ความรู้คือ วัคซีนของชีวิต เพลินอ่านนิยายดี
Group Blog
 
All Blogs
 

พอเพียง กับ ขี้เกียจ

เขียนโดย แก้วมณี

ปรัชญาความพอเพียงที่รัฐบาลพยายามส่งเสริมแก่ประชาชนนั้นเป็นเรื่องของการรู้จักใช้ชีวิตประมาณตนซึ่งสามารถปรับใช้กับคนทุกสถานะได้ ไม่จำเป็นว่าต้องใช้กับคนยากจนกลุ่มเดียว แม้แต่นักธุรกิจทำการค้าก็ใช้เพื่อสร้างความไว้วางใจแก่ลูกค้าด้วยการทำธุรกิจอย่างเป็นธรรมเพราะรู้จักกำไรพอเพียง ปรัชญานี้สอดคล้องกับหลักพุทธศาสนาที่สอนให้คนดำเนินชีวิตสายกลาง ไม่ตึงหรือหย่อนเกินไป รู้จักให้และรับอย่างพอประมาณ ไม่สร้างความเดือดร้อนแก่ตนและคนรอบข้าง ดังนั้น ปรัชญาความพอเพียงนี้จึงเป็นพื้นฐานการดำรงชีพของมนุษย์ได้ แต่ต้องนำไปใช้ให้ถูกกาลเทศะด้วย มิฉะนั้น ความเข้าใจผิดในหลักปรัชญาหรือการใช้ผิดเวลาอาจทำลายความเจริญตามวัฏจักรแท้จริงของประเทศที่ต้องหมุนไปตามโลกใบนี้
สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากรัฐบาลนำเสนอทฤษฎีหรือปรัชญาความพอเพียงสู่สาธารณชนหรือชาวโลก คือ ทุกคนตระหนักใจดีว่าความไม่โลภ ไม่เบียดเบียนผู้อื่น เป็นเรื่องถูกต้องเพราะอยู่ในคำสอนของทุกศาสนา แต่คนไทยบางกลุ่มนำแนวคิดดังกล่าวไปใช้ในการดำรงชีพหรือทำงานโดยอ้างว่าสนับสนุนนโยบายใช้ชีวิตพอเพียงด้วยการทำงานน้อยลง ไม่ให้เกินสองมือ จนกระทั่งส่งผลกระทบต่อความเจริญของบ้านเมือง หากมองผิวเผินพวกเขาส่งเสริมนโยบายการทำงานพอเพียง คือ ไม่ทำงานหนักเกินไป ไม่เร่งรัด พึงพอใจต่องาน ระยะหลังนี้จะเห็นข้าราชการซึ่งก่อนหน้านี้นโยบายของรัฐกระตุ้นให้ทำงานเต็มความสามารถเพื่อให้งานเสร็จไวและมีคุณภาพอันป็นการส่งเสริมให้งานรัฐและเอกชนเดินหน้าไปอย่างรวดเร็ว หลังจากรัฐบาลใหม่ประกาศใช้นโยบายความพอเพียง ข้าราชการกลุ่มใหญ่เข้าใจว่า ควรทำงานให้เต็มสองมือและมีความสุข จึงถือเป็นการทำงานอย่างพอเพียง พวกเขาคิดว่าคนมีแค่สองมือ งานควรมีแค่สองแฟ้ม อ่านและเซ็นชื่อในเอกสารวันละสองแฟ้ม ก็จะทำให้ไม่เหนื่อยเกินไป ถือเป็นการสนับสนุนนโยบายความพอเพียงและชีวิตจะเป็นสุข มุมมองของพวกเขาคือ ความขยันทำให้เหนื่อย เงินเดือนก็ขึ้นทุกปีโดยมิได้ใช้ความขยันเป็นเกณฑ์ตัดสินอัตราเงินเดือนอยู่แล้ว จุดสำคัญคือ ต้องไม่เหนื่อย มันจึงเป็นความพอเพียงของชีวิต เงินออมไม่ใช่เรื่องสำคัญเพราะก่อหนี้เมื่อใด รัฐก็จะเข้าไปช่วยเหลือปลดหนี้สินให้ทุกปี จึงทำให้งานรัฐเชื่องช้าอีกครั้ง ขณะที่นโยบายของเอกชนที่เร่งให้คนทำงานเต็มความสามารถสมกับเงินเดือน กลับกลายเป็นการขัดนโยบายพอเพียงของรัฐบาลและถูกเพ่งเล็งว่าขัดขวางการทำงานของรัฐ จนกลายเป็นความหวาดระแวงกันในท้ายที่สุด
ด้านการค้าต่างประเทศนั้นเมื่อมีการแถลงนโยบายรัฐต่อนักธุรกิจหรือนักการทูตต่างชาติว่ารัฐบาลจะบริหารประเทศด้วยปรัชญาพอเพียงที่เน้นไม่ทำสิ่งใดเกินตัวเป็นหลัก ไม่สนใจต่อระบบทุนนิยมของโลก แล้วยังพยายามเผยแพร่แนวคิดนี้ให้ชาวโลกปฏิบัติตาม มันสร้างความเข้าใจผิดเพี้ยนแก่ชาวโลกที่คิดว่า ประเทศนี้จะปิดตัวเอง ไม่คบหาสมาคมกับชาวโลกที่อยู่นอกแนวคิดพอเพียง ลดการค้าขายและผลิตอาหารหรือสินค้าแค่ใช้เลี้ยงประชากรในประเทศเท่านั้น หลายประเทศจึงเริ่มปรับนโยบายความสัมพันธ์และการค้าที่มีต่อประเทศไทยเพื่อเข้ากับแนวคิดของทีมบริหารประเทศด้วยการลดคำสั่งซื้อสินค้าและบริการลง มองหาตลาดการค้าหรือการลงทุนใหม่เพราะขาดการส่งเสริมจากรัฐบาลไทย เนื่องจากแนวคิดการค้าหรือการลงทุนคือ ต้องคำนึงถึงต้นทุนและกำไร รวมทั้งอำนาจการซื้อของประเทศที่ลดลง เมื่อผู้บริหารประเทศไม่ต้องการให้ชาวบ้านใช้เงินซื้อขายสินค้า การแลกเปลี่ยนสินค้ากับเงินตราย่อมมีน้อยลง การผลิตสินค้าของต่างชาติจึงไม่เหมาะสมกับประเทศนี้ บริษัทผลิตสินค้าหลายอย่างเริ่มถอนตัวออก อันส่งผลต่อสถิติคนตกงานเพิ่มขึ้นในไม่ช้านี้อันเนื่องจากความเข้าใจผิดในปรัชญาความพอเพียงที่รัฐบาลนำเสนอต่อชาวโลกในเชิงการค้า แทนที่จะเป็นการส่งเสริมการค้าเต็มกำลังการผลิตของชาติตามระบบทุนนิยมซึ่งใครใคร่ค้า ก็ค้าขายกัน ใครใคร่ขายก็ซื้อกันได้อย่างเต็มที่ แต่รัฐจำกัดการใช้เงินของชาวบ้านอันส่งผลกระทบต่อระบบทุนนิยมของโลก โชคดีที่เราเป็นประเทศไม่ใหญ่โตนัก จึงพบแรงเสียดทานจากชาวโลกไม่มาก แค่สร้างภาวะลำบากแก่คนไทยที่เงินทองไม่คล่องมือหรือตกงานเท่านั้น
บรรพชนไทยสั่งสอนลูกหลานสืบทอดกันมาว่า ต้องขยัน อดทน เก็บออม ใช้ชีวิตพอเพียง จึงมีส่วนสำคัญให้ประเทศไทยเจริญรุ่งเรืองมาตามลำดับทั้งที่แต่ละช่วงเวลาที่เกิดการเปลี่ยนแปลงรุนแรงในบ้านเมืองมีหลายครั้ง คนไทยก็รอดพ้นวิกฤตมาตลอด แม้แต่การตกอยู่ในสภาพเกือบล้มละลายแล้ว คำสั่งสอนเหล่านั้นเป็นพื้นฐานของคนไทยในการฝ่าวิกฤตร้ายแรงเหล่านั้น แนวคิดเพี้ยนเกี่ยวกับความพอเพียงที่บางกลุ่มซึ่งมีอำนาจนำไปใช้ด้วยการทำงานไม่เกินสองมือ แต่ไม่เต็มความสามารถแท้จริงที่เกิดขึ้นในสังคมบางส่วน แต่ส่งผลต่อการพัฒนาบ้านเมืองโดยอาศัยข้ออ้างว่า เป็นการใช้ปรัชญาความพอเพียงของรัฐบาลแล้ว ถือเป็นการทำลายชาติ การทำงานแค่สองมืออย่างไม่เต็มความสามารถของพวกเขาน่าจะเรียกให้ถูกต้องว่า ขี้เกียจ มิใช่การทำงานอย่างพอเพียง เนื่องเพราะคนทำงานเต็มสติปัญญาและความสามารถในอาชีพหรือในงานรับผิดชอบของตนคือ คนขยันและรู้จักความพอเพียงในการใช้ชีวิต ขณะเดียวกันก็พัฒนาตัวเองและเนื้องานให้เป็นประโยชน์แก่ชาติอย่างสุดความสามารถ คนประเภทนี้เป็นคนที่ชาติต้องการที่สุดและมีส่วนต่อการพัฒนาชาติ ตัวอย่างเช่น ชาวนามีนา 10 ไร่ ปลูกแค่ข้าวขายได้เงิน 10000 บาท ขณะที่ราคาข้าวสูงต่ำไม่เท่ากัน แต่ละปีจึงมีรายได้ไม่สม่ำเสมอ บางคนอาจบอกว่าชาวนาปลูกข้าวก็พอแล้ว ถือว่าใช้ชีวิตพอเพียง ขณะที่ชาวนาอีกคนมีพื้นที่นาเท่ากัน นอกจากปลูกข้าวแล้ว เขายังเพิ่มบ่อปลา ผักสวนครัวเข้าไปในผืนนาของตน ไม่นานก็เปลี่ยนกระท่อมมุงใบจากเป็นบ้านปูนหลังเล็กที่กว้างขวางและอบอุ่นได้ จักถือว่าเขาใช้ชีวิตไม่เป็นไปตามปรัชญาพอเพียงได้ไหม ? คำตอบ คือ เขาทำงานและพัฒนาผืนนาด้วยสติปัญญาและเต็มกำลังความสามารถภายในพื้นที่ของตน สิ่งที่ได้รับตอบแทนความขยันและความฉลาด คือ ความสุขสบายที่แลกกับปัจจัยสี่ของมนุษย์ เขาดำเนินชีวิตตามปรัชญานั้นตามกำลังความสามารถของตนแล้ว แต่ละคนมีความสามารถไม่เท่าเทียมกัน จึงมีระดับความพอเพียงที่แตกต่างกันได้ มาตรวัดความพอเพียงที่เห็นชัดเจนที่สุด คือ ความสามารถของคน คนทำงานมีเส้นบางๆคั่นกลางไว้ระหว่างความพอเพียงในการงานกับความขี้เกียจ ปรัชญาความพอเพียงมิได้ส่งเสริมให้คนขี้เกียจทำงาน และเรียกร้องปัจจัยสี่ของมนุษย์โดยไม่ทำงานแลกสิ่งของเหล่านั้น แต่บอกให้คนทำงานเต็มความสามารถและรู้จักพอเพียงกับสิ่งอำนวยความสะดวกของมนุษย์ที่ได้รับตอบแทนจากความขยันหมั่นเพียร อย่าใช้ชีวิตฟุ่มเฟือย รู้สติในการดำเนินชีวิตสายกลาง ความสุขแท้จริงของมนุษย์จึงบังเกิดขึ้นได้
ปรัชญาความพอเพียงนั้นมิได้มีเจตนาให้คนร่ำรวยตามความสามารถของตนต้องดำเนินชีวิตเยี่ยงคนจน แต่ให้รู้จักประมาณตน อย่าประมาทใช้ชีวิตซึ่งไม่มีความแน่นอนเป็นสัจธรรม ถือเป็นวัคซีนคุ้มกันชีวิตคนรวยมิให้ต้องตกอับกลายเป็นคนจนเพราะใช้ชีวิตผิดพลาดจากการไม่ประมาณตน หลายคนเข้าใจผิดและเชื่อว่าคนรวยที่เชื่อปรัชญานี้ต้องใช้ชีวิตแบบขาดตกบกพร่องทางการเงิน จึงถือว่าส่งเสริมแนวคิดนี้ มันกลายเป็นอุปสรรคใหญ่หลวงของรัฐบาลที่นำเสนอแนวคิดกระจายไปทุกส่วนในสังคมทำให้เกิดความหวาดระแวงและความเชื่อผิดพลาดซึ่งนำไปอ้างใช้กับคนในทุกภาคส่วนว่า ถ้าส่งเสริมนโยบายของรัฐก็ต้องลดทอนฐานะการเงินของตนลง แบ่งปันให้คนอื่นมากขึ้น ทำงานน้อยลง เพื่อแสดงตนว่ารู้จักความพอเพียง กลายเป็นการส่งเสริมให้คนวัยทำงานเป็นคนขี้เกียจเพราะทำงานมากก็เหนื่อย เงินเดือนต้องขึ้นทุกปี ถ้ารู้จักพอเพียงก็ต้องทำงานให้น้อยลง มีความสุขมากขึ้น หากปล่อยให้เข้าใจพลาดไปนานวัน จะลดทอนความมั่นคงของรัฐและการพัฒนาบ้านเมืองลง การเรียกร้องความสบายจากรัฐมีเพิ่มขึ้น แต่ไม่อยากทำงานให้เหนื่อยหรือลดความสุขของตนลง สังคมจะวุ่นวายเมื่อคนสนใจเฉพาะความสุขของตนและเรียกร้องเพื่อตนด้านเดียวโดยต้องการให้รัฐตอบสนองแรงปรารถนาของประชาชนโดยอ้างปรัชญาความพอเพียงซึ่งพวกเขาทำงานน้อยลงตามนโยบายของรัฐ แต่ความต้องการเพิ่มขึ้นตามนิสัยทั่วไปของมนุษย์ซึ่งมิอาจละทิ้งความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง ไปได้ทั้งหมด
การค้าต่างประเทศกับปรัชญาความพอเพียงต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่า มิได้ลดกำลังการผลิตสินค้าของไทยลงให้พอเพียงกับประชากรในประเทศ ไม่ขัดขวางระบบการค้าแบบทุนนิยม แต่เป็นการปรับแนวคิดเกี่ยวกับกำไรที่ไม่เกินควร มีความเป็นธรรมต่อกัน ส่งเสริมการค้ายุติธรรมซึ่งระบบทุนนิยมก็เน้นความเป็นธรรมของคู่ค้าเช่นกัน ไทยยังต้องเน้นการผลิตสินค้าเต็มความสามารถและต้องการตลาดส่งออกผลผลิตเหล่านั้น มิใช่ปิดระบบการค้ากับต่างชาติแล้วกินใช้เฉพาะภายในประเทศเท่านั้น การนำปรัชญาพอเพียงไปใช้กับระบบการค้าของไทยต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะประเทศไทยมิได้อยู่บนโลกใบนี้เท่านั้น แต่ยังต้องมีสัมพันธภาพกับต่างชาติมากมาย ระบบทุนนิยมเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจของโลกให้มีการพัฒนา ติดต่อสื่อสารกัน แลกเปลี่ยนสินค้ากัน การขัดขวางระบบเศรษฐกิจของโลกด้วยแนวปรัชญาพอเพียงจากความเข้าใจผิดในความหมายหรือขอบเขตของมัน จะเกิดแรงต่อต้านจากต่างชาติซึ่งส่งผลกระทบต่อคนไทยให้มีชีวิตยากลำบากขึ้น รัฐบาลซึ่งอยากกระจายแนวคิดนี้แก่ชาวโลกจึงต้องรอบคอบเป็นพิเศษในการนำเสนอและอธิบายให้ถ่องแท้โดยการทำความเข้าใจกับคนไทยให้ถูกต้องก่อนจะเผยแพร่สู่ต่างประเทศ ขณะนี้คนไทยมากหลายยังเข้าใจผิดพลาดกับปรัชญาความพอเพียง หากคิดหวังจะให้ต่างชาติเข้าใจถูกต้องว่า ประเทศไทยมิได้ปิดประเทศหรืองดการคบหากับต่างชาติ ย่อมเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะในเวลาที่ความน่าเชื่อถือของผู้นำประเทศนี้ขาดบกพร่องอย่างมาก
ความสับสนต่อนโยบายของประเทศไทยกลายเป็นโอกาสงามของหลายประเทศใกล้เคียงที่ฉกฉวยไปใช้ประโยชน์อย่างมากอันเกิดจากวิสัยทัศน์ของผู้นำและทีมบริหารประเทศที่คับแคบ ตัวอย่างเช่น มาเลเซียซึ่งถือเป็นชาติมุสลิมซึ่งเคร่งครัดในหลักศาสนามาก โดยแนวคิดการใช้ชีวิตอย่างพอเพียงแทรกซึมอยู่ในคำสอน ก็ยังส่งเสริมการค้ากับต่างประเทศอย่างเต็มที่ เร่งรัดผลผลิตหรือสินค้าเต็มความสามารถของประเทศ เพื่อนำเงินตราเข้าประเทศไปสร้างสรรค์ความสุขแก่ประชากร เวียดนามซึ่งเคยยากจนและไม่น่าลงทุนในสายตาของต่างชาติเมื่อหลายสิบปีก่อน แต่ปรับใช้แนวคิดและวิธีแก้ปัญหาจากรัฐบาลเดิมของไทยนำทางพัฒนาประเทศจนเลื่อนขั้นเป็นประเทศน่าลงทุนที่สูงกว่าไทยในภูมิภาคเอเชีย มันบ่งบอกวิธีปฏิบัติของไทยหลายอย่างในวันนี้ทำลายความมั่นคงและการพัฒนาของชาติอย่างรวดเร็วด้วยเวลาไม่ถึงหนึ่งปีเท่านั้น ประเทศไทยกลายเป็นประเทศที่ไม่น่าลงทุนมากที่สุดในเอเชีย โดยมีลาวกับเขมรอยู่ขนาบข้าง
ถ้าคนไทยไม่แยกแยะความพอเพียงออกจากความขี้เกียจ ชาติและประชากรต้องประสบความยากแค้นสาหัสมากขึ้น โดยเฉพาะต่างชาติที่ได้รับการเผยแพร่แนวปรัชญาความพอเพียงของไทยแล้วเข้าใจผิดพลาดไปอีกทางหนึ่ง พวกเขาเชื่อว่าผู้นำประเทศกำลังนำพาประชาชนกลับไปใช้ชีวิตแบบดั้งเดิมเมื่อหลายร้อยปีก่อน ทำงานแค่พอกิน ความสุขส่วนตนเป็นเรื่องใหญ่ การค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าเป็นความฟุ่มเฟือย เร่งหมุนเวลาในอดีตกลับมาสู่ยุคไซเบอร์ กอปรกับพฤติกรรมหลายอย่างของรัฐบาลเพื่อส่งเสริมนโยบายชาตินิยมด้วยการออกข่าวทวงคืนสัมปทานต่างๆของบริษัทที่มีต่างชาติถือหุ้นร่วมด้วย การฟื้นฟูให้ใช้ชุดแต่งกายที่นิยมสวมกันในสมัยผู้นำประเทศคนหนึ่งซึ่งละม้ายคล้ายกับชุดประจำชาติของจีนซึ่งในประเทศของเขาเริ่มแต่งน้อยลงแล้วหันไปสวมชุดสูทสากลเพราะเขายอมรับความจริงว่ากำลังยืนผงาดอยู่ในเวทีโลกอันยิ่งใหญ่ในฐานะมหาอำนาจหนึ่งของโลก คำสั่งให้นักเรียน นักศึกษา แต่งกายด้วยผ้าไทยหนึ่งวันต่อสัปดาห์ การกล่าวตำหนิติเตียนบางกลุ่มบางคนว่าไม่รักชาติแล้วยุยงให้หาความผิดเพื่อลงโทษพวกเขา หากมองย้อนประวัติศาสตร์โลกแล้วจะเห็นว่าคล้ายกับสมัยปฏิวัติวัฒนธรรมในจีนซึ่งสร้างความวุ่นวายและทำลายระบบครอบครัวและสังคมอย่างมากเมื่อรัฐสร้างความหวาดระแวงใจและจ้องทำลายล้างคนที่ตนเกลียดชังเป็นหลัก นโยบายชาตินิยมเป็นที่หวั่นกลัวแก่คนต่างชาติดังที่เคยเกิดขึ้นในเยอรมันและญี่ปุ่นมาแล้ว มันก่อชนวนสงครามใหญ่และโศกนาฏกรรมอนาถใจทั่วโลกเพราะอิทธิพลชาตินิยม พวกเขาจึงระแวงใจต่อนโยบายบริหารประเทศของรัฐบาลทั้งเรื่องความพอเพียงและความชาตินิยมสุดขั้วที่รัฐกำลังส่งเสริมในกลุ่มประชาชนจากพฤติกรรมต่างๆที่แสดงออกสู่สาธารณชน นโยบายการเงินหรือข้อบัญญัติหลายอย่างแสดงจุดประสงค์ชัดเจนในการขับไล่นักลงทุนต่างชาติ การถอนเงินลงทุนจึงปรากฏให้เห็นมากขึ้น โดยประเทศเพื่อนบ้านกลับสร้างภาพว่าตนเปิดกว้างต้อนรับเงินลงทุนของพวกเขาด้วยนโยบายเสรีและเป็นธรรม ขณะที่ทีมบริหารชาติยังไม่มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ใหม่ๆในการบริหารประเทศ นอกจากประกาศจับผิดสิ่งที่รัฐบาลเดิมกระทำไว้อย่างเดียว จนกระทั่งหลายคนคิดไปว่า คนไทยมิได้มีผู้นำประเทศ แต่มีผู้สอบสวนการทำงานในอดีตของคนอื่น คนไทยในวันนี้จำต้องใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง รู้จักความพอเพียงด้านการทำงานด้วยการรักษาตำแหน่งหน้าที่ไว้ ขยันทำงาน กินใช้พอประมาณ งดสร้างหนี้สิน บริหารเงินในกระเป๋าอย่างรอบคอบ หากเข้าใจเนื้อแท้ของปรัชญาความพอเพียงแล้ว จะเห็นประสิทธิภาพของมันในยามยากแค้นว่าเป็นสูตรสำเร็จที่ช่วยชีวิตคนไทยผ่านวิกฤตไปได้แน่นอน แล้วต้องไม่ลืมคำสอนของพุทธศาสนาด้วยว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน อย่าคิดหวังให้รัฐบาลช่วยเหลือเพราะเขามีงานตรวจสอบอดีตเป็นหลัก มิใช่บริหารท้องของชาวบ้านให้อิ่มสำราญ ความพอเพียงเป็นวัคซีนของชีวิตที่มนุษย์พึงมีไว้ติดกายไม่ว่าจะยากดีมีจนเพียงใด หากรู้จักปรับใช้ให้เหมาะสมกาลเทศะ ย่อมมีชีวิตสุขสันต์จนลมหายใจสุดท้ายได้ไม่ยากนัก ส่วนบั้นปลายสุดท้ายของคนขี้เกียจ คือ ความทุกข์ยากจนหมดลมหายใจ

*************************************




 

Create Date : 22 กุมภาพันธ์ 2550    
Last Update : 22 กุมภาพันธ์ 2550 15:20:04 น.
Counter : 924 Pageviews.  

เขายายเที่ยง ทะเบียนซ้อน ระเบิด พอเพียง

เขียนโดย ลูกแก้ว

นโยบายของรัฐบาลที่รณรงค์ให้ประชาชนนำไปใช้ในการดำเนินชีวิตหรือการทำงานด้วยปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง อันหมายถึง การเดินในเส้นทางสายกลาง รู้จักประมาณตน ทำงานไม่เกินกำลัง อย่าก่อหนี้เกินกว่ารายได้ ใช้ชีวิตเรียบง่าย เคารพกฎหมายบ้านเมือง ภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ หากทุกคนปฏิบัติตนตามแนวคิดนี้อย่างเคร่งครัดและถูกกาลเทศะเชื่อได้ว่า ชีวิตสงบสุข บ้านเมืองเรียบร้อยมั่นคง ปกติแล้วการสอนให้คนอื่นประพฤติตัวตามนั้น บรรพชนจะบอกเสมอว่าผู้สอนต้องปฏิบัติเป็นตัวอย่างก่อน จึงมีความน่าเชื่อถือมากพอจะให้คนอื่นเลียนแบบตามไป ดังช่น ไม่อยากให้ลูกสูบบุหรี่ กินเหล้า เที่ยวกลางคืน พ่อแม่ต้องประพฤติเป็นแบบอย่างก่อน เมื่อลูกเห็นตัวอย่างที่ดีจักเลียนแบบกระทำตามอย่างไม่ยากเย็น เป็นต้น
ความพอเพียงที่ถูกต้องจักเริ่มกระทำที่ตัวเองและครอบครัวก่อน ด้วยการทำงาน เก็บเงินออม ใช้จ่ายอย่างเหมาะสมและไม่เกินกว่ารายได้ของตน เมื่อผู้นำบ้านเมืองต้องการให้ประชาชนเห็นแบบอย่างและประพฤติตามเพื่อความผาสุกของแต่ละครอบครัว จึงควรทำเป็นตัวอย่างแรกที่แสดงการใช้ชีวิตแบบพอเพียง แต่ข่าวก่อนปีใหม่เกี่ยวกับบ้านพักบนเขายายเที่ยงของผู้นำประเทศว่าเป็นบ้านพักเกินกว่าหนึ่งหลังที่ท่านมีไว้ในครอบครองและอาจบุกรุกพื้นที่ต้นน้ำของภูเขาซึ่งผิดกฎหมายเป็นข่าวน่าสนใจของชาวบ้านอย่างมาก เพราะคำสอนของท่านที่ให้ชาวบ้านรู้จักใช้ชีวิตพอเพียง ตามหลักแล้วมนุษย์ทั่วไปควรมีบ้านเป็นของตนเองหลังเดียวก็เหมาะสมกับชีวิตสมถะแล้ว โดยเฉพาะสำหรับข้าราชการคนหนึ่งที่ทำงานรับใช้ชาติตลอดชีวิตและไม่เคยทำงานในภาคเอกชนเลย บ้านบนเขายายเที่ยงซึ่งเป็นบ้านหลังที่มีอันดับมากกว่าสองและทำเลที่ตั้งเป็นที่กังขาทางกฎหมาย จึงเป็นที่จับตามองอย่างมากว่าการครอบครองถูกต้องมากน้อยเพียงใด ช่วงนั้นก็มีข่าวจะตรวจสอบกันซึ่งทำได้ง่ายเพราะที่ดินไม่อาจเปลี่ยนแปลงที่ตั้งได้ เอกสารราชการและกฎหมายยังคงมีและใช้บังคับอยู่ มันควรมีคำตอบได้ชัดเจนแล้ว แต่ต้องเงียบหายไปด้วยข่าวดังข้ามปี คือ การวางระเบิดในกรุงเทพฯในวันสิ้นปี
ความพอเพียงเป็นเรื่องของจิตสำนึกและต้องอยู่ภายใต้กฎหมายด้วย ถ้าไม่สามารถควบคุมความอยากมี อยากได้ ที่เกิดขึ้นในจิตใจหรืออารมณ์ได้ บุคคลนั้นย่อมยอมทำละเมิดกฎหมายเพื่อครอบครองสิ่งนั้น แนวคิดเรื่องความพอเพียงเป็นสัจธรรมในทุกศาสนาของโลก ข่าวหนึ่งที่เกิดขึ้นไล่เลี่ยกับบ้านบนเขายายเที่ยง คือ การจดทะเบียนสมรสซ้อนของผู้มีอำนาจสูงสุดหนึ่งในสองของคณะบริหารประเทศ แม้ตามหลักศาสนาจะกำหนดขอบเขตการมีครอบครัวไว้แล้ว แต่ยังต้องอยู่ภายใต้กฎหมายและการยอมรับของสังคมที่อาศัยอยู่ด้วย เป็นที่ทราบกันดีว่าข้อยกเว้นในการมีภรรยาเกินหนึ่งคนนั้นมีเฉพาะจังหวัดทางภาคใต้บางแห่งเท่านั้น แต่ยังต้องอยู่ภายในบังคับของกฎหมายครอบครัวไทยเรื่องการจดทะเบียนเช่นกัน สามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายและเป็นที่ยอมรับทางสังคม คือ คู่สมรสที่จดทะเบียนกันตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ส่วนในจังหวัดพิเศษทางภาคใต้ภรรยาทั้งสี่คนจักรับสิทธิ์ทางกฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน ในทางสังคมทั่วไปภรรยาที่จดทะเบียนสมรสตามกฎหมายแพ่งฯยังได้รับการยกย่องพิเศษก่อน นอกจากกฎหมายจะคุ้มครองและให้สิทธิแก่คู่สมรสที่จดทะเบียนตามกฎหมายแล้ว ยังกำหนดบทลงโทษแก่ผู้ทำละเมิดด้วยการจดทะเบียนสมรสซ้อนโดยไม่มีสิทธิ์พิเศษ เช่น ไม่ได้อยู่ในเขตจังหวัดเฉพาะ เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อป้องกันมิให้เกิดการหลอกลวงผู้บริสุทธิ์และสังคมครอบครัวสงบสุขขึ้น มันเป็นไปตามหลักสากลที่ทั่วโลกใช้บังคับกัน ข่าวจดทะเบียนสมรสซ้อนจึงกลายเป็นข่าวใหญ่และน่าสนใจในสายตาของชาวบ้านเพราะบุคคลในข่าวเป็นคนหนึ่งที่ใช้ปรัชญาความพอเพียงสอนคนไทยและเป็นหนึ่งในสาเหตุของการปฏิวัติและต้องการให้คนไทยรู้จักความพอเพียง อันที่จริงบุคคลนั้นต้องประพฤติตนเป็นตัวอย่างให้ประชาชนเลียนแบบก่อน โดยเฉพาะการเคารพกฎหมายในบ้านเมืองซึ่งส่งผลให้เกิดความสงบสุขและความมั่นคงในชาติได้ การตรวจสอบทะเบียนสมรสกระทำได้ง่าย อันที่จริงผลตรวจสอบเรื่องนี้น่าจะเปิดเผยกันแล้ว อีกทั้งบุคคลในข่าวควรแถลงข้อเท็จจริงออกมาให้หายแคลงใจ แต่ไม่มีการแถลงความจริงใดๆเพื่อปกป้องสิทธิหรือความบริสุทธิ์ของตนตามหลักมาตรฐานสากล เมื่อการตรวจสอบใกล้จะถึงจุดสำคัญซึ่งบอกได้ว่าข้อเท็จจริงคืออะไรและแรงบีบคั้นจากประชาชนที่ต้องการทราบ ข่าวระเบิดกรุงเทพฯเกิดขึ้นกลบเกลื่อนผลคืบหน้าการตรวจสอบจดทะเบียนสมรสซ้อนไปบทันที
การระเบิดในกรุงเทพฯช่วงปลายปีพ.ศ. 2549 ทำให้คนบริสุทธิ์ตายและบาดเจ็บไปจำนวนหนึ่ง แต่มองให้ลึกซึ้งแล้วบุคคลที่ได้รับประโยชน์สูงสุดมีแค่สองคนเพราะสามารถเบี่ยงเบนความสนใจจากเขายายเที่ยงและทะเบียนสมรสซ้อนอย่างได้ผลดีมาก ทั้งที่สองปัญหานี้พิสูจน์ข้อเท็จจริงทางเอกสารด้วยวิธีง่ายๆและใช้เวลาไม่นานนัก ถ้าเจ้าของทะเบียนหรือเอกสารให้ความร่วมมือเต็มที่เพราะล้วนเป็นเอกสารที่ไม่ใช่ทางลับ ประชาชนมีสิทธิ์ตรวจสอบได้อยู่แล้ว ผลการสอบสวนของตำรวจที่ออกสู่สาธารณชนบอกเป็นนัยว่า คนทั่วไปไม่มีอำนาจมากพอจะนำระเบิดไปสร้างประโยชน์แก่ตนได้ แต่ผู้ต้องสงสัยส่วนใหญ่เป็นทหารซึ่งโดยอาชีพต้องใช้ความรู้ด้านนี้เป็นประจำอยู่แล้ว แต่จะทำเพื่อบุคคลใดย่อมเป็นเป้าหมายในการค้นหาทางคดีต่อไป ส่วนประชาชนทั่วไปคงต้องประมวลข่าวย้อนหลัง คำสั่งสอนและความประพฤติของหลายบุคคล เพื่อคาดเดาจุดประสงค์ของผู้อยู่เบื้องหลังและทีมวางระเบิดจากผลพลอยได้ของสถานการณ์วุ่นวายนี้ แต่คำตอบแท้จริงอาจพบยากหรือไม่ถูกต้องเพราะคนไทยกำลังอยู่ท่ามกลางศึกสาดร้ายใส่คนอื่น เอาดีเลิศไว้กับตน
ปรัชญาการใช้ชีวิตอย่างพอเพียงมีคุณค่าเทียบเท่ากับปรัชญาจากนักคิดของโลก เช่น เพลโต ขงจื้อ เล่าจื้อ เป็นต้น จำต้องรู้จักประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับยุคสมัยและสภาพแวดล้อม จึงก่อประโยชน์สูงสุดแก่บ้านเมืองและครอบครัว ทุกปรัชญาในโลกล้วนมีข้อดี ข้อด้อย ขึ้นอยู่กับนำไปใช้กับสังคมประเภทไหน กาลเวลาใด หากเรานำปรัชญาขงจื้อทั้งหมดมาใช้ในสังคมไทย อาจไม่เหมาะสมและสร้างความเครียดแก่คนไทยก็ได้ ถ้านำบางส่วนที่เหมาะกับอุปนิสัยของคนไทย จักส่งเสริมความมั่นคงทางสังคมให้คนไทยก็ได้ การนำปรัชญาใดไปใช้ในชีวิตหรือการทำงาน พึงเลือกใช้หรือปรับใช้ให้เหมาะสมกับแต่ละคนโดยมีประโยชน์สูงสุดคือตัวของผู้ใช้และครอบครัวเป็นหลัก เมื่อคนในครอบครัวมีความสุข ย่อมส่งผลถึงสังคมโดยรวมจักสงบสุขไปด้วย สิ่งสำคัญต่อการเผยแพร่หลักคิดเกี่ยวกับความพอเพียงในการดำเนินชีวิตและการทำงานต่อประชาชนนั้นต้องเริ่มต้นที่ผู้นำบ้านเมืองและทีมบริหารประเทศกระทำเป็นตัวอย่างเพื่อให้ชาวบ้านหันมาเห็นด้วยและเลียนแบบกัน โดยเฉพาะบุคคลในทีมคณะปฏิวัติและรัฐบาลซึ่งรับเงินรายได้หลายทางทั้งที่มีแค่หนึ่งร่างกำลังสร้างความสับสนต่อแนวคิดพอเพียงอย่างมากว่าสิ่งที่เขากระทำนั้นถือเป็นความพอเพียงหรือความโลภไม่สิ้นสุด แม้แต่งบประมาณยังทำบัญชีแบบขาดดุลซึ่งหมายถึงใช้จ่ายเงินมากกว่ารายได้ที่หาเข้าคลัง ขณะที่หลักเศรษฐกิจพอเพียงของรัฐบาลที่พร่ำสอนชาวบ้านบอกชัดว่าไม่ควรก่อหนี้สิน แต่รู้จักใช้เงินรายได้ให้พอเหมาะตามอัตภาพ หาความสุขพอเพียง อย่าโลภ ชีวิตจะสงบและมีความสุขอย่างแท้จริง ประเทศไทยใช้ระบบบัญชีสมดุลคือใช้จ่ายไม่เกินรายได้ที่หาเข้าคลังมาหลายปีแล้ว นี่เป็นปีแรกที่หลังจากเคยเป็นลูกหนี้ไอ เอ็ม เอฟ อันแสนอดสูใจที่ต้องกลับมาใช้จ่ายเกินรายได้ที่พึงหามาเข้าคลัง หลายคนคงอมยิ้มยามคิดทบทวนเรื่องเหล่านี้แล้วบอกกันว่า มันเป็นความพอเพียงตามแบบฉบับของรัฐบาลเท่านั้น ห้ามประชาชนเลียนแบบ

************************************




 

Create Date : 15 กุมภาพันธ์ 2550    
Last Update : 15 กุมภาพันธ์ 2550 1:42:31 น.
Counter : 450 Pageviews.  

รักชาติสารพัดแบบ

เขียนโดย แก้วมณี

ภาวะเศรษฐกิจล้มเหลวและหนี้สินล้นพ้นตัวของประเทศไทยในปีพ.ศ. 2540 อันเกิดจากการบริหารการเงินที่ไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาลในอดีต ทำให้คนไทยต้องประสบความลำบากยากแค้นและอับอายยิ่งกับการที่ประเทศเจ้าหนี้ทั้งหลายบีบบังคับการใช้ชีวิตและการทำงานในประเทศไทยให้เป็นไปตามคำสั่งของเขา รวมทั้งข้อมูลภายในของประเทศหลายอย่างตกอยู่ในมือของต่างชาติ ศักดิ์ศรีของคนไทยสั่นคลอนอย่างมาก อัตราการว่างงานสูงขึ้น ธุรกิจเอกชนชะลอการเติบโตและปิดตัวมาก เมื่อมีการเลือกตั้งใหญ่เปลี่ยนรัฐบาลใหม่ในปีพ.ศ. 2544 ซึ่งนายกรัฐมนตรีในยุคนั้น คือ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นำเสนอนโยบายปลดหนี้สินและพันธกรณีกับต่างชาติโดยเร็วที่สุดด้วยการจัดลำดับการใช้เงินรายได้ของประเทศเพื่อชำระหนี้สินต่างชาติก่อนอันส่งผลต่อการดำเนินงานภายในประเทศอย่างเป็นอิสระจากกองทุนไอ เอ็ม เอฟและเจ้าหนี้อื่นๆ เรียกคืนศักดิ์ศรีของประเทศกลับคืนมาได้ด้วยความร่วมมือของคนไทยและทีมงานเศรษฐกิจของรัฐบาล การวางแผนการค้าระหว่างประเทศอย่างเป็นระบบเยี่ยงเดียวกับประเทศที่เจริญแล้วทั้งการเกษตรและอุตสาหกรรม ทำให้เพิ่มรายได้ของประเทศอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งเงินคงคลังที่เกือบว่างเปล่าเมื่อปีพ.ศ. 2540 มียอดตัวเลขสะสมสูงมาก งบประมาณประจำปีของประเทศอยู่ในภาวะเกินดุล รัฐบาลสามารถนำเงินรายได้ของประเทศไปจัดงานเฉลิมฉลองต่างๆอย่างอลังการละลานตาจนเป็นที่เชิดหน้าชูตาของคนไทยและคนต่างชาติชื่นชมอย่างมาก
การขยายตัวทางเศรษฐกิจของชาติตั้งแต่ปีพ.ศ. 2544 เกิดจากการกระตุ้นด้วยภาครัฐแล้วยังมีการขยายตลาดการค้าหลากหลายขึ้นเพื่อส่งผลผลิตการเกษตรและอุตสาหกรรมของไทยไปทั่วโลก ระบบการเงินและการพัฒนาความสามารถของธนาคารชาติให้เข้มแข็งและทันสมัยตามหลักสากลล้วนเพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหาทำลายการเงินของชาติดังที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต ภาวะการว่างงานลดลงเป็นสัดส่วนที่ดีกับกิจการที่เปิดใหม่หรือขยายตัว คนไทยส่วนใหญ่มีรายได้ดี ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้นโดยเฉพาะรัฐบาลในสมัยนั้นเน้นมาตรฐานชีวิตด้านปัจจัยสี่ คือ อาหาร เสื้อผ้า ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค ด้วยการบริการให้คนไทยต้องมีของทั้งสี่ชนิดให้ครบมากที่สุด การสร้างปัจจัยสี่ให้ประชาชนทั้งประเทศได้รับอย่างพอเพียงนั้นต้องใช้งบประมาณมหาศาล แหล่งรายได้ต้องมีเพิ่มขึ้น จึงมีการวางแผนงานเพื่อพัฒนาโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศแบบระยะยาว ปรับเปลี่ยนระบบราชการให้รวดเร็วและทันสมัยเพื่อต้อนรับการลงทุนขนาดใหญ่ที่ใช้สร้างงานแก่คนไทยที่มีฝีมือและความรู้ทัดเทียมกัน เพิ่มโครงสร้างพื้นฐานของประเทศให้มีมากเพียงพอ ปรับศักยภาพของแต่ละภาคเพื่อรองรับการเพิ่มผลผลิตด้านเกษตรและอุตสาหกรรม ทั้งหมดนี้ต้องเกิดขึ้นเพื่อหาเงินรายได้เข้าประเทศแล้วแบ่งไปอยู่ในมือของประชาชนในรูปของสวัสดิการที่เกี่ยวโยงกับปัจจัยสี่ของมนุษย์ที่พึงมีในชีวิต การปรับเปลี่ยนแนวคิดของคนไทยเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในโลกสากลย่อมส่งผลกระทบต่อคนอีกกลุ่มให้เสียประโยชน์อันพึงมีพึงได้ต่อเนื่องมานาน จึงเกิดการต่อต้านและขัดแย้งกันจนกลายเป็นความแค้นพยาบาทที่ต้องล้มล้างกันให้ได้เพื่อรักษาฐานอำนาจหรือผลประโยชน์ของตนไว้ สิ่งที่คนไทยไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นในภาวะเศรษฐกิจที่ดีจึงมีให้เห็นอย่างน่าอนาถใจ คือ ทหารปฏิวัติล้มล้างรัฐธรรมนูญ ประชาธิปไตย และรัฐบาลของคนไทย ลิดรอนสิทธิเสรีภาพด้วยคำอ้างว่า “รักชาติ ปราบคอรัปชั่น” ภาวะเศรษฐกิจสั่นคลอนเกิดขึ้นอีกครั้งเนื่องเพราะชาติตะวันตกต่อต้านการปฏิวัติรัฐประหารทุกรูปแบบที่มิได้เกิดจากระบอบประชาธิปไตยหรือรัฐธรรมนูญมอบอำนาจไว้ การเจรจาค้าขายหยุดชะงัก ใบสั่งสินค้าจากลูกค้าชาติตะวันตกงดและหันไปเลือกซื้อจากประเทศที่การเมืองมั่นคงอย่างจีนและเวียดนามเพราะไม่ต้องการเสี่ยงกับความไม่แน่นอนของรัฐบาลภายใต้การปฏิวัติหรือกฎอัยการศึกซึ่งอำนาจแท้จริงอยู่ในมือของคนเดียวและทำตามอำเภอใจได้ คนไทยจึงต้องพบความลำบากอีกครั้งจากคำอ้าง “รักชาติ ปราบคอรัปชั่น”
หลังจากอยู่ภายใต้ระบอบเผด็จการและกฎอัยการศึกมาหลายเดือน ถ้าคนไทยคิดทบทวนประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการปฏิวัติรัฐประหารในประเทศนี้จักเห็นสิ่งหนึ่งเหมือนกัน คือ คำอ้างประกอบการปฏิวัติทุกครั้ง คือ ต้องการปราบคอรัปชั่น รักชาติ รัฐบาลเดิมเป็นพวกเลวทรามต่ำช้า คณะปฏิวัติคือผู้กล้าหาญและเป็นคนดีหนึ่งเดียวในโลก แต่กาลเวลาบอกแก่คนไทยว่า มันเป็นเพียงเปลี่ยนคนคอรัปชั่นเท่านั้น คนไทยได้รับแค่ความลำบากยากแค้นในการใช้ชีวิตท่ามกลางความหวาดกลัวกฎอัยการศึก การข่มเหงของผู้มีอาวุธ ทีมบริหารประเทศที่ไร้ความสามารถ เศรษฐกิจฝืดเคือง ประเทศไม่เป็นที่ยอมรับในเวทีโลกเพราะผู้บริหารมาจากกระบอกปืนและเป็นเผด็จการอันส่งผลต่อศักดิ์ศรีของประเทศให้ตกต่ำ แม้ต่อมาจะเปลี่ยนรัฐบาลใหม่จากการเลือกตั้ง ผู้มาใหม่ก็ต้องลำบากในการกู้ภาพพจน์ที่ถูกทำลายลงย่อยยับ คนไทยต้องไม่ลืมว่าการปฏิวัติทุกครั้งผู้กระทำมิใช่คนโง่ ไร้ความรู้ แต่รู้แน่แก่ใจว่าจะส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของชาวบ้านและศักดิ์ศรีของประเทศตกต่ำเพราะขาดการยอมรับจากผู้คนในโลกการติดต่อค้าขายหยุดชะงัก รายได้ของประเทศตกต่ำ เงินงบประมาณที่จะใช้สอยบำรุงความสุขของประชาชนถดถอยหรือขาดหายไปอย่างมาก พวกเขาก็จะทำเพื่อแลกกับอำนาจสูงสุดที่ไม่ต้องเสียเวลาหรือเสี่ยงในการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย โดยคิดว่ากอบโกยให้มากที่สุดในวันนี้ จากนั้นก็เป็นภาระของผู้นำคนต่อไป มันคือความรักชาติในแบบฉบับของคณะปฏิวัติ
ทุกครั้งที่มีการปฏิวัติตามประวัติศาสตร์แล้วจะต้องมีการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนหรือกลุ่มคนที่ถูกล้มล้างไปเสมอ มันกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว แม้แต่รัฐบาลชั่วคราวเคยประกาศว่าเลิกกฎอัยการศึกแล้ว แต่สุดท้ายก็ต้องทำตามคำสั่งของผู้แต่งตั้งตนด้วยการถ่วงเวลาและการไม่เอ่ยถึงมันกฎอัยการศึกก็ยังคงใช้ต่อเนื่อง โดยไม่สนใจว่าส่งผลต่อการความหวั่นกลัวของนักลงทุนต่างชาติที่เข้าใจลึกซึ้งต่อความรุนแรงและร้ายกาจของกฎอัยการศึก อันแตกต่างจากคนไทยที่เคยชินกับกฎอัยการศึกเพราะพบเจอเรื่องนี้มาตลอดชีวิตเป็นระยะอย่างไม่เคยเปลี่ยนแปลงได้ ตามหลักสิทธิเสรีภาพของคนไทยนั้นไม่ว่าจะเป็นคนระดับใดในสังคมย่อมได้รับความคุ้มครองเท่าเทียมกัน แต่รัฐบาลปัจจุบันและคมช.พยายามปิดบังสายตาของคนไทยมิให้รับรู้ข่าวสารทุกด้านที่อาจส่งผลต่อความเชื่อเกี่ยวกับการปฏิวัติที่พยายามสร้างภาพว่าเป็นการกระทำที่มีคุณค่า น่ายกย่อง ต่างชาติยอมรับการกระทำที่งดงามนี้ และใส่ภาพความชั่วร้ายสารพัดให้แก่รัฐบาลเดิม ทั้งที่ปัจจุบันนี้คนไทยมีความรู้สูงขึ้นกว่าในอดีต แต่ไม่อาจเห็นข่าวสารรอบด้านเพราะคมช.ต้องการควบคุมความเชื่อของคนไทยไว้เหมือนที่คณะปฏิวัติในอดีตชอบกระทำกันทั้งที่โลกเปลี่ยนแปลงไปมาก การติดต่อสื่อสารสั้นและรวดเร็ว หากพวกเขายอมรับการหมุนของโลกตามความเป็นจริงและเชื่อว่าการกระทำของตนเป็นเรื่องถูกต้องและรักชาติอย่างแท้จริง ก็ควรใช้โลกสื่อสารให้เป็นประโยชน์แก่ตนด้วยการให้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นจริงตอบโต้อีกฝ่ายเป็นสิ่งที่ควรกระทำอย่างยิ่ง ไม่ควรปิดกั้นหรือลิดรอนสิทธิเสรีภาพของคนไทย แม้จะเป็นอดีตผู้นำของไทยก็ตาม เราต้องต่อสู้กันด้วยข้อเท็จจริงอย่างลูกผู้ชายและมีความเป็นธรรม มิใช่ปิดข้อมูล ปิดตาชาวบ้าน แต่สุดท้ายชาวบ้านก็ขวนขวายรับฟังข้อมูลทั้งสองด้านด้วยตัวเอง ภาพพจน์ที่พยายามสร้างมาหลายเดือนกลายเป็นความคลางแคลงใจของประชาชนไปว่าสักวันอาจต้องตกอยู่ในสภาพเดียวกับอดีตผู้นำของไทยก็ได้ นั่นคือ คนไทยจะถูกลิดรอนเสรีภาพในการพูด ฟัง หรือมอง ข่าวสารหรือความเห็นแตกต่างไม่ได้ นอกจากเป็นความเห็นหรือภาพที่นำเสนอจากคณะผู้นำประเทศที่มาจากการปฏิวัติเท่านั้น แล้วจะแตกต่างจากการมีชีวิตในระบอบคอมมิวนิสต์ที่เคยหวาดกลัวในอดีตอย่างไร วิถีชีวิตแบบประชาธิปไตยถดถอยลงจนทุกคนต้องอยู่อย่างหวาดระแวงกัน ไม่กล้าพูด ไม่กล้ามอง ไม่กล้าฟัง และพูดชมคณะผู้นำประเทศเพื่อเอาตัวรอดไปวันๆ มันคงเป็นชีวิตที่น่าอนาถใจซึ่งเคยเกิดขึ้นกับคนไทยในอดีตหลายสิบปีมาแล้ว คนยุคนี้กำลังสัมผัสชีวิตของบรรพชนของเราอีกครั้งอย่างไม่คาดฝันเมื่อผีคณะปฏิวัติคืนชีพขึ้นมาหลอกหลอนคนไทยรุ่นใหม่เพื่อพิสูจน์ให้โลกเห็นชัดตาว่า อาวุธปืนมีอำนาจเหนือคอมพิวเตอร์หรือรถไฟฟ้าหรือเครื่องบินความเร็วสูงตลอดกาล การปฏิวัติไม่มีวันหมดไปจากเมืองไทยได้ตราบเท่าที่ยังมีทหารถือปืนที่อยากเป็นผู้นำบริหารประเทศไทยด้วย
อดีตผู้นำประเทศไทยคือข้อเท็จจริงที่ต้องยอมรับกันว่าเขามาจากการเลือกตั้งของประชาชน ถูกล้มล้างรัฐบาลด้วยการปฏิวัติของกลุ่มทหารจำนวนหนึ่ง และเป็นคนไทยที่มีสิทธิเสรีภาพเยี่ยงเดียวกับคนไทยในประเทศไทยซึ่งกำลังอยู่ภายใต้กฎอัยการศึกและระบอบเผด็จการ คนไทยมีสิทธิออกความเห็นในเรื่องต่างๆต่อสาธารณชนไทยหรือต่างชาติได้อย่างใด อดีตผู้นำคนนั้นก็ใช้สิทธินั้นได้ หากเขาพูดความเท็จ รัฐบาลภายใต้ระบอบเผด็จการต้องชี้แจงข้อเท็จจริงที่ถูกต้องผ่านช่องทางสื่อสารอย่างรวดเร็วเพื่อให้ประชาชนหรือต่างชาติตัดสินว่าจะเชื่อถือฝ่ายใด มิใช่การตัดสัญญาณสื่อสารหรือมีคำสั่งห้ามการเผยแพร่ข่าวของอีกฝ่ายเด็ดขาด มันกลับสร้างภาพความกลัวเกรงข้อเท็จจริงที่ประชาชนจะรับรู้จากมุมมองของอีกฝ่าย การเรียกร้องหรือบังคับให้คนไทยคนหนึ่งมิให้พูดต่อสาธารณชนไม่ว่าจะเป็นความจริงหรือความเท็จหรือความเห็นส่วนตัวโดยอ้างว่าถ้ารักชาติ ต้องไม่พูด ถือเป็นการลิดรอนเสรีภาพของเขา มันจะสร้างความหวาดระแวงใจแก่คนไทยว่า ข่าวสารที่เห็นตามสื่อต่างๆคือความจริงมากน้อยเพียงใด หรือเป็นการตกแต่งข้อมูลจากภาครัฐเพื่อเสริมภาพพจน์และความมั่นคงของตนเท่านั้น นอกจากนั้น การที่ประเทศต่างๆยังให้เกียรติต่ออดีตผู้นำประเทศของไทยไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ถือเป็นเรื่องที่ดีและให้เกียรติต่อประเทศไทยด้วย แต่คณะบริหารประเทศกลับแสดงความไม่พอใจโดยไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรีของประเทศมาก่อนความเกลียดชังหรือความระแวงใจว่าเขาจะกลับมาแย่งอำนาจของตน หากคิดอีกด้านหนึ่งถ้าเราไม่ต้อนรับประธานาธิบดีคลินตันอย่างสมเกียรติแห่งอดีตผู้นำสหรัฐ ท่านบุชและชาวอเมริกันจะไม่พอใจและตอบโต้ประเทศไทยอย่างแน่นอนเพราะเราไม่เคารพหรือให้เกียรติประเทศของเขาเลย อดีตผู้นำสหรัฐเปรียบเสมือนตัวแทนของประเทศเช่นกัน เหตุใดรัฐบาลปัจจุบันจึงไม่ให้เกียรติต่ออดีตผู้นำของไทยซึ่งถือเป็นภาพพจน์ของประเทศและคนไทยเช่นกัน แม้ทุกครั้งที่เขาปรากฏตัวกับคำว่าอดีตผู้นำจะเป็นการตอกย้ำที่มาของรัฐบาลปัจจุบันว่า พวกเขาก่อกำเนิดจากกระบอกปืนและอดีตผู้นำถูกล้มล้างไปเพราะกลุ่มทหารที่เคยส่งเสริมค้ำชูและปืนกระบอกนั้นหันมาทำลายล้างเขาในท้ายที่สุด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ การยอมรับต้นกำเนิดของตนถือเป็นความกล้าหาญอย่างหนึ่ง มิใช่พยายามลืมชาติกำเนิดของตน
ความสมานฉันท์ ความรักชาติ เป็นคำเรียกร้องจากหลายฝ่ายให้คนไทยกระทำด้วยกัน แต่การแสดงออกของทีมปฏิวัติหรือรัฐบาลภายใต้เผด็จการกลับเป็นการจองล้างจองผลาญกลุ่มรัฐบาลเดิมอย่างต่อเนื่อง แม้แต่ข่าวท่อน้ำส้วมแตกในสนามบินใหม่ก็โยนให้เป็นการคอรัปชั่นของรัฐบาลเก่า ทั้งที่คนไทยทั้งประเทศอมยิ้มกับข่าวใหญ่ของรัฐบาลชิ้นนี้ หลายคนล้วนทราบดีว่าการสร้างบ้านใหม่เมื่อเริ่มใช้งาน หลายอย่างอาจบกพร่องกันได้ทั้งใหญ่และเล็ก สนามบินใหญ่ทั่วโลกก็เกิดปัญหาเหล่านี้ได้ พวกเขาคิดแก้ไขปัญหากันไปจนกระทั่งขจัดมันได้ในท้ายที่สุด แต่ผู้บริหารคนไทยกลับโยนความบกพร่องทั้งหลายที่เกิดขึ้นให้รัฐบาลชุดเดิม มันจึงกลายเป็นภาพสังเวชใจที่คนไทยมองเห็นเท่านั้น การสร้างสรรค์งานใหม่ๆยังไม่มีปรากฏให้เห็นเป็นรูปธรรมโดยอ้างแค่ว่า ให้รักชาติ ปราบคอรัปชั่น แล้วพูดโยนความผิดทั้งหลายในประเทศไปให้ผู้บริหารประเทศชุดเดิมตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา วิธีแก้ปัญหาด้านการเงินของประเทศก็สร้างความเสียหายหลายแสนล้านบาทซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ยากจะปฏิเสธกันได้ มันบ่งบอกการไร้ประสิทธิภาพการทำงานและไม่มีผู้ใดออกมารับผิดชอบกับความเสียหายของประเทศเลยขณะที่เรียกร้องให้รัฐบาลชุดเดิมรับผิดชอบสารพัดงานในอดีตมากมาย การปิดกั้นข่าวสารสู่สายตาประชาชนแล้วคัดเลือกเสนอเฉพาะที่สร้างภาพพจน์ของรัฐบาลปัจจุบันกับคมช. การสร้างภาพพจน์ว่าทหารคือคนดีที่สุดในโลกที่เข้าไปแก้ไขคอรัปชั่นในองค์กรต่างๆของประเทศโดยไม่คำนึงถึงจุดประสงค์หรือที่มาความรู้ของทหารว่าประเทศต้องการให้ทหารทำงานใดกันแน่ ทหารคือรั้วของชาติยังมีความสำคัญสูงสุดหรือจะเป็นนักบริหารปกครองประเทศที่ยิ่งใหญ่ การนำทหารหลากยศไปสอดแทรกตามองค์กรต่างๆเพื่อรับเงินรายได้สูงๆหรือผลประโยชน์แอบแฝงด้วยการแก้ไขกฎหมายเอื้อต่อการรับรายได้หลายทางถูกมองว่าเป็นการให้ผลตอบแทนที่ร่วมทำงานปฏิวัติจนสำเร็จซึ่งเป็นการทำลายศรัทธาที่อยากให้มีในจิตใจของประชาชน เมื่อกาลเวลาผ่านไปจะกลายเป็นความระแวงใจต่อคนในองค์กรและสร้างความแตกแยกในที่สุดดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์มาแล้ว สุดท้ายทหารเหล่านั้นจะถูกกำจัดออกจากองค์กรเมื่อผู้นำหมดบารมีเนื่องเพราะสัจธรรมคือ ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า เวลาคือผู้กำจัดถาวร
การเรียกร้องให้ฝ่ายใดรักชาติ ทำเพื่อชาติ น่าจะลองก้มมองดูตัวเองก่อน ยอมรับความคงอยู่ร่วมกันของประเทศไทยกับหลายประเทศทั่วโลก หาจุดยืนที่เหมาะสม จากนั้นจึงเริ่มต้นที่การเคารพ ให้เกียรติ ผู้อื่น แม้แต่ผู้พ่ายแพ้ก็ตาม ผู้ชนะที่รู้จักให้เกียรติแก่ผู้แพ้ ถือเป็นผู้ชนะที่สง่างาม การจ้องล้างผลาญผู้แพ้ด้วยเล่ห์เหลี่ยมหรือใช้อำนาจเกินงามของผู้ชนะ จักต้องพบคำประณามหยามเหยียดอย่างไร้ศักดิ์ศรีว่า มิใช่นักกีฬาที่ดี ไร้ความสง่างามหรือน่านับถือ หากคนในประเทศยังไม่นับถือ แล้วจะเรียกร้องความนับถือจากคนทั่วโลกได้อย่างไร หากเรามีต้นกำเนิดไม่งดงาม แต่ปฏิบัติตนด้วยกิจวัตรที่ดี เป็นผู้ชนะที่สง่างาม มีน้ำใจ คนอื่นย่อมนับถือเราได้โดยไม่สนใจชาติกำเนิด เมื่อต้องการความสมานฉันท์หรือความรักชาติจากผู้ใด ผู้นำต้องแสดงออกอย่างจริงใจก่อน มิใช่ร้องขอรับประโยชน์จากผู้อื่นฝ่ายเดียว การแสดงตนเป็นผู้นำที่มีจิตใจกว้างขวาง รู้จักอภัย มีเมตตา ยึดทางสมานฉันท์อย่างแท้จริง ย่อมสร้างเสริมบารมีแก่ตน หากอีกฝ่ายยังระรานต่อเนื่อง จักกลายสภาพเป็นคนน่ารังเกียจไปเอง ในทางกลับกันถ้าผู้นำเป็นคนกลับกลอก เชื่อถือคำพูดไม่ได้ กอปรกับที่มาของอำนาจไม่ดี อีกฝ่ายที่พ่ายแพ้จะถูกสังคมยกย่องและนับถือเมื่อเขาใช้สิทธิเสรีภาพในขอบเขตของคนไทย ดังนั้น การจำกัดสิทธิเสรีภาพของคนไทยไม่ว่าจะมีชาติกำเนิดใด ตำแหน่งใด ล้วนต้องกระทำอย่างระมัดระวังเพราะสร้างและทำลายภาพพจน์ของผู้ใช้อำนาจได้ คงต้องยอมรับกันว่าไม่อาจเปลี่ยนหรือลบล้างประวัติศาสตร์ด้านการทำงานของอดีตผู้นำซึ่งเคยทำประโยชน์แก่ประเทศไทยไว้มาก การโยนหรือยัดเยียดสารพัดความผิดให้ฝ่ายนั้นไม่ก่อผลดีต่อรัฐบาลปัจจุบันหรือคมช.เลย จึงน่าจะเน้นในการเปิดเผยข้อเท็จจริงและสร้างสรรค์งานใหม่ที่เป็นประโยชน์ต่อชาติเป็นหลัก แม้แต่การรักษาคำพูดต่อประชาชนว่า จะเลิกกฎอัยการศึก ยังทำไม่ได้ ชาวบ้านทั้งประเทศจะมีความหวังต่อการบริหารประเทศของรัฐบาลภายใต้ระบอบเผด็จการได้มากแค่ไหน คนไทยคงต้องหนาวเยือกในใจระหว่างมองการทำงานของบุคคลเหล่านั้น
เวลาให้คำตอบแก่คนไทยได้แล้วว่า การปฏิวัติคือความรักหรือการทำลายชาติ การบริหารประเทศภายใต้รัฐบาลแต่งตั้งมีเวลาพิสูจน์ฝีมือแก้ปัญหาภาคใต้ และอื่นๆมาระยะหนึ่งแล้ว คนไทยได้เห็นความเสียหายทางเศรษฐกิจที่เกิดจากทีมบริหารการเงินของรัฐทำลายตลาดทุนเสียหายในวันเดียวจนทั่วโลกมองอย่างขบขันกับความรู้และวิสัยทัศน์ของนักบริหารการเงินของไทย การไม่สร้างสรรค์งานใหม่เพื่อความผาสุกของชาวบ้านโดยรวม แต่เลือกติดตามล่าหาผลงานในอดีตของรัฐบาลเดิมเพื่อแก้แค้นหรือทำลายล้างโดยมุ่งหวังจะมิให้อีกฝ่ายทำงานการเมืองได้อีกครั้งอันน่าจะมาจากความแค้นส่วนตัวที่เกิดจากอัตตาของตน มันบ่งบอกวิสัยทัศน์ของคณะผู้นำประเทศท่ามกลางวิกฤติเศรษฐกิจที่สร้างขึ้นเอง แต่คนไทยต้องรับเคราะห์กรรมใช้ชีวิตและการทำงานด้วยความลำบากมากขึ้น ต่อมาญี่ปุ่นประกาศผลการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในเอเชียและเปอร์เซนต์ของความน่าลงทุนในประเทศเหล่านั้น ประเทศไทยซึ่งเคยติดอันดับต้นว่าน่าลงทุนมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพราะอุปนิสัยของคนไทยและนโยบายส่งเสริมการลงทุนของรัฐบาล บัดนี้ กลับกลายเป็นประเทศที่ไม่น่าลงทุนมากที่สุด และคู่แข่งของเราก็มิใช่จีนหรือเวียดนามหรือมาเลเซียอีกแล้ว แต่เป็นลาวกับเขมร มันบอกเตือนให้คนไทยรู้ว่าประเทศไทยมีฐานะตกต่ำลงอย่างน่าใจหายเพราะผลของการปฏิวัติ ทำลายประชาธิปไตย ทำให้การเจริญเติบโตของชาติหยุดชะงัก เนื่องเพราะปัจจัยเดียวที่แตกต่างกันและเปลี่ยนแปลงไปในปีพ.ศ.2549 คือ การล้มล้างรัฐบาลจากการเลือกตั้ง หลายประเทศทั่วโลกคว่ำบาตรการติดต่อค้าขายและสัมพันธไมตรีปกติถูกลดระดับลง ทีมบริหารการเงินและการลงทุนในรัฐบาลปฏิวัติมีอคติต่อนักลงทุนต่างชาติอย่างชัดเจน ความไม่มั่นคงในนโยบายบริหารประเทศซึ่งมีผู้นำมากกว่าสองคนอันผิดหลักปกครองสากลและความไม่ไว้วางใจต่อคณะบริหารโดยรวม ความอ่อนแอในการดูแลปัญหาภาคใต้ซึ่งมีท่าทีดุเดือดเพิ่มขึ้น ล้วนเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นหลังการปฏิวัติและเริ่มส่งผลต่อความลำบากในการดำเนินชีวิตของประชาชนในต้นปีพ.ศ. 2550 แล้ว คนไทยต้องทำจิตใจให้สงบและตั้งมั่นในความไม่ประมาทในการประคองธุรกิจ ตำแหน่งงาน เพื่อรักษารายได้ให้ผ่านพ้นช่วงเวลาทุกข์ยากนี้ต่อไปอย่างไม่รู้เวลาสิ้นสุด ขอให้ถือเป็นหน้าที่ของคนไทยที่มีต่อครอบครัวของตน อย่างน้อยก็สร้างกำลังใจได้มาก อย่าคิดว่าจะทำเพื่อชาติ เพราะคนที่ประกาศตนว่ารักชาติยิ่งชีพ ต้องมีแค่หนึ่งเดียวเท่านั้น คือ คณะบริหารประเทศจากการแต่งตั้ง มิใช่การเลือกตั้งจากประชาชนทั้งประเทศซึ่งต้องการให้ผู้บริหารทำงานเพื่อความผาสุกของคนไทยแทนที่จะเป็นความสุขสบายของคนกลุ่มเดียวกัน

*****************




 

Create Date : 10 กุมภาพันธ์ 2550    
Last Update : 10 กุมภาพันธ์ 2550 14:26:33 น.
Counter : 479 Pageviews.  

สุวรรณภูมิถูกตอน

เขียนโดย ลูกแก้ว

สนามบินพาณิชย์แห่งชาติใหญ่ที่สุดในไทย ของเอเชีย และของโลกขณะนี้ได้รับพระราชทานนามว่า สุวรรณภูมิ โดยมีเนื้อที่มากกว่าสองหมื่นไร่อันเป็นที่ยอมรับจากนานาชาติว่าครองความยิ่งใหญ่ด้านเนื้อที่และภูมิประเทศของการเป็นศูนย์กลางการบินในเอเชียโดยเป็นคู่แข่งกับฮ่องกงและสิงคโปร์ซึ่งต่างมีเนื้อที่เล็กกว่าไทยทั้งสิ้น แต่มีระบบบริหารการใช้สอยพื้นที่อย่างดีเยี่ยม ภาพลักษณ์ดียอด อันเกิดจากความร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชนของประเทศเหล่านั้น หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองในไทยภาพลักษณ์ความเป็นที่สุดของสนามบินแห่งนี้ถูกทำลายลงแทบทุกวันจากกลุ่มบริหารประเทศและผู้นำองค์กรที่ดูแลสนามบินแห่งนี้โดยจุดประสงค์เดียวคือ สนามบินสุวรรณภูมิเปิดทำการสำเร็จด้วยการทำงานของรัฐบาลชุดเดิม พวกเขามองว่ามันเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจเก่า มิได้เห็นเป็นสนามบินของประเทศไทย จึงต้องการทำลายล้างมันออกจากแผนที่โดยไม่คำนึงว่ามันเป็นความยิ่งใหญ่บนผืนแผ่นดินของบรรพชน ความภูมิใจของคนไทยที่นานาชาติยอมรับความเป็นที่สุดของมัน แหล่งรายได้ที่จะใช้บริหารประเทศและคนไทยให้มีความสุขได้ พวกเขามองสนามบินนี้เป็นศัตรูต่อกลุ่มผู้บริหารทั้งมวล
ผืนดินของแต่ละประเทศที่จะเหมาะสมในการสร้างสนามบินนับวันจะมีน้อยลง พื้นที่ว่างเปล่าและไม่มีสิ่งกีดขวางประเภททะเล ภูเขา ซึ่งเป็นสถานที่ปลอดภัยสำหรับการนำเครื่องบินลงจอดต่างหายากมากขึ้น ล่าสุดสนามบินของไทยคือ สุวรรณภูมิมีทำเลที่เหมาะสมและอยู่ในทิศทางที่จะกลายเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคเอเชียเชื่อมกับยุโรปและอเมริกาได้ดีกว่าสิงคโปร์ซึ่งพยายามผลักดันตัวเองให้อยู่ในสถานะนี้มานานหลายปี และเสียความเป็นศูนย์กลางไปด้วยทำเลของตนและสนามบินสุวรรณภูมิ สนามบินแห่งชาติของไทยจึงเป็นความหวังใหม่ของคนเอเชีย หลังการปฏิวัติและส่งตัวแทนจากทหารเข้าบริหารสนามบินสุวรรณภูมิอันยิ่งใหญ่นี้ จักสังเกตพฤติกรรมได้ชัดเจนคือ การปล่อยข่าวความเสียหายทั้งเล็กทั้งใหญ่ จริงบ้าง เท็จบ้าง แล้วแทรกด้วยการหยั่งเสียงชาวบ้านว่า อยากให้ย้ายกลับไปดอนเมืองอีกครั้ง พวกเขาใช้การกระจายข่าวด้านลบต่อสนามบินผ่านสื่อมวลชนโดยไม่มีการซักถามจากบริษัทผู้ก่อสร้างซึ่งต้องรับผิดชอบในความเสียหายเพราะอยู่ในระหว่างประกันและถือเป็นผู้เชี่ยวชาญการสร้างสนามบินของโลก ข้อมูลฝ่ายผู้เชี่ยวชาญต่างชาติที่ทำงานด้านนี้มีมากกว่าวิศวกรคนไทยแต่ไม่แสดงต่อสาธารณชนเลย คนไทยรับฟังข้อมูลด้านเดียวว่าสนามบินสุวรรณภูมิเสียหายหนักจนเยียวยาไม่ได้ นอกจากการปฏิวัติจะทำลายการท่องเที่ยวในไทยแล้ว การพูดทำลายล้างภาพพจน์ความยิ่งใหญ่ของสนามบินสุวรรณภูมิของบรรดาผู้ยิ่งใหญ่ในบ้านเมืองยังขับไล่คนต่างชาติมิให้เข้าเมืองไทยเพราะกลัวเกรงความไม่มีมาตรฐานของสนามบินซึ่งพวกเขาสร้างภาพลบไว้โดยไม่ละอายใจในการทำลายศักยภาพของบ้านเมือง พวกเขาแกล้งลืมว่าคนต่างชาติหรือสายการบินนานาชาติที่มาแวะใช้บริการของสนามบินไทยเป็นลูกค้าและเจ้าของรายได้ที่นำไปบำรุงความสุขของคนไทย แล้วจะเป็นพวกรักชาติและคนไทยประเภทใดที่กระทำเช่นนี้ หากพิจารณาประกอบพฤติกรรมและที่มาของบรรดาผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้น จะมองเห็นจุดประสงค์อย่างหนึ่ง คือ พวกเขาต้องการรายได้ที่เคยรับจากดอนเมืองกลับคืนมาอีกครั้ง ด้วยการลดทอนการใช้ประโยชน์จากสุวรรณภูมิลงเพื่อแบ่งปันสายการบินและลูกค้าไปด้วยการสร้างภาพผีร้ายอยู่ที่สุวรรณภูมิ สวรรค์อยู่ในดอนเมือง โดยไม่คำนึงว่าการใช้สุวรรณภูมิอย่างไม่เต็มศักยภาพแท้จริงคือความสูญเปล่าของเงินลงทุนที่ก่อหนี้ติดพันไว้ แล้วยังเพิ่มต้นทุนบริหารสนามบินทั้งสองด้วยการต้องจ่ายค่าเช่าพื้นที่ดอนเมืองให้กับฝ่ายทหารเหมือนที่ทำกันไว้เมื่อหลายสิบปีก่อน
หากเปรียบเทียบสนามบินสุวรรณภูมิเป็นผู้ชายคนหนึ่ง ภาพพจน์ที่เกิดจากลมปากของบรรดาผู้ยิ่งใหญ่ในบ้านเมืองถือเป็นการตัดตอนให้ชายคนนี้หมดความสง่างามและหมดความเข้มแข็งเยี่ยงลูกผู้ชายไปเพียงแค่สนองตัณหาส่วนตัว มิใช่ทำเพื่อชาติอย่างแท้จริงตามที่พร่ำบอกกรอกหูชาวบ้านทุกวัน เป็นที่ยอมรับกันว่า สนามบินทั่วโลกย่อมประสบปัญหารันเวย์ทรุด ร้าว กันเสมอจากการใช้งานที่มากน้อยต่างกัน พวกเขายังเลือกซ่อมแซมแก้ไขเป็นจุดๆ มิใช่ยกเลิกการใช้สนามบินทั้งหมดเหมือนที่นักการเมืองของไทยเสนอกันบ่อยครั้ง ปัญหาท่อน้ำรั่ว ท่อส้วมหลวม หลังคาแตกร้าว อันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้จากการใช้งานตลอดทั้งวันอย่างไม่มีวันหยุด แต่ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายพูดจาราวกับว่าสิ่งเหล่านี้ทำให้สนามบินเป็นผีร้ายที่ควรห่างไกลและพูดส่งเสริมให้ย้ายกลับไปดอนเมืองตลอดเวลา แล้วยังใช้สาเหตุจุกจิกเหล่านี้เป็นข้ออ้างในการเปิดใช้ดอนเมืองอีกครั้ง ปกติแล้วสนามบินเปิดใหม่ทุกแห่งในโลกช่วงเปิดตัวจะมีปัญหาจุกจิกเกิดขึ้นได้เสมอ แม้แต่สนามบินในฮ่องกงต้องใช้เวลาแก้ไขปัญหาถึงหกเดือนจึงเข้าที่ทางได้ สุวรรณภูมิของไทยยังเปิดไม่ถึงหกเดือนและมีเครื่องบินนับพันลำขึ้นลงทุกวัน ย่อมต้องมีปัญหาจุกจิกเกิดขึ้นได้ แต่ผู้นำองค์กรซึ่งได้รับอำนาจบริหารสนามบินจากคณะปฏิวัติกลับประโคมข่าวในทางลบทำลายภาพพจน์ของสุวรรณภูมิอย่างไม่ยั้งคิด มันบ่งบอกวิสัยทัศน์ของผู้นำเหล่านั้นว่าบริหารสนามบินได้ดีแค่ไหน ทั้งที่มีของดีในมือ ยังไม่รู้คุณค่า คิดว่าเพชรเป็นแค่หิน เหมือนไก่ได้พลอย หรือพยายามเปลี่ยนเพชรเป็นหินธรรมดา แล้วอยากหวนกลับไปกินเหมืองร้าง โดยใช้อุบายทุกทางเพื่อทำลายเพชรในมือ
การมีสนามบินแห่งชาติสองแห่งอาจไม่ใช่เรื่องเสียหาย โดยกลุ่มผู้นำองค์กรอ้างถึงสนามบินของอังกฤษซึ่งยิ่งใหญ่ในโลก แต่ไม่พูดข้อมูลอีกด้านหนึ่งที่เขาต้องมีสองแห่งเพราะเนื้อที่น้อยกว่า ไม่อาจสร้างให้ยิ่งใหญ่และใช้สอยในพื้นที่เดียวกันได้ตามมาตรฐานของสนามบินโลก แต่ต้องการเป็นศูนย์กลางการบินของยุโรปต่อไป หากเขาเลือกพื้นที่กว้างขวางได้อย่างที่ทำในเมืองไทย คงอยากใช้สอยทุกอย่างได้ในจุดเดียวกันเพราะเป็นการอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าอย่างดีเยี่ยม ขณะที่ไทยสามารถสร้างสนามบินในพื้นที่กว้างขวาง ไร้สิ่งกีดขวางเช่น ภูเขา ทะเล และอื่นๆ ดังที่เกิดในสิงคโปร์ ฮ่องกง เนปาล ซึ่งเป็นจุดเสี่ยงของการบินอย่างมาก อาคารใช้สอยกว้างขวางในจุดเดียวกัน มันคือศักยภาพของสนามบินแห่งนี้ กลุ่มผู้นำที่เสียประโยชน์จากดอนเมืองเมื่อได้โอกาสมาคุมสุวรรณภูมิจึงอาศัยปัญหาที่ต้องเกิดกับสนามบินทุกแห่งในโลกไปเป็นข้ออ้างภาพลบที่ต้องการให้ย้ายผลประโยชน์ที่นี่กลับไปอยู่ในมือดังเดิมอีกครั้ง สิ่งที่ได้รับจากแนวคิดสองสนามบินแห่งชาติ คือ ค่าเช่าพื้นที่ดอนเมืองเป็นสิ่งที่จะได้รับทันทีและถาวร แหล่งหาประโยชน์ต่างๆในดอนเมืองซึ่งเคยหลุดลอยจากมือของมาเฟียดอนเมืองและไม่อาจไปหาจากสุวรรณภูมิได้ในช่วงแรกเพราะรัฐบาลชุดเดิมกีดกันไว้ จึงเกิดวิสัยทัศน์ขึ้นเมื่อเปลี่ยนผู้บริหารใหม่โดยรับประโยชน์จากสองแห่งพร้อมกันได้แล้วในวันนี้ พวกเขากลับมาหายใจคล่องตัวมากขึ้น ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการเพิ่มสนามบินนานาชาติอีกแห่งคือ ค่าบริหารจัดการเพิ่มขึ้นเพราะต้องใช้บุคลากรเพิ่ม ต้นทุนค่าเช่าสถานที่และเครื่องมือ การใช้สนามบินสุวรรณภูมิอย่างไม่เต็มศักยภาพแท้จริง การแย่งลูกค้ากันเพื่อสร้างผลงานอวดคณะบริหาร มาเฟียหลากสีเพิ่มแหล่งรายได้
การทำลายภาพพจน์ของสนามบินสุวรรณภูมิซึ่งผู้ใหญ่ในบ้านเมืองกระทำทุกวันนี้เป็นการส่งเสริมให้คู่แข่งของไทย คือ สิงคโปร์ มาเลเซีย ใช้เป็นข้อมูลในการดึงลูกค้าไปสนามบินของเขาซึ่งเล็กกว่า แต่เพิ่งสร้างเสร็จใหม่ ลูกค้ารู้สึกสบายใจมากกว่าจะใช้บริการในไทยซึ่งมีข่าวน่ากลัวต่อเนื่อง หากคิดชั่งน้ำหนักเรื่องความรักชาติกันแล้ว กลุ่มผู้บริหารประเทศและองค์กรน่าจะอยู่ระดับต่ำมากจากการทำลายภาพพจน์ของชาติ ความบกพร่องที่เกิดขึ้นกับสุวรรณภูมิยังอยู่ในอายุประกันของบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่ต้องซ่อมแซมให้สมบูรณ์อยู่แล้ว ข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญเป็นสิ่งที่ต้องรับฟังและชี้แจงให้ประชาชนรับทราบด้วย ตัวเลขความเสียหายเหล่านั้นอยู่ในการรับประกันของผู้รับเหมาซึ่งเป็นบริษัทระดับโลกซึ่งต้องรับผิดชอบทั้งหมดโดยรัฐไม่ต้องจ่ายเงินระหว่างเวลาประกัน มันเป็นหลักสากลอย่างมาก แต่รัฐไม่พูดความจริงทั้งหมดทำให้เกิดความเข้าใจผิดกับผู้รับข้อมูลด้านเดียว การพูดทำลายความน่าเชื่อถือของสนามบินไทยเป็นการทำลายชาติเพราะสนามบินคือตัวแทนของประเทศ
การสร้างบ้านใหม่ซึ่งยังไม่เคยมีคนอาศัยมาก่อน ทุกคนต่างรู้จักธรรมชาติของมันคือ การทรุดตัวของบ้านเมื่อคนเข้าอาศัยใช้สอย ซึ่งต้องใช้เวลาสักพักดินจะยุบตัวแน่นดีและบ้านไม่ทรุดอีก หลังคารั่วบางจุดอาจเกิดจากการปูกระเบื้องไม่ดี ก็ต้องเรียกช่างมาปูแก้เฉพาะจุด ท่อน้ำรั่ว ส้วมร้าว ก็ต้องแก้ไขกันไปตามระยะประกัน ไม่มีเจ้าของบ้านคนไหนเห็นท่อน้ำรั่ว ผนังมีรอยร้าวเพราะฉาบปูนไม่ดี แล้วสั่งทุบบ้านทั้งหลังแน่นอน สนามบินซึ่งยังไม่เคยมีเครื่องบินสักลำใช้รันเวย์มาก่อน เมื่อมีนับร้อยลำในหนึ่งวันก็ต้องมีร่องรอยความเปลี่ยนแปลงหนักเบากันได้ ตามหลักวิศวะสนามบินอาจถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่ความไม่รู้ของคนกลับสร้างเรื่องให้ใหญ่โตเกินเหตุ ขณะที่นักการเมืองจำเพาะในไทยกลับเห็นการย้ายสนามบินเป็นเรื่องขายของเล่นที่วันนี้นึกให้อยู่ ก็อยู่ วันต่อมาให้ย้าย ก็ย้ายสนุกสนานยิ่ง เหล่านักบริหารผู้ชราทั้งหลายควรมีวิสัยทัศน์และรักชาติอย่างแท้จริง มิใช่อยากได้ผลประโยชน์ส่วนตัวหรือพรรคพวกเป็นหลัก แล้วใช้อำนาจทำลายความยิ่งใหญ่ของสนามบินสุวรรณภูมิซึ่งมีศักยภาพสูงสุดในโลกให้กลายเป็นสนามบินที่ถูกตอนเยี่ยงขันที ไม่อาจใช้ความสามารถของตนอย่างแท้จริงและไม่เป็นไปตามความคาดหวังขององค์กรบริหารการบินของโลกที่เฝ้ามองการเกิดของสนามบินแห่งนี้มานานกว่า 40 ปี
ขณะนี้ประเทศเวียดนามได้ประกาศความพร้อมในการสร้างสนามบินนานาชาติแห่งใหม่ซึ่งจะกลายเป็นสนามบินใหญ่ที่สุดในโลกแทนไทยด้วยเนื้อที่มากกว่าสามหมื่นไร่โดยมีแผนการก่อสร้างให้เสร็จโดยเร็วเพื่อรับการเติบโตของโลกเอเชียและจะเป็นศูนย์กลางการบินของแถบเอเชียด้วย ศักยภาพการค้าของเวียดนามที่เติบโตก้าวกระโดดข้ามไทยไปแล้วเพราะเหตุปฏิวัติในไทย ส่วนเนื้อที่ของประเทศก็มีมากไม่ต่างจากไทยเลย ย่อมสร้างได้อย่างแน่นอน ช่วงเวลาก่อนการเกิดของสนามบินดังกล่าว ถ้านักบริหารสนามบินมีวิสัยทัศน์เยี่ยงมืออาชีพย่อมต้องเร่งใช้ศักยภาพของสนามบินสุวรรณภูมิเพื่อเก็บรายได้เข้าประเทศชดใช้หนี้สินให้เสร็จโดยเร็วและสร้างภาพพจน์ความเป็นหนึ่งในโลกของไทยให้นานที่สุด ประเทศไทยย่อมมีชื่อเสียงด้านการบินได้เยี่ยงเดียวกับฮ่องกงหรือสิงคโปร์ เมื่อกลุ่มผู้บริหารทั้งหลายต้องการแบ่งแยกผลประโยชน์ไปให้ดอนเมืองจึงลดศักยภาพของสุวรรณภูมิลง จึงเป็นฝันร้ายของประเทศไทยที่ต้องถูกลดทอนความเป็นศูนย์กลางการบินลงโดยปริยายดังที่องค์กรบริหารการบินนานาชาติให้ความเห็นไว้ แต่กลุ่มผู้นำไม่สนใจความจริงข้อนี้เหนือผลประโยชน์ส่วนพรรคพวกแน่นอน คนไทยจำต้องยอมรับวิสัยทัศน์แคบๆนี้และเร่งแก้ไขเพื่อความอยู่รอดของสุวรรณภูมิในการรักษาศักยภาพการเป็นศูนย์กลางการบินไว้และชำระหนี้ด้วยตัวเอง โดยอาศัยทีมบริหารสนามบินสุวรรณภูมิซึ่งควรทำงานแบบเอกชนที่รวดเร็ว ตัดสินใจปัญหาฉับไว เน้นการหากำไรจากศักยภาพของสนามบินอันใหญ่โตกว่าดอนเมืองหลายเท่านี้เต็มที่ ทีมการตลาดซึ่งสนามบินต่างๆล้วนมีไว้เพื่อดึงดูดลูกค้าให้เลือกใช้สนามบินของตนต้องจัดตั้งขึ้นโดยเร็ว นับแต่นี้ไปเมื่อสนามบินนานาชาติมีสองแห่งก็ต้องแบ่งลูกค้ากันไปซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้น วิสัยทัศน์ของทีมบริหารสุวรรณภูมิจึงต้องมีกว้างขวางขึ้น มิใช่นั่งรอให้คนมาใช้บริการอย่างในอดีตของดอนเมือง มันควรเป็นสนามแข่งขันทำงานเพื่อพัฒนาพื้นที่ของตัวเองได้แล้ว ผลงานบริหารกำไรหรือขาดทุนจะเป็นตัวตัดสินในการวัดผลเพื่อทำงานต่อไปหรือไม่ ถ้าความยิ่งใหญ่ของสุวรรณภูมิอยู่ในความดูแลของทีมบริหารที่มีวิสัยทัศน์ก้าวไกลและทันสมัย ย่อมรักษาชื่อเสียงและศักยภาพของมันให้คงอยู่ยาวนานต่อไป แม้จะมีดอนเมืองเป็นคู่แข่งตัวเล็กจ้อยก็ตาม อย่าให้ต้องอับอายขายหน้าสิงคโปร์หรือฮ่องกงซึ่งมีสนามบินเล็กกว่าไทยหลายร้อยเท่า แต่มีชื่อเสียงก้องโลก หากคิดกลับด้านกัน สิงคโปร์หรือฮ่องกงบริหารสนามบินอันยิ่งใหญ่อย่างสุวรรณภูมิ มันจะรุ่งเรืองและก้าวหน้ามากเพียงไรเมื่อเทียบกับคนไทยที่ทำลายมันทุกวันอย่างไม่เห็นคุณค่าเลย คนไทยต้องรอนานเท่าไรจึงเห็นนักบริหารมืออาชีพที่นำพาสุวรรณภูมิหลังถูกตอนแล้วให้เป็นที่ยอมรับของนานาชาติอีกครั้งว่ายิ่งใหญ่ที่สุดในโลกและรักษาชื่อเสียงนี้ได้จนกว่าจะถูกสนามบินอื่นลบชื่อแห่งตำนานนี้ออกไป แต่ไม่อยากเห็นคนไทยด้วยกันลบชื่อไพเราะและน่าภูมิใจนี้ คนไทยควรรักและชื่นชมสนามบินสุวรรณภูมิมากกว่าชนชาติอื่น แต่ข่าวที่เห็นตามสื่อต่างชาติกลับกลายเป็นองค์กรระหว่างประเทศที่รักหวงแหนสุวรรณภูมิมากกว่าคนไทยที่ควรรักทรัพย์มีค่าชิ้นนี้ อย่าคิดทำลายล้างมันจากแผนที่ประเทศไทยเลย

******************************




 

Create Date : 10 กุมภาพันธ์ 2550    
Last Update : 10 กุมภาพันธ์ 2550 14:06:59 น.
Counter : 459 Pageviews.  

แปรสี

เขียนโดย แก้วมณี

การเรียกร้องให้ยกเลิกกฎอัยการศึกจากประชาชนมีเป็นระยะ แม้รัฐบาลเคยประกาศจะยกเลิกเพื่อเป็นของขวัญแก่ประชาชน แต่ไม่สามารถทำได้ด้วยข้ออ้างเหตุขัดข้องสารพัด ข้อมูลข่าวสารและพฤติกรรมของคณะบริหารประเทศบอกชัดว่ายังมีความหวาดระแวงและต้องการใช้อำนาจตามกฎอัยการศึกต่อไป แต่ความต้องการของประชาชนที่ทวีขึ้นอาจทำให้จำต้องยกเลิกในอนาคต จึงต้องคิดหาวิธีควบคุมความคิดและความเป็นอยู่ของประชาชนให้เข้มงวดได้ดุจเดียวกับการใช้กฎอัยการศึก บางคนเสนอแนวคิดหนึ่งในการสอดแทรกทหารเข้าไปทำงานกับตำรวจในฐานะผู้ช่วยเจ้าหน้าที่ ซึ่งจะส่งผลประโยชน์ในการควบคุมตำรวจและประชาชนได้ใกล้ชิดขึ้น รวมทั้งใช้อำนาจในฐานะผู้ช่วยของตำรวจกำจัดศัตรูทางการเมืองหรือปรามมิให้ประชาชนคิดต่อต้านนโยบายใดๆของรัฐบาลหรือทหาร
นับแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศในปีพ.ศ. 2475นั้นหลักปกครองและหลักกฎหมายซึ่งใช้ควบคุมการทำงานของตำรวจและทหารจัดแบ่งอำนาจหน้าที่ไว้อย่างชัดเจนและถือปฏิบัติกันมาอย่างสงบและเป็นธรรม โดยการดูแลความมั่นคงภายในประเทศหรือความปลอดภัยของประชาชนเป็นหน้าที่ของตำรวจ ส่วนความรับผิดชอบความมั่นคงนอกประเทศปกป้องมิให้ศัตรูรุกรานเป็นหน้าที่ของทหาร ทั้งสองหน่วยงานนี้จะไม่ทำงานก้าวก่ายกันเด็ดขาด หากบุคคลในหน่วยงานใดกระทำผิดกฎหมายจะมีการประสานงานเพื่อนำผู้กระทำความผิดไปลงโทษตามกระบวนการยุติธรรม ไม่มีผู้ใดอยู่เหนือกฎหมายเด็ดขาด การปฏิบัติงานของสองหน่วยงานอยู่บนพื้นฐานของความเป็นธรรม การให้เกียรติต่อกัน และเพื่อความสงบสุขของประชาชนเป็นหลักใหญ่ สิ่งที่สองหน่วยงานระมัดระวังกันมาก คือ การไม่เข้าไปล่วงล้ำอำนาจของแต่ละฝ่ายและเน้นย้ำทำงานตามหน้าที่ของตน เช่น ตำรวจมีอำนาจจับกุมผู้กระทำความผิดตามกฎหมายแต่ละฉบับ หากทหารคนใดทำความผิด ก็ต้องจับกุมตามหน้าที่และดำเนินคดีในศาลตามขั้นตอนปกติเยี่ยงเดียวกับที่กระทำต่อบุคคลทั่วไป ทหารไม่มีสิทธิแต่งตั้งนายตำรวจหรือส่งทหารไปยุ่งเกี่ยวกับการสืบสวนคดีใดๆตามอำเภอใจ เป็นต้น
ภายหลังการปฏิวัติล้มล้างรัฐบาลและประชาธิปไตยของประเทศไทยในปีพ.ศ. 2549 ภาพหนึ่งที่เห็นต่อเนื่องในสื่อมวลชนคือ การขัดแย้งกันระหว่างผู้นำฝ่ายตำรวจกับผู้นำฝ่ายทหารซึ่งมีการตำหนิติเตียนการทำงานที่ไม่ได้ดังใจจากคณะปฏิวัติซึ่งเป็นทหาร บางข่าวประกาศว่าจะปลดผู้นำตำรวจ ถ้าประเมินผลงานไม่ผ่านการพิจารณา จนกระทั่งแนวคิดล่าสุดเกี่ยวกับการแต่งตั้งทหารไปทำงานกับตำรวจทุกท้องที่ในฐานะผู้ช่วยเจ้าหน้าที่ซึ่งมีอำนาจเยี่ยงเดียวกับตำรวจถ้าต้องยกเลิกกฎอัยการศึก หากคิดตามจุดประสงค์หรือหลักการทำงานของทหารกับตำรวจแล้วและข่าวความขัดแย้งของสองหน่วยงานนี้ คาดได้ว่าคณะบริหารประเทศซึ่งล้วนมาจากทหารเกิดความไม่วางใจการทำงานของตำรวจด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง จึงต้องการควบคุมการทำงานของตำรวจอย่างใกล้ชิดมากขึ้น แต่ติดขัดที่กฎหมายของทหารกับตำรวจแยกสองหน่วยงานออกจากกันอย่างเด็ดขาด จึงต้องเอาทหารเข้าไปสิงในร่างตำรวจเพื่อจะใช้อำนาจของตำรวจเพิ่มได้ด้วยการแต่งตั้งฐานะใหม่ให้ทหาร มันหมายความว่าต่อไปนี้ตำรวจทำงานใด เคลื่อนไหวอย่างใด ย่อมอยู่ภายใต้บังคับบัญชาและในสายตาของทหาร ไม่มีความอิสระในการทำงานอีกต่อไป กฎหมายที่ใช้บังคับมาหลายปีไร้ผลบังคับโดยปริยาย เมื่อคณะผู้บริหารประเทศเป็นทหาร การทำงานของตำรวจต้องรับคำสั่งและความเห็นชอบจากทหารที่อยู่ในหน่วยงานตำรวจเป็นหลัก มิใช่จากผู้บัญชาการตามขั้นตอนปกติ ภาพที่อาจได้เห็นตามแนวคิดนี้คือ ทุกโรงพักและทุกหน่วยงานของตำรวจจะมีทหารในฐานะผู้ช่วยเจ้าหน้าที่อยู่ประจำทำงานคู่กัน แต่ไม่อยู่ในบังคับบัญชาของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รายงานต่างๆจะส่งตรงถึงผู้ใหญ่ในสังกัดของตนเท่านั้น ถ้ามองลึกต่อไปอีก ข้างกายของผู้บัญชาการตำรวจฯจะมีผู้ช่วยเจ้าหน้าที่ทำงานเคียงคู่กันเยี่ยงเงาของเขา ต่างกันเฉพาะที่มาของเงาซึ่งเป็นทหารเท่านั้น การสอดแทรกของทหารในวงการตำรวจด้วยลักษณะนี้ทำลายเกียรติและศักดิ์ศรีของตำรวจโดยปริยาย
งานของตำรวจเน้นการสืบสวน สอบสวน เพื่อหาผู้กระทำความผิดไปดำเนินคดีในศาลอันถือเป็นหน้าที่หลักที่ต้องใช้ทักษะพิเศษ ขณะที่ทหารรับการฝึกฝนให้สังหารศัตรูของชาติและช่วยเหลือคนไทยจากสถานการณ์สงครามอันเปรียบเปรยกันมานานร้อยปีแล้วว่า ทหารเป็นรั้วแข็งแกร่งของชาติ หน้าที่และการเรียนรู้ที่แตกต่างกันนี้ทำให้มองเห็นเหตุผลเดียวที่เจ้าของแนวคิดซึ่งนำเสนอต่อคณะผู้บริหารประเทศนำไปใช้ยามยกเลิกกฎอัยการศึก คือ ต้องการเพิ่มบทบาทและอำนาจของทหารในสถาบันตำรวจ ควบคุมตำรวจซึ่งมีความใกล้ชิดกับประชาชน อีกทั้งการสอบสวนของตำรวจอาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของทหารที่กระทำต่อศัตรูทางการเมืองซึ่งไม่เป็นไปตามกฎระเบียบ แต่มันเป็นหน้าที่ของตำรวจที่นำเสนอข้อเท็จจริงต่อสังคมและต่อศาล จึงอาจส่งผลร้ายต่อคณะทำงานเหล่านั้นได้ การควบคุมตำรวจซึ่งรับผิดชอบกับความมั่นคงภายในประเทศที่มีกฎหมายรับรองหน้าที่ไว้ชัดเจน จึงเป็นสิ่งที่ต้องกระทำโดยเร็ว การก้าวก่ายหน้าที่และสอดแทรกทหารเข้าไปสวมบทบาทของตำรวจด้วย จึงเป็นแนวคิดที่ฝ่ายทหารมีความปรารถนาอย่างมากโดยไม่สนใจต่อมุมมองของฝ่ายตำรวจที่กำลังถูกก้าวก่ายหน้าที่ตามกฎหมายโดยบังคับให้ตำรวจเป็นร่างทรงของทหาร
แนวคิดให้ทหารสวมบทบาทตำรวจและใช้อำนาจเยี่ยงเดียวกับตำรวจด้วยคำสั่งจากกฎอัยการศึกและความเห็นด้วยของคณะผู้บริหารประเทศที่เป็นทหาร ในสายตาประชาชนแล้วเชื่อว่าต้องทราบความต้องการและความหวาดระแวงของพวกเขาที่แสดงออกชัดเจนมาก หลายคนเห็นใจตำรวจและตำรวจส่วนใหญ่คงไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นแน่ สถาบันตำรวจทำงานและสร้างประโยชน์แก่บ้านเมืองมากมาย วันนี้ต้องกลายเป็นร่างทรงให้ทหารเพื่อใช้อำนาจของตำรวจ เกียรติและศักดิ์ศรีถูกลดทอนลงเพราะการทำหน้าที่จริงจังและซื่อสัตย์ต่อคดีในความรับผิดชอบที่ไปกระทบต่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ในไม่ช้านี้คนไทยอาจเห็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมาจากผู้ที่ดำรงตำแหน่งทหารก็ได้ ตำรวจควรหันมาพิจารณาทบทวนบทบาทและอำนาจตามกฎหมาย แล้วใช้สิทธิปกป้องเกียรติและศักดิ์ศรีของตนไว้ ดังคำที่ว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน โดยมีคนไทยหัวใจเป็นธรรมและยึดหลักกฎหมายที่ถูกต้องคอยให้กำลังใจแก่ตำรวจทั้งประเทศเพื่อมิให้สับสนในบทบาทแท้จริงระหว่างทหารกับตำรวจ
*****************************




 

Create Date : 03 กุมภาพันธ์ 2550    
Last Update : 3 กุมภาพันธ์ 2550 14:38:49 น.
Counter : 506 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  

arbel
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add arbel's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.