ความรู้คือ วัคซีนของชีวิต เพลินอ่านนิยายดี
Group Blog
 
All Blogs
 

ดุลพินิจ : ฝาโลงแผ่นสุดท้าย

ดุลพินิจ : ฝาโลงแผ่นสุดท้าย

 

 

เขียนโดย  ลูกแก้ว

 

 

ความหมายของ “ดุลพินิจ” หรือ “ดุลยพินิจ” ในพจนานุกรมไทย คือ การพิจารณาอย่างละเอียดหรือวินิจฉัยที่เห็นสมควร สองคำนี้จะเห็นบ่อยมากในสำนวนกฎหมายหรือในคำพิพากษาอรรถคดี แต่มักลืมความลึกซึ้งที่ว่า เป็นมุมมองหรือความเห็นส่วนบุคคล เป็นการตัดสินใจของบุคคลหนึ่ง คำนี้มักใช้กับการระงับข้อพิพาทหรือหามติในที่ประชุม ทั้งนี้ การตัดสินใจที่ชื่อ ดุลพินิจ ยังต้องอาศัยกฎระเบียบด้วยว่า จักใช้ความเห็นของบุคคลเดียวหรือคณะบุคคลเพื่อสร้างมติแล้วนำไปใช้บังคับกับกลุ่มคนหรือบุคคล

 

ดุลพินิจจะเป็นที่ยอมรับของคู่พิพาทหรือกลุ่มคนได้หรือไม่ ขึ้นอยู่ที่การให้ความยุติธรรมมากพอหรือไม่ด้วย เมื่อดุลพินิจมาจากความเห็นส่วนบุคคล การสร้างดุลพินิจให้ยุติธรรมจึงขึ้นอยู่กับจิตสำนึกหรือจรรยาบรรณในอาชีพของแต่ละบุคคล การยอมรับในแต่ละดุลพินิจอยู่ที่พฤติการณ์ของผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับมันโดยตรง หลายปีมานี้มีการโต้แย้งเรื่องความยุติธรรมในดุลพินิจของผู้มีหน้าที่ตัดสินคดีที่เกี่ยวข้องกับบุคคลทางการเมือง อันสร้างความไม่ไว้วางใจต่อกระบวนการยุติธรรมในสายตาของคนไทยหรือคนทั่วโลก หากสังเกตให้ชัดจักพบว่า ล้วนเกี่ยวพันโดยตรงกับดุลพินิจ

 

ผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินข้อพิพาททั้งในชั้นศาลหรือองค์กรอิสระช่วงหลายปีมานี้ต่างถูกตั้งข้อสังเกตเรื่องความไม่น่าเชื่อถือในดุลพินิจซึ่งแสดงออกด้วยการพูดถกกันทางวิชาการหรือเขียนบทความต่างๆทั้งในไทยและต่างประเทศ ดุลพินิจในการตัดสินอรรถคดีต้องประกอบด้วย ความรู้เกี่ยวกับข้อกฎหมายตามประเภทคดี จรรยาบรรณวิชาชีพหรือหน้าที่  จิตสำนึกความเป็นมนุษย์ และ ความเข้าใจในหลักปกครองประเทศอย่างถูกต้อง ถ้าสามารถดำรงตนในการตัดสินใจกับทุกข้อพิพาทบนพื้นฐานนี้ได้ จักได้ ดุลพินิจที่ยุติธรรมและเป็นที่ยอมรับของปวงประชา

 

สิ่งสำคัญที่สร้างความไม่ไว้วางใจของประชาชนต่อองค์กรด้านยุติธรรมไทยในหลายคดีทางการเมืองจักเห็นว่า เกิดขึ้นจากการดูแคลนความรู้เข้าใจของประชาชนและการไม่แคร์สายตาแคลงใจของผู้ใช้ดุลพินิจซึ่งถือตนว่าเป็นอิสระจากประชาชน ถ้าไม่แก้ไขต้นเหตุที่สร้างความระแวงใจระหว่างประชาชนกับองค์กรที่มีอำนาจใช้ดุลพินิจซึ่งกระทบต่อชีวิตและเสรีภาพของปวงชน  จักเพิ่มแรงกดดันทางจิตหวาดกลัวของประชาชนและสะสมไว้จนระเบิดออกเพื่อทำลายสิ่งที่สร้างความหวาดกลัวนั้นดังที่เกิดขึ้นในหลายประเทศมาแล้ว

 

องค์กรที่ใช้ดุลพินิจกระทบต่อชีวิตและเสรีภาพของประชาชนตามรัฐธรรมนูญไทยมีมากมายจนกลายเป็นการวางกรอบแนวคิดให้ประชาชนต้องคิดตามและเชื่อฟังฝ่ายเดียว ด้วยข้ออ้างว่า เป็นองค์กรอิสระที่คิดเอง ตัดสินคนอื่นได้ แต่ห้ามคนอื่นแตะต้ององค์กร การแสดงอำนาจขององค์กรด้วยการใช้กฎหมายบังคับกับประชาชนเพื่อข่มขู่มิให้เข้าใกล้หรือแตะต้องตนหรืออวดอำนาจ มันคือการสร้างความหวาดกลัวและขอบเขตแนวคิดให้ประชาชน หมายความว่า ถ้าคิดต่างจากดุลพินิจขององค์กร คือ ความผิดที่ต้องลงโทษ จึงเป็นการกำหนดกรอบความคิดใช้ควบคุมประชาชน โดยไม่ให้คำนึงถึงที่มาหรือเบื้องหลังของดุลพินิจนั้น เสมือนการบังคับให้เชื่อฟัง โดยห้ามซักถามหรือสงสัย ดังที่เกิดขึ้นในสังคมเผด็จการ

 

องค์กรด้านการใช้ดุลพินิจยังมีแนวความคิดดั้งเดิมที่ว่า ประชาชนไม่รู้ ไม่เข้าใจ ไม่เท่าทัน ต่อพฤติการณ์หรือเบื้องหลังข้อพิพาทเพียงพอ จึงใช้ดุลพินิจตัดสินหรือมีมติที่สร้างความไม่เชื่อถือในสังคมไทยมากขึ้น เพราะเชื่อมั่นว่าตนมีอิสระ ไม่มีความเกี่ยวโยงกับประชาชน ไม่ต้องแคร์สายตาหรือความรู้สึกของคนไทย จึงมักเห็นภาพบุคคลหรือการแสดงความเห็นจากองค์กรเหล่านั้นในลักษณะข่มขู่หรือบังคับใช้ข้อกฎหมายที่ให้เปรียบแก่ตนต่อประชาชนที่เห็นต่างเป็นระยะ ยิ่งข่มขู่ ยิ่งใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือกำราบประชาชน ยิ่งเร่งเร้าให้พลังสะสมอัดแน่นขึ้นแล้วปะทุระเบิดออกมาเพื่อทำลายล้างสิ่งที่สร้างความหวาดกลัวของประชาชนเร็วขึ้นอันเป็นธรรมชาติของพลัง

 

ความเป็นอิสระขององค์กรที่มีอำนาจใช้ดุลพินิจล้นฟ้ามีกฎหมายรับรองโดยรัฐสภาของคณะปฏิวัติ2549 เพื่อแผนทางการเมือง นี่คือความจริงที่สังคมไทยและสากลโลกล้วนยอมรับกันแล้ว รัฐธรรมนูญปี 2550 ให้อำนาจสูงสุดแก่องค์กรด้านการใช้ดุลพินิจหลายแห่งทำหน้าที่บริหารและตัดสินข้อพิพาทได้เบ็ดเสร็จ อันเป็นการขัดต่อหลักสากลเรื่อง คานอำนาจและตรวจสอบซึ่งกันและกัน บางแห่งก้าวก่ายอำนาจกันด้วย ตัวอย่างเช่น อำนาจตุลาการเข้าไปอยู่เป็นองค์คณะบริหารรัฐวิสาหกิจหรือตัดสินยกเลิก เพิกถอน คำสั่งของฝ่ายบริหารหรือฝ่ายนิติบัญญัติโดยไร้ขอบเขตก็ได้ ไล่นักการเมืองที่ประชาชนเลือกเข้าสภาหรือยุบพรรคการเมืองด้วยเงื่อนไขง่ายเกินไป เป็นต้น วันนี้เราจักเห็นอำนาจล้นฟ้าขององค์กรที่ใช้ดุลพินิจสอดแทรกอยู่ในหน่วยงานรัฐหรือการเมืองไทยแบบควบคุมและบังคับให้เดินตามดุลพินิจที่ตีความกันเองจะขยายกว้างแค่ไหนก็ได้โดยปราศจากการคานอำนาจหรือตรวจสอบจากภาคประชาชน ทั้งที่องค์กรเหล่านั้นล้วนรับเงินเดือนจากระบบงบประมาณของประเทศอันได้มาจากเงินภาษีของประชาชน แต่กล่าวอ้างถือตนว่า เป็นองค์กรอิสระไม่ขึ้นอยู่กับประชาชน ไม่ได้ทำงานเพื่อปวงชน ไม่ได้มาจากประชาชน อันผิดเพี้ยนจากหลักประชาธิปไตยที่ใช้ในสากลโลก

 

ความเป็นอิสระของดุลพินิจจักต้องยืนบนความยุติธรรมด้วย จึงทำให้ดุลพินิจเป็นที่ยอมรับของปวงประชาได้ สำหรับการตัดสินข้อพิพาทหรืออรรถคดีนั้นดุลพินิจเปรียบเสมือนฝาโลงแผ่นสุดท้ายของคนชั่วหรือคนบริสุทธิ์ก็ได้ คุณสมบัติของคนใช้ดุลพินิจจึงมีความสำคัญยิ่งยวด ชาติตะวันตกจักให้ความสำคัญต่อผู้ใช้ดุลพินิจมาก ถ้าเห็นว่าอคติหรือคุณสมบัติบางอย่างของผู้ตัดสินอาจส่งผลต่อดุลพินิจที่ควรยุติธรรม จักถูกเปลี่ยนตัวทันทีโดยไม่รอให้แสดงความเห็นทางคดีก่อน ตัวอย่างการใช้ดุลพินิจของต่างประเทศที่อาจส่งผลต่อเสรีภาพหรือชีวิตจำเลยซึ่งเขาจะไม่ปล่อยผ่านไปเด็ดขาด คือ จำเลยในคดีฆาตกรรมเกย์คู่ขา ระหว่างการพิจารณาคดีทนายจำเลยร้องขอเปลี่ยนผู้พิพากษาทันทีเมื่อพบว่า เขาเคยไปร่วมเสวนาและพูดสนับสนุนให้ต่อต้านเกย์ในที่ประชุมแห่งหนึ่ง ศาลต่างประเทศสั่งเปลี่ยนผู้พิพากษาคนนั้นทันทีด้วยเหตุผลว่าอาจส่งผลต่อการใช้ดุลพินิจในคดีที่จำเลยเป็นเกย์ จักเห็นว่าองค์กรศาลตะวันตกไม่ปล่อยให้ใช้ดุลพินิจก่อนแล้วไปอุทธรณ์ฎีกาทีหลัง เป็นต้น

 

งานยุติธรรมไทยวันนี้ยังมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับอิสระขององค์กรที่ใช้ดุลพินิจไร้ขอบเขต การตีความให้แคบหรือขยายอำนาจออกไปบริหารบ้านเมืองผ่านดุลพินิจ จนกระทั่งนักวิชาการบางคนมองว่า ประเทศไทยวันนี้มิได้ปกครองตามหลักประชาธิปไตยที่ต้องมีสามอำนาจหลักคานกันและกันไว้ คือ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการ เนื่องจากอำนาจตุลาการสามารถบริหารบ้านเมืองผ่านการแต่งตั้งกรรมการจากตุลาการไปอยู่ในหน่วยงานที่ควบคุมฝ่ายบริหารหรือฝ่ายนิติบัญญัติ แล้วยังเป็นผู้ตรวจสอบและตัดสินการทำงานของข้าราชการหรือนักการเมืองได้อีกโดยเขียนสำนวน ส่งฟ้อง และตัดสินได้ในคนกลุ่มเดียวคือฝ่ายตุลาการ ถ้าหน่วยงานรัฐที่ฝ่ายตุลาการบริหารงานอยู่เกิดการทุจริตขึ้น ความยุติธรรมจะหาได้จากจุดใด เมื่อฝ่ายตุลาการเป็นผู้บริหารองค์กรที่ถูกกล่าวหาว่าทุจริตและยังเป็นผู้ตัดสินเรื่องนี้เองด้วย อีกทั้งการแต่งตั้งบุคคลหรือการออกกฎหมายซึ่งเป็นอำนาจเฉพาะของฝ่ายบริหารหรือฝ่ายนิติบัญญัติ วันนี้อำนาจตุลาการสามารถยกเลิก เพิกถอน อย่างไร้ขอบเขตโดยการใช้ดุลพินิจส่วนบุคคลซึ่งไม่คำนึงถึงหน้าที่หรือหลักปกครองแบบประชาธิปไตยก็ได้ ทำให้ฝ่ายบริหารหรือฝ่ายนิติบัญญัติทำงานอย่างหวาดเกรงการเข้าแทรกแซงของฝ่ายตุลาการผ่านดุลพินิจ ในทางกลับกันฝ่ายบริหารหรือฝ่ายนิติบัญญัติไม่มีดุลยภาพแห่งอำนาจในฝ่ายตุลาการเลย

 

ฝาโลงสามแผ่นที่ใช้ควบคุมคนกระทำความผิด คือ ตำรวจ อัยการ และ ราชทัณฑ์ ดุลพินิจเปรียบเสมือนฝาโลงแผ่นสุดท้ายที่จะกักขังผู้กระทำความผิดหรือผู้บริสุทธิ์ก็ได้ ถ้าผู้ใช้ดุลพินิจไม่มีความรู้ ไร้จิตสำนึกความเป็นมนุษย์  ไม่มีจรรยาบรรณในหน้าที่ ไม่มีหัวใจยุติธรรมและไม่ยึดมั่นต่อหลักปกครองในประเทศอย่างถูกต้อง ย่อมไม่มีวันใช้ดุลพินิจอย่างเป็นธรรมได้ ดังนั้น ระบบควบคุมและตรวจสอบการใช้ดุลพินิจและการคัดเลือกผู้ใช้อำนาจจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องปฏิรูปในระบบงานยุติธรรมไทยโดยเร็วที่สุด มิฉะนั้น แพะรับบาปในข้อพิพาทจะไม่มีวันหมดไปจากสังคม เราถูกสอนต่อเนื่องกันมาว่า อำนาจตุลาการมีหน้าที่ในการตัดสินอรรถคดีด้วยกฎหมาย ปกป้องสิทธิเสรีภาพ และให้ความเป็นธรรมแก่คนไทย ไม่มีสักคำสอนที่บอกว่า ฝ่ายตุลาการมีหน้าที่บริหารบ้านเมืองหรือเขียนกฎหมายมาบังคับใช้กับประชาชน วันนี้อำนาจตุลาการใช้ดุลพินิจเพื่อบริหารประเทศและเขียนกฎหมายให้ประชาชนโดยทางอ้อม ถือว่าทำหน้าที่ล้นขอบไปหรือไม่ ที่พึ่งสุดท้ายเพื่อหาความเป็นธรรมให้ประชาชนยังอยู่ที่อำนาจตุลาการจริงหรือไม่ คนไทยควรทบทวนบทบาทของฝ่ายตุลาการให้ถี่ถ้วนอีกครั้งโดยไม่ลืมว่านี่คือยุคใดและเพื่อนร่วมโลกบริหารจัดการบทบาทของฝ่ายตุลาการอย่างไรให้น่าเชื่อถือได้ แล้วเร่งปรับปรุง แก้ไข ปัญหานั้นโดยเร็ว มิฉะนั้น วันหนึ่งคนไทยซึ่งอาจเป็นท่านจักเป็นเหยื่อความอยุติธรรมนี้และต้องนอนในโลงที่ชื่อว่า ดุลพินิจ

 

การรู้จักพอเพียงในอำนาจและยึดมั่นต่อหน้าที่ของตน ทำให้สังคมสงบสุขได้ง่ายมาก ดังที่ผู้ใหญ่ในอดีตสอนคนรุ่นต่อไปเป็นคำเตือนที่ไม่เคยล้าสมัยว่า สิ่งของที่ไม่ควรเป็นของตน แม้ยัดเยียดให้เรา ก็ไม่จำต้องรับไว้ถ้ารู้จักความพอเพียงอย่างแท้จริง แค่คำปฏิเสธก็ช่วยให้สังคมไม่วุ่นวายได้แล้ว ฝ่ายตุลาการยุคนี้เข้าใจคำว่า พอเพียง อย่างถูกต้องหรือไม่ ปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างหรือไม่ คนไทยควรตัดสินจากพฤติการณ์การแสดงออกเป็นหลักมากกว่าคำพูดที่พลิกพลิ้วไหวเพื่อสร้างความชอบธรรมแก่ตน เหตุใดประชาชนจึงเป็นฝ่ายเดียวที่ควรใช้วิถีชีวิตพอเพียง ขณะที่ผู้มีอำนาจฝ่ายต่างๆไม่จำต้องยึดถือวิถีนี้ คนไทยยุคนี้คงหาคำตอบได้ไม่ยาก เมื่อยังเหลือเสรีภาพทางความคิดไว้ติดกายอยู่

 

 

******************************




 

Create Date : 23 พฤษภาคม 2555    
Last Update : 23 พฤษภาคม 2555 1:15:50 น.
Counter : 1481 Pageviews.  

ภัยลูกหาย

ภัยลูกหาย

เขียนโดย แก้วมณี

ข่าวลูกชายวัย 5 ขวบของเพื่อนน้องสาวหายไปจากครอบครัวเพราะโจรหญิงคนหนึ่งอุ้มพาหายไปจากห้างสรรพสินค้าแค่ห่างสายตานิดเดียวทำให้รู้สึกสะเทือนใจที่ได้ยินอย่างมาก แม้จะเป็นความพลั้งพลาดของพ่อแม่หรือความซนของเด็กก็ตาม ล้วนนำพาความเสียใจ ความหวั่นใจ ให้พ่อแม่ และรวมไปถึงความหวาดกลัวและเดียวดายของเด็กคนนั้นเมื่อต้องอยู่กับหญิงแปลกหน้าที่มิใช่พ่อแม่ จึงอยากเขียนเตือนภัยให้พ่อแม่ระมัดระวังลูกชายหรือลูกหญิงให้มากแม้จะอยู่ในบ้านหรือพาไปเที่ยวข้างนอกก็ตาม บัดนี้ ค่าตัวเด็กทารกถึงเด็กโตมีมูลค่าตั้งแต่หลักพันถึงหลักหมื่นซึ่งดึงดูดโจรให้ลักพาเด็กถี่ขึ้นเมื่อไปอยู่ในมือของนายหน้าค้าเด็กก็จะมีค่าตัวสูงเป็นหลักแสนบาท ความประมาทของพ่อแม่เป็นปัจจัยหลักที่โจรรอคอยจะลักพาเด็กไปจากการคุ้มครองของครอบครัว ส่วนใหญ่แล้วคดีลักพาเด็กนั้นค่อนข้างตามกลับคืนครอบครัวยากมาก แม้จะมีหมายจับโจรคนนี้แล้วก็ตาม มันจักกลายเป็นแผลเป็นในใจของพ่อแม่ตลอดชีวิต ส่วนเด็กคนนั้นมีชะตากรรมที่ไม่แน่นอนเพราะจะถูกขายไปให้ครอบครัวอื่นที่ต้องการลูกหรือทาสหรือของคนต่างชาติ ความทรงจำของเด็กที่มีต่อครอบครัวเดิมหากยังอยู่ มันย่อมกระตุ้นให้เด็กต่อต้านโจรหรือครอบครัวใหม่ อันส่งผลให้เด็กต้องถูกทรมานหรือต้องตายก็ได้
เด็กทารกถึงเด็กโตเป็นวัยที่อ่อนแอและไม่สามารถปกป้องตัวเอง แม้แต่แยกแยะพ่อแม่กับคนแปลกหน้ายังค่อนข้างยาก จึงไม่แปลกที่โจรจะฉวยเด็กหนีจากพ่อแม่ไปต่อหน้าต่อตาโดยเด็กไม่ร้องไห้หรือไม่โวยวาย พลเมืองดีจึงแยกไม่ออกว่าคนอุ้มเด็กเป็นพ่อแม่แท้ๆหรือโจรกันแน่ ทำให้งานขโมยเด็กเป็นงานง่ายและเงินดีสำหรับมิจฉาชีพ การป้องกันเด็กหายจึงเป็นสิ่งที่ควรกระทำที่สุด สถิติเด็กไทยหายนั้นมีเฉลี่ยวันละ 1 คน ด้วยฝีมือคนในครอบครัวเดียวกันหรือโจร ผู้เป็นพ่อแม่จึงควรตระหนักแก่ใจว่ามิได้มีหน้าที่ดูแลสุขภาพเด็กเท่านั้น แต่รวมถึงความปลอดภัยของเด็กอีกด้วย
การเรียนรู้จากความผิดพลาดของพ่อแม่คนอื่นช่วยสร้างบทเรียนใหม่ๆแก่พ่อแม่รุ่นต่อมามิให้ทำพลาดซ้ำอีก ดังเช่น กรณีเด็กหายในรั้วบ้านของพ่อแม่ เมื่อเด็กหญิงวัย 3 ขวบ นั่งเล่นกองทรายบนถนนในรั้วบ้าน แต่เปิดประตูรั้วไว้ด้วยความเคยชินของสมาชิกในบ้านที่จะขับรถเข้าบ้านได้โดยไม่ต้องลงจากรถไปเปิดด้วยตัวเอง แต่มันกลายเป็นเส้นทางสำคัญให้โจรมาลักลูกของพวกเขาไปอย่างง่ายดาย เมื่อรถตู้แล่นมาจอดแล้วชายคนหนึ่งวิ่งเข้าไปอุ้มเด็กหญิงเข้ารถแล้วขับออกไปต่อหน้าผู้เป็นย่าที่นั่งมองหลานอยู่ไม่ห่างนัก คดีนี้ก็ยังปิดไม่ได้เพราะหาเด็กไม่พบจนเวลาล่วงผ่านมากว่า 5 ปีแล้ว ลองคิดว่าเด็กหญิงคนนั้นจะถูกขายไปอยู่กับครอบครัวใด มีความสุขหรือทุกข์เพียงใดเมื่อเทียบกับการอยู่กับพ่อแม่แท้ๆซึ่งมีฐานะการเงินที่ดีและให้ความสุขกับเลือดเนื้อแท้ๆของเขา ขณะที่ครอบครัวใหม่กระทำผิดกฎหมายด้วยการซื้อเด็กจากโจรสนองความต้องการส่วนตัวไม่ว่าในฐานะลูกหรือทาสก็ตาม ชีวิตของลูกคือ ความไม่แน่นอน ความกลัวและความโดดเดี่ยว การหายตัวไปของเด็กเกิดขึ้นเพราะความมักง่ายของผู้ใหญ่ ถ้าไม่เปิดรั้วบ้านไว้ ย่อมไม่มีโจรคนใดเสียเวลาปีนบ้านเพื่อเข้าไปอุ้มเด็กตามหลักวิญญูชน การเสียลูกไปครั้งนี้ยังเป็นตราบาปที่ติดตรึงหัวใจของพ่อแม่ไปตลอดชีวิตตราบใดที่ยังหาเด็กไม่พบ
กรณีลูกหายเพราะช็อปปิ้งเพลินในห้างสรรพสินค้าเป็นอีกกรณีหนึ่งที่มาจากความประมาทเลินเล่อและหลงเพลินกับสินค้า ลูกชายวัยห้าขวบเดินไปกับพ่อแม่ในห้างสรรพสินค้า เมื่อพ่อแม่คุยและเลือกสินค้าอยู่ ลูกซึ่งเดินได้คล่องพอควรจึงป้วนเปี้ยนอยู่ไม่ห่างพ่อแม่นัก พ่อแม่จึงสนใจสินค้ามากกว่าจูงมือลูกไว้ โจรหญิงเข้าไปหาเด็กแล้วอุ้มลูกของพวกเขาเดินหายไปในฝูงชนแค่ลัดสายตาเดียวที่พวกเขาสนใจสินค้าเท่านั้น มันใช้เวลาไม่กี่วินาทีที่ลูกหายไป พวกเขาตกใจอย่างมากเมื่อหันมาไม่เห็นลูกชายที่ควรยืนหรือนั่งเล่นใกล้ๆ เมื่อไปเปิดกล้องวงจรปิดของห้างฯก็เห็นผู้หญิงใบหน้าชัดอุ้มลูกชายไปโดยเด็กไม่ได้ร้องโวยวายใดๆและอยู่ห่างจากพ่อแม่ไม่กี่คืบ แต่ความที่เด็กไม่ได้อยู่ในสายตาของพ่อแม่และไม่ได้จับมือของพ่อแม่ไว้ จึงเป็นจุดที่โจรเข้าไปหาเด็กอย่างนุ่มนวลแล้วอุ้มหนีจากไป มันเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่พ่อแม่ชะล่าใจคิดว่า ลูกโตช่วยตัวเองได้และไม่จำเป็นต้องจูงมือหรืออยู่ในสายตาตลอดเวลาเหมือนตอนเป็นทารก อันที่จริงแล้วเด็กยังไม่อาจแยกแยะคนดีคนชั่วหรือพ่อแม่กับคนแปลกหน้าได้ ทำให้โจรเอาเด็กไปได้อย่างง่ายดายโดยไม่มีเสียงร้องขอความช่วยเหลือใดๆจากเด็กอันมาจากความไร้เดียงสาของเด็ก ส่วนพ่อแม่ก็ประมาทที่เชื่อว่าลูกอยู่ใกล้และโจรไม่กล้าพอจะมาใกล้พวกเขา แต่พ่อแม่ไม่อยู่ใกล้เด็กพอที่โจรจะไม่กล้าแตะต้องเด็ก พวกเขาจึงสูญเสียลูกไปตั้งแต่เดือนมีนาคม พ.ศ.2552 จนถึงบัดนี้ที่เขียนบทความก็ยังไม่ได้ข่าวของลูกชายวัย 5 ขวบเลย เมื่อสืบข้อมูลของโจรหญิงคนนี้ก็พบว่า เธอมีหมายจับเรื่องลักพาเด็กอยู่ก่อนหลายคดีแล้วเท่ากับมีเหยื่อเด็กหรือหลายครอบครัวที่ทุกข์ทรมานเช่นเดียวกัน ตำรวจก็ยังตามจับโจรหญิงคนนี้ไม่ได้ ยิ่งผ่านไปนานวันนานเดือนก็ยืนยันการสูญเสียเด็กถาวรยิ่งขึ้นดังที่เกิดขึ้นกับหลายครอบครัวมาแล้ว
การหวังพึ่งพาให้ตำรวจตามล่าหาเด็กหายไปจากพ่อแม่นั้นต้องยอมรับว่ายาก เพราะคดีเด็กหายจำนวนมากยังไม่คลี่คลาย แม้มีภาพวงจรปิดที่เห็นใบหน้าโจรหญิงชัดดังคดีที่เล่าให้ฟังตอนต้นนั้น ก็ยังไม่มีเบาะแสจับเธอมาได้เลยอันอาจมาจากประสิทธิภาพของตำรวจไทยหรือการแจ้งเบาะแสจากพลเมืองดีมีน้อยหรือการกระจายข่าวเหยื่อให้สายตาคนทั้งประเทศช่วยสอดส่องมองหาร่วมด้วยมีน้อยมากหรือปัจจัยอื่นๆ เราต้องไม่ลืมว่า แผ่นดินไทยกว้างใหญ่ ตำรวจมีงานยุ่งมากและอาจมองว่าคดีเด็กหายเป็นเรื่องเล็กกว่าคดีจับยาเสพติด จึงทำให้การตามล่าหาคนร้ายลักเด็กไม่คืบหน้า สิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่งในสังคมไทย คือ สื่อมวลชนให้ความสนใจน้อยกับคดีลักพาลูกของคนอื่นโดยให้น้ำหนักเพียงว่า เป็นเรื่องในครอบครัว ทำให้การเผยแพร่ข้อมูลโจรลักพาเด็กมีน้อยมาก การตามจับโจรหรือการให้ข้อมูลเพิ่มเติมของโจรมีน้อยยิ่ง ลองนึกว่า ถ้ามีภาพโจรหญิงคนนี้แพร่หลายในข่าวทีวีหรือทุกช่วงรายการทีวี ตำรวจต้องได้ข้อมูลของเธอแล้วจับเธอง่ายขึ้นเพื่อป้องกันมิให้ก่อเหตุร้ายซ้ำอีก เด็กชายวัยห้าขวบคนนั้นก็ไม่ถูกลักพาตัวไปเนื่องจากทีวีไทยแพร่ภาพไปทั่วแผ่นดินไทยแล้วในเวลานี้ อีกทั้งการแพร่ข้อมูลทางอินเตอร์เนตจะช่วยเก็บข้อมูลเพิ่มขึ้นได้ แต่สื่อมวลชนไทยไม่เคยช่วยเหลือสังคมในด้านนี้เลย อันแตกต่างจากสื่อในต่างประเทศเมื่อเกิดกรณีลักพาเด็กและมีการขอความช่วยเหลือจากครอบครัวเด็กหรือตำรวจ จะมีการเผยแพร่ข้อมูลผ่านทุกเครือข่ายของทีวีจำนวนมากทำให้ตำรวจได้รับข้อมูลมากมายและนำไปสู่การจับโจรหรือช่วยเหลือเด็กได้ทันเวลา
ถ้าพ่อแม่ไม่ตระหนักถึงภัยการลักพาเด็กไปขายหรือเพื่อเหตุอื่นใดที่ผิดกฎหมาย อีกทั้งท่านไม่มีวันรู้ว่ากำลังอยู่ในสายตาของโจรหรือไม่ วิธีเดียวที่จะปกป้องลูกได้ คือ การไม่ปล่อยลูกให้อยู่ตามลำพังหรือห่างสายตาอย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในที่ชุมชน มิฉะนั้น โศกนาฏกรรมจะไม่มีวันจางไปจากครอบครัวของท่านเลยเพราะตราบาปที่ท่านมีส่วนก่อขึ้นแม้ไม่เจตนา แต่ก็รู้ดีว่าชะตากรรมดีหรือร้ายของลูกในวันนี้หรืออนาคต ท่านมีส่วนก่อขึ้นด้วย ความสุขในครอบครัวจะไม่หวนกลับมาอีกครั้งแน่นอนตราบใดที่ยังไม่พบลูก หลายครอบครัวต้องสูญเสียลูกไปถาวรเพราะหาไม่พบ แม้จะดิ้นรนค้นหาเพียงใดก็ตาม
คำถามที่ว่า โจรลักเด็กไปเพื่ออะไร คำตอบง่ายๆ คือ เงินค่าตัวเด็ก เนื่องจากสังคมไทยบางส่วนสร้างแหล่งหาเงินจากเด็กเพราะบางครอบครัวไม่สามารถมีลูกได้เองและมักง่ายเพราะเบื่อหน่ายการขอเด็กกับทางราชการ จึงเกิดความคิดซื้อเด็กราคาถูกในตลาดมืด โจรลักพาเด็กตามที่ลูกค้าต้องการแล้วนำไปขายด้วยค่าตัวตั้งแต่ระดับทารกประมาณหลักพันถึงเด็กโตประมาณหลายหมื่นบาท หากต้องผ่านนายหน้าค้าเด็ก ค่าตัวเด็กจะสูงขึ้นไปอีก เด็กบางคนได้ไปอยู่ในครอบครัวที่มีฐานะดี บ้างก็อยู่ในครอบครัวยากจน แต่อยากมีแรงงานเด็กไว้ใช้งาน บ้างก็โชคร้ายเมื่อแม่เล้าในซ่องโสเภณีต้องการเด็กหญิงไปเลี้ยงเพื่อให้โตขึ้นทำงานใช้หนี้ การซื้อเด็กนั้นมิใช่คนไทยกระทำต่อกันเท่านั้น คนซื้อยังมีชาวต่างชาติอีกด้วย มันเรียกได้ว่าชะตากรรมของเด็กนั้นยากคาดเดาว่าจะพบเจอเรื่องดีหรือเลวในชีวิตของพวกเขาซึ่งบางคนเกิดมาในครอบครัวที่ดีมีฐานะการเงินดี แต่ถูกลักพาตัวไปตกระกำลำบากอย่างที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นกับเขา การลักพาเด็กหรือลูกของครอบครัวใดก็ตามความรู้สึกที่คนไม่เคยรับรู้ แต่ต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอนกับตัวเด็กคือ ความกลัวและความโดดเดี่ยวเมื่อไม่เห็นพ่อแม่เป็นเวลานาน มันเป็นแรงกดดันที่กระตุ้นให้เด็กอาจร้องไห้หนักเมื่ออยู่กับโจร สิ่งที่เขาจะได้รับแน่นอนคือ การตีทำร้ายเพื่อให้หยุดร้องไห้และกลัวหรือเชื่อฟังพวกเขา ต่อมาเด็กเรียนรู้ว่าจะเลี่ยงความเจ็บด้วยการนิ่ง จึงช่วยให้โจรทำงานง่ายขึ้น ชีวิตเด็กจะตกในอันตรายยิ่งขึ้นเมื่อมีความกลัว แม้เด็กจะคิดถึงพ่อแม่ แต่บอกชื่อพ่อแม่หรือชื่อนามสกุลของตัวเองยังไม่ได้ ไม่รู้จะไปหาพ่อแม่ได้ที่ไหน สิ่งที่เด็กทำได้ คือ ต้องทำตามคำสั่งของโจรแลกกับการไม่ต้องถูกทำร้ายให้บาดเจ็บตามสัญชาตญาณของมนุษย์ การนิ่งเฉยหรือการไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากผู้ใดของเด็กยิ่งทำลายโอกาสค้นหาของพ่อแม่ขึ้น ดังนั้น หลายครอบครัวจึงไม่เคยพบลูกอีกนับแต่วันที่เด็กถูกลักพาตัวไปและอาจไม่มีวันได้พบกันตลอดกาลก็ได้
กรณีที่น่าสะเทือนใจและเป็นข่าวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์เมื่อหลายปีก่อน คือ คดีลักพาลูกวัย6-7 ขวบของหญิงคนหนึ่ง แม่พยายามตามหาทุกวันทุกคืนเป็นเวลาหลายเดือนด้วยความทุกข์ระทมใจ ต่อมาวันหนึ่งเธอเดินกลับจากกินข้าวเที่ยงเพื่อไปทำงานอีก เสียงเรียกแม่ดังขึ้นเมื่อเธอหันกลับไปมองเจ้าของเสียงเรียกนั้นจึงพบเด็กแขนขาดนั่งขอทานอยู่บนสะพานลอยที่เธอกำลังเดินข้ามไป ใบหน้าของเด็กมอมแมมและแววตาเศร้ายิ่ง เธอร้องไห้โฮและเข้าไปกอดเด็กชายคนนั้นด้วยความรักและคิดถึง เมื่อเด็กพิการคนนั้นคือ ลูกที่หลายไปหลายเดือนของเธอซึ่งตอนนี้ไม่เหมือนเก่าอีกแล้ว ตำรวจซักถามเด็กและตามล่าหาโจรที่ลักพาเขาไป แต่ได้ข้อมูลน้อยทำให้พวกมันลอยนวลต่อไปจนบัดนี้ เรื่องที่เด็กเล่าให้ฟังสร้างความสะเทือนใจยิ่งนัก เมื่อเด็กถูกโจรลักพาไปขายให้กลุ่มขอทาน จากนั้นก็ถูกนำไปให้หมอเถื่อนตัดแขนสองข้างทิ้งเพื่อให้เป็นเด็กพิการแล้วขอทานหาเงินไปให้พวกเขา เด็กที่มาจากครอบครัวคนชั้นกลางในกทม.และมีความสุขจากพ่อแม่อย่างดีต้องกลายสภาพเป็นเด็กพิการที่ตั้งใจให้ไปขอทานหาเงินเลี้ยงมิจฉาชีพเพียงแค่ความประมาทชั่วพริบตาหนึ่งของพ่อแม่ มันนำพาความทุกข์ใจแก่ครอบครัวสุดบรรยายได้ แม้เด็กจะกลับสู่ครอบครัวแท้จริงได้ แต่ความสูญเสียของเขาฝังตรึงในใจและอยู่กับสภาพร่างกายใหม่ที่บกพร่องด้วยฝีมือคนชั่วร้ายกลุ่มหนึ่งที่ยังลอยนวลไปทำร้ายเด็กอื่นได้อีก
เวลานี้ขบวนการลักเด็กมีตลาดขายกว้างขวางขึ้นกว่าในอดีต คือ ตลาดครอบครัวที่ต้องการลูก ตลาดขอทาน ตลาดขายอวัยวะ ตลาดเรือประมง (กรณีลักพาวัยรุ่นไปขึ้นเรือประมงมีเพิ่มขึ้น) ตลาดห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์หรือผลิตยา ตลาดโสเภณี อายุเด็กก็ขยายเพิ่มขึ้นจากทารกไปถึงวัยรุ่นกันแล้ว เด็กจึงเป็นกลุ่มที่น่าห่วงใยเพิ่มขึ้นเพราะปกป้องตัวเองได้น้อย ขาดประสบการณ์ชีวิต พ่อแม่และครอบครัวต้องเพิ่มความรู้ ความเข้าใจ สอนวิธีป้องกันตัวเองให้เด็กรับรู้เพิ่มขึ้น และต้องให้ความเอาใจใส่ลูกใกล้ชิดขึ้นไม่ว่าจะอยู่บ้านหรือที่ชุมชนเพราะมิจฉาชีพเริ่มรุกเข้าใกล้บ้านคนสุจริตเพิ่มขึ้นแล้ว ถ้าไม่ปกป้องบ้านหรือครอบครัวไว้ ผู้เสียใจที่สุดย่อมเป็นท่านและครอบครัวเท่านั้น ตำรวจเป็นผู้มาถึงปลายเหตุและการแก้ไขค่อนข้างยากและอาจเกินกว่าจะเยียวยาก็ได้ ขอให้รักและเอาใจใส่ลูกให้มากขึ้น อย่าประมาทแม้เสี้ยววินาทีเพราะสายตาโจรจ้องมองลูกของท่านอยู่ มิฉะนั้น จะต้องอยู่กับความเสียใจและทุกข์ใจไปตลอดชีวิตของท่านและลูก วิธีป้องกันแสนง่ายและไม่ต้องเสียเงิน คือ เอาใจใส่ลูก จับมือของลูก และ สายตามองลูกเท่านั้น ท่านจะพ้นภัยลักพาเด็กได้

**********************************




 

Create Date : 30 กรกฎาคม 2554    
Last Update : 30 กรกฎาคม 2554 15:23:31 น.
Counter : 1226 Pageviews.  

ดัชนีเศรษฐกิจระดับชาวบ้าน

เขียนโดย ลูกแก้ว

การวัดความเติบโตทางเศรษฐกิจของรัฐบาลอาจใช้วิชาการหลายแขนงในการได้ตัวเลขดังกล่าว นอกจากนั้นยังต้องมีสภาพแวดล้อมของสังคมในเวลาเก็บตัวเลขมาประมวลผลเพื่อหาสาเหตุที่ตกต่ำหรือสูงขึ้นด้วย การแสดงผลต่อประชาชนบางครั้งก็ไม่อาจบอกได้ทั้งหมดเพราะอาจเป็นการทำลายขวัญประชาชน ในอดีตนั้นข้อมูลเหล่านี้เป็นที่ทราบกันดีว่า ตกแต่งตัวเลขตามคำสั่งของรัฐบาลเพื่อให้ดูว่าทำงานมีประสิทธิภาพ ด้วยระดับความรู้ของประชาชนสมัยนั้นย่อมเชื่อถือทันที แต่ยุคปัจจุบันซึ่งเทคโนโลยีสื่อสารระหว่างคนในโลกรวดเร็วและทันสมัยอย่างมาก ทำให้ผู้ฟังสามารถใช้สติปัญญาแยกแยะตัวเลขที่ใกล้เคียงความจริงมากยิ่งขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับข่าวสารต่างประเทศที่เกี่ยวพันกับประเทศของตน แม้รัฐบาลจะพยายามปิดบังข่าวสารที่เป็นผลร้ายต่อตนเพียงไร ระดับชาวบ้านก็บอกได้ว่าดัชนีเศรษฐกิจของประเทศดีขึ้นหรือตกต่ำลงอย่างไม่ยากเย็นด้วยวิธีเก่าแก่มาก
ดัชนีฉบับชาวบ้านในการคาดเดาภาวะเศรษฐกิจของบ้านเมืองซึ่งใช้กันมานานเกือบร้อยปีแล้ว คือ ความถี่ของการปล้นร้านขายของชำ ปั๊มน้ำมัน ร้านทอง การลักทรัพย์ในบ้านเรือน จี้ชิงเงินของคนขับแท็กซี่ สมัยนี้ยังสามารถดูได้ถึงการปล้นรถขนเงินของเอกชนอีก ภาพความตกต่ำที่เห็นชัดมากที่สุด คือ การค้าขายในสี่จังหวัดภาคใต้ซึ่งมีข่าวความไม่สงบที่ทหารซึ่งเป็นผู้บังคับใช้กฎหมายสูงสุดในพื้นที่ทำงานไม่ได้ผลดี การทำมาหากินของชาวบ้านจึงติดขัด หยุดชะงัก หรือ ต้องย้ายถิ่น เพื่อหนีการข่มขู่ การตัดคอคนต่างศาสนา การเรียกค่าไถ่ซึ่งมีมาดั้งเดิมและยังดำเนินต่อไป ปัญหารอบตัวเช่นนี้จึงทำลายระบบเศรษฐกิจของภาคใต้ลงอย่างมาก ทั้งที่ราคายางของโลกสูงน่าจะส่งผลให้คนมีกำลังซื้อสูงตามไปด้วย แต่ความหวาดกลัวและไม่เชื่อใจการทำงานของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นกับทหารส่งผลให้ไม่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจหรืออาจติดลบด้วย ตัวเลขความเติบโตทางเศรษฐกิจของภาคใต้ติดลบ ชาวบ้านต่างสัมผัสกันได้ชัดเจน แต่รัฐบาลไม่กล้าเอ่ยถึงสถิติความเติบโตหรือวิธีแก้ปัญหาเด่นชัดเพื่อปากท้องของคนในดินแดนส่วนนี้ ทำให้ไม่มีความตั้งใจแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจแดนใต้อย่างมีประสิทธิภาพเพราะไม่ยอมรับความจริง ความกล้า และขาดความรู้ด้านนี้ ในสถานการณ์บ้านเมืองเช่นนี้พ่อค้าแม่ค้าชาวใต้จึงเป็นกลุ่มที่น่าเห็นใจที่สุด ผลิตสินค้าได้ดี แต่ขายหรือส่งออกไปขายไม่ได้เพราะความไม่สงบในท้องถิ่นและประสิทธิภาพการทำงานของผู้มีอำนาจ รัฐบาลมิใช่ที่พึ่งที่ดีของพวกเขาอีกด้วย ความหวังจะมีชีวิตดีขึ้นสักวันจึงดูริบหรี่ ตราบใดที่ผู้นำรัฐบาลขาดวิสัยทัศน์และความเข้มแข็งเพียงพอ พวกเขาต้องคิดเพียงประทังชีวิตให้รอดพ้นความตายไปในแต่ละวันเท่านั้น
เมื่อกลับมามองดัชนีเศรษฐกิจฉบับชาวบ้านในพื้นที่อื่น โดยเฉพาะการค้าขายทุกภาคส่วนจักเห็นข่าวห้างร้านต่างๆออกแนวคิดเรียกลูกค้าเข้าร้านค้าสารพัดรูปแบบที่มักนำใช้เมื่อการค้าฝืดเคืองจัด การสร้างแรงดึงดูดให้คนซื้อสินค้าด้วยการแจกของ สิ่งที่ทำไปเพื่อเรียกเงินออกจากกระเป๋าของลูกค้า ขณะที่ลูกค้าก็ระมัดระวังการใช้จ่ายเงินทองเนื่องเพราะเกรงจะตกงาน ภาระหนี้สินยาวนาน ทำให้พวกเขาไม่ยอมจับจ่ายใช้สอย บางส่วนถูกไล่ออกจากงานเพราะนายจ้างรับภาระต้นทุนสูงและขายสินค้ายากไม่ได้ พวกเขาไม่มีเงินมากพอในการซื้อสินค้า การบริหารด้านเศรษฐกิจที่ไม่ชำนาญและรวดเร็วพอเพราะคนบริหารมีประสบการทำงานน้อย ขาดวิสัยทัศน์ ไร้อำนาจแท้จริง ไม่ยอมรับระบบเศรษฐกิจยุคใหม่ นักเศรษฐศาสตร์ล้วนตระหนักใจดีว่าจำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจให้คนมีเงินในกระเป๋าเพิ่ม จับจ่ายเงินมากขึ้น จึงทำให้วงล้อเศรษฐกิจไม่หยุดหมุน ภาวะเศรษฐกิจของไทยในวันนี้มิได้ดีขึ้นดังในสถิติของรัฐบาล การลดค่าใช้จ่ายของคนมาจากเงินน้อย การงานไม่มั่นคง วันใดที่วงล้อเศรษฐกิจช้ามากเกินไปหรือหยุดหมุน จักเป็นจุดล่มสลายของเศรษฐกิจมหภาคของไทยดังที่เคยเกือบจะเกิดขึ้นในญี่ปุ่นมาแล้ว
รัฐบาลญี่ปุ่นในสมัยหนึ่งต้องเลือกใช้นโยบายกระตุ้นให้คนใช้เงินซื้อข้าวของด้วยการแจกเงินให้คนแก่โดยไม่ต้องทำงานแลกเลย มันช่วยพยุงวงล้อเศรษฐกิจให้หมุนต่อไป แม้จะไม่เร็วนัก แต่ประคองไว้จนกระทั่งมันวิ่งเข้าสู่จุดเหมาะสม เราต้องไม่ลืมว่าคนญี่ปุ่นได้รับการสั่งสอนให้ขยัน ประหยัด อดออมเงินเก่ง ในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำช่วงนั้นคนญี่ปุ่นเก็บออมเงินเป็นหลักเพราะขาดความมั่นคงในการงาน การค้าขายระหว่างประเทศตกต่ำหนัก บัณฑิตตกงานสูง การจับจ่ายใช้สอยลดระดับถึงจุดอันตราย รัฐบาลจำต้องเลือกใช้วิธีนั้นเพื่อกระตุ้นวงล้อให้หมุนต่อไป เราจึงเห็นความสำคัญของวงล้อเศรษฐกิจได้ชัดขึ้น นโยบายพอเพียงไม่อาจช่วยปากท้องของชาวบ้านได้ อาจต้องมองจุดสมดุลย์ระหว่างความพอเพียงกับการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อให้ประเทศอยู่รอดพ้นภาวะตกต่ำและประชาชนกินดีอยู่ดี มีเงินใช้สอยไม่ขาดมือ มันจึงเป็นความสุขแท้จริงของประชากรและมาจากฝีมือบริหารเศรษฐกิจอันฉลาดทันสมัยของรัฐบาล
ข่าวสารตามหน้าหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับการปล้นปั๊มน้ำมัน ร้านเซเว่นฯ ร้านทอง ชิงทรัพย์ของคนขับแท็กซี่ ลักทรัพย์ตามบ้านเรือน มีให้เห็นทุกวันและมากขึ้น มันเป็นดัชนีฉบับชาวบ้านอย่างดีโดยไม่ต้องอาศัยหลักคำนวณใดๆ และยังเป็นดัชนีที่ใช้กันมาแต่โบราณแล้ว หากสังคมอยู่สงบ คนมีงานทำถ้วนหน้า เงินทองใช้สอยมีมากและทำงานหาง่าย โจรลักษณะต่างๆจะมีตัวเลขไม่ถี่และกระจายตัวมาก ดัชนีอาชญากรรมที่ชาวบ้านสัมผัสรอบกายทุกวันบอกว่า ความจริงเศรษฐกิจบ้านเมืองดีหรือตกต่ำมากน้อยเพียงใด เมื่อเทียบกับคำประกาศผลงานบริหารด้านเศรษฐกิจของรัฐบาล
ชาวบ้านในอดีตใช้ดัชนีฉบับเก่าแก่นี้และบอกสืบทอดกันมา การปล้นร้านเซเว่นฯ ปั๊มน้ำมัน ร้านทอง ชิงทรัพย์ของคนขับแท็กซี่มีถี่มากแค่ไหน เป็นเครื่องวัดความเติบโตหรือตกต่ำแบบพื้นฐานได้ค่อนข้างแม่นยำว่า เงินในกระเป๋าจะน้อยลงหรือมากขึ้นในปีนี้ เศรษฐกิจบ้านเมืองดีหรือไม่ สิ่งที่คนไทยทำได้ในภาวะเศรษฐกิจไม่มั่นคง คือ รักษางานและตำแหน่งของตนไว้ รอบคอบในการใช้จ่าย เก็บเงินออมให้มากที่สุด ผู้ใดที่เคยผ่านวิกฤตเศรษฐกิจปี พ.ศ. 2540 มาแล้ว ย่อมเข้าใจซึ้งดีว่า เมื่อขาดงาน เงินออมน้อย ตนและครอบครัวจะอยู่ในสภาพน่าอนาถเพียงใด เวลานั้นองค์การกุศลต้องตั้งโรงทานแจกข้าวแก่คนตกงานและครอบครัวเพื่อประทังชีวิต บัณฑิตปริญญาโทต้องไปขับแท็กซี่เพื่อเลี้ยงครอบครัว ปัญหาที่เกิดในวันนั้นมาจากการบริหารที่ล้มเหลวและการไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาล เพื่อความรอบคอบของคนไทยยุคนี้ควรใช้สติปัญญารับฟังข้อมูลจากรัฐบาลอย่างรอบคอบและรู้จักป้องกันตัวเองเป็นหลัก อย่าเน้นรอคอยความหวังจากรัฐบาล ดังคำที่คนโบราณสอนไว้ว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน

******************************




 

Create Date : 27 มิถุนายน 2554    
Last Update : 27 มิถุนายน 2554 23:42:23 น.
Counter : 559 Pageviews.  

ผู้ปกครอง ครู เด็กอนุบาล

เขียนโดย ลูกแก้ว
เดือนพฤษภาคม เป็นเดือนแห่งการเปิดเทอมของทุกชั้นเรียนไล่กันไปตั้งแต่ อนุบาล ประถม มัธยม สุดท้ายคือเดือนมิถุนายน จะเป็นการเปิดเทอมของนักศึกษามหาวิทยาลัย วงสนทนาของเพื่อนฝูงก็มีการคุยกันเรื่องลูกเด็กเล็กแดงของครอบครัวทำให้ได้ข้อมูลน่าตกใจเกี่ยวกับอันตรายของเด็กอนุบาลในโรงเรียน ซึ่งผู้ปกครองไม่เคยรับรู้ เพราะความไม่ใส่ใจของพ่อแม่ทำให้เด็กต้องจมอยู่กับความทุกข์อย่างเดียวดาย มาตรฐานการดูแลเด็กของโรงเรียนต่ำเกินกว่าที่มองเห็นเปลือกนอก
เราประมวลเรื่องด้วยความหวั่นใจแทนผู้ปกครองอีกหลายคนที่ลูกหลานอาจพบเรื่องแบบเดียวกันหรือคล้ายกันก็ได้ มันส่งผลร้ายต่อเด็กอนุบาลแตกต่างกันไป บ้างก็ทนรับไหว บ้างทนไม่ได้ก็กลายเป็นเด็กจิตผวาและเกลียดการไปโรงเรียน ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจว่า เด็กอนุบาลมีช่วงอายุระหว่าง 2-6 ขวบ พฤติกรรมไม่ดีซึ่งครูอนุบาลหรือครูใหญ่ซึ่งมีหน้าที่ดูแลมาตรฐานโรงเรียนแสดงออกมานั้น จักนำมาบอกเล่าเพื่อเตือนผู้ปกครองให้เหลียวกลับไปดูลูกหลานของท่านบ้างว่า พวกเขาเจอเรื่องแย่ๆนี้บ้างไหม ควรแก้ไขอย่างไร
เรื่องแรก คือ การสอนวิธีกินอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ ขอย้ำว่า ครูอนุบาลสั่งให้เด็กกระทำพฤติกรรมนี้โดยไม่คำนึงว่าแต่ละคนทนรับได้มากน้อยแค่ไหน คือ ก่อนรับประทานอาหารเที่ยง ครูประจำชั้นสั่งให้เด็กต้นเรื่องคือ เด็กเตรียมอนุบาล ดื่มน้ำให้หมดกระติกซึ่งครอบครัวจัดไว้ให้ดื่มตลอดวัน ท่านน่าจะคาดเดาได้ว่า กระติกบรรจุน้ำได้ประมาณ 0.5 - 0.7 ลิตร ซึ่งเป็นที่นิยมใช้กัน ครูสั่งให้ดื่มจนหมดแล้วไปนั่งกินข้าวเที่ยง จากนั้นก็ไปนอน สิ่งที่พ่อแม่เด็กต้นเรื่องสังเกตเห็นคือ อาหารเที่ยงของโรงเรียนมักจะเป็นข้าวสวยประมาณ 3 ช้อนโต๊ะกับน้ำแกงเศษหมู ก๋วยเตี๋ยวผัดบ้าง แห้งบ้าง ผสมกับลูกชิ้น แต่เส้นในจานเด็กจะมีประมาณ 3-4 เส้นเท่านั้น เมื่อคิดถึงน้ำเปล่าที่ดื่มเข้าไปทั้งกระติกก่อนหน้านั้นกับปริมาณอาหารที่โรงเรียนจัดให้เด็ก คงมองเห็นว่าเด็กจะอิ่มอืดท้องชั่วเวลาหนึ่ง พอไปนอนก็จะแน่นท้องมากๆ เมื่อปฏิบัติแบบนี้ทุกวันเด็กเล็กจะปรับตัวให้เข้ากับวิธีกินที่ผิดสุขลักษณะนี้ แต่บางคนก็ทนรับไม่ได้ คือ ดื่มน้ำหมดกระติกและไปกินข้าวทีไร ก็จะอาเจียนออกมา ทำให้ครูโมโหที่เพิ่มงานและลงโทษเด็กที่ทำไม่ได้เหมือนเพื่อนบางคน ลูกของท่านก็โดนตีน่วม หยิกน่วม แล้วคำฟ้องที่ผู้ปกครองได้รับคือ ลูกของท่านดื้อ เชื่องช้า เป็นความผิดของเด็กที่ควรถูกลงโทษแล้ว
เรื่องที่สอง การสอนเด็กอนุบาลที่ไม่เป็นไปตามธรรมชาติของเด็ก ด้วยการสอนอ่านอักษรไทยสลับอังกฤษ สอนนับเลข ตลอดวัน เด็กต้องนั่งดูกระดาน ดูครู มากกว่าการวิ่งเล่น ออกกำลังกาย ให้ร่างกายได้ขยับเขยื้อนตามประสาเด็ก สิ่งที่ได้รับจากวิธีอัดสอนหนังสือ คือ เด็กจะมีแขนขาอ่อนแรง ยืนทรงตัว เดินเข่าอ่อน หกล้มง่าย ซึ่งพ่อแม่เข้าใจว่า น่ารักจัง แท้จริงแล้วโรงเรียนทำให้เด็กอ่อนแอ อ่านหนังสือได้เร็วเกินกว่าวัยซนของเขา ท่านควรถามตัวเองว่า อยากให้ลูกมีร่างกายแข็งแรง จิตใจแจ่มใส หรือ อ่านหนังสือเป็นเล่มๆได้ก่อนวัย 7 ขวบ
เรื่องที่สาม คือ ปริมาณอาหารที่น้อย ผู้ปกครองในวงสนทนาที่แบ่งปันเรื่องน่าหวาดกลัวเป็นคนมีสถานภาพการเงินที่ดี เลือกโรงเรียนอนุบาลให้ลูกซึ่งต้องจ่ายค่าเทอมทีละหลายหมื่นบาท สิ่งที่พวกเขาพบคือ ลูกกินข้าวเที่ยงแค่ ข้าวสวยกับน้ำแกง เส้นหมี่กระจุกเล็กๆกับแกงจืดลูกชิ้น ส่วนใหญ่ทุกมื้ออาหารจะมีแกงจืดเป็นหลัก แทบไม่มีไข่หรือเนื้อสัตว์หรือผักให้เด็กได้กินเลย ส่วนนมโรงเรียนก็มีบางแห่งนำส่วนที่รัฐบาลแจกฟรีให้เด็กไทยมาเทรวมกันในเหยือกแล้วแบ่งเทใส่แก้วเด็กแต่ละคนแค่ครึ่งแก้วเท่านั้น อีกทั้งโรงเรียนยังสั่งให้ผู้ปกครองจัดนมกล่องให้เด็กต่างหากหลังจากตื่นนอนด้วย แต่ผู้ปกครองหลายคนพบว่า ทุกวันจะไม่มีนมกล่องคืนมาทั้งที่ลูกบอกว่ากินนมของโรงเรียนเท่านั้น นมกล่องของเด็กหายไปไหน ?
เรื่องที่สี่ คือ การตีทำร้ายเด็กด้วยข้ออ้างว่าเป็นการลงโทษ เมื่อครูประจำชั้นหรือครูผู้ช่วยมีอารมณ์ไม่ดี ไม่ได้ดังใจหลังจากมีคำสั่งแก่เด็กแล้ว เด็กตอบสนองแตกต่างกันตามความพร้อมของเด็ก สิ่งที่ผู้ปกครองพบคือ ครูจะตีที่หัวไหล่ หยิกต้นแขน ตีที่แผ่นหลัง ด้วยแรงของผู้ใหญ่เล็กน้อย เด็กร่างเล็กก็เจ็บสุดๆแล้ว แต่เห็นร่องรอยการตีค่อนข้างยาก ทำให้ผู้ปกครองไม่อาจรับรู้การทารุณกรรมโดยครู ถ้าไม่ได้คุยกับเด็กอย่างจริงจัง ครอบครัวหนึ่งเล่าว่า เธอเคยเห็นลูกสาวของคนอื่นถูกครูอนุบาลจับกรอกน้ำใส่ปากต่อหน้าต่อตาแบบไม่อาย ไม่กลัวคนอื่น เด็กดิ้นสุดฤทธิ์ขณะถูกกรอกน้ำใส่ปาก(เธอไม่ทราบสาเหตุที่ครูทำเช่นนั้น) ครู่หนึ่งเด็กดิ้นรนจนพ้นมือครูไปร้องไห้ตัวสั่นด้วยความกลัว ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดท่านก็น่าจะรู้ว่าเด็กไม่ควรเจอสภาพนี้ใช่ไหม ?
เรื่องที่ห้า คือ อย่าโกหกผู้ปกครอง หน้าที่ของครูคือ รายงานความเป็นอยู่ของเด็กที่โรงเรียนให้พ่อแม่รับทราบและแนะนำให้ปรับปรุงแก้ไขเด็กอย่างไร ตัวอย่างที่น่าอันตรายมากคือ วันที่เด็กรับวัคซีนโปลิโอที่โรงเรียน มันเป็นแบบหยอดใส่ปากแล้วกลืนลงคอ แต่จะมีช่วงเวลานิดหนึ่งที่ห้ามดื่มน้ำ แต่ใช้กลืนน้ำลายที่มีวัคซีนผสมลงคอก่อน ถ้าใครฝืนกฎนี้ไปดื่มน้ำจะต้องไปหยอดวัคซีนใหม่ เพราะมันจะทำให้วัคซีนป้องกันโรคใช้ไม่ได้ผลเต็มที่ เด็กจะเสี่ยงติดโรคง่ายขึ้น แต่ครูผู้ช่วยซึ่งดูแลเด็กที่หยอดวัคซีนแล้วไม่ควบคุมใกล้ชิดทำให้เด็กบางคนวิ่งไปดื่มน้ำก่อนเวลาที่หมอสั่งห้ามไว้ แทนที่จะรีบนำเด็กกลับไปหยอดวัคซีนใหม่อีกหน กลับเอ็ดเด็ก แล้วก็เฉยไป อีกทั้งไม่ยอมบอกพ่อแม่ให้รับรู้เรื่องนี้เพื่อเฝ้าระวังพิเศษด้วย
ทั้งห้าเรื่องที่เล่ามานี้ล้วนเกิดขึ้นในห้องเรียน ในรั้วโรงเรียน ก่อนจะส่งเด็กกลับไปให้ผู้ปกครองซึ่งพ่อแม่ก็เห็นเด็กปะแป้งน่ารัก ครูพูดจาอ่อนหวานกับพ่อแม่ รายงานความน่ารักของเด็กให้พ่อแม่รับทราบ ส่วนเด็กบางคนก็ปรับตัวเอาตัวรอดจากภาวะอารมณ์ครูได้เร็ว ส่วนคนที่ปรับตัวช้าหรือยาก จะเก็บกดความกลัวไว้ในใจ เพราะส่วนใหญ่ครูจะขู่เด็กมิให้บอกเล่าหรือพูดจาข่มเหงให้เด็กต้องฟังครูฝ่ายเดียว ปฏิกิริยาแรกตามธรรมชาติของเด็กคือ ปกป้องตัวเองก่อนเมื่อรู้สึกว่าพ่อแม่ช่วยเขาไม่ได้ด้วยการเงียบ ซึมเศร้า ไม่ยอมไปโรงเรียนโดยไม่บอกเหตุผล บางคนบอกพ่อแม่แล้ว แต่พวกเขาไม่เชื่อเด็ก แทนที่จะสืบเรื่องราวก่อนสรุป ก็กล่าวหาว่าเด็กคิดไปเองตามคำแก้ตัวของครู เด็กโกหกบ้าง ทั้งที่จิตแพทย์บอกแล้วว่า เด็กเล็กระหว่าง 2-5 ขวบ พูดจริงแบบไร้เดียงสา เจออะไร พูดยังงั้น ไม่มีการปรับแต่งใดๆ แตกต่างจากผู้ใหญ่ที่กลบเกลื่อนเก่ง ครูมักจะปัดความผิดต่างๆไปไว้ที่เด็กเพราะรู้ดีว่า เด็กเถียงไม่เป็น มีแต่ความกลัวเท่านั้น
วิธีแก้ไขปัญหาดังกล่าวทำได้ง่ายมาก คือ ผู้ปกครองต้องมีความกล้าที่จะไม่วางใจต่อโรงเรียนและครูอนุบาล เชื่อมั่นในลูกของตน พูดคุยซักถามเด็กเป็นระยะ อย่าเชื่อคำพูดของครูฝ่ายเดียว การตรวจสอบจากเด็กทำให้รู้ชัดว่า โรงเรียนมีคุณภาพจริงอย่างโฆษณาหรือไม่ ลูกถูกทารุณกรรมหรือไม่ การสอนพฤติกรรมแก่เด็กผิดปกติหรือไม่ ถ้าพบเห็นสิ่งไม่ดีต่อหน้า แม้ไม่ได้กระทำต่อลูกของตน ก็ควรเข้าไปช่วยเหลือเด็กคนนั้นไว้จากเงื้อมมืออำมหิตของครูอนุบาลด้วย อย่าลืมว่า การลงโทษด้วยการตีเด็กอนุบาลนั้น ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการห้ามไว้ ครูคนไหนก็ทำไม่ได้ หากครูใหญ่รับรู้ ผู้กระทำต้องรับผิดชอบเสมอ การลงโทษด้วยวิธีพิสดารทั้งหลายก็ทำไม่ได้เด็ดขาด โดยเฉพาะกับเด็กเล็ก ถ้าทำผิดกฎกับลูกของท่านก็ต้องเอาเรื่องมิให้เป็นเยี่ยงอย่างหรือเป็นอันตรายต่อเด็กอื่นอีก วันนี้ลูกท่านรอดตาย แต่ปล่อยไว้ครูอาจฆ่าเด็กอื่นก็ได้ ส่วนครูอนุบาลก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยที่ห้ามการตีลงโทษเด็กเล็กกันแล้ว ตระหนักตนด้วยว่าอาสามาทำงานเป็นครูที่ทำหน้าที่พ่อแม่คนที่สองดูแลลูกของเขา จิตใจ อารมณ์ เมื่ออยู่ในหน้าที่ครูก็ควรควบคุมให้ได้และอย่างดีด้วย ดูแลเด็กเสมือนเป็นลูกหลานของตน ตัวอย่างการใช้อารมณ์ระบายใส่เด็กแล้วเกิดผลน่ากลัว เช่น ถ้าครูใช้อารมณ์โทสะจับเด็กกรอกน้ำ เด็กเกิดชักหรือสำลักน้ำ หยุดหายใจ ก็หมายความว่า ครูตั้งใจฆ่าเด็ก ถ้าเด็กตายก็เป็นความเสียหายแบบหนึ่ง หากเด็กต้องนิทราตลอดกาลเพราะสมองขาดอากาศจากการสำลักน้ำ ครอบครัวของเขาต้องทนทุกข์นานแค่ไหนด้วยโทสะของครูอนุบาล สุดท้ายครูก็ไม่พ้นต้องเสียอาชีพไป กรณีเด็กบาดเจ็บหรือตาย ถ้าครูอนุบาลขาดจิตสำนึกความเป็นครู ไม่รู้จักแยกเรื่องส่วนตัวออกจากงาน ระบายอารมณ์กับเด็กเล็กที่ไร้การต่อสู้ ก็อยากเตือนครูอนุบาลประเภทนี้ว่า สักวันความจริงก็ต้องปรากฏพร้อมกับความตายของเด็ก วันนั้นครูจะเสียอาชีพและอนาคต รวมทั้งถูกตราหน้าว่า ฆาตกร
ถ้าครูทำร้ายเด็กจนตายแล้วโดนจับขังคุก ขอให้รู้ด้วยว่า นักโทษในคุกล้วนเกลียดชังคนที่ทำร้ายเด็ก ผู้หญิง คนแก่ จึงมักฆ่าหรือทำร้ายนักโทษคดีประเภทนี้เป็นพิเศษ ส่วนพ่อแม่ก็ควรเอาใจใส่ความเป็นอยู่ อาหารการกินของเด็กที่โรงเรียนให้มากขึ้น ถ้าพบว่าน้อยเกินไปหรือไม่ครบหมู่อาหาร ก็ควรกล้าเรียกร้องให้ลูกได้ของกินสมควรกับเงินค่าเล่าเรียนที่แพงลิ่ว อย่าให้โรงเรียนได้กำไรมากเกินควรขณะที่ลูกต้องอดโซ หิวโหยเมื่อกลับถึงบ้าน ผู้ปกครองจ่ายค่าเล่าเรียนแพงลิ่วให้โรงเรียนดูแลลูกตามมูลค่าที่เรียกเก็บ แต่ไม่ควรถูกเอาเปรียบมากเกินไป พ่อแม่ควรพูดคุยซักถามการเรียน สังเกตว่าลูกมีความสุขกับวิธีเรียนแบบไหนสำหรับอนุบาลก็ควรให้เด็กเตรียมความพร้อมเพียงพอเพื่อขึ้นชั้นประถมที่จะต้องเรียนหนัก มิใช่ให้เรียนหนักตั้งแต่อนุบาลเล็กซึ่งเด็กควรมีความสุขและประทับใจกับชั้นเรียนอนุบาลก่อน ถ้ามีการทำทารุณกรรมเด็กในชั้นอนุบาล เด็กจะหวาดผวาและเกลียดการไปโรงเรียนแบบฝังใจ ทำให้พ่อแม่ดูแลลำบากมากเพราะเป็นเรื่องทางจิตใจ
การเริ่มต้นหาโรงเรียนอนุบาลให้ลูก จึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่สุดโดยเฉพาะโรงเรียนต้องเป็นแบบที่ไม่ทำให้เด็กแปลกแยกกับเด็กอื่นนอกโรงเรียนด้วย สร้างความประทับใจในโรงเรียนแห่งแรกให้เด็ก ถ้าไม่อยากให้ลูกถูกทำร้าย ไม่อยากให้ลูกมีร่างกายอ่อนแอ พ่อแม่ควรดูแลสภาพจิตใจของลูก พูดคุยกับเด็กบ่อยๆ ช่วยแก้ไขปัญหาของเด็กที่โรงเรียน ถ้าทำได้สมบูรณ์ ท่านจะได้ลูกที่แจ่มใส ร่างกายแข็งแรง ชอบไปโรงเรียน หากเห็นลูกหดหู่ กลัวโรงเรียน พ่อแม่ต้องหาเหตุผลและแก้ไขโดยเร็ว มันเป็นสัญญาณแห่งความอ่อนแอสุดๆทางจิตใจของเด็กที่ไม่อาจรับแรงกดดันได้อีก
เปิดเทอมแรกของเด็กอนุบาล ขอให้สวรรค์คุ้มครองเด็กทุกคนได้พบโรงเรียนดี มีคุณภาพ คุณครูมีจิตใจรักเด็กอย่างแท้จริง เข้าใจบทบาท ความรับผิดชอบ ของครูอนุบาลที่ถูกต้อง พ่อแม่เอาใจใส่ความเป็นอยู่ อาหาร สภาพการเรียน ความสุข ของลูกที่โรงเรียนอย่างใกล้ชิด เด็กจะได้รักโรงเรียนอนุบาลแห่งแรกในชีวิตของพวกเขา

*******************************




 

Create Date : 11 พฤษภาคม 2554    
Last Update : 11 พฤษภาคม 2554 2:12:43 น.
Counter : 4197 Pageviews.  

กำจัดศัตรูคาใจ

เขียนโดย ลูกแก้ว

การดำเนินคดีทางการเมืองกับนักการเมืองกระทำกันในหลายประเทศทั่วโลกจนถึงปัจจุบัน คดีโด่งดังมากที่สุดและยังจำกันได้ดี คือ คดีวอเตอร์เกท ซึ่งมีประธานาธิบดีนิกสันเป็นจำเลยคนหนึ่งร่วมกับพรรครีพับลิกันของเขา การพิจารณาคดีใช้เวลายาวนานและมีหลักฐานประกอบคดียาวมาก สุดท้ายก็มีการลงโทษผู้กระทำผิดเป็นรายคนที่มีหลักฐานโยงใยอย่างชัดเจน แต่คำพิพากษาไม่กระทบถึงพรรคการเมืองซึ่งสังกัดอยู่เพราะถือเป็นการกระทำส่วนบุคคล มิใช่มติพรรคตามกฎหมาย ปัจจุบันนี้พรรครีพับลิกันกลายเป็นผู้บริหารประเทศสหรัฐถึงสองสมัยและใช้บทเรียนในอดีตคอยเตือนใจมิให้กระทำผิดซ้ำอีก เวลานั้นถือว่าการคุกคามพรรคคู่แข่งเป็นการกระทำที่เลวทรามและผิดกฎหมายอย่างมากตามหลักนิติธรรมและวัฒนธรรมทางการเมืองที่มิควรปฏิบัติต่อคู่แข่งเพื่อแย่งความได้เปรียบทางการเมืองตามระบอบประชาธิปไตย ส่วนประเทศที่ปกครองด้วยระบอบเผด็จการนั้นมักใช้อำนาจทางการเมือง ทางศาล เพื่อกำจัดคู่แข่งของตน บางครั้งการสังหารบุคคลที่ให้โทษแก่ตนด้วยยาพิษแบบข้ามชาติกันก็มีให้เห็นแล้ว ถือเป็นเรื่องธรรมดาของนักเผด็จการ
การกำจัดคู่แข่งทางการเมืองของผู้มีอำนาจมิได้เคยมีกันในสหรัฐหรือรัสเซียเท่านั้น ประเทศในแถบเอเชียนิยมใช้กันมากที่สุดเพราะไม่เน้นความยุติธรรมในระบบการเมือง แต่ใช้หลากกลวิธีทั้งทางตรงและทางอ้อม ใช้อาวุธหรืออำนาจมืดข่มขู่เพื่อให้ได้สิ่งที่ตนหรือพรรคพวกปรารถนาอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมายเพราะตนเป็นผู้ควบคุมและบังคับใช้กฎหมาย ดังเช่นที่ปรากฏในประเทศ ปากีสถาน พม่า เขมร มาเลเซีย เป็นต้น หลายปีก่อนจะมีข่าววิธีกำจัดคู่แข่งทางการเมืองของมาเลเซียซึ่งมีท่าทีจะเด่นดังทาบรัศมีของผู้นำในเวลานั้นและอาจแย่งตำแหน่งของตนได้ จึงมีการสร้างหลักฐานและป้ายสีด้วยข้อหาแปลกๆเพื่อนำคู่แข่งขึ้นศาลให้ได้ แล้วอยู่เบื้องหลังอำนาจศาลในการตัดสินจำคุกคู่แข่งของตนได้สำเร็จ อันส่งผลให้ผู้นำคนนั้นอยู่ในตำแหน่งยาวนานจนกระทั่งอำนาจเสื่อมลงตามวัฏจักร ต่อมาคู่แข่งคนนั้นก็ถูกปล่อยออกมาดำเนินการทางการเมืองอีกครั้ง คำถามหนึ่งคาใจคือ ประชาชนจำนวนมากตระหนักดีว่าคดีดังกล่าวมีเบื้องหลังและผู้ใดคือคนบงการคดี เหตุใดจึงปล่อยให้ผู้นำใช้อำนาจกลั่นแกล้งคู่แข่งอย่างไม่เป็นธรรม หากพิจารณาให้ดีย่อมต้องยอมรับกันว่า ไม่มีคนอยากลุยฝ่าดงจระเข้ทั้งที่มันยังมีพละกำลังอยู่ แต่ยอมรอให้นรกลงโทษหรือปล่อยให้เป็นไปตามสัจธรรมในการรุ่งโรจน์แล้วร่วงโรย ซึ่งมันก็มีวาระดังกล่าวที่แน่นอน ตอนนี้ผู้นำคนนั้นอยากดิ้นรนกลับคืนสู่อำนาจและสกัดคู่แข่งในอดีต ก็มิอาจทำได้เพราะบารมีหมดสิ้นไปแล้ว ชื่อเสียงในอดีตมิอาจสนองความต้องการของตนได้ คู่แข่งที่เคยกำจัดไปกลับยืนผงาดในเวทีการเมือง ส่วนเขาต้องยืนนอกวงอย่างไม่เต็มใจ ขณะเดียวกันก็ต้องต่อรองกับมัจจุราชที่คอยตามล่าเขาด้วยโรคหัวใจวายเป็นระยะโดยไม่รู้ว่าแต่ละวันฝ่ายใดจะแพ้หรือชนะ
คดีทางการเมืองที่อาศัยอำนาจศาลในการกำจัดนักการเมืองคู่แข่งซึ่งเป็นที่จับตามองของทั่วโลก คือ คดีของนักการเมืองไต้หวันด้วยข้อกล่าวหาเกี่ยวเนื่องกับเงินทองเมื่อเขาประกาศตัวสมัครเป็นผู้นำประเทศคนต่อไปและเป็นพรรคฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลปัจจุบัน สายตาของคนทั่วไปมักเชื่อมั่นในระดับหนึ่งว่ารัฐบาลอยู่เบื้องหลังคดีนั้นและไม่ว่าหลักฐานจะเป็นอย่างไรก็ตามนักการเมืองคนนั้นต้องถูกกำจัดไปด้วยอำนาจศาลเพื่อทำลายความเข้มแข็งของคู่แข่ง แนวโน้มที่รัฐบาลมักใช้อำนาจศาลกำจัดคู่แข่งระบาดไปทั่วโลกและยอดฮิตมากที่สุด เมื่อมาเลเซียนำไปใช้กำจัดคู่แข่งได้สำเร็จและสร้างภาพความชอบธรรมให้รัฐบาล แม้จะต้องยุ่งยากในการสร้างหลักฐานประกอบคดีที่รอบคอบ แต่ไม่เกินกว่าผู้มีอำนาจในบ้านเมืองจักกระทำได้อย่างง่ายดายระหว่างที่ตนบริหารบ้านเมืองอยู่ หลายประเทศในเอเชียหรือประเทศในระบอบเผด็จการทวีปอื่นจึงเลียนแบบและชื่นชอบกับวิธีนี้เพราะเป็นการสร้างความชอบธรรมแก่รัฐบาลโดยอาศัยอำนาจศาลซึ่งมีภาพความยุติธรรมติดตัวไว้ ขณะที่ศาลต้องพิจารณาคดีตามหลักฐานที่อัยการหรือตำรวจซึ่งอยู่ในความควบคุมของรัฐบาลนำเสนอต่อศาล หากคดีไปอยู่ในมือของผู้พิพากษาที่อ่อนแอทางจิตใจหรือจริยธรรม จรรยาบรรณในวิชาชีพขาดบกพร่อง จักกลายเป็นเครื่องมือกำจัดคู่แข่งทางการเมืองของรัฐบาลได้ง่ายดาย เราต้องไม่ลืมว่าผู้พิพากษายังเป็นมนุษย์ปุถุชนเยี่ยงเดียวกับคนทั่วไปที่ต้องหายใจ กิน เจ็บป่วย หรือตายได้ พวกเขาล้วนต้องมีกิเลสตัณหา ขึ้นอยู่กับใครจะควบคุมสิ่งเหล่านั้นได้ดีกว่ากันและมีจิตสำนึกที่ดีว่ามีหน้าที่ให้ความยุติธรรมแก่คู่ความสองฝ่าย มิใช่ตกอยู่ใต้อำนาจของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
หากคิดทบทวนคดีทางการเมืองในอดีตของสหรัฐหรือหลายประเทศในโลกประชาธิปไตย จะเห็นได้ว่า คดีประเภทนี้มีลักษณะพิเศษที่ต้องใช้หลักนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ในการพิจารณาคดี โดยเฉพาะต้องคิดถึงความคงอยู่ของกระบวนการทางการเมืองตามหลักประชาธิปไตยเป็นหลักใหญ่ จึงต้องอาศัยการพิจารณาที่ยืดหยุ่นเป็นพิเศษอันแตกต่างจากคดีแพ่ง คดีอาญา คดีปกครองทั่วไป อำนาจศาลต้องไม่เป็นเครื่องมือกำจัดกลุ่มการเมืองใดเพื่อฝ่ายใด แต่ต้องรักษาความเป็นธรรมและการเมืองต้องดำเนินต่อไปได้ตามหลักประชาธิปไตย การลงโทษผู้กระทำผิดต้องมิได้มาจากการสันนิษฐานของผู้พิพากษา แต่ต้องมีหลักฐานชัดเจนมากพอและครบองค์ประกอบอย่างแท้จริง เนื่องเพราะการตัดสินทางการเมืองย่อมมีหลายฝ่ายได้รับหรือเสียประโยชน์จากคำตัดสิน จึงต้องมีความรอบคอบและระวังอย่างยิ่ง อีกทั้งการลงโทษที่เป็นธรรมต้องกระทำต่อผู้ลงมือทำความผิดเป็นหลัก ส่วนผู้บงการหรือผู้สนับสนุนต้องมีหลักฐานเกี่ยวโยงที่ชัดเจนพอ มิใช่แค่อาศัยความเห็นสันนิษฐานว่าน่าจะรู้ทราบได้เพราะบทบาทของคนเหล่านั้นในพรรคการเมือง แล้วมีคำตัดสินลงโทษบุคคลกระทำการนั้นและผู้เกี่ยวข้องกับองค์กรที่เขาสังกัดทั้งหมด รวมทั้งยุบพรรคการเมืองเพื่อมิให้มีบทบาทในวงการเมืองอีกต่อไปและไม่เป็นคู่แข่งของอีกฝ่ายหนึ่งด้วย ทั้งที่พรรคการเมืองเป็นองค์กรทางการเมืองแยกต่างหากจากตัวบุคคลและมีกฎหมายกำหนดว่าระเบียบมติพรรคจะผูกพันให้พรรครับผิดชอบต้องมีรูปแบบเช่นไร การพิพากษายุบพรรคให้สลายลงด้วยข้ออ้างว่าสมาชิกขององค์กรไปกระทำความผิดตามข้อกล่าวหาใดๆ นอกจากผู้นำองค์กรต้องรับผิดชอบแล้ว องค์กรต้องสูญสลายลงด้วย มันสร้างความคลางแคลงใจแก่คนทั่วไปอย่างมาก แต่สร้างความพอใจแก่คู่แข่งทางการเมืองอย่างแน่นอน เปรียบคล้ายสมาชิกในครอบครัวคนหนึ่งไปทำผิดกฎหมาย ศาลลงโทษบุคคลที่ทำผิดและสมาชิกในครอบครัวทั้งหมดในข้อหาไม่ดูแลความประพฤติของคนในครอบครัวด้วย นอกจากนั้นยังเคลือบแคลงใจต่อคำตัดสินและอำนาจของศาลว่ามีเบื้องหลังหรือไม่ มันจึงกลายเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือขององค์กรพิจารณาคดีไปในที่สุด
คดีทางการเมืองนั้นนอกจากต้องมีตัวบทกฎหมายหรือการพิจารณาคดีที่ยืดหยุ่นพิเศษแล้ว องค์กรที่เป็นผู้ตัดสินต้องมีที่มาแตกต่างจากปกติอีกด้วย นั่นคือ ต้องมาจากสองสาขาหลัก คือ นิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ หากใช้ผู้ที่มาจากนิติศาสตร์อย่างเดียว จักมีความแข็งกระด้าง ยึดถือตัวอักษรเป็นใหญ่ ไม่เข้าใจระบบการเมืองที่อ่อนไหวและลึกซึ้ง ไม่เท่าทันกับวิถีทางการเมือง ถ้าใช้คนจากรัฐศาสตร์ด้านเดียว จักมีความยืดหยุ่นมากเกินไป หลักความเป็นธรรมไม่เข้มงวด เมื่อสองศาสตร์ประสานกันเป็นองค์กรตัดสินคดีทางการเมืองจึงส่งเสริมซึ่งกันและกันจนกลายเป็นความเข้มแข็งและเท่าทันนักการเมือง คดีที่ตัดสินจึงสร้างความน่าเชื่อถือต่อบุคคลภายนอกว่าไม่ตกเป็นเครื่องมือของนักการเมืองง่ายดายและมีความเป็นธรรมอย่างแน่นอน หากที่มาของคณะตัดสินคดีการเมืองใช้เฉพาะด้านใดด้านหนึ่งย่อมบอกแนวโน้มคำตัดสินได้ว่าฝ่ายใดจะได้ประโยชน์จากคดีนั้นเกือบทันที โดยเฉพาะที่มาการแต่งตั้งองค์คณะตัดสินซึ่งมาจากคณะปฏิวัติที่ยึดสิทธิเสรีภาพประชาชนหรือทำลายรัฐธรรมนูญด้วยอาวุธยังเน้นย้ำหน้าที่ของผู้ตัดสินต่อคดีกำจัดนักการเมืองคู่แข่งมากขึ้น จึงเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือในคำตัดสินดังกล่าวไปด้วย ไม่ว่าบุคคลเหล่านั้นจะอยู่ในสังกัดใดก็ตาม
คดียุบพรรคการเมืองทั้งในประเทศประชาธิปไตยหรือเผด็จการนั้น เมื่อเลือกใช้อำนาจศาลเป็นเครื่องมือกำจัดฝ่ายปรปักษ์ทั้งแบบสมัครใจหรือถูกข่มขู่ก็ตาม หลายคนจักมองเห็นกระบวนการตั้งแต่เริ่มต้นของคดีซึ่งไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรมทางการเมือง เช่น ข้อกล่าวหา พยานหลักฐาน ขั้นตอนดำเนินคดี การคัดเลือกคณะตัดสินที่ไม่เป็นตามหลักสากล เลือกองค์กรที่มีความน่าเชื่อถือมาทำหน้าที่ตามคำสั่งของตน แสดงท่าทีสนับสนุนฝ่ายเดียวกันอย่างออกนอกหน้า คำพูดหรือกิริยาที่บ่งว่าต้องกำจัดคู่แข่งออกไปจากเวทีทุกรูปแบบและต่อเนื่อง เป็นต้น เมื่อที่มาของคณะตัดสินกับกระบวนการพิจารณาคดีสร้างความคลางแคลงใจแก่คนทั่วไปตั้งแต่เริ่มต้น อีกทั้งยังคาดเดาผลตัดสินได้ตั้งแต่ยังไม่เห็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคดี มันบอกชัดถึงความล้มเหลวในการเชื่อถือคำตัดสินคดีทางการเมืองของคณะตัดสินที่แต่งตั้งขึ้นโดยขัดต่อหลักสากลเกี่ยวกับคดีทางการเมือง ผู้คนยังมองด้วยความสงสัยว่าคำตัดสินมาจากการบงการของกลุ่มบุคคลที่มีอำนาจสูงในบ้านเมือง มิใช่วิจารณญาณและหัวใจยุติธรรมของคณะตัดสินคดีที่ต้องเป็นกลางและเป็นธรรม นอกจากนั้นคำพิพากษายุบพรรคการเมืองด้วยข้ออ้างว่าสมาชิกทำความผิด พรรคต้องสูญสลายตามไปถือเป็นการลงโทษด้วย ยังไม่เคยปรากฏในดุลพินิจของศาลใดในโลก ยกเว้นในประเทศไทย จนกลายเป็นคำพูดขบขันทางการเมืองว่า หากมาเลเซียหรือไต้หวันหรือสหรัฐจะกำจัดคู่แข่งทางการเมือง ให้ส่งนักการเมืองและพรรคเป้าหมายไปขึ้นพิจารณาคดีที่ศาลไทย จักได้สมความปรารถนาทุกประการ ดังคำโฆษณาที่ว่า

“ท่านจะไม่มีคู่แข่ง เมื่อมาใช้บริการพิจารณาคดีการเมืองในไทย”
หลายคนน่าจะคาดเดาการเมืองหลังการปฏิวัติกันยายน 2549 ได้แล้วว่า พรรคการเมืองที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลแต่งตั้งอย่างเต็มที่ด้วยการกำจัดคู่แข่งทางการเมืองให้สิ้นซาก จะต้องเป็นรัฐบาลใหม่ซึ่งต้องตอบแทนพระคุณใหญ่หลวงนี้มากเพียงไร ประเทศนี้ยังเป็นประชาธิปไตยตามหลักสากลได้มากน้อยเพียงใด หรือจะเป็นไปตามปากคำที่เรียกตนว่ารัฐบาลประชาธิปไตย แต่กำเนิดจากปากกระบอกปืนจ่อหัวคนไทยแล้วแย่งสิทธิเสรีภาพไป จากนั้นก็พร่ำพูดว่าเป็นรัฐบาลประชาธิปไตย ห้ามคนอื่นกระทำเลียนแบบเด็ดขาด ถือว่าไม่รักชาติ ถ้าคิดปฏิวัติอีก แล้วการกระทำในกันยายน 2549 ถือเป็นประชาธิปไตยที่งดงามหนึ่งเดียวเท่านั้น คนไทยคงต้องนั่งหดหู่ในสายฝนอีกนาน ตราบใดที่ฟ้ายังมีสีเขียว มิใช่สีฟ้าธรรมชาติ และฝันถึงวันที่ฟ้าบริสุทธิ์ของคนไทยจะมีให้เห็นอีกครั้ง ยิ่งน่าสมเพชมากขึ้นเมื่อเห็นภาพการ์ตูนล้อเลียนการเมืองที่เขียนภาพคณะบริหารประเทศใช้ปืนจ่อศีรษะคนไทยไร้อาวุธข่มขู่ให้ยอมรับอำนาจของตน แต่ก้มกราบเท้าขออภัยต่อโจรใต้ที่มีปืนจ่อตอบโต้อยู่ ปล่อยให้คนไทยบริสุทธิ์และทหารนับร้อยคนถูกโจรยิงตายทุกวัน ผู้บริหารประเทศกราบขอโทษโจรใต้เป็นระยะแล้วให้คนไทยตายเซ่นสังเวยเพื่อความสมานฉันท์กับโจร แม้แต่นักสิทธิมนุษยชนไทยยังไม่กล้าแตะต้องปัญหาความทุกข์ของคนไทยบริสุทธิ์ในแดนใต้ ต่างพากันเงียบเชียบ มันสะท้อนใจถึงศักดิ์ศรีของคนไทยที่ต่ำต้อยกว่าโจรใต้ในสายตาของคณะบริหารประเทศไทยในเวลานี้เพราะเหตุผลเดียวคือโจรมีอาวุธครบมือ แต่คนไทยมีแค่มือเปล่า บางทียังเกี่ยวพันถึงความเชื่อถือทางศาสนาของผู้นำทางทหารที่จะไม่ทำร้ายพี่น้องในศาสนาเดียวกันอีกด้วย ทำให้ปัญหาทางใต้ยืดเยื้อ ทั้งที่กำลังทหารทั้งประเทศมีมากกว่าโจรใต้ เหตุใดจึงไม่พิจารณาแผนยุทธวิธีขับไล่ ไล่ล่า พวกก่อการร้ายมุสลิมที่อเมริกานำไปใช้หลังเกิดเหตุระเบิดตึก 9/11 ที่ไม่ยอมให้พวกที่อยู่ในบัญชีดำและเกี่ยวข้องกับพวกนั้นอยู่ในแผ่นดินของตน แล้วตามล่าพวกนั้นนอกประเทศอย่างต่อเนื่อง ทำให้สหรัฐกลับสู่ความสงบอีกครั้งและอย่างรวดเร็ว เศรษฐกิจฟื้นตัวเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ ถ้านำไปใช้ในดินแดนใต้ประกอบกับงานข่าวทางทหารและตำรวจเกี่ยวกับกลุ่มก่อปัญหา เชื่อว่าความสงบทางใต้จะเกิดขึ้นได้เร็ว ความเศร้าจักถูกปัดเป่าไปแน่นอน มันขึ้นอยู่กับความจริงใจและความเข้มแข็งของคณะบริหารประเทศว่ารักชาติจริงเพียงใด หรือจะเห็นแก่ความรักพี่น้องร่วมศาสนาของตนอย่างเดียว จึงเก็บรักษาโจรใต้ไว้ดีเพียงนี้

***************************




 

Create Date : 11 มิถุนายน 2550    
Last Update : 11 มิถุนายน 2550 14:56:57 น.
Counter : 526 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  

arbel
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add arbel's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.