มันตราพันธนาการ บทที่ 6 หัวใจแห่งความฉ้อฉล
<6>

หัวใจแห่งความฉ้อฉล

เสียงคนถกเถียงกันดังลั่นดึงความสนใจของผู้คนที่กำลังเดินผ่านไปมาให้หยุดยืนดูชายวัยฉกรรจ์สองคนกำลังทะเลาะกับเด็กชายวัยรุ่นคนหนึ่งซึ่งอยู่ในเครื่องแต่งกายรัดกุมดุจพราน สีหน้าของเขาบึ้งตึงด้วยความโกรธ ในมือมีห่อผ้าผืนใหญ่ดูไร้ราคา

“ที่ตกลงกันเอาไว้มันไม่ใช่แบบนี้” เด็กคนนั้นยื่นห่อผ้าไปตรงหน้าชายทั้งสอง “เขากวางงามๆหนึ่งคู่กับผ้าลินินอย่างดีหนึ่งพับ แล้วนี่พวกเจ้าให้ผ้าอะไรข้ามา!” เขาโยนผ้าทั้งผืนใส่หน้า ชายคนหนึ่งยกมือขึ้นรับและเหวี่ยงกลับไปหาเด็กอีกครั้ง

“ที่ข้าบอกคือเขากวางไร้รอยตำหนิ” เขาเตะเขาสัตว์ซึ่งวางอยู่บนพื้นใกล้ตัว “เจ้าลองดูว่ามันเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า”

“ตอนที่ข้าแบกเขานี่มามันยังไม่มีรอยบิ่นนั่นเลย” เด็กชายตอบหลังจากชำเลืองตามองเขากวางที่มีรอยบิ่นตรงส่วนปลาย “พวกเจ้าต่างหากที่ทำรอยนั่นขึ้นมาเพื่อต้องการเลี่ยงข้อตกลง”

“พวกข้าเป็นพ่อค้ามีชื่อ ทำไมต้องทำเรื่องแบบนั้นด้วย” ชายร่างใหญ่กว่าตอบ เขามองไปรอบตัวพร้อมกับตะโกนเสียงดัง “พวกเจ้าดูอะไรกัน!”

ผู้คนที่ยืนมุงดูต่างพากันถอยห่างออกไป เพียงไม่นานก็มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่ยังคงยืนถกเถียงกันอยู่

“ไอ้พวกขี้โกง!” เด็กชายร้องและยกมือขึ้นชี้หน้าคนทั้งสอง “ส่งเขากวางของข้าคืนมา ข้าขอยกเลิกสัญญาทั้งหมดของพวกแก”

“แกรับผ้านั่นไปแล้ว” ชายหน้าเสี้ยมพูด เขาเลื่อนมือไปแตะด้ามดาบ “ถือว่าสัญญาถูกต้อง”

ใบหน้าเปื้อนฝุ่นของเด็กชายเงยขึ้น เขาจ้องชายทั้งสองคนนิ่งขณะขบกราม

“ก็ได้!” เขาโพล่งออกมาอย่างสิ้นความอดทน “แต่อย่าหวังว่าข้าจะยอมตกลงทำสัญญาอะไรกับพวกแกอีก” ห่อผ้าถูกโยนใส่หน้าชายร่างท้วมอีกครั้ง

“เอาผ้าโสโครกของพวกแกคืนไป ไอ้พ่อค้าสับปลับ!”

“แกมีอะไรน่าสนใจอีกนอกจากเขากวางบิ่นๆสองอันนี้” พ่อค้าร่างใหญ่พูดเยาะ เด็กชายยิ้มและดึงวัตถุสีเงินแวววาวขนาดเล็กออกมาโยนเล่น

“ข้าไม่มีอะไรน่าสนใจอย่างที่แกสองคนพูดจริงๆ” เขารวบวัตถุนั้นเอาไว้ในมือเมื่อเห็นดวงตาวาวด้วยความโลภของชายทั้งสอง “ลาก่อน”

เด็กชายแยกเขี้ยวใส่ทั้งคู่ก่อนจะหันหลังวิ่งออกไปจากหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว ชายหน้าเสี้ยมมองตามหลังและหันไปทางคนที่ใหญ่กว่า

“เจ้าเห็นของที่ไอ้หนูนั่นถือไหม” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความตื่นเต้น “นั่นมันเงินบริสุทธ์ชัดๆ”

“ดูเหมือนจะเป็นเครื่องประดับอะไรบางอย่าง” ชายร่างใหญ่ยกมือขึ้นลูบคาง “แต่รับรองได้เลยว่าราคาของมันต้องมากกว่าให้เขากวางสองเขานี่รวมกันเสียอีก”

“เจ้าเด็กนั่นคงไม่คิดจะขายมันให้พวกเราแน่” คนหน้าเสี้ยมพูด “รู้แบบนี้ข้ายอมแลกผ้าลินินให้กับมันไปแล้ว”

“ไม่จำเป็นที่จะต้องทำเช่นนั้น ทริคค์” ชายร่างใหญ่กล่าวพร้อมกับยิ้มอย่างมีเลศนัย “ข้ามีหนทางแย่งของสิ่งนั้นแล้ว”

“ด้วยวิธีใดกัน” ทริคค์ถามด้วยความสงสัย เขาหรี่ตาลง “หรือเจ้าคิดจะลงมือกับเจ้าเด็กนั่น”

“สงบปากไว้ทริคค์และเร่งตามข้ามา” ชายร่างใหญ่กวาดสายตามองผู้คนที่เดินผ่านไปมาอย่างระมัดระวัง “อย่าลืมเขากวางพวกนั้นด้วย”

ทริคค์ก้มลงหยิบห่อผ้าที่เขาใช้บรรจุเขากวางสองเขาขึ้นมาแล้วพาดไว้ที่ไหล่และเดินตามหลังชายร่างใหญ่ซึ่งกำลังเดินตรงไปหาชายผู้หนึ่งที่กำลังตีเหล็กอยู่อย่างขะมักเขม้น

“ขออภัย” เขาเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงสุภาพ “ข้ามีนามว่าโรบาวห์เป็นพ่อค้าที่เดินทางเข้ามาค้าขายในเมืองนี้....”

“ข้าไม่สนใจจะซื้อของสิ่งใดจากเจ้า” ช่างตีเหล็กพูดด้วยสีหน้ารำคาญ “หากไม่คิดจะสั่งให้ข้าทำอะไรก็จงไปให้ไกล” เขาเงื้อค้อนในมือและตีลงไปบนแผ่นเหล็กที่ร้อนจัดจนเป็นสีแดง โรบาวห์กระตุกยิ้มอย่างรู้ทัน

“อันที่จริงการเป็นพ่อค้าก็มิใช่เรื่องที่ดีนัก มีหลายครั้งที่พวกเราต้องเผชิญหน้ากับโจรร้าย ข้าเคยคิดว่าน่าจะพกดาบดีๆสักเล่ม”

“หากเจ้าเดินเข้าไปในบ้านของข้า บางทีอาจจะพบกับดาบที่ถูกใจก็เป็นได้” ช่างตีเหล็กรีบพูด โรบาวห์หันไปหลิ่วตาให้กับทริคค์ก่อนจะก้าวขาเข้าไปในบ้านของช่างตีเหล็ก ริมผนังมีดาบหลายเล่มแขวนไว้ ชายร่างใหญ่เดินไปหยุดยืนพิจารณาและหยิบดาบขึ้นมาเล่มหนึ่ง

“เป็นดาบดี” เขาทำท่ากวัดแกว่งไปมาอย่างถูกอกถูกใจ ช่างตีเหล็กยิ้มกว้าง

“ดาบเล่มนั้นใช้เวลาตีถึงสองเดือน มันเป็นดาบดีที่สุดในร้านเลยทีเดียว”

“ยอดเยี่ยม” โรบาวห์เก็บดาบกลับลงฝัก “ข้าตกลงซื้อดาบเล่มนี้” เขาล้วงมือเข้าไปในเสื้อและหยิบถุงหนังออกมา

“พูดถึงเรื่องการซื้อขาย เมื่อครู่ข้าได้พบกับเด็กชายอายุราวสิบสี่ปีคนหนึ่ง เขาขายเขากวางคู่นี้ให้แก่ข้าโดยขอแลกกับผ้าเนื้อดีสองผืน เมื่อครู่ข้าตรวจดูปรากฏว่าเจ้าหนูนั่นหยิบผ้าไปไม่ครบ”

เขาส่งเหรียญเงินจำนวนหนึ่งให้กับช่างตีเหล็กซึ่งรีบยื่นมือออกมารับ

“เจ้านั่นหยิบของไปไม่ครบอย่างนั้นหรือ”

“ถูกต้อง” โรบาวห์ตอบพลางหยิบดาบขึ้นมาถือไว้ “อันที่จริงข้าคงไม่รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจเท่าใดนักหากคืนนี้พวกเรายังคงอยู่ในเมือง”

ช่างตีเหล็กทำสีหน้าครุ่นคิด เขาเขย่าเหรียญเงินในมือสองสามครั้ง

“ท่านจะฝากผ้าผืนนั้นไว้กับข้าก็ได้ ข้าจะรีบมอบให้เจ้าเลเบนทันทีที่เขาย้อนกลับมา”

“เลเบน” โรบาวห์ทวนชื่อ “ฟังดูเหมือนเจ้าคุ้นเคยกับเขาดี”

“เจ้าหนูนั่นเป็นเด็กนิสัยดี” ช่างตีเหล็กอธิบาย “บ้านของเขาอยู่นอกเขตหมู่บ้านเลยออกไปทางชายป่าด้านตะวันตก เมื่อก่อนเลเบนมักจะเข้ามาที่นี่เพื่อนำของป่ามาแลกกับอาหารเดือนละสองครั้ง แต่หลังจากแม่เขาตายเจ้าหนูนั่นก็แทบไม่ค่อยจะได้มา”

“น่าเห็นใจ” โรบาวห์กระตุกยิ้ม “ถ้าเช่นนั้นข้าขอนำผ้าไปมอบให้กับเขาถึงที่บ้านดีกว่า เพราะบังเอิญพวกเราต้องเดินผ่านไปทางนั้นพอดี”

“ตามแต่ใจของท่านเถิด” ช่างตีเหล็กพูด “หมดธุระแล้วข้าขอตัวไปทำงานของข้าต่อ”

โรบาวห์ก้าวออกมาจากบ้านของช่างตีเหล็ก เขาเดินตรงไปหาทริคค์ซึ่งยืนรออยู่ด้านนอกพร้อมกับยิ้ม

“ข้ารู้ที่อยู่ของเจ้าหนูนั่นแล้ว” เขาพูดขึ้น “รีบไปหามันกันเถิด”

เลเบนกึ่งเดินกึ่งวิ่งผ่านทุ่งหญ้าไปจนถึงชายป่าซึ่งอยู่ห่างจากหมู่บ้านไม่มากเท่าใดนัก เด็กชายเดินไปยังโคนต้นไม้ขนาดใหญ่ต้นหนึ่งและนั่งลงเหยียดขาในท่าทางผ่อนคลายก่อนจะดึงวัตถุสีเงินขนาดเล็กออกมาจากอกเสื้อของตน

“มันคืออะไรกัน” เขาพึมพำขณะพลิกดูของที่อยู่ในมืออย่างพิจารณา มันมีลักษณะคล้ายจี้ห้อยคอรูปทรงกระบอกขนาดเล็ก ปลายด้านหนึ่งประดับด้วยอัญมณีเม็ดจิ๋วสีแดงสด มันส่องประกายวาววับสะท้อนกับแสงอาทิตย์ยามเย็น ทำให้เลเบนสังเกตเห็นตัวอักษรประหลาดประทับอยู่บนปลายอีกด้าน เขาขมวดคิ้ว

“นี่มันภาษาอะไรกัน” เขายกขึ้นส่องกับแสงเพื่ออ่าน “ไม่ใช่อักษรกราวด์แน่ๆ ตัวหนังสือสวยขนาดนี้”

“ไม่ว่ามันจะเป็นอักษรใดก็ไม่คู่ควรสำหรับเจ้าเลยสักนิด เลเบน” เสียงทุ้มห้าวดังขึ้น เด็กชายดีดตัวยืนตรงทันทีและเก็บวัตถุสีเงินกลับเข้าไปในอกเสื้ออย่างเร็ว

“ไอ้พ่อค้าจอมโกง” เลเบนทักพร้อมกับแสยะยิ้ม “อย่าบอกนะว่าเจ้าเกิดเปลี่ยนใจนำผ้าลินินมาให้ข้า”

“ข้าตั้งใจแบบนั้นจริงเจ้าหนู” โรบาวห์ตอบ เขาหรี่ตาลง “เพียงแต่ข้าจะใช้ผ้านั่นห่อร่างของเจ้าก่อนฝังลงดิน”

เสียงฝีเท้าของคนจำนวนหนึ่งกรูกันเข้ามายืนรายล้อมร่างของเด็กชายเอาไว้ ใบหน้าของทุกคนแลดูเหี้ยมโหดดุดันจนน่ากลัว เลเบนยิ้มอย่างใจเย็น

“หน้าตาแบบนี้ไม่น่าจะเป็นพ่อค้าได้เลยนะ” เขาดึงดาบที่สะพายไว้ทางด้านหลังออกมา “ลูกค้าคงตกใจวิ่งหนีไปจนหมดก่อนเจ้าจะทันวางสินค้าเสียด้วยซ้ำ”

“พวกเขามีหน้าที่อารักขาข้าสองคน” ทริคค์พูดขึ้นมาบ้าง “อย่างที่เจ้ารู้ พวกข้าเป็นพ่อค้าเร่ การเดินทางไปมาระหว่างเมืองต่างๆอันตรายนัก เราจึงต้องมีนักสู้ฝีมือดีคอยติดตาม”

“ดูยังไงพวกเขาก็ไม่เหมือนนักสู้” เลเบนยิ้มเยาะ “ถ้าบอกว่าเป็นโจรยังจะน่าเชื่อเสียกว่า”

“เลิกพูดจาอ้อมค้อมกันเสียที!” โรบาวห์โพล่งขึ้นมาอย่างสิ้นความอดทน “ส่งของสิ่งนั้นมาให้ข้าเดี๋ยวนี้ดีกว่า”

“เจ้าพูดถึงอะไรกัน” เด็กชายทำหน้าฉงน “เขากวางข้าก็ให้เจ้าไปแล้ว ที่เหลืออยู่ตอนนี้ก็มีเพียงเนื้อเค็มแห้งสองสามชิ้น ถ้าพวกเจ้าหิวข้าจะยอมสละแบ่งให้”

“อย่ามาทำเล่นลิ้นกับข้า” โรบาวห์พูดเสียงต่ำ “เจ้ารู้ดีว่าข้าหมายถึงสิ่งใด”

เขายกมือขึ้นโบก ชายฉกรรจ์หกถึงเจ็ดคนเดินปรี่เข้าไปหาเลเบนด้วยท่าทางมุ่งร้าย เด็กชายกวัดแกว่งดาบเป็นเชิงขู่

“อย่าคิดว่าข้าเป็นเด็กแล้วจะกลัวพวกเจ้า” เขาตะโกนเสียงดัง “เข้ามาได้เลยหากผู้ใดไม่ต้องการมีลมหายใจ”

เงาดาบตวัดผ่านเลเบนเฉียดใบหน้าของเขาไปไม่ถึงนิ้ว เด็กชายกระโดดถอยหลังพร้อมกับเหวี่ยงดาบในมือปัดอาวุธของอีกฝ่ายออกไปและหมุนตัวพร้อมกับก้มหลบคมดาบของชายฉกรรจ์อีกคนซึ่งฟันเข้าใส่ด้านหลังของเขา

“แบบนี้ต้องเรียกว่าหมาลอบกัดมากกว่าโจร” เลเบนตะโกนและก้าวถอยหลัง เขาตวัดอาวุธในมือของตนจากนั้นจึงเริ่มบุกเข้าต่อสู้กับชายคนที่ยืนใกล้ที่สุด ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ทันได้ระวังตัว คมดาบของเลเบนปาดลงไปบนลำคอของเขา ร่างกำยำล้มลงสิ้นใจทันที เสียงคำรามอย่างโกรธแค้นดังจากคนที่เหลือ พวกเขาจ้องเด็กชายและกวัดแกว่งดาบไปมาก่อนจะพุ่งเข้าโจมตีเขาพร้อมกัน

“จะสับมันจนเละก็ได้ แต่ระวังของในกระเป๋านั่นให้ดี” โรบาวห์ร้องบอก เขายืนกอดอกมองดูเลเบนซึ่งกำลังต่อสู้กับชายร่างใหญ่ถึงหกคนด้วยความรู้สึกสะใจ

“ไอ้พวกหมาหมู่!” เสียงเด็กหนุ่มร้องอย่างเดือดดาล เขาปัดดาบที่เหวี่ยงเข้ามาออกไปพร้อมกับพลิกตัวหลบกำปั้นของชายอีกคนและยกเท้าขึ้นเตะไปที่หว่างขาของเขาเต็มแรง เสียงร้องอุทานอย่างเจ็บปวดดังขึ้นแต่เลเบนไม่ใส่ใจ เขาดึงมีดสั้นซึ่งเหน็บไว้ที่เอวแล้วปาออกไปทันที มันพุ่งไปปักกลางหน้าผากของชายคนที่โดนเตะอย่างแม่นยำ

“อีกเพียงแค่ห้าคนเท่านั้น” เด็กชายพูดเสียงดัง “แล้วข้าจะไปคุยกับแก”

“ผ่านพวกเขามาให้ได้ก่อนจะดีกว่า เลเบน” เสียงโรบาวห์เย็นชาจนน่ากลัว เขาดีดนิ้วหนึ่งครั้ง เสียงสวบสาบดังออกมาจากแนวป่าโดยรอบ เลเบนชะงักพร้อมกับถอยหลังออกไปสองสามก้าวพร้อมกับเหยียดยิ้ม

“พวกแกเป็นโจรจริงๆ” เขาพูดขณะที่กวาดตามองชายฉกรรจ์จำนวนไม่ต่ำกว่ายี่สิบคนซึ่งเดินออกมาจากป่า เสียงโรบาวห์หัวเราะ

“ดูเหมือนเจ้าจะเกิดความกลัวขึ้นมาบ้างแล้วสินะ” เขาจ้องหน้าเด็กชายเขม็ง “ส่งของสิ่งนั้นมาให้ข้า ชีวิตเจ้าอาจจะรอด”

“ถ้าแกอยากได้จริงๆข้าก็จะให้” เลเบนร้องบอก รอยยิ้มไม่น่าดูผุดขึ้นบนใบหน้าของพ่อค้าเจ้าเล่ห์ มันเลือนหายไปทันทีเมื่อได้ยินประโยคต่อมาของเด็กชาย

“แต่เจ้าต้องคุกเข่าและคลานเข้ามาขอ”

“ฆ่ามัน!” โรบาวห์ตะโกนลั่น “สับมันให้แหลกเป็นชิ้นแล้วค่อยชิงของมา”

ชายฉกรรจ์ทั้งหมดย่างสามขุมเข้าหาเลเบน สีหน้าของทุกคนเหี้ยมโหดและดูน่ากลัว เด็กชายหัวเราะในลำคอขณะกระชับดาบในมือ

“อยากตายแบบไหนก็บอกมา” เขาคำรามพร้อมกับเหวี่ยงดาบปัดอาวุธของผู้ที่บุกเข้ามาเป็นคนแรกออกไปและตวัดดาบฟันใบหน้าชายอีกคนหนึ่งจนขาดหายไปทั้งแถบ ชายอีกสองคนกวัดแกว่างดาบและฟาดเข้าใส่ร่างของเลเบนพรอ้มกัน เด็กชายกลิ้งตัวหลบแต่กลับถูกใครบางตนเตะไปที่สีข้างอย่างแรง
เลเบนล้มลงทันทีและร้องเสียงดังเมื่อถูกรองเท้าหนาหนักของผู้ที่เตะเขาเหยียบบนอก คมดาบเย็นเยียบวางจรดลงบนลำคอ

“จะตัดแขนหรือขาของแกก่อนดี ไอ้หนู” เขาขู่พลางลากปลายดาบไปยังต้นแขนของเด็กชาย เลเบนถ่มน้ำลายปนเลือดออกจากปากแล้วยิ้ม

“ข้าขอข้อเท้าของแกก่อนก็แล้วกัน”

เลือดสีแดงเข้มพุ่งกระฉูดออกมาจากข้อเท้าซึ่งเหยียบเด็กชายเอาไว้ ร่างของชายคนนั้นล้มลงขณะที่เลเบนยันตัวลุกอย่างรวดเร็ว เขาหมุนมีดสั้นในมือและหันไปจ้องโรบาวห์

“อยากได้ของมีค่ามันต้องออกแรงกันหนักหน่อย”

เด็กชายกวาดตามองชายฉกรรจ์ซึ่งยืนรายล้อมเขาอยู่

“เข้ามา!” เขาหมุนดาบในมือและตั้งท่ารอ เสียงหวีดคล้ายอะไรบางอย่างวิ่งผ่านอากาศดังขึ้น
เลเบนสะดุ้งเฮือกสุดตัว เขายกมือกุมหัวใหล่ของตนเอง สีหน้าของเด็กชายเต็มไปด้วยความโกรธ

“เจ้าพวกขี้ขลาด!” เลเบนคำรามขณะพยายามดึงลูกธนูซึ่งปักติดแน่นบนไหล่ โรบาวห์หัวเราะพลางลดคันศรในมือลงและส่งให้กับทริคค์

“ผู้รู้จักการฉกฉวยโอกาสต่างหาก” เขาพูดและโบกมือเป็นเชิงให้สัญญาณกับเหล่าสมุน ตอนนี้ข้ามีสองทางให้เจ้าเลือกระหว่างถูกตัดหัวแล้วข้าเดินไปหยิบของ หรือ.....” ชายร่างท้วมหัวเราะเสียงต่ำ

“ให้ข้าดึงของสิ่งนั้นออกมาจากเสื้อของเจ้าแล้วค่อยตัดหัว”

“จะยังไงก็ได้ แต่ขอให้เจ้าเป็นผู้ลงมือกระทำเอง” เลเบนตอบเสียงเข้ม มือหยาบหนาของโจรคนหนึ่งฟาดลงไปบนใบหน้าของเขาเต็มแรง เลือดไหลออกมาจากมุมปากทันที

“ปากกล้าไม่สมตัว” เจ้าโจรถ่อยยกดาบของมันขึ้น สายตาเลื่อนไปทางโรบาวห์ราวกับรอคำสั่ง

“ข้าเลือกข้อแรก”

พ่อค้าโจรเอ่ยด้วยใบหน้าเรียบ ลูกน้องของเขาแสยะยิ้มพร้อมกับหันไปจ้องหน้าเลเบน

“ข้าจะเก็บกะโหลกเล็กๆของเจ้าไว้เป็นที่ระลึก”

เสียงดังคล้ายของมีคมแทรกลงไปในผิวของต้นไม้ ร่างกำยำชะงักค้างนิ่งในท่าเงื้อง่า ใบหน้าของโจรเต็มไปด้วยความงงงันเมื่อมันก้มลงมองดาบขนาดใหญ่ซึ่งปักติดแน่นอยู่บนทรวงอกของตนเอง เลเบนกัดฟันถีบร่างของมันให้ล้มไปอีกด้านและพยายามลุกขึ้น เสียงฝีเท้าย่ำบนใบไม้ดังออกมาจากป่า กลุ่มโจรหันไปจ้องชายหนุ่มซึ่งกำลังก้าวมาหยุดยืนนิ่งใต้เงาไม้ด้วยความรู้สึกแปลกใจ

“เจ้าเป็นใคร”

โรบาวห์ร้องถาม ชายหนุ่มผู้นั้นเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยและหรี่ตาลง

“น่าแปลกที่เจ้าจำข้าไม่ได้” เขาพูดเสียงเรียบพลางดึงดาบอีกเล่มออกมาจากข้างเอว ดวงตาสีดำชำเลืองไปทางเลเบนก่อนตวัดกลับไปหาโรบาวห์อีกครั้ง

“ข้าไม่รู้จักเจ้า!” หัวหน้าโจรตวาด อีกฝ่ายกลับยิ้ม

“แต่ข้ารู้จักเจ้าดี” เขากวัดแกว่งดาบหมุนเป็นวง “โรบาวห์หัวหน้าโจรแห่งอัลบาดัน จอมโฉดของแผ่นดิน”

รอยยิ้มน่าขนลุกฉาบบนใบหน้าของพ่อค้าโจร เขามองหน้าชายหนุ่มและไล่สายตาสำรวจราวไล่เรียงความทรงจำ เสียงหัวเราะดังขึ้นในลำคอ

“ข้าจำจี้ห้อยคออันนั้นได้” เขาจ้องหน้าอีกฝ่ายนิ่ง “คนของหมู่บ้านอัมบาร์”

“น่าดีใจจริงที่เจ้ายังจำได้”

“ก็แค่ทางผ่านของพ่อค้าเช่นข้า” โรบาวห์กล่าวด้วยน้ำเสียงเยาะในขณะที่อีกฝ่ายคำราม

“ทางผ่านของพ่อค้า” ชายหนุ่มทวนคำเสียงกร้าว “พ่อค้าประเภทใดกันที่เผาทำลายหมู่บ้านทิ้งหลัง
สังหารผู้คนจนสิ้นแล้ว”

“ข้าเพียงชำระล้างหลังการค้าขาย” พ่อค้าโจรกล่าวตอบ “แต่นั่นมันก็ผ่านมานานหลายปีแล้ว น่าแปลกที่เจ้ายังคงรอดมาได้”

“ต้องขอบใจรอยแผลที่เจ้าฝากไว้ให้” ชายหนุ่มพูดเสียงเหี้ยม เขาก้าวเข้าไปหาโรบาวห์ด้วยท่าทางมุ่งร้าย พ่อค้าใจโฉดยังคงยืนนิ่ง ในขณะที่ลูกน้องของเขาขยับออกมายืนขวางหน้า

“ยังคงหลบอยู่แต่ในเงาเหมือนเดิม” ชายหนุ่มคำราม โรบาวห์ยิ้ม

“ข้าก็แค่ขอรับการคุ้มครองจากพวกเขาเท่านั้น” ชายฉกรรจ์นับสิบพุ่งเข้าจู่โจมชายหนุ่มแปลกหน้าทันที เขาตอบโต้กลับอย่างว่องไว พ่อค้าโจรยืนมองดูการต่อสู้ด้วยสีหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงหันไปทางเลเบน

“รีบไปแย่งของสิ่งนั้นจากเจ้าเด็กนั่นมา” เขาสั่งทริคค์ อีกฝ่ายหน้าถอดสี

“เจ้าไปเองไม่ดีกว่าหรือ”

โรบาวห์ถลึงตาใส่เพื่อน ทริคค์จึงพยักหน้าและเดินตรงเข้าไปหาเด็กชายซึ่งกำลังนอนหายใจระรวยเพราะพิษของธนู

“รีบเร่งมือเข้า!” เสียงโรบาวห์ร้องเตือน ทริคค์จึงเลื่อนมืออันสั่นเทาของเขาออกและล้วงเข้าไปในเสื้อของเลเบน ดวงตาซีดเบิกกว้างด้วยความตกใจ ทริคค์ดึงมือกลับทันที

“เจ้า.....” เขาร้องออกมาได้เพียงเท่านั้นก่อนร่างซึ่งนั่งคร่อมเหนือตัวของเด็กชายจะล้มลง เลเบนดึงมีดออกมาจากอกของทริคค์และพยายามดันตัวให้ลุกขึ้น เสียงการต่อสู้ที่อยู่ไม่ไกลตัวเรียกความสนใจของเขาให้เลื่อนสายตาไปมอง

“พวกหมาหมู่”

เด็กชายคำรามในลำคอ เขาเอื้อมมือไปหยิบดาบซึ่งตกอยู่ใกล้ๆและใช้มันยันกายให้ลุกขึ้น แต่พิษของธนูทำให้ร่างกายของเลเบนไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะยกขาก้าว เขายืนโอนเอนไปมาแต่ดวงตายังคงจ้องชายหนุ่มที่กำลังถูกรุมล้อมแน่วนิ่ง

“ระวัง!”

เลเบนร้องเตือนเมื่อโจรคนหนึ่งเงื้อดาบขึ้นหมายจะฟันร่างของชายหนุ่มจากทางด้านหลัง มีดสั้นของเด็กชายพุ่งออกจากมือไปปักต้นคอของโจรอย่างแม่นยำ ชายฉกรรจ์สามสี่คนร้องด้วยความโกรธและเดินเข้าไปหาเลเบนหมายจะสังหารให้ดับดิ้น ชายหนุ่มกวัดแกว่งดาบปัดโจรที่รุมล้อมเขาและรีบวิ่งไปหาเด็กชาย เขาตวัดดาบฟันชายฉกรรจ์ที่คิดจะทำร้ายเลเบนจากนั้นจึงหันไปตั้งรับการบุกเข้ามาอย่างต่อเนื่องของโจรร้ายโดยมีโรบาวห์ยืนยิ้มเยาะอยู่อีกด้าน

“เจ้าโจรชั่ว!” ชายหนุ่มคำรามลอดไรฟันด้วยความโกรธ เขาเหวี่ยงดาบสังหารโจรทุกคนที่เข้ามาใกล้พลางชำเลืองมองเลเบนซึ่งล้มทรุดลงด้วยความเป็นห่วง

“เจ้าหนู”

“ข้า.....ไม่เป็นอะไร” เสียงเด็กชายหอบหายใจและล้มลงสิ้นสติ ชายผู้นั้นรีบนั่งลงประคอง สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความวิตกเมื่อพบว่าร่างของเลเบนร้อนจัดราวกับไฟ

“เจ้าใช้พิษกับเด็กตัวเท่านี้หรือ โรบาวห์” เสียงของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความโกรธ เขาหันไปจ้องพ่อค้าโจรเขม็ง อีกฝ่ายตีสีหน้าเยาะ

“แค่พิษเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เจ้าเด็กนั่นไม่ถึงกับตายหรอก” เขายกมือขึ้น “แต่ไม่ต้องวิตกไปเพราะข้าจะให้พวกเจ้าได้พบกับความตายอย่างไม่ทรมาน”

รอยยิ้มแสยะปรากฏบนใบหน้าเหี้ยมขณะที่มองดูลูกสมุนโจรจำนวนมากของเขารายล้อมรอบชายหนุ่ม อาวุธในมือกวัดแกว่งไปมาในท่าคุกคาม พวกมันส่งเสียงร้องอย่างคึกคะนองเมื่อเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามมีกำลังน้อยกว่าตน

“ฆ่ามัน”

เสียงเย็นชาของโรบาวห์ร้องสั่ง โจรคนหนึ่งเงื้อดาบขึ้นและพุ่งเข้าหาชายหนุ่มทันทีโดยพรรคพวกที่เหลือกรูตามกันเข้ามา คมดาบขาววับวาวตวัดสะท้อนแสงแดดตัดร่างโจรร้ายทุกคนที่เข้าใกล้ เสียงหอบหายใจกระชั้นถี่ในขณะที่เรี่ยวแรงของชายหนุ่มเริ่มลดน้อยลง เขากอดร่างของเลเบนเอาไว้และหันกลับไปรับดาบของโจรคนหนึ่งซึ่งบุกเข้ามาทางด้านหลัง จังหวะการตั้งรับที่ไม่คาดฝันทำให้การเคลื่อนไหวของเขาช้าลง ดาบในมือถูกกระแทกอย่างแรงจนหลุดออกจากมือ ชายหนุ่มร้องด้วยความโกรธเมื่อปลายดาบของโจรคนนั้นจ่ออยู่ที่ลำคอ

“ลงมือเลยสิ ไม่อย่างนั้นเจ้าจะเป็นฝ่ายถูกฆ่า”

ชายหนุ่มคำราม โจรร้ายแสยะยิ้ม

“ถ้าอย่างงั้นก็ตายซะ”

แต่ยังไม่ทันที่เจ้าคนโฉดจะทันได้ลงมือ เสียงขู่คำรามของสัตว์ป่าก็ดังขึ้น เจ้าโจรร้องเสียงหลงเมื่อถูกร่างที่มีขนพองฟูสีเทากระโจนเข้าใส่และฝังเขี้ยวลงไปในแขนแล้วสะบัดกระชากจนขาด โจรร้ายล้มลงไปนอนดิ้นพลางส่งเสียงร้องครวญครางในขณะที่ผู้เข้ามาขวางมองกลุ่มตนร้ายด้วยดวงตาสีเหลืองทองแสนดุดัน

“นี่มันอะไรกัน” บาร์คพูดขึ้นก่อนจะหันไปแยกเขี้ยวขู่โจรอีกคนซึ่งเข้ามาใกล้ “พวกมนุษย์ขลาดเขลาจนถึงขนาดรุมสังหารเด็กเชียวหรือ”

“ข้าผิดหวังในสิ่งที่เห็นมากกว่าเจ้าเสียอีก” กิลกาเมชกล่าวขณะก้าวเข้ามา เขาตวัดดาบฟันโจรสองคนซึ่งพุ่งเข้าไปหาขาดสองท่อนภายในครั้งเดียว “คำร่ำลือว่าชนมนุษย์เต็มไปด้วยความหาญกล้า ตรงกันข้ามกับที่ข้าพบในตอนนี้เหลือเกิน”

โรบาวห์ยืนตกตะลึงมองดูผู้ที่ก้าวเข้ามาใหม่ด้วยสายตาตระหนก เขาจ้องกิลกาเมชซึ่งอยู่ในชุดเกราะอ่อนสีทองอย่างหวาดกลัว บรรดาลูกน้องโจรของเขาต่างพอกันก้าวถอยหลังด้วยความหวั่นเกรง

“เอลฟ์” พ่อค้าโจรพูดด้วยน้ำเสียงและสีหน้าแสดงความคาดไม่ถึง “เหตุใดพวกเอลฟ์จึงมาอยู่ที่นี่”

“ใช่ว่าข้าจะอยากมาเหยียบแผ่นดินของพวกเจ้า” กิลกาเมชตอบ “แต่การรุมทำร้ายคนซึ่งมีจำนวนน้อยกว่าทำให้ข้าไม่อาจทนนิ่งดูดายอยู่ได้”

“จะมามัวเสียเวลาเจรจาให้มากความอยู่ทำไม ลงมือสังหารพวกมันเสียให้สิ้นไปโดยเร็วจะดีกว่า” บาร์คกล่าวแทรกพลางแลบลิ้นเลียปากของตน กิลกาเมชสั่นศีรษะ

“ข้ามิได้มีเรื่องขุ่นข้องหมองใจกับพวกเขา”

“นี่เจ้าต้องรอให้คมดาบของพวกมันฝังลงไปบนอกเสียก่อนจึงจะต่อสู้อย่างนั้นหรือ ท่านแม่ทัพ” บาร์คกล่าวด้วยน้ำเสียงประชด กิลกาเมชตวัดสายตามองหมาป่าก่อนจะเลื่อนไปที่โรบาวห์

“จะล่าถอยออกไปหรือให้ข้าสังหารจนสิ้นแล้วจึงจำนน”

“อย่าคิดว่าเป็นชาวเอลฟ์แล้วจะกระทำทุกสิ่งได้ดั่งใจ” พ่อค้าโจรกัดฟันพูด เขามองบริวารซึ่งกำลังยืนตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว “ตกลงข้าจะไป!” เขาพูดออกมาในที่สุด “แต่หลังจากที่ข้าได้ของสำคัญกลับคืนมาจากเจ้าเด็กนั่นก่อน”

“ของสำคัญของเจ้า เหตุใดจึงไปอยู่กับเขา” กิลกาเมชเอ่ยถาม โรบาวห์แยกเขี้ยว

“ดูเหมือนชาวเอลฟ์จะไม่รู้จักคำว่าขโมย” เขาตอบเสียงห้วน “เจ้าเด็กนั่นขโมยของของข้าไป และข้าต้องการได้มันกลับคืนมา เดี๋ยวนี้!”

แม่ทัพแห่งเออร์ไอเด็นชำเลืองตามองเลเบนซึ่งกำลังนอนสิ้นสติอยู่บนพื้นหญ้า คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันเมื่อดวงตาแห่งเผ่าพันธุ์มองเห็นพลังบางอย่างแผ่ออกมาจากเสื้อของเด็กชาย กิลกาเมชหันกลับไปทางโรบาวห์

“ของสำคัญที่เจ้ากล่าวมีลักษณะเช่นไร”

“เป็นจี้เงินทรงกระบอกขนาดเล็ก มีอัญมณีสีแดงประดับอยู่บนปลายด้านหนึ่ง”

“แค่นั้นหรือ” แม่ทัพแห่งนครไพรถาม

“แค่นั้น รีบส่งมันมาให้ข้าโดยเร็ว!”

“ข้าคิดว่าคงไม่ได้” กิลกาเมชตอบ เขาตวัดดาบไปด้านหน้าชี้ตรงไปที่โรบาวห์ “เพราะของดังกล่าวมีลักษณะมากกว่าที่เจ้ากล่าวมา และที่สำคัญข้าไม่คิดว่าผู้มีบริวารมากมายรายล้อมกายเช่นเจ้าจะถูกเด็กตัวเล็กๆลักลอบไปขโมยออกมาได้”

ดวงตาสีฟ้าครามทอประกายวาววับ

“ไปให้พ้นจากสายตาข้า เจ้ามนุษย์!”

โรบาวห์ขบกรามตนเองแน่น เขามองกิลกาเมชและบาร์คเขม็งก่อนจะพูดเสียงกร้าว

“อย่าคิดว่าข้าจะยอมแพ้เพียงเท่านี้ เอลฟ์ สักวันข้าจะทำให้เจ้าสำนึกว่ามนุษย์มิใช่ผู้ที่เจ้าจะเอ่ยปากขับไล่ได้ตามแต่ใจ” ดวงตาอาฆาตมองจ้องไปที่ชายหนุ่ม

“แล้วข้าจะกลับมาทวงความแค้นครั้งนี้คืน”

สายตาของโรบาวห์ตวัดกลับไปที่กิลกาเมชอีกครั้ง เขาเชิดหน้าขึ้นและหมุนตัวเดินจากไปทันทีโดยมีเหล่าบรรดาบริวารโจรรีบตามไปด้วยกิริยาลนลาน ชายหนุ่มร้องคำรามเสียงดังพร้อมกับขยับตัวหมายจะพุ่งตามอีกฝ่ายไปด้วยความแค้น แต่บาร์คกลับกัดชายเสื้อของเขาเอาไว้

“ปล่อยข้า!”

“ไม่” บาร์คตอบพร้อมกับสะบัดร่างของเซรัคให้ล้มลง “เจ้ายังมีสิ่งสำคัญกว่าการฆ่าเจ้าโจรนั่นที่ต้องกระทำ”

“ข้าไม่มีธุระอะไรกับหมาป่าพูดได้อย่างเจ้า” ชายหนุ่มตวาด บาร์คสั่นหน้า

“ข้าเองก็ไม่มีธุระอะไรกับเจ้า”ตาสีเหลืองอำพันจ้องหน้าอีกฝ่ายนิ่งบาร์คทำจมูกฟุดฟิดและบ่นพึมพำ “เจ้ามีกลิ่นที่แปลกมาก”

ชายหนุ่มขบกรามตนเองแน่น เขาปัดจมูกของบาร์คออกพร้อมกับหันไปมองเลเบนซึ่งยังนอนสิ้นสติอยู่ ด้วยสีหน้าเป็นห่วง กิลกาเมชเก็บดาบของตนและนั่งลงตรวจอาการของเด็กชาย

“เขาถูกพิษ” เอลฟ์แห่งเออร์ไอเด็นกล่าวพลางใช้มีดสั้นตัดส่วนปลายทั้งสองด้านของธนูออก

“เจ้ารักษาเขาได้หรือไม่” ชายหนุ่มถามอย่างเร็ว กิลกาเมชผงกศีรษะ

“ได้”

“ถ้าอย่างนั้นรีบเร่งมือช่วยเขาด้วยเถิด”

กิลกาเมชรีบตรวจบาดแผลของเลเบนและถาม

“เจ้าชื่ออะไร”

“เซรัค” ชายหนุ่มตอบ เขามองสีหน้าของเด็กชายเริ่มซีดลงทุกขณะอย่างวิตกในขณะที่แม่ทัพแห่งเออร์ไอเด็นขยับตัวเตรียมจะดึงธนูส่วนที่เหลือออกแต่บาร์คกลับส่งเสียงคำราม

“เดี๋ยว” เจ้าหมาป่าเงยหน้าขึ้นแล้วสูดอากาศ “พวกเราต้องรีบออกไปจากที่นี่โดยเร็ว!”

“มีอะไรหรือบาร์ค” กิลกาเมชเอ่ยถามและขมวดคิ้วเมื่อเห็นท่าทางของอีกฝ่าย สุนัขป่าขนเทาหันมามองหน้าเขาพร้อมกับตอบ

“เขามาถึงที่นี่แล้ว”

“ใคร” แม่ทัพแห่งนครไพรถาม บาร์ดคำรามในลำคอก่อนจะตอบเสียงเครียด

“โลกิ”

*/*/*/*/*/*/*/*




Create Date : 13 มีนาคม 2554
Last Update : 13 มีนาคม 2554 18:15:01 น.
Counter : 272 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

กิสึเนะ
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



moony ค่ะ เป็นคนชอบสร้างจินตนาการมาตั้งแต่เด็ก เคยวาดการ์ตูนไว้เป็นเล่ม แต่เก็บไว้อ่านเอง นิยายเรื่องแรกที่เขียนเป็นแนวจีนกำลังภายใน ตอนหลังรู้จักเน็ตจึงเริ่มสร้างสรรเรื่องอื่นบ้างแต่ส่วนใหญ่เป็นแนวแฟนตาซี