไรมากเลย เพียงเป็นการเล่าชีวิตของเด็กหนุ่มชาวอินเดียคนหนึ่งที่เกิดในสลัมเมืองบอมเบย์ กำพร้าพ่อ และแม่ก็ยังมาเสียชีวิตไปอีก ไม่มีการศึกษา เด็กๆใช้ชีวิตคล้ายขอทาน โตขึ้นหน่อยก็ทำงานหาเลี้ยงตัวเองไปเรื่อยๆอย่างไม่มีอนาคต แต่ผู้ชายคนนี้กลับสามารถตอบคำถามในเกมเศรษฐีได้ถูกแล้วถูกอีก...อย่างไม่น่าเชื่อ (เว่อร์นั่นล่ะ)

จุดเริ่มต้นของหนังเรื่องนี้คือจามาล (พระเอก) กำลังตอบคำถามเกมเศรษฐีซึ่งเหลือเพียงคำถามสุดท้ายเท่านั้น หากก่อนคำถามสุดท้ายจะถูกถาม จามาลถูกพาตัวออกมาจากรายการ และถูกเค้นให้สารภาพว่าเขาตอบคำถามที่ผ่านมาถูกต้องได้อย่างไร (เพราะคนอื่นๆเชื่อว่าจามาลโกง) ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดเรื่องด้วยคำถามจากคนสร้างให้คนดูอย่างเราๆคิดกันว่า

How did he do it? (จามาลตอบคำถามถูกได้ยังไง)
A. He's cheated (นายนี่มันโกง)
B. He's lucky (เขาโชคดี)
C. He's a genius (เขาเป็นอัจฉริยะ)
D. It's written (มันถูกกำหนดไว้แล้ว ชะตาลิขิตไว้เช่นนั้น...)

คำถามในเกมเศรษฐีจะเรียกว่ายากก็ยาก จะบอกว่าง่ายมันก็ง่าย เพียงคุณรู้คุณก็ตอบได้ แต่เพราะคำถามมักจะหลากหลาย ไม่ได้อยู่ในสาขาวิชาการใดๆเพียงอย่างเดียว อาจเป็นเรื่องเกี่ยวกับสังคมประวัติศาสตร์ วิทยาศาสตร์การค้นพบ ดาราบันเทิง ความรู้รอบตัวทั่วๆไป นิทานสมัยเด็ก ฯลฯ อะไรๆก็ล้วนสามารถเป็นคำถามในเกมเศรษฐีได้ คนที่มีความรู้ มีประสบการณ์พบเห็นอะไรมามาก ไม่แปลกหากตอบคำถามเหล่านี้ได้

แต่หากคนๆนั้นเป็นเพียงเด็กจากสลัมอย่างจามาลล่ะ??

จามาลซึ่งถูกพาตัวจามาลออกมาจากรายการเกมเศรษฐีจึงต้องเล่าชีวิตในอดีตที่ผ่านมาว่าเขาพบเห็นอะไรมาบ้างจึงสามารถตอบคำถามได้ถูก ตั้งแต่แม่ของเขาเสียชีวิตในช่วงที่มีการสู้รบกันของชนสองเผ่า ทำให้เขากับพี่ชายใช้ชีวิตเป็นเด็กเร่ร่อน รวมถึงลาติกา (นางเอก) เพื่อนสมัยเด็กของพวกเขา ทั้งสามสู้ชีวิตมาด้วยกัน หลบหลีกพวกลักพาตัวเด็กทำให้ตาบอดและจับไปเป็นขอทาน ระหว่างนี้เขาพลัดหลงกับลาติกาด้วย จากนั้นก็ไปเป็นไกด์หลอกๆให้กับนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวทัชมาฮาล เข้าไปเกี่ยวพันกับพวกผิดกฏหมาย พอมาเจอกับลาติกาอีกครั้ง (โตขึ้นมาหน่อยแล้ว) จามาลก็ผิดใจกับพี่ชายซึ่งชอบลาติกา เขากับพี่ชายเลยต้องแยกทางกันเดิน กระทั่งจามาลเข้าไปทำงานในบริษัทคอลเซนเตอร์ซึ่งสามารถเช็คเบอร์โทรศัพท์จากชื่อได้ เขาก็ได้เบอร์โทรพี่ชายมา ติดต่อกันอีกครั้ง จามาลบังเอิญได้เจอกับลาติกาอีก เธอเป็นผู้หญิงของผู้มีอิทธิพล ตอนนี้เขารู้ว่าเธอชอบดูรายการเกมเศรษฐี เขาชวนเธอหนีหากถูกจับได้ เมื่อรู้ว่าเธอชอบดูรายการเกมนั้นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เขาเข้าไปเล่นเพื่อว่าลาติกาจะได้เห็นความเป็นไปของเขา

ความเว่อร์ของหนังที่เราบอกไว้ก็คือ คำถามในเกมเศรษฐีที่จามาลเจอกลับเป็นเรื่องที่เขาได้ประสบพบเจอมาแทบทั้งหมด พูดง่ายๆก็คือทุกช่วงชีวิตในอดีตของจามาลสามารถทำให้ผู้ชายคนนี้ตอบคำถามของเกมได้เกือบหมด ถามว่าเป็นไปได้ไหม ใช่...มันเป็นไปได้! หากมองว่ามันเว่อร์ ก็เว่อร์ หากมองว่ามันเป็นชะตาของผู้ชายคนนี้ ก็คงไม่มีใครปฏิเสธได้ การดำเนินเรื่องในช่วงกลางๆคือการเล่าชีวิตของจามาล โยงใยสาเหตุที่เขาตอบคำถามของเกมแต่ละข้อได้อย่างเป็นเรื่องเป็นราว คำถามที่หลากหลายถูกผูกเรื่องให้มาอยู่ในชีวิตของคนๆเดียวได้อย่างเว่อร์นั่นล่ะ

เมื่อจามาลเล่าจบอย่างไม่มีข้อกังขา ผู้คุมก็ต้องปล่อยให้ชายหนุ่มกลับมาเล่นเกมต่อในคำถามสุดท้าย ซึ่งจามาลเกิดตอบไม่ได้ขึ้นมา ทีนี้เขายังเหลืออีกหนึ่งตัวช่วยก็คือโทรถามใครก็ได้ จามาลจึงโทรหาพี่ชาย ขณะนั้นพี่ชายซึ่งเข้าไปพัวพันกับผู้มีอิทธิพลที่ผิดกฏหมายและคงสำนึกได้ว่าใกล้มาถึงทางตันของชีวิตแล้ว เขาให้โทรศัพท์มือถือของเขากับลาติกา และให้ลาติกาหนีออกมา ดังนั้นคนที่รับสายจึงเป็นลาติกา (ตอนนี้ดูแล้วเราแอบยิ้ม พอจามาลรู้ว่าคนที่รับสายไม่ใช่พี่ชาย เพราะจำเสียงเธอได้ จามาลก็ถามลาติกาก่อนเลยว่าเธอสบายดีหรือเปล่า...ยังอุตสาห์เป็นห่วง น่ารักไหมล่ะ) เขาอ่านคำถามให้เธอฟังพร้อมคำตอบสี่ข้อ แต่น่าเสียดายที่ลาติกาก็ตอบไม่ได้เช่นกัน แต่สิ่งที่ลาติกาบอกกับจามาลคือ "It's written" ประมาณว่า ตอบไปเถอะ จะถูกหรือจะผิดมันก็เป็นชะตาที่กำหนดไว้แล้ว จากนั้นจามาลจึงวางสายเธอไป และเขาก็อาศัยการเดา ซึ่งก็เป็นไปตามคาดว่ามันเป็นคำตอบที่ถูกนั่นล่ะ จามาลก็เลยกลายเป็น Slumdog Millionaire คนแรกของรายการ

หนังเรื่องนี้ไม่ใช่แค่ความเว่อร์ของมันที่ทำให้คนดูตามลุ้นว่ามันจะผูกเรื่องโยงใยต่อๆกันไปได้ยังไง แต่เรื่องยังถ่ายทอดภาพสังคมของอินเดียในหลายๆมุมอีกด้วย ปัญหาความขัดแย้งของกลุ่มคน เด็กที่ไร้การศึกษา การที่สองหนุ่มพี่น้องเข้าไปเป็นไกด์ให้กับนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวทัชมาฮาล สถานที่แสดงความรักอันยิ่งใหญ่ ภาพสวยงามของประเทศนี้ หากชีวิตอีกมุมหนึ่งกลับกระเบียดกระเสียนต่อไป หรือแม้กระทั่งการเลือกวิถีการดำเนินชีวิต ระหว่างตัวจามาลกับพี่ชายที่เติบโตมาด้วยกัน จามาลเลือกเดินตามความรัก ทำในสิ่งที่รัก เพื่อคนที่รัก ในขณะที่พี่ชายเลือกความสุขสบาย กระหายหิวเงิน (ตอนหลังพี่ชายตายอ่ะ) จุดจบของชีวิตก็ต่างกันไป

หนังเรื่องนี้กรี๊ดสุดตอนจบของเรื่องที่จามาลกับลาติกามาเจอกันอีกครั้ง ทั้งคู่วิ่งเข้าหากันและดูเหมือนจามาลกำลังจะก้มจูบปากลาติกาและเรื่องก็จะจบอย่างสมบูรณ์ หากไม่ใช่! จามาล...พระเอกของเราก้มลงจูบที่บาดแผลข้างแก้มบนใบหน้าลาติกา บาดแผลที่เกิดขึ้นระหว่างตอนที่จามาลจะพาลาติกาหนีก่อนหน้านั้น ...เจอฉากนี้แล้วแอบม้วนติ้ว รู้สึกได้เลยว่าจามาลทะนุถนอมหญิงสาวคนรักของเขามาก แม้เธอคงไม่ได้บริสุทธิ์ผุดผ่องแล้วก็ตาม

ท้ายสุด ไม่พ้นความเป็นหนังอินเดียค่ะ ตั้งแต่ต้นจนกระทั่งพระนางมาเจอกันอีกครั้งยังไม่มีฉากเต้น แต่อย่าคิดว่ามันจะไม่มี! เพราะผู้สร้างยังทิ้งท้ายด้วยฉากเต้นเป็นฉากปิดเรื่องได้อีก!!

ขอทิ้งคำถามที่มากับเรื่องนี้ให้เพื่อนๆลองเลือกกัน

What does it take to find a lost love?
(คุณคิดว่า...สิ่งใดต่อไปนี้อะไรจะช่วยตามหาความรักที่หายไปให้กลับคืนมาได้)

A. Money (เงิน)
B. Luck (โชค)
C. Smarts (ปัญญา มันสมอง)
D. Destiny (ชะตาลิขิต)




 

Create Date : 20 กุมภาพันธ์ 2552   
Last Update : 20 กุมภาพันธ์ 2552 19:53:18 น.   
Counter : 1311 Pageviews.  


nanaspace
Location :
Tokyo Japan

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]




A novelist,
Wanna be, not Born to be, though
nanaspace | Promote Your Page Too
New Comments
[Add nanaspace's blog to your web]